สัญญาณของสมัยสุดท้าย: สมัยของโนอาห์ในวาระสิ้นสุดได้มาถึงแล้ว ดังนั้นพระเยซูจะทรงหวนคืนเพื่อทรงพระราชกิจอย่างไร?

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

สมัยของโนอาห์ได้อุบัติขึ้นแล้ว: การนี้เป็นลางบอกเหตุสิ่งใด?

เมื่อเราพูดถึงมวลมนุษย์ในสมัยของโนอาห์ ทุกคนรู้ว่าฆาตกรรมและการลอบวางเพลิง การปล้นจี้และการลักขโมย และความสำส่อนได้กลายเป็นธรรมชาติที่สองสำหรับผู้คนของสมัยนั้น พวกเขาได้หลบเลี่ยงพระเจ้าและไม่ได้ใส่ใจต่อพระวจนะของพระเจ้า และในที่สุดพระเจ้าได้ทรงทำลายพวกเขาด้วยน้ำท่วมครั้งใหญ่ แล้วเรามามองดูผู้คนของโลกในวันนี้ นั่นคือ พวกเขาเคารพความชั่ว และคนเราสามารถมองเห็นสถานที่อย่างเช่นบาร์คาราโอเกะ ร้านนวดเท้า โรงเหล้า และสโมสรเต้นรำบนท้องถนนและตรอกซอกซอยของทุกเมือง ผู้คนกิน ดื่ม และสนุกสนาน ปล่อยใจตัวเองไปกับความอิ่มเอมใจในเนื้อหนัง ผู้คนส่วนใหญ่แก่งแย่งกันและกันเพื่อให้ได้ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานภาพ โดยต่อสู้กัน วางอุบายต่อกันและกัน และโกงกันและกัน บรรดามิตรและญาติก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ผู้คนทั้งหมดต่างก็เบื่อหน่ายความจริง พวกเขาหลงรักความอยุติธรรม และใช้ชีวิตในบาป ไม่มีผู้ใดริเริ่มที่จะแสวงหาความจริงหรือแสวงหาหนทางที่แท้จริง และพวกเขาปฏิเสธและต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผยเสียด้วยซ้ำ มวลมนุษย์ทั้งหมดใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทำให้ตัวพวกเขาเองตกต่ำในการทำตามแนวโน้มต่างๆ ทางโลก พวกเขาละโมบในความหรรษายินดีที่บาป โดยใช้ชีวิตในวงจรของการทำบาปแล้วก็สารภาพอยู่เสมอ และพวกเขาไม่นำคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปปฏิบัติแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักคำสอนเหล่านั้นดีก็ตาม ช่วยไม่ได้ที่ฉากเหตุการณ์เช่นนั้นได้แต่นำพาการเผยพระวจนะซึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำไว้เมื่อสองพันปีมาแล้วมาสู่จิตใจ “ในสมัยของโนอาห์ เหตุการณ์เคยเป็นมาแล้วอย่างไร ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย พวกเขากินและดื่ม สมรสกัน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนกระทั่งถึงวันนั้นที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ และน้ำมาท่วมล้างผลาญพวกเขาจนหมดสิ้น…ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็เป็นเหมือนอย่างนั้น(ลูกา 17:26-30) เราสามารถเห็นได้จากการเผยพระวจนะนี้ว่า เมื่อผู้คนของยุคสุดท้ายกลายเป็นเสื่อมทรามและชั่วดั่งผู้คนของสมัยของโนอาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้ง แต่ในหนทางใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏ? และพวกเราควรต้อนรับพระองค์อย่างไร?

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในยุคสุดท้ายอย่างไร?

ผู้คนจำนวนมากพูดถึงข้อพระคัมภีร์นี้ในพระคัมภีร์: “[ม]นุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง(มัทธิว 24:30) พวกเขาเชื่อว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหวนคืน พระองค์จะทรงทำเช่นนั้นโดยทรงขี่บนก้อนเมฆอย่างเปิดเผย และว่าพระองค์จะทรงยกชูพวกเราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์โดยตรงและทุกคนจะได้เห็นพระองค์ และดังนั้นพวกเขาจึงรอไปเฉยโดยไม่ทำอะไรเลยให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือว่า พวกเราไม่ได้คำนึงถึงการเผยพระวจนะตามพระคัมภีร์ที่ระบุว่า มีอีกหนทางหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงหวนคืน อย่างเช่น “นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย…(วิวรณ์ 3:3)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27) และ “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44) การเผยพระวจนะเหล่านี้เอ่ยถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงหวนคืน “เหมือนอย่างขโมย” และว่าพระองค์จะทรง “ยืนเคาะอยู่ที่ประตู” การนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอย่างเงียบๆ และอย่างลับๆ และว่านี่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ยังเอ่ยถึง “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” และ “บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” และการอ้างอิงใดๆ ถึง “บุตรมนุษย์” หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เฉพาะองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงประสูติจากมนุษย์และผู้ทรงครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้นที่ทรงสามารถได้รับการเรียกว่า “บุตรมนุษย์” หากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาในรูปสัณฐานของกายจิตวิญญาณของพระองค์หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็คงไม่ทรงสามารถได้รับการเรียกว่า “บุตรมนุษย์” ดังนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหวนคืนในเนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์อย่างลับๆ

ณ จุดนี้ บางคนอาจรู้สึกสับสนและอาจคิดว่า “พระคัมภีร์กล่าวคำเผยพระวจนะทั้งที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาพร้อมกับก้อนเมฆและที่ว่าสายตาทั้งหมดจะได้เห็นพระองค์ แต่ก็ยังกล่าวอีกด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในเนื้อหนังอย่างลับๆ นี่ไม่ใช่ข้อขัดแย้งหรอกหรือ? ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ในพระวจนะของพระเจ้า การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นในสองหนทาง นั่นคือ หนทางหนึ่งคือว่าพระองค์เสด็จมาอย่างเปิดเผยพร้อมกับก้อนเมฆ ในขณะที่อีกหนทางนั้นคือว่าพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ เหมือนเช่นขโมย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ตรัสคำเผยพระวจนะจะได้รับการทำให้ลุล่วงและสำเร็จลุล่วง แต่พระเจ้าทรงพระราชกิจในหลายช่วงระยะ และมีแผนหนึ่งสำหรับพระราชกิจของพระองค์ ก่อนอื่นพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด แล้วพระองค์ก็ทรงปรากฏต่อทุกคนอย่างเปิดเผย โดยทรงขี่บนก้อนเมฆ เพื่อทรงให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจใดในยุคสุดท้าย?

เหตุใดพระเจ้าจึงเสด็จมาอย่างลับๆ เป็นอันดับแรก? การนี้เกี่ยวข้องกับพระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงกระทำเมื่อพระองค์ทรงปรากฏในยุคสุดท้าย เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จากพระคัมภีร์กัน ความว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)ท่านประกาศเสียงดังว่า ‘จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย’(วิวรณ์ 14:7)คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย(วิวรณ์ 3:12)เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16: 12-13) และพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงได้กลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

เราสามารถเห็นได้จากพระวจนะเหล่านี้ว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหวนคืนในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงแสดงความจริงมากขึ้นออกมาและทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์จะทรงใช้ “พระวจนะที่ [พระองค์ได้] ตรัส” เพื่อพิพากษาและเปิดโปงความเสื่อมทรามของพวกเรา เพื่อที่พวกเราอาจสำนึกในตัวพวกเราเอง สัมฤทธิ์การกลับใจและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และท้ายที่สุดได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าและกลายเป็นผู้ชนะ ผู้ซึ่งถูกนำทางเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ นี่เป็นเพราะ ถึงแม้ว่าพวกเราจะได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้าและบาปของพวกเราได้รับการยกโทษแล้วก็ตาม แต่รากเหง้าของบาปของพวกเรา นั่นคือ สันดานบาปของพวกเรายังคงอยู่ลึกลงไปภายในตัวพวกเรา และเมื่อถูกมันควบคุม จึงช่วยไม่ได้ที่พวกเราได้แต่ทำบาปอยู่บ่อยๆ ในที่นี้เป็นแค่ตัวอย่างสองตัวอย่าง นั่นคือ เมื่อคนอื่นทำสิ่งซึ่งขัดกับผลประโยชน์ของเรา พวกเราอาจเกลียดชังพวกเขาและแม้กระทั่งกลายเป็นโกรธ โดยธรรมดาสามัญทั่วไป พวกเราพูดว่าพวกเราจะจงรักภักดีต่อพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ แต่เมื่อบางสิ่งที่พวกเราไม่ชอบเกิดขึ้น พวกเราก็เข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้า และในกรณีที่รุนแรง พวกเราละทิ้งพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเรายังไม่ได้กำจัดโซ่ตรวนและข้อจำกัดของบาปไปจากตัวพวกเรา ว่าพวกเรายังคงกำลังใช้ชีวิตในสภาวะของการทำบาปแล้วก็สารภาพ และว่าพวกเราจำเป็นต้องให้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระความเสื่อมทรามของพวกเราออกไปให้สะอาดเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อพวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ได้รับการยกขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพวกเราสามารถนบนอบต่อพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และรักพระเจ้าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดๆ ได้ นั่นคือเวลาที่เราได้รับการทำให้เป็นผู้ชนะโดยพระเจ้า เหล่านี้คือผู้ชนะ 144,000 คนตามที่ได้ถูกกล่าวคำเผยพระวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์ และนั่นทำให้บทที่ 14 ข้อพระคัมภีร์ที่ 4 ในวิวรณ์ลุล่วงอย่างสมบูรณ์แบบ: “คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าพวกเขาเป็นพรหมจารี เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก” หากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงหวนคืนบนก้อนเมฆเป็นอันดับแรกพร้อมกับพระสิริที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วผู้คนทั้งหมดก็คงจะหมอบกราบเพื่อนมัสการพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดโปงความเป็นกบฏและการต้านทานพระเจ้าภายในธรรมชาติของมนุษย์ และก็คงจะไม่มีรากฐานให้พระเจ้าทรงแสดงความจริงซึ่งมุ่งไปที่การแสดงออกถึงความเสื่อมทรามของพวกเราเพื่อที่จะพิพากษาพวกเรา ต่อให้พระเจ้าจะได้ทรงเปิดโปงแก่นสารอันเสื่อมทรามของพวกเรา พวกเราก็คงจะไม่ยอมรับเรื่องนั้น และพวกเราก็คงจะไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และไม่ได้รับการทำให้เปลี่ยนแปลง หากเป็นกรณีเช่นนั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการสร้างผู้ชนะได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะยังทรงเปิดโปงบุคคลทุกชนิด ทรงแยกแต่ละคนตามประเภทของพวกเขา และทรงให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่วด้วยเช่นกัน หากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงหวนคืนบนก้อนเมฆพร้อมกับพระสิริที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดก็คงจะได้เห็นพระองค์และหมอบกราบไปบนพื้นเพื่อรับและนบนอบพระองค์ ไม่มีผู้ใดจะสามารถถูกพระเจ้าทรงเปิดโปงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้เชื่อในพระเจ้าหรือได้เป็นของซาตาน ไม่ว่าพวกเขาจะได้รักความจริงหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะได้เชื่อฟังพระเจ้าหรือได้ต้านทานพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การเก็บเกี่ยวและการฝัดดังที่ถูกทำนายไว้ในพระคัมภีร์และพระราชกิจแห่งการแยกแต่ละคนตามประเภทของพวกเขา การแยกแกะตัวนั้นจากแพะทั้งหลาย การแยกข้าวสาลีจากข้าวละมาน และอื่นๆ ก็คงจะไม่ได้มีอยู่ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงรู้ว่าใครดีและใครชั่ว หากผู้คนไม่ได้ถูกเปิดโปง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ยอมรับเรื่องนั้น นับประสาอะไรที่จะเชื่อเรื่องนั้น ดังนั้นจึงชัดเจนว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อสร้างกลุ่มผู้ชนะ และเพื่อแยกแต่ละคนตามประเภทของพวกเขา เพื่อทรงทำการนี้ ก่อนอื่นพระองค์ต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาอย่างลับๆ ทันทีที่กลุ่มผู้ชนะถูกสร้างขึ้นแล้ว ช่วงเวลาของพระราชกิจลับของพระเจ้าจะมาปิดตัวลง และเมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะเสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างเปิดเผย ทรงปรากฏต่อชนชาติและกลุ่มชนทั้งมวลเพื่อเริ่มต้นการให้รางวัลคนดีและการลงโทษคนชั่ว บรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ท้ายที่สุดจะถูกนำทางเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในขณะที่พวกที่ไม่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และผู้ที่ต้านทาน ใส่ร้ายป้ายสี และหมิ่นประมาทพระเจ้า ทั้งหมดจะถูกเปิดโปงว่าเป็นคนรับใช้ที่ชั่วและข้าวละมาน ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกกวาดไปในความวิบัติโดยมีเสียงร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมากมาย เมื่อนั้นเท่านั้นการเผยพระวจนะนี้จากหนังสือวิวรณ์จึงจะถูกทำให้ลุล่วง: “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)

พวกเราควรต้อนรับการทรงปรากฏและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร?

ในขณะที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์กำลังทรงพระราชกิจอย่างลับๆ พวกเราสามารถทำสิ่งใดเพื่อที่จะสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้? วิวรณ์ 3:20 กล่าวว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” มัทธิว 25:6 กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” เราสามารถเห็นได้จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงใช้ถ้อยดำรัสของพระองค์เพื่อเคาะประตูของพวกเรา และพระองค์จะทรงใช้ผู้คนให้ร้องเรียกพวกเราให้รู้ข่าวว่าเจ้าบ่าวได้หวนคืนมาแล้ว ดังนั้น เมื่อใครบางคนประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเรา พวกเราควรแสวงหาด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและจดจ่ออยู่กับการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ตราบเท่าที่พวกเราระลึกได้ว่านั่นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราต้องเร่งรีบยอมรับและนบนอบ และตามให้ทันพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการต้อนรับการทรงหวนคืนขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ทุกวันนี้ มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่กำลังเป็นพยานอย่างเปิดเผยว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาแล้วอย่างลับๆ ในเนื้อหนัง และว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงเป็นพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงพระวจนะหลายล้านคำ และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นด้วยพระนิเวศของพระเจ้า ทรงชำระทุกคนที่มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ให้บริสุทธิ์และทรงช่วยทุกคนที่มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงปรากฏและได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เรื่อยมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี และพระองค์ได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะแล้ว—พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าบัดนี้กำลังใกล้บทอวสานแล้ว ความวิบัติทั้งหลายกำลังเกิดขึ้นติดๆ กันทั่วทั้งโลก สมัยของโนอาห์ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราต้องเป็นพรหมจารีที่รอบรู้และเร่งรีบเจาะลึกพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพราะโดยการทำเช่นนั้นพวกเราจะมีโอกาสที่จะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกรับไว้ก่อนที่ความวิบัติทั้งหลายจะมาถึง หากพวกเรายึดติดกับแนวคิดที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาพร้อมกับก้อนเมฆ ปฏิเสธที่จะแสวงหาและเจาะลึกพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพวกเราจะถูกละทิ้งและถูกกำจัดโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเราจะถูกกวาดไปในความวิบัติและถูกลงโทษ ก็เป็นอย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังต้องการบอกทุกคนที่เรียกได้ว่าเป็นวิสุทธิชนผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการทรงปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)

หมายเหตุบรรณาธิการ

องค์พระเยซูตรัสว่า: “ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย” ตอนนี้ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วโลก ฉากของยุคโนอาห์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง วันแห่งการเสด็จกลับมาของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว ให้เรามาทำความเข้าใจกันว่าการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูจะทรงปรากฏอย่างไร และจะนำมาซึ่งงานใหม่อะไร?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้คริสตชนทนทุกข์จากอาการป่วย?

โดย ตู๋ส้วย วลี “ตะเกียกตะกายหาหมอเมื่อคุณป่วย” สะท้อนความรู้สึกของผู้คนโดยตรงเกี่ยวกับความวิตกกังวล ความไร้หนทาง...

คำพยากรณ์ทั้งหลายในวิวรณ์ได้รับการทำให้ลุล่วงแล้ว: เจ้าได้สัมฤทธิ์การกลับใจใหม่ที่แท้จริงหรือไม่?

โดยเสี่ยวหยู, สหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ 2020 ไวรัสโควิด-19 ได้กวาดล้างโลกทั้งใบ ผลักโลกให้เข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก ที่น่าเสียขวัญเช่นกันก็คือ...

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้พวกเราทนทุกข์?

โดยหลี่ถง ชาวคริสเตียนมากมายรู้สึกสับสนว่า พระเจ้าคือความรัก และพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเหตุใดเล่าพระองค์จึงทรงยอมให้พวกเราทนทุกข์?...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger