จงจับความเข้าใจสามหลักธรรมเหล่านี้ในการเฝ้าเดี่ยวประจำวัน และเจ้าจะเติบโตในชีวิตเร็วขึ้น

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

1. มุ่งเน้นการทำตัวเจ้าให้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยวประจำวัน

การค้นหาวิธีเข้าหาที่ถูกต้องสำหรับการเฝ้าเดี่ยวประจำวันนั้นมีความจำเป็นสำหรับการที่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเราจะให้ดอกออกผล ประการแรก พวกเราจำเป็นต้องทำตัวพวกเราให้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ยิ่งพวกเราทำการนี้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ง่ายขึ้นเท่านั้น หากพวกเราไม่สามารถทำการนั้นได้ เช่นนั้นแล้ว ในขณะที่กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ เราย่อมยังคงมีสิ่งทั้งหลาย อาทิ งาน โรงเรียน และครอบครัวอยู่ในจิตใจของพวกเรา เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็แค่กำลังแสร้งทำท่าเคลื่อนไหวและเอาใจพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยวของพวกเรา เพราะพวกเราไม่มุ่งเน้นอยู่กับการนมัสการพระเจ้าและการอ่านพระวจนะของพระองค์ในเชิงอธิษฐานแต่เพียงอย่างเดียว นั่นทำให้ไม่มีแววเลยว่า พวกเราจะได้รับความรู้แจ้งอันใดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต่อให้พวกเราเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าก็ตาม

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติคือชีวิตที่ใช้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่ออธิษฐาน คนเราสามารถทำให้ใจของเขานิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และโดยผ่านทางการอธิษฐาน คนเราสามารถแสวงหาความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รู้พระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า นอกจากนี้พวกเขายังสามารถได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติใหม่ และจะไม่เกาะติดกับสิ่งเก่าๆ สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อการทำให้การเติบโตในชีวิตสัมฤทธิ์ผล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ)หากเจ้าอยากให้หัวใจของเจ้าสงบอย่างแท้จริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องทำงานแห่งการให้ความร่วมมืออย่างมีสติ กล่าวคือพวกเจ้าทุกคนจะต้องมีเวลาเพื่อการอุทิศของพวกเจ้า เวลาที่พวกเจ้าละวางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ทำหัวใจของพวกเจ้าให้นิ่งและอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทุกคนต้องเก็บบันทึกแห่งการอุทิศเป็นรายบุคคล ซึ่งบันทึกความรู้ของพวกเขาในเรื่องพระวจนะของพระเจ้า และเรื่องที่จิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกถูกขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะลึกซึ้งหรือผิวเผิน ทุกคนจะต้องทำหัวใจให้สงบเงียบอย่างมีสติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าสามารถทุ่มเทอุทิศเวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณอันแท้จริงแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าในวันนั้นก็จะรู้สึกมั่งคั่งและหัวใจของเจ้าก็จะแจ่มสว่างและชัดเจน หากเจ้าใช้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนี้ทุกวัน เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็จะสามารถกลับคืนไปเป็นสิ่งทรงครองของพระเจ้าได้มากขึ้น จิตวิญญาณของเจ้าจะกลายเป็นเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ สภาพเงื่อนไขของเจ้าจะมีการปรับปรุงอยู่เนืองนิตย์ เจ้าจะกลายเป็นสามารถเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางได้มากขึ้น และพระเจ้าจะประทานพระพรให้แก่เจ้ามากขึ้น จุดประสงค์ของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเจ้าก็คือการที่จะได้รับการไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระวิญาณบริสุทธิ์อย่างมีสติ ไม่ใช่การทำตามกฎระเบียบหรือปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา แต่เพื่อให้ปฏิบัติโดยสอดประสานไปกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง บ่มวินัยให้กับร่างกายของเจ้าได้อย่างแท้จริง—นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ ดังนั้นพวกเจ้าจึงควรทำการนี้ด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นปกตินำทางผู้คนไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง) พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า การฝึกฝนปฏิบัติการทำให้หัวใจของพวกเราสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นมีความจำเป็นสำหรับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดีงาม ก่อนการเฝ้าเดี่ยว พวกเราจำเป็นต้องออกห่างอย่างมีสติจากสิ่งใดก็ตามที่อาจสามารถขัดจังหวะพวกเราได้ ออกห่างจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งปวงที่อาจสามารถนำหัวใจของเราออกห่างไปจากพระเจ้าได้ โดยทั่วไปแล้ว หัวใจของพวกเราในช่วงเช้าจะสงบกว่า ก่อนที่พวกเราจะได้จัดการกับสิ่งละอันพันละน้อยนับไม่ถ้วนที่เข้ามาอย่างไม่คาดคิดในชีวิตของพวกเราและในที่ทำงาน พวกเราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้า ณ เวลานี้ บอกพระองค์เกี่ยวกับความลำบากยากเย็นและความขาดตกบกพร่องของพวกเรา พวกเราสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างรอบคอบ ไตร่ตรองและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์และเส้นทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติ ยิ่งพวกเราทำตัวเราให้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด ก็มีแววมากขึ้นเท่านั้นที่พวกเราจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นหนทางที่ดีกว่าในอันที่จะได้รับบางอย่างออกมาจากการเฝ้าเดี่ยวของพวกเรา และสภาพเงื่อนไขฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราก็จะปรับปรุงขึ้นต่อไป

2. มุ่งเน้นการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยว

หนทางที่สองเพื่อที่จะได้รับออกมามากขึ้นจากการเฝ้าเดี่ยวของพวกเราก็คือ การมีจุดมุ่งเน้นอยู่ที่การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจำนวนมากอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยวของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ใช่กำลังพิจารณาพระวจนะเหล่านั้นตามความเป็นจริง—พวกเขาก็แค่กำลังแฉลบผ่านพระวจนะเหล่านั้น และพอใจที่จะเข้าใจความหมายที่ระดับผิวเผิน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้รับความเข้าใจที่แท้จริงอันใดเกี่ยวกับน้ำพระทัยหรือข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า ด้วยวิธีการเข้าหานี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ย่อมจะไม่เข้าใจความจริงอยู่ดี พวกเราทุกคนล้วนรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นความจริง ว่าพระวจนะเหล่านั้นคือการแสดงออกอย่างหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระองค์ และพระวจนะเหล่านั้นเปิดเผยพระชนม์ชีพจริงของพระองค์ พระวจนะเหล่านั้นเต็มไปด้วยน้ำพระทัยของพระเจ้าเอง ดังนั้นพระวจนะเหล่านั้นจึงมิใช่บางสิ่งที่พวกเราสามารถเข้าใจจริงได้โดยการใช้ความคิดกับพระวจนะเหล่านั้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม พวกเราจำเป็นต้องอ่านในเชิงอธิษฐานและไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยหัวใจแห่งความเคารพและความถวิลหาที่จะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์—นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใจความจริงทั้งหลายในพระวจนะของพระเจ้า ที่จะเข้าใจสิ่งที่ความจริงเหล่านั้นกำลังบอกกับพวกเรา พระเจ้าตรัสว่า “การอุทิศโดยสุดหัวใจต่อพระวจนะของพระเจ้าโดยหลักแล้วเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริง การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ มุ่งความสนใจไปที่การจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเข้าใจและการได้มาซึ่งความจริงมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า เมื่ออ่านพระวจนะของพระองค์ เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางเทววิทยา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และความดีงามของพระองค์ เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนธรรมชาติอันเสื่อมทรามและข้อบกพร่องจริงแท้ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามแง่มุมทั้งหมดของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์เพื่อที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร) พวกเราสามารถเห็นได้ตรงนี้ว่า ตอนที่กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่นั้น พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาพระประสงค์ของพระเจ้าเบื้องหลังการตรัสนี้, สิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า, สิ่งที่น้ำพระทัยของพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ภายในพวกเรา, หนทางที่พวกเราเป็นกบฏหรือขาดตกบกพร่อง และวิธีที่จะฝึกฝนปฏิบัติความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เมื่อพวกเราแสวงหาและไตร่ตรองในหนทางนี้ พวกเราก็จะมีความรู้แจ้งของพระเจ้าก่อนที่พวกเราจะทันรู้ตัว อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าใจสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้ากำลังกล่าวอยู่ตามความเป็นจริง และเข้าใจสิ่งที่เป็นพระประสงค์กับเจตนารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้า หลังจากนั้น เมื่อพวกเราปฏิบัติตนไปตามข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเราก็จะมีความสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง นี่จะทำให้การเก็บเกี่ยวผลเก็บเกี่ยวจากการเฝ้าเดี่ยวของพวกเรานั้นง่ายดายขึ้น

พวกเรามาดูข้อพระคัมภีร์นี้เป็นตัวอย่างกันเถิด กล่าวคือ “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน(มาระโก 12:30) พวกเราเข้าใจจากการนี้ว่า พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเรารักพระองค์ด้วยหัวใจทั้งหมดและจิตใจทั้งหมดของพวกเรา เหตุใดเล่า พระองค์จึงจะพึงประสงค์การนั้นจากพวกเรา? สิ่งใดหรือคือน้ำพระทัยของพระเจ้า? พวกเราสามารถไตร่ตรองการนี้และตระหนักว่า พระเจ้าทรงทราบว่า นับตั้งแต่ที่พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเราทั้งหมดล้วนมีธรรมชาติที่เห็นแก่ตัว พวกเรากำลังคิดกันอยู่เสมอเกี่ยวกับวิธีที่จะสนองผลประโยชน์ของพวกเราเองในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อพวกเราสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นก็แค่เป็นการทำข้อตกลงกับพระเจ้า โดยพยายามที่จะได้รับพระพรทั้งหลายและพระคุณจากพระองค์ และพวกเราอาจพร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้าเมื่อความปรารถนาของพวกเราไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง พวกเราไม่ได้กำลังใช้ชีวิตตามสิ่งใดเลยนอกเสียจากอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน นี่คือการต้านทานและการโกงพระเจ้า พระเจ้าทรงมีพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ชอบธรรม ดังนั้นหากพวกเราไปต่อด้วยการเสาะหาไล่ตามประเภทนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเราจะทำงานหนักเพื่อพระเจ้าเพียงใด พวกเราก็จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์อย่างแน่นอน พระเจ้าได้ทรงสร้างข้อพึงประสงค์นี้ขึ้นมาโดยสอดคล้องกับข้อบกพร่องและความต้องการที่จำเป็นทั้งหลายของพวกเราเอง โดยทรงหวังว่าตอนที่พวกเราทำหน้าที่ของพวกเรา มันจะไม่ถูกเจือปนหรือเป็นไปในเชิงธุรกรรมการซื้อขาย พระองค์ทรงหวังว่า พวกเราจะไม่ดำรงชีวิตไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่นของพวกเรา แต่ว่าพวกเรานั้นมีความสุขที่จะทำงานและถวายตัวพวกเราเพราะความรักของพวกเราที่มีแด่พระเจ้า และใช้ชีวิตไปตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง การนี้เท่านั้นที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เมื่อพวกเราพิจารณาและตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ความแน่วแน่ที่จะกระหายต่อความจริงและละทิ้งเนื้อหนังก็สามารถเกิดขึ้นภายในตัวพวกเราได้ และพวกเราก็กลายเป็นเต็มใจที่จะรักพระเจ้าด้วยหัวใจทั้งหมดของพวกเราและจิตใจทั้งหมดของพวกเรา นี่คือ สิ่งที่สัมฤทธิ์ได้โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในเชิงอธิษฐาน เมื่อพวกเราเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าในหนทางนี้ตลอดเวลาและดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราก็จะปรับปรุงขึ้นต่อไป

3. พิจารณาปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและความลำบากยากเย็นในการเฝ้าเดี่ยวของเจ้า

เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลายในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องแบกความรับผิดชอบในการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า และพวกเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะโยงใยการนั้นเข้ากับสภาวะตามจริงของพวกเราและแสวงหาความจริง การนี้สำคัญมาก ไม่ผิดจากที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องประเมินวัดความเป็นจริงแห่งสภาวะของเจ้าเองโดยอิงพระวจนะเหล่านั้น กล่าวคือ เมื่อเจ้าค้นพบข้อบกพร่องของเจ้าในครรลองของประสบการณ์อันเป็นจริงของเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะค้นหาเส้นทางที่จะปฏิบัติ ที่จะหันหลังให้กับแรงจูงใจทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องและมโนคติที่หลงผิดของเจ้า หากเจ้าเพียรพยายามเพื่อสิ่งเหล่านี้และเทหัวใจของเจ้าเข้าไปในการสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีเส้นทางให้ติดตาม เจ้าจะไม่รู้สึกว่างเปล่า และด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถธำรงรักษาสภาวะปกติเอาไว้ได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่แบกภาระในชีวิตของเจ้าเอง เป็นผู้ที่มีความเชื่อ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7))

เนื่องจากเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแบกรับภาระ และเพราะเจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้ากำลังขาดพร่องในหลายทางเหลือเกิน รู้สึกว่ามีความจริงหลายอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ มีความเป็นจริงมากมายที่เจ้าจำเป็นต้องได้รับประสบการณ์ และรู้สึกว่าเจ้าควรให้ความใส่ใจทั้งหมดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้อยู่ในความคิดของเจ้าเสมอ ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้กำลังกดลงบนตัวเจ้าด้วยแรงที่ทำให้เจ้าไร้ความสามารถที่จะหายใจ และดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกหนักในหัวใจ (แม้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสภาวะที่เป็นลบ) ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง) พระเจ้าทรงแสดงความจริงทั้งหลายเพื่อที่จะระบุถึงข้อบกพร่องและความต้องการที่จำเป็นทั้งหลายของมวลมนุษย์ ดังนั้นเมื่อพวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจึงจำเป็นต้องแสวงหาความจริงที่จะแก้ปัญหาตามจริงทั้งหลายของพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องมองที่ปัญหาตามจริงและความลำบากยากเย็นทั้งหลายของพวกเราในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พวกเราสามารถได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น หากพวกเราพบว่า เมื่อพวกเราอยู่กับเหล่าพี่น้องชายหญิง หรือกำลังให้ความร่วมมือกับใครบางคนในหน้าที่ของพวกเรา พวกเรากำลังอวดแสดงความโอหังอยู่เสมอ, กำลังเกาะติดอยู่กับข้อคิดเห็นของตัวพวกเราเอง, กำลังให้ผู้อื่นรับฟังพวกเรา และบางทีก็อาจจะกำลังอบรมสั่งสอนและทำให้ผู้อื่นอึดอัดหายใจไม่ออกอยู่ พวกเราก็ควรคิดถึงปัญหานี้ให้รอบคอบในการเฝ้าเดี่ยวของพวกเรา เหตุใดเล่า พวกเราจึงกำลังอวดแสดงความเสื่อมทรามประเภทนี้อยู่เสมอ และดูเหมือนไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย? เหตุใดหรือ พวกเราจึงไม่สามารถหนีพ้นจากพันธะทั้งหลายแห่งบาปและหยุดการทำบาปได้? และบ่อยครั้งที่พวกเราอดไม่ได้ที่จะโกหกและหลอกลวงเพื่อที่จะธำรงรักษาหน้าตาและสถานะของพวกเราไว้—เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า? เหตุใดจึงยากลำบากนักที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์? บาปทั้งหลายของพวกเราได้รับการยกโทษให้โดยองค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นเหตุใดเล่า พวกเราจึงกำลังทำบาปกันอยู่เป็นนิตย์? ผู้คนอย่างพวกเราผู้ซึ่งกำลังทำบาปอยู่เสมอนั้น สามารถเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้จริงหรือ? จงถามคำถามเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่การเกิดโรคระบาดอย่างหนึ่งกำลังผลาญทำลายโลกและความวิบัติทั้งหลายก็กำลังเริ่มปรากฏขึ้นกับพวกเรา พวกเรายังคงไม่ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ ดังนั้นพวกเราจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องจำนนต่อความวิบัติทั้งหลายไม่ช้าก็เร็ว กับตอนนี้ที่ความวิบัติทั้งหลายได้มาถึงแล้ว พวกเราไม่สามารถเสียเวลาอันใดไปกับการอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและแสวงหาสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ได้ พวกเราจำเป็นต้องไตร่ตรองอย่างเต็มที่กับสองสามปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นั่นก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏและทรงพระราชกิจที่ใดเมื่อพระองค์เสด็จมาในยุคสุดท้าย? พระวิญญาณบริสุทธิ์จะตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายที่ใด? พวกเราจะสามารถเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาและให้การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? คริสตจักรประเภทใดเป็นคริสตจักรฟีลาเดลเฟียที่จะถูกรับขึ้นไป? โดยการนำพาคำถามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้เข้ามาในการเฝ้าเดี่ยวของพวกเรา และการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการแสวงหาน้ำพระทัยจริงของพระเจ้า พวกเราย่อมสามารถได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำได้อย่างง่ายดายมากขึ้น การนี้สามารถแก้ปัญหาและความลำบากยากเย็นทั้งหลายของเรา ให้เส้นทางหนึ่งแก่พวกเราในการฝึกฝนปฏิบัติ หากพวกเราก็แค่อ่านองค์พระคัมภีร์ไปเหมือนเครื่องจักรกลและอธิษฐาน อันเป็นการปฏิบัติต่อการเฝ้าเดี่ยวของพวกเราเสมือนเป็นแค่กิจอีกอย่างหนึ่ง โดยการแสร้งทำท่าทางเคลื่อนไหว ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราย่อมจะทุกข์ทน และนั่นจะไม่กลายไปเป็นสิ่งใดเลยนอกจากพิธีกรรมทางศาสนา ธรรมเนียมปฏิบัติทางศาสนา

เหล่านี้คือสามหลักธรรมแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่พวกเราจำเป็นต้องจับความเข้าใจเพื่อการเฝ้าเดี่ยวทางจิตวิญญาณของพวกเรา ตราบที่พวกเรานำหลักธรรมเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ และฝึกฝนปฏิบัติหลักธรรมเหล่านี้ในการเฝ้าเดี่ยวประจำวันของพวกเรา พวกเราย่อมจะได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น พวกเราจะเห็นการปรับปรุงขึ้นอันสม่ำเสมอในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเรา และพวกเราจะค่อยๆ ได้รับประสบการณ์การเติบโตในชีวิต

หมายเหตุจากบรรณาธิการ: สามหลักธรรมเหล่านี้แห่งการฝึกฝนปฏิบัติสำหรับการเฝ้าเดี่ยวได้มีประโยชน์กับคุณบ้างหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ขอให้คุณรู้สึกเป็นอิสระที่จะแบ่งปันประโยชน์เหล่านั้นให้กับพี่น้องชายหญิงมากหน้าหลายตาขึ้น เพื่อให้ผู้คนมากขึ้นพบกับหนทางที่ดีกว่าในการที่จะทำการเฝ้าเดี่ยวของพวกเขา หากคุณพบว่าคุณมีประเด็นปัญหาหรือคำถามอื่นในการเชื่อของคุณ กรุณาติดต่อกับพวกเราผ่านทางเมสเซนเจอร์หรือวอตส์แอปป์ และพวกเราจะมีความสุขที่ได้เสวนาเรื่องเหล่านั้นกับพวกคุณ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สัญญาณของสมัยสุดท้าย: สมัยของโนอาห์ในวาระสิ้นสุดได้มาถึงแล้ว ดังนั้นพระเยซูจะทรงหวนคืนเพื่อทรงพระราชกิจอย่างไร?

สมัยของโนอาห์ได้อุบัติขึ้นแล้ว: การนี้เป็นลางบอกเหตุสิ่งใด? เมื่อเราพูดถึงมวลมนุษย์ในสมัยของโนอาห์ ทุกคนรู้ว่าฆาตกรรมและการลอบวางเพลิง...

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้พวกเราทนทุกข์?

โดยหลี่ถง ชาวคริสเตียนมากมายรู้สึกสับสนว่า พระเจ้าคือความรัก และพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเหตุใดเล่าพระองค์จึงทรงยอมให้พวกเราทนทุกข์?...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger