ฉันควรทำสิ่งใดหากงานของฉันยุ่งมากจนกระทั่งฉันหลบเลี่ยงพระเจ้า?

วันที่ 18 เดือน 10 ปี 2020

สวัสดีบรรดาพี่น้องชายหญิง

ฉันเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าเมื่อเร็วๆ นี้ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่า ในฐานะคริสตชน คนเราต้องเข้าร่วมการชุมนุมในคริสตจักรและอ่านพระวจนะของพระเจ้า และฉันก็ต้องการที่จะปฏิบัติโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แต่งานของฉันก็ยุ่งมากเหลือเกินแต่ละวันในชั่วขณะนี้ และฉันก็มีชีวิตทางสังคมที่กระฉับกระเฉง ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าทุกวัน แม้ว่าฉันจะทำเงินได้จำนวนหนึ่งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาและมาตรฐานการดำรงชีวิตของฉันก็ดีขึ้น แต่ฉันก็รู้สึกอยู่เสมอเหมือนว่าฉันต้องการที่จะทำเงินมากขึ้นอีกเพื่อที่จะจัดเตรียมการปกป้องสำหรับอนาคตของครอบครัวของฉัน ดังนั้น ฉันจึงทำงานหนักทุกวันเพื่อทำเงิน และฉันก็ไม่มีเวลาที่จะเข้าร่วมการชุมนุมของคริสตจักรหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของฉันรู้สึกว่างเปล่าอยู่เสมอ และฉันก็รู้สึกเป็นหนี้องค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันจะสามารถค้นหาความสมดุลระหว่างงานของฉันกับการเชื่อในพระเจ้าของฉันได้อย่างไร?

เชียวตง

15 มิถุนายน ค.ศ. 2018

สวัสดีเชียวตง

ประเด็นปัญหานี้ได้ทำให้ฉันฉงนเป็นเวลานานเช่นกัน ต่อมา โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมและการสนับสนุนจากบรรดาพี่น้องชายหญิง ในที่สุดฉันจึงค่อยๆ มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันค้นพบว่า หากฉันต้องการที่จะสร้างสมดุลระหว่างงานของฉันกับการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณค่าและความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง ตลอดจนว่าพวกเราทำงานเพื่ออะไรกันแน่ ทันทีที่พวกเราได้เข้าใจความจริงเหล่านี้อย่างถ้วนทั่วแล้ว เมื่อนั้นพวกเราย่อมสามารถทำการตัดสินใจด้วยความใจเย็นเกี่ยวกับการเข้าร่วมการชุมนุมและงานของพวกเรา ที่ด้านล่างนี้ ฉันจะสามัคคีธรรมเล็กน้อยถึงประสบการณ์และความรู้ของฉันเอง

คุณค่าและความหมายของการไล่ตามเสาะหาความจริง

ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเราทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องทำงานเพื่อที่จะดำรงชีวิต แต่หากพวกเราไม่มีเวลาที่จะเข้าร่วมการชุมนุมของคริสตจักรหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า เพราะพวกเรายุ่งกับงานมากเกินไป เช่นนั้นแล้ว นั่นก็ไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เหตุผลหลักสำหรับการนี้เป็นเพราะว่า พวกเราได้ล้มเหลวที่จะมองเห็นความหมายและความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเราเข้าใจคุณค่าของความจริงและพวกเราได้รับประสบการณ์กับความชื่นชมยินดี การปลดปล่อย และอิสรภาพที่มากับการปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะต้องการที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า(มัทธิว 4:4) พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าพระวจนะซึ่งตรัสโดยพระเจ้านั้นเรียบง่ายหรือลุ่มลึกในการปรากฏภายนอก พระวจนะก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงอันจะขาดเสียไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อเขาเข้าสู่ชีวิต พระวจนะคือน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตซึ่งทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งในจิตวิญญาณและเนื้อหนัง พระวจนะจัดเตรียมสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ หลักธรรมและหลักความเชื่อในทางศาสนาสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา เส้นทาง เป้าหมาย และทิศทางที่เขาจะต้องอาศัยผ่านไปเพื่อที่จะได้รับความรอด ความจริงทุกอย่างซึ่งเขาควรมีในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งซึ่งทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า พระวจนะเป็นเครื่องรับประกันที่ทำให้มั่นใจได้ถึงการอยู่รอดของมนุษย์ พระวจนะคือขนมปังประจำวันของมนุษย์ และพระวจนะยังเป็นสิ่งรองรับอันมั่นคงซึ่งทำให้มนุษย์สามารถเข้มแข็งและยืนหยัดได้เช่นกัน พระวจนะนั้นมั่งคั่งไปด้วยความเป็นจริงของความจริงแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ตามปกติเนื่องจากมนุษยชาติที่ถูกสร้างขึ้นดำเนินชีวิตไปตามพระวจนะมั่งคั่งไปด้วยความจริงที่มนุษยชาติซึ่งทรงสร้างใช้ในการหลุดเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามและแคล้วคลาดจากกับดักของซาตาน มั่งคั่งไปด้วยการสอน การเตือนสติ การหนุนใจโดยไม่เหน็ดเหนื่อย และการบรรเทาทุกข์ซึ่งพระผู้สร้างทรงมอบให้มนุษยชาติที่ทรงสร้างขึ้นมา พระวจนะคือดวงประทีปซึ่งชี้นำและให้ความรู้แจ้งแก่พวกมนุษย์เพื่อให้เข้าใจทุกสิ่งที่เป็นบวก เป็นเครื่องรับประกันซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเหล่ามนุษย์จะดำเนินชีวิตไปตามและมามีทุกสิ่งซึ่งชอบธรรมและดีงาม เป็นเกณฑ์ซึ่งใช้ในการวัดผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และวัตถุสิ่งของทั้งหมด และยังเป็นเครื่องหมายการนำทางซึ่งนำพาพวกมนุษย์ไปสู่ความรอดและเส้นทางแห่งความสว่างเช่นกัน(“การรู้จักพระเจ้าคือเส้นทางสู่การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว”)

ขณะที่พวกเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ การที่เพียงแค่มีสิ่งของที่จับต้องได้จะไม่เป็นที่ยอมรับเลย—สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมีมากที่สุดก็คือ การทรงนำและการจัดหาของพระวจนะของพระเจ้า สิ่งของที่จับต้องได้สามารถเพียงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตเท่านั้น และสามารถจัดเตรียมสิ่งชูใจและความพึงพอใจชั่วคราวให้กับเนื้อหนังของพวกเรา แต่มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามรถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาทั้งหลายที่พวกเราเผชิญในงานของพวกเราและในชีวิตของพวกเรา ด้วยเหตุที่พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และการนั้นสามารถทั้งแสดงให้พวกเราเห็นหนทางที่จะปฏิบัติและปลอบประโลมจิตวิญญาณของพวกเรา มิฉะนั้นแล้ว แม้ว่าพวกเราอาจมั่งคั่งมากและมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง แต่พวกเราก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่าและเจ็บปวดในซอกหลืบส่วนลึกที่สุดในหัวใจของพวกเรา ตัวอย่างเช่น พวกเราทำงานหนักบนแผ่นดินโลกนี้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด และพวกเรามาซึ้งคุณค่าว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมเพียงใด และผู้คนสามารถเลวได้เพียงใด ในการที่พวกเราจัดการกับผู้คนอื่นๆ พวกเราทั้งหมดเผชิญกับความลำบากยากเย็นที่พวกเราไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร และความลำบากยากเย็นเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินทองหรือสิ่งของที่จับต้องได้เลย มีเพียงโดยการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมกับบรรดาพี่น้องชายหญิงเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถเข้าใจความจริง หยั่งรู้ในยามที่พวกเราเผชิญกับประเด็นปัญหา และเข้าใจแก่นแท้ของทุกลักษณะของผู้คนที่แตกต่างกันอย่างถ้วนทั่ว เช่นนั้นแล้ว เมื่อพวกเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอื่นๆ พวกเราจะรู้วิธีเข้าหาพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพิษเยี่ยงซาตานของ “ผู้คนต่อสู้ดิ้นรนที่จะไปข้างบน แต่น้ำกลับไหลลงล่าง” และ “การเป็นมนุษย์คือการก้าวไปข้างหน้า” พวกเรามุ่งเน้นไปที่ การไล่ตามเสาะหาสถานะที่จะทำให้ผู้อื่นนิยมบูชาพวกเรา ในการเชื่อว่า นี่คือหนทางอันวิเศษที่จะดำรงชีวิต เมื่อพวกเราปราศจากสถานะ พวกเราแก่งแย่งกันและกันทั้งโดยเปิดเผยและลับหลังพวกเขา และพวกเราลองพยายามที่จะช่วงชิงตำแหน่งของพวกเขาอย่างไม่มีหลักศีลธรรม และเมื่อพวกเราได้รับสถานะ พวกเราก็คอยระแวดระวังผู้อื่นตลอดเวลา วิตกกังวลว่าใครคนอื่นจะมาแทนที่พวกเราและดำรงชีวิตอยู่ในความทุกข์สุดขีด มีเพียงโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการเข้าร่วมการชุมนุม และการสามัคคีธรรมความจริงกับบรรดาพี่น้องชายหญิงเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ้วนทั่วว่า ชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ คือหนทางซึ่งซาตานใช้ทำให้พวกเราเสื่อมทรามและทำร้ายพวกเรา พวกเราบีบเค้นสมองของพวกเราเพื่อไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ และพวกเราจะจ่ายราคาใดก็ตาม และพวกเราลงเอยด้วยการดำรงชีวิตในความเจ็บปวดที่เหลือทน เหนื่อยล้าทั้งในจิตใจและร่างกาย ยิ่งพวกเราไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะมากขึ้นเท่าใด ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็คือ พวกเรายิ่งจมลงไปสู่บาปลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และชีวิตของพวกเราก็หยุดมีคุณค่าหรือความหมายอันใด ในเวลาเดียวกัน พวกเรามาเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า ไม่ว่าพวกเราเหล่ามนุษย์จะครองสถานะหรือไม่ก็ตาม พวกเราก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างตัวเล็กๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราที่จะต้องทำก็คือ การทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและนมัสการพระเจ้า และได้รับการสรรเสริญและพระพรของพระเจ้า ในหนทางนี้ ทรรศนะเยี่ยงซาตานภายในของพวกเราถูกแปลงสภาพ พวกเราไม่เอาตัวเองไปเป็นกังวลกับผลกำไรหรือการขาดทุนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะในการงานอีกต่อไป และพวกเราไม่ลองพยายามที่จะมีชัยเหนือผู้อื่นและวางอุบายกับพวกเขาอีกต่อไป เมื่อใครคนหนึ่งดีกว่าพวกเราในบางสิ่ง เมื่อนั้นพวกเราก็มีความสามารถที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และหัวใจของพวกเราก็กลายเป็นสงบสุขและสบายใจ เป็นอิสระ และได้รับการปลดปล่อยเป็นธรรมดา ดังนั้น พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างพวกเราเมื่อพวกเราไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่สำคัญว่าพวกเราจะเผชิญสถานการณ์ใด พระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของพวกเราเสมอ โดยทรงสนับสนุนพวกเรา และพวกเราก็มีพระวจนะของพระเจ้าเพื่อใช้นำทางครรลองของพวกเรา เช่นนั้นแล้วพวกเราจึงสามารถเผชิญหน้ากับและเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้อย่างสงบ และสำนึกรับรู้ถึงสิ่งชูใจและสันติสุขนี้ที่พวกเรารู้สึกในจิตวิญญาณของพวกเรา คือความสุขที่แท้จริงเดียวเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ความจริงนั้นให้พระพรมากมายเหลือเกินแก่พวกเรา และการไล่ตามเสาะหาความจริงก็มีความหมายมากกว่าสิ่งอื่นใด การทำความพยายามเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง คือสิ่งที่ชาญฉลาดเดียวเท่านั้นที่ต้องทำ!

จงวางใจให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดที่พวกเราจำเป็นต้องมี

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ? และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?(มัทธิว 6:25-26)เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายและกล่าวว่าจะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม? เพราะว่าบรรดาคนต่างชาติแสวงหาสิ่งทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้(มัทธิว 6:31-32) พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้พวกเราสละพลังงานมากเกินไปกับสิ่งจำเป็นพื้นฐาน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้พวกเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์มากขึ้น เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระองค์และมุ่งเน้นไปที่ชีวิตของพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเป็นกังวลมากเกินไปกับสรรพสิ่งทั้งปวงที่พวกเราจำเป็นต้องมีเพื่อดำรงชีวิต ด้วยเหตุที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งเหล่านั้น และทั้งหมดที่พวกเราจำเป็นต้องทำก็คือ นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—ตราบเท่าที่พวกเรามีอาหารและเสื้อผ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นก็เพียงพอแล้ว ลองดูเรื่องราวของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ในพระคัมภีร์เป็นตัวอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฆ่า เขาซ่อนตัวในหุบเขาที่ซึ่งไม่มีอะไรให้กิน กระนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงมอบอาหารให้เขาโดยผ่านทางพวกนกเรเวน ในภัยแล้งอันใหญ่หลวงซึ่งกินเวลาสามปี พระเจ้าได้ทรงทำให้แม่ม่ายผู้ยากจนจัดเตรียมสำหรับเอลียาห์ ในยามที่ทั้งหมดที่นางมีนั้นคือน้ำมันน้อยนิดในเหยือกและแป้งสาลีน้อยนิดในโถ แต่กระนั้นพวกเขาก็มีชีวิตรอดจากสามปีแห่งการดันดารอาหาร และมีบรรดาพี่น้องชายหญิงมากมายในวันนี้ที่ติดตามพระเจ้า ที่มีความความซึ้งคุณค่าลึกซึ้งถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า เมื่อพวกเขารับเอาการไล่ตามเสาะหาความจริงและการปฏิบัติความจริงเป็นลำดับความสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา และเมื่อพวกเขาไว้วางใจมอบหมายชีวิตของพวกเขาให้พระเจ้า และปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไปตามครรลองของมันกับงานของพวกเขา พวกเขาค้นพบว่า พระเจ้ายังคงทรงจัดเตรียมมากมาย มากเสียยิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยจินตนาการด้วยซ้ำ

พวกเราทำงานเพื่ออะไร?

บางทีพวกเราทั้งหมดอาจคิดอย่างนี้ กล่าวคือ “ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีอาชีพการงานเพื่อที่จะดำรงชีวิต และต้องหาเงินเพื่อสนับสนุนครอบครัวของตน—การนี้ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะดำรงชีวิตหรอกหรือ?” แน่นอนว่า ไม่มีสิ่งใดผิดเลยกับการหาเงินและการสนับสนุนครอบครัวของตน แต่บ่อยครั้งที่พวกเราไม่ได้ทำงานหนักและตรากตรำเพียงแค่จะสนับสนุนครอบครัวของพวกเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรากลับทำการนั้นเพื่อตอบสนองความอยากอันฟุ้งเฟ้อของเนื้อหนังของพวกเรา พวกเราต้องการหาเงินให้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อที่พวกเราจะสามารถซื้อบ้าน ซื้อรถ และชื่นชมชีวิตที่บินสูง และด้วยการนั้นจึงได้มาซึ่งความเลื่อมใสและความเคารพนับถือจากผู้อื่น เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสิ่งชูใจทางกายภาพหรือความเลื่อมใสและความเคารพนับถือจากผู้อื่น พวกเราจึงทำงานกะพิเศษและทำงานล่วงเวลา จนถึงจุดที่พวกเราใช้เวลาและพลังงานทั้งหมดของพวกเราไปกับการทำเงิน เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแค่พวกเราจะทำร่างกายของพวกเราให้พังทลายโดยผ่านทางความเหนื่อยล้าเท่านั้น แต่พวกเรายังไม่มีเวลาที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเลยด้วยเช่นกัน ในหนทางนี้ พวกเราสูญเสียโอกาสที่จะนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างโดยไม่รู้ตัว

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะเป็นจริงได้เพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับถ้อยคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก ถ้อยคำสองคำนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของทุกคน และถ้อยคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์ ถ้อยคำสองคำนี้คืออะไร? ถ้อยคำสองคำนี้ก็คือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ทรัพย์สมบัติ’ ซาตานใช้วิธีการแบบที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันได้ดีมากกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย โดยผ่านวิธีการนี้มันทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมันโดยที่ไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และในการทำเช่นนั้นพวกเขายังมามีความทะเยอทะยานในชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน ไม่สำคัญว่าความทะเยอทะยานในชีวิตเหล่านี้อาจดูยิ่งใหญ่เพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ทรัพย์สมบัติ’ อย่างแยกกันไม่ออก…ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อชื่นชมกับสถานภาพอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมกับชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีที่ฟุ้งเฟ้อของเนื้อหนัง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติซึ่งมวลมนุษย์อยากได้มาก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ ถึงแม้ว่าไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่ชั่วขณะ ไม่รู้เท่าทันในความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมาอยู่เรื่อยไป…เมื่อใครสักคนติดหล่มในชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สว่างไสว สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติมีเหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งของสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรอกหรือ?(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6”)

พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนยิ่งนัก! จากในยามที่พวกเรายังเล็ก พวกเราถูกปลูกฝังความเชื่อด้วยสัจพจน์ของชีวิตเยี่ยงซาตาน อาทิ “เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หากปราศจากเงิน เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้เลย” “การเป็นมนุษย์คือการก้าวไปข้างหน้า” และ “มนุษย์ทิ้งชื่อของเขาไว้ข้างหลังไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหนก็ตาม เหมือนดั่งที่ห่านเปล่งเสียงร้องของมันไม่ว่ามันจะบินตรงไหนก็ตาม” ภายใต้อิทธิพลของสัจพจน์เหล่านี้ หัวใจของพวกเราสนับสนุนเงินทอง พวกเราละโมบความยินดีทางกายภาพ และพยายามเสาะแสวงที่จะกลายเป็นผู้มีอำนาจ คำนึงถึงชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ภายใต้อำนาจครอบครองของแนวคิดซึ่งทำให้เข้าใจผิดเหล่านี้ พวกเราไม่ทำงานเพียงเพื่อที่จะมีความสามารถที่จะสนับสนุนครอบครัวของพวกเราเท่านั้นอีกต่อไป แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรากลับทำงานโดยการพยายามเสาะแสวงที่จะมีอาชีพการงาน ซึ่งพวกเราสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเลื่อมใสและความเคารพนับถือจากผู้อื่น ด้วยเหตุผลนี้ พวกเราจึงกลายเป็นเครื่องจักรทำเงินทีละคน พวกเราดำรงชีวิตอย่างเหนื่อยล้าและอยู่ในความเจ็บปวด และผู้คนบางคนถึงขั้นทำให้ร่างกายของพวกเขาเองพัง และในท้ายที่สุดแล้วก็จ่ายด้วยชีวิตของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเราอาจทำเงินอยู่บ้าง กระนั้นภายในตัวพวกเราเองแล้ว บ่อยครั้งพวกเราก็รู้สึกว่างเปล่าและไร้หนทาง ปราศจากเค้าเงื่อนของสันติสุขหรือความชื่นบานในจิตใจของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเราดำรงชีวิตไปโดยสัจพจน์ของชีวิตของซาตาน และไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภอย่างไม่ลดละ หัวใจของพวกเราก็ห่างจากพระเจ้าออกไปเรื่อยๆ และความสนใจของพวกเราในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง—การที่เชื่อในพระเจ้าและการนมัสการพระเจ้า—ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ผู้คนบางคนถึงขั้นมาคิดว่า การเข้าร่วมชุมนุมในคริสตจักรและการอ่านพระวจนะของพระเจ้า เป็นการแทรกแซงขีดความสามารถของพวกเขาที่จะหาเงิน และดังนั้นพวกเขาจึงหยุดไปร่วมการชุมนุม และพวกเขาก็หยุดอ่านระวจนะของพระเจ้า และโดยที่พวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงการนั้น พวกเขาสูญเสียสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าของพวกเขา จากการนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่า ซาตานใช้การไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภของพวกเราเพื่อขโมยพวกเราไปจากพระเจ้า เพื่อนำพาพวกเราไปอยู่ภายใต้การควบคุมและการจับจองของมันอย่างถ้วนทั่ว และเพื่อที่พวกเราจะจมลึกลงไปเรื่อยๆ สู่หล่มแห่งบาป ดังนั้น พวกเราต้องเข้าใจว่า ชื่อเสียงและโชคลาภคือหนทางซึ่งซาตานใช้เพื่อหลอกลวงพวกเรา ทำอันตรายและกลืนกินพวกเรา และการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภคือเส้นทางที่ผิดที่จะใช้ ทันทีที่พวกเราเข้าใจและหยั่งรู้ทรรศนะภายในเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาของพวกเรา เมื่อนั้นพวกเราย่อมสามารถใช้วิธีการเข้าหาที่ถูกต้องกับงานของพวกเรา

ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีความขัดแย้งระหว่างงานของพวกเรากับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเรา ดังนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเราควรกำหนดสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าในงานของพวกเราอย่างไร?

คุณสามารถผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในงานของคุณ

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง(ยอห์น 4:24) พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และพวกเราสามารถนมัสการพระองค์และกำหนดสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระองค์ในที่ใดก็ได้และในเวลาใดก็ได้ ในขณะที่พวกเรากำลังทำงาน แม้ว่าพวกเราอาจยุ่งอยู่กับงานในมือ แต่พวกเราก็ยังคงสงบใจของพวกเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า คิดถึงความรักและความรอดของพระเจ้า ใคร่ครวญความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงอยู่กับพวกเรา ช่วยพวกเราให้แก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเราและนำพวกเราให้รู้วิธีประพฤติตัวในฐานะมนุษย์ เมื่อพวกเรากำหนดสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า และพวกเราได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวใจของพวกเราได้รับสิ่งชูใจและจะรู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบาน ในหนทางนี้ ต่อให้พวกเราอาจเหน็ดเหนื่อยจากงานของพวกเรา และพวกเราอาจพบว่าเป็นการยากที่จะหาเวลา พวกเราก็ยังคงสามารถเผชิญหน้ากับทั้งหมดนั้นได้ด้วยท่าทีด้านบวก

ให้ฉันได้บอกคุณถึงประสบการณ์ของฉันเองสักเล็กน้อยเถิด เมื่อฉันเพิ่งจะเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันเชื่อว่างานก็คืองาน และความเชื่อในพระเจ้าก็คือความเชื่อในพระเจ้า ฉันเชื่อว่า การเข้าร่วมการชุมนุมเป็นหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมหนทางเดียวที่จะนมัสการพระเจ้า และฉันเพียงแค่ไม่มีแนวคิดว่า ฉันจะสามารถปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าได้เมื่อฉันทำงาน ในเวลานั้น ฉันกำลังทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง และงานก็ยุ่งมาก ฉันยังมีการชุมนุมในคริสตจักรที่จะต้องเข้าร่วมหลายครั้งต่อสัปดาห์ด้วยเช่นกัน และฉันก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนว่าฉันมีเวลาพอ ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีเวลาที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งไม่มีโอกาสเหมาะอันใดที่จะผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ ในขณะที่ฉันทำงาน ฉันรู้สึกเหมือนว่าเวลานั้นผ่านไปช้าๆ และน่าเบื่อมาก ต่อมาในการชุมนุมของคริสตจักรครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งอ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาของฉัน ความว่า “นี่เป็นเพราะเพื่อที่จะยังอยู่ในทางของพระเจ้า พวกเราไม่สามารถปล่อยสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเราหรือรอบตัวพวกเราไป แม้กระทั่งสิ่งเล็กน้อย ไม่ว่าพวกเราจะคิดว่าพวกเราควรให้ความสนใจกับมันหรือไม่ ตราบใดที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าเรื่องใดก็ตาม พวกเราจะต้องไม่ปล่อยมันไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นควรถูกมองว่าเป็นการทดสอบที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่พวกเรา เจ้าคิดอะไรเกี่ยวกับวิธีมองสิ่งทั้งหลายวิธีนี้? หากเจ้ามีท่าทีแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว มันจะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง กล่าวคือ ลึกลงไปนั้น เจ้ายำเกรงพระเจ้าและเต็มใจหลบเลี่ยงความชั่ว หากเจ้ามีความพึงปรารถนานี้ที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้านำไปฝึกฝนปฏิบัติจะไม่อยู่ไกลมากนักจากการตอบสนองต่อมาตรฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว บ่อยครั้งที่มีพวกที่เชื่อว่า เรื่องทั้งหลายที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจมากนักและมักจะไม่พาดพิงถึงนั้น เป็นแต่เพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาเช่นนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับมัน แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่างไรก็ตาม โดยข้อเท็จจริงแล้วเรื่องนี้เป็นบทเรียนที่เจ้าควรศึกษา—บทเรียนเกี่ยวกับวิธีที่จะยำเกรงพระเจ้าและวิธีที่จะหลบเลี่ยงความชั่ว ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าควรกังวลสนใจยิ่งขึ้นไปอีกคือการรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงทำอะไรเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเผชิญหน้ากับเจ้า พระเจ้าทรงอยู่ข้างเจ้านั่นเอง กำลังทรงสังเกตการณ์ทุกคำพูดและการกระทำของเจ้า และกำลังทรงเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำและการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นในความคิดของเจ้า—นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์”) โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้มารู้ว่า ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเราเผชิญทุกวันนั้น ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ล้วนแต่ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าอย่างพิถีพิถันเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเรา พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะทดสอบพวกเรา และทรงทดสอบพวกเราโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้ เพื่อดูว่าพวกเราเคารพพระองค์หรือไม่ พวกเราสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ในทุกสรรพสิ่งหรือไม่ และพวกเราได้เข้าสู่ความจริงทุกประเภทแล้วหรือไม่ ฉันไม่เคยตระหนักรู้มาก่อนว่า ฉันจะสามารถผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวฉัน และดังนั้นฉันจึงพลาดโอกาสหลายครั้งที่จะได้รับความจริง ฉันได้ตัดสินใจว่า ฉันต้องมุ่งเน้นไปที่การนำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่ชีวิตจริงของฉัน ฉันต้องผ่านประสบการณ์กับและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าขณะทำงาน และฉันต้องไล่ตามเสาะหาความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ เพื่อที่ชีวิตของฉันอาจค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่

วันหนึ่ง ฉันอยู่ในร้านอาหารโดยกำลังเขียนเมนูอาหารอยู่เมื่อผู้จัดการขอให้ฉันเพิ่มรายการอาหารเข้าไปในใบแจ้งหนี้ของลูกค้าอีก เพื่อที่พวกเราจะสามารถคิดเงินพวกเขาเพิ่มขึ้น ฉันรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว(มัทธิว 5:37) องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอให้พวกเราซื่อสัตย์และพูดตรงไปตรงมา หากพวกเราโกหกเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของผลกำไร เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมกำลังกระทำการหลอกลวง และพวกเราจะไม่ได้รับการสรรเสริญของพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรพูดโกหกเพื่อเล่นไม่ซื่อกับลูกค้า แต่ฉันก็วิตกกังวลเกี่ยวกับการทำให้ผู้จัดการไม่พอใจ จนกระทั่งเขาอาจจะทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับฉันหรือตัดค่าจ้างของฉัน และหากฉันไม่รับมือกับการนั้นให้ดี เช่นนั้นแล้ว ฉันอาจถึงขั้นเสียงานของฉัน ขณะที่ฉันค่อยๆ หาทางรับมือกับสภาวะลำบากนี้ จู่ๆ ฉันก็ตระหนักว่า พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ประเด็นปัญหานี้ตกมาถึงฉัน และว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างฉันโดยทรงเฝ้าดูว่าฉันจะทำอะไรกับความจริง และทรงเฝ้าดูว่าฉันจะปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและเป็นบุคคลซื่อสัตย์หรือไม่ และดังนั้น ฉันจึงได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และกลายเป็นเต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนังของฉันและปฏิบัติความจริง ฉันไม่ได้ใส่ใจวิธีที่ผู้คนจะปฏิบัติต่อฉันหรือว่าฉันจะเสียงานของฉันหรือไม่ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันต้องการมุ่งเน้นไปที่การดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และการกำหนดสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า หลังจากการอธิษฐาน หัวใจของฉันรู้สึกสงบขึ้นมาก และฉันก็พบความแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย โดยไม่ได้คาดคิด พอดีกับที่ฉันกำลังเขียนเมนูอาหารให้กับลูกค้าตามความเป็นจริงอยู่นั้น แม้ว่าผู้จัดการจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ต่อมาเขาก็ออกไปบอกเจ้าของร้านอาหารว่า ฉันซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ ฉันได้เป็นประจักษ์พยานกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้า และได้ผ่านประสบการณ์กับความรู้สึกถึงสันติสุขและความปลอดภัย ถึงการปลดปล่อยและอิสรภาพซึ่งมาจากการปฏิบัติความจริง และเหล่านั้นคือความรู้สึกซึ่งไม่ว่าเงินจำนวนเท่าใดก็ไม่สามารถซื้อได้ ในงานของฉันหลังจากนั้น ฉันให้ความใส่ใจอย่างใกล้ชิดต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวฉันเสมอ และฉันมุ่งเน้นไปที่การผ่านประสบการณ์กับและการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และสัมพันธภาพของฉันกับพระเจ้าก็ค่อยๆ เป็นปกติ และฉันก็รู้สึกผ่อนคลายในงานมากขึ้นมาก

พี่น้องชายเชียวตง มาบัดนี้ที่ได้ให้การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีค้นหาความสมดุลระหว่างงานและการเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันวางใจว่าตอนนี้คุณจะมีเส้นทางที่จะติดตามอยู่บ้างแล้ว ในงาน พวกเราควรปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไปตามครรลองของมัน และไม่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและโชคลาภของพวกเราเอง—การมีอาหารและเสื้อผ้าก็เพียงพอแล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกเราต้องใส่หัวใจของพวกเราในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเราต้องเตรียมตัวพวกเราเองให้พร้อมด้วยความจริงมากขึ้น ฝึกฝนด้วยและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา และยอมให้พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นหลักธรรมของชีวิตของพวกเราและการประพฤติของพวกเรา ในหนทางนี้ พวกเราจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง และมารู้จักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน พวกเราจะได้รับการปลดปล่อยและอิสรภาพภายใน ตลอดจนความชื่นบานซึ่งมาจากการมีพระเจ้าอยู่เคียงข้างพวกเรา ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดอวยพรคุณ!

เชียวหมิง

17 มิถุนายน ค.ศ. 2018

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

คำเผยวจนะ 6 ประการเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ได้ลุล่วงแล้ว

โดย ซินเจี่ย สองพันปีมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับพวกเราว่า: “นี่แน่ะ เราจะมาในเร็วๆ นี้” (วิวรณ์ 22:12) บัดนี้...

คนเราสามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้แค่โดยการยอมรับการไถ่บาปขององค์พระเยซูเจ้าหรือ?

โดย Shen Qingqing, เกาหลีใต้ สารบัญ ความหมายที่แท้จริงของ “ความรอด” พวกเราสามารถรับความรอดและเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้อย่างไร?...

คำเทศนาเรื่อง: คริสตจักรของพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไร? เราสามารถแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายได้อย่างไร?

โดยเบาดา ออสเตรเลีย โลกอยู่ในสภาพของความยุ่งเหยิง ด้วยความวิบัติทุกประเภทกำลังเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ ผู้คนมากมายกำลังนึกสงสัยว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger