ท่าทีที่มนุษย์ควรมีต่อพระเจ้า

ในการพิจารณาให้เห็นว่าใครบางคนเชื่อในพระเจ้าด้วยความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  หากพวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า  แต่หากพวกเขาไม่มีความยำเกรงหรือการนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีความเชื่อที่แท้จริง  ผู้คนควรมีท่าทีอย่างไรต่อพระเจ้า?  พวกเขาควรยำเกรงและนบนอบพระองค์  บรรดาคนที่สามารถยำเกรงพระเจ้าได้นั้นย่อมสามารถแสวงหาและยอมรับความจริงได้  คนที่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ย่อมสามารถแสดงให้เห็นความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาจึงเพียรพยายามที่จะตอบสนองพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  ใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมมีคุณสมบัติสองประการนี้  คนที่ปราศจากหัวใจที่ยำเกรงหรือนบนอบพระเจ้านั้นย่อมไม่ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน

การไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นควรปฏิบัติอย่างไรกันแน่?  ในการที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน พวกเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อเผชิญกับปัญหาทั้งหลาย พวกเจ้าเคยอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือไม่ และพวกเจ้าสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้โดยการแสวงหาความจริงหรือไม่?  การนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นของการเข้าสู่ชีวิต  เมื่อพวกเจ้าเผยความเสื่อมทรามของตนขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเจ้าสามารถทบทวนตนเองและแก้ปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับการนี้ในหนทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้วการนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่อันใดหรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องพยายามหยั่งถึงว่ามีแง่มุมใดบ้างของพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนความคิด ข้อคิดเห็น หรือเจตนารมณ์ที่ไม่ถูกต้องของเจ้า ซึ่งล้วนเป็นส่วนต่างๆ ของสภาวะของมนุษย์  สภาวะของมนุษย์รวมถึงสิ่งใดบ้าง?  นั่นรวมถึงจุดยืน ท่าที เจตนารมณ์ และทัศนะของผู้คน ตลอดจนปรัชญาเยี่ยงซาตาน ตรรกะ และความรู้บางประการ—และโดยสังเขปแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวโยงกับรูปแบบและวิธีการปกติในการกระทำและการปฏิบัติต่อผู้อื่น  เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง คนเราต้องตรวจสอบว่าทัศนะของพวกเขาเป็นอย่างไรเสียก่อน—นี่คือขั้นตอนแรก  ขั้นตอนที่สองคือการตรวจสอบว่าทัศนะนั้นถูกต้องหรือไม่  เช่นนั้นแล้ว คนเราควรกำหนดพิจารณาอย่างไรว่าทัศนะของพวกเขาถูกต้องหรือไม่?  ในแง่หนึ่งมันถูกกำหนดพิจารณาโดยพระวจนะของพระเจ้า และในอีกแง่หนึ่ง โดยสอดคล้องกับหลักธรรมของสถานการณ์ชนิดดังกล่าว  ตัวอย่างเช่น การจัดการเตรียมการทำงาน ผลประโยชน์ และกฎเกณฑ์ของพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนพระวจนะอันชัดเจนของพระเจ้า—จงใช้สิ่งเหล่านี้ตัดสินว่าทัศนะหนึ่งถูกต้องหรือไม่  สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานของการประเมินวัด  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์หนึ่ง พวกเจ้าตรวจสอบทัศนะของตนหรือไม่?  ไม่ว่าตามความเป็นจริงเจ้าจะสามารถแยกแยะทัศนะเหล่านั้นได้หรือไม่ ขั้นตอนแรกคือเจ้าต้องปฏิบัติในหนทางนี้  ไม่ว่าผู้คนจะทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาล้วนมีทัศนะบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งนั้น  ทัศนะนี้ก่อรูปขึ้นมาอย่างไร?  ทัศนะคือวิธีที่เจ้ามองเห็นสถานการณ์ สิ่งที่เจ้าใช้เป็นพื้นฐานของมุมมองของเจ้า วิธีที่เจ้าวางแผนในการรับมือกับสถานการณ์นั้น และสิ่งที่เจ้าใช้เป็นพื้นฐานของแบบแผนการรับมือกับสถานการณ์นั้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนประกอบของทัศนะของเจ้า  ตัวอย่างเช่น เจ้าคิดอย่างไรกับความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์?  มุมมองของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของอะไร?  เจ้าจัดการประเด็นนี้อย่างไร?  เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับทัศนะที่คนเรามีต่อเรื่องทั้งหลาย  นี่เป็นความจริงเกี่ยวกับทัศนะที่คนเรามีต่อเรื่องหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ทุกคนต่างมีทัศนะอยู่เบื้องหลังท่าทีและแบบแผนของตนในการรับมือกับทุกเรื่อง  ทัศนะนี้จะชี้นำและควบคุมว่าพวกเขาจะปฏิบัติตนอย่างไร  และต้นทางของทัศนะนี้เองที่ตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกหรือผิด  ตัวอย่างเช่น หากทัศนะของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาและตรรกะเยี่ยงซาตาน และเจตนารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังวาทะของเจ้าก็คือการได้รับชื่อเสียงและความภาคภูมิใจ เพื่อทำให้มีผู้คนมากขึ้นที่รู้จักและเข้าใจเจ้า จดจำและให้ความเห็นชอบแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการกระทำของเจ้า  หากเจ้ามีเจตนารมณ์ที่ไม่ถูกต้องอย่างนี้ เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าทัศนะและแบบแผนที่เกิดจากเจตนารมณ์นี้ย่อมจะไม่ถูกต้องเช่นกันและย่อมจะไม่ตรงตามความจริงเป็นแน่  เมื่อเจ้าเกิดมีทัศนะ ท่าที และแบบแผนที่ไม่ถูกต้อง เจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่?  หากเจ้าสามารถประเมินความถูกต้องหรือความไม่ถูกต้องของสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีภาวะพื้นฐานเพียงพอสำหรับการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่นี่ไม่ใช่ภาวะที่สมบูรณ์  ภาวะที่สมบูรณ์เป็นอย่างไร?  เมื่อเจ้าประเมินแล้วว่าทัศนะของตนไม่ถูกต้อง เมื่อเจ้ามีเจตนารมณ์และแผนการส่วนตนและความอยากได้อยากมีที่ไม่ถูกต้อง เจ้าสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อที่จะไม่ปฏิบัติตนตามทัศนะที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้?  การนี้ต้องอาศัยการปล่อยมือจากเจตนารมณ์และทัศนะที่ไม่ถูกต้องของเจ้า และในเวลาเดียวกันก็ต้องอาศัยการแสวงหาความจริง  เมื่อรู้ดีอย่างเต็มที่ว่าทัศนะของเจ้าไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงรังเกียจทัศนะเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าก็ควรต่อต้านทัศนะเหล่านี้  จุดประสงค์ของการขัดขืนเนื้อหนังคืออะไร?  คือการทำสิ่งทั้งหลายตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า การทำสิ่งทั้งหลายที่สอดคล้องกับความจริง และด้วยเหตุนั้นจึงสามารถปฏิบัติความจริงได้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถขบถต่อทัศนะอันผิดพลาดของตนได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติหรือใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงได้ นี่หมายความว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจเป็นเพียงคำสอนเท่านั้น  สิ่งทั้งหลายที่เจ้ากล่าวถึงไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมของเจ้า ชี้แนะการกระทำของเจ้า หรือแก้ไขทัศนะอันผิดพลาดของเจ้าให้ถูกได้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ยิ่งขึ้นไปอีกว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงคำสอน  ดังนั้นขั้นตอนแรกคือการตรวจสอบทัศนะของเจ้า  ขั้นตอนที่สองคือการประเมินวัดความถูกต้องของทัศนะเหล่านั้น ทัศนะอันผิดพลาดต้องถูกขบถและสละทิ้งไป ทัศนะที่ถูกต้องนั้นต้องได้รับการยึดถือปฏิบัติและเชิดชู  ตอนนี้ความลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  ในทางหนึ่ง เจ้าแทบไม่เคยตรวจสอบตนเองเลย นั่นไม่ใช่นิสัยของเจ้า  ในอีกทางหนึ่ง แม้กระทั่งตอนที่เจ้าตรวจสอบตนเอง เจ้าก็ไม่รู้ว่าเจตนารมณ์และทัศนะของเจ้าถูกต้องหรือไม่  สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้องสำหรับเจ้า ดังนั้นในท้ายที่สุดเจ้าจึงตกอยู่กับความรู้สึกมึนงงและสับสน และทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของเจ้าเอง—นี่เป็นสถานการณ์ประเภทหนึ่ง  มีสถานการณ์อื่นใดอีกบ้าง?  (บางครั้งข้าพระองค์แยกแยะเจตนารมณ์และทัศนะของข้าพระองค์เองออกได้ และข้าพระองค์พึงปรารถนาที่จะขัดขืนสิ่งเหล่านั้น แต่ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถเอาชนะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์ได้  ดังนั้นข้าพระองค์จึงประนีประนอม โดยปั้นแต่งเหตุผลและข้ออ้างที่เอื้อต่อข้าพระองค์เองขึ้นมา  ตอนนั้นข้าพระองค์ล้มเหลวในการปฏิบัติ และรู้สึกเสียใจในภายหลัง)  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่มีหัวใจที่นบนอบความจริงและรักความจริงมากพอ  หากหัวใจของคนเรามีความรักอันยิ่งใหญ่สำหรับความจริง พวกเขาก็มักจะสามารถเอาชนะเจตนารมณ์และทัศนะที่ไม่ถูกต้องบางอย่างของพวกเขาได้ และสามารถกบฏต่อสิ่งเหล่านั้นได้  แน่นอนว่ามีสภาพการณ์ที่พิเศษบางประการซึ่งผู้คนส่วนใหญ่พบว่าเป็นเรื่องลำบากยากเย็นที่จะผ่านพ้น  เป็นเรื่องปกติหากเจ้าก็ยังผ่านพ้นไม่ได้เช่นกัน  แต่หากคนทั่วไปส่วนใหญ่สามารถผ่านพ้นได้ แต่เจ้ากลับพบว่าเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นมาก นี่เป็นการพิสูจน์อะไร?  นี่แสดงให้เห็นว่าความรักที่เจ้ามีต่อความจริงนั้นไม่ยิ่งใหญ่ และการปฏิบัติความจริงก็ไม่สำคัญอะไรนักสำหรับเจ้า  อะไรคือเรื่องสำคัญสำหรับเจ้า?  การยืนกรานในทัศนะของเจ้าเอง การทำให้จิตใจของเจ้าเองรู้สึกสบาย และการตอบสนองความอยากได้อยากมีของเจ้าเอง—เหล่านี้คือเรื่องสำคัญสำหรับเจ้า  การทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า การปฏิบัติความจริง การสนองพระทัยของพระเจ้า และการนบนอบพระเจ้า—เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญในหัวใจของเจ้า  เรื่องนี้เผยให้เห็นเจตนารมณ์ภายในของเจ้าและทัศนะที่เจ้าไล่ตามไขว่คว้า

สภาวะของบุคคลหนึ่งประกอบด้วยสิ่งใดเป็นหลัก?  (เจตนารมณ์ จุดยืน และทัศนะของพวกเขา)  สภาวะของพวกเขารวมถึงสิ่งเหล่านี้เป็นหลัก  อะไรเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยที่สุดในสภาวะของผู้คน?  สิ่งนี้ปรากฏขึ้นในหัวใจของผู้คนอยู่เนืองนิจเมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสิ่ง และเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถระลึกรู้ได้อย่างมีสติในความคิดของพวกเขา—พวกเจ้าจะบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร?  (เจตนารมณ์ของพวกเขา)  นั่นถูกต้องแล้ว  เจตนารมณ์เป็นส่วนหนึ่งที่ชัดเจนของสภาวะของผู้คน และเป็นหนึ่งในสิ่งที่พบได้บ่อยที่สุด ในเรื่องส่วนใหญ่ ผู้คนจะมีความคิดและเจตนารมณ์ของตนเอง  เมื่อความคิดและเจตนารมณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ผู้คนคิดว่าสิ่งเหล่านั้นถูกทำนองคลองธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วความคิดและเจตนารมณ์เหล่านั้นจะเป็นไปเพื่อพวกเขาเอง เพื่อความหยิ่งผยองและผลประโยชน์ของพวกเขาเอง หรือไม่ก็เพื่อปิดบังบางสิ่งบางอย่าง หรือเพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองพึงพอใจในทางใดทางหนึ่ง  ณ เวลาเช่นนั้น เจ้าต้องตรวจสอบว่าเจตนารมณ์ของเจ้าเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นเพราะเหตุใด  ตัวอย่างเช่น พระนิเวศของพระเจ้าขอให้เจ้าทำงานชำระคริสตจักร และมีบุคคลหนึ่งที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเสมอมา โดยหาหนทางที่จะหย่อนยานอยู่เสมอ  ตามหลักธรรมแล้ว บุคคลนี้ควรถูกชำระออกไป แต่เจ้ามีสัมพันธภาพที่ดีกับพวกเขา  ดังนั้นความคิดและเจตนารมณ์ประเภทใดจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า?  เจ้าจะปฏิบัติอย่างไร?  (ปฏิบัติตนตามความชอบส่วนตนของข้าพระองค์เอง)  แล้วความชอบส่วนตนเหล่านี้เกิดจากอะไร?  เพราะว่าบุคคลนี้ดีต่อเจ้าหรือได้ทำสิ่งทั้งหลายให้เจ้า เจ้าจึงมีความประทับใจที่ดีในตัวพวกเขา และดังนั้นในเวลานี้เจ้าจึงต้องการที่จะคุ้มครองพวกเขาและแก้ต่างให้พวกเขา  นี่ไม่ใช่ผลของความรู้สึกหรอกหรือ?  เจ้ารู้สึกมีอารมณ์อ่อนไหวต่อพวกเขา และดังนั้นจึงใช้แนวทางที่ว่า “แม้ว่าผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าจะมีนโยบาย แต่ผู้ที่มีอำนาจในท้องถิ่นก็มีมาตรการตอบโต้ของพวกเขา”  เจ้ากำลังตีสองหน้า  ในทางหนึ่ง เจ้าบอกพวกเขาว่า “คุณต้องพยายามมากขึ้นอีกนิดเมื่อคุณทำสิ่งทั้งหลาย  จงเลิกทำอย่างสุกเอาเผากิน คุณต้องทนทุกข์กับความยากลำบากนิดหน่อย นี่คือหน้าที่ของพวกเรา”  ในอีกทางหนึ่ง เจ้าก็ตอบเบื้องบนและกล่าวว่า “พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้พวกเขามีประสิทธิผลมากขึ้นในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน”  แต่ตามความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เจ้ากำลังคิดในจิตใจของเจ้าก็คือ “นี่เป็นเพราะฉันเคี่ยวเข็ญพวกเขา  หากฉันไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาก็คงยังเป็นอย่างที่พวกเขาเคยเป็น”  ในจิตใจของเจ้า เจ้าคิดเสมอว่า “พวกเขาดีกับฉัน พวกเขาไม่สามารถถูกเอาตัวออกไปได้!”  เมื่อสิ่งที่เป็นเช่นนั้นอยู่ในเจตนารมณ์ของเจ้า นี่คือสภาวะเช่นไร?  นี่คือการสร้างความเสียหายให้งานของคริสตจักรโดยการคุ้มครองสัมพันธภาพทางอารมณ์ส่วนบุคคล  การปฏิบัติตนในหนทางนี้ตรงตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  และในการที่เจ้าทำเช่นนี้มีการนบนอบหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีการนบนอบ แต่มีการไม่ยอมรับในหัวใจของเจ้า  ในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเจ้าและงานที่เจ้าควรจะทำ แนวคิดของตัวเจ้าเองมีวิจารณญาณส่วนตัว และปัจจัยทางอารมณ์ก็ถูกนำมาผสมตรงนี้  เจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของความรู้สึก แต่ทว่าเจ้ายังคงเชื่อว่าเจ้ากำลังปฏิบัติตนอย่างเป็นกลาง เจ้ากำลังให้โอกาสผู้คนในการกลับใจ และเจ้ากำลังให้ความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักแก่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงทำตามที่เจ้าปรารถนา ไม่ใช่ตามที่พระเจ้าตรัส  การทำงานในหนทางนี้ทำให้คุณภาพของงานลดลง ประสิทธิภาพลดลง และส่งผลเสียต่องานของคริสตจักร—ซึ่งล้วนเป็นจุดจบของการปฏิบัติตนตามความรู้สึก  หากเจ้าไม่ตรวจสอบตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถระบุปัญหาตรงนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่มีวันจะทำได้  เจ้าอาจจะรู้ว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้ไม่ถูกต้อง นี่เป็นการขาดพร่องการนบนอบ แต่เจ้าก็คิดพิจารณาเรื่องนี้และกล่าวกับตนเองว่า “ฉันต้องช่วยพวกเขาด้วยความรัก และหลังจากที่พวกเขาได้รับความช่วยเหลือและพวกเขาดีขึ้นแล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวพวกเขาออกไป  พระเจ้าทรงให้โอกาสผู้คนในการกลับใจมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงรักผู้คน ดังนั้นฉันต้องช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรัก และฉันต้องทำตามที่พระเจ้าทรงร้องขอ”  หลังจากคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของเจ้าเอง  หลังจากนั้น หัวใจของเจ้าก็รู้สึกสบาย เจ้ารู้สึกว่าตนกำลังปฏิบัติความจริง  ระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าได้ปฏิบัติตามความจริงหรือไม่ หรือเจ้าได้ปฏิบัติตนตามความชอบส่วนตนและเจตนารมณ์ของเจ้าเองหรือไม่?  การปฏิบัติตนของเจ้าล้วนเป็นไปตามความชอบส่วนตนและเจตนารมณ์ของเจ้าเองทั้งหมด  ตลอดทั้งกระบวนการ เจ้าใช้สิ่งที่เจ้าเรียกว่าความมีใจกรุณาและความรัก ความรู้สึก และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกในการทำให้สิ่งทั้งหลายราบรื่น และเจ้าก็พยายามเหยียบเรือสองแคม  ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังช่วยเหลือบุคคลนี้ด้วยความรัก แต่ในหัวใจของเจ้า จริงๆ แล้วเจ้ากลับถูกตีกรอบโดยความรู้สึก—และด้วยความที่กลัวว่าเบื้องบนจะล่วงรู้ เจ้าจึงพยายามเอาชนะใจพวกเขาด้วยการประนีประนอม เพื่อไม่ให้มีใครถูกล่วงเกินและงานก็แล้วเสร็จ—ซึ่งก็เป็นหนทางเดียวกันกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อพยายามเหยียบเรือสองแคม  ในความเป็นจริง พระเจ้าจะทรงประเมินสถานการณ์นี้อย่างไร?  พระองค์จะทรงจำแนกเจ้าเป็นคนที่ไม่นบนอบความจริง คนที่มักจะมีท่าทีที่คิดวิเคราะห์และพินิจพิเคราะห์ความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าหาความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยใช้แบบแผนนี้ และเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยท่าทีนี้ เจตนารมณ์ของเจ้าเล่นบทบาทใด?  เจตนารมณ์ของเจ้าทำหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความหยิ่งผยองของเจ้าเอง และสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเจ้า โดยไม่คำนึงถึงข้อร้องขอของพระเจ้า และไม่มีผลกระทบใดๆ ที่เป็นบวกต่อหน้าที่ของเจ้าเองหรืองานของคริสตจักร  บุคคลเช่นนี้กำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกโดยสมบูรณ์  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำนั้นเป็นไปเพื่อพิทักษ์ความภาคภูมิใจ ความรู้สึก และสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของตนเอง แต่พวกเขาไม่มีการนบนอบความจริงและพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขาก็ไม่พยายามที่จะเปิดเผยหรือยอมรับผิดในปัญหาเหล่านี้  พวกเขาไม่รู้สึกตำหนิตัวเองแม้เพียงน้อยนิดและยังคงไม่รู้ความต่อธรรมชาติของปัญหาเหล่านี้เลย  หากผู้คนขาดพร่องหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และหากพระเจ้าไม่ทรงมีพื้นที่ในหัวใจของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ใดหรือกำลังจัดการกับปัญหาใดก็ตาม  ผู้คนที่ใช้ชีวิตภายในเจตนารมณ์และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนย่อมไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ด้วยเหตุผลนี้ หากพวกเขาเผชิญกับปัญหา และพวกเขาไม่ตรวจสอบเจตนารมณ์ของตนและไม่สามารถระลึกรู้ได้ว่าเจตนารมณ์ของตนผิดพลาดตรงที่ใด ทว่าพวกเขากลับใช้การอ้างเหตุผลทุกประเภทเพื่อปั้นแต่งคำโกหกและข้อแก้ตัวให้ตนเอง ตอนปลายทางจะเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาทำหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์ ความภาคภูมิใจ และสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของตนเองได้ค่อนข้างดี แต่พวกเขาได้สูญสิ้นสัมพันธภาพที่เป็นปกติของตนกับพระเจ้าไปแล้ว  บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว แต่เมื่อถูกขอให้สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาบ้าง พวกเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว พวกเขาไม่สามารถเล่าถึงคำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาได้  เหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร?  พวกเขาแทบไม่เคยตรวจสอบตนเอง และพวกเขาก็แทบไม่เคยปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเลย  พวกเขากลับมีความชอบส่วนตนที่จะเดินในเส้นทางของตนเอง โดยใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การกระทำของพวกเขาถูกชี้นำโดยเจตนารมณ์ ทัศนะ ความอยากได้อยากมี และแผนการของตนเอง โดยยังคงไม่กลับใจตลอดเวลาที่ผ่านมา  ผู้ที่พวกเขาเชื่อคือพระเจ้า และพวกเขาฟังพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาได้รับคือความจริง และสิ่งที่พวกเขาสามัคคีธรรมและเทศน์สอนก็คือความจริงเช่นกัน—แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาปฏิบัตินั้นคืออะไร?  พวกเขาปฏิบัติตามเจตนารมณ์และความคิดฝันของตนเองเท่านั้น มิใช่ตามข้อกำหนดของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อพระวจนะของพระเจ้า?  พวกเขาปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าอย่างไร?  ในการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนควรมีมโนธรรมมากที่สุดในแง่มุมใด?  วิธีที่พวกเขาควรมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริง—นี่คือประเด็นที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด  หลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและฟังการเทศนาแล้ว หากใครบางคนไม่นำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริงหรือไม่?  พวกเขากำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์จริงหรือไม่?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เป็นผู้ที่มีมโนธรรมในที่ที่พวกเขาควรเป็น?  เหตุใดพวกเขาจึงสงสัยพระเจ้าและสงสัยพระวจนะของพระองค์ในยามที่พวกเขาควรปฏิบัติความจริง?  “เหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีข้อร้องขอเหล่านี้?  ข้อร้องขอเหล่านี้ตรงกับพระวจนะของพระองค์หรือไม่?  พระเจ้ายังทรงเป็นความรักหรือไม่หากพระองค์ทรงร้องขอเช่นนี้?  การมีข้อร้องขอเหล่านี้ดูไม่เหมือนสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำใช่หรือไม่?  ฉันไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้  ข้อร้องขอของพระเจ้านั้นค่อนข้างไม่คำนึงถึงใคร ข้อร้องขอเหล่านั้นขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อย่างมาก”  จงบอกเราเถิดว่า คนที่ชั่งน้ำหนักเรื่องทั้งหลายเช่นนี้จะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่ไม่ใช่ท่าทีของการยอมรับความจริง  การประเมินวัดและการเข้าหาข้อร้องขอของพระเจ้าด้วยท่าทีนี้และเจตนารมณ์เหล่านี้—นี่เป็นการที่คนเราเปิดหรือปิดหัวใจของตนต่อพระเจ้า?  (ปิด)  นี่ไม่ใช่ท่าทีของการยอมรับ แต่เป็นท่าทีของการไม่ยอมรับ  ในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นจะพินิจพิเคราะห์ก่อนและบางคนถึงกับเย้ยหยันว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรมากนัก พระองค์ไม่ทรงรู้เรื่องกิจธุระของคริสตจักรหรอก  พระนิเวศของพระเจ้ามิได้กำลังรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างดันทุรังเกินไปหน่อยหรือ?  นี่ไม่ใช่วิธีที่พวกเราทำสิ่งทั้งหลาย  พวกเราทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของสถานการณ์ของพี่น้องชายหญิง โดยให้โอกาสแก่พวกเขา  และนอกจากนั้นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรเข้าใจความอ่อนแอของมนุษย์ด้วย!  หากพระองค์จะไม่ทรงคำนึงถึงใคร พวกเราจะคำนึงถึงผู้อื่น  มีบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงแสดงให้เห็นความคำนึงถึง แต่พวกเราจะแสดงให้เห็น”  พวกเขากำลังใช้ท่าทีประเภทใด?  นี่เป็นท่าทีที่ไม่ยอมรับ ตัดสิน และกล่าวโทษ  พวกเขานำเรื่องทั้งหลายมาพินิจพิเคราะห์และจากนั้นพวกเขาก็ตัดสิน  และพวกเขาตัดสินอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “ไม่ว่ากรณีใด พระเจ้าทรงชอบธรรม และผู้ที่ฉันเชื่อคือพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คน”  นี่หมายความว่าอะไร?  (พวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์)  นั่นถูกต้องแล้ว  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับพระคริสต์ โดยบอกเป็นนัยว่าพระวจนะของพระคริสต์ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของพระเจ้า  ที่ใดก็ตามที่การทรงกระทำและพระวจนะของพระคริสต์ต่อต้านหรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ เจตนารมณ์ และทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเจ้า  “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ฉันเชื่อคือพระเจ้า และพระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของผู้คน”  ถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นอย่างไร?  เป็นการตัดสินใช่หรือไม่?  ธรรมชาติของถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นอย่างไร?  (การหมิ่นประมาท)  การกล่าวถึงผู้คนลับหลังพวกเขาเป็นการตัดสิน  การกล่าวถึงพระเจ้าลับหลังพระองค์ไม่เพียงเป็นการตัดสินพระองค์เท่านั้น แต่เป็นการหมิ่นประมาท  ผู้คนที่หมิ่นประมาทพระเจ้าได้สามารถเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงได้หรือไม่?  พวกเขาเป็นคนที่มีมโนธรรมและสำนึกหรือไม่?  พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอดหรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้เป็นข้ารับใช้ของซาตานโดยสมบูรณ์ พวกเขาเป็นคนชั่ว และพวกเขาควรถูกปฏิเสธและถูกกำจัดออกไป

ในคริสตจักร มีการสำแดงการวิจารณ์พระเจ้าและการตัดสินพระราชกิจของพระองค์หรือไม่?  การสำแดงเหล่านั้นไม่แพร่หลายนัก แต่ก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะในคริสตจักรใดๆ ย่อมมีผู้ไม่เชื่อและคนชั่วอยู่บ้าง  ตอนนี้ในสภาพการณ์เฉพาะ สภาวะประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นในหัวใจของคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  หากสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น การตัดสิน การไม่ยอมรับ และการหมิ่นประมาทเกิดขึ้นในตัวพวกเจ้า การตอบสนองภายในของพวกเจ้าเป็นเช่นไร?  เจ้าสามารถจับความเข้าใจในธรรมชาติอันร้ายแรงของปัญหานี้ได้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเจ้าไม่เคยแต่งงาน แต่เจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะควรและเจ้าก็พบกับคนที่ดีที่มีศักยภาพในการเป็นคู่ครองซึ่งเจ้าต้องการจะออกเดทด้วย  แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยสัญญากับพระเจ้าไว้แล้วว่าเจ้าจะอุทิศทั้งชีวิตของเจ้าให้พระองค์และไม่แสวงหาคู่ครอง ในหัวใจของเจ้าก็ยังคงมีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับบุคคลนี้ ดังนั้นเจ้าจึงตัดสินใจออกเดทกับพวกเขา  แต่หลังจากออกเดทแล้ว เจ้าก็ค้นพบว่ามีอุปสรรคมากมาย และเจ้าก็ตระหนักว่าการออกเดทกับพวกเขาไม่ใช่เรื่องเหมาะควร พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ทำเช่นนี้  เจ้าต้องการที่จะเลิกกับพวกเขา แต่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้ ดังนั้นเจ้าจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า และสาปแช่ง และขัดขืนตนเอง และท้ายที่สุดพวกเจ้าทั้งสองก็เลิกกัน  หลังจากเลิกกันแล้ว เจ้าก็เจ็บปวดรวดร้าวทางจิตใจอย่างมหาศาล  นี่เป็นเรื่องปกติ  นี่คือความอ่อนแอที่เป็นปกติของความเป็นมนุษย์  แต่เจ้าต้องไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า  คนส่วนใหญ่สามารถผ่านประสบการณ์นี้และสามารถที่จะไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่?  ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ และนี่สะท้อนให้เห็นท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า  ในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราคงต้องมีความคิดที่ผิดพลาดใดหรือจึงพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า?  (หากฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันคงจะหาคู่ครองได้)  ความคิดเช่นนี้เป็นปัญหาใหญ่หรือไม่?  พวกเขาค่อนข้างจะไม่ต้องการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาต้องการที่จะล้มเลิก  พวกเขาคิดว่า “เหตุใดฉันจึงต้องเลือกเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้า?  การไม่เชื่อในพระเจ้าคงจะดีเยี่ยม ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ  การพบคู่ครองที่เหมาะสมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากฉันปล่อยให้พวกเขาหลุดมือไปตอนนี้ ในไม่ช้าฉันก็จะแก่เกินกว่าที่จะมีใครต้องการฉัน  ฉันไม่ควรที่จะพยายามหาใครบางคนอีกต่อไปหรือ?  ฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือของฉันอย่างนี้หรือ?”  ความคิดเสียใจที่เป็นลบผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา จนถึงจุดที่บุคคลนี้ไม่ต้องการเชื่ออีกต่อไปด้วยซ้ำ  เหล่านี้คือการสำแดงการทรยศและการกบฏต่อพระเจ้า  แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุด  ความคิดใดร้ายแรงกว่าความคิดนี้?  พวกเจ้าเคยมีประสบการณ์กับสิ่งใดในประเภทนี้หรือไม่?  (ไม่)  การไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งที่อยู่ในประเภทนี้ค่อนข้างเป็นอันตรายจริงๆ  คนที่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งทำนองนี้จะสามารถมองเห็นบางแง่มุมของสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน พวกเขาจึงค่อนข้างปลอดภัยกว่า แม้ว่าจะไม่ใช่การรับประกันอย่างแน่นอนก็ตาม  การทดลองที่ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เช่นนั้นต้องเผชิญไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย  พวกเขาต้องคอยระแวดระวัง เพราะหากละเลยไม่ระแวดระวังแล้วพวกเขาก็จะพ่ายแพ้ต่อการทดลอง!  บางคนไตร่ตรองว่า “การที่ได้เกิดในยุคสุดท้ายและได้รับเลือกจากพระเจ้าเป็นเรื่องที่ดี  ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังเป็นหนุ่มสาว ไม่มีภาระผูกพันเรื่องครอบครัว ทำให้ฉันมีอิสระในการทำหน้าที่ของฉัน—นี่คือพระคุณของพระเจ้า  น่าเสียดายเหลือเกินที่มีข้อเสียอยู่เพียงข้อเดียว ซึ่งก็คือต่อให้ฉันพบเจอคู่ครองที่เหมาะสม ฉันก็ไม่สามารถไล่ตามไขว่คว้าพวกเขาหรือแต่งงานกันได้  แต่เพราะเหตุใดฉันจึงมองหาใครสักคนไม่ได้ล่ะ?  การแต่งงานเป็นบาปหรือ?  มีพี่น้องชายหญิงมากมายที่มีคู่ครองและบุตรมิใช่หรือ?  แล้วพวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าเช่นกันไม่ใช่หรือ?  เพราะเหตุใดฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้แสวงหาคู่ครอง?  พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม!”  การตัดสินพระเจ้าของพวกเขาและความไม่พึงพอใจที่พวกเขามีต่อพระองค์ก็ผุดออกมา  พวกเขาตัดสินในจิตใจของตนว่านี่คือเรื่องที่พระเจ้าทรงกระทำทั้งสิ้น ทั้งหมดมาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงโกรธเคืองพระองค์และระบายคำพร่ำบ่นของตนว่า “พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมกับฉันอย่างมาก!  พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงใครอย่างยิ่ง!  คนอื่นแต่งงานได้ เหตุใดฉันจึงทำไม่ได้?  คนอื่นมีลูกได้ เหตุใดฉันจึงมีไม่ได้?  พระเจ้าประทานโอกาสนี้ให้แก่คนอื่น เหตุใดพระองค์จึงไม่ประทานโอกาสนี้ให้แก่ฉันบ้าง?”  คำพร่ำบ่นและการตัดสินก็ผุดออกมา  นี่คือสภาวะใด?  (สภาวะของการไม่ยอมรับและขัดขืน)  ไม่ยอมรับ ไม่พึงพอใจ อิดออด  ไม่มีเจตนารมณ์แม้แต่น้อยที่จะยอมรับหรือนบนอบสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำ พวกเขาเพียงแค่ปรารถนาให้พระองค์ทรงกระทำอย่างอื่น  แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังคงอิดออดที่จะเลือกการแต่งงาน โดยเกรงกลัวว่าหากพวกเขาแต่งงานและมีภาระผูกพัน พวกเขาจะไม่มีอิสระเท่าเดิมและจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้พวกเขาไม่ได้รับการช่วยให้รอดและไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในภายหลังด้วยเหตุนั้น  แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกับความเสียใจเช่นนั้น?  จริงๆ แล้วนี่คือเส้นทางที่เจ้าเลือกเอง  พระเจ้าประทานเจตจำนงเสรีให้แก่มนุษย์  เจ้าสามารถเลือกได้ ว่าเจ้าต้องการหาคู่ครองและแต่งงานหรือแสวงหาความจริงและความรอด  นี่เป็นทางเลือกส่วนตนโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกได้ถูกต้องหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ดังนั้นเหตุใดเจ้าจึงพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์?  เหตุใดเจ้าจึงพร่ำบ่นว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม?  เหตุใดเจ้าจึงมีคำพร่ำบ่นมากมายนัก?  (เพราะผลประโยชน์ส่วนตนของข้าพระองค์เองไม่ได้รับการตอบสนอง)  เมื่อมีผลกระทบกับผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้าเอง เจ้าก็เกิดความไม่พึงพอใจอยู่ภายใน  เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้ทนทุกข์กับความสูญเสีย ดังนั้นเจ้าจึงตำหนิพระเจ้าและแม้แต่หาเหตุผลที่จะระบายออกมา  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใด?  (อุปนิสัยที่มุ่งร้าย)  นี่คือความมุ่งร้าย  การตำหนิพระเจ้า โดยพร่ำบ่นว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม และการจัดการเตรียมการของพระองค์ไม่เหมาะสมเมื่อใดก็ตามที่ผลประโยชน์ส่วนตนของคนเราเองไม่อาจได้รับการตอบสนองได้—นี่เป็นอุปนิสัยที่มุ่งร้ายและดื้อแพ่ง และไม่รักความจริง  สภาวะและความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวผู้คนได้อย่างไร?  หากไม่เป็นเพราะสถานการณ์เหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จะยังคงเกิดขึ้นและถูกเผยให้เห็นหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ผลประโยชน์ที่ข้องเกี่ยวกับเจ้าจะไม่ขัดแย้งกับข้อกำหนดของพระเจ้า และประโยชน์ของเจ้าจะไม่มีภัยในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าความรักและการไล่ตามเสาะหาพระเจ้าของเจ้านั้นดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าของผู้อื่นทุกคน  แต่เมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์นี้และผลประโยชน์ของเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยว เจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากผลประโยชน์ของเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจึงพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า  จากประเด็นนี้สามารถเห็นอะไรได้บ้าง?  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและตัดสินพระองค์อยู่เนืองนิจ?  (เมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองไม่ได้รับการสนอง)  เมื่อมีผลกระทบกับผลประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อเจตนารมณ์ ความอยากได้อยากมี และแผนการของพวกเขาเองไม่อาจได้รับการสนอง ผู้คนก็จะไม่ยอมรับ ตัดสิน และพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นหมิ่นประมาทพระองค์  อันที่จริงการตัดสินเองเป็นสภาวะของการไม่ยอมรับประเภทหนึ่ง การหมิ่นประมาทเป็นการขัดขืนที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีก  เมื่อผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับความเสียหาย ยิ่งพวกเขาคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งไม่พึงพอใจมากขึ้น และพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น  พวกเขาจึงเริ่มไม่ยอมรับ และเมื่อมีความคิดเหล่านี้อยู่ในจิตใจของพวกเขา คำพร่ำบ่นก็พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากของพวกเขาและพวกเขาก็เริ่มตัดสิน  นี่คือสัญญาณของการต่อต้านพระเจ้า

บุคคลคนหนึ่งสำแดงการขัดขืนพระเจ้าที่เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง?  (การไม่ทำหน้าที่ของคนเราอย่างขยันหมั่นเพียร การทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสุกเอาเผากิน)  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  เมื่อก่อน บุคคลคนนี้สามารถอุทิศพลังงานของตน 70 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนและอุทิศตนเองให้แก่สิ่งใดก็ตามที่พวกเขากำลังทำอยู่ แต่ปัจจุบันนี้พวกเขากลับเก็บงำความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า และรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้รับพรหรือพระคุณจากพระเจ้าแม้ว่าจะมีการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็ตาม  นอกจากการตัดสินว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมแล้ว ยังมีความอิดออดในหัวใจของพวกเขาอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเทความพยายามของตนเพียง 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ในยามที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยกระทำในลักษณะที่สุกเอาเผากินอย่างสิ้นเชิง  นี่เป็นพฤติกรรมของการขัดขืนประเภทหนึ่งซึ่งเกิดจากสภาวะที่เป็นกบฏ  มีอะไรอีกบ้าง?  (การละทิ้งอย่างบุ่มบ่าม)  การนี้สำแดงออกมาอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคน ในยามที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม เคยตื่นนอนตอนตี 5 สำหรับการชุมนุมตอน 8 โมงเช้าเพื่อที่จะอธิษฐาน เข้าร่วมการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเตรียมตัว  จากนั้นพวกเขาก็จะบันทึกเนื้อหาที่จะสามัคคีธรรมในการชุมนุม  พวกเขามีท่าทีที่จริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยอุทิศตนเองให้แก่การนี้อย่างเต็มกำลัง  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ถูกตัดแต่งไปครั้งหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มไตร่ตรองว่า “จะตื่นเช้าไปเพื่ออะไร?  พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการนี้ และไม่มีใครสรรเสริญฉันสำหรับการนี้  ไม่มีแม้ใครสักคนเดียวที่บอกว่าฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างจงรักภักดี  นอกจากนั้น ฉันยังถูกตัดแต่งอยู่เสมอแม้ว่าฉันจะพยายามอย่างหนักก็ตาม  และฉันก็ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วย ดูเหมือนว่าตอนนี้แม้แต่บำเหน็จในอนาคตก็ยังตกอยู่ในความเสี่ยง”  ดังนั้นในการชุมนุมครั้งต่อไปพวกเขาจึงไม่เตรียมตัวล่วงหน้าหรือสามัคคีธรรมอย่างกระตือรือร้น และพวกเขาก็เลิกบันทึกเนื้อหาเก็บไว้  นี่เป็นท่าทีเช่นไร?  (ท่าทีที่ไม่มีความรับผิดชอบ)  พวกเขาไม่มีความรับผิดชอบและสุกเอาเผากิน และไม่ต้องการอุทิศหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดอีกต่อไป  เหตุใดพวกเขาจึงเป็นเช่นนี้?  มีบางสิ่งข้างในตัวพวกเขาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน  พวกเขาไม่ยอมรับและดิ้นรนต่อสู้กับพระเจ้า พลางคิดว่า “การที่พระองค์ทรงตัดแต่งข้าพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ไม่สบายใจ ดังนั้นนี่ล่ะเป็นวิธีที่ข้าพระองค์ปฏิบัติต่อพระองค์  ฉันเคยอุทิศหัวใจและจิตใจทั้งหมดของฉัน แต่พระเจ้ามิได้ทรงเห็นชอบในตัวฉัน  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรม ดังนั้นฉันจะไม่พยายามปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดอีกต่อไปแล้ว!”  นี่เป็นอุปนิสัยเช่นไร?  ความเป็นสัตว์เดรัจฉานของพวกเขากำลังแสดงออกมา ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของมนุษย์ ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระเจ้าบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดของตนเองเท่านั้น  มีพฤติกรรมใดบ้างที่เกิดจากการปฏิบัติต่อพระเจ้าในหนทางนี้?  ความสะเพร่า การละทิ้งอย่างบุ่มบ่าม และความไม่รับผิดชอบ ตลอดจนการพร่ำบ่นและการเข้าใจผิด  พวกเขาจะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนด้วยซ้ำ โดยยุยงผู้อื่นว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้ทำให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับพร  แล้วจะว่าไป มีพรใดบ้าง?  มีใครเคยเห็นพรบ้าง?  พวกเราทุกคนกำลังเดินอยู่ในเส้นทางของเปาโล ในหมู่พวกเรามีกี่คนหรือที่สามารถเป็นเหมือนเปโตรได้?  ขอให้โชคดีได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้านะ”  พวกเขากำลังเผยแพร่สิ่งใด?  การตัดสินและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา ตลอดจนความไม่พึงพอใจที่พวกเขามีต่อพระองค์  ธรรมชาติของพฤติกรรมนี้เป็นอย่างไร?  เป็นการท้าทายใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดพวกเขาจึงสามารถท้าทายได้มากเพียงนี้?  เพราะทัศนะที่พวกเขามีนั้นไม่ถูกต้อง  พวกเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ข้อพึงประสงค์ของพระองค์สำหรับพวกเขา และแนวทางที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา—พวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา พวกเขาไม่สามารถยอมรับและนบนอบได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถแสวงหาความจริงได้  ท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะการนี้คืออะไร?  การไม่ยอมรับ การตัดสิน การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาท  ทุกคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามย่อมจะแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาตามธรรมชาติ ความแตกต่างอยู่ที่ระดับของการแสดงออกเท่านั้น  แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแต่คนชั่วเท่านั้นที่ประพฤติตนในหนทางนี้  พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?  (ใช่  ทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมประพฤติตนในหนทางนี้)  นั่นถูกต้องแล้ว  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่มุ่งร้ายล้วนแสดงและเผยให้เห็นลักษณะนิสัยเหล่านี้ในระดับที่แตกต่างกัน  คนที่ขยันหมั่นเพียรในการไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าจะก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติเช่นกันเมื่อบางสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับพวกเขา แต่พวกเขาก็สามารถกลับตัวได้โดยการอธิษฐาน การตรวจสอบตนเองเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า และการแสวงหาความจริง  หลังจากที่พวกเขากลับตัวแล้ว ก็จะมีการกลับใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาเลิกเข้าใจพระเจ้าผิดและเกิดการนบนอบขึ้นมาบ้าง  แม้ว่าบางครั้งการนบนอบนี้จะมีความไม่บริสุทธิ์อยู่บ้าง ค่อนข้างจะฝืน หรือต่ำกว่ามาตรฐานอยู่บ้าง ตราบเท่าที่พวกเขาเต็มใจที่จะนบนอบและสามารถนำความจริงแม้เพียงเล็กน้อยไปปฏิบัติได้ พวกเขาจะได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับทุกแง่มุมของความจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป  แต่หากเจ้าไม่มีความปรารถนาที่จะนบนอบแต่ประการใด และถึงขั้นที่ว่าหลังจากตรวจสอบตัวเจ้าเองและตระหนักถึงปัญหานี้แล้ว เจ้าก็ไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริง—นับประสาอะไรกับการยอมรับหนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้า—เช่นนั้นแล้วย่อมจะมีความเดือดร้อน  นี่จะก่อให้เกิดผลที่ตามมาอย่างไร?  เจ้าจะป่าวประกาศคำพร่ำบ่น ตัดสินอย่างบุ่มบ่าม และพูดจาอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจ โดยไร้ซึ่งวี่แววทั้งปวงของหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ในกรณีที่เบากว่า เจ้าจะพร่ำบ่นที่บ้านและทุบจานชามให้แตกเพื่อระบายความโกรธของตน  เจ้าจะห่างเหินจากพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และอธิษฐาน  ในกรณีที่รุนแรงกว่า เจ้าจะเผยแพร่ความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดของตนเมื่อพบปะกับพี่น้องชายหญิง ซึ่งทำให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  เช่นนั้นแล้วหากเจ้ายังคงไม่กลับใจ ก็มีแววว่าเจ้าจะไปยั่วพวกเขาให้โมโห และเจ้าก็จะถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร

เมื่อสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกันเกิดขึ้นกับผู้คน ก็ย่อมมีการสำแดงนานาประการเกิดขึ้นในตัวพวกเขาที่แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างความเป็นมนุษย์ที่ดีกับความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี  ดังนั้นสิ่งใดคือหลักเกณฑ์ที่ใช้วัดความเป็นมนุษย์?  ควรประเมินวัดอย่างไรว่าใครบางคนเป็นบุคคลประเภทใด และพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงหรือไม่  ผู้คนทั้งหลายมีมโนคติอันหลงผิดและความเป็นกบฏในตัวพวกเขา พวกเขาทั้งหมดมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และดังนั้นย่อมจะเผชิญกับห้วงเวลาที่สิ่งที่พระเจ้าทรงขอนั้นไม่ลงรอยกับผลประโยชน์ของพวกเขาเอง และพวกเขาจำต้องเลือก—เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาจะมีประสบการณ์ด้วยบ่อยครั้ง ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้  ทุกคนจะมีห้วงเวลาที่พวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิดและมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือห้วงเวลาที่พวกเขามีคำพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์และไม่ยอมรับ หรือเป็นกบฏต่อพระองค์อีกด้วย—แต่เพราะผู้คนมีท่าทีต่อความจริงที่แตกต่างกัน หนทางที่พวกเขาเข้าหาความจริงจึงแตกต่างกัน  ผู้คนบางคนไม่เคยพูดถึงมโนคติอันหลงผิดของตน แต่ก็แสวงหาความจริงและแก้ไขมโนคติเหล่านั้นด้วยตนเอง  เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดถึงสิ่งเหล่านั้น?  (พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า)  นั่นถูกต้องแล้ว—พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขากลัวว่าการพูดสิ่งเหล่านั้นออกมาจะเกิดผลลบ และพวกเขาจึงพยายามแก้ไขสิ่งนี้อยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น  เมื่อพวกเขาพบพานผู้อื่นที่มีสภาวะคล้ายคลึงกัน พวกเขาก็ใช้ประสบการณ์ของตนเองช่วยเหลือคนเหล่านั้น  นี่คือการเป็นคนใจดี  ผู้คนที่ใจดีย่อมเปี่ยมรักต่อผู้อื่น พวกเขายินดีช่วยผู้อื่นแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนเหล่านั้น  มีหลักธรรมในยามที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาช่วยผู้อื่นแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่คนเหล่านั้น และพวกเขาไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนเหล่านั้น  นี่คือความรัก  ผู้คนเช่นนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และการกระทำของพวกเขาก็มีหลักธรรมและมีปัญญา  เหล่านี้คือหลักเกณฑ์ที่ใช้ประเมินวัดว่าความเป็นมนุษย์ของผู้คนนั้นดีหรือไม่ดี  พวกเขารู้ว่าสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบไม่มีประโยชน์กับผู้ใด และรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นหากพวกเขาพูดถึงสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนและแสวงหาความจริงเพื่อหาวิธีแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาจะมีมโนคติอันหลงผิดประเภทใด พวกเขาก็สามารถเข้าหาและจัดการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยหัวใจที่นบนอบพระเจ้า แล้วจากนั้นก็สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และความสามารถในการนบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในหนทางนี้พวกเขาย่อมจะมีมโนคติอันหลงผิดน้อยลงเรื่อยๆ  แต่บางคนกลับไม่มีสำนึก  เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด พวกเขากลับชอบสามัคคีธรรมถึงมโนคติเหล่านั้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด  แต่นี่ไม่ได้แก้ปัญหา และทำให้ผู้อื่นมีมโนคติอันหลงผิด—และการนี้ย่อมทำร้ายพวกเขามิใช่หรือ?  ผู้คนบางคนไม่บอกพี่น้องชายหญิงเวลาที่ตนเองมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาเกรงกลัวว่าคนอื่นจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด แล้วนำเรื่องนี้มาใช้ต่อต้านตน—แต่ที่บ้าน พวกเขากลับพูดโดยปราศจากความกังวล พวกเขาพูดทุกสิ่งตามที่ต้องการ ปฏิบัติต่อผู้ไม่มีความเชื่อในครอบครัวของตนดุจพี่น้องชายหญิงที่คริสตจักร  พวกเขาไม่ใช้ความคิดเลยว่าการทำเช่นนั้นจะมีผลสืบเนื่องอย่างไร  นี่คือการปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางญาติพี่น้องของพวกเขาอาจมีผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและผู้ที่ไม่เชื่อ หรือผู้ที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาย่อมเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ในหมู่สมาชิกครอบครัว ส่งผลให้คนเหล่านี้ถูกลากลงไปพร้อมกับพวกเขาจนหมด และเริ่มมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดคือโรคติดต่อร้ายแรงในตัวเอง และทันทีที่สิ่งเหล่านี้แพร่กระจาย ผู้คนที่มองไม่ออกว่าสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วคืออะไรก็อาจมีอันตรายได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่เลอะเลือนย่อมหมิ่นเหม่ที่จะยิ่งเลอะเลือนมากขึ้นไปอีกหลังจากที่ได้ฟังสิ่งเหล่านี้  มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริงและสามารถระบุชี้สิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้นที่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เป็นผลร้ายเหล่านี้ได้—นั่นคือ สิ่งที่เป็นมโนคติอันหลงผิด ความเป็นลบ และความเข้าใจผิด—และได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า  ผู้คนส่วนใหญ่ไร้ซึ่งวุฒิภาวะเช่นนี้  บางคนสำนึกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ผิด—ซึ่งก็น่าประทับใจมากแล้ว—แต่พวกเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไร  เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้ที่เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความเป็นลบบ่อยครั้ง ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะถูกสิ่งที่เป็นผลร้ายเหล่านี้รบกวน และกลับกลายเป็นอ่อนแอและเป็นลบ  นี่ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน  สิ่งที่เป็นผลร้ายและเป็นลบเหล่านี้มีพลังอำนาจอันมหาศาลที่จะทำร้ายและชักพาผู้เชื่อใหม่ให้หลงผิด  ส่วนผู้ที่มีรากฐานแล้ว สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบน้อยนิด ในเวลาไม่นานเมื่อผู้คนกลุ่มนี้เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะกลับตัว  แต่เมื่อผู้เชื่อใหม่ที่ขาดรากฐานได้ฟังสิ่งที่เป็นผลร้ายเหล่านี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นลบและอ่อนแอได้ง่าย ผู้ที่ไม่รักความจริงจะถึงกับล่าถอยและเลิกเชื่อในพระเจ้าได้ คนชั่วเหล่านั้นอาจถึงขั้นเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด และรบกวนงานของคริสตจักร  พวกที่เผยแพร่ความเป็นลบและมโนคติอันหลงผิดโดยปราศจากความรู้สึกผิดคือผู้คนประเภทใด?  พวกเขาล้วนเป็นคนชั่ว พวกเขาทั้งหมดคือปีศาจ และพวกเขาทุกคนจะถูกเผยให้เห็นและกำจัดออกไป  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เผยแพร่สิ่งเหล่านี้ให้คนแปลกหน้ารู้หรอก ฉันแค่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่บ้าน”  ไม่ว่าเจ้าจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้นอกบ้านหรือในบ้าน ธรรมชาติของเรื่องนี้ก็เหมือนกันทั้งหมด  การที่เจ้าสามารถพูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่บ้านได้นั้นหมายความว่าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและการเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  การสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ ได้นั้นเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ามิได้แสวงหาหรือรักความจริง  เจ้าไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อช่วยตัวเจ้าในการขจัดมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ และเจ้าก็ไม่ได้วางแผนที่จะละทิ้งมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะพูดกับใครก็ตาม ธรรมชาติของคำกล่าวของเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิม  และมีบางคนที่เผยแผ่มโนคติอันหลงผิดของตนในทุกที่ที่พวกเขาไป และกับใครก็ตามที่พวกเขาพบเจอ  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าใครบางคนถูกส่งตัวกลับบ้านเพราะพวกเขาทำให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนขณะที่ทำหน้าที่ของตน  เมื่อถูกถามว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงถูกส่งตัวกลับบ้าน พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันก็แค่เป็นคนตรงไปตรงมาตามธรรมชาติเท่านั้น ฉันพูดสิ่งที่อยู่ในจิตใจของฉัน  ฉันพลาดพลั้งและพูดถึงสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างที่ฉันเคยทำ เมื่อเหล่าผู้นำและคนทำงานได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ระบุว่าฉันเป็นคนชั่วและส่งตัวฉันกลับบ้าน  พวกคุณทุกคนควรเรียนรู้จากประสบการณ์ของฉัน พวกคุณไม่สามารถพูดจาอย่างไม่ระวังในพระนิเวศของพระเจ้าได้  พระเจ้าตรัสบอกให้ซื่อสัตย์ แต่พวกคุณต้องคำนึงถึงผู้ฟังของพวกคุณ  การซื่อสัตย์กับครอบครัวของพวกคุณนั้นไม่เป็นไร แต่จงลองซื่อสัตย์กับคนภายนอกดูเถิด แล้วพวกคุณจะต้องทนทุกข์กับการสูญเสีย  ฉันก็เพิ่งทนทุกข์กับการสูญเสียเพราะการนี้มิใช่หรือ?  จงนำเรื่องนี้ไปเป็นบทเรียน”  หลังจากได้ยินเรื่องนี้ บางคนจะครุ่นคิดว่า “เรื่องประเภทนี้เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?  ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าหากพวกเราทุกคนระวังคำพูดของพวกเราตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนที่เลอะเลือนมิใช่หรือ?  พระเจ้าตรัสไว้มากมายเหลือเกิน แต่หลังจากได้ฟังมาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษ พวกเขากลับไม่สามารถจำได้สักประโยคเดียว—แต่เมื่อคนชั่วคนหนึ่งกล่าวสิ่งหนึ่ง และพวกเขากลับจำสิ่งนั้นได้แม่นยำ โดยปลูกฝังสิ่งนั้นไว้ในหัวใจของพวกเขา และหลังจากนั้นก็ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตน  พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดและได้รับน้ำพิษ  เพราะเหตุใดพวกเขาจึงรับน้ำพิษมาได้?  ในแง่หนึ่ง ขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่ และพวกเขาก็สับสนเกินไป ไม่สามารถแยกแยะคำพูดและพฤติกรรมของคนอื่นได้ และไร้ซึ่งจุดยืนของตนเอง  พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถค้ำจุนความจริงได้  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าและไม่เข้าใจหนทางที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยพื้นฐาน  เพราะเหตุผลทั้งปวงนี้ พวกเขาจึงถูกผู้อื่นชักพาให้หลงผิดได้  แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน และสามารถโอบรับคำพูดของมารได้  ในยามที่เผยแผ่มโนคติอันหลงผิด มารมีเจตนารมณ์และเป้าหมายเช่นไร?  พวกเขาต้องการให้ทุกคนเห็นอกเห็นใจพวกเขา  พวกเขาจะชื่นชมยินดีมากหากทุกคนพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่เป็นใครบางคนที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการรบกวนมิใช่หรือ?  พวกเขากำลังก่อกวนให้เกิดเรื่องเดือดร้อนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ามิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนี้ควรถูกจัดการอย่างไร?  จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ด้วยหรือ?  จงชำระพวกเขาออกไปจากคริสตจักรทันที จงอย่าปล่อยให้พวกเขาอยู่ต่อแม้เพียงอีกวันเดียว  คนชั่วอย่างพวกเขาที่ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าจะนำมาซึ่งหายนะเท่านั้น พวกเขาเป็นความวิบัติที่ซ่อนเร้น เป็นระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง  แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการชำระพวกเขาออกไป  จงปล่อยให้พวกเขาเชื่ออย่างที่พวกเขาต้องการจะเชื่อข้างนอกคริสตจักร—นั่นไม่มีความเกี่ยวข้องประการใดกับพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้คือคนที่ร้ายกาจที่สุดและไม่มีทางไถ่บาปได้  จงบอกเราเถิดว่า ในพระนิเวศของพระเจ้ามีใครบ้างที่ถูกส่งตัวออกไปเพราะการพลั้งปากพูดชั่ววูบ?  มีใครบ้างที่ถูกเอาตัวออกไปเพราะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และระลึกรู้ตนเองอย่างเปิดเผย?  พระนิเวศของพระเจ้าทำงานชำระคริสตจักรอยู่เสมอ และผู้ที่ถูกชำระออกไปนั้นเป็นใคร?  คนเหล่านั้นทุกคนคือคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ และผู้ไม่เชื่อ ซึ่งไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีอย่างต่อเนื่อง และแม้กระทั่งทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวนด้วย  ไม่เคยมีแม้เพียงสักคนเดียวที่ถูกกำจัดไปเพราะการกระทำผิดชั่วครั้งชั่วคราวหรือการเผยความเสื่อมทรามออกมาชั่วครั้งชั่วคราว นับประสาอะไรกับการไม่เคยมีใครถูกชำระออกไปเพราะการปฏิบัติความจริงเพื่อจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่คือข้อเท็จจริงที่ยอมรับกัน  บางคนกล่าวว่า “คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นคนส่วนน้อยในคริสตจักร  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นคนส่วนใหญ่ หากคนส่วนใหญ่ถูกเอาตัวออกไป ใครจะออกแรงทำงาน?  หากคนส่วนใหญ่ถูกเอาตัวออกไป จะมีกี่คนที่ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอด?”  นี่ไม่ใช่หนทางของการคิดที่ถูกต้อง  ดังคำที่กล่าวไว้นานมาแล้วว่า “ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว”  นี่เป็นเพราะมวลมนุษย์มีความเสื่อมทรามอันล้ำลึกมาก ผู้คนที่รักความจริงจึงมีน้อยเหลือเกิน  พระเจ้ามิได้ทรงต้องการผู้คนจำนวนมาก แต่ทรงต้องการผู้คนที่เป็นเลิศ  ผู้ที่ยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าคือคนที่สามารถฟังและนบนอบได้ สามารถพิทักษ์งานในพระนิเวศของพระเจ้าได้ ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นคือผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงได้  บางคนมีขีดความสามารถที่ย่ำแย่และอาจไม่เข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็สามารถฟัง นบนอบ และงดเว้นจากการกระทำผิดได้ ดังนั้นผู้คนเช่นนี้จึงอาจถูกสงวนไว้เพื่อออกแรงทำงาน  ผู้ที่สามารถอยู่ต่อท่ามกลางเหล่าคนที่ออกแรงทำงานได้ล้วนแต่เป็นคนที่จงรักภักดี  ไม่ว่าพวกเขาจะออกแรงทำงานหนักเพียงใด พวกเขาก็ไม่พร่ำบ่น พวกเขาเป็นคนที่ฟังและนบนอบ  ผู้ที่ไม่ฟังหรือนบนอบ หากพวกเขายังคงอยู่ ก็มีแต่จะก่อให้เกิดการรบกวนมิใช่หรือ?  ต่อให้พวกเขาออกแรงทำงานนิดหน่อย พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลอยู่เสมอ ในห้วงเวลาที่ไม่มีใครเฝ้าดูพวกเขา พวกเขาสามารถกระทำสิ่งที่ผิดและสร้างปัญหาได้  การออกแรงทำงานของผู้คนเช่นนี้ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี  คนออกแรงทำงานเช่นนี้ต้องถูกเอาตัวออกไป มิฉะนั้นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะถูกรบกวน ชีวิตคริสตจักรก็เช่นกัน  หากคนชั่วไม่ถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะเผชิญกับอันตรายและถูกทำลายอย่างแท้จริง  ดังนั้น หนทางเดียวที่จะรับประกันว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถมีประสบการณ์กับชีวิตคริสตจักรได้โดยไม่ถูกรบกวนก็คือการเอาคนชั่วออกไป นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าและได้รับความรอด  การเอาคนชั่วออกไปนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์

มีคนประเภทหนึ่งที่เปี่ยมรักและอดทนกับทุกคน และเต็มใจที่จะช่วยเหลือใครก็ได้  สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่สนใจก็คือความจริง  พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอและไม่อาจปรองดองกับพระองค์ได้  พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระเจ้า  นี่คือคนประเภทใด?  พวกเขาคือพวกผู้ไม่เชื่อและหมู่มาร  หมู่มารคือผู้ที่รังเกียจและเกลียดชังความจริงมากที่สุด  ตราบเท่าที่มีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริง หรือสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือทรงร้องขอ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับสิ่งนั้น แต่พวกเขายังสงสัยสิ่งนั้น พวกเขารู้สึกคัดค้านสิ่งนั้น และพวกเขาก็เผยแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนเกี่ยวกับสิ่งนั้นด้วย  พวกเขายังทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นภัยต่องานของคริสตจักร โดยถึงกับตะโกนต่อต้านพระเจ้าในที่สาธารณะเมื่อผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขาได้รับผลกระทบ  ผู้คนเช่นนี้เป็นมาร พวกเขาเป็นคนที่เกลียดชังความจริงและพระเจ้า  ภายในธรรมชาติของแต่ละบุคคลนั้นมีอุปนิสัยซึ่งเกลียดชังความจริง ดังนั้น ทุกคนจึงมีแก่นแท้ที่เกลียดชังพระเจ้า  ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือระดับของความชิงชังนี้ ว่าเป็นระดับที่เบาหรือรุนแรง  บางคนสามารถทำความชั่วได้เพื่อต่อต้านพระเจ้า ในขณะที่คนอื่นเพียงแค่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรืออารมณ์ที่เป็นลบ  แล้วเพราะเหตุใดบางคนจึงสามารถเกลียดชังพระเจ้าได้?  พวกเขาเล่นบทบาทใด?  พวกเขาสามารถเกลียดชังพระเจ้าได้เพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่เกลียดชังความจริง  การมีอุปนิสัยเช่นนี้หมายความว่าพวกเขาเป็นมารและศัตรูของพระเจ้า  มารเป็นอย่างไร?  หมู่มารคือคนทุกคนที่เกลียดชังความจริงและพระเจ้า  หมู่มารสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ขณะที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ผู้คนมากมายจะลุกขึ้นและต่อต้านพระองค์และรบกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้คือหมู่มาร  พวกเขาอาจถูกเรียกว่าเหล่าปีศาจที่มีชีวิตได้เช่นกัน  ในคริสตจักรทุกแห่ง ใครก็ตามที่รบกวนงานของคริสตจักรย่อมเป็นมารและปีศาจที่มีชีวิต  และใครก็ตามที่กดขี่คริสตจักรและไม่ยอมรับความจริงในระดับใดก็ตามย่อมเป็นปีศาจที่มีชีวิต  ดังนั้น หากพวกเจ้าระบุชี้ได้อย่างถูกต้องว่าคนไหนคือปีศาจที่มีชีวิต เจ้าต้องกระทำการอย่างรวดเร็วเพื่อเอาตัวพวกเขาออกไป  หากมีบางคนซึ่งตามปกติมีพฤติกรรมที่ดีมาก แต่ในบางโอกาสสภาวะของพวกเขากลับไม่ดี หรือมีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและพวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาก็ทำบางสิ่งซึ่งก่อให้เกิดการขัดขวางและการรบกวนแต่นี่ไม่ใช่นิสัยของพวกเขา และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่คนประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถอยู่ต่อได้  ความเป็นมนุษย์ของบางคนไม่ได้ดีมากนัก หากใครบางคนล่วงเกินพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่มีวันปล่อยมือจากเรื่องนั้น  พวกเขาจะโต้เถียงกับบุคคลนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีการแสดงความกรุณาในยามที่พวกเขารู้สึกมีเหตุมีผล  ทว่าผู้คนเหล่านี้มีคุณงามความดีอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือพวกเขาเต็มใจที่จะออกแรงทำงานและสู้ทนความยากลำบาก  ผู้คนเช่นนี้สามารถอยู่ต่อในเวลานี้  หากผู้คนเหล่านี้ทำความชั่วและรบกวนงานของคริสตจักรอยู่เนืองนิจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมเป็นพวกของมารและซาตาน และพวกเขาย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  นั่นเป็นเรื่องที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์  ผู้คนประเภทนี้ต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร พวกเขาไม่อาจได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้อย่างแน่นอน  เหตุใดพวกเขาจึงต้องถูกเอาตัวออกไป?  พวกเขาถูกเอาตัวออกไปบนพื้นฐานใด?  บางคนถูกเอาตัวออกไปเพื่อให้โอกาสพวกเขาในการกลับใจ เพื่อสอนบทเรียนให้แก่พวกเขา คนอื่นถูกเอาตัวออกไปเพราะว่าธรรมชาติของพวกเขาถูกมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้นเจ้าจะเห็นว่า ผู้คนช่างแตกต่างจากอีกคนหนึ่ง  บางคนซึ่งถูกเอาตัวออกไป แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดลบอันสุดโต่งและหัวใจที่มืดมน ก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน และยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป—พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกับผู้คนที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเลยหลังจากถูกเอาตัวออกไป และเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินก็ไม่เหมือนกัน  คนที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปหลังจากถูกเอาตัวออกไปนั้นมีสภาวะภายในเป็นอย่างไร?  พวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งใด?  นี่ย่อมแตกต่างจากคนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากพวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะเรื่องนี้ได้ นั่นหมายความว่าขีดความสามารถของพวกเจ้าย่ำแย่ พวกเจ้าไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และพวกเจ้าไม่สามารถทำงานของคริสตจักรได้  หากเจ้าสามารถเห็นความแตกต่างได้ เจ้าย่อมจะปฏิบัติต่อพวกเขาแตกต่างกันไป  ความแตกต่างระหว่างผู้คนสองประเภทนี้อยู่ที่ใด?  เส้นทางที่พวกเขาเดินแตกต่างกันอย่างไร?  ท่าทีที่พวกเขามีต่อการปฏิบัติหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  (บางคนสามารถปฏิบัติหน้าที่บางอย่างของตนต่อไปได้หลังจากถูกเอาตัวออกไป ซึ่งเป็นการระบุชี้ว่าพวกเขายังคงมีมโนธรรมอยู่บ้าง  บางทีพวกเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าตนไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาก็คิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า  ฉันมั่นใจว่าพระเจ้าองค์นี้คือพระผู้สร้าง  แม้ว่าคริสตจักรจะเอาตัวฉันออกไปแล้ว ฉันยังคงต้องเชื่อในพระเจ้า  ฉันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และฉันยอมรับพระผู้สร้างของฉัน”  พวกเขายังคงมีเศษเสี้ยวนี้ของมโนธรรมที่ทำงานอยู่ภายในตัวพวกเขา  หากพวกเขาถึงกับไม่ทำหน้าที่ของตนหลังจากถูกเอาตัวออกไป และถึงกับไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาก็แสดงตนเองว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ)  ใครอยากพูดเป็นคนต่อไป?  (บางทีบางคนก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปหลังจากถูกเอาตัวออกไปเพราะในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาตระหนักแล้วว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้าสำหรับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเมื่อก่อน และปรารถนาจะชดใช้  แต่หากใครบางคนเลิกทำหน้าที่ของตนหลังจากถูกเอาตัวออกไป นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตนเพื่อตอบสนองพระเจ้า แต่กำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าด้วยความหวังว่าจะได้รับพร  และหลังจากพิจารณาว่าพวกเขาจะไม่ได้รับพรใดๆ พวกเขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงเลิกออกแรงทำงาน)  ระหว่างคนสองประเภทนี้ คนประเภทไหนมีมโนธรรมอยู่บ้าง?  (คนที่ยังคงทำหน้าที่ของตนหลังจากถูกเอาตัวออกไปแล้ว)  คนประเภทที่ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปนั้นยังคงมีมโนธรรมและบรรทัดฐานสำหรับการเป็นคนอยู่บ้าง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรและพระเจ้าจะทรงต้องการพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า  พวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงต้องทำหน้าที่ของตน  เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีมโนธรรมและบรรทัดฐานสำหรับการเป็นคน  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถยอมรับได้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ความเชื่อในหัวใจของพวกเขานี่เองที่ทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  โดยแท้จริงแล้วคนประเภทนี้มีความเชื่ออยู่บ้าง และอาจจะสามารถกลับใจได้  ส่วนคนที่เลิกปฏิบัติหน้าที่ของตนหลังจากถูกเอาตัวออกไปนั้น สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่ก็คือ “หากพระเจ้าไม่ทรงต้องการฉัน ฉันก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  ถึงอย่างไรการเชื่อของฉันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”  พวกเขาเลิกเชื่อและปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า และถึงกับละทิ้งบรรทัดฐานสำหรับการเป็นคนของตน โดยปฏิเสธทุกสิ่งที่พวกเขาเคยทำเมื่อก่อน  ผู้คนเช่นนี้ขาดพร่องมโนธรรมและสำนึก และนั่นคือจุดที่แตกต่างกันระหว่างคนสองประเภทนี้  จงบอกเราเถิดว่า พระเจ้าทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่?  พระองค์ทรงรู้เรื่องทั้งปวงดีเกินไป  พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวล พระองค์ทรงสามารถพินิจพิเคราะห์สรรพสิ่งทั้งมวลและทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล  บรรดาผู้ไม่เชื่อที่ขาดพร่องมโนธรรมนั้นคิดว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ทำไมฉันไม่เคยเห็นพระองค์?  แล้วใครจะสนใจถ้าคริสตจักรเอาตัวฉันออกไป?  ฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ตามที่ฉันไปได้เหมือนกันทั้งนั้น  ท่านคิดว่าฉันไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เพียงเพราะฉันละทิ้งท่านอย่างนั้นหรือ?  การที่ฉันไม่ปฏิบัติหน้าที่ทำให้ฉันมีอิสระมากขึ้นด้วยซ้ำไป!”  นี่คือท่าทีของพวกเขา ซึ่งเผยให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ และเป็นการพิสูจน์ว่าการเอาพวกเขาออกไปเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  ผู้ไม่เชื่อเช่นนี้ควรถูกเอาตัวออกไป—การกำจัดนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพวกเขา  ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าจะมีปฏิกิริยาที่ต่างกันไปหากพวกเขาถูกเอาตัวออกไป  ตัวอย่างเช่น หลังจากถูกเอาตัวออกไป บางคนอาจจะกล่าวว่า “ฉันไม่อาจใช้ชีวิตได้โดยไม่ทำหน้าที่ของฉัน  ฉันไม่อาจใช้ชีวิตได้โดยไม่เชื่อในพระเจ้า  ฉันไม่อาจดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีพระเจ้า  ไม่ว่าฉันจะไปที่ใด ฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป  ไม่ใช่การเชื่อสุ่มสี่สุ่มห้าหรือความเขลาที่นำพาพวกเขามาสู่ทางเลือกนี้ แต่เป็นเพราะพวกเขาถูกความคิดเหล่านี้ควบคุมจนพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเช่นนี้ได้  พวกเขามีเรื่องคับข้องใจและมโนคติอันหลงผิดเช่นกัน และมีคำพร่ำบ่นอยู่บ้าง แต่เหตุใดพวกเขาจึงยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้?  เพราะยังคงมีมโนธรรมบางอย่างทำงานอยู่ภายในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  คนที่ไร้ซึ่งการทำงานของมโนธรรมย่อมสามารถงดเว้นจากการทำหน้าที่ของตนและการเชื่อในพระเจ้าได้  นี่คือความแตกต่าง  ผู้คนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน มีความแตกต่างอยู่ท่ามกลางทุกคน  ในช่วงเวลาสำคัญ การที่ใครบางคนมีมโนธรรมและสำนึกหรือไม่นั้นย่อมสามารถกำหนดและส่งผลต่อสิ่งทั้งหลายได้มากมายยิ่งนัก

เมื่อครู่นี้เราได้สามัคคีธรรมเรื่องของเจตนาในสภาวะของคนเรา  ต่อไปเราจะสามัคคีธรรมเรื่องของจุดยืนและท่าที  ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของคำศัพท์หรือแง่มุมของความจริง ก็มีรายละเอียดมากมายที่เกี่ยวข้องตรงนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายเท่ากับถ้อยคำหรือประโยคระดับผิวเผินที่กล่าวกันออกมา  หากเจ้าจำกัดความเข้าใจของตนไว้ที่ถ้อยคำ มโนทัศน์ หรือความหมายตามตัวอักษรของบางประโยค นั่นก็จะเป็นเพียงคำสอนประเภทหนึ่งเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารวบรวมและเปรียบเทียบวลีหรือประโยคตามตัวอักษรเหล่านี้กับสภาวะตามความเป็นจริงและแนวคิด ทัศนะ หรือวิธีการที่ผู้คนเผยให้เห็นในชีวิตจริงของพวกเขา เจ้าย่อมจะสามารถค้นพบปัญหาของตนเองได้มากมาย  ปัญหาบางอย่างขัดแย้งกับความจริง  ส่วนปัญหาอื่นๆ ดูเหมือนจะตรงกับคำสอน ดูเหมือนจะสอดรับกับข้อบังคับและแนวคิดและวิธีการของมนุษย์ แต่ตามความเป็นจริงแล้วปัญหาเหล่านี้ไม่สอดรับกับความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น ทัศนะและจุดยืนบางประการที่ผู้คนมีนั้นสอดรับกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่สอดรับกับหลักธรรมความจริง  หากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับการประเมินวัดและแยกแยะตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านั้นย่อมจะผ่านมาตรฐานการยอมรับท่ามกลางผู้คนได้  แต่เมื่อตรวจสอบกับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ความคิดและทัศนะของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อน สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นลบ  พวกเจ้าได้ค้นพบปัญหาอื่นใดอีกบ้าง?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังคิดถึงแนวคิดและทัศนะจากวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่าง “การกตัญญูต่อบิดามารดาของคนเรา” และ “การเป็นภรรยาที่ดีและมารดาที่เปี่ยมรัก” ซึ่งผู้คนมองว่าเป็นการปฏิบัติตนที่ถูกต้องและถูกควร แต่จากมุมมองของความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่สอดรับกับความจริง)  แนวคิดและทัศนะเหล่านี้ไม่สอดรับกับความจริง  นี่หมายความว่าสิ่งเหล่านี้ขัดต่อความพึงปรารถนาของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น บางคนสามารถแสดงออกถึงการอุทิศตนด้วยความกตัญญูให้แก่บิดามารดาของพวกเขาหรือการเป็นภรรยาที่ดีและมารดาที่เปี่ยมรัก—ในแง่ของพฤติกรรมและการปฏิบัติของพวกเขา ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดตรงนี้ แต่พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  เพียงแค่การแสดงพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้ออกมาภายนอกนั้นไม่ได้เป็นปัญหา แต่ในแง่ของการประเมินแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ในหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้านั้น พวกเขามีการนบนอบบ้างหรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  หากมีปัญหากับทั้งสองแง่มุมเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่?  พวกเขาจะไม่บรรลุอย่างแน่นอน  ดังนั้น แม้ว่าพฤติกรรมสองอย่างนี้จะดูเหมือนเป็นคุณงามความดี พฤติกรรมเหล่านี้ก็ไม่สามารถแสดงถึงแก่นแท้ของบุคคลหนึ่งได้  ไม่ว่าจากภายนอกนั้นใครบางคนจะกตัญญูหรือเป็นภรรยาที่ดีและมารดาที่เปี่ยมรักมากเพียงใดก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้ที่นบนอบพระเจ้า นับประสาอะไรกับการหมายความว่าพวกเขาเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน  ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างคุณงามความดีสองประการนี้ของพวกเขาและความจริง  ดังนั้น ใครบางคนที่มีคุณงามความดีสองประการนี้จึงไม่ใช่บุคคลที่พระเจ้าทรงให้ความเห็นชอบอย่างแน่นอน และพวกเขาก็อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของคนที่ชอบธรรม  หัวใจของมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยปรัชญาของซาตาน  พวกเขาล้วนชอบที่จะได้รับการสรรเสริญและความเห็นชอบจากผู้อื่น  พวกเขาล้วนชอบที่จะรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลเพื่อคุ้มครองตนเอง  พวกเขาล้วนชอบที่จะโดดเด่นและโอ้อวดเพื่อให้ผู้อื่นเคารพนับถือตน  การใช้ชีวิตบนพื้นฐานของปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านี้ล้วนเริ่มจากจุดเริ่มต้นจุดใดจุดหนึ่ง  จุดเริ่มต้นนี้มุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายใด?  (เพื่อให้ผู้คนสรรเสริญพวกเขาในฐานะบุคคลที่ดีและบอกว่าพวกเขานั้นเปี่ยมรักและคำนึงถึงผู้อื่น เพื่อที่ผู้คนจะได้เกื้อหนุนและให้ความเห็นชอบแก่พวกเขา)  โดยการใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน ผู้คนย่อมเก็บงำมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันประเภทหนึ่งไว้ นั่นก็คือ “คนดีย่อมได้รับบำเหน็จ” และ “คนดีมีชีวิตที่เปี่ยมสันติสุข”  ทว่าไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า “คนดีย่อมได้รับบำเหน็จ” และ “คนดีมีชีวิตที่เปี่ยมสันติสุข” นั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่  ในทางตรงกันข้าม การมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าผู้คนที่ดีมักจะมีอายุไม่ยืนยาว ในขณะที่ผู้คนที่ไม่ดีมีอายุยืนยาว ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้จริงๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของสถานการณ์นี้  แต่มีกฎเกณฑ์อยู่ข้อหนึ่งที่ผู้คนยอมรับกันทั่วไปซึ่งยังคงใช้กันมาอย่างต่อเนื่องคือ “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว”  พระเจ้าทรงตอบแทนแต่ละบุคคลบนพื้นฐานของความประพฤติของพวกเขาเอง  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ก็มีคนไม่มากนักที่ตระหนักรู้เรื่องนี้  ดังนั้น ผู้คนจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายหรือไม่เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ง่าย?  (ปรัชญาเหล่านี้ได้กลายเป็นกฎแห่งการเอาชีวิตรอดของพวกเขา  เมื่อไม่มีการแสวงหาความจริงและไม่สามารถแยกแยะมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้ จึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง)  นั่นไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายมากนัก  ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีเจตนาและการกระทำเหล่านี้ หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นก็ไม่ถูกต้อง  สำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ การไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นเป็นเรื่องปกติเพราะพวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาและกฎเยี่ยงซาตานโดยสมบูรณ์  พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าและไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ผิด  ตอนนี้ พวกเจ้าล้วนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานทีเดียวและได้ฟังการเทศนามามากมายเหลือเกิน ในส่วนลึกลงไปนั้น พวกเจ้าควรมีการประเมินสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ถูกหรือผิด?  เจ้าควรจะสามารถระลึกรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ผิด ท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านี้ควรเป็นการต่อต้าน มิใช่การยอมรับ  แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งที่รู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งเหล่านี้ผิด?  ปัญหาอยู่ตรงที่ใด?  (พวกเราเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเกินไป และไม่เต็มใจที่จะขบถต่อเนื้อหนัง  เมื่อเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่าง พวกเราก็ไม่คิดถึงการทำให้พระเจ้าพอพระทัยและคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าน้อยไป กลับคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น  พวกเราไม่สามารถขัดขืนเจตนาภายในของตน)  การไม่เต็มใจที่จะขบถต่อเนื้อหนัง—นี่คือแง่มุมหนึ่ง  เมื่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่สำคัญ เจ้าจะรู้สึกทุกข์ระทมและปวดร้าว และไม่อาจปล่อยมือได้  ดังนั้น ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้าในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่สำคัญ พวกเจ้าเคยตรวจสอบปรัชญาและกฎเยี่ยงซาตานเหล่านี้บ้างหรือยัง?  พวกเจ้าได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง?  พวกเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือยัง?  (ข้าพระองค์ตรวจสอบบางสิ่ง และสิ่งที่ข้าพระองค์ตระหนักรู้ ข้าพระองค์ก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง  แต่บ่อยครั้ง ข้าพระองค์ก็ไม่ได้ถือว่าเรื่องนี้ร้ายแรงและไม่ตรวจสอบเรื่องนี้)  ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่เรื่องง่าย  ทุกกิริยาท่าทาง ทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า แม้กระทั่งการชำเลืองมองของเจ้าล้วนเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ทั้งหมดนั้นถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หากเจ้ายังคงไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นเหล่านี้ การได้รับความรอดก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก  หากเจ้าคิดว่าการขบถต่อเนื้อหนังต้องอาศัยการทุ่มเทพยายามและพลังงานมหาศาล ราวกับว่าเจ้าต้องแยกบุคลิกของตนออกเป็นสองส่วน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีเรื่องเดือดร้อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่ใช่เรื่องง่าย  หากเจ้าสามารถตรวจสอบตนเองและแสวงหาความจริงได้—โดยเริ่มต้นจากชีวิตประจำวัน จากทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—และหากเจ้าสามารถขบถต่อเนื้อหนังของตนเองได้ เจ้าย่อมจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้าง  ตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนพบว่าการปล่อยมือจากปรัชญาและกฎของซาตานเหล่านี้เป็นเรื่องยาก เช่นนั้นแล้ว ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เคยมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในทัศนะหรือพฤติกรรมและการกระทำเหล่านี้ที่ไม่ตรงกับความจริงบ้างหรือไม่?  (บางครั้งเมื่อข้าพระองค์พูดหรือกระทำ ข้าพระองค์ระลึกรู้ว่าข้าพระองค์มีเจตนาที่ไม่ถูกต้องและต้องการที่จะแก้ไขเจตนาเหล่านั้น  หลังจากได้อธิษฐาน ข้าพระองค์ก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสามารถนำเจตนารมณ์เหล่านั้นไปปฏิบัติได้ แต่หลังจากทำเช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์ก็ค้นพบว่าตามความเป็นจริงแล้วเจตนาเบื้องหลังการกระทำของข้าพระองค์ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีเพียงแบบแผนภายนอกของข้าพระองค์เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป  ตัวอย่างเช่น หากข้าพระองค์พูดโกหกเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของข้าพระองค์เอง หลังจากตระหนักรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าพระองค์ก็จะขบถต่อเนื้อหนังทันทีและเปิดเผยและตีแผ่ตนเองต่อผู้อื่น โดยกล่าวว่า “ตอนที่พูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เจตนาของฉันไม่ถูกต้อง  ฉันหลอกลวง”  แต่ครั้งต่อไปที่ข้าพระองค์เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกัน เจตนานั้นจะยังคงพยายามควบคุมข้าพระองค์และข้าพระองค์ก็จะต้องการคุ้มครองผลประโยชน์ของข้าพระองค์เองและพูดโกหก  เจตนานั้นดูเหมือนจะหยั่งรากลึกมาก และผุดออกมาในหัวใจของข้าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)  แล้วเจตนาที่จะตอบสนองผลประโยชน์ของตัวเจ้าเองนี้มาจากที่ใด?  เจตนานี้เป็นผลผลิตของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เจตนาที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนานัปการล้วนมีธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็มีธรรมชาติที่เลวร้าย บ้างก็ชั่วช้า บ้างก็ไร้เหตุผล บ้างก็น่าเย้ยหยัน และบ้างก็ดื้อแพ่ง  แต่ละเจตนาต่างมีธรรมชาติของตัวเอง  ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นเรื่องปกติอย่างมากที่เจตนาเดียวกันจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพราะว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้ามิได้เปลี่ยนแปลงไป  หากอุปนิสัยประการหนึ่งนี้สามารถก่อให้เกิดเจตนาที่แตกต่างกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน นั่นย่อมจะทำให้ผู้คนเดือดร้อนมากมายนักและทำให้จิตใจของพวกเขาเกิดความสับสนวุ่นวาย!  แม้กระทั่งเจตนาเพียงประเภทเดียวก็อาจแก้ไขได้ยาก ต้องอาศัยระยะเวลาอันยาวนานในการเปลี่ยนแปลง หากอุปนิสัยหนึ่งทำให้เกิดเจตนาหลายประเภท เช่นนั้นแล้วการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะยิ่งยากขึ้นอีก  เจ้าจำเป็นต้องพยายามแก้ไขเจตนาประเภทเดียวอย่างต่อเนื่อง โดยรับมือและแก้ไขเจตนานั้นในสถานการณ์และสภาพการณ์ที่แตกต่างกัน และท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่แตกต่างกัน  นี่คือการต่อสู้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในแง่มุมหนึ่ง  บางคนเกิดความวิตกกังวลและถึงกับสรุปว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลังจากพ่ายแพ้ในการต่อสู้สองสามครั้ง  การมีความวิตกกังวลนั้นไม่มีประโยชน์อะไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที  เจ้าอาจจะคิดว่าการขบถต่อเนื้อหนังสักหนึ่งหรือสองครั้งควรจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ต่อมาเจ้าก็พบว่าเจ้ายังคงเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่เสมอ และเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด  เรื่องนี้บ่งชี้ว่าเจ้าขาดพร่องความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย  หากเจ้าเข้าใจความจริงในระดับที่ตื้นเกินไป นั่นย่อมจะไม่เพียงพอ  เมื่อเจ้าตระหนักรู้แก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถขัดขืนอุปนิสัยนั้นได้โดยสมบูรณ์  การปฏิบัติในหนทางที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ แม้ว่าเจ้าจะยังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  อย่างน้อยที่สุดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็เผยตัวออกมาน้อยลง และเจ้าก็มีเจตนาและสิ่งเจือปนน้อยลงมาก  เดี๋ยวนี้เจ้าไม่พูดจาด้วยความหน้าซื่อใจคดและความไม่ซื่อสัตย์มากเท่าเดิม แต่เจ้ากลับพูดจากหัวใจของตนและพูดความจริงบ่อยๆ  นี่บ่งชี้ว่าเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว  แต่เจ้าอาจคิดว่า “มีเพียงการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติและแบบแผนของฉันเท่านั้น  เจตนาของฉันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแท้จริงแล้วฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยมิใช่หรือ?  นี่หมายความว่าฉันอยู่เหลือวิสัยที่จะได้รับความรอดใช่หรือไม่?”  ความคิดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่บิดเบือน  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าต้องอาศัยการมีประสบการณ์กับกระบวนการมากมาย จึงถูกต้องที่การปฏิบัติและแบบแผนของเจ้าย่อมเปลี่ยนแปลงก่อน  ส่วนเจตนาภายในของผู้คนนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเจตนาเหล่านั้นเท่านั้น  การที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแง่ของการปฏิบัติและแบบแผนนั้นเป็นการพิสูจน์ว่าใครบางคนเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว  หากเจ้ายังคงพากเพียรที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเจตนาและสิ่งเจือปนของมนุษย์ของตน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะเผยตัวออกมาน้อยลงเรื่อยๆ  หากเจ้าเริ่มรู้จักพระเจ้า มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และสามารถนบนอบพระเจ้าได้ นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  นี่คือหนทางที่ถูกต้องในการมองดูสิ่งทั้งหลาย  หากหนทางในการปฏิบัติของเจ้าถูกต้อง และเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้บ้าง นั่นหมายความว่าเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  การเชื่อว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยเพียงเพราะบางครั้งเจ้ายังคงเผยให้เห็นความเสื่อมทรามของตนอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  เจ้าอาจกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าพระองค์จึงยังคงเผยให้เห็นความเสื่อมทรามและกลับไปสู่หนทางเดิมของข้าพระองค์อีก?  นี่เป็นการพิสูจน์ว่าข้าพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป”  นี่เป็นหนทางที่ไม่ถูกต้องในการมองดูสิ่งทั้งหลาย  ปัญหาของการเผยความเสื่อมทรามไม่สามารถแก้ไขได้ถ้วนทั่วหลังจากการมีประสบการณ์เพียงไม่กี่ปี  การนี้ต้องอาศัยความพากเพียรระยะยาวในการปฏิบัติความจริงเพื่อการแก้ไขอย่างถ้วนทั่ว  การที่เจ้าเผยความเสื่อมทรามของตนลดลงนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าแล้ว การกล่าวว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยจึงไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  พวกเจ้าต้องเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหัวใจของเจ้า พวกเจ้าไม่สามารถมีความเข้าใจที่บิดเบือนได้  การบรรลุความรอดโดยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นความมุมานะในระยะยาวซึ่งไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีสั้นๆ อย่างแน่นอน  เจ้าต้องมีความตระหนักรู้นี้

เมื่อครู่นี้พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องของจุดยืน เจตนา และท่าที  จุดยืนเป็นสิ่งที่กำหนดท่าทีมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้ว จุดยืนและทัศนะกำหนดท่าทีของผู้คน  ในทำนองเดียวกัน ทัศนะของเจ้าเมื่อเจ้าเผชิญกับสภาพการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายืนอยู่ที่ใด  หากเจ้ามิได้ยืนอยู่กับพระเจ้า แต่ยืนอยู่ข้างมนุษย์ โดยแสวงหาการรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเจ้า เช่นนั้นแล้วทัศนะและแบบแผนของเจ้าล้วนแต่จะทำหน้าที่คุ้มครองและพิทักษ์ผลประโยชน์และความภาคภูมิใจของตัวเจ้าเองอย่างแน่นอน และเป็นการเปิดหนทางออกไว้ให้ตนเอง  แต่หากจุดยืนของเจ้าคือการคุ้มครองผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี และการแสดงความจงรักภักดีของเจ้า เช่นนั้นแล้วท่าทีของเจ้าย่อมจะเป็นการปฏิบัติตามความจริงในทุกสถานการณ์ การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี การแสดงความจงรักภักดี และการทำให้พระบัญชาของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง—องค์ประกอบทั้งหมดนี้ย่อมสอดคล้องกัน  ในการสามัคคีธรรมร่วมกันของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับคำสอนที่เจ้าได้ยินมาหรือได้จดจำไว้แล้ว หรือทฤษฎีฝ่ายวิญญาณที่เจ้าได้จับความเข้าใจแล้ว แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับสามารถที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสภาวะเมื่อไม่นานมานี้ของเจ้าเอง เกี่ยวกับหนทางที่ทัศนะและจุดยืนของเจ้าในบางเหตุการณ์ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงและได้รับรู้การค้นพบใหม่ๆ และความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับสรรพสิ่งของเจ้าที่ขัดแย้งกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและความจริง เช่นนั้นแล้ว ณ เวลาเช่นนั้นเมื่อเจ้าสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสรรพสิ่งเช่นนั้นได้ พวกเจ้าก็จะมีวุฒิภาวะ  หากพวกเจ้าไม่เคยได้ตรวจสอบแง่มุมใดของทัศนะ จุดยืน เจตนารมณ์ และความคิดของเจ้า หรือหากว่าเมื่อได้ตรวจสอบสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกหรือผิด และการอธิบายของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็เลอะเลือน เช่นนั้นแล้ว หากพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำของคริสตจักร พวกเจ้าจะใช้สิ่งใดให้น้ำแก่ผู้อื่นเล่า?  (คำพูดและคำสอน)  สำหรับเราแล้วดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เพียงแค่ให้น้ำแก่ผู้อื่นด้วยคำพูดและคำสอน ทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ และความรู้ทางศาสนาเท่านั้น แต่อาจจะด้วยทัศนะที่บิดเบือนของพวกเจ้าและมโนคติอันหลงผิดส่วนตัวและการตัดสินพระเจ้าของพวกเจ้าอีกด้วย และที่มากกว่านั้น ด้วยทัศนะตามการคิดปรารถนาด้านเดียวและความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า  ซึ่งไม่ลงรอยกันอย่างสิ้นเชิงกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า  และเกิดสิ่งใดขึ้นกับทุกคนที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้การนำทางเช่นนี้?  พวกเขากลายเป็นสามารถเพียงแค่พูดเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนเท่านั้น  หากพระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะทรงพระราชกิจซึ่งเป็นบททดสอบและการชำระให้บริสุทธิ์ในตัวพวกเขา การที่พวกเขาไม่รู้สึกคัดค้านเรื่องนี้ก็จะเป็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ พวกเขาคงจะไม่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องเท่าไรนัก นับประสาอะไรกับการนบนอบเรื่องนี้อย่างแท้จริง  การนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด?  นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเจ้าปลูกฝังให้ผู้อื่นคือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน  หากผู้อื่นไม่ได้เพิ่มพูนความเข้าใจของพวกเขาและไม่ได้ลดทอนความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าอันสืบเนื่องจากการให้น้ำและการนำทางของพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าได้เป็นไปอย่างไร?  พวกเจ้าทำหน้าที่นั้นได้มาตรฐานหรือไม่ได้มาตรฐาน?  (ไม่ได้มาตรฐาน)  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถตัดสินได้หรือไม่ว่าส่วนใดของงานที่พวกเจ้าทำและส่วนใดของความจริงที่พวกเจ้าสามัคคีธรรมที่มีประโยชน์และนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่อผู้คนอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่แก้ไขความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขามีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าและมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระองค์อีกด้วย?  หากพวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ได้ในงานของตน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามมาตรฐาน  หากพวกเจ้าไม่สามารถปฏิบัติงานนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าได้ทำอะไรมากันแน่ภายในคริสตจักร?  พวกเจ้าสามารถประเมินวัดได้หรือไม่ว่าส่วนใดของงานที่พวกเจ้าได้ทำและคำพูดใดที่พวกเจ้าได้กล่าวที่มีประโยชน์และเป็นที่เจริญใจอย่างแท้จริงให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร?  งานที่พวกเจ้าปฏิบัติและคำพูดที่พวกเจ้ากล่าวนั้นเหมือนกับสิ่งที่เปาโลทำหรือไม่—เพียงแค่กล่าวถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ เป็นพยานให้ตนเองและโอ้อวด—หรือบางทีคำพูดของพวกเจ้าอาจจะโจ่งแจ้งและน่าขยะแขยงยิ่งกว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวด้วยซ้ำไป?  พวกเจ้าสามารถประเมินวัดเรื่องนั้นได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถประเมินวัดเรื่องนั้นได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมมีความก้าวหน้าอย่างแท้จริงแล้ว  ตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาเพียงหนึ่งหรือสองปี มีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงบอกพวกเขาอย่างไม่ลดละว่า “คุณต้องรักพระเจ้า  คุณไม่อาจอยู่โดยปราศจากหัวใจที่รักพระเจ้าได้  คุณต้องเรียนรู้ว่าจะนบนอบพระเจ้าอย่างไร คุณไม่สามารถมีข้อร้องขอและความอยากได้อยากมีส่วนตนได้”  แต่นี่ไม่ใช่จุดที่พวกเขามีปัญหา ตามความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเพราะว่าใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วถูกขับไล่ออกไป และผู้เชื่อใหม่ก็ไม่ได้จับความเข้าใจในแก่นแท้ของบุคคลนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความคลางแคลงใจเกี่ยวกับวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเรื่องนี้  พวกเขามีความคลางแคลงใจ ดังนั้นเจ้าต้องแก้ไขความคลางแคลงใจเหล่านี้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือพวกเขาต้องการที่จะหย่อนยานหรือไม่สามารถสู้ทนความยากลำบากได้ ทว่าเจ้าก็บอกพวกเขาอยู่เสมอว่า “คนหนุ่มสาวควรจะสามารถสู้ทนความยากลำบากได้และขยันหมั่นเพียร และมีความพากเพียรบากบั่น”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้อง แต่ไม่เหมาะกับสภาวะของบุคคลนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงไม่เกิดแรงบันดาลใจหลังจากได้ฟัง  การแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้านั้นไม่สามารถทำได้โดยการกล่าวคำสอนบางประการเท่านั้น เจ้าต้องเข้าใจข้อเท็จจริงและชี้แจงสาเหตุที่แท้จริงให้กระจ่างชัด  นี่คือสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็นการเข้าถึงก้นบึ้งของเรื่อง  ปัญหาจะสามารถได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงโดยการคิดหาว่าจริงๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้เท่านั้น  เจ้าอาจจะซักถามพวกเขาว่า “คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างไร?  คุณมีความเข้าใจผิดใดบ้าง?  พระเจ้าทรงดีต่อคุณมากและทรงห่วงใยคุณมากเหลือเกิน แล้วคุณก็ยังคงเข้าใจพระองค์ผิด คุณช่างไร้มโนธรรม!”  แต่การนี้ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การนี้เป็นการเตือนสติและสั่งสอน ไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริง  เช่นนั้นแล้ว ควรกล่าวอะไรเพื่อที่จะสามัคคีธรรมความจริงโดยแท้จริง?  (จงช่วยให้พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  จงกล่าวว่า “ต่อให้คุณไม่สามารถเข้าใจคนที่ถูกขับไล่ออกไปได้ทะลุปรุโปร่ง คุณก็ควรจะรักษาหัวใจที่นบนอบไว้  เมื่อคุณเข้าใจความจริง คุณจะเข้าใจคนคนนั้นอย่างทะลุปรุโปร่งตามธรรมชาติ”)  นี่เป็นแบบแผนที่ค่อนข้างดี เป็นแบบแผนที่เรียบง่ายที่สุด แบบแผนนี้สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้ต่อให้แบบแผนนี้ไม่อาจอธิบายได้ทุกสิ่งก็ตาม  จงบอกเราเถิดว่า โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนกำลังคิดเช่นไรเมื่อมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นในตัวพวกเขา?  เหตุใดการคิดเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี?  เพราะการนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาจึงเอาใจเขามาใส่ใจตนเองและคิดว่าการนี้จะสามารถส่งผลต่อตนเองอย่างไร “พวกเขาถูกขับไล่ออกไปอยู่ดีแม้หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีมากแล้ว  ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานเท่าพวกเขา พระเจ้าคงจะไม่ทรงต้องการฉันเช่นกันมิใช่หรือ?”  ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา  นี่คือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและหนทางที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คน  ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าสองประการนี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร?  เมื่อใครบางคนเกิดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ธรรมชาติของความเข้าใจผิดนี้เป็นอย่างไร?  เป็นการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์?  (การตั้งคำถามเกี่ยวกับพระราชกิจ)  การตั้งคำถามนี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?  ก่อนอื่นนั้น การนี้ไม่ถูกต้อง  ดังนั้น ความมีเหตุผลของเจ้าจะทำให้เจ้าสามารถตระหนักรู้ได้หรือไม่ว่าเจ้าเกิดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพฤติกรรม ท่าที หรือสภาวะประเภทนี้ของเจ้านั้นไม่ถูกต้อง?  หากเจ้ามีความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าย่อมจะสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าไม่ถูกต้องและพระเจ้าทรงถูกต้องอย่างแน่นอน  ด้วยรากฐานนี้ เจ้าจะสามารถยอมรับความจริงใดก็ตามที่มีการสามัคคีธรรมต่อไปได้อย่างง่ายดาย  แต่หากเจ้าคิดในจิตใต้สำนึกว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำอาจไม่ถูกต้องเสมอไป  พระเจ้าก็ทรงมีด้านที่ผู้คนสามารถพบที่ติได้เช่นกัน  พระเจ้าก็ทรงทำผิดพลาดและปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมเช่นกัน ความไม่คำนึงถึงผู้อื่นที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนนั้นไม่ยุติธรรม”—หากความคิดเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นภายในตัวเจ้าได้ นั่นหมายความว่าเจ้ายอมรับหรือปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในจิตใต้สำนึก?  (ปฏิเสธ)  เจ้าปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  เช่นนั้นแล้วเจ้าเชื่อในจิตใต้สำนึกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?  หากเจ้าเชื่อในจิตใต้สำนึกว่าเจ้าถูกต้อง เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นปัญหา ปัญหาซึ่งไม่ว่าจะสามัคคีธรรมแง่มุมใดของความจริงมากเพียงใดก็ไม่สามารถแก้ไขได้  จากทัศนะทั้งสองประเภทนี้ กรอบความคิดในจิตใต้สำนึกทั้งสองประเภทนี้ ประเภทใดวางตัวเจ้าเองไว้ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ประเภทที่ยอมรับว่าพระผู้สร้างคือพระผู้สร้าง มนุษย์คือมนุษย์ และพระเจ้าคือพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ประเภทแรก)  แล้วประเภทที่สองเล่า?  ใครบางคนที่มีทัศนะประเภทที่สองนี้สามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ทัศนะนี้แสดงออกมาอย่างไร?  สิ่งใดเผยทัศนะนี้ออกมา?  พวกเขาไม่รักษาท่าทีของการเชื่อ การนบนอบ และการยอมรับพระเจ้า แต่พวกเขากลับเก็บงำท่าทีของการเฝ้าดู การพินิจพิเคราะห์ การวิเคราะห์ และการชำแหละอยู่เสมอ  พวกเขาพิจารณาทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำจากฐานะที่เท่าเทียมกับพระองค์  ดังนั้นเมื่อจู่ๆ พวกเขาก็ค้นพบว่าพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งที่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง พวกเขาก็อาจหาญที่จะพยายามหาบางสิ่งที่พวกเขาสามารถนำมาใช้ต่อต้านพระเจ้า และตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้าได้  พวกเขามิได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า แต่ในฐานะมนุษย์มิใช่หรือ?  พวกเขาอาจหาญที่จะพยายามหาบางสิ่งซึ่งพวกเขาสามารถนำมาใช้ต่อต้านพระเจ้าได้ หาที่ติของพระองค์และตัดสินพระองค์—นี่เป็นการกล่าวในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อใครบางคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาควรเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำนั้นมิอาจหยั่งถึงได้  ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มนุษย์ไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินพระเจ้า  เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมกับบุคคลเช่นนั้นอย่างไร?  เจ้าต้องกล่าวเช่นนี้ “คุณมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดในตัวเองอยู่แล้ว  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตามที่ไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของคุณ คุณก็ควรจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หากคุณไม่สามารถเข้าใจบางสิ่ง จงอย่าตัดสินและกล่าวโทษอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า คุณควรจะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง  เพราะพวกเราเป็นผู้คน เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม และพวกเราไม่มีวันจะกลายเป็นพระเจ้าได้  ต่อให้พวกเราได้รับและเข้าใจความจริงทุกประการที่พระเจ้าทรงแสดง พวกเราก็จะยังคงเป็นเพียงมนุษย์ที่เสื่อมทราม และพระเจ้าก็จะทรงเป็นพระเจ้าเสมอไป  ต่อให้พวกเราได้รับความจริงและพระเจ้าทรงทำให้พวกเราเพียบพร้อมแล้ว หากพระเจ้าไม่โปรดพวกเราและทรงต้องการทำลายพวกเรา พวกเราก็ยังคงต้องไม่ปริปากพร่ำบ่น—นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรนบนอบ  หากบางสิ่งที่เล็กน้อยมากยังคงทำให้พวกเรามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและตัดสินพระองค์ นั่นย่อมเป็นการพิสูจน์ว่ามนุษย์อย่างพวกเรานั้นเสื่อมทราม โอหัง เลวร้าย และไร้สำนึกเพียงใด  ก่อนอื่น พวกเราไม่เคยวางตนเองไว้ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและจากนั้นก็ปฏิบัติต่อพระผู้สร้างในหนทางนั้น นี่คือความผิดพลาดประการแรก  ความผิดพลาดประการที่สองคือการที่พวกเราเฝ้าดูพระเจ้าอยู่เสมอ โดยคิดว่าจะหาบางสิ่งที่พวกเราสามารถนำมาใช้ต่อต้านพระองค์ได้อย่างไร แล้วจากนั้นก็เฝ้าสังเกต พินิจพิเคราะห์ และวิเคราะห์—นี่ยิ่งไม่ถูกต้องมากกว่าด้วยซ้ำ  ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ยอมรับหรือนบนอบความจริง พวกเรายังยืนอยู่เคียงข้างซาตานและปฏิบัติตนในฐานะของผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน โดยผนึกกำลังกับซาตานเพื่อโห่ร้องต่อต้านพระเจ้า ท้าทายและแข่งขันกับพระเจ้า—นี่ไม่ใช่เรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ  สิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าผู้คนจะคิดว่าการนั้นถูกหรือผิด ไม่ว่าการนั้นจะสอดรับกับความจริงในแง่มุมใด และไม่ว่าการนั้นจะสอดคล้องกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในนั้นที่เกี่ยวข้องกับพวกเราเลย  พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของพวกเราควรเป็นเช่นไร?  การนบนอบและยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไข  หากพวกเราเชื่อว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง และหากพวกเราต้องยอมรับเรื่องนี้โดยไม่คำนึงว่าพวกเราจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ ลิดรอน สร้างความเสียหาย หรือทำร้ายพวกเราก็ตาม เช่นนั้นแล้วการนี้ก็เรียกว่าการนบนอบ นี่เรียกว่าการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงควรจะเป็นเช่นนี้  เมื่อเปรียบเทียบกับอับราฮัม โยบ และเปโตร พวกเราเป็นอย่างไร?  พวกเราอยู่ห่างไกลพวกเขามาก  หากพวกเราพูดถึงคุณสมบัติ พวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะทูลพระเจ้า ไม่มีคุณสมบัติที่จะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีคุณสมบัติที่จะประเมินหรือตัดสินสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงทำ”  แน่นอนว่าผู้คนคงจะไม่มีความสุขที่จะได้ยินว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย แต่นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องกล่าวกับมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพราะไม่อาจใช้เหตุผลกับพวกเขาได้  การอาจหาญที่จะพูดถึงคุณสมบัติและเหตุผลอันสมควรกับพระผู้สร้าง—นี่ไม่ใช่ความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก และความไม่สะดุ้งสะเทือนต่อเหตุผลหรอกหรือ?  ดังนั้น จึงมีเพียงการกล่าวในลักษณะที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ การสามัคคีธรรมเช่นนี้จึงสามารถแก้ปัญหาบางประการได้

บรรดาผู้ที่นบนอบพระเจ้าและยอมรับความจริงอย่างแท้จริงไม่ควรที่จะเกิดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ควรแนบการประเมินหรือการตัดสินของตนไปกับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ  ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะประทานบุตรชายให้แก่อับราฮัม  อับราฮัมกล่าวว่าอย่างไรต่อเรื่องนั้น?  ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย—ท่านเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัส  นี่คือท่าทีของอับราฮัม  ท่านได้ตัดสินอะไรบ้างหรือไม่?  ท่านได้พูดเยาะเย้ยหรือไม่?  ท่านได้ทำอะไรลับๆ ล่อๆ บ้างหรือไม่?  เขาไม่ได้ทำ และเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในอุบายเล็กน้อยใดๆ  นี่เรียกว่าการนบนอบ นี่เรียกว่าการยึดมั่นในฐานะและหน้าที่ของคนเรา  ส่วนภรรยาของท่าน ซาราห์—นางแตกต่างจากอับราฮัมมิใช่หรือ?  นางมีท่าทีเช่นไรต่อพระเจ้า?  นางตั้งคำถาม พูดเยาะเย้ย ไม่เชื่อ—และนางก็ตัดสิน และมีส่วนร่วมในอุบายเล็กน้อย โดยยกหญิงคนใช้ของนางให้เป็นภรรยาน้อยของอับราฮัม ซึ่งเป็นการทำสิ่งที่ไร้เหตุผลเช่นนั้น  นี่มาจากเจตจำนงของมนุษย์  ซาราห์ไม่ได้ยึดมั่นในฐานะของนาง นางสงสัยพระวจนะของพระเจ้าและไม่เชื่อในมหิทธานุภาพของพระองค์  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้นางไม่เชื่อ?  มีสาเหตุและบริบทอยู่สองประการ  ประการหนึ่งคือตอนนั้นอับราฮัมมีอายุค่อนข้างมาก  อีกประการหนึ่งก็คือตัวนางเองก็อายุมากแล้วเช่นกันและไม่สามารถมีบุตรได้ ดังนั้นนางจึงคิดว่า “นี่เป็นไปไม่ได้  พระเจ้าจะทรงทำให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร?  นี่เป็นเรื่องไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่เป็นเหมือนกับการพยายามเล่นกลหลอกเด็กมิใช่หรือ?”  นางไม่ได้ยอมรับหรือเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นความจริง แต่ถือว่าเป็นเรื่องตลก โดยคิดว่าพระเจ้าทรงกำลังล้อเล่นกับผู้คน  นี่คือท่าทีที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  นี่คือท่าทีที่คนเราควรปฏิบัติต่อพระผู้สร้างหรือไม่?  (ไม่)  แล้วนางได้ยึดมั่นในฐานะของนางหรือไม่?  (ไม่)  นางไม่ได้ยึดมั่น  เพราะว่านางถือว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเรื่องตลกและไม่ใช่ความจริง และเพราะว่านางไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือสิ่งที่พระองค์กำลังจะทรงทำ นางจึงได้กระทำการอย่างไร้เหตุผล ซึ่งก่อให้เกิดผลที่ตามมาเป็นลำดับมากมาย ทั้งหมดล้วนมาจากเจตจำนงของมนุษย์  โดยแก่นสารแล้ว นางกำลังพูดว่า “พระเจ้าสามารถทำสิ่งนี้ได้หรือ?  ถ้าหากพระองค์ไม่สามารถ ฉันก็ต้องลงมือดำเนินการช่วยทำให้พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าลุล่วง”  ภายในตัวนาง มีการเข้าใจผิด การตัดสิน การคาดเดา และข้อสงสัย ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการเป็นกบฏต่อพระเจ้าโดยบุคคลหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  อับราฮัมได้ทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  เขาไม่ได้ทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพรเขา  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นท่าทีที่อับราฮัมมีต่อพระองค์ หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของท่าน ความจงรักภักดีของท่าน และการนบนอบที่แท้จริงของท่าน และพระเจ้าจะทรงมอบบุตรชายให้แก่ท่านเพื่อที่ท่านจะได้เป็นบิดาของชนชาติมากมาย  นี่เป็นสิ่งที่อับราฮัมได้รับสัญญาและซาราห์ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้โดยมิได้คาดคิด  เพราะฉะนั้นการนบนอบจึงมีความสำคัญมาก  ภายในการนบนอบนั้น มีการตั้งคำถามหรือไม่?  (ไม่)  หากมี การนั้นนับเป็นการนบนอบที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่นับ)  หากมีการวิเคราะห์และการตัดสินอยู่ภายในการนบนอบนั้น เช่นนั้นแล้วนั่นนับรวมหรือไม่?  (ไม่)  แล้วหากคนเราพยายามที่จะค้นหาความผิดล่ะ?  ถ้าเช่นนั้นยิ่งนับรวมน้อยกว่าอีก  เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่แสดงออกและเผยออกมา—และสิ่งใดหรือคือพฤติกรรม—ภายในการนบนอบที่พิสูจน์อย่างครบถ้วนว่านั่นเป็นการนบนอบที่แท้จริง?  (การเชื่อ)  การเชื่อที่แท้จริงเป็นหนึ่งสิ่ง  คนเราต้องเข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ และยืนยันว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและเป็นความจริง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามกับการนั้น อีกทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามผู้อื่นเกี่ยวกับการนั้น และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชั่งน้ำหนักการนั้นหรือวิเคราะห์การนั้นในหัวใจของคนเราเอง  นี่คือหนึ่งแง่มุมของเนื้อหาของการนบนอบ  ซึ่งเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  เมื่อบุคคลหนึ่งทำบางสิ่ง คนเราอาจมองดูว่าบุคคลใดทำการนั้น พวกเขามีภูมิหลังเช่นใด พวกเขาได้ทำสิ่งเลวร้ายบ้างหรือไม่ และลักษณะนิสัยของพวกเขาเป็นอย่างไร  สิ่งเหล่านี้พึงต้องมีการวิเคราะห์  ในทางกลับกัน หากบางสิ่งมาจากพระเจ้าและทำโดยพระองค์ เจ้าต้องปิดปากของตนทันทีและไม่เก็บงำความคิดลังเลไว้—จงอย่าตั้งคำถามกับการนั้นและจงอย่ายกข้อซักถามทั้งหลายขึ้นมา แต่จงยอมรับทั้งหมดทั้งมวลของการนั้น  แล้วสิ่งที่จะต้องทำถัดไปคืออะไรหรือ?  มีความจริงบางอย่างที่เกี่ยวข้องในที่นี้ซึ่งผู้คนไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการกระทำของพระเจ้าและสามารถนบนอบ พวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้  สิ่งที่พวกเขาเข้าใจก็ยังคงมีธรรมชาติเชิงคำสอนอยู่บ้าง และพวกเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ  ในเวลาเช่นนั้น พวกเขาต้องแสวงหา โดยถามว่า “ในการนี้มีความจริงใดอยู่?  ตรงไหนคือข้อผิดพลาดในการคิดของฉัน?  ฉันได้กลายเป็นห่างจากพระเจ้าอย่างไร?  ทัศนะใดของฉันขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าตรัส?”  ต่อจากนั้น พวกเขาควรค้นหาสิ่งเหล่านี้  นี่เป็นท่าทีและการปฏิบัติการนบนอบ  มีพวกที่พูดว่าพวกเขานบนอบ แต่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาในเวลาต่อมา พวกเขาก็ไตร่ตรองว่า “ใครจะไปรู้ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด?  พวกเราสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่สามารถแทรกแซงได้ดอก ปล่อยให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงต้องประสงค์เถิด!”  นี่เป็นการนบนอบหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่เป็นท่าทีประเภทใดกัน?  นั่นเป็นการไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบ นั่นเป็นการขาดพร่องความใส่ใจสำหรับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและความไม่แยแสอันเย็นชาต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  อับราฮัมมีความสามารถที่จะนบนอบเพราะเขาถือปฏิบัติหลักธรรม และเขาตั้งมั่นในการเชื่อของเขาว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสต้องถูกทำและต้องถูกทำให้ลุล่วง—เขาแน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์เกี่ยวกับคำว่า “ต้อง” ทั้งสองคำนี้  เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ตั้งคำถาม เขาไม่ได้ทำการประเมินอันใด อีกทั้งเขาไม่ได้กระทำอุบายเล็กน้อยอันใด  นั่นเองคือวิธีที่อับราฮัมประพฤติในการนบนอบของเขา

นั่นเป็นพรที่อับราฮัมได้รับจากพระเจ้า  เขาไม่ได้แสดงความสงสัยใดๆ และไม่ได้นำเจตจำนงของมนุษย์มาปะปนกับสิ่งใดที่เขาทำ  อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่โยบเผชิญนั้นแตกต่างจากอับราฮัมอย่างเห็นได้ชัด  สถานการณ์นั้นแตกต่างไปอย่างไร?  สิ่งที่อับราฮัมประสบคือพร นั่นเป็นสิ่งที่ดี ขณะที่อายุเกือบ 100 ปี เขายังไม่มีบุตรและหวังว่าจะมีบุตรเมื่อพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายให้แก่เขา  เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไรกัน?  เขาเต็มใจที่จะนบนอบอย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่โยบเผชิญนั้นเป็นความโชคร้าย เหตุใดเขาจึงยังคงนบนอบได้?  (เขาเชื่อในหัวใจของเขาว่าพระเจ้าทรงทำทุกสิ่ง)  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  มีอีกแง่มุมหนึ่งคือ บ่อยครั้งที่ผู้คนสามารถนบนอบได้เมื่อพวกเขาไม่ได้ประสบกับความทุกข์มากเกินไป และพวกเขาก็สามารถนบนอบได้เมื่อพระเจ้าประทานพร แต่เมื่อพระเจ้าทรงเอาไป นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบอีกต่อไป  ส่วนโยบนั้น เขามีทัศนะประเภทใด เขามีความมีเหตุผลประเภทใด เขาเข้าใจความจริงประการใดบ้าง หรือเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในแง่มุมใด เขาจึงสามารถยอมรับและนบนอบความโชคร้ายนั้นได้?  (เขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดี  เขาเชื่อในหัวใจของตนว่าทุกสิ่งที่เขามีเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการออกแรงทำงานของเขาเอง—การที่พระเจ้าจะทรงเอาสิ่งนี้ไปก็เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์เช่นกัน  เขามีความมีเหตุผลประเภทนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถยอมรับและนบนอบได้)  หากผู้คนเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดี ย่อมเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบ  แต่เมื่อดูราวกับว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นนำความโชคร้ายมาสู่ผู้คน การนบนอบยังคงเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  สถานการณ์ใดบ่งชี้ถึงการนบนอบที่แท้จริงมากกว่า?  (การที่ยังคงสามารถนบนอบได้เมื่อดูราวกับว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นนำความโชคร้ายมาสู่ผู้คน)  แล้วโยบมีความมีเหตุผลและความจริงประเภทใดจึงสามารถยอมรับความโชคร้ายนั้นได้?  (โยบปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าอย่างแท้จริง  เขาเข้าใจว่าพระเจ้ามิได้ทรงเป็นผู้ที่ประทานพรและพระคุณเท่านั้น—แม้กระทั่งเมื่อพระองค์ทรงเอาไป พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระเจ้า เขายังเข้าใจด้วยว่าต่อให้คนเราประสบภัยพิบัติ นั่นก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงยอมให้การนั้นเกิดขึ้น  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์ควรนมัสการพระองค์เสมอ)  โดยหลักแล้วเป็นเพราะว่าโยบมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง และดำรงฐานะของเขาได้ดี  เขาระลึกรู้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายนอกเปลี่ยนแปลงไป แก่นแท้ของพระเจ้ายังคงเป็นแก่นแท้ของพระเจ้าอยู่เสมอและตลอดกาล เรื่องนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ไม่ใช่ว่าหากพระเจ้าประทานพรแก่ผู้คน พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้า และหากสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงทำนั้นคือการนำภัยพิบัติมาสู่ผู้คน ทำให้พวกเขาได้รับความทุกข์และการลงโทษ หรือทำลายพวกเขา แก่นแท้ของพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงไปและพระองค์ก็ทรงเลิกเป็นพระเจ้า  แก่นแท้ของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง  แก่นแท้ของมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน กล่าวคือ สถานะและแก่นแท้ของมนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ต่อให้เจ้าสามารถยำเกรงพระเจ้าและรู้จักพระองค์ เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แก่นแท้ของเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้าทรงนำโยบมาผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่ แต่โยบก็ยังคงสามารถนบนอบและไม่พร่ำบ่น  นอกจากการมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาที่ทำให้เขาสามารถนบนอบและงดเว้นจากการพร่ำบ่นนั้นคืออะไร?  นั่นก็คือการที่เขารู้ว่ามนุษย์จะเป็นมนุษย์เสมอไป ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรก็ย่อมถูกต้องโดยสมบูรณ์  พูดอย่างเรียบง่ายก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างนั้น  เรื่องนี้อธิบายสิ่งทั้งหลายมิใช่หรือ?  จงอย่าร้องขอว่าพระเจ้าควรทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร พระองค์ควรประทานพรใดแก่เจ้า หรือพระองค์ควรทรงนำเจ้ามาผ่านบททดสอบใด และพระราชกิจของพระองค์ควรมีนัยสำคัญต่อเจ้าอย่างไร  เจ้าไม่สามารถร้องขอสิ่งเหล่านี้ได้ การร้องขอเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล  ระหว่างห้วงเวลาแห่งสันติสุขและความมั่นคง บางคนกล่าวว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่จากนั้นเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับการนี้ได้  การนี้ต้องแก้ไขด้วยความจริง  ความจริงประการนี้คืออะไร?  คือการตั้งมั่นในฐานะของเจ้าเอง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้วและปราศจากข้อผิดพลาด  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระเจ้า ผู้คนไม่ควรร้องขอจากพระองค์  จงอย่าประเมินวัดความถูกผิดของพระเจ้า และจงอย่าประเมินวัดเหตุผล เป้าหมาย หรือนัยสำคัญของการกระทำของพระองค์  สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการประเมินวัดจากเจ้า  ความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้าคือการตั้งมั่นในฐานะของเจ้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงตามที่พระองค์จะทรงทำ  นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง  เรื่องนี้พูดง่ายแต่ปฏิบัติยาก แต่ผู้คนก็ต้องเข้าใจความจริงประการนี้  โดยการเข้าใจความจริงเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถนบนอบได้อย่างแท้จริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า

บางคน ซึ่งเชื่อในพระเจ้าและฟังการเทศนามาจนถึงตอนนี้ ก็คิดว่า “โยบสามารถนบนอบบททดสอบที่พระเจ้าประทานให้เขาเพราะโยบรู้ว่าทุกสิ่งมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  ไม่ว่าคนเราจะมีฝูงปศุสัตว์และแกะมากมายเพียงใด หรือมีทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง และบุตรหลานมากมายเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานทั้งสิ้น—นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คน  ผู้คนเป็นเสมือนทาสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาต้องสู้ทนไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร”  พวกเขาใช้ท่าทีที่เป็นลบประเภทนี้เพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?  นั่นไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้วหนทางที่ถูกต้องในการรู้จักพระเจ้าจะเป็นเช่นไร?  (ผู้คนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าตลอดไป  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำเช่นไร ผู้คนก็ควรปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงพวกเขาตามแต่พระทัยของพระองค์เท่านั้น)  นั่นถูกต้องแล้ว  จงอย่าร้องขอว่าพระเจ้าควรทรงกระทำในหนทางใดหนทางหนึ่ง  จงอย่าร้องขอว่าพระเจ้าควรทรงอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าฟังอย่างละเอียดในการสามัคคีธรรม  หากพระองค์ไม่ทรงอธิบายให้ชัดเจน เจ้าก็ไม่ควรโต้แย้งกับพระเจ้า โดยคิดว่าเจ้ามีเหตุผล  นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  นี่เป็นความโอหังและการคิดว่าตนเองถูกอย่างที่สุด และไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรกล่าวออกมา  แม้กระทั่งซาตานยังไม่อาจหาญที่จะพูดกับพระเจ้าในลักษณะที่ตีโพยตีพายเช่นนั้น—เจ้าเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม เจ้าจะสามารถโอหังยิ่งกว่าซาตานเสียอีกได้อย่างไร?  ตอนที่พูดจากับพระเจ้า ผู้คนควรดำรงตนในฐานะใดกันแน่?  คนเราควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร?  จริงๆ แล้ว ถ้อยแถลงของโยบที่ว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” อธิบายชัดเจนแล้วว่าเพราะเหตุใดเขาจึงสามารถนบนอบพระเจ้าได้ และภายในถ้อยแถลงนี้มีความจริงให้แสวงหา  เมื่อเขากล่าวถ้อยแถลงนี้ เขาได้แสดงออกถึงการพร่ำบ่นหรือความทุกข์ระทมหรือไม่?  (ไม่)  มีความคลุมเครือหรือความหมายโดยนัยที่เป็นลบบ้างหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีอย่างแน่นอน  ในที่สุดโยบก็ตระหนักผ่านทางประสบการณ์ของเขาว่าการที่พระผู้สร้างจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนจะตัดสินใจ  นี่อาจจะฟังดูขัดหูนิดหน่อย แต่ก็เป็นข้อเท็จจริง  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการชะตากรรมของทุกคนไว้สำหรับตลอดชีวิตของพวกเขาแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่ นี่ก็เป็นข้อเท็จจริง  เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตนได้  พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และเจ้าควรนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะพระองค์ทรงเป็นความจริงและพระองค์ทรงเป็นองค์อธิปัตย์เหนือสิ่งทั้งปวง และผู้คนควรนบนอบพระองค์  “สิ่งทั้งปวง” นี้รวมถึงตัวเจ้า และรวมถึงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวล  เช่นนั้นแล้ว การที่เจ้าต้องการขัดขืนอยู่เสมอนั้นเป็นความผิดของใคร?  (การนั้นเป็นความผิดของพวกเราเอง)  นั่นเป็นปัญหาของเจ้า  เจ้าต้องการอ้างเหตุผลและค้นหาความผิดอยู่เสมอ นี่ถูกต้องหรือไม่?  เจ้าต้องการได้รับพรและประโยชน์จากพระเจ้าอยู่เสมอ นี่ถูกต้องหรือไม่?  ไม่มีสิ่งใดถูกต้องเลย  ทัศนะเหล่านี้แสดงถึงความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ถูกต้อง  แท้จริงแล้วเป็นเพราะทัศนะของเจ้าเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าไม่ถูกต้อง เจ้าจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ยอมรับ โต้แย้ง และต่อต้านพระเจ้าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสถานการณ์บางอย่าง โดยคิดเสมอว่า “เป็นความผิดของพระเจ้าที่ทรงทำสิ่งนี้ ฉันไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้  ทุกคนคงจะประท้วงการที่พระองค์ทรงทำในหนทางนั้น  การทำแบบนั้นไม่เหมือนพระเจ้าเลย!”  แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นแบบใด ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงเป็นพระเจ้า  หากเจ้าขาดไร้ซึ่งเหตุผลและความเข้าใจนี้ โดยมักจะพินิจพิเคราะห์และอนุมานเอาเองอยู่เสมอเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้าในแต่ละวัน ผลลัพธ์ก็จะเป็นการที่เจ้าจะเอาแต่โต้แย้งและต่อต้านพระเจ้าในทุกโอกาส และเจ้าก็จะไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาวะนี้ได้  แต่หากเจ้ามีความเข้าใจนี้และเจ้าสามารถดำรงฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ และเมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย เจ้าก็เปรียบเทียบตนเองกับความจริงในแง่มุมนี้และปฏิบัติและเข้าสู่ความจริง เช่นนั้นแล้วความยำเกรงพระเจ้าภายในตัวเจ้าย่อมจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป  โดยไม่รู้ตัว เจ้าจะเริ่มรู้สึกว่า “ผลปรากฏว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ผิด สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีทั้งหมด  ผู้คนไม่จำเป็นต้องพินิจพิเคราะห์และวิเคราะห์เรื่องนี้ แค่ยอมให้ตัวเจ้าเองอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าก็พอ!”  และเมื่อเจ้าพบว่าตนเองไม่สามารถนบนอบพระเจ้าหรือยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ได้ หัวใจของเจ้าก็จะรู้สึกถูกตำหนิว่า “ฉันไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดี  เหตุใดฉันจึงไม่สามารถนบนอบได้?  นี่ไม่ทำให้พระผู้สร้างทรงเศร้าสลดหรอกหรือ?”  ยิ่งเจ้าพึงปรารถนาที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีมากเท่าใด ความเข้าใจและความชัดเจนของเจ้าเกี่ยวกับความจริงในแง่มุมนี้ก็จะเติบโตขึ้นเท่านั้น  แต่ยิ่งเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครบางคนที่มีนัยสำคัญมากเท่าใด โดยเชื่อว่าพระเจ้าไม่ควรทรงปฏิบัติต่อเจ้าในหนทางนี้ พระองค์ไม่ควรทรงตักเตือนเจ้าในลักษณะนั้น พระองค์ไม่ควรทรงตัดแต่งและจัดวางเรียบเรียงเจ้าในหนทางนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกที่นั่งลำบากแล้ว  หากเจ้ามีข้อร้องขอต่อพระเจ้าอยู่มากมายในหัวใจของตน หากเจ้ารู้สึกว่ามีหลายสิ่งที่พระเจ้าไม่ควรทรงทำไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังมุ่งหน้าลงไปในเส้นทางที่ผิด มโนคติอันหลงผิด การตัดสิน และการสบประมาทย่อมจะผุดออกมา และเจ้าก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากการทำความชั่วเลย  เมื่อผู้คนที่ไม่รักความจริงได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็เริ่มวิเคราะห์และพินิจพิเคราะห์ ซึ่งทำให้มีความสงสัยและการเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย  จากนั้นพวกเขาก็เริ่มตัดสิน ไม่ยอมรับ และกล่าวโทษ—นี่คือผลลัพธ์  มีผู้คนจำนวนมากเกินไปนักที่ปฏิบัติต่อพระเจ้าในหนทางนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา

บางคนคิดเสมอว่า “ฉันเป็นบุคคลคนหนึ่ง  เป็นเรื่องจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง แต่พระองค์ก็ต้องทรงเคารพและเข้าใจฉัน พระองค์ต้องทรงรักและคุ้มครองฉัน”  ทัศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจว่าพระองค์จะทรงรักผู้คนอย่างไร  พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไรก็เป็นเรื่องของพระองค์  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมและอุปนิสัยของพระองค์ จึงเปล่าประโยชน์ที่ผู้คนจะมีข้อร้องขอใดๆ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขาควรเรียนรู้ว่าจะเข้าใจพระเจ้าและนบนอบพระองค์อย่างไร นี่เป็นเหตุผลที่ผู้คนควรจะมี  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงหยาบคายกับมนุษย์เกินไป  การทำสิ่งทั้งหลายแบบนี้ไม่ใช่การรักผู้คน  พระองค์มิได้ทรงเคารพผู้คนหรือปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์!”  บางคนก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นมาร  การปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ว่าในหนทางใดนั้นก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ พวกเขาสมควรถูกสาปแช่งและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพ  มีคนเหล่านั้นที่กล่าวว่า “ฉันเป็นคนดีทีเดียว ฉันไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นการขัดขืนพระเจ้าเลย และฉันได้ทนทุกข์มามากมายเพื่อพระองค์  เหตุใดพระองค์จึงยังทรงตัดแต่งฉันอย่างนั้น?  เหตุใดพระองค์จึงทรงทอดทิ้งฉันอยู่เสมอ?  เหตุใดพระองค์จึงไม่เคยทรงยอมรับหรือยกย่องฉันเลย?”  มีคนอื่นๆ ที่ยังคงกล่าวว่า “ฉันเป็นคนที่เรียบง่ายและไร้เล่ห์มารยา ฉันเชื่อในพระเจ้ามาตั้งแต่ฉันอยู่ในครรภ์ และตอนนี้ฉันก็ยังคงเชื่อในพระองค์  ฉันไร้ราคีอย่างมาก!  ฉันละทิ้งครอบครัวของฉันและลาออกจากงานของฉันเพื่อที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า และฉันก็คิดว่าพระเจ้าทรงรักฉันมากเพียงใด  ตอนนี้ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงรักผู้คนมากนัก และฉันก็รู้สึกว่าถูกละทิ้งไว้ในความเยียบเย็น รู้สึกผิดหวัง และท้อแท้ใจกับพระองค์”  นี่เป็นความเดือดร้อนใช่หรือไม่?  ผู้คนเหล่านี้กำลังทำอะไรผิดหรือ?  พวกเขามิได้อยู่ในที่ทางที่เหมาะควรของตน พวกเขาไม่รู้ว่าตนเป็นใคร และพวกเขาก็คิดเสมอว่าตนเป็นใครบางคนที่สำคัญ ซึ่งพระเจ้าควรทรงเคารพและยกย่อง หรือสงวนรักษาและหวงแหน  หากผู้คนมักจะมีความคิดเห็นที่ผิดเช่นนั้น ซึ่งเป็นข้อร้องขอที่บิดเบือนและไม่สมเหตุสมผลเช่นนั้น นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก  อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าจะทรงเกลียดและชิงชังพวกเขา และหากพวกเขาไม่กลับใจ พวกเขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป  ดังนั้นผู้คนควรทำเช่นไร พวกเขาควรรู้จักตนเองอย่างไร และพวกเขาควรปฏิบัติต่อตนเองอย่างไรเพื่อให้สอดรับกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และปล่อยมือจากข้อร้องขอที่พวกเขามีต่อพระเจ้า?  บางคนถูกพระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการให้เป็นผู้นำ และพวกเขาก็มีใจกระตือรือร้นเป็นพิเศษ  หลังจากที่พวกเขาทำงานไประยะหนึ่ง ก็มีการค้นพบว่าพวกเขาสามารถทำภารกิจภายนอกบางอย่างได้ดีพอแต่ไม่สามารถรับมือกับการแก้ปัญหาได้—พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงหรือแก้ไขประเด็นปัญหา ดังนั้นบทบาทผู้นำในคริสตจักรของพวกเขาจึงมีคนมาทำแทน  การนี้เหมาะควรมากมิใช่หรือ?  แต่พวกเขาก็เริ่มโต้เถียงและพร่ำบ่น โดยกล่าวว่า “ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติงานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ดี ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการสร้างการขัดขวางและการก่อกวน  แท้จริงแล้วพวกเขาควรจะถูกแทนที่และถูกกำจัดออกไป  แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลย เหตุใดจึงมีคนมาแทนที่ฉันด้วยล่ะ?”  พวกเขารู้สึกอารมณ์เสียนิดหน่อย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  พวกเขารู้สึกว่าเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี พวกเขาก็ควรจะยังคงเป็นผู้นำและไม่ควรมีใครมาแทนที่  พวกเขารู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรมต่อพวกเขาอย่างมาก  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและความรู้สึกคัดค้าน และมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าก็เกิดขึ้นในตัวพวกเขา ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลภายในที่ว่า  “มีการกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่า มีหลักธรรมสำหรับการเลือกตั้งและการกำจัดผู้นำออกไป?  สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าไม่มีหลักธรรมอันใดในสิ่งที่ได้เกิดขึ้น พระเจ้าได้ทรงทำความผิดพลาดแล้ว!”  สรุปสั้นๆ ก็คือ ตราบเท่าที่พระเจ้าทรงทำบางสิ่งซึ่งทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา และทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา พวกเขาก็เริ่มจับผิด  นี่เป็นปัญหาหรือไม่?  จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?  เจ้าต้องระลึกรู้อัตลักษณ์ของตัวเจ้าเอง เจ้าต้องรู้ว่าเจ้าคือผู้ใด  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งจำพวกใด อีกทั้งไม่สำคัญว่าเจ้ามีทักษะหรือความสามารถมากเพียงใด หรือแม้แต่เจ้าได้รับคุณความดีมากเพียงใดในพระนิเวศของพระเจ้า หรือเจ้าได้เร่งรีบไปรอบๆ มากเพียงใด หรือเจ้าได้สะสมต้นทุนไว้แล้วมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนความไม่มีอะไรเลยสำหรับพระเจ้า และหากพวกมันดูเหมือนว่าสำคัญจากที่ที่เจ้ายืนอยู่ เช่นนั้นแล้ว ความเข้าใจผิดและความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นหรอกหรือ?  ปัญหานี้ควรแก้ไขอย่างไร?  หากเจ้าพึงปรารถนาที่จะลดระยะห่างระหว่างเจ้ากับพระเจ้าและแก้ไขความขัดแย้งเหล่านี้ การนี้ควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าคิดว่าถูกต้องและที่เจ้ายึดติด  ในการทำเช่นนั้นจะไม่มีระยะห่างระหว่างเจ้ากับพระเจ้าอีกต่อไป และเจ้าจะยืนอยู่อย่างถูกต้องเหมาะสมในที่มั่นของเจ้า และเจ้าจะสามารถนบนอบ สามารถระลึกรู้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง สามารถปฏิเสธตัวเจ้าเองและปล่อยวางตัวเจ้าเอง  เจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อคุณความดีที่เจ้าได้รับมาในฐานะต้นทุนจำพวกหนึ่งอีกต่อไป อีกทั้งเจ้าจะไม่พยายามตั้งเงื่อนไขกับพระเจ้า หรือทำข้อเรียกร้องต่อพระองค์ หรือทูลขอรางวัลจากพระองค์  ณ เวลานี้ เจ้าจะไม่มีความลำบากยากเย็นอีกต่อไป  เหตุใดมโนคติผิดๆ ของมนุษย์ทั้งหมดเกี่ยวกับพระเจ้าจึงเกิดขึ้น?  มโนคติเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะผู้คนไม่สามารถประเมินวัดความสามารถของตนเอง กล่าวอย่างแม่นยำแล้วก็คือ พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นสรรพสิ่งจำพวกใดในสายพระเนตรของพระเจ้า  พวกเขาตีค่าตัวพวกเขาเองสูงเกินไป และประเมินฐานะของพวกเขาในสายพระเนตรของพระเจ้าสูงเกินไป และพวกเขามองเห็นสิ่งที่พวกเขาพิจารณาว่าเป็นคุณค่าและต้นทุนของบุคคลหนึ่งว่าเป็นความจริง เป็นมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้ประเมินวัดว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่  การนี้ผิด  เจ้าต้องรู้ว่าเจ้ามีพื้นที่ประเภทใดในพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงมีทัศนะต่อเจ้าอย่างไร และฐานะที่เหมาะสมที่เจ้าควรดำรงเมื่อเจ้าเข้าใกล้พระเจ้า  เจ้าควรที่จะรู้หลักธรรมนี้ ในหนทางนี้ ทัศนะของเจ้าจะตรงกับความจริงและเข้ากันได้กับทัศนะของพระเจ้า  เจ้าต้องมีเหตุผลนี้และสามารถนบนอบพระเจ้าได้ ไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ต้องนบนอบ  เช่นนั้นแล้วย่อมจะไม่มีความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับพระเจ้าอีกต่อไป  และเมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าในลักษณะของพระองค์อีกครั้ง เจ้าจะสามารถนบนอบได้มิใช่หรือ?  เจ้าจะยังคงโต้แย้งและต่อต้านพระเจ้าอยู่หรือไม่?  เจ้าจะไม่ทำอย่างนั้น  ต่อให้เจ้ารู้สึกถึงความไม่สบายใจอยู่บ้างในหัวใจของตน หรือเจ้ารู้สึกว่าการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้านั้นไม่เป็นไปอย่างที่เจ้าปรารถนาและเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าในหนทางนั้น แม้กระนั้น เนื่องจากเจ้าเข้าใจความจริงบางประการแล้วและมีความเป็นจริงบางประการ และเนื่องจากเจ้าสามารถยึดมั่นในฐานะอันถูกควรของเจ้า เจ้าย่อมจะไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าการกระทำและพฤติกรรมเหล่านั้นของเจ้าที่จะทำให้เจ้าพินาศก็จะยุติลง  และเช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะปลอดภัยมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าปลอดภัย เจ้าก็จะรู้สึกมั่นคง ซึ่งหมายความว่าเจ้าได้เริ่มเดินในเส้นทางของเปโตรแล้ว  เจ้าก็เห็นว่า เปโตรเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีนัก โดยคลำหาหนทางของเขามาหลายปีมากนักและทนทุกข์มากมายนัก  หลังจากได้มีประสบการณ์กับบททดสอบมามากมายเท่านั้นเขาจึงเข้าใจความจริงบางประการและมีความเป็นจริงความจริงบางประการในที่สุด  และตอนนี้สำหรับพวกเจ้าทุกคน เราได้พูดมามากมายนัก อธิบายทุกสิ่งอย่างชัดเจน—นี่เทียบเท่ากับการได้รับสิ่งทั้งหลายที่ประเคนใส่จานมาให้พร้อมเลย มิใช่หรือ?  พวกเจ้าได้รับมามากมายนักโดยไม่ต้องเดินทางอ้อมใดๆ พวกเจ้าทุกคนได้รับสิ่งที่คุ้มค่าทีเดียว  แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยังคงไม่รู้จักความยินดีพอใจ?  พวกเจ้าไม่ควรมีข้อร้องขอใดเพิ่มเติมอีก

วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องใดเป็นหลัก?  แง่มุมหนึ่งคือการใส่ใจที่จะตรวจสอบแง่มุมต่างๆ ของสภาวะของเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และจากนั้นก็วิเคราะห์แง่มุมเหล่านั้นเพื่อให้รู้ว่าแง่มุมเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่  อีกแง่มุมหนึ่งคือการแก้ไขความเข้าใจผิดนานัปการเกี่ยวกับพระเจ้าที่เกิดขึ้นในตัวเจ้า  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ก็ย่อมมีองค์ประกอบที่ดื้อแพ่งและลำเอียงในตัวเจ้าซึ่งจะป้องกันไม่ให้เจ้าแสวงหาความจริง  หากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของเจ้าถูกขจัด เจ้าก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้ หากความเข้าใจผิดเหล่านั้นไม่ถูกขจัด ก็จะมีความรู้สึกเหินห่างในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะอธิษฐานอย่างขอไปที  นี่คือการโกงพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงรับฟังเลย  หากเจ้ามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งสร้างระยะห่างและความเหินห่างระหว่างเจ้ากับพระองค์ และหัวใจของเจ้าก็ปิดกั้นต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่ต้องการฟังพระวจนะของพระองค์หรือแสวงหาความจริง  ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด นั่นก็จะเป็นเพียงแค่การทำไปอย่างพอเป็นพิธี ปลอมตัวเจ้าเองและหลอกลวง  เมื่อความเข้าใจผิดของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าได้รับการแก้ไข และเขาได้ก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนี้ เขาก็จะคำนึงถึงพระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำและข้อพึงประสงค์ของพระองค์แต่ละข้อด้วยความจริงใจ และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างจริงจังตั้งใจและด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์  หากมีความขัดแย้ง ระยะห่าง และความเข้าใจผิดระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมนุษย์กำลังเล่นบทบาทใด?  นั่นก็คือบทบาทของซาตาน และเป็นการต่อต้านพระเจ้า  สิ่งใดคือผลสืบเนื่องจากการต่อต้านพระเจ้า?  บุคคลเช่นนี้สามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือ?  พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถ  หากพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นย่อมจะลงเอยโดยไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาก็ย่อมจะหยุดนิ่ง  เพราะฉะนั้น เมื่อคนเราตรวจสอบสภาวะต่างๆ ของตน ในแง่หนึ่งมันถูกทำเพื่อให้รู้จักตัวคนเราเอง ขณะที่ในอีกแง่หนึ่งมันทำให้จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบว่าคนเรามีความเข้าใจผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า  ความเข้าใจผิดเหล่านี้นำมาซึ่งสิ่งใด?  มโนคติที่หลงผิด จินตนาการ การจำกัดเขต ความสงสัย การพินิจพิเคราะห์ และการคาดคะเน—สิ่งเหล่านี้เป็นหลัก  เมื่อบุคคลหนึ่งมีสิ่งเหล่านี้ภายในตัวพวกเขา พวกเขาย่อมเข้าใจพระเจ้าผิด  เมื่อเจ้าติดอยู่ในสภาวะเหล่านี้ ปัญหาก็เกิดขึ้นในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า  เจ้าต้องแสวงหาความจริงในฉับพลันเพื่อแก้ไขมัน—และเจ้าต้องแก้ไขมัน  บางคนคิดว่า “ฉันเกิดมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้จนกว่าฉันจะแก้ไขประเด็นปัญหานี้”  การนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่?  ยอมรับไม่ได้  จงอย่าเลื่อนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าออกไป แต่จงปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและแก้ไขประเด็นปัญหาของเจ้าในเวลาเดียวกัน  ขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ความเข้าใจผิดของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ และเจ้าจะค้นพบว่าปัญหาของเจ้าเกิดจากที่ใดและร้ายแรงเพียงใด  สักวันหนึ่ง พวกเจ้าอาจสามารถตระหนักได้ว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระผู้สร้างทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันตลอดกาล แก่นแท้ของเรื่องนี้ไม่เปลี่ยนแปลง  สถานะของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง และสถานะของพระเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด และต่อให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมองเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นผิด ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ อีกทั้งฉันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง  พระเจ้าทรงเป็นความจริงสูงสุด ไร้ความผิดชั่วนิรันดร์  มนุษย์ควรยึดมั่นในฐานะอันถูกควรของเขา เขาไม่ควรพินิจพิเคราะห์พระเจ้า แต่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและยอมรับพระวจนะทั้งหมดของพระองค์  ทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสและทรงทำนั้นถูกต้อง  มนุษย์ไม่ควรทำข้อเรียกร้องต่างๆ ต่อพระเจ้า—สิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น  ต่อให้พระเจ้าทรงต้องปฏิบัติต่อฉันในฐานะของเล่น ฉันก็ยังคงควรนบนอบ และหากฉันไม่นบนอบ นั่นก็ย่อมเป็นปัญหาของฉัน ไม่ใช่ของพระเจ้า”  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับแง่มุมนี้ของความจริง เจ้าก็จะเข้าสู่การนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และเจ้าจะไม่มีความลำบากยากเย็นสาหัสอีกต่อไป และไม่ว่าเจ้าจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือกำลังปฏิบัติแง่มุมต่างๆ ของความจริง ความลำบากยากเย็นมากมายก็จะได้รับการแก้ไข  การนบนอบพระเจ้าเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การนี้เป็นความจริงที่ลุ่มลึกที่สุด  หลายครั้งแล้ว เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นต่างๆ เมื่อมีอุปสรรคต่างๆ หรือเมื่อพวกเขาเผชิญบางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้ สาเหตุคืออะไร?  (พวกเขาไม่ได้กำลังยืนอยู่ในฐานะที่ถูกต้อง)  พวกเขากำลังยืนอยู่ในฐานะที่ผิด  พวกเขามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาต้องการพินิจพิเคราะห์พระเจ้าและไม่ต้องการปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า พวกเขาต้องการปฏิเสธความถูกต้องของพระเจ้า และพวกเขาต้องการปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง  การนี้แสดงนัยว่ามนุษย์ไม่ต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่อยากอยู่ในระดับที่เทียบเท่าพระเจ้า อยากจับผิดพระองค์  นี่จะก่อให้เกิดความยากลำบาก  หากเจ้าสามารถทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และยึดมั่นในที่ทางของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้วไซร้ โดยแก่นแท้แล้วก็จะไม่มีความรู้สึกคัดค้านต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเกิดขึ้นในตัวเจ้า  เจ้าอาจมีความเข้าใจผิดบ้าง และเจ้าอาจมีมโนคติที่หลงผิดบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุด ท่าทีของเจ้าจะเป็นท่าทีแห่งความเต็มใจที่จะยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าจะมีสภาวะแห่งความเต็มใจที่จะนบนอบต่อพระเจ้า ดังนั้นจึงจะไม่มีการต้านทานพระเจ้าเกิดขึ้นในตัวเจ้า

แม้ว่าโยบจะมีความเชื่อ ตอนแรกเมื่อบททดสอบของพระเจ้ามาถึงเขา เขารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?  (ไม่รู้)  มนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะเจาะเข้าไปในโลกวิญญาณได้โดยตรง โยบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นั่น—เขาไม่ตระหนักรู้สิ่งใดเลย  ดังนั้น เมื่อบททดสอบของพระเจ้ามาถึงเขา เขาย่อมสับสนอย่างแน่นอน โดยคิดว่า “โอ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่?  ทุกสิ่งเคยมีสันติสุขอย่างมาก เพราะเหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน?  เพราะเหตุใดฉันจึงสูญสิ้นปศุสัตว์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฉันไปอย่างกะทันหัน?”  ตอนแรกเขาสับสน แต่ความสับสนไม่ได้เทียบเท่ากับการมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ความสับสนไม่ได้เทียบเท่ากับการไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ  นั่นเป็นเพียงเพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก โยบไม่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า และไม่มีใครบอกให้เขารู้ล่วงหน้า—เขาจึงไม่ได้เตรียมตัวไว้เลย  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตัดสินใจเลือกผิด หรือเลือกเส้นทางที่ผิด หรือเขาจะไม่สามารถนบนอบได้  แล้วต่อจากนั้นโยบทำเช่นไร?  เขาย่อมสงบหัวใจของตนอย่างแน่นอนและคิดทบทวนการกระทำของตนอย่างจริงจัง และเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้า  หลังจากแสวงหาอยู่สองสามวัน เขาก็ได้ข้อสรุปว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  การที่โยบกล่าวถ้อยแถลงนี้แสดงถึงทัศนะของเขาและเส้นทางที่เขาเดิน  แม้ว่าโยบจะสับสนในตอนแรกเมื่อบททดสอบมาถึงเขา แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและไม่ใช่เจตจำนงของมนุษย์  หากพระเจ้ามิได้ทรงอนุญาต ย่อมไม่มีใครสามารถแตะต้องสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ผู้คนได้ ไม่เว้นแม้แต่ซาตาน  จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนโยบจะมีความเข้าใจผิดอยู่บ้างเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับเขาหรือพระเจ้าทรงมีเจตนาใด  เขาไม่ได้เข้าใจอย่างหมดจด แต่ความเข้าใจผิดของเขาไม่ใช่การไม่ยอมรับหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ ความเข้าใจผิดของโยบเป็นประเภทที่พระเจ้าทรงยอมให้ได้  ภายหลังจากการนี้ เขาก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะริบเอาทุกสิ่งที่เขามี และสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำนั้นถูกต้อง เขาจึงคุกเข่าลงเพื่อยอมรับการนี้ทันที  คนธรรมดาสามัญสามารถไปถึงระดับนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถ  ไม่ว่าในเวลานั้นโยบจะรู้สึกสับสนเพียงใด หรือต้องใช้เวลานานเพียงใดเขาจึงคุกเข่าลงและยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ท่าทีของเขาก็คือการยืนอยู่ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่เสมอ  เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ เขาไม่ได้กล่าวว่า “ฉันมั่งคั่งและมีคนรับใช้มากมาย สิ่งเหล่านี้จะถูกเอาไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?  ฉันจำเป็นต้องบอกคนรับใช้ของฉันให้นำสิ่งเหล่านี้กลับมาทันที”  เขาได้ทำเช่นนั้นหรือไม่?  เขาไม่ได้ทำ  เขารู้ชัดเจนในหัวใจของตนว่านี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และมนุษย์ไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้  การเข้าไปข้องเกี่ยวจะหมายถึงการต่อต้านสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำและการต่อต้านสิ่งทั้งปวงที่ได้เกิดขึ้นกับเขา  ในเวลานั้นเขามิได้เอ่ยคำพร่ำบ่นสักคำเดียว และเขาก็มิได้ตัดสินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือแทรกแซงเพื่อพยายามให้ทุกสิ่งพลิกกลับมา  เขาเพียงแค่รอคอยและเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ ว่าสิ่งทั้งหลายจะคลี่คลายไปอย่างไร โดยมองดูว่าพระเจ้าจะทรงทำอย่างไร  ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่โยบทำก็คือการยึดมั่นในที่ทางที่เหมาะควรของเขา กล่าวคือ เขายึดมั่นในที่ทางของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือการปฏิบัติของเขา  แม้ว่าโยบจะสับสนอยู่บ้างเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับเขา แต่เขาก็สามารถแสวงหาและยอมรับว่าสิ่งทั้งปวงที่พระผู้สร้างทรงทำนั้นถูกต้อง และจากนั้นเขาก็นบนอบ  เขาไม่ได้ใช้แบบแผนของมนุษย์ในการแก้ไขประเด็นปัญหานี้  เมื่อพวกโจรมา เขาก็ปล่อยให้พวกเขาหยิบฉวยสิ่งที่พวกเขาอาจหยิบฉวยไปได้ เขาไม่ได้กระทำตามความหุนหันพลันแล่นของตนที่จะต่อสู้กับพวกโจร  เขาคิดในหัวใจว่า “หากพระเจ้ามิได้ทรงอนุญาต พวกเขาย่อมไม่สามารถหยิบฉวยสิ่งใดไปได้  ตอนนี้ที่พวกเขาได้เอาทุกสิ่งไปแล้ว ก็ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงอนุญาตการนี้  การแทรกแซงใดๆ ของมนุษย์ย่อมจะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์  ผู้คนไม่สามารถกระทำตามความหุนหันพลันแล่นของตนได้ พวกเขาไม่อาจแทรกแซงได้”  การไม่เข้าไปแทรกแซงไม่ได้หมายความว่าเขาอดทนต่อพวกโจร ไม่ได้เป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอหรือความกลัวพวกโจร  ทว่าเป็นเพราะเขาเกรงกลัวพระหัตถ์ของพระเจ้าและเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  เขากล่าวว่า “ปล่อยให้พวกเขาเอาไปเถิด  ถึงอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมา”  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรกล่าวเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เขาไม่มีคำพร่ำบ่นใดๆ  เขาไม่ได้ส่งใครมาต่อสู้หรือเอาสิ่งทั้งหลายของเขากลับคืนไปหรือคุ้มครองสิ่งทั้งหลายของเขาเลย  การนี้เป็นการสำแดงการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เขาสามารถทำเช่นนี้ได้เพียงเพราะเขามีความเข้าใจที่แท้จริงในอธิปไตยของพระเจ้า  หากปราศจากความเข้าใจนี้ เขาคงจะใช้แบบแผนของมนุษย์ในการต่อสู้และนำสิ่งทั้งหลายของเขากลับคืนมา และพระเจ้าจะทรงมองการนี้อย่างไร?  การนี้ไม่ใช่การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  การนี้ขาดพร่องความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายที่กระทำโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า และการเชื่อในพระองค์ตลอดหลายปีมานี้ก็คงจะเปล่าประโยชน์  การมีความสุขเมื่อพระเจ้าประทานให้ทว่าขุ่นเคืองใจเมื่อพระองค์ทรงเอาสิ่งทั้งหลายไป โดยรู้สึกอิดออดและต้องการจะหยิบฉวยสิ่งเหล่านั้นกลับมาโดยใช้กำลังบังคับ ไม่ยินดีพอใจกับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ ไม่ต้องการสูญสิ้นสิ่งเหล่านี้ ยอมรับเพียงบำเหน็จของพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับการริบสิทธิ์ของพระองค์ ไม่ต้องการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า—นี่เป็นการปฏิบัติตนตามฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือความเป็นกบฏ นี่คือการต่อต้าน  ผู้คนแสดงพฤติกรรมเหล่านี้บ่อยๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  การนี้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่โยบทำโดยสิ้นเชิง  โยบแสดงออกอย่างไรว่าเขาสามารถยำเกรงพระยาห์เวห์ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบและยอมรับบททดสอบของพระเจ้า และยอมรับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เขา?  เขาร้องเรียกหรือไม่?  เขาพร่ำบ่นหรือไม่?  เขาใช้วิถีทางและแบบแผนทุกประเภทของมนุษย์เพื่อให้ได้ทุกสิ่งกลับคืนมาหรือไม่?  ไม่—เขาเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงเอาไปอย่างเสรี  นี่คือการมีความเชื่อมิใช่หรือ?  เขามีความเชื่อที่แท้จริง ความเข้าใจที่แท้จริง และการนบนอบที่แท้จริง  ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เรียบง่าย ทุกสิ่งล้วนต้องอาศัยระยะเวลาหนึ่งในการมีประสบการณ์ แสวงหา และโอบรับ  โยบสามารถแสดงออกถึงการสำแดงเหล่านี้ได้เมื่อเขามีความเข้าใจพระผู้สร้างในระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น  ตอนสุดท้ายโยบกล่าวว่าอย่างไร?  (“พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21))  และภรรยาของโยบกล่าวว่าอย่างไร?  “จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9)  นางหมายความว่า “จงเลิกเชื่อเถิด  หากเธอเชื่อในพระเจ้าจริงๆ เหตุใดเธอจึงเผชิญกับภัยพิบัติ?  นี่เป็นผลกรรมสนองมิใช่หรือ?  เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ?  บางทีความเชื่อของเธออาจไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?”  โยบตอบภรรยาของเขาว่าอย่างไร?  เขาบอกว่า “เธอพูดอย่างหญิงโง่เขลาจะพึงพูด” (โยบ 2:10)  โยบกล่าวว่าภรรยาของเขานั้นโง่เขลา นางไม่มีความเชื่อและความเข้าใจที่แท้จริงในพระเจ้า ซึ่งเป็นเหตุให้นางสามารถกล่าวคำพูดที่ต่อต้านพระเจ้าได้  ภรรยาของโยบไม่รู้จักพระเจ้า  เมื่อสิ่งสำคัญเช่นนี้เกิดขึ้นซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ นางกลับไม่สามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ และถึงกับแนะนำโยบโดยบอกว่า “เธอเลือกเส้นทางผิดแล้ว  จงเลิกเชื่อและละทิ้งพระเจ้าของเธอ”  เป็นสิ่งที่ได้ยินแล้วน่าเดือดดาลนัก!  เหตุใดนางจึงกระตุ้นโยบให้ละทิ้งพระเจ้า?  เพราะนางสูญสิ้นทรัพย์สินของนางไปและไม่สามารถเพลิดเพลินกับการใช้ทรัพย์สินนั้นได้อีกต่อไป  นางได้กลายสภาพจากหญิงผู้มั่งคั่งไปเป็นยาจกที่ไม่มีสมบัติติดตัวเลย  นางไม่พอใจกับการริบของพระเจ้า ดังนั้นนางจึงบอกโยบให้เลิกเชื่อ ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า “ฉันไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว และเธอก็ไม่ควรเชื่อเช่นกัน  ครัวเรือนที่ดีพร้อมบริบูรณ์ถูกปอกลอกไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้พวกเราเลย  ในชั่วพริบตา พวกเราก็สูญสิ้นทุกสิ่งไป ความมั่งคั่งของพวกเรากลายเป็นความยากจน การเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า?  จงเลิกเชื่อเถิด!”  คำพูดเหล่านี้โง่เขลามิใช่หรือ?  นี่คือวิธีที่เธอแสดงออก  โยบฟังนางหรือไม่?  เขาไม่ได้ฟัง เขาไม่ได้ถูกนางชักพาให้หลงผิดหรือรบกวน และเขาก็ไม่ได้ยอมรับทัศนะของนาง  เหตุใดจึงไม่เป็นเช่นนั้น?  เพราะโยบยึดมั่นกับถ้อยแถลงหนึ่งที่ว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10)  เขาคิดว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติอย่างมาก  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำเช่นไรย่อมถูกต้อง ผู้คนควรยอมรับเรื่องนี้เสีย  ผู้คนไม่ควรเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อการแสวงหาพรเท่านั้น  ฉันได้เพลิดเพลินกับพรของพระเจ้ามาหลายปีมากแล้วโดยไม่ได้ทำสิ่งใดให้พระเจ้าเลย—บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะเป็นพยานให้พระองค์  สิ่งใดที่พระเจ้าทรงเอาไปนั้นเป็นของพระองค์ พระองค์อาจจะทรงเอาสิ่งนั้นไปเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการ  ผู้คนไม่ควรมีข้อร้องขอ พวกเขาควรยอมรับและนบนอบเท่านั้น”  แล้วเจ้าควรได้รับพรจากการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นใช่หรือไม่?  เมื่อคนเราสามารถจับความเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะมีความเชื่อ

สิ่งใดก็ตามที่พระผู้สร้างทรงทำนั้นถูกต้องและเป็นความจริง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใด อัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ทุกคนควรนมัสการพระองค์  พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านิรันดร์และเป็นพระเจ้านิรันดร์ของมนุษยชาติ  ข้อเท็จจริงนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  ผู้คนไม่สามารถยอมรับพระองค์ในฐานะพระเจ้าเฉพาะเมื่อพระองค์ประทานพรสวรรค์ให้พวกเขาเท่านั้น หรือไม่ยอมรับพระองค์ในฐานะพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงริบสิ่งทั้งหลายจากพวกเขา  นี่เป็นทัศนะอันผิดพลาดของมนุษย์ ไม่ใช่ความผิดพลาดในการกระทำของพระเจ้า  หากผู้คนเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน และลึกลงไป หากพวกเขาสามารถยอมรับได้ว่านี่เป็นความจริง เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าย่อมจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ายอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น เจ้าก็ไม่เข้าใจพระองค์ และเจ้าถึงกับพร่ำบ่นและไม่มีการนบนอบที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้ากล่าวว่าเจ้ายอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง นั่นจึงไร้ความหมาย  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหัวใจของเจ้าควรจะสามารถยอมรับความจริงได้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าควรจะสามารถมองเห็นได้ว่าการกระทำของพระเจ้านั้นถูกต้อง และพระองค์ทรงชอบธรรม  นี่คือบุคคลประเภทที่เข้าใจพระเจ้า  มีผู้เชื่อจำนวนมากที่มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอนเท่านั้น  พวกเขายอมรับทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง และพวกเขาก็ไม่นบนอบ  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด  สิ่งที่เจ้ามักจะพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด แต่เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของตัวเจ้าเอง เจ้าก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้  เจ้าโต้เถียงกับพระเจ้า โดยคิดว่าพระเจ้าไม่ควรทรงทำอย่างนี้หรืออย่างนั้น  เจ้าไม่สามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า และไม่แสวงหาความจริงหรือคิดทบทวนเรื่องความเป็นกบฏของเจ้า  นั่นหมายความว่าเจ้าไม่นบนอบพระเจ้า  เจ้าชอบโต้เถียงกับพระเจ้าเป็นนิตย์ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าข้อโต้แย้งของเจ้านั้นเหนือกว่าความจริง และหากเจ้าสามารถขึ้นเวทีเพื่อบอกเล่าข้อโต้แย้งเหล่านั้นได้ คนจำนวนมากย่อมจะสนับสนุนเจ้า  แต่ต่อให้มีคนจำนวนมากสนับสนุนเจ้า พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  ผู้สนับสนุนและผู้ที่ได้รับการสนับสนุนล้วนเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามมิใช่หรือ?  พวกเขาล้วนแต่ขาดไร้ซึ่งความจริงมิใช่หรือ?  ต่อให้มวลมนุษย์ทุกคนสนับสนุนเจ้าและต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าก็ยังทรงถูกต้องอยู่ดี  มนุษยชาติยังคงเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้อง กบฏต่อพระเจ้าและรู้สึกคัดค้านพระเจ้า  นี่เป็นเพียงการแสดงออกใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  นี่คือข้อเท็จจริง นี่คือความจริง  ผู้คนต้องไตร่ตรองและมีประสบการณ์กับความจริงในแง่มุมนี้อยู่เนืองนิจ  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในสามช่วงระยะ และในแต่ละช่วงระยะก็มีผู้คนมากมายที่ต่อต้านการนั้น  ดังเช่นตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไถ่บาปของพระองค์ คนอิสราเอลทั้งมวลก็ลุกขึ้นต่อต้านพระองค์  แต่ตอนนี้มีมนุษยชาติหลายพันล้านคนที่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด  ผู้เชื่อในพระองค์ก็แพร่กระจายไปทั่วโลก  องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่บาปให้มนุษยชาติทั้งมวลแล้ว  นี่คือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าประชากรของประเทศใดต้องการที่จะไม่ยอมรับเรื่องนี้ นั่นย่อมไร้ประโยชน์  ไม่ว่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามจะประเมินวัดพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร พระราชกิจของพระเจ้าและความจริงที่พระเจ้าตรัสนั้นย่อมถูกควรและถูกต้องเสมอ  ไม่ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากเพียงใดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลที่ลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้า นั่นย่อมไร้ประโยชน์  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง พระองค์ไม่ทรงทำแม้กระทั่งความผิดพลาดที่เล็กน้อยที่สุด  เนื่องจากมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่มีความจริงและไม่สามารถมองเห็นความสำคัญและแก่นแท้ของพระราชกิจของพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์ สิ่งที่พวกเขาพูดจึงไม่เป็นไปตามความจริงเลย  ต่อให้เจ้าต้องสรุปทฤษฎีทั้งหมดของมนุษยชาติ ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังคงจะไม่ใช่ความจริง  ทฤษฎีเหล่านั้นไม่อาจมีน้ำหนักมากกว่าพระวจนะประการใดของพระเจ้า หรือถ้อยคำแห่งความจริงใดๆ  นี่คือข้อเท็จจริง  หากผู้คนไม่เข้าใจเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้อย่างช้าๆ  เงื่อนไขเบื้องต้นของประสบการณ์นี้คืออะไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องรับรู้และยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง  จากนั้น เจ้าก็ต้องไปปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น  ก่อนที่เจ้าจะรู้ตัว เจ้าจะค้นพบว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง—นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน  ณ จุดนั้น เจ้าจะเริ่มหวงแหนพระวจนะของพระเจ้า ให้ความสำคัญกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และจะสามารถยอมรับความจริงเข้ามาในหัวใจของเจ้า และทำให้ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า

10 กันยายน ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี

ถัดไป: การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger