ความยากลำบากไม่อาจห้ามฉันจากหน้าที่

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย เหยียน ผิง, ประเทศจีน

จำได้ว่ามันเกิดขึ้นทันทีที่ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ช่วงนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งเริ่มการจับกุมสมาชิกคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครั้งใหญ่รอบใหม่ ฉันอดรู้สึกกังวลไม่ได้ สถานการณ์ในตอนนั้นแย่มาก ถ้าฉันไปชุมนุมตามที่ประชุมต่างๆ ทุกวัน ฉันก็อาจถูกตำรวจจับด้วยเหมือนกัน ถ้าถูกจับ ฉันจะต้องเจอกับการทรมานและความทารุณแน่นอน ร่างกายฉันค่อนข้างอ่อนแอมาตลอด ฉันไม่เคยต้องสู้ทนกับความทุกข์อะไร แล้วจะสู้ทนการทรมานได้ยังไง? เมื่อคิดถึงทั้งหมดนั้นฉันก็กลัว และไม่อยากจะยอมรับหน้าที่ แต่เมื่อคิดว่าพี่น้องชายหญิงเลือกฉันให้เป็นผู้นำ และคิดว่ามันบ่งบอกว่าพวกเขาไว้วางใจฉันยังไง ฉันก็ให้เหตุผลไม่ได้ว่าที่ไม่ยอมรับการแต่งตั้ง เป็นเพราะว่ากลัว ฉันจึงตอบด้วยไหวพริบว่า “ฉันทำได้จริงๆ เหรอคะ? ฉันไม่เคยรับตำแหน่งผู้นำมาก่อนเลย ถ้าประสบปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ฉันจะไม่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าเหรอคะ?” ผู้นำตอบฉันเป็นสามัคคีธรรม บอกว่า “หน้าที่ที่เราได้รับคือโอกาสในการฝึกฝนตนเอง พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ” หลังจากได้ยินการสามัคคีธรรมของผู้นำ ฉันก็ตกลงยอมรับหน้าที่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มได้รับข้อความจากผู้นำของฉันทีละข้อความ แจ้งว่าพี่หลี่และพี่วู เพื่อนร่วมงานฉัน กับสมาชิกคนอื่นอีกสองสามคนถูกจับ พร้อมผู้นำและเพื่อนร่วมงานจากคริสตจักรอื่นอีกหกคน และบอกให้เราตื่นตัวและเตรียมพร้อมไว้ ฉันเกิดตกใจกลัวขึ้นมาค่ะ พี่น้องชายหญิงถูกจับหลายคนอย่างนั้นได้ยังไง? ฉันคิดขึ้นได้ว่าได้เจอกับพี่หลี่เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ตำรวจจับตาดูฉันด้วยหรือเปล่านะ? ถ้าตำรวจเริ่มจับตาดูฉัน อย่างนั้นอีกไม่ช้าก็เร็วฉันคงถูกจับ เพราะว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ การลุล่วงหน้าที่ของฉันในสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นอันตรายมาก…พอคิดถึงมันทีไร ฉันก็กลัวมากๆ ฉันหวาดกลัวว่าจู่ๆ อาจโดนจับสักวันในขณะที่ทำงานอยู่ ภายนอกดูเหมือนว่าฉันกำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วง แต่ใจฉันไม่ได้อยู่กับงานเลยค่ะ นานๆ ครั้งถึงจะหยุดคิดว่าจะลุล่วงหน้าที่ให้ดีที่สุดยังไง บางครั้งเวลาพี่น้องชายหญิงมาพบด้วยเรื่องปัญหา ฉันไม่มีอารมณ์จะช่วยด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันได้รับข้อความจากผู้นำของฉันอีกข้อความ บอกว่าตำรวจกำลังขอให้พี่น้องชายหญิงที่ถูกจับไประบุตัวสมาชิกคริสตจักรจากกองรูปภาพ และกำลังวางที่กั้นถนนตามทางแยก และตรวจค้นกระเป๋าประชาชน เธอย้ำเตือนให้ระวังตัวมากๆ เวลาออกไปข้างนอก พอได้ยินอย่างนั้น ฉันยิ่งกังวลกว่าเดิม ดูเหมือนว่าตำรวจรวบรวมข้อมูลพี่น้องชายหญิงได้เยอะแล้ว เราถูกถ่ายภาพไว้เมื่อครั้งที่แล้ว ตอนที่ไปพบกับพี่หลี่หรือเปล่านะ? ถ้ามันถูกบันทึกภาพไว้ ตำรวจก็ต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ตอนที่พวกเขาเห็นฉันทั่วภาพจากกล้อง ถ้าฉันถูกจับจริงๆ พวกเขาต้องทรมานและบังคับให้ฉันสารภาพแน่! ขณะขี่สกูตเตอร์ไฟฟ้ากลับบ้าน ฉันรู้สึกตึงเครียดตลอดทาง ข้อความจากผู้นำทำให้ฉันเหมือนอยู่ในหลุมดำมืด ตอนนั้นไม่มีแสงอาทิตย์แล้ว แต่ฉันก็ไม่กล้าถอดแว่นกันแดดออก ฉันจะไม่เสี่ยงถูกเจอตัวในกล้องวงจรปิด และถูกตำรวจจับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรอก ในหัวฉันตอนนั้นเกิดความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก ฉันคิดว่า “ฉันน่าจะเจรจากับผู้นำได้นะ ให้พี่ผู้หญิงคนนั้นรับงานฉันไป เธออายุห้าสิบกว่าแล้ว ต่อให้ถูกจับ ตำรวจก็คงไม่ใช้วิธีทรมานกับเธอหรอก” แต่ฉันรู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าความคิดนี้เห็นแก่ตัวแค่ไหน เพราะฉันกลัวถูกจับได้และถูกทรมาน และรู้สึกว่าสถานการณ์นั้นอันตราย ฉันจึงอยากส่งต่องานให้พี่ผู้หญิงสูงอายุ ฉันมันน่าเกลียดและต่ำต้อยจริงๆ! แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็อดรู้สึกกระวนกระวายและกลัวนิดๆ ไม่ได้ค่ะ ฉันจะเห็นภาพในหัวอยู่บ่อยๆ เป็นภาพพี่น้องชายหญิงถูกทรมานและทารุณ ฉันคิดถึงเรื่องนั้นและกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ และอดพร่ำบ่นกับตัวเองไม่ได้ว่า “ทำไมพวกเขาถึงให้ฉันรับงานที่อันตรายขนาดนี้นะ? ถ้าฉันถูกจับล่ะ? จะเป็นยังไง? ฉันยังอายุน้อยอยู่เลย จะต้องเผชิญกับการทรมานและทารุณ และถูกขังคุกให้ทนทุกข์ตลอดชีวิตที่เหลือเหรอ?” ฉันวิตกกังวลและกลัวเป็นอย่างมากค่ะ ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกพระองค์ถึงสภาวะของฉัน “โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าพระองค์กลัวไม่หายว่าจะถูกจับและถูกขังคุก ถูกทรมานและทารุณ ข้าพระองค์สงบใจไม่ได้ในขณะทำหน้าที่ให้ลุล่วง ถึงกับอยากส่งต่อหน้าที่ให้ผู้อื่น และเอาแต่คิดเห็นแก่ตัวถึงเนื้อหนังของข้าพระองค์เท่านั้น ข้าพระองค์ไม่อยากดำเนินชีวิตด้วยความกลัวและความขี้ขลาด ไม่อยากถูกซาตานหลอก พระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งและทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์เข้าใจถึงน้ำพระทัยของพระองค์ และขอทรงปลูกฝังพละกำลังในตัวข้าพระองค์เพื่อยืนหยัดในสถานการณ์ยากลำบากนี้ด้วยเถิด”

ตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าที่เรียกว่า “จงเอาอย่างองค์พระเยซูเจ้า” “บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตอกตรึงกับกางเขนและกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งความตายและแดนคนตาย เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ความตาย นรก และแดนคนตายสูญเสียพลังอำนาจของตน และได้ถูกกำราบโดยพระองค์ พระองค์ทรงมีพระชนม์อยู่เป็นเวลาสามสิบสามปี ตลอดช่วงเวลานี้พระองค์ได้ทรงทำอย่างสุดความสามารถของพระองค์เสมอเพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าโดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระเจ้าในเวลานั้น ไม่เคยทรงคำนึงถึงผลที่จะได้หรือความสูญเสียส่วนพระองค์เองเลย และทรงคิดถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาอยู่เสมอ เพราะการปรนนิบัติของพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าที่กลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าจึงได้ทรงวางภาระอันหนักหน่วงในการทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงไว้บนพระอังสาทั้งสองของพระองค์ และได้ทรงทำให้พระองค์สำเร็จลุล่วงในภาระนี้ และพระองค์จึงทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมและมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติกิจสำคัญนี้จนเสร็จสิ้น ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสู้ทนความทุกข์อันมิอาจประมาณได้เพื่อพระเจ้า และพระองค์ได้ทรงถูกซาตานทดลองนับครั้งไม่ถ้วน แต่พระองค์ก็ไม่เคยท้อพระทัย พระเจ้าได้ทรงมอบกิจอันใหญ่หลวงเช่นนั้นให้แก่พระองค์เพราะพระเจ้าไว้วางพระทัยในพระองค์ หากเป็นดั่งเช่นพระเยซูคือ พวกเจ้าสามารถมอบทุกความเอาใจใส่ต่อพระภาระของพระเจ้า และหันหลังให้กับเนื้อหนังของพวกเจ้า พระเจ้าจึงจะไว้วางพระทัยที่จะมอบกิจสำคัญของพระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะเป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่พึงต้องมีในการรับใช้พระเจ้า เฉพาะภายใต้รูปการณ์ดังกล่าวเท่านั้นที่เจ้าจะกล้าเสี่ยงพูดว่า พวกเจ้ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าและกำลังทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสิ้น และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะกล้าเสี่ยงพูดได้ว่าพวกเจ้ากำลังรับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันซาบซึ้งมากในขณะที่ร้องเพลงนี้ค่ะ เมื่อเผชิญกับความเจ็บปวดและความทุกข์จากการถูกตรึงกางเขน องค์พระเยซูเจ้าทรงไม่แสดงอาการเสียพระทัยหรือการถอยกลับเลย แม้เนื้อหนังของพระองค์จะอ่อนแอ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเดินอย่างแน่วแน่ไปยังไม้กางเขน ทรงสู้ทนความทุกข์ทรมานเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และไถ่มนุษยชาติทั้งมวลให้พ้นจากเงื้อมมือของซาตาน ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์ยิ่งใหญ่มากค่ะ กลับกัน ฉันปฏิบัติต่อพระเจ้ายังไง? ขณะทำตามพระบัญชาของพระเจ้า ฉันคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้น และเอาแต่กลัวจะถูกจับ ถูกขังคุก ถูกทรมานและทารุณ ใช้ชีวิตด้วยความขี้ขลาดและความกลัว และทำหน้าที่แบบไม่ตั้งใจ ไม่เคยสำเร็จลุล่วงผลกระทบจริงใดเลย พอเห็นว่าสถานการณ์อันตรายแค่ไหน ฉันถึงกับคิดจะส่งต่อหน้าที่ให้พี่ผู้หญิงสูงวัย ฉันมันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ! ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น ฉันไม่ได้ถึงการเป็นพยานให้กับพระเจ้าและทำให้ซาตานอับอายสักนิด ฉันคิดถึงเนื้อหนังของตนเองเท่านั้น และคิดว่าจะลุล่วงหน้าที่ยังไงให้ปลอดภัยโดยที่ไม่ต้องทนทุกข์หรือพลีอุทิศ เพื่อที่ฉันอาจได้รับความรอดของพระเจ้าและได้รับพระพรของพระองค์กับทุกๆ สิ่งที่ทรงสัญญาไว้ในท้ายที่สุด เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก ฉันอยากละทิ้งหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ถึงกับใช้เหตุผลกับพระเจ้าและกบฏต่อพระองค์ แต่เมื่อรู้ตัวว่าความคิดที่ฉันมีในการเชื่อในพระเจ้า ล้วนเป็นไปเพื่อการแลกเปลี่ยน ฉันก็เลยพูดอะไรไม่ออก ฉันนึกถึงเปโตรที่นบนอบต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ท่ามกลางความยากลำบาก เขาไม่เคยกังวลถึงสวัสดิภาพของตนเอง แต่อุทิศตนเพื่อสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า และชูพระทัยของพระเจ้า เขาถูกตรึงบนไม้กางเขนกลับหัวเพื่อเป็นคำพยานที่ส่องประกายให้กับพระเจ้าในท้ายที่สุด เมื่อเทียบการกระทำของฉันกับเปโตรแล้ว ฉันรู้สึกละอายและรู้สึกผิดค่ะ ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ “พระเจ้า! สถานการณ์นี้ได้เปิดโปงความเห็นแก่ตัวและความต่ำต้อยของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลัวการเข้าคุกและทนทุกข์ และไม่เคยคิดว่าข้าพระองค์จะเป็นพยานให้กับพระองค์อย่างไร โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากจะกังวลถึงประโยชน์ส่วนตนหรือสิ่งที่จะได้และสูญเสียอีก ข้าพระองค์เพียงอยากทำหน้าที่ให้ลุล่วงเพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัย หากข้าพระองค์ถูกจับและถูกข่มเหงจริงๆ ข้าพระองค์ก็ยินดีนบนอบ ข้าพระองค์สาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่เป็นยูดาสและทรยศพี่น้องชายหญิง และจะเป็นพยานให้กับพระองค์” หลังอธิษฐานเสร็จ ฉันรู้สึกเปี่ยมสันติสุขและจิตใจมั่นคงมากค่ะ

ตอนนั้นฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) ฉันเข้าใจทันที ใช่แล้วค่ะ! ต่อให้ฉันเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ทุกวันก็จะไม่ถูกจับ เว้นแต่จะมีคำยินยอมของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าทรงลิขิตไว้ว่าฉันควรประสบกับการข่มเหงและความยากลำบาก เช่นนั้นถึงจะซ่อนตัวอยู่ข้างในทั้งวัน ฉันก็จะถูกจับอยู่ดี ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นฉันควรอ้าแขนรับสถานการณ์ใดก็ตามที่ฉันเผชิญหน้า ฉันจะใช้กลยุทธ์ความปลอดภัยของเราให้ดีที่สุด ถ้าถูกจับ ฉันก็เต็มใจนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ความรู้แจ้งและความกระจ่างที่ฉันได้รับจากพระวจนะของพระเจ้ามอบพละกำลังและความเชื่อให้ฉัน และฉันรู้สึกเป็นอิสระทันที ตั้งแต่นั้นมา เวลาไปชุมนุม ฉันรู้สึกสงบมากขึ้นและกลัวน้อยลงค่ะ พรรคคอมมิวนิสต์จีนรณรงค์การจับกุมอย่างเกรี้ยวกราดต่อไป แต่การได้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้านำความเชื่อมาสู่พี่น้องชายหญิงของฉัน อนุญาตให้พวกเขาทำงานของตนต่อไปได้ ฉันก็เกิดแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถมุ่งความคิดและพลีอุทิศในหน้าที่ของฉันได้ ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงนำทางฉัน และฉันแก้ไขปัญหาและประเด็นปัญหาให้พี่น้องชายหญิงได้ งานของคริสตจักรก็ก้าวหน้าไปโดยปกติ สิ่งนี้แสดงให้ฉันเห็นว่า ถึงซาตานจะกลายเป็นโหดร้ายและดื้อรั้นแค่ไหน ก็ไม่มีทางขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้าได้ ความเชื่อในพระเจ้าของฉันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำค่ะ

ฉันคิดว่าหลังจากประสบเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นแล้ว ฉันอาจได้บรรลุวุฒิภาวะบ้าง จึงไม่เคยคิดว่า เมื่อพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ให้ฉันอีกครั้ง ฉันจะถูกเปิดโปงอย่างถ้วนทั่วอีก

เมื่อกรกฏาคมที่ผ่านมา ฉันได้รับข้อความจากผู้นำของฉัน บอกว่าพี่หลิว คนที่ฉันติดต่อด้วยบ่อยๆ ถูกตำรวจติดตามมาเป็นเวลาสองถึงสามเดือนแล้ว พี่น้องชายหญิงยี่สิบกว่าคนที่พี่หลิวได้ติดต่อด้วยก็ถูกตำรวจจับตาดูเหมือนกัน รวมถึงฉันด้วยค่ะ ผู้นำบอกว่าเป็นไปได้สูงมากที่ตำรวจได้ถ่ายภาพที่ประชุมที่พี่หลิวไปร่วมชุมนุมไว้ ด้วยเหตุนี้ ผู้นำจึงแนะนำให้ฉันหลีกเลี่ยงการติดต่อกับพี่น้องชายหญิงของฉัน หลังจากอ่านข้อความ ฉันก็สงบต่อไปไม่ได้อีก ฉันคิดว่า “ฉันเจอพี่หลิวค่อนข้างบ่อย และเมื่อเร็วๆ นี้ฉันขี่จักรยานเข้าไปที่เขตเมืองกับเธอด้วยซ้ำ ถนนตลอดเส้นทางมีกล้องวงจรปิดตั้งแต่หัวจดท้าย ถ้าพวกเขาบันทึกภาพเราได้ ฉันก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดือดร้อน พรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหงคริสตชนโดยไม่เกรงครหายิ่งกว่าเดิม ถ้าฉันถูกจับในช่วงเวลาสำคัญนี้ ใครจะรู้ว่าตำรวจจะทรมานฉันแบบไหน พวกเขาจะซ้อมฉันจนตายไหม?” ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งกลัว และไม่สามารถสงบจิตใจและอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้เลย หลังจากนั้นไม่นาน ฉันได้รู้ว่าหนังสือพระวจนะของพระเจ้าถูกเก็บไว้ในอะพาร์ตเมนต์ที่พี่หลิวเช่า ถ้าไม่เอาออกมาโดยเร็ว ตำรวจก็จะหาหนังสือพบ และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะได้รับความเสียหาย แต่ในใจฉันกลับแย้งว่า ตำรวจก็กำลังรณรงค์อย่างเกรี้ยวกราดเพื่อตามล่าและจับกุมผู้เชื่อ ถ้าฉันบังเอิญเจอตำรวจตอนที่กำลังขนย้ายหนังสือ พวกเขาก็จะมีหลักฐานทั้งหมดที่ต้องการไม่ใช่หรือไง? ในกรณีนั้นก็ไม่มีทางที่การสอบปากคำจะไม่ใช้การทรมาน อาจถึงขั้นทำให้ฉันเสียชีวิต พอคำนึงถึงทั้งหมดนั้น ฉันก็ไม่อยากไป แต่ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าไม่ไป ฉันจะเต็มใจเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับความเสียหายได้จริงหรือ? ฉันต่อสู้กับความคิดเหล่านี้อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้

วันรุ่งขึ้น ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “พวกศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและใจดำอย่างสุดขั้ว พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะมีการอุทิศแด่พระเจ้า ทั้งนี้ เมื่อพวกเขาเผชิญกับประเด็นปัญหา พวกเขาอารักขาแต่ตัวเองเท่านั้น พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการอยู่รอดและความปลอดภัยของตนเอง พวกเขาไม่ใส่ใจว่ามีการทำอันตรายต่อพระนิเวศของพระเจ้ามากเพียงใด—ตราบเท่าที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา นั่นก็คือทั้งหมดที่สำคัญ อุปนิสัยของผู้คนดังกล่าวนั้นชั่วร้ายเลวทราม พวกเขาไม่คิดถึงเหล่าพี่น้องชายหญิง หรือพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น พวกเขาเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้น เมื่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าวตกมาถึงบรรดาผู้ที่อุทิศแด่พระเจ้าและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาจัดการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไรหรือ? (พวกเขาจะคิดถึงหนทางใดก็ตามที่จะคุ้มภัยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ที่จะอารักขาของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามิให้มาสู่อันตราย และจะทำการจัดการเตรียมการที่จำเป็นสำหรับเหล่าพี่น้องชายหญิง ในทางกลับกัน สิ่งแรกที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำคือการอารักขาตัวเองและเพิกเฉยต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และดังนั้น เมื่อพญานาคใหญ่สีแดงดำเนินการการจับกุม ความเสียหายที่มีต่อคริสตจักรทั้งหลายจึงสาหัสเป็นพิเศษ) สิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นเทียบได้กับการยอมยกงานและของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้พญานาคใหญ่สีแดง นั่นคือการทรยศที่ปลอมแปลงมาในอีกรูปแบบหนึ่ง—และพวกเขาก็ไม่ใส่ใจ ผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าต่างก็รู้กันอย่างชัดเจนว่า มีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง และเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงเหล่านั้นเพื่อที่จะจัดการกับผลพวงที่ตามมาและรักษาความสูญเสียที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าไว้ให้อยู่ในระดับน้อยที่สุดก่อนที่ตัวพวกเขาเองจะถอนตัวไป พวกเขาไม่ให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยของตัวเองเลย พวกเจ้าว่าอย่างไรหรือกับการนี้ที่ว่า ผู้คนไม่อาจใส่ใจแม้สักเล็กน้อยเลยหรือเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง? ใครเล่าที่ไม่ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายทั้งหลายจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา? อย่างไรก็ตามที เจ้าต้องรับความเสี่ยงเพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าไม่ควรให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของตัวเอง งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเจ้านั้นสำคัญที่สุด และสิ่งเหล่านี้มีลำดับความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด พวกศัตรูของพระคริสต์ให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของพวกเขา ทั้งนี้ พวกเขาเชื่อว่าไม่มีสิ่งอื่นใดเลยเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา พวกเขาไม่ใส่ใจในยามที่เกิดบางสิ่งขึ้นกับใครคนอื่น ไม่ว่านั่นจะเป็นใครก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่มีสิ่งใดที่แย่เกิดขึ้นกับตัวพวกศัตรูของพระคริสต์เอง พวกเขาก็รู้สึกสบายใจ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีใดเลย นี่คือแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้แทงใจฉันมากจริงๆ อุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ทั้งชั่ว เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ หากเพื่อความปลอดภัยของตนเอง พวกเขายอมให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าประสบความสูญเสียมากกว่าที่จะนำตนเองไปอยู่ในหนทางอันตราย พวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลสักนิด และไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย ส่วนตัวฉัน เมื่อเผชิญกับอันตราย ฉันคิดแต่วิธีการปกป้องตัวเองและวิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเท่านั้น เมื่อฉันได้ยินว่าหนังสือพระวจนะของพระเจ้ายังอยู่ในอะพาร์ตเมนต์นั้น ฉันก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าถ้าไม่นำออกมา ตำรวจอาจยึดหนังสือไป และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะได้รับความเสียหาย ฉันควรให้ลำดับความสำคัญกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และนำหนังสือออกมาทันที แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันโผล่หน้าไป ฉันจะถูกตำรวจจับและถูกทรมานและทารุณ และอาจถึงกับตายเลยก็ได้ ฉันก็เลยไม่เต็มใจไป ฉันกำลังมอบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้กับตำรวจไปง่ายๆ ไม่ใช่หรือ? จะสถานการณ์ไหน ฉันก็คำนึงถึงความปลอดภัยของตนก่อนและเอาใจใส่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพียงน้อยนิดเสมอ ฉันอยากทำหน้าที่อย่างปลอดภัย แต่นั่นคือการทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันนี่ไร้มนุษยธรรมจริงๆ! แม้ว่าภายนอกอาจจะไม่ได้ดูเหมือนว่าฉันบาปเท่ากับศัตรูของพระคริสต์ แต่อุปนิสัยของฉันไม่ต่างไปจากศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจและทำเพื่อประโยชน์ตนเองเท่านั้น ถ้าไม่กลับใจ ฉันต้องประสบกับพระพิโรธและการบอกปัดของพระเจ้าแน่ๆ คนที่เชื่อและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง ในช่วงเวลาสำคัญ พวกเขาไม่สนใจประโยชน์ตนและปกป้องประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขามีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ชัดว่าต้องหันหลังให้อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน และไม่ว่าสถานการณ์จะอันตรายแค่ไหน หรือฉันจะเผชิญความทุกข์ยากยังไง ฉันก็ควรพร้อมเสี่ยงทุกสิ่ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันเต็มใจจะเชื่อในพระเจ้าและนำหนังสือออกมาเพื่อลดความเสียหายให้ได้มากที่สุดค่ะ หลังจากนั้น คำอธิษฐานของฉันก็วนเวียนอยู่กับประเด็นปัญหานี้โดยต่อเนื่อง และฉันยังขอให้พระเจ้าประทานความเชื่อและกำจัดความขี้ขลาดและความกลัวทั้งหมดให้ ฉันคิดถึงหนังเรื่องหนึ่งที่ได้ดูเมื่อสองวันก่อนหน้านั้น เรื่อง ตีตรา ตัวเอกถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหงตั้งแต่ยังเป็นเด็กอายุ 13 ปี ในเวลา 28 ปี เธอถูกจับสามครั้งและถูกข่มเหงทุกรูปแบบ แต่ถึงสิ่งต่างๆ จะทุกข์ทรมานและลำบากยากเย็นยังไง แม้ชีวิตเธอจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอก็วางใจในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อยืนหยัดอย่างเข้มแข็งในทุกก้าวบนหนทางนั้น และท้ายที่สุดเธอก็ทำให้ซาตานปราชัยและยืนหยัดเป็นพยานได้ค่ะ และถึงจะออกจากคุกแล้ว เธอก็ยังลุล่วงหน้าที่ต่อไปในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันยังคิดถึงพี่น้องชายหญิงหลายคนที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุม ทรมานและล้างสมอง คิดถึงที่พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเอาชนะการบีบบังคับและการข่มเหงของซาตาน ฉันคิดได้ว่าต่อให้ซาตานอาจจะชั่วและโหดร้ายแค่ไหน แต่ตราบใดที่เราวางใจในพระเจ้าอย่างจริงใจและ รับการทรงนำโดยพระวจนะของพระเจ้า เราก็จะเอาชนะซาตานและยืนหยัดเป็นพยานได้ ทั้งหมดนี้ให้กำลังใจและฟื้นฟูความเชื่อของฉันได้มากจริงๆ ฉันไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปค่ะ

และหลังจากนั้นฉันได้ทบทวนตนเอง เหตุผลที่ฉันไม่เต็มใจยอมรับหน้าที่อันตรายแบบนี้ ก็เพราะฉันกลัวจะถูกตำรวจทรมาน ฉันไม่อยากต้องทนทุกข์ ยิ่งกว่านั้นคือไม่อยากตาย ตอนนั้นฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “เส้นทางที่พระเจ้าทรงนำเราไปไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด แต่เป็นถนนคดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพระเจ้าตรัสว่า ยิ่งถนนขรุขระมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งสามารถเผยถึงหัวใจรักของพวกเราได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีใครในพวกเราเลยที่สามารถเปิดเส้นทางเช่นนี้ได้ ในประสบการณ์ของเรา เราได้เดินบนเส้นทางขรุขระและเสี่ยงอันตรายมามากมาย และได้ทนฝ่าความทุกข์อันใหญ่หลวง บางคราวเราเคยถึงกับโศกาจาบัลย์เป็นที่สุดจนอยากจะร้องออกมา แต่เราก็ได้เดินบนเส้นทางนี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เราเชื่อว่านี่คือเส้นทางซึ่งทรงนำโดยพระเจ้า ดังนั้นเราจึงทนฝ่าความทรมานในความทุกข์ทนทั้งมวลแล้วไปต่อ เพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ใครเล่าจะหลีกพ้นได้? เราไม่ได้ร้องขอเพื่อรับพรใดๆ ทั้งหมดที่เราขอคือให้เราสามารถเดินบนเส้นทางที่เราควรเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราไม่ได้มุ่งพยายามเลียนแบบคนอื่นหรือเดินบนหนทางที่พวกเขาเดิน ทั้งหมดที่เราแสวงหาคือการที่ได้อุทิศตนจนลุล่วงด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกตั้งไว้ให้จนสุดทาง…พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6)) และฉันยังคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(มัทธิว 16:25) ตอนนั้นเองที่ฉันคิดได้ว่า โชคชะตาของเราทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชีวิตและความตายของเราก็เช่นกัน ไม่ว่าฉันจะถูกจับและถูกขังคุก หรือถูกทรมานและทารุณหรือไม่ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้า ฉันควรนบนอบโดยสมบูรณ์ เหมือนในเรื่องของโยบที่ถูกซาตานทดลอง ทรัพย์สินของโยบถูกยึดไป ลูกๆ ของเขาถูกฆ่าและร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยฝี พระเจ้าทรงไม่อนุญาตให้ซาตานพรากชีวิตของโยบไป และซาตานก็ไม่กล้าท้าทายพระองค์ นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า โยบตระหนักถึงอธิปไตยของพระเจ้า ดังนั้นแม้ในขณะที่อยู่ในความทุกข์แสนสาหัส เขาก็ไม่ได้ตำหนิพระเจ้า และยังพูดว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ในท้ายที่สุด โยบทำให้ซาตานอับอายอย่างถ้วนทั่ว และได้รับพรจากพระเจ้าเป็นสองเท่า ตั้งแต่พระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงลิขิตและวางแผนไว้แล้วว่าใครจะตายเพราะความเชื่อของตน ใครจะถูกขังและความทุกข์แบบใดที่แต่ละคนควรได้รับ และในแต่ละกรณีมีเจตนารมณ์ที่เมตตาของพระเจ้าเก็บซ่อนอยู่ ในยุคพระคุณ นักบุญหลายคนเสียชีวิตขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า ดูเปโตรเป็นตัวอย่างสิคะ เขาดูเหมือนถูกตรึงกางเขนไว้ แต่ดวงจิตของเขาขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และได้รับคำชมเชยและพระพรอันเป็นนิจจากพระเจ้า พี่น้องชายหญิงหลายคนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงยุคสุดท้าย ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุม ถูกทรมานและทารุณกรรมอันเลวทรามทุกรูปแบบ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมให้กับซาตาน หลังออกจากคุก พวกเขายังคงไล่ตามเสาะหาความจริงและกล้าเผชิญอันตรายเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วงต่อไป เป็นคำพยานมากมายที่น่าอัศจรรย์และเปล่งประกายให้กับพระเจ้า พวกเขาทุกคนคือผู้ชนะที่พระเจ้าทรงทำให้ครบบริบูรณ์ เนื้อหนังของพวกเขาอาจทนทุกข์ แต่พวกเขาได้รับความจริงและได้รับคำชมเชยและพระพรของพระเจ้า แต่ก็มีคนที่กลัวจะถูกทรมานและทารุณหลังจากถูกจับเหมือนกันค่ะ พวกเขาจึงทรยศพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง และถูกทิ้งให้อับอายเหมือนยูดาส พวกเขาล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรงและสูญสิ้นความรอดของพระเจ้าไปโดยถาวร และก็มีบางคนกลัวถูกจองจำเหมือนกัน จึงใช้ชีวิตด้วยความขี้ขลาดและความกลัว ไม่กล้าทำหน้าที่ให้ลุล่วง พวกเขาเติบโตออกห่างและทรยศพระเจ้า และกลายเป็นมีแต่เปลือกและเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ที่จริง การจับกุมและข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ได้เปิดเผยว่าใครเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงและใครเทียมเท็จ จัดแยกแต่ละคนไปตามชนิด จากสิ่งนี้ เราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงมีปัญญาและชอบธรรมแค่ไหน! ตอนนั้นฉันได้เข้าใจว่าการนำหนังสือแห่งพระนิเวศของพระเจ้าออกมา คือหนทางที่พระเจ้าทรงทดสอบฉัน เพื่อดูว่าฉันจงรักภักดีและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไหม และจะยืดหยัดเป็นพยานให้พระองค์ไหม หลังจากคิดได้อย่างนั้น ฉันก็แน่วแน่ในการลุล่วงหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าถูกจับจริงๆ ฉันจะยอมเสี่ยงทุกอย่าง รวมถึงชีวิตของฉัน เพื่อยืนหยัดเป็นพยานให้กับพระเจ้า และจะไม่ยอมให้กับซาตานแม้จะต้องตาย ฉันรู้สึกเปี่ยมสันติสุขและจิตใจมั่นคงมาก และขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจสำหรับความรอด ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระองค์ ให้ฉันได้เข้าใจความจริงบางประการผ่านความลำบากยากเย็นเหล่านี้ และสอนบทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งขึ้นให้กับฉันค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นนอนและอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นสิ่งแรก ขอให้พระองค์ประทานความเชื่อและความกล้าหาญ และบอกพระองค์ว่าฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อการทรงนำของพระองค์ วันนั้นเป็นวันฝนตกพอดี ไม่มีใครออกไปข้างนอก ฉันจึงคว้าโอกาสนั้นแอบเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ และนำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าจากในนั้นออกมาทั้งหมด

หลังจากประสบการณ์นั้น ฉันรู้สึกเป็นสุขและสงบมากค่ะ การผ่านเรื่องทั้งหมดนั้นได้เปิดเผยและทำให้ฉันเพียบพร้อม มันเปิดเผยว่าฉันเห็นแก่ตัวและขาดความเป็นมนุษย์แค่ไหน และมันทำให้ความเชื่อและการนบนอบของฉันเพียบพร้อม การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง ที่ทำให้ฉันเข้าใจใหม่ ถึงความทรงมหิทธิฤทธิ์ อธิปไตยและพระปัญญาของพระเจ้า และทำให้ฉันปฏิบัติความจริงในการคุ้มภัยผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าค่ะ แม้ฉันจะไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบไหนรออยู่ข้างหน้า แต่ฉันก็จะไม่ขี้ขลาดและกลัวอีกต่อไป ฉันเต็มใจนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และจะลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้ฉันรอดค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger