หน้าที่ของเราไม่ใช่อาชีพของเรา
ปีที่แล้วฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรสองแห่งในส่วนผู้มาใหม่ บางครั้ง ต้องมีการย้ายคนจากคริสตจักรเราให้ไปทำหน้าที่ที่อื่น ตอนแรกฉันก็ยินดีให้ความร่วมมือและจะแนะนำคนทันที แต่พอผ่านไปสักพัก ฉันตระหนักว่าเมื่อคนเก่งๆ ถูกย้ายไป การทำงานให้เสร็จก็ยากขึ้น ฉันกังวลว่า มันอาจกระทบการปฏิบัติงานของฉัน และผู้นำจะปลดฉันเพราะทำงานไม่ได้ผลลัพธ์ และสถานะของฉันจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยพร้อมและไม่เต็มใจจัดหาคน หลังจากนั้นไม่นาน ฉันสังเกตว่าพี่รันนา ผู้เชื่อใหม่มีขีดความสามารถที่ดี กระตือรือร้นในการไล่ตาม อ่านพระวจนะพระเจ้าและดูวิดีโอของคริสตจักร และมักถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริง ฉันรู้ว่า คริสตจักรเราต้องการหัวหน้าทีมให้น้ำ และฉันควรส่งเสริมให้เธอรับตำแหน่งนั้นทันที ฉันจึงช่วยเหลือเธอเยอะมาก ให้เธอเข้าใจความจริงมากขึ้นและรับตำแหน่งได้ ไม่ใช่แค่ได้ให้น้ำผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แต่ฉันคิดว่ามันจะดูเหมือนฉันได้ผลลัพธ์ด้วย และผู้คนจะคิดว่าฉันมีความสามารถจริงๆ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง วันหนึ่งผู้นำคนหนึ่งบอกฉัน ว่าอีกคริสตจักรหนึ่งต้องการคนให้น้ำ และเพราะพี่รันนาทำงานได้ดีและเป็นแรงบันดาลใจ เธอจึงควรไปทำหน้าที่นั้นในคริสตจักรนั้น ฉันอารมณ์เสียมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉันคิดว่า ฉันส่งเสริมเธอให้เป็นหัวหน้าทีมให้น้ำ คิดว่าคริสตจักรนั้นไม่ใช่คริสตจักรเดียวที่ต้องการคน ฉันรู้สึกต่อต้านมันจริงๆ ค่ะ ไม่กี่วันจากนั้น ผู้นำก็หยิบยกความคิดที่จะย้ายพี่รันนาขึ้นมาอีกครั้ง โดยบอกว่าเธอมีขีดความสามารถ อาจฝึกฝนให้รับผิดชอบมากขึ้นได้ ฉันเกิดต้านทานขึ้นมา และคิดว่า “อยากให้เธอไปอย่างนั้นเลยเหรอ? ถ้างานของคริสตจักรเราประสบปัญหาต่อไป ฉันก็จะถูกปลดนะ” ฉันเลยพูดว่า “ฉันคิดว่าให้เธออยู่ที่นี่ก็ได้ และรับการปลูกฝังให้รับตำแหน่งผู้นำ” ฉันรู้ว่ามีผู้มาใหม่เพิ่มขึ้นในคริสตจักรนั้นและพวกเขาจำเป็นต้องให้น้ำมากขึ้น ฉันไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าฉันจะไม่ปล่อยเธอไป แต่ฉันเต็มไปด้วยความโกรธที่ข่มเอาไว้ ฉันรู้สึกแย่ และฉันก็ไม่สามารถยอมรับได้ ก่อนหน้านั้นไม่นาน ผู้นำได้ย้ายหัวหน้าทีมสองคนไปจากคริสตจักรเรา ฉันจึงต้องหาคนมาเติมในตำแหน่งที่ว่าง ปลูกฝังคนใหม่ๆ อยู่ตลอด และที่สำคัญที่สุด คนที่เป็นตัวเลือกดีๆ นั้นหายากมาก ถ้าฉันไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี ฉันก็ไม่มีทางได้รับโอกาสทำให้ตัวเองดูดี ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่นั้นไม่ได้ และฉันก็ทุกข์ระทมมากขึ้น ฉันรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมเลยจริงๆ และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผู้นำเห็นแล้วก็สามัคคีธรรมกับฉันถึงข้อพึงประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจฟังเลย ต่อมาเธอพูดว่าด้วยการทำแบบนั้น ฉันกำลังขัดขวางงานของคริสตจักร แต่ฉันไม่สามารถยอมรับได้เลย ฉันคิดว่า “แต่นี่ไม่ใช่เพราะฉันคำนึงถึงงานของคริสตจักรเราเหรอ? ถ้าคุณคิดว่าฉันกำลังขวางทาง ก็เชิญเลย ไล่ฉันออกได้เลย แล้วฉันจะไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มอีก” ฉันรู้สึกแย่ตอนที่คิดถึงมันแบบนั้น ฉันจึงอธิษฐาน “พระเจ้า ข้าพระองค์เพียงไม่อาจนบนอบต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ ข้าพระองค์รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมเลยจริงๆ ได้โปรด ทรงนำข้าพระองค์ ให้เข้าใจปัญหาของตัวเองได้ด้วยเถิด”
ตอนนั้น ฉันไตร่ตรอง ว่าทำไมกันนะ เมื่อผู้นำต้องเปลี่ยนแปลงอะไรตามปกติ คนอื่นๆ ก็ไม่ว่าอะไร แต่ฉันเป็นคนที่มีปัญหา ฉันต้องสู้กับมัน ในใจของฉันรู้สึกต่อต้านมันอย่างหนัก และไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งที่ฉันทำตัวแบบนั้น ทำไมมันถึงยากนักที่ฉันจะนบนอบ? จากนั้นฉันก็นึกได้ถึงพระวจนะพระเจ้าบทตอนนี้ “หน้าที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการโดยเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้าเองหรืองานของเจ้าเอง ตรงกันข้าม นั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ความร่วมมือของเจ้า ซึ่งทำให้เกิดหน้าที่ของเจ้าขึ้นมา พระราชกิจของพระเจ้าในส่วนซึ่งมนุษย์ต้องร่วมมือก็คือหน้าที่ของเขา หน้าที่คือส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่อาชีพของเจ้า ไม่ใช่กิจการในครอบครัวของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่กิจการส่วนตัวในชีวิตของเจ้าด้วย ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเกี่ยวข้องกับกิจการภายนอกหรือภายในก็ตาม นั่นคือพระราชกิจในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นก่อเกิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และนั่นคือภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า นั่นไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าควรปฏิบัติกับหน้าที่ของเจ้าอย่างไร? ด้วยเหตุนี้เองเจ้าจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางใดก็ได้ที่เจ้าพอใจ” (“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “หน้าที่คืออะไรกันแน่? เป็นธรรมหรือไม่ที่จะพูดว่า ทันทีที่เจ้าได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ก็กลายเป็นกิจธุระส่วนบุคคลของเจ้า? ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ทันทีที่ฉันได้รับมอบหน้าที่แล้ว หน้าที่นี้ไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ? หน้าที่ของฉันคือการควบคุมดูแลของฉัน แล้วสิ่งที่ฉันได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลนั้นไม่ใช่กิจธุระของฉันเองหรอกหรือ? หากฉันจัดการรับมือกับหน้าที่ของฉันดังกิจธุระของตัวฉันเอง นั่นไม่หมายความว่าฉันจะทำหน้านั้นอย่างถูกต้องเหมาะสมหรอกหรือ? หากฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อหน้าที่นั้นเสมือนเป็นกิจธุระของฉันเอง ฉันจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกระนั้นหรือ?’ คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือผิด? คำพูดเหล่านี้ผิด คำพูดเหล่านี้ไม่ลงรอยกันกับความจริง หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนบุคคลของเจ้าเอง หน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า และเจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ ซึ่งเป็นกรณีของการที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ให้ไปสู่มาตรฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับ หากหน้าที่นั้นถูกดำเนินการไปตามวิสัยทัศน์ของเจ้า ตามข้อเรียกร้องของเจ้า ตามมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของเจ้า เช่นนั้นแล้ว หน้าที่นั้นย่อมจะไม่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ด้วยเหตุที่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นไม่ใช่งานซึ่งอยู่ภายในขอบเขตของการบริหารจัดการของพระเจ้า นั่นไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ากำลังดำเนินปฏิบัติการของเจ้าเอง และด้วยเหตุนี้นั่นจึงไม่ได้รับการรำลึกเป็นอนุสรณ์โดยพระเจ้า” (“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้รู้ตัว ว่าหน้าที่ไม่ใช่อาชีพ มันไม่ใช่งานของฉัน มันคือพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้นมันจึงควรเป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและของพระนิเวศ ฉันไม่ควรทำตามที่ตัวเองอยากทำ ตามความปรารถนาและแผนการส่วนตัว มันอาจดูเหมือนฉันกำลังทำงานเยอะมาก แต่นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ มันคือการดำเนินกิจการของตัวเอง และต้านทานพระเจ้า เมื่อนึกย้อนกลับไป เวลาที่ถูกขอให้จัดหาใครสักคน ฉันกังวลว่าถ้าปล่อยสมาชิกคริสตจักรที่มีขีดความสามารถไป คริสตจักรเราก็จะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดี และฉันอาจสูญเสียตำแหน่งของฉันได้ ฉันไม่อยากจัดหาคน ฉันจะได้ปกป้องชื่อเสียงและสถานะตัวเอง ฉันรู้ว่าในทางทฤษฎี หน้าที่ฉันได้รับจากพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ในทางปฏิบัติ ฉันปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นธุรกิจของตัวเอง งานของฉันเอง ตั้งแต่ที่ฉันได้รับงานนั้นมา ฉันก็คิดว่ามันเป็นธุรกิจของฉัน และฉันเป็นคนตัดสิน ฉันเต็มใจช่วยจัดหาคน ก็ต่อเมื่อมันไม่ส่งผลกระทบต่องานฉัน แต่ทันทีที่มันส่งผลกระทบ ฉันก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาด ดังนั้นพอรู้ว่าพี่รันนากำลังจะถูกย้ายไป ฉันก็รู้สึกผิดหวังและไม่อยากปล่อยเธอไป ฉันรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเลย ถึงกับอยากปลดปล่อยความโกรธ อยากเลิกทำหน้าที่ นั่นมันการทำหน้าที่ตรงไหน? เห็นชัดอยู่ว่าฉันขัดขวางงานและทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก ฉันไม่ได้ค้ำจุนผลประโยชน์ของพระนิเวศ หรือพยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่กำลังวางแผนเพื่อตัวเอง โดยใช้หน้าที่เป็นโอกาสที่จะทำงานเพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ฉันทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนั้นไปเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะทำงานมากแค่ไหน พระเจ้าก็ทรงไม่เคยทำให้เป็นที่เชิดชู พระเจ้าทรงมอบหน้าที่นั้นให้ฉัน งานนั้นก็เพื่อพระนิเวศ ฉันควรร่วมมือด้วยความกระตือรือร้นเวลาที่คริสตจักรต้องการใครสักคน ฉันจะต้องไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น ไม่คิดถึงแค่ตัวเอง
ในการชุมนุมวันต่อมา ผู้นำได้กล่าวว่า งานของผู้นำคริสตจักรคือการให้น้ำพี่น้องชายหญิง พร้อมกันนั้นก็ปลูกฝังผู้คนเพื่อให้ทุกคนได้ทำหน้าที่ที่เหมาะกับตัวเอง พอได้ยินอย่างนั้นมันเหมือนการปลุกให้ฉันตื่นจากฝันค่ะ เธอพูดถูก การให้น้ำพี่น้องชายหญิงและช่วยให้พวกเขาพบหน้าที่ที่เหมาะสม เป็นส่วนหนึ่งของงานของฉัน แต่เมื่อพระนิเวศต้องการใครสักคน แม้จะไม่กล้าปฏิเสธ ฉันก็สู้กับมันในใจ หาข้ออ้างต่างๆ นานาที่จะไม่ทำ นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่ ฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบในบทบาทนั้นด้วยซ้ำ แต่ยังรู้สึกอิ่มเอมใจ ฉันไม่ได้ไตร่ตรองตนเอง แต่กลับยืนขวางทางงานของคริสตจักร ฉันขัดขวางงานของคริสตจักรอย่างที่พี่เขาพูดไม่ใช่เหรอ? ฉันจำได้ ในตอนแรกที่รับหน้าที่ ฉันเพียงต้องการทำส่วนของฉันในงานข่าวประเสริฐของพระนิเวศ แต่ฉันกลับกลายเป็นอุปสรรค สิ่งกีดขวาง เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกเสียใจและอยากกลับใจต่อพระเจ้าค่ะ
สองสามวันต่อมา ผู้นำได้ส่งข้อความ ขอให้ฉันย้ายสมาชิกทีมข่าวประเสริฐสองสามคนไปอีกคริสตจักร ตอนที่เห็นข้อความ ฉันรู้สึกสงบมาก และเห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งนี้เพื่อให้โอกาสฉันได้ปฏิบัติความจริง แต่ตอนที่ประเมินสมาชิกในทีม ฉันรู้สึกไม่เต็มใจที่จะแยกจากกับพวกเขา และสงสัย ว่าฉันต้องปล่อยพี่น้องหญิงที่เก่งที่สุดสองคนในทีมไปจริงๆ เหรอ หรือฉันอาจย้ายสมาชิกสองคนที่ไม่ค่อยเก่งนักได้ไหมนะ ตอนที่คิดเช่นนั้น ฉันก็รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและทำผิดพลาดแบบเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที๋ฉันอยากแบ่งปันค่ะ “หัวใจของผู้คนที่ชั่วและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง แผนการ และกลอุบายส่วนบุคคลของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ง่ายที่จะละวางหรือไม่? (ไม่ง่าย) เคล็ดลับสำหรับการนี้คือการมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีแม้ในยามที่เจ้าไม่มีความสามารถที่จะละวางสิ่งเหล่านี้ได้ อันที่จริงแล้วนั่นไม่ยากลำบาก กล่าวคือ เจ้าก็แค่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถที่จะจำแนกความต่างได้ หากมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้า และมีความสำคัญเป็นพิเศษ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมต้องไม่เลื่อนสิ่งนั้นออกไป ทำความผิดพลาด ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือก่อความไม่สงบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือหลักธรรมที่เจ้าควรติดตาม หากผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้รับอันตราย แต่ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของเจ้าถูกดึงเข้าไปเสี่ยงอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรยอมรับการที่สิ่งเหล่านั้นถูกดึงเข้าไปเสี่ยง และไม่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า อันจะเป็นเส้นต้องห้าม หากเจ้าทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าวุ่นวายเพื่อที่จะสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงอันน้อยนิดทั้งหลาย และความถือดีของเจ้า ผลสืบเนื่องในท้ายที่สุดสำหรับเจ้าจะเป็นสิ่งใดหรือ? เจ้าย่อมจะถูกเปลี่ยนตัว และอาจถูกกำจัดทิ้ง เจ้าจะได้รับความพิโรธแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอาจไม่มีโอกาสอันใดอีกเลย จำนวนครั้งของโอกาสที่พระเจ้าทรงให้แก่ผู้คนนั้นมีขีดจำกัด ผู้คนได้รับโอกาสที่จะถูกพระเจ้าทรงทดสอบกี่ครั้งกันหรือ? การนี้กำหนดพิจารณาไปตามแก่นแท้ของพวกเขา หากเจ้าทำให้โอกาสเหมาะที่เจ้าได้รับนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด และมีความสามารถที่จะวางความครบบริบูรณ์ของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไว้ข้างหน้าก่อนความภาคภูมิใจและความถือดีของเจ้าเองได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีกรอบความคิดที่ถูกต้อง” (“โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผู้นำเตรียมการอย่างนั้นก็เพราะมันจำเป็นต่องานของพระนิเวศ แต่ฉันหน่วงเหนี่ยวเรื่องนั้น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสถานะของตัวเองไม่ได้ ฉันกังวลมาตลอดว่าถ้าสมาชิกที่เก่งๆ ในทีมถูกย้ายไป งานของคริสตจักรเราก็จะเสียหาย และฉันจะถูกปลด ใครจะถูกไล่ออกเพราะค้ำจุนผลประโยชน์ของพระนิเวศและเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า? ไม่มีค่ะ คนที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ที่ไม่ยอมปล่อยสมาชิกเก่งๆ ในทีมไป ทำให้เกิดผลกระทบต่องานและผลประโยชน์ของพระนิเวศ ถึงจะเป็นคนที่ถูกไล่ออกและถูกกำจัดทิ้ง และถึงฉันจะรั้งพี่น้องหญิงเหล่านั้นไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคริสตจักรเราจะทำได้ดีเสมอไป แรงจูงใจของฉันมันผิด ถ้าฉันปกป้องชื่อและตำแหน่ง ก็จะไม่ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ได้ยังไงถ้าไม่มีพระพรจากพระเจ้า? ความคิดเช่นนี้ทำให้จิตใจของฉันสงบลง และฉันก็พูดกับพระเจ้าในใจว่า “พระเจ้า ข้าฯ ต้องการปฏิบัติความจริง ทำให้ทรงพอพระทัย เลิกปกป้องชื่อและสถานะ” หลังจากนั้นฉันก็เสนอสมาชิกในทีมข่าวประเสริฐสองคนที่มีผลงานดีที่สุดไปค่ะ ฉันรู้สึกมีสันติจริงๆ เมื่อนำสิ่งนี้ไปสู่การปฏิบัติ รู้สึกดีที่เป็นอย่างนั้นค่ะ
หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น ฉันคิดว่าฉันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ที่แปลกใจคือ ฉันถูกเปิดเผยโดยถ้วนทั่วหลังจากนั้นไม่นานนัก วันหนึ่งผู้นำคนหนึ่งบอกว่าอยากให้ฉันจัดหาสมาชิกทีมให้น้ำเพิ่มอีกสองสามคน เพราะคริสตจักรเรามีผู้มาใหม่หลายคนที่พูดได้สองภาษา พอฉันไปคัดกรองสมาชิก ฉันก็รู้ว่าต้องสละ แทบทุกคนที่พูดได้สองภาษาและมีขีดความสามารถที่ดี ฉันเริ่มกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงและตำแหน่งขึ้นมาอีก ถ้าคนเหล่านั้นไป ฉันกลัวว่า งานข่าวประเสริฐของคริสตจักรคงได้รับผลกระทบแน่ๆ หรืออาจถึงกับไม่มีประสิทธิภาพ เย็นวันนั้นผู้นำส่งข้อความถึงฉันเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ฉันรู้สึกถึงแรงต้านทานเยอะมาก ทุกๆ ชื่อที่เธอหยิบยกขึ้นมา ฉันแค่ตอบด้วยคำเดียว “ค่ะ” “ได้” พอเธอถามถึงรายละเอียด ฉันก็ไม่อยากจะพูดอะไร ฉันคิดว่า “ฉันไม่อยากยกคนเหล่านี้ให้ไปแต่แรก แต่คุณก็ยังถาม คุณกำลังทำให้คริสตจักรเราขาดคนที่สามารถทำหน้าที่ได้ แล้วฉันควรทำงานของตัวเองยังไง?” ฉันต้านทานจริงๆ และไม่อาจนบนอบได้เลย
จากนั้น ในการชุมนุมในภายหลัง ฉันเห็นวิดีโอบรรยายพระวจนะ ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจความเสื่อมทรามของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แก่นแท้ของความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้นชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ แง่มุมนี้ถูกเปล่งประกาศออกมาโดยเฉพาะ เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขา สิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา ย่อมไม่น่าสนใจสำหรับพวกเขาเลย พวกเขาไม่ใส่ใจ และเป็นราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความเชื่อมโยงอันใดกับพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันลองพยายามที่จะค้นหาความจริงภายในและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมองดูสิ่งทั้งหลายจากภาพที่ใหญ่กว่าและคิดเกี่ยวกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ภายในขอบเขตของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้น จำเป็นที่จะต้องขยับย้ายผู้คนเฉพาะบางคนไปเรื่อยๆ ตามแต่งานจะเรียกร้อง ตัวอย่างเช่น ผู้นำคนหนึ่งควบคุมดูแลงานของกลุ่มหนึ่ง และจำเป็นที่จะต้องโอนย้ายสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มนั้นไปยังอีกกลุ่มเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ซึ่งการนี้พึงกำหนดโดยงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แล้วการนี้ควรได้รับจัดการรับมือไปตามสำนึกปกติของมนุษย์อย่างไรหรือ? ผู้นำนั้นควรหาตัวแทนที่เพื่อเติมตำแหน่งงานที่ว่างดังที่เหมาะควรแก่รูปการณ์แวดล้อม ทันทีที่พบบุคคลที่เหมาะสมแล้ว บุคคลดั้งเดิมควรได้รับการปล่อยตัวและได้รับอนุญาตให้ไปยังที่ที่พวกเขาเป็นที่ต้องการโดยงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นเพราะผู้คนไม่ใช่ตัวตนโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาควรไปยังโครงการใดก็ตามของพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งจำเป็นต้องมีพวกเขา เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาถูกโอนย้ายโดยตามอำเภอใจ อันเป็นการล่วงละเมิดหลักธรรม หากนั่นเป็นการโอนย้ายปกติซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรม ย่อมไม่มีผู้นำคนใดมีสิทธิที่จะหยุดยั้งการโอนย้ายนั้น พวกเจ้าว่า มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่ใช่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? มีงานอันใดหรือไม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขยับขยายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า? นั่นเป็นงานทั้งหมดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ละงานนั้นเท่าเทียมกัน และไม่มี ‘ของคุณ’ และ ‘ของฉัน’…พระนิเวศของพระเจ้าประสานงานด้านบุคลากรของพระนิเวศจากส่วนกลาง และตามหลักธรรม นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำ หัวหน้าทีม หรือปัจเจกบุคคลคนใดเลย ทุกคนต้องปฏิบัติตนตามหลักธรรม ทั้งนี้ นี่คือกฎเกณฑ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นแล้ว พวกเหล่านั้นที่ไม่ติดตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผู้ที่วางแผนร้ายและวางอุบายเพื่อผลประโยชน์และสถานะของตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่เห็นแก่ตัวและสามานย์หรอกหรือ? พวกเขาใช้เหล่าพี่น้องชายหญิง พวกเขาฉวยโอกาสจากผู้คนเปี่ยมความสามารถเหล่านี้ ให้ทำงานให้พวกเขา ให้ช่วยเหลือในการธำรงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของงาน และสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นให้กับสถานะของตัวเอง นี่คือสิ่งที่พวกเขากำลังมุ่งหมายเพื่อให้ได้มา เมื่อให้ทรรศนะจากภายนอก หากเจ้าไม่มองดูอย่างใกล้ชิด ย่อมดูเหมือนว่าบุคคลนี้มีความรับผิดชอบอย่างมาก พวกผู้ไม่เชื่อคงจะเรียกพวกเขาว่า ชนชั้นสูง ผู้ที่มีความสามารถแพรวพราวและประสบความสำเร็จรอบด้าน และพอมาถึงเรื่องของการเก็บผู้ที่มีความสามารถพิเศษเอาไว้ ก็คงจะพูดว่าพวกเขามีความสามารถยอดเยี่ยมและมีกลเม็ดลับซ่อนอยู่สองสามอย่าง นี่คือที่มาของความอิจฉาท่ามกลางพวกผู้ไม่เชื่อ นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนใฝ่สูงที่จะได้มา นี่มีคุณค่า—แต่พระนิเวศของพระเจ้าเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามอย่างพอดิบพอดี กล่าวคือ ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น การนี้ย่อมถูกกล่าวโทษ การไม่คิดถึงงานที่กว้างกว่าแห่งพระนิเวศของพระเจ้า การคิดถึงสถานะของคนเราเองเท่านั้น และการรับประกัน—โดยไม่มีความกังวลในความผิดที่มีต่อค่าเสียหายของผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและอันตรายที่เกิดขึ้นกับงานของคริสตจักรเลย—สถานะของคนเราเอง นี่ไม่เห็นแก่ตัวและสามานย์หรอกหรือ? เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องคิดด้วยมโนธรรมของเจ้าว่า ‘ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนบุคคลของฉัน ฉันก็เป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนกัน ฉันมีสิทธิใดหรือที่จะหยุดพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้โอนย้ายผู้คน? ฉันควรพิจารณาผลประโยชน์โดยรวมของพระนิเวศของพระเจ้า แทนที่จะแค่มุ่งสมาธิอยู่กับงานของกลุ่มของฉันเอง’ เช่นนั้นคือความคิดทั้งหลายที่ควรพบในผู้คนที่ครองมโนธรรมและความมีเหตุมีผล และสำนึกที่ควรครองโดยบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ทั้งนี้ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อคนชั่วกุมอำนาจ พวกเขาไม่ครองมโนธรรมและสำนึกดังกล่าว และแน่นอนที่สุดว่าจะไม่เชื่อฟังการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือ ‘สิ่ง’ ชนิดใดหรือ? ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาถึงขั้นกล้าแกร่งมากพอที่จะเป็นอุปสรรค และถึงขั้นกล้าดีที่จะไม่จะปักหลักดื้อแพ่ง ทั้งนี้ เหล่านี้คือผู้คนที่ขาดพร่องที่สุดในสภาวะความเป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นผู้คนที่ชั่ว พวกศัตรูของพระคริสต์คือผู้คนประเภทนั้นนั่นเอง พวกเขาปฏิบัติต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเหล่าพี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งสินทรัพย์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้สิทธิอำนาจของพวกเขา—ประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของตัวเอง ทั้งนี้ วิธีที่สิ่งเหล่านี้ถูกแจกจ่าย โอนย้าย และใช้นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา ทันทีที่สิ่งเหล่านี้อยู่ในมือพวกเขา นั่นก็เป็นราวกับว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในการครอบครองของซาตาน และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกแซง ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องสิ่งเหล่านี้ ในดินแดนของพวกเขา พวกเขาคือขาใหญ่ คือหัวโจก และใครก็ตามที่ไปที่นั่นจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งและการจัดการเตรียมการของพวกเขา และทำตามการบอกบทจากพวกเขา นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ภายในบุคลิกลักษณะของศัตรูของพระคริสต์” (“บทความเสริม สี่: การสรุปบุคลิกลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นแท้ของอุปนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของตัวฉันเอง การอยากให้พี่น้องชายหญิงอยู่ใต้การควบคุมฉัน ไม่ส่งพวกเขาให้กับพระนิเวศนั้น ทั้งเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ และฉันแสดงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ฉันรู้สึกต่อต้านและไม่เต็มใจจริงๆ เวลาที่ผู้นำ ต้องการย้ายใครสักคนจากคริสตจักรเรา ฉันแสดงออกด้วยความโกรธ รู้สึกไม่เป็นธรรม ฉันไม่เห็นด้วยจนผู้นำสามัคคีธรรมเพื่อช่วยฉันเปลี่ยนความคิด และพูดสิ่งดีๆ กับฉัน ฉันเหมือนกษัตริย์แห่งขุนเขาที่พระเจ้าเปิดเผย ที่อยากจะมีส่วนตัดสินใจเรื่องการย้ายคนจากคริสตจักรที่ฉันรับผิดชอบ ถ้าคนไหนเป็นที่ต้องการ ก็ให้ไปได้ถ้าฉันให้ไป ไม่งั้นก็ไปไม่ได้ ห้ามใครไปถ้าฉันไม่อนุญาต ฉันรักษาคริสตจักรให้อยู่ใต้การควบคุมของฉันอย่างมั่นคง ให้ทุกอย่างอยู่ใต้คำสั่งฉัน พระคริสต์ไม่ได้ดูแลคริสตจักร ฉันต่างหาก ราวกับว่าผู้มาใหม่ที่ถูกปั้นมานั้น เป็นของฉัน ฉันอยากใช้สิ่งที่พวกเขาบรรลุในหน้าที่ทำให้ตำแหน่งฉันมั่นคง นั่นมันน่าละอายจริงๆ ค่ะ! นี่คือคริสตจักรของพระเจ้า และมันคืองานของพระนิเวศ แต่ฉันทำตัวเหมือนกษัตริย์แห่งขุนเขา ตั้งอาณาจักรของตัวเอง ฉันอยู่บนทางของศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? มันยังทำให้ฉันนึกถึงนักบวชในโลกศาสนา รู้ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากลับมาแล้ว และแสดงความจริงมากมาย แต่กลัวว่ากลุ่มคนของตนจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อเห็นความจริงเหล่านี้ และจะเสียสถานะ ชื่อเสียง และการเป็นอยู่ไป จึงทำทุกอย่างเพื่อกันพวกเขาจากหนทางที่แท้จริง พูดอย่างเปิดเผยว่าแกะเป็นของพวกเขา และจะไม่ยอมให้ได้ยินพระสุรเสียงและติดตามพระองค์ พวกเขาปฏิบัติต่อผู้เชื่อเสมือนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ควบคุมไว้อย่างเข้มงวดและต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อผู้เชื่อเหล่านั้น เป็นผู้รับใช้ที่ชั่วร้าย ศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงในยุคสุดท้าย ในแก่นแท้แล้ว การกระทำของฉันแตกต่างจากพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสตรงไหน? ฉันควบคุมผู้อื่นเพื่อปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของฉัน ฉันรู้ว่าถ้าไม่กลับใจ จะถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษพร้อมศัตรูของพระคริสต์ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ ทุกคนที่จำเป็นต่อหน้าที่ในพระนิเวศสามารถถูกโอนย้ายได้ตามที่จำเป็น ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรักษาใครไว้ในบรรดาคริสตจักรที่ฉันจัดการอยู่ การปลูกฝังผู้คนสำหรับงานของพระนิเวศเป็นหน้าที่ของฉัน และการที่ผู้นำโยกย้ายผู้คนก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่ขอความคิดเห็นฉันก็เพื่อแสดงความเคารพ เพื่อความร่วมมือที่ราบรื่นยิ่งขึ้น ต่อให้จะโยกย้ายใครสักคนโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากฉันก็ไม่เป็นอะไร ฉันไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะรักษาใครไว้ใต้การควบคุมของฉัน ฉันรู้ว่าไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปอย่างเห็นแก่ตัวอย่างนั้นได้ รู้ว่าในขณะนั้นพระเจ้าประทานลมหายใจให้ฉัน แล้วฉันสู้ไปเพื่ออะไร? ฉันอาจไม่ได้มีส่วนสำคัญใหญ่หลวงต่อพระนิเวศ แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ฉันต้องทำมากกว่านี้เพื่อประโยชน์ต่องานของพระนิเวศ
หลังจากนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่จำเป็น ฉันก็ยินดีช่วยเหลือการโยกย้าย และเลิกคิดถึงผลประโยชน์ของตัวฉันเอง มีครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันย้ายไปอีกคริสตจักรส่งข้อความถึงฉัน บอกว่าได้รับอะไรมากมายจากการฝึกสอนศาสนาที่นั่น ฉันทั้งมีความสุขทั้งละอาย ฉันมีความสุขที่ได้รู้ว่าพวกเขาได้เติบโตขึ้น ได้ทำส่วนของตัวเองในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ฉันละอายเพราะถ้าฉันเต็มใจจัดหาคนโดยไม่ยืนขวางทาง พวกเขาก็คงได้ฝึกฝนเร็วกว่านี้และได้เตรียมความประพฤติดี ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ไม่ขอใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอีกแล้ว แต่ขอจัดหาผู้ที่เป็นตัวเลือกดีๆ ขอทำส่วนของฉันในงานข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ฉัน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ