เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้คริสตชนทนทุกข์จากอาการป่วย?

วันที่ 31 เดือน 08 ปี 2021

โดย ตู๋ส้วย

วลี “ตะเกียกตะกายหาหมอเมื่อคุณป่วย” สะท้อนความรู้สึกของผู้คนโดยตรงเกี่ยวกับความวิตกกังวล ความไร้หนทาง และความตื่นตระหนกเมื่อพวกเขามีอาการป่วย ในฐานะคริสตชน แม้ว่าพวกเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า ว่าพระเจ้าได้ทรงมอบลมปราณที่แท้จริงแก่พวกเรา และว่าพระเจ้าทรงปกครองและจัดการเตรียมการชีวิตและความตายของมนุษย์ แต่พวกเราก็ยังคงสามารถรู้สึกจนหนทางได้ในเรื่องของสิ่งที่ต้องทำเมื่อเผชิญกับอาการป่วย เพราะฉะนั้นฉันจึงงุนงงสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เมื่ออาการป่วยตกมาถึงพวกเรา พวกเราควรได้รับประสบการณ์กับอาการป่วยนั้นอย่างไรหรือ เพื่อที่จะมีความสามารถที่จะเผชิญหน้าอาการป่วยนั้นอย่างใจเย็นและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้? ฉันได้อธิษฐานและแสวงหากับพระเจ้าเกี่ยวกับการนี้อยู่บ่อยครั้ง และฉันได้แสวงหาและสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของฉันจนกระทั่งหลังจากที่ผ่านไปไม่นาน ฉันได้เข้าใจว่า เวลาที่พวกเรามีอาการป่วย โดยการเข้าใจว่าสิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้าเบื้องหลังการที่พวกเรามีอาการป่วย และโดยการเชี่ยวชาญหลักธรรมสี่ประการเกี่ยวกับการปฏิบัติเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถแก้ไขความรู้สึกของพวกเราเกี่ยวกับความไม่สบายใจ ความตื่นตระหนก และความไร้หนทาง และก่อให้เกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้ ในที่แห่งนี้ฉันจะแบ่งปันความเข้าใจอันเล็กน้อยและเรียบง่ายของฉันกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ด้วยความหวังว่าการนี้จะเป็นประโยชน์อยู่บ้างต่อพวกคุณทุกคน

1. เข้าใจจุดกำเนิดของอาการป่วยและไม่พร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้า

ในเวลาที่พวกเรามีอาการป่วย ทุกคนจะมีแนวคิดของตัวเองเกี่ยวกับอาการป่วยนั้น และพี่น้องชายหญิงบางคนก็จะพร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับอาการป่วยของพวกเขา โดยพูดสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ฉันสามารถมีอาการป่วยนี้ได้อย่างไรกันในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า?” และ “เหตุใดหรือพระเจ้าจึงไม่ทรงคอยเฝ้าดูและอารักขาฉัน?” ยังมีเหล่าพี่น้องชายหญิงบางคนด้วยเช่นกันที่จะคิดว่า พวกเขาได้มีอาการป่วยนี้ก็เพราะพวกเขาได้ทำให้พระเจ้าไม่ทรงยินดีในบางหนทางและพระเจ้าไม่ทรงมีความสุขกับพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงท้อแท้สิ้นหวังและเลิกล้มไป และพวกเขาก็เข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระเจ้าในสภาวะเป็นลบของพวกเขา...เหล่านี้คือการแสดงออกถึงสภาวะทั้งหลายที่พวกเราสามารถมีได้ในเวลาที่พวกเรามีอาการป่วย และสภาวะเหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะพวกเราไม่เข้าใจจุดกำเนิดของอาการป่วย อันที่จริงแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเรามีอาการป่วยประเภทใด พวกเราไม่ควรติเตียนพระเจ้าหรือเข้าใจพระเจ้าผิด เพราะอาการป่วยมาจากซาตาน เพราะอาการป่วยได้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “อะไรคือแหล่งที่มาของความทุกข์ตลอดชีวิตตั้งแต่การเกิด ความตาย การเจ็บป่วย และการแก่ที่มนุษย์สู้ทน? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมีสิ่งเหล่านี้? เหล่ามนุษย์ไม่มีพวกมันตอนที่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมาในครั้งแรกไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมามาหลังจากที่พวกมนุษย์ถูกซาตานทดลอง และเนื้อหนังของพวกเขาก็กลายเป็นเสื่อมถอยลง ความเจ็บปวดของเนื้อหนังมนุษย์ ความทุกข์ร้อนของมัน และความว่างเปล่าของมัน รวมถึงเรื่องราวที่น่าเวทนาอย่างยิ่งต่างๆ ของโลกมนุษย์ ได้มาถึงทันทีที่ซาตานได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเท่านั้น หลังจากที่พวกมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มันก็เริ่มทรมานพวกเขา ผลก็คือ พวกเขากลายเป็นเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ โรคภัยของมนุษยชาติมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และความทุกข์ของพวกเขากลายเป็นสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ…ด้วยเหตุนี้ ความทุกข์นี้จึงถูกซาตานนำพาลงมาให้กับพวกมนุษย์(“นัยสำคัญแห่งการที่พระเจ้าทรงรับรสชาติของความทุกข์ทางโลก”)

ดังที่พวกเราล้วนแต่รู้กัน อาดัมและเอวาในปฐมกาลได้ใส่ใจต่อพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ และพวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในสวนเอเดนภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการทรงอารักขาของพระเจ้าและปลอดจากความกังวลทั้งสิ้น ทั้งนี้ พวกเขาไม่ได้รู้จักอาการป่วยหรือความตายใดเลย นับประสาอะไรที่พวกเราจะได้รู้จักความเศร้าหมองหรือความกังวลอันใด ต่อมา อาดัมและเอวาก็ถูกซาตานล่อหลอกให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว ซึ่งพระเจ้าได้ทรงห้ามพวกเขาไว้ไม่ให้กิน ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงได้หลบเลี่ยงและทรยศพระเจ้า พวกเขาได้สูญเสียการดูแลเอาพระทัยใส่และการทรงอารักขาของพระเจ้า และพวกเขาก็ตกไปอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เพราะฉะนั้น อาการป่วย ความกังวล ความว่างเปล่า ความตาย และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันจึงได้ตกลงบนมวลมนุษย์ เป็นเวลาสี่พันปี ซาตานได้ใช้ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติของผู้คนที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่เพื่อหลอกลวงและทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ตัวอย่างเช่น อเทวนิยม ลัทธิวัตถุนิยม และทฤษฎีว่าด้วยการวิวัฒนาการ ตลอดจนสัจพจน์เยี่ยงซาตานนานาสารพันเกี่ยวกับตรรกะและปรัชญาและเหตุผลวิบัตินอกรีต อาทิ “ทุกคนทำเพื่อตัวเขาเอง และมารจะจับคนที่อยู่รั้งท้าย” “มนุษย์ยอมตายเพื่อเงิน นกยอมตายเพื่ออาหาร” “ไม่เคยมีพระผู้ช่วยให้รอด” “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” “เจ้าต้องได้มาซึ่งความสุขของตัวเจ้าเอง” “เงินทำให้โลกหมุนไป” และ “ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เจ็บปวด” ซาตานปลูกฝังพวกเราอยู่เป็นนิตย์ด้วยสิ่งทั้งหลายเยี่ยงซาตานเหล่านี้โดยผ่านทางช่องทางทั้งหลาย อาทิ การเรียนการสอน การศึกษาจากบิดามารดาของพวกเรา และการสื่อสารโดยผ่านทางสภาพแวดล้อมทางสังคม ทันทีที่พวกเราได้ถูกพิษและได้รับอิทธิพลโดยความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติกับปรัชญาและสัจพจน์เหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเราก็ไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเราไม่เชื่ออีกต่อไปว่าเป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเราและค้ำชูพวกเรา และพวกเราก็ไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงปกครองแต่ละชะตาลิขิตของพวกเรา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรากลับพึ่งพาความเห็นนอกรีต เหตุผลวิบัติ ปรัชญา และสัจพจน์นานาสารพันของซาตานเพื่อดำรงชีวิต และพวกเราก็สนับสนุนเงินตรา กลายเป็นผูกพันกับสิ่งไร้ค่า และพวกเราก็ไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ เพื่อที่จะได้มาซึ่งความชื่นชมยินดีทางวัตถุในระดับที่สูงกว่า พวกเราสละความคิดทั้งหมดของพวกเรา พวกเราบีบเค้นสมองของพวกเรา พวกเราสาละวนไปทั่วและทำงานหนักเหลือเกิน และพวกเราก็จ่ายราคาใดก็ตาม ถึงแม้ต้องแลกด้วยสุขภาพของพวกเราเอง เมื่อพวกเราได้ทำงานหนักแต่ความอยากของพวกเราที่จะได้เงินตรา ชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะไม่ได้รับการสนอง พวกเราสามารถกลายเป็นวิตกกังวล โกรธ และหงุดหงิดได้ และสามารถถึงขั้นกลายเป็นรู้สึกผิดหวังกับชีวิตได้เสียด้วยซ้ำ ความรู้สึกในระยะยาวถึงการกดขี่และความเจ็บปวดในชีวิตไม่เพียงสามารถทำให้พวกเราเหนื่อยล้าทั้งในร่างกายและจิตใจและเป็นเหตุให้พวกเราได้รับประสบการณ์กับความทุกข์สุดขั้วได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นเหตุให้ร่างกายของพวกเราได้รับประสบการณ์กับภาวะที่แตกต่างกันทุกประเภทด้วยเช่นกัน อาทิ อาการเวียนศีรษะและอาการแน่นหน้าอก โรคประสาทอ่อน และในกรณีที่รุนแรง พวกเราถึงขั้นสามารถเกิดความเจ็บป่วยทั้งหลายอย่างเช่นความเศร้าหมอง ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจได้เสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีและโดดเด่นจากฝูงชน นักเรียนบางคนดื่มด่ำอยู่ในการศึกษาเล่าเรียนอย่างสิ้นเชิงและทุ่มสุดตัวที่จะศึกษาเล่าเรียนหนัก และด้วยเหตุนี้จึงเกิดโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมและโรคประสาทอ่อนในวัยหนุ่มสาว ทั้งนี้ เมื่อพวกเขาล้มเหลวในการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย นักเรียนบางคนไม่สามารถทนรับการนั้นได้ และพวกเขาก็รู้สึกแย่ทุกวันและเกิดความซึมเศร้ารุนแรง ยังมีผู้คนมากมายด้วยเช่นกันที่ทำงานมากเกินไปเลยพ้นความสามารถของร่างกายของพวกเขาในการที่จะสู้ทน และเกิดปัญหากับหลังของพวกเขา ขาของพวกเขา คอของพวกเขาและไหล่ของพวกเขา กระเพาะอาหารของพวกเขาและหัวใจของพวกเขา และสามารถถึงขั้นเสียชีวิตจากความเหนื่อยล้าได้เสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะทำเงินให้ได้มากขึ้นและเป็นผู้ชนะ เหล่านี้เป็นแค่ไม่กี่ตัวอย่างเท่านั้น และจากตัวอย่างเหล่านี้พวกเราสามารถเห็นได้ว่า อาการป่วยเป็นผลลัพธ์จากความเสื่อมทรามและอันตรายซึ่งซาตานก่อให้เกิดกับพวกเรา และนั่นเป็นผลลัพธ์ที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยการที่พวกเราไม่ยอมรับพระเจ้า การที่พวกเราหลบเลี่ยงและทรยศพระเจ้า และการที่พวกเราไล่ตามเสาะหาความอุดมด้วยโภคทรัพย์ ชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะโดยการพึ่งพาการทำงานหนักของพวกเราเอง เพราะฉะนั้น ในเวลาที่พวกเขามีอาการป่วยในอนาคต พวกเราก็ควรมีเหตุผลและใช้วิธีเข้าหาที่ถูกต้องต่ออาการป่วยนั้น และพวกเราก็ไม่ควรติเตียนพระเจ้าหรือเข้าใจพระเจ้าผิด

2. โดยการติดตามกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงกำหนด พวกเราสามารถลดกรณีของอาการป่วยได้

บางครั้ง พวกเราสามารถมีอาการป่วยได้เพราะพวกเราได้ล่วงเกินกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดสำหรับมนุษย์ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หลายพันปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมวลมนุษย์ก็ยังคงชื่นชมความสว่างและอากาศที่พระเจ้าประทานให้ ยังคงหายใจด้วยลมปราณที่พระเจ้าพระองค์เองทรงถ่ายทอดออกมา ยังคงชื่นชมดอกไม้ นก ปลา และแมลงทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น และชื่นชมทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้ วันและคืนยังคงแทนที่กันอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาลทั้งสี่ยังคงปรับเปลี่ยนตามปกติ ห่านป่าที่บินอยู่ในท้องฟ้าจากไปในฤดูหนาว และยังคงหวนคืนมาในฤดูใบไม้ผลิถัดไป ปลาในน้ำไม่เคยทิ้งแม่น้ำและทะเลสาบ—ซึ่งเป็นบ้านของพวกมัน จักจั่นบนแผ่นดินโลกร้องเพลงออกมาจากใจของพวกมันในระหว่างวันแห่งฤดูร้อน และจิ้งหรีดในพงหญ้าฮัมเพลงแผ่วเบาเป็นจังหวะเดียวกับสายลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห่านป่ารวมตัวกันเป็นฝูง ในขณะที่นกอินทรียังคงสันโดษ ความภาคภูมิของสิงโตยังคงค้ำชูตนเองโดยการล่า กวางเอลก์ไม่ไถลห่างไปจากหญ้าและดอกไม้…สิ่งทรงสร้างมีชีวิตทุกประเภทท่ามกลางทุกสรรพสิ่งจากไปและหวนคืนมา และแล้วก็จากไปอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนับล้านที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว—แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสัญชาตญาณและธรรมบัญญัติแห่งการอยู่รอด พวกมันดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสัญชาตญาณของพวกมันได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถลดคุณค่ากฎเกณฑ์ในการอยู่รอดของพวกมันได้(“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1”)

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกและพระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ พระเจ้ายังได้ทรงบัญญัติกฎเกณฑ์และกฎแห่งชีวิตสำหรับมวลมนุษย์และสำหรับทุกสรรพสิ่งด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับมวลมนุษย์ว่าพวกเราควรกินอาหารสามมื้อต่อวัน ทำงานในเวลากลางวันและพักผ่อนในเวลากลางคืน และกินอาหารที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเราโดยสอดคล้องกับฤดูกาล และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน โดยการติดตามกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญญัติขึ้นสำหรับมนุษย์ โดยการชื่นชมขนมปังประจำวันซึ่งพระเจ้าประทานแก่พวกเรา และโดยการใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกในหนทางที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอาการป่วยบางอย่างได้ และเมื่อนั้นพวกเราย่อมจะมามีร่างกายที่สุขภาพดีเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม พวกเรากำลังกลายเป็นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีที่ทางใดเลยสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเรา เพื่อที่จะสนองความอยากได้อยากมีทางกายของพวกเรา เวลาส่วนใหญ่แล้วพวกเราจึงล่วงเกินกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้สำหรับมนุษย์และพวกเราไม่ใช้ชีวิตที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และในทางกลับกันการนี้ส่งผลให้ร่างกายของพวกเราได้รับความทุกข์ร้อนจากอาการป่วยทุกลักษณะ ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนบ่อยครั้งที่เล่นเกมบนโทรศัพท์ของพวกเขาหรือพวกเขาออกไปเล่นสนุกจนกระทั่งก่อนรุ่งสางหรือแม้กระทั่งทั้งคืน และชีวิตที่ไม่ปกติและรูปแบบของงานและการหยุดพักของพวกเขาก็เป็นเหตุให้พวกเขาเกิดความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ความง่วงซึม ความเสียหายต่อตับ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ซึ่งในระยะยาวแล้วสามารถนำไปสู่ปัญหาทางกายภาพนานาสารพันได้ ผู้คนบางคนละโมบความยินดีทางกาย และเพื่อที่จะสนองความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกเขา บ่อยครั้งที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างเช่นกินและดื่มมากเท่าที่พวกเขาต้องการ พวกเขากินอาการที่ไม่อยู่ในฤดูกาลหรืออาหารที่ดิบ เย็นชืด หรือมันเยิ้ม และพวกเขาถึงขั้นกินอาหารขยะเป็นช่วงเวลานานเสียด้วยซ้ำ ซึ่งต่อมาก็นำไปสู่โรคขาดสารอาหารและภูมิคุ้มกันที่ลดลง และพวกเขาก็เกิดโรคลำไส้อักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง บางคนเกิดความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และแม้กระทั่งโรคมะเร็ง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้แห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ผู้คนสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่พวกเขาจำเป็นต้องการโดยไม่จำเป็นที่จะต้องออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ การนั่งอยู่ต่อหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานในหนึ่งท่าสามารถเป็นเหตุให้เกิดการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี แผลและอาการปวดที่บริเวณหลัง ขา คอ และไหล่ และในกรณีที่รุนแรง สามารถเป็นเหตุให้เกิดโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมและโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทได้ ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลอันขมขื่นจากการล่วงเกินกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้สำหรับพวกเรา เพราะฉะนั้น พวกเราจึงควรปฏิบัติตามกฎแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงบัญญัติไว้ และทำการปรับเปลี่ยนอันพอเหมาะพอควรต่อรูปแบบงานและการหยุดพักของพวกเราตามรูปการณ์แวดล้อมของปัจเจกบุคคลของพวกเรา เพื่อให้พวกเราทำงานในเวลากลางวันและหยุดพักในเวลากลางคืน และพวกเราก็ควรออกกำลังกายเรื่อยๆ และออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น ในแง่ของอาหาร พวกเราไม่ควรมุ่งเน้นไปที่รสชาติ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่โภชนาการ การดำรงชีวิตที่เป็นปกติและเป็นระเบียบเรียบร้อยประเภทนี้สามารถลดกรณีของอาการป่วยได้

3. มีสันติสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเอง และสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “การเริ่มต้นของอาการป่วยควรได้รับการผ่านประสบการณ์อย่างไร? เจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและเสาะแสวงที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และตรวจสอบว่าอะไรกันแน่ที่เจ้าได้ทำผิดไป หรือว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดอยู่ภายในตัวเจ้าซึ่งเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้โดยปราศจากความเจ็บปวด ผู้คนต้องได้รับการกล่อมเกลาโดยความเจ็บปวด เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะหยุดเหลวแหลกและดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ ผู้คนจะอธิษฐานเสมอ จะไม่มีความคิดเรื่องอาหาร เสื้อผ้า หรือความสนุกสนาน ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาจะอธิษฐาน และตรวจสอบว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใดผิดบ้างหรือไม่ในระหว่างเวลานี้ ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผู้คนถูกรุมเร้าโดยความเจ็บป่วยรุนแรงหรืออาการป่วยที่ผิดปกติบางอย่าง และการนั้นเป็นเหตุให้พวกเขาได้รับความเจ็บปวดใหญ่หลวง สิ่งเหล่านี้มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ การที่เจ้ามีอาการป่วยหรือมีสุขภาพดีนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังการนั้นทั้งหมด(“จงมองทะลุปรุโปร่งถึงทุกสรรพสิ่งโดยผ่านทางดวงตาแห่งความจริง”) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้พวกเราเห็นถึงเส้นทางแห่งการปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีที่พวกเราควรได้รับประสบการณ์กับอาการป่วย แม้ว่าอาการป่วยบางอย่างเกิดขึ้นโดยกฎแห่งธรรมชาติ แต่ก็มีอาการป่วยอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลด้วยเช่นกัน และเจตนารมณ์อันดีงามและน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังอาการป่วยเหล่านี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการอาการป่วยเหล่านี้เพื่อให้ความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเราอาจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกทำให้เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วอย่างดิ่งลึกเหลือเกิน และพวกเราก็เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอย่างเช่นความโอหังและความทะนง การคดโกงและการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ความเลวและความดุดัน บ่อยครั้งที่พวกเราไม่สามารถหยุดตัวเองจากการทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ ตัวอย่างเช่น ขณะที่พวกเราทำงานและประกาศเพื่อพระเจ้า บ่อยครั้งที่พวกเราอวดตัวและพวกเราอวดโอ้ตัวเองเกี่ยวกับว่าพวกเราได้ทนทุกข์มามากเพียงใดแล้ว พวกเราได้ไปไกลเพียงใดแล้ว และพวกเราได้ทำงานไปมากเพียงใดแล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้เหล่าพี่น้องชายหญิงชื่นชูและหวังพึ่งความช่วยเหลือจากพวกเรา และพวกเขาไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาเลย บางครั้ง เพื่อที่จะธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศและสถานะของพวกเรา พวกเราอดไม่ได้ที่จะโกหกและหลอกลวงผู้คน และบ่อยครั้งที่พวกเราพูดสิ่งหนึ่งต่อหน้าของผู้คนและพูดอีกสิ่งลับหลังพวกเขา บางครั้ง เมื่อพวกเราเห็นว่าเพื่อนร่วมงานของพวกเราเก่งกว่าพวกเราในการให้คำเทศนา และเหล่าพี่น้องชายหญิงก็ล้วนแต่ต้องการที่จะได้ยินเสียงพวกเขาเหล่านั้น พวกเราก็อาจรู้สึกอิจฉาและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ และพวกเราก็ไม่ต้องการให้มีใครก็ตามที่เก่งกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าพวกเรา มากจนถึงขนาดที่ว่าพวกเราตัดสิน ดูเบา และกีดกันพวกเขา บางครั้ง หัวใจของพวกเราก็อาจกลายเป็นดึงดูดใจกระแสนิยมชั่วได้ และพวกเราเกาะติดอยู่กับเงินตราและชื่นชมสิ่งของทางวัตถุ พวกเราหลบเลี่ยงพระเจ้าและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เหล่านี้เป็นแค่บางตัวอย่างเท่านั้น เพื่อที่จะปลุกพวกเราและที่จะทำให้พวกเราไม่กบฏต่อพระองค์หรือต้านทานพระองค์อีกต่อไป และเพื่อให้พวกเราไม่ถูกหลอกและถูกทำอันตรายภายใต้แดนครอบครองของซาตาน พระเจ้าทรงใช้กระบวนการถลุงแห่งอาการป่วยเพื่อทำให้พวกเราทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเอง และเพื่อทำให้พวกเราหันกลับไปหาพระองค์ทันเวลา แน่นอนว่านี่เป็นการลุล่วงพระวจนะในพระคัมภีร์ ความว่า “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก(ฮีบรู 12:6) เพราะฉะนั้น ในเวลาที่พวกเรามีอาการป่วย พวกเราจึงควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อธิษฐานและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ทบทวนเรื่องสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าและเรื่องที่ว่าพวกเราได้ทำสิ่งใดที่เป็นการต่อต้านน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ ในครรลองแห่งการที่พวกเราอธิษฐาน แสวงหา และทบทวน พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเราและนำทางพวกเราเพื่อให้พวกเรามีความสามารถที่จะเห็นความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเราได้อย่างชัดเจน ขณะที่ในเวลาเดียวกันมาเข้าใจความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเกลียดชังพวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาป และทรงเปรมปรีดิ์เมื่อพวกเรานำพระวจนะของพระองค์ไปสู่การปฏิบัติและใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระองค์ในการที่จะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ จากการนี้ พวกเราจึงมีความสามารถที่จะซาบซึ้งความมานะอุตสาหะของพระเจ้าในการช่วยพวกเราให้รอดได้ และหัวใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะเคารพพระองค์ พวกเรามาเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรามากขึ้นไปอีก แล้วจากนั้นพวกเราก็สามารถตกลงใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงได้ดี กลับใจ และเปลี่ยนแปลงได้

ครั้งหนึ่งฉันได้ยินพี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอในด้านนี้ วันหนึ่ง พี่น้องหญิงคนนี้จู่ๆ ก็เป็นหวัด เธอมีไข้สูง 39 องศา และภาวะของเธอก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่หลังจากที่เธอได้ฉีดยาและกินยาแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะฉงนฉงายว่า “ไข้หวัดของฉันไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้นนี่อาจเป็นได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะฉันได้ทำบางสิ่งที่ไม่ลงรอยกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า?” พี่น้องหญิงคนนี้ได้ไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ และเธอก็ได้ทบทวนสถานการณ์ของเธอในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอคิดว่า ตั้งแต่ที่เธอได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เธอได้มีความสามารถที่จะให้คำเทศนาและปฏิบัติงานบางอย่างได้มาโดยตลอด และเธอก็ได้มีความสามารถที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาบางอย่างของเหล่าพี่น้องชายหญิงของเธอได้มาโดยตลอด และเธอก็รู้สึกเหมือนว่าเธอเก่งในการไล่ตามเสาะหาความจริง เก่งกว่าคนอื่นทุกคน และบ่อยครั้งที่เธอได้รู้สึกพอใจกับตัวเองอย่างยิ่งและได้เลื่อมใสตัวเองอย่างใหญ่หลวง เมื่อเพื่อนร่วมงานได้ชี้ชัดข้อบกพร่องบางอย่างในงานของเธอ แม้ว่าโดยผิวเผินแล้วเธอได้ปรากฏให้เห็นว่ายอมรับการนี้ แต่หัวใจของเธอจะไม่ยอมรับการนี้ และบางครั้งเธอก็จะลองพยายามที่จะให้เหตุผลกับเพื่อนร่วมงานของเธอว่าการกระทำของเธอนั้นถูกต้อง เมื่อเพื่อนร่วมงานของเธอได้ทำข้อเสนอแนะที่สมเหตุสมผลบางประการเกี่ยวกับงานของคริสตจักร เธอไม่ได้ใคร่ครวญหรือเสาะแสวงที่จะดูว่าข้อเสนอแนะของเพื่อนร่วมงานของเธอนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเธอกลับเกาะติดอยู่กับทรรศนะของตัวเองและปฏิเสธทรรศนะและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานของเธอ การนี้ได้นำไปสู่การที่เธอไร้ความสามารถที่จะทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเธอได้อย่างปรองดอง และนั่นได้เป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคต่องานของคริสตจักร หลังจากที่เธอได้ทบทวนตัวเองแล้ว พี่น้องหญิงคนนี้ก็ได้ตระหนักว่าเธอได้โอหังและทะนงเกินไปมาโดยตลอด ว่าเธอยังไม่ได้ยอมรับหรือนบนอบต่อความจริง ว่าเธอไม่ได้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และว่าไม่เพียงแค่ชีวิตของเธอถูกทำให้เกิดความเสียหายเท่านั้น แต่ว่าเธอยังได้ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้ามาโดยตลอดด้วยเช่นกัน พี่น้องหญิงคนนี้ได้ตระหนักว่าเธอเป็นใครบางคนที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว และหากไม่ใช่เป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้า เธอก็คงจะไม่ได้มีความสามารถที่จะปฏิบัติงานอันใดได้เลยแม้แต่น้อย การที่เธอมีความสามารถที่จะปฏิบัติงานเล็กน้อยได้และสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาบางอย่างของเหล่าพี่น้องชายหญิงของเธอได้นั้น เป็นผลทั้งสิ้นทั้งปวงจากพระราชกิจของพระเจ้า และความพยายามของเธอที่จะขโมยพระสิริของพระเจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงขยะแขยง ในเวลาเดียวกัน พี่น้องหญิงคนนี้ยังได้มาเข้าใจอีกเช่นกันว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการที่เธอมีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงได้ในครรลองแห่งการดำเนินการหน้าที่ของเธอ ที่จะทำงานร่วมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงได้อย่างปรองดอง ที่จะใช้จุดแข็งของทุกคนเพื่อจัดการกับปัญหา ที่จะเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกัน และลุล่วงงานที่พระเจ้าได้ทรงมีพระบัญชาให้พวกเขาทำร่วมกัน ด้วยเหตุที่มีเพียงในหนทางนั้นเท่านั้น งานของคริสตจักรจึงจะทำไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เธอได้มาสู่ความเข้าใจนี้แล้ว พี่น้องหญิงคนนี้ก็รู้สึกอับอายและเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างยิ่ง และเธอก็ได้รีบกลับใจและสารภาพบาปของเธอต่อพระเจ้า จากนั้นเธอก็ได้ปฏิบัติการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์โดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และได้กลายเป็นเปิดกว้างอย่างยิ่งกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของเธอเกี่ยวกับความเสื่อมทรามทั้งหลายของเธอเอง หลังจากนั้น ในเวลาที่เธอได้ปฏิบัติงานของคริสตจักรและในเวลาที่เธอได้แก้ปัญหาทั้งหลายเกี่ยวกับเหล่าพี่น้องชายหญิงของเธออย่างประสบความสำเร็จ เธอก็จะมอบถวายคำขอบคุณและการสรรเสริญของเธอแด่พระเจ้าและยอมรับรู้ว่าพระสิรินั้นเป็นของพระเจ้า ในเวลาที่ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานของเธอ ตราบที่ข้อเสนอแนะอันใดของเพื่อนร่วมงานสอดรับกันกับความจริงและเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร เธอก็จะยอมรับข้อเสนอแนะนั้นเสมอ เมื่อพี่น้องหญิงคนนี้เริ่มที่จะปฏิบัติในหนทางนี้ สภาวะของเธอก็ได้รับการเยียวยารักษา และโดยปราศจากการที่เธอตระหนักรู้ อาการป่วยของเธอก็ดีขึ้น หลังจากประสบการณ์นี้ พี่น้องหญิงคนนี้ก็เข้าใจว่า กระบวนการถลุงจากอาการป่วยและความเจ็บปวดนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้คนยิ่งนัก ด้วยเหตุที่อันที่จริงแล้วนั่นคือความรักที่แท้จริงและการทรงอารักขาที่พระเจ้าทรงมีให้มนุษย์ ในระหว่างประสบการณ์ของเธอนั้น เธอได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า กล่าวคือ ในขณะที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามเรื่อยมา โดยไม่ตระหนักรู้ว่าเธอจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงทิศทาง พระเจ้าได้ทรงใช้อาการป่วยของเธอเพื่อบ่มวินัยเธอและผลักดันให้เธอสงบใจของเธอและทบทวนตัวเอง ทั้งนี้ เมื่อเธอได้หันกลับไปหาพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงนำทางเธอและให้ความรู้แจ้งแก่เธอให้รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอเองและให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ทั้งนี้ เมื่อเธอได้กลับใจต่อพระเจ้าและเริ่มที่จะนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ เธอได้ชื่นชมพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอาการป่วยของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้น พี่น้องหญิงคนนี้ได้มาซาบซึ้งว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างพวกเรา โดยทรงพระราชกิจในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากความเสื่อมทราม เธอยังได้มาเข้าใจอีกเช่นกันว่า เมื่ออาการป่วยตกมาถึงพวกเรา โดยการอธิษฐานต่อพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และโดยการทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเอง เมื่อนั้นพวกเราย่อมสามารถเรียนรู้หลายบทเรียนได้จากการนั้น—อันที่จริงแล้วอาการป่วยเป็นโอกาสเหมาะอันยอดเยี่ยมสำหรับพวกเราที่จะเข้าไปสู่ความจริง

4. ในระหว่างกระบวนการถลุงจากอาการป่วย จงมีความเชื่อและยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า

มีพจนะอยู่สองบทที่กล่าวว่า “เมื่อพ่อแม่ป่วยเป็นเวลานาน แม้แต่บุตรชายที่กตัญญูที่สุดก็ยังจะไม่อยู่ข้างเตียงพ่อแม่” และ “กาลเวลาพิสูจน์คน” ในเวลาที่พวกเราเพิ่งจะได้กลายเป็นมีอาการป่วยเท่านั้นเอง พวกเรายังคงมีความเชื่อที่จะผ่านอาการป่วยนั้น ทั้งนี้ พวกเราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าและตรวจสอบตัวเองสำหรับประเด็นปัญหาทั้งหลายได้ และพวกเราก็สามารถมุ่งเน้นไปที่การเยียวยารักษาสภาวะที่ผิดของพวกเราได้ แต่แล้วเมื่ออาการป่วยของพวกเรายังดำเนินต่อไปและไม่ดีขึ้น เมื่อนั้นบางทีพวกเราก็อาจเริ่มที่จะทำข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้า และสามารถถึงขั้นติเตียนพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิดได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเราควรได้รับประสบการณ์กับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรหรือ? สิ่งใดหรือคือน้ำพระทัยของพระเจ้า? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราจะเอาหนึ่งในสามนี้ใส่ไฟ และถลุงเขาเหมือนถลุงเงิน และทดสอบเขาเหมือนทดสอบทองคำ เขาจะร้องทูลออกนามของเรา และเราจะตอบเขา(เศคาริยาห์ 13:9) จากพระวจนะของพระเจ้าพวกเราเข้าใจว่า ในระหว่างกระบวนการของการที่พระเจ้าทรงช่วยพวกเราให้รอด พระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ทุกประเภทเพื่อทดสอบและถลุงพวกเรา ด้วยการนั้นจึงเป็นการเปิดโปงและชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราและสิ่งที่เป็นมลทินในความเชื่อของพวกเราให้สะอาด ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ทั้งหลายเพื่อทำให้ความเชื่อของพวกเราในพระองค์และความรักที่พวกเรามีต่อพระองค์เพียบพร้อม อาการป่วยคือหนทางหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้ถลุงพวกเรา และพวกเราต้องรักษาความเชื่อของพวกเราในพระเจ้า ขณะที่พวกเราได้รับประสบการณ์กับอาการป่วยนั้น ไม่ว่าอาการป่วยของพวกเราดีขึ้นหรือไม่ พวกเราต้องไม่ทำข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้า แต่ควรยืนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าอยู่ต่อไป

ตัวอย่างเช่น ดังที่มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ โยบได้ติดตามทางแห่งพระเจ้า และเขาได้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว พระเจ้าได้ทรงกล่าวชมเชยความเชื่อของโยบและทรงเรียกโยบว่าชายผู้เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ซาตานไม่ได้เชื่อมั่น และมันต้องการให้โยบไม่ยอมรับและทรยศพระเจ้า ดังนั้นแล้วมันจึงได้ทดลองโยบหลายครั้งและเป็นเหตุให้ร่างกายของเขาปะทุฝีอันเจ็บปวดขึ้นมา จากบนสุดของหัวของเขาไปจนถึงฝ่าเท้าของเขา แม้ว่าโยบอยู่ในความเจ็บปวดสุดขีด แต่เขาก็ไม่ได้ติเตียนพระเจ้าเลย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับพูดสิ่งทั้งหลายที่มีเหตุผลอย่างเช่น “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) และได้ตั้งมั่นในคำพยานของเขาต่อพระเจ้า ขณะที่เขาได้ก้าวผ่านบททดสอบนี้ โยบมีความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการพูดอย่างเต็มไปด้วยบาปได้ เพราะในชีวิตประจำวันของเขานั้น เขาได้ซาบซึ้งจากภายในสรรพสิ่งทั้งปวงว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้าตลอดจนความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ขึ้นมา ทั้งนี้ เขาได้รู้ดีว่าเขาเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า แม้ว่าความเจ็บปวดทางกายของเขาได้เป็นเหตุให้เขาทนทุกข์จากความทรมานอันเหลือเชื่อ แต่ในหัวใจของเขานั้นเขาได้ยำเกรงพระเจ้าอยู่เสมอ เขามีความสามารถที่จะยอมรับและเชื่อฟังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาได้จากก้นบึ้งของหัวใจของเขา เขาไม่ได้ถูกอาการป่วยของเขาจำกัดหน่วงเหนี่ยว และสุดท้ายแล้วซาตานก็ได้หลบหนีไปด้วยความละอาย เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงกล่าวชมเชยโยบและทรงปรากฏต่อเขาในสายลมและตรัสกับเขา ความเชื่อของโยบในพระเจ้าถูกกลั่นโดยผ่านทางบททดสอบดังกล่าว ทั้งนี้ เขาได้ชื่นชมและหวงแหนบททดสอบดังกล่าวราวสมบัติล้ำค่า และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยสันติภาพและความชื่นบาน พวกเราสามารถเห็นได้จากบททดสอบของโยบว่า อาการป่วยบางอย่างคือบททดสอบของพระเจ้า แต่เพราะพวกเรามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม บททดสอบเหล่านี้จึงสามารถกล่าวได้อีกเช่นกันว่าเป็นการทดลองของซาตาน ซาตานต้องการที่จะใช้อาการป่วยเพื่อทำลายความเชื่อของพวกเราในพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเราติเตียนพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และทิ้งพระเจ้า แต่กระนั้นพระปัญญาของพระเจ้าก็ถูกนำมาใช้โดยอยู่บนพื้นฐานของกลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตาน และโดยผ่านทางอาการป่วย พระเจ้าทรงทำให้ความเชื่อของพวกเราในพระองค์เพียบพร้อม พวกเราเชื่อว่าความเชื่อของพวกเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และว่าพระเจ้าตัดสินพระทัยว่าพวกเราเกิดเมื่อไหร่ พวกเราตายเมื่อไหร่ และพวกเราจะมีอาการป่วยใด และการเลือกที่จะไว้วางใจมอบหมายการนั้นทั้งหมดต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่พวกเราสามารถทำได้ ในหนทางนี้ พวกเราสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ พวกเราย่อมไม่ถูกอาการป่วยจำกัดหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป และพวกเราย่อมสามารถยืนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อนมัสการพระเจ้าได้ต่อไป ทั้งนี้ พวกเราสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้มากขึ้นดังที่พวกเราควรทำ และไล่ตามเสาะหาความจริงให้ดีดังที่พวกเราควรทำ ทั้งนี้ พวกเราสามารถพากเพียรบากบั่นในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพวกเราสามารถเผชิญหน้าการนั้นได้อย่างใจเย็นไม่ว่าพระเจ้าทรงพรากอาการป่วยของพวกเราห่างไปหรือไม่ ทั้งนี้ ต่อให้พวกเรามีอาการป่วยตลอดชีวิตของพวกเรา พวกเราก็จะไม่พร่ำบ่นร้องทุกข์ นี่คือการเป็นพยานที่พวกเราควรเป็นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และโดยการปฏิบัติในหนทางนี้ หัวใจของพวกเราก็จะรู้สึกสบายใจและมีสันติสุข

ในที่สุดแล้ว พวกเราต้องจดบันทึกว่า ขณะที่พวกเราตรวจสอบตัวเองและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในเวลาที่พวกเรามีอาการป่วย พวกเราสามารถเลือกที่จะแสวงหาความช่วยเหลือทางการแพทย์หรือผ่านพ้นอาการป่วยนั้นไปได้โดยการพึ่งพาความเชื่อของพวกเรา—ไม่มีกฎเกณฑ์ใดเลยเกี่ยวกับการนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเรามีความสามารถที่จะได้รับความจริงจากการนั้น และว่าชีวิตของพวกเรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่บ้างและเก็บเกี่ยวผลลัพธ์บางอย่าง

พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เมื่อใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้พวกเราย่อมจะเผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเราไม่ได้คาดคิดเลยในทุกๆ วัน อาทิ ความทรมานจากอาการป่วย ข้อบกพร่องของชีวิต การข่มเหงครอบครัวของพวกเรา และการสบประมาทผู้คนทางโลก และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในฐานะคริสตชน วิธีที่พวกเราควรแสวงหาและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเรียนรู้บทเรียนเพื่อที่จะได้รับความจริงในบททดสอบทุกลักษณะ คือบางสิ่งที่พวกเราควรแสวงหาและเข้าไปสู่ ฉันหวังว่าหลักธรรมสี่ประการเกี่ยวกับการปฏิบัตินี้ที่ได้สามัคคีธรรมกันไปแล้วข้างต้น อาจช่วยเหลือคุณให้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นจากอาการป่วยได้ และฉันก็หวังอย่างแท้จริงว่า บรรดาพี่น้องชายหญิงจะสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ได้รับความจริง และยืนหยัดเป็นพยานในทุกบททดสอบได้ ขอพระเจ้าทรงนำทางพวกเราและอวยพรพวกเรา อาเมน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

คำพยากรณ์เกี่ยวกับวันสิ้นโลกในพระคัมภีร์ถูกทำให้ลุล่วงแล้ว: วิธีที่จะต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู

โดย อันหยวน, ฟิลิปปินส์ เมื่อสองพันปีที่แล้ว บรรดาผู้ติดตามขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถามพระเยซูว่า...

คำเผยวจนะ 6 ประการเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ได้ลุล่วงแล้ว

โดย ซินเจี่ย สองพันปีมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับพวกเราว่า: “นี่แน่ะ เราจะมาในเร็วๆ นี้” (วิวรณ์ 22:12) บัดนี้...

ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว: คริสตชนควรกลับใจอย่างไรเพื่อให้ได้รับการทรงอารักขาจากพระเจ้า?

ทุกวันนี้ โรคระบาดได้แพร่กระจายไปแล้วทั่วโลก ผู้คนกำลังตายเป็นฝูงไปทั่วทั้งโลกและมีอีกหลายคนอยู่ในสภาวะแห่งความตื่นตระหนกตลอดเวลา...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger