สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการถูกไล่ออก
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์ ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว) พระวจนะสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก ต้องถูกพระวจนะพิพากษา ตีสอน จัดการและตัดแต่งเท่านั้น เราถึงจะเปลี่ยนอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและสัมฤทธิ์การเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ ฉันเคยทำหน้าที่ด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่ตลอด เห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม ปกป้องหน้าตาและสถานะตัวเองเสมอ หลังจากถูกปลด ฉันได้รู้จริงๆ ถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน จากการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะพระเจ้า ฉันรู้สึกเสียใจและเหยียดหยามตัวเอง และเมื่อได้อีกหน้าที่หนึ่ง ฉันก็ทำได้ดีกว่าเดิมค่ะ
เมื่อเดือนสิงหาคมที่แล้ว ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และรับผิดชอบงานของคริสตจักรร่วมกับพี่น้องอีกสองสามคน ฉันติดตามงานให้น้ำเป็นหลัก และร่วมตัดสินใจในโครงการต่างๆ ของคริสตจักรด้วย เราแบ่งความรับผิดชอบกัน แต่ฉันรู้ว่างานของคริสตจักรนับรวมเป็นงานเดียวกัน และฉันต้องร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศ และปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม ตอนแรกฉันตั้งใจมากๆ ในการประชุมประจำสัปดาห์ของเรา ฉันมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการหารือและเสนอคำแนะนำ จากนั้นวันหนึ่งในเดือนตุลาคม การให้น้ำผู้มาใหม่ก็เกือบจะล่าช้าเพราะฉันติดตามงานไม่ทันเวลา ผู้นำระดับสูงตัดแต่งและจัดการกับฉันอย่างรุนแรง ฉันคิดกับตัวเอง ว่าเกิดปัญหาในงานของฉัน ดังนั้นฉันจึงเป็นคนที่ถูกจัดการ ถ้าเกิดปัญหาเพิ่มขึ้นอีก ผู้นำก็จะมองเห็นฉันทะลุปรุโปร่ง และบอกว่าฉันทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้ แล้วฉันก็จะถูกปลด แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ใครจะเคารพนับถือฉัน? ไม่ได้ ฉันต้องพยายามกับงานที่รับผิดชอบมากกว่านี้ และจะต้องไม่เกิดข้อผิดพลาดอีก
หลังจากระยะหนึ่ง ขอบเขตความรับผิดชอบของฉันก็ขยายออกไป บางอย่างฉันก็ทำได้ไม่ดีนัก จึงต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการคุ้นชินกับมัน แต่ในการประชุมทุกครั้งก็ต้องหารือถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หลายอย่าง และกินเวลาไปเยอะมาก ฉันสงสัยว่า พอผ่านไปสักระยะ มันจะมีผลกระทบกับงานที่ฉันรับผิดชอบไหมนะ ถ้างานที่ฉันรับผิดชอบไม่มีประสิทธิภาพและมีปัญหาเพิ่มขึ้น ฉันจะต้องถูกปลดแน่ๆ อย่างนั้นแล้วคนอื่นๆ จะคิดกับฉันยังไง? คนอื่นๆ ติดตามโครงการอื่นของคริสตจักรอยู่ไม่ใช่หรือ? ฉันคิดได้ว่าพวกเขาหารือกันเองได้ แต่ฉันมีงานหลายอย่างเยอะมาก นอกจากนั้น การที่พวกเขาทำงานของพวกเขาให้เสร็จไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน นั่นไม่ทำให้ฉันได้รับการชื่นชมใดเลย แต่กับปัญหาในขอบเขตของฉัน ฉันรับผิดชอบโดยตรง จึงควรดูแลความรับผิดชอบของตัวเองก็พอ จากนั้น ฉันก็ทุ่มเวลาและความพยายามให้กับงานหลักที่ฉันรับผิดชอบ และปฏิบัติต่องานอื่นเหมือนเป็นภาระ ฉันให้มุมมองกับเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับงานของฉันค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ได้อยู่ในขอบเขตนั้น ฉันก็จะวุ่นกับงานของตัวเองแค่นั้น ฉันไม่ได้รับฟังการหารืออย่างใกล้ชิดอะไร ดังนั้นเมื่อต้องให้จุดยืนในการตัดสินใจ ฉันก็แค่ว่าไปตามคนอื่นๆ เมื่อมีเรื่องสำคัญที่ต้องหารือและตัดสินใจโดยด่วน ทันทีที่ฉันเห็นว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับหน้าที่ฉัน ฉันก็จะเพิกเฉยและทำตัวไม่แยแส
ผ่านไประยะหนึ่ง ฉันก็ได้ยินจากพี่น้องชายหญิงเรื่อยๆ ว่ามีบางเรื่องไม่ได้รับการดูแลที่ดี และพวกเขาถูกผู้นำจัดการ ว่าการจัดการบุคลากรไม่เป็นไปในแนวเดียวกับหลักธรรมต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหาต่องานของพระนิเวศ บางเรื่องก็ต้องให้ทุกคนตัดสินใจและลงชื่อ แต่พอไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม สุดท้ายจึงทำลายผลประโยชน์ของพระนิเวศ การจัดซื้อสินค้าให้กับคริสตจักรก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมเหมือนกัน ทำให้ของถวายสูญเสียไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ฉันคิดว่า การที่งานฉันไม่มีปัญหาอะไรใหญ่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ถ้ามีการตรวจสอบขึ้นมา ฉันก็ไม่เดือดร้อน นั่นมันคือ ทัศนคติที่ไม่รับผิดชอบที่ฉันมีต่อหน้าที่มาเป็นเวลานานมาก และฉันไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหนเลย วันหนึ่ง พี่สาวที่ฉันทำงานด้วยมาพบฉัน บอกว่าฉันไม่รับภาระในหน้าที่หรือมองภาพรวมเลย มีแต่สนใจงานตัวเอง ไม่ได้มีส่วนร่วมเชิงรุกในการตัดสินใจ เธอบอกว่าทำแบบนั้นเป็นอันตราย และถ้าฉันไม่หันกลับ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะถูกกำจัดทิ้ง เธอบอกว่าฉันควรไตร่ตรองทัศนคติที่ฉันมีต่อหน้าที่ให้ถี่ถ้วน หลังการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันก็ยังไม่ไตร่ตรองตัวเอง แต่กลับหาเหตุผลให้ตัวเอง “คุณไม่เห็นที่ฉันทนทุกข์ไปทั้งหมดทั้งมวลเหรอ? การจะทำงานนี้ให้ดี ต้องใช้ความพยายามมากนะ ถ้างานที่ฉันรับผิดชอบมีปัญหา ความผิดก็จะตกอยู่ที่ฉัน แล้วคนอื่นๆ จะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะคิดว่าฉันไร้ความสามารถ ว่าทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้ นอกจากนี้ งานอื่นๆ พวกนั้นก็มีคนรับผิดชอบอยู่ไม่ใช่หรือ? การเข้าร่วมของฉันในการตัดสินใจพวกนี้ไม่มีผลอะไรหรอก” แต่เพราะความไม่เอาใจใส่และความไม่รับผิดชอบต่องานโดยรวมของคริสจักร อีกทั้งการที่ไม่ไตร่ตรองตนเองอย่างแท้จริง ไม่นาน พระพิโรธของพระเจ้าก็ลงมาที่ฉัน เดือนมกราคมปีนี้ ผู้นำมาหาฉันและพูดว่า “พี่น้องชายหญิงบอกว่าคุณไม่รับภาระในหน้าที่เลย ว่าคุณแทบไม่แสดงมุมมองในการหารือและตัดสินใจ คุณไม่ได้เสนอคำแนะนำที่เป็นรูปธรรม และไม่รู้สึกรับผิดชอบต่องานของคริสตจักรแม้แต่นิด หลังการหารือ ทุกคนได้ตัดสินใจแล้วว่าคุณควรถูกปลด” พอได้ฟังผู้นำอย่างนั้น ฉันก็รู้สึกงุนงงไปหมด เกือบจะทรุดลงไป ฉันคิดว่า “คุณปลดฉันทั้งอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมมากนักในงานโดยรวมของคริสตจักร แต่ในทุกๆ วันฉันก็ยุ่งมากกับความรับผิดชอบของฉันเอง ฉันทนทุกข์มาก คุณพูดได้ยังไงว่าฉันไม่รับภาระ? ที่ฉันทำงานให้เสร็จโดยไม่มีปัญหามันไม่พอเหรอ” ฉันยอมรับจุดจบนี้ไม่ได้อยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดี และฉันแค่ขาดพร่องความตระหนัก ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาการทรงนำ เพื่อให้ไตร่ตรองและรู้จักตนเองได้
ครั้งหนึ่งฉันเคยเห็นบทตอนจากพระวจนะที่ทำให้ฉันสะเทือนใจมาก “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด พวกเรามาวิเคราะห์การนี้กันอย่างใกล้ชิดเถิด บุคคลผู้นี้แสดงออกมาให้เห็นถึงการสำแดงใดของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปจนถึงขนาดที่ผู้คนพูดว่าเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์? ผู้คนเช่นนี้ครองคุณลักษณะเฉพาะใด? พวกเขานำเสนอการสำแดงเฉพาะอันใด? ผู้คนเช่นนั้นทำอย่างพอเป็นพิธีในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย…มีแม้กระทั่งผู้คนที่เมื่อได้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็กลับยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการรบกวน กระนั้นก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบของพวกเขาเองเลย พวกเขาพูด ปฏิบัติตัว โดดเด่น ทุ่มความพยายามออกไป และสละพลังงานเพียงเพื่อสิ่งไร้ค่า ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ผลประโยชน์ และเกียรติของพวกเขาเองเท่านั้น การกระทำและเจตนาของใครบางคนเยี่ยงนั้นเป็นที่ชัดเจนต่อทุกคน กล่าวคือ พวกเขารีบออกมาเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสได้รับเกียรติหรือชื่นชมกับพระพรบางอย่าง แต่เมื่อไม่มีโอกาสที่จะได้รับเกียรติ หรือทันทีที่มีเวลาแห่งการทนทุกข์ พวกเขาก็จะอันตรธานหายไปจากสายตาเหมือนเต่าที่กำลังหดหัว บุคคลประเภทนี้มีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? บุคคลที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่ประพฤติตนในหนทางนี้รู้สึกตำหนิติเตียนตนเองหรือไม่? มโนธรรมของบุคคลประเภทนี้ไม่เอื้อต่อจุดประสงค์ใดเลย และพวกเขาไม่มีวันรู้สึกตำหนิติเตียนตนเอง ดังนั้น พวกเขาจะสามารถรู้สึกถึงการตำหนิติเตียนหรือความมีวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ? ไม่ พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ยิ่งฉันอ่าน ฉันก็ยิ่งรู้สึกใจสลาย ฉันเป็นอย่างที่พระเจ้าทรงอธิบายไม่มีผิด ฉันไม่ใส่ใจและไม่แยแสหน้าที่ ไม่สนใจสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของฉัน เอาใจใส่แค่งานของตัวเองเท่านั้น พิจารณาแค่ว่าความปรารถนาในชื่อเสียงและสถานะของฉันจะเป็นจริงไหม ฉันไม่ได้คุ้มภัยให้งานของพระนิเวศเลย พอคิดย้อนกลับไปตอนนั้น เวลาทุกคนอยู่ในการหารือเพื่อตัดสินใจ ฉันคิดว่าความสำเร็จที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของฉันไม่ได้ช่วยให้ฉันดูดี ถ้าไม่ได้ถูกดูแลดีๆ คำตำหนิก็จะไม่ตกอยู่ที่ฉัน ดังนั้นถ้าฉันเลี่ยงได้ ฉันก็จะไม่เข้าร่วม ฉันแค่ทำไปงั้นๆ แบบไม่ตั้งใจ ตามน้ำไปกับคนอื่น นั่นคือความไม่ใส่ใจและขาดความรับผิดชอบ กับงานที่อยู่ในขอบเขตของฉัน ฉันขยันและทำงานหนักมาก กลัวจะถูกตัดแต่งและจัดการถ้างานมีปัญหา หรือกลัวจะถูกปลด และเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยสิ้น เพื่อที่จะดูแลงานของฉันเองให้ดี และรักษาสถานะและภาพลักษณ์ต่อคนอื่นๆ ฉันปฏิบัติกับการตัดสินใจเหมือนเป็นเรื่องน่ารำคาญ เป็นเรื่องที่เสียเวลา เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันทำงานของตัวเองไม่ทัน พอไตร่ตรองพฤติกรรมของตัวเอง ฉันก็เห็นว่าเจตนาเบื้องหลังการปฏิบัติงานของฉันคือการทำให้ฉันพอใจ และการทนทุกข์ทั้งหมดของฉันก็เพื่อตัวเอง ฉันไม่ได้รับภาระหรือมีสำนึกรับรู้ถึงความรับผิดชอบเพื่อคุ้มภัย งานโดยรวมหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศ ฉันไร้สภาวะความเป็นมนุษย์และไม่คู่ควรสักนิดกับพระบัญชาสำคัญเช่นนี้ ตอนนั้นเองที่ฉันยอมรับการที่ฉันถูกปลดได้อย่างเต็มที่ แม้ฉันจะรู้ว่าการกระทำของฉันไม่ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง และไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่นำไปสู่การที่ฉันขาดพร่องภาระในหน้าที่ ฉันยึดติดกับชื่อเสียงและสถานะ เพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้น ฉันนำปัญหานี้ไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ในการอธิษฐาน ขอพระเจ้าให้ทรงนำให้ฉันรู้จักรากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหาของฉัน ให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน ให้ฉันเกลียดตัวเองจากก้นบึ้งหัวใจ
หลังจากนั้น ฉันได้เห็นวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อีกเครื่องหมายรับรองมาตรฐานของสภาวะความเป็นมนุษย์ของศัตรูของพระคริสต์—นอกเหนือจากการที่พวกเขาไม่มีความละอายอันใด—ก็คือความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ที่ผิดจากธรรมดา พวกเขาเห็นแก่ตัวเพียงใดหรือ? แล้วอะไรหรือคือการตีความตามตัวอักษรถึงความเห็นแก่ตัวนี้? สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาเองได้รับความใส่ใจเต็มที่ กล่าวคือ พวกเขาจะทนทุกข์เพื่อสิ่งนั้น ยอมลงทุนลำบาก จดจ่อตัวเองอยู่ในสิ่งนั้น อุทิศตัวเองให้กับสิ่งนั้น พวกเขาจะแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่และไม่สังเกตเห็นสิ่งใดก็ตามที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขา ทั้งนี้ ผู้อื่นสามารถทำตามแต่พวกเขาจะยินดี—พวกเขาไม่ใส่ใจว่าใครบางคนเป็นคนที่แบ่งแยกหรือทำให้หยุดชะงักหรือไม่ กล่าวอย่างถนอมน้ำใจก็คือ พวกเขานึกถึงกิจธุระของตัวเอง แต่การพูดว่าบุคคลประเภทนี้สามานย์ โสโครก เคราะห์ร้ายนั้นถูกต้องแม่นยำมากกว่า ทั้งนี้ พวกเราให้นิยามพวกเขาว่า ‘เห็นแก่ตัวและสามานย์’ ความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกศัตรูของพระคริสต์สำแดงตัวมันเองอย่างไรหรือ? เมื่อมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับสถานะหรือความมีหน้ามีตาของพวกเขา พวกเขาบีบเค้นสมองของพวกเขาในเรื่องที่ว่าจะทำหรือพูดอะไร พวกเขาไม่เกี่ยงงอนกับการวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งหมด พวกเขาทนทุกข์อย่างเปรมปรีดิ์กับความยากลำบากอันใหญ่หลวง แต่กับสิ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กับงานแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และกับหลักธรรม—แม้ในยามที่ผู้คนที่ชั่วทำให้หยุดชะงักและแทรกแซง และก่อการกระทำความชั่วทุกชนิด และส่งผลพลอยได้ต่องานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง—พวกเขายังคงไม่ยินดียินร้ายและไม่กังวลสนใจ ราวกับการนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย และหากใครบางคนค้นพบการนี้ และเปิดโปงการนี้ พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาไม่ได้เห็นอะไรเลย และแสร้งแสดงท่าว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อผู้คนรายงานพวกเขา และเปิดโปงพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ พวกเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กล่าวคือ มีการเรียกรวมตัวทำการพบปะกันอย่างเร่งรีบเพื่อเสวนาวิธีตอบสนอง การสืบค้นถูกจัดขึ้นเพื่อดูว่าผู้ใดได้ทำอะไรลับหลังพวกเขา ผู้ใดเป็นหัวโจก ผู้ใดมีความเกี่ยวข้อง พวกเขาจะไม่กินหรือนอนจนกว่าพวกเขาจะได้ไปถึงก้นบึ้งของการนี้แล้วและเรื่องนี้ได้ถูกทำให้ยุติแล้วอย่างครบบริบูรณ์ ทั้งนี้ บางครั้งก็ถึงกับเป็นกรณีที่ว่า พวกเขามีความสุขก็ตอนที่พวกเขาได้กำจัดพรรคพวกของผู้ที่กล่าวหาพวกเขาทั้งหมดแล้วเช่นกันเท่านั้นเอง นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ มิใช่หรือ? พวกเขากำลังทำงานของคริสตจักรอยู่หรือไม่? พวกเขากำลังกระทำการเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอำนาจและสถานะของตัวเอง ไม่มีอะไรอื่นอีก พวกเขากำลังดำเนินปฏิบัติการของตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะเข้ารับภาระหน้าที่ตามงานใดก็ตาม บุคคลประเภทที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ไม่คิดอะไรถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาพิจารณาเพียงแค่ว่าผลประโยชน์ของตัวเองจะได้รับผลพลอยได้หรือไม่ คิดถึงเพียงแค่กิจทั้งหลายซึ่งจ่ออยู่ตรงปลายจมูกพวกเขาเท่านั้น งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรเป็นแค่บางสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่าง และพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องถูกกระตุ้นเตือนให้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง การอารักขาผลประโยชน์ของตัวเองคืออาชีพทางจิตวิญญาณจริงของพวกเขา คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบในการทำกิจธุระจริง ในสายตาของพวกเขา สิ่งใดก็ตามที่จัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือมีความสัมพันธ์กับการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่มีความสำคัญอันใด ไม่สำคัญว่าผู้คนอื่นๆ มีความลำบากยากเย็นใดในงานของพวกเขา พวกเขาระบุแยกแยะประเด็นปัญหาใด คำพูดของพวกเขาจริงใจเพียงใด พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใส่ใจเลย พวกเขาไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นราวกับว่านี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา พวกเขาไม่แยแสกิจการงานของคริสตจักรอย่างที่สุด ไม่สำคัญว่ากิจการงานเหล่านี้ใหญ่โตเพียงใด แม้ในยามที่ปัญหานั้นอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแท้ๆ พวกเขาก็จัดการแก้ไขปัญหานั้นอย่างอิดออดและขอไปทีเท่านั้น มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกเบื้องบนจัดการโดยตรงและถูกออกคำสั่งให้แก้ไขปัญหาเท่านั้น พวกเขาจึงจะกัดฟันทำงานจริงเล็กๆ น้อยๆ และมอบบางสิ่งให้เบื้องบนได้เห็น ทั้งนี้ ไม่นานนัก พวกเขาก็จะทำกิจธุระของตัวเองต่อไป ในเรื่องงานของคริสตจักร ในเรื่องสิ่งสำคัญซึ่งมีบริบทที่กว้างกว่านั้น พวกเขาไม่สนใจ ไม่รับรู้ พวกเขาถึงขั้นเพิกเฉยต่อปัญหาที่พวกเขาค้นพบ หลบหลีกเมื่อถูกถาม โดยจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยความอิดออดไม่เต็มใจเท่านั้นเอง นี่คือการสำแดงถึงความเห็นแก่ตัวและความสามานย์ มิใช่หรือ?” (“บทความเสริม สี่: การสรุปบุคลิกลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์และแก่นแท้ของอุปนิสัยของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) การเผชิญกับการพิพากษาและการเปิดเผยของพระวจนะมันปวดร้าวและว้าวุ่นใจ ศัตรูของพระคริสต์ทำงานเพื่อชื่อและสถานะของตนเท่านั้น ขยันในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตน พวกเขาทนทุกข์ได้ ใช้พลังงานทางใจและกายทั้งหมดเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา นี่เป็นธรรมชาติที่เห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามมาก พฤติกรรมของฉันเหมือนของศัตรูของพระคริสต์ ฉันแค่ทำงานเพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเองในทางที่เห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์เท่านั้น “ปล่อยสิ่งทั้งหลายไปหากไม่ผลต่อเรา” และ “จงอยู่ให้ห่างจากปัญหา” คือปรัชญาเยี่ยงซาตานที่ฉันใช้ชีวิตตาม ฉันสนใจแต่งานที่ฉันรับผิดชอบที่อาจกระทบต่อชื่อเสียงและสถานะของฉัน เพิกเฉยและละเลย งานที่ไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบ ส่งผลให้งานของพระนิเวศและของถวายแด่พระเจ้าเสียหายใหญ่หลวง ฉันได้เห็นว่าฉันเป็นคนเลวที่เห็นแก่ตัว สนใจแต่ตัวเอง น่าเหยียดหยาม และไม่คู่ควรแก่ความไว้วางใจหรือความเชื่อมั่น เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น ปัญหาต่างๆ ปะทุขึ้นในงานของคริสตจักร และพวกผู้นำก็มาลงกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นที่ไม่ทำงานให้เหมาะสม ฉันไม่ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยตรง แต่ฉันก็เป็นผู้นำคริสตจักร มีความรับผิดชอบที่ละเลยไม่ได้ ถ้าฉันดูแลและมีส่วนร่วมในการหารือเรื่องงานอย่างขยันขันแข็ง ฉันก็อาจค้นพบปัญหาบ้างก็ได้ แต่นี่ฉันแค่อยากรักษาหน้าตาและสถานะ จัดการความรับผิดชอบเล็กๆ ของตน ไม่ได้คิดถึงงานโดยรวมหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศเลย เมื่อได้เห็นการฝ่าฝืนหลายๆ อย่างในหน้าที่ของฉัน และความสูญเสียที่มิอาจแก้ไขได้ที่ฉันก่อไว้ในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็เต็มไปด้วยความเสียใจและตำหนิตนเอง พระเจ้ายกระดับฉันด้วยหน้าที่สำคัญเช่นนี้ ให้โอกาสฉันได้ขัดเกลาตนเอง ให้ฉันเรียนรู้ความจริงได้เร็วขึ้น พระเจ้าทรงมอบให้ทุกสิ่งเพื่อช่วยฉันให้รอด ทรงทุ่มเทเพื่อฉันเยอะมาก ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะอยู่หลายปี ฉันกลับตอบแทนด้วยความอกตัญญู ไม่อยากทำหน้าที่อย่างเหมาะสมหรือตอบแทนความรักของพระเจ้า ทั้งหมดที่ฉันคิดคือการปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง และขอบเขตเล็กๆ ของฉันเอง เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ถูกจัดการ ฉันไม่เอาใจใส่และขาดความรับผิดชอบกับงานที่สำคัญนี้ ยืนเฉยตอนที่ผลประโยชน์พระนิเวศเสียหายและงานคริสตจักรได้รับผลกระทบ ฉันไม่แยแสและขาดพร่องสำนึกรับรู้ถึงมโนธรรม ฉันยังนับว่าเป็นคนอยู่เหรอ? เมื่อครอบครัวไหนให้อาหารสุนัข สุนัขตัวนั้นจะภักดีโดยไม่สิ้นสุด ฉันแย่ยิ่งกว่าสัตว์จริงๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกไร้มนุษยธรรม ไม่คู่ควรกับพระคุณของพระเจ้าเลยจริงๆ ในตอนนั้น ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าผิดไปแล้ว ข้าคิดถึงแต่ชื่อเสียงและสถานะในหน้าที่ของตนโดยไม่คุ้มภัยงานของพระนิเวศเลย ข้าไร้สภาวะความเป็นมนุษย์ เห็นแก่ตัวและสนใจแต่ตนเอง การถูกปลดในวันนี้คือความชอบธรรมของพระองค์ และยิ่งกว่านั้น คือความรักและความรอดที่ทรงมีให้ข้า ข้าพร้อมกลับใจต่อพระองค์แล้ว”
หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง จาก “จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” “สิ่งใดคือมาตรฐานซึ่งใช้ตัดสินความประพฤติของบุคคลว่าดีหรือชั่ว? มันขึ้นอยู่กับว่า ในความคิด การแสดงออก และการกระทำทั้งหลายของเจ้านั้น เจ้าครองคำพยานแห่งการนำความจริงไปปฏิบัติและการใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงหรือไม่ หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือไม่ได้ใช้ชีวิตไปตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นคนทำชั่วอย่างไม่ต้องกังขาเลย พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วอย่างไรหรือ? ความคิดและการปฏิบัติตนภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานต่อพระเจ้า อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูหรือทำให้ซาตานปราชัย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านั้นทำให้พระเจ้าทรงอดสู และพรุนไปด้วยริ้วรอยที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงอดสู เจ้าไม่ได้กำลังให้คำพยานเพื่อพระเจ้า ไม่ได้กำลังสละตัวเจ้าเองให้พระเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง สิ่งใดหรือคือความหมายโดยนัยของ ‘เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง’? เพื่อซาตาน เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้ายังไม่ได้ทำความประพฤติดี แต่ในทางกลับกัน พฤติกรรมของเจ้าได้แปรสภาพไปเป็นชั่ว แทนที่จะตรงตามการเห็นชอบของพระเจ้า เจ้าจะถูกกล่าวโทษ คนเราที่มีการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าเสาะแสวงที่จะได้รับสิ่งใดหรือ? สุดท้ายแล้วการเชื่อเช่นนั้นจะไม่สลายไปเปล่าๆ หรอกหรือ?” (บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากพระวจนะ ฉันได้เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ชอบธรรมและมิอาจล่วงเกินได้ ทรงมองเห็นส่วนลึกของจิตใจผู้คน และถ้าผู้คนทำหน้าที่ด้วยเจตนาอื่นที่ไม่ใช่การทำให้ทรงพอพระทัย ขาดพร่องคำพยานและการปฏิบัติความจริง แต่สนองตัวเองในทุกด้าน ไล่ตามแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน การนั้นจะไม่ถูกพระเจ้าชมเชย ไม่ว่าใครจะทุกข์ทรมานในการนี้แค่ไหน พระเจ้าก็ไม่ทรงฉลองให้ พวกเขาจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษว่าเป็นคนชั่ว เจตนาในหน้าที่ของฉันผิด มันไม่ใช่การทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ฉันทำธุรกิจของตัวเอง ฉันเต็มใจที่จะทนทุกข์และทุ่มเทให้กับงานที่ฉันรับผิดชอบ แต่มันเป็นการปกป้องสถานะและภาพลักษณ์ในสายตาของผู้อื่น ฉันอยากถูกชื่นชมที่ดูเหมือนจะทนทุกข์และทำงานหนัก เพื่อให้ได้คำยกย่องและที่ว่างในหัวใจของผู้คน โดยพื้นฐานแล้วนี่เป็นการทำให้ผู้คนติดกับ และแข่งขันกับพระเจ้า นี่่เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยอย่างร้ายแรง ถ้าฉันไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลง ก็จะถูกพระเจ้าละทิ้งและกำจัดทิ้งในที่สุด หน้าที่ของผู้นำคือการที่พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้ฝึกฝนตัวเอง ผู้นำมีหน้าที่รับผิดชอบงานโดยรวมของคริสตจักร และมีปัญหา ความยากลำบาก และประเด็นมากมายที่ต้องแก้ไข การนั้นจะต้องแสวงหาความจริงและหลักธรรมเยอะมาก ฉันอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่างๆ ในงาน และสามารถถูกตัดแต่งหรือจัดการได้ แต่เมื่อทบทวน แก้ไข และไตร่ตรองอย่างต่อเนื่อง ฉันก็จะได้รับอะไรเยอะมาก มันคือความรู้เชิงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งนั้น ทั้งเรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรม หรืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันเอง แต่ฉันไม่สำนึกบุญคุณ และไม่หวงแหนโอกาสนี้ แต่ก็กลับมองเป็นเรื่องน่ารำคาญ และเสียโอกาสที่จะถูกพระเจ้าทำให้เพียบพร้อมไป ในหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ การไม่รับผิดชอบหรือร่วมมือกับผู้อื่น ไม่มีบทบาทในการตัดสินใจ การกำกับดูแล หรือการเฝ้าประตู แล้วฉันทำหน้าที่จริงๆ ยังไงเหรอ? ฉันหลอกลวงและโกงพระเจ้า ฉันทำความชั่ว
ต่อมา ฉันได้อ่านบทตอนจากพระวจนะพระเจ้า “สำหรับทุกคนที่ลุล่วงหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินอย่างไร ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความจริง หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติซึ่งใช้ในการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนบุคคล เหตุจูงใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะ จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—นี่คือน้อยที่สุดแล้วที่คนเราควรทำ หากบุคคลหนึ่งซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาไม่สามารถทำได้มากแม้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นแล้ว เขาสามารถถูกพูดถึงได้เช่นไรว่า กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเขาอยู่? นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา ก่อนอื่นเจ้าควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า คำนึงถึงผลประโยชน์ของพระเจ้าเอง และคำนึงถึงพระราชกิจของพระองค์ และวางความคำนึงถึงเหล่านี้ไว้เป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งใด เฉพาะหลังจากนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพของสถานะของเจ้า หรือวิธีที่ผู้อื่นมองเจ้าได้ พวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกหรือว่า มันง่ายขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเจ้าแบ่งมันออกเป็นขั้นตอนเหล่านี้ และทำการประนีประนอมบ้าง? หากเจ้าทำการนี้ไปสักพัก เจ้าก็จะมารู้สึกว่าการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยนั้นไม่ลำบากยากเย็น นอกจากนี้ เจ้าควรมีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของเจ้า ปฏิบัติภาระผูกพันและหน้าที่ของเจ้า พักวางความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าไว้ก่อน พักวางความตั้งใจและสิ่งจูงใจทั้งหลายของตัวเจ้าเองไว้ก่อน คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และวางผลประโยชน์ของพระเจ้าและพระนิเวศของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรก หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ไปสักพัก เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือหนทางที่ดีงามในการดำรงชีวิต มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ปราศจากการเป็นบุคคลต่ำช้า หรือไม่มีอะไรดีสักอย่าง และเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างยุติธรรมและมีเกียรติ มากกว่าการเป็นคนใจแคบหรือใจร้าย เจ้าจะรู้สึกว่านี่คือวิธีที่บุคคลหนึ่งควรดำรงชีวิตและปฏิบัติตน ความพึงปรารถนาภายในหัวใจของเจ้าที่จะสนองผลประโยชน์ของเจ้าเองก็จะค่อยๆ ทุเลาลง” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะมอบเส้นทางให้ฉันปฏิบัติ ผลประโยชน์ของพระนิเวศจะต้องมาก่อน เราต้องยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ และมุ่งเน้นการแสวงหาความจริง วางหน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตัว และคุ้มภัยงานของพระนิเวศทุกด้าน นี่คือทางเดียวที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มีชีวิตอย่างเปิดเผยและมีเกียรติ ฉันคิดมาเสมอ ว่าการเข้าร่วมตัดสินใจเพื่องานของคริสตจักรจะทำให้งานของฉันเองล่าช้า แต่นั่นเป็นความคิดที่ไร้สาระ ที่จริง ถ้าเราเน้นการแสวงหาความจริงและหลักธรรม ดำรงสำนึกรับรู้ถึงลำดับความสำคัญ และดูแลงานที่สำคัญ เช่นนั้นงานก็จะไม่ล่าช้า และเมื่อเข้าร่วมตัดสินใจ เราก็จะเข้าใจหลักธรรมมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อหน้าที่เราและตัวเราเอง พระนิเวศให้คริสตจักรแต่ละแห่งเลือกผู้นำสองสามคนมารับผิดชอบงานของคริสตจักรร่วมกัน เพื่อให้แต่ละคนส่งเสริม ตรวจตรา และควบคุมดูแลกันและกันได้ โดยเฉพาะในบางประเด็นที่ซับซ้อนที่พวกเขาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้พระนิเวศเสียหายเพราะการตัดสินใจโดยพลการและขาดความเข้าใจลึกซึ้งได้ แต่ฉันขาดความใส่ใจและละเลยหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ ฉันไม่คู่ควรกับความเชื่อมั่นเลยจริงๆ และสมควรถูกปลดและกำจัดทิ้ง เมื่อคิดออกอย่างนั้นแล้ว ฉันก็ตั้งมั่น ว่าในอนาคต ถึงฉันจะมีความรับผิดชอบในงานหลักอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นงานของพระนิเวศหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพระนิเวศ นั่นก็คือความรับผิดชอบและหน้าที่ฉันด้วย และฉันควรคุ้มภัยให้งานของพระนิเวศให้ดีที่สุด ฉันจะเลิกเป็นคนเห็นแก่ตัว น่าเหยียดหยาม และสนใจแต่ประโยชน์ตน
ต่อมา ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำอีกครั้งค่ะ ให้กับคริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้ายกระดับฉัน ฉันเคยเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม แต่พระนิเวศก็ยังยอมให้ฉันทำหน้าที่สำคัญ ฉันสาบานว่าฉันจะทำอย่างเหมาะสม ว่าฉันจะไม่คิดถึงแค่งานของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว ฉันเป็นหนึ่งในผู้นำสามคนของคริสตจักรนั้น และแต่ละคนก็รับผิดชอบงานหนึ่งส่วน ตอนที่น้องคนหนึ่งสามัคคีธรรมกับฉันเรื่องโครงการของคริสตจักร ฉันได้เห็นหลายๆ สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ที่ต้องใช้เวลาและความพยายามที่จะเรียนรู้ ตารางงานฉันเต็มทุกวัน และในบางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนฉันมีเวลาไม่พอ วันหนึ่ง น้องที่ฉันทำงานด้วยมาหาฉัน และบอกว่าอยากให้ฉันช่วยแบ่งปันสามัคคีธรรมกับคนอื่นถึงปัญหาบางอย่าง ฉันคิดว่า “ไม่กี่วันก่อน ผู้นำระดับสูงคนหนึ่งตรวจงานฉันและบอกว่ามีหลายอย่างที่ไม่ได้ทำอย่างถูกต้อง เวลาของฉันมีค่ามาก ถ้าฉันไปช่วยเธอแล้วงานของฉันล่าช้า และทำให้ฉันไม่ได้ผลลัพธ์ ผู้นำจะคิดกับฉันยังไง? จะบอกว่าฉันขาดความสามารถ ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ได้ไหม? ฉันจะถูกปลดอีกไหม” ตอนที่คิดอย่างนั้น ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังนึกถึงหน้าตาและสถานะอีกแล้ว ว่างานของคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวและฉันจะแบ่งมันไม่ได้ ถ้าฉันสนใจแต่ความรับผิดชอบของตัวเองและเพิกเฉยต่อสิ่งอื่นที่เหลือ นั่นไม่ใช่การเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม คุ้มภัยผลประโยชน์ตัวเองเหรอ? ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องวางผลประโยชน์ของตัวเอง และร่วมมือกับน้องคนนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของคริสตจักร ฉันจึงตกลงที่จะไปชุมนุมกับเธอเพื่อช่วยสามัคคีธรรม ตอนที่ทำอย่างนั้น ฉันรู้สึกมีสันติสุข และรู้สึกถึงอิสรภาพที่มาจากการปฏิบัติความจริง แม้การถูกปลดจากหน้าที่จะเจ็บปวดมากสำหรับฉัน แต่มันก็ให้บทเรียนที่มีค่ามากด้วยค่ะ มันให้การตระหนักที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและมิอาจล่วงเกินได้ ฉันได้แก้ไขมุมมองที่ผิดพลาดและทัศนคติที่ไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ของฉันด้วย ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอด
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ