อะไรคือสันติสุขและความชื่นบานที่แท้จริง?
ถึงหลี่รุ่ย
คุณเป็นอย่างไรบ้าง? ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งฉันได้ถามคำถามหนึ่งกับคุณ: ในสังคมของทุกวันนี้ มีความกดดันมากมายยิ่งนักในการที่จะแข่งขันกัน และผู้คนมากมายรู้สึกว่า ชีวิตนั้นเหนื่อยล้าและยากลำบากยิ่งนัก ดังนั้นแล้ว พวกเราควรที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างไรกัน? คุณพูดให้เข้าร่วมกับคุณในความเชื่อในพระเจ้าของคุณ และคุณพูดว่า ทันทีที่คุณเชื่อในพระเจ้า เมื่อนั้นคุณก็สามารถมีการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้าได้ คุณสามารถได้มาซึ่งสันติสุขและความชื่นบานจากพระเจ้าได้ และคุณสามารถเป็นอิสระจากความวิตกกังวลและความกังวลสนใจทั้งมวลได้ แต่ย้อนกลับไปตอนนั้น ฉันติดธุระกับการทำงานเพื่อหาเงินมากจนกระทั่งฉันไม่มีเวลาที่จะเชื่อในพระเจ้า และฉันก็ปฏิเสธคำแนะนำของคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดหลายปีมานี้ ฉันได้ต้องการที่จะพึ่งพาการดิ้นรนต่อสู้และการเพียรพยายามของฉันเองเรื่อยมา ในการที่จะกลายเป็นใครคนหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในบริษัทของฉัน แต่ฉันก็ติดธุระตั้งแต่รุ่งสางจวบจนพลบค่ำ แต่กระนั้น ฉันก็เผชิญกับความพลั้งพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ความปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเห็นบรรดาเพื่อนร่วมงานของฉันได้รับการเลื่อนขั้นและได้รับการขึ้นเงินเดือน แต่กระนั้น ฉันก็ยังคงอยู่ตรงที่ฉันเริ่มนั่นเอง ฉันรู้สึกสับสนและเจ็บปวด พี่น้องหญิง คุณดูเหมือนว่ามีความสุขมากขึ้นยิ่งนักตั้งแต่ที่คุณเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า และชีวิตของคุณก็ผ่อนคลายและเป็นอิสระยิ่งนัก ราวกับว่าคุณไม่มีความวิตกกังวลเลย และไม่รู้สึกถึงความทุกข์เลยแม้แต่น้อย ฉันอิจฉาคุณ และฉันอยากถามคุณว่า ความเชื่อในพระเจ้าสามารถเปิดโอกาสให้ฉันเป็นอิสระจากความทุกข์และมีความสุขได้จริงๆ หรือ? หวังว่าจะได้รับคำตอบของคุณ...
รักมาก
หลี่หนาน
30 มีนาคม ค.ศ. 2018
สวัสดีเสียวหนาน
ฉันได้รับอีเมลของคุณแล้ว และฉันก็รู้สึกเศร้าที่ได้ยินว่า ชีวิตของคุณตอนนี้ยากลำบากและเหนื่อยล้ายิ่งนัก นอกไปจากการอธิษฐานให้คุณแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกที่ฉันสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือคุณ องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสามารถช่วยเหลือคุณได้ ในการที่จะขจัดความทุกข์ของคุณ ก็คือพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28–30) พระเจ้าทรงเป็นสิ่งรองรับนิรันดร์ของพวกเรา และพระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือของพวกเรายามต้องการ ไม่สำคัญว่าพวกเราอาจทนทุกข์หรือวิตกกังวลเพียงใด ตราบเท่าที่พวกเราเชื่อในพระเจ้าและยอมรับความรอดของพระองค์ อธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง อ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะมีความสามารถที่จะมองเห็นบางสิ่งทะลุปรุโปร่งได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะไม่ทนทุกข์มากนัก และหัวใจของพวกเราย่อมจะสบายใจ และพวกเราย่อมจะมีสิ่งรองรับให้พึ่งพิง หากพวกเรามีความสามารถที่จะยอมรับความจริง และนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะมีความสามารถที่จะสลัดทิ้งความเสื่อมทรามและได้รับการช่วยให้รอดได้
เสียวหนาน หากพวกเราปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสบายใจ ก่อนอื่น พวกเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า สาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ของพวกเราคืออะไรกันแน่ มีพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนซึ่งกล่าวว่า “ดังนั้น ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) “เนื่องเพราะผู้คนไม่ระลึกได้ถึงการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญกับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องจากสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว การดิ้นรนนี้ที่ฝังลึกอยู่ในวิญญาณของคนเรานำมาซึ่งความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกดำของคนเราในขณะที่คนเราใช้ชีวิตของพวกเขาทิ้งขว้างไปพลางๆ อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้? มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาอย่างโชคร้าย? เห็นได้ชัดว่า ไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)
พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสาเหตุรากเหง้าของชีวิตที่มีความทุกข์ของมนุษยชาติแก่พวกเรา คุณรู้ไหมว่า ในปฐมกาล พระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัมและเอวา และพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าและใส่ใจในพระวจนะของพระองค์? พระเจ้าทรงเฝ้าดูและทรงอารักขาพวกเขา พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสวนเอเดน และพวกเขาไม่รู้จักความทุกข์และไม่รู้จักความโศกเศร้า แต่เมื่ออาดัมและเอวาถูกซาตานหลอกล่อและหลอกลวง และพวกเขาต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าและกินผลของต้นไม้แห่งความรู้ถึงความดีและความชั่ว จากนั้นพวกเขาก็สูญเสียพระพรของพระเจ้าและถูกขับออกจากสวนเอเดน หลังจากนั้น มนุษยชาติก็ตกอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์นับแต่นั้นมา เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว ซาตานได้ใช้เหตุผลวิบัตินอกรีตอย่างเช่น อเทวนิยม ลัทธิวัตถุนิยม และทฤษฎีว่าด้วยการวิวัฒนาการ เพื่อหลอกลวงมนุษยชาติและทำให้มนุษยชาติเสื่อมทราม และมวลมนุษย์ก็ได้กลายเป็นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเรา อาทิ การโอหัง การเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และการแข็งกระด้าง ได้หยั่งรากลึกภายในตัวพวกเรา พวกเราปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง พวกเราไม่นมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเราแยกจากพระองค์ไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ซาตานยังใช้พวกกษัตริย์มารเหล่านั้น ผู้คนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น และผู้คนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น เพื่อปลูกฝังสัจพจน์ของตรรกและเหตุผลวิบัตินอกรีตในตัวพวกเราด้วยเช่นกัน อาทิ “การทำให้คนเราโดดเด่นและการนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเขา” “ผู้ชายควรเพียรพยายามที่จะดีกว่าคนรุ่นเดียวกันเสมอ” และ “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” ภายใต้อิทธิพลของสัจพจน์และเหตุผลวิบัติเหล่านี้ พวกเรามาเชื่อว่า โดยการมีเงินและสถานภาพเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถได้มาซึ่งความนับถือจากคนอื่นๆ และมีชีวิตที่ควรค่าแก่การใช้ชีวิตได้ พวกเรายังมาเชื่ออีกเช่นกันว่า การใช้ชีวิตอันเป็นธรรมดาโลกไม่มีอะไรดีเลย และเป็นการอยู่โดยปราศจากความทะเยอทะยาน เชื่อว่าพวกเรามีแต่จะถูกคนอื่นๆ ดูแคลนและดูเบาเท่านั้น และชีวิตของพวกเราก็จะน่าสมเพช ด้วยเหตุผลนี้ ผู้คนมากมายจึงเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตที่ระดับบนสุดและใช้ชีวิตที่มั่งคั่ง และดังนั้น พวกเขาจึงดิ้นรนต่อสู้และเพียรพยายามทุกวัน พวกเขาทำงานล่วงเวลา พวกเขาได้รับโรคภัยไข้เจ็บทุกประเภทในขณะที่พวกเขายังคงหนุ่มสาว และบางคนถึงขั้นสูญเสียชีวิตของพวกเขาในการไล่ตามเสาะหานี้ มีผู้คนบางคนที่ใช้วิถีทางและกลอุบายอันไม่มีหลักศีลธรรมกับบรรดาเพื่อนร่วมงานของพวกเขา ผู้ซึ่งจะทำทุกวิถีทางที่จะเหยียบย่ำคนอื่นๆ เพื่อไปให้ถึงระดับบนสุด ผู้ซึ่งใช้ผู้คน เล่นไม่ซื่อกับผู้คน และผู้ซึ่งใช้ชีวิตในความเจ็บปวดที่เหลือทน เพียงเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการมีอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น ยังมีผู้คนมากมายเช่นกันซึ่งเริ่มที่จะรู้สึกซึมเศร้าและท้อใจ ที่จะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาผิดพลาดไปแล้ว หลังจากที่ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของพวกเขา และพบว่าพวกเขายังคงไร้ความสามารถที่จะโดดเด่นจากฝูงชน พวกเขารู้สึกถึงการนี้จนถึงขอบข่ายที่ว่า พวกเขากลายเป็นมองโลกในแง่ร้ายและสิ้นหวัง ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเบื่อโลก และพวกเขาเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อจบชีวิตของพวกเขา ในข้อเท็จจริงนั้น ความทุกข์ของพวกเราอันที่จริงแล้วเกิดจากการที่พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เพราะพวกเราได้ยอมรับทรรศนะผิดๆ ของซาตาน และเพราะพวกเราใช้ชีวิตตามปรัชญาและสัจพจน์ของซาตาน
เสียวหนาน พระเจ้าทรงรู้ว่าพวกเรากำลังถูกซาตานทำอันตราย และทรงรู้ว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ และดังนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงแสดงพระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงวิถีทางซึ่งซาตานใช้ในการทำให้พวกเราเสื่อมทราม เพื่อที่พวกเราอาจพัฒนาความหยั่งรู้เกี่ยวกับวิถีทางเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ยังทรงแสดงให้พวกเราเห็นเส้นทางซึ่งพวกเราอาจใช้ในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ต้องคำนึงถึงว่าความสามารถ เชาว์น์ปัญญา และพลังจิตมีความแตกต่างกันอย่างไร ผู้คนทั้งหมดล้วนเสมอภาคกันในการเผชิญหน้ากับชะตากรรมซึ่งไม่แยกแยะระหว่างคนยิ่งใหญ่กับคนตัวเล็กๆ คนสูงส่งกับคนต่ำต้อย คนที่ได้รับการยกย่องกับคนต่ำศักดิ์ อาชีพที่คนเราเสาะหา สิ่งที่คนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพ และความอุดมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์ที่คนเราสะสมได้ในชีวิตไม่ได้ถูกตัดสินใจโดยบิดามารดาของคนเรา พรสวรรค์ของคนเรา ความพยายามของคนเรา หรือความทะเยอทะยานของคนเรา แต่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อคนเราจงใจคลำทางมะงุมมะงาหราไปข้างหน้า พยุงสังขารเซซังไปในม่านหมอก การเดินทางนั้นยากเกินไป รวดร้าวหัวใจเกินไป ดังนั้นเมื่อคนเราระลึกได้ในอธิปไตยของพระเจ้าเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนที่ฉลาดเลือกที่จะรู้จักและยอมรับมัน อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามที่จะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ‘เป้าหมายชีวิต’ ในหนทางของเขาเอง เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถระลึกได้อย่างชัดเจนถึงอธิปไตยของพระเจ้า ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีการดำเนินชีวิตของคนเราและการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายของคนเราไม่ได้นำพาอะไรมาให้คนเราเลยนอกจากความหัวใจสลายอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับหลังไปในอดีตของคนเราได้ มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และแสวงหาชีวิตมนุษย์จริงเท่านั้นที่คนเราจะค่อยๆ เริ่มหลุดพ้นจากความทุกข์ทนและความหัวใจสลายทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)
พระวจนะของพระเจ้าอธิบายการนั้นอย่างชัดเจนมาก ชะตากรรมของพวกเราแต่ละคนถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้วว่าพวกเราจะไปเกิดในครอบครัวใด พวกเราจะมีทักษะใด พวกเราจะมีอาชีพใด และพวกเราจะอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเราไม่ควรใช้ชีวิตตามสัจพจน์และเหตุผลวิบัติเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “การทำให้คนเราโดดเด่นและการนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเขา” และ “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” โดยดิ้นรนต่อสู้อย่างหูหนวกตาบอดไปเรื่อยโดยการพึ่งพาเรี่ยวแรงของสองมือของพวกเราเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ยอมรับสิ่งซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าให้พวกเรา เป็นคนจริงใจตั้งใจและติดดิน ทำอย่างดีที่สุดและเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เพราะโดยการทำเช่นนี้เท่านั้น จิตวิญญาณของพวกเราจึงจะมีสันติสุขและความชื่นบาน และพวกเราจะมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างไม่ว้าวุ่นและสบายใจ ดูโยบเป็นตัวอย่างสิ เรื่องราวของเขาถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เขามุ่งเน้นไปที่การซึ้งคุณค่า การได้รับประสบการณ์ และการระลึกได้ถึงอธิปไตยของพระเจ้าในชีวิตของเขา และเขาก็เสาะแสวงที่จะติดตามเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงตั้งชื่อเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรมและได้ทรงอวยพรเขา เพื่อที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางผู้คนแห่งทิศตะวันออก อย่างไรก็ตาม ซาตานนั้นไม่เชื่อ และมันได้เล็งข้อกล่าวหาโยบ เพื่อที่จะทดสอบความเชื่อในพระองค์ของโยบ พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ และดังนั้น ซาตานจึงส่งโจรไปขโมยปศุสัตว์ทั้งหมดของโยบ ทำให้เขาสูญเสียลูกๆ ของเขา และทำให้ร่างกายทั้งร่างของโยบเริ่มแสดงฝีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดออกมา ในระหว่างการทดสอบนี้ ถึงแม้ว่าโยบไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ขอสิ่งใดเลยจากพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเขาเอง หรือเพื่อลูกๆ ของเขา หรือเพื่อทรัพย์สินของเขา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเขาก็ร่วงสู่พื้นดินเพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้า แล้วพูดว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) โยบทำให้ซาตานปราชัยด้วยความเชื่อฟังพระเจ้าและความเคารพพระเจ้าของเขา เขาตั้งมั่นและเป็นคำพยานที่กังวานก้องต่อพระเจ้า และเขาได้กลายเป็นได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเป็นสองเท่า สิ่งที่โยบไล่ตามเสาะหาในชีวิตของเขาไม่ใช่ตำแหน่งอันมีเกียรติหรือฐานันดรใหญ่โตอันใด นับประสาอะไรที่เขาจะพึ่งพาสองมือของเขาเองเพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้ตัวเขาเอง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้า ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เพราะฉะนั้น ไม่เพียงแค่โยบได้มาซึ่งสันติสุขและความชื่นบานฝ่ายจิตวิญญาณในชีวิตของเขาเท่านั้น แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นอีกก็คือ เขาได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า และเขาใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย
เสียวหนาน ดังที่คุณรู้ ก่อนที่ฉันได้เชื่อในพระเจ้า ฉันยังคำนึงถึงสัจพจน์และเหตุผลวิบัติอย่างเช่น “โชคชะตาของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” และ “การทำให้คนเราโดดเด่นและการนำพาเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของเขา” ว่าเป็นภาษิตที่แท้จริงด้วยเช่นกัน และฉันก็ต้องการอยู่เสมอที่จะทำเงินมากมายโดยผ่านทางความพยายามของฉันเอง ใช้ชีวิตที่ระดับบนสุด และทำให้คนอื่นๆ เชิดชูบูชาฉัน และฉันเชื่อว่า ฉันจะมีความชื่นบานและความสุขทันที่ที่ฉันได้สัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้แล้ว หลังจากฉันแต่งงาน สามีของฉันกับฉันได้ยืมเงินเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ แต่ในทางตรงกันข้ามกับความคาดหวังของพวกเรา พวกเราสูญเสียเงินไปครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่เต็มใจที่จะยอมรับความปราชัย ดังนั้น ฉันจึงเริ่มที่จะฟังการบรรยายจากผู้คนที่ประสบความสำเร็จ และฉันได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการขายตรง และฉันก็ได้ขายประกัน ฉันหวังว่าโดยการทำงานหนัก ฉันจะถูกนับรวมท่ามกลางผู้ที่ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้ว หลังจากการขึ้นๆ ลงๆ หลายปี ทั้งหมดนั้นก็ยังคงลงเอยด้วยความล้มเหลว เมื่อฉันได้เห็นว่านี่เป็นผลลัพธ์ของการทำงานหนักทั้งหมดของฉัน ฉันไม่สามารถทนเรื่องเคราะห์ร้ายนี้ได้ และฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ ฉันสูญเสียความหวังทั้งปวงในชีวิต และรู้สึกราวกับว่า ชีวิตของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่คืออะไรหรือ หากฉันไม่สามารถโดดเด่นจากฝูงชนได้? และดังนั้นแล้ว ฉันจึงใคร่ครวญการฆ่าตัวตายว่าเป็นหนทางที่จะยุติทั้งหมดนี้ จนเมื่อฉันเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้าและได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น ในที่สุดฉันจึงกลายเป็นตระหนักว่า ความทุกข์ทั้งปวงของฉันเป็นเพราะฉันใช้ชีวิตโดยทรรศนะผิดๆ ของซาตาน เพราะฉันพยายามอยู่เสมอที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของฉันโดยผ่านทางความพยายามของฉันเอง และเพราะฉันแก่งแย่งอธิปไตยของพระเจ้าเป็นนิตย์ อันที่จริงแล้ว เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษยชาติ พระองค์ได้ทรงตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราจะจำเป็นต้องมีในการดำรงชีวิต และทั้งหมดที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องทำ เพื่อที่จะมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตของพวกเราไว้ได้ ก็คือทำงานตามปริมาณปกติ ในหนทางนี้ พวกเราจึงมีเวลามากขึ้นในการที่จะเชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระเจ้า และดังนั้นแล้วจึงใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และได้การดูแลและการทรงอารักขาจากพระองค์ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้จับใจความความรักของพระเจ้า และฉันไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ที่ดีของพระองค์ เมื่อถูกผลักดันโดยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอันแรงกล้าของฉัน ฉันต้องการอยู่เสมอที่จะต่อสู้กับชะตากรรมของฉัน และเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตที่ระดับบนสุด แต่ทั้งหมดที่การนั้นนำพามาสู่ฉันก็คือความเจ็บปวด ทันทีที่ฉันได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดฉันจึงได้เห็นว่า ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด และได้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งฉันกำลังไล่ตามเสาะหาอยู่นั้น ต่อต้านเจตนารมณ์ของพระเจ้าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกัน ฉันยังมาเข้าใจอีกเช่นกันว่า มีเพียงโดยการเชื่อในพระเจ้า และโดยการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราเหล่ามนุษย์จึงจะสามารถกำจัดโซ่ตรวนและอันตรายจากซาตานไปจากตัวพวกเราเอง และใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมีความสุขได้
ต่อมา ฉันได้เข้าร่วมการชุมนุมกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของฉันบ่อยครั้ง เพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า และเพื่อสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเราเอง จากนั้นฉันได้เริ่มที่จะประกาศข่าวประเสริฐอย่างแข็งขัน ที่จะเผยแผ่ความรอดของพระเจ้าแก่พวกที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ ดิ้นรนต่อสู้ด้วยความเจ็บปวด และไร้ความสามารถที่จะค้นหาหนทางของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมรับความรอดของพระองค์ด้วยเช่นกัน บัดนี้ ถึงแม้ว่าฉันไม่มีเงินมากมาย และฉันไม่มีความยินดีทางวัตถุมากมาย แต่เพราะฉันได้ถูกพระเจ้าทรงเลือกสรรให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และฉันชื่นชมพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน เพราะฉันสามารถสำรวจค้นหาความจริงและแสวงหาเส้นทางของการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าได้ เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญประเด็นปัญหาหรือความลำบากยากเย็น และประเด็นปัญหามากมายของฉันได้รับการแก้ไขแล้วในหนทางนี้ จิตวิญญาณของฉันจึงรู้สึกเต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน สำนึกถึงสันติสุขและเสถียรภาพนี้ซึ่งมาจากซอกหลืบส่วนลึกที่สุดในจิตวิญญาณของฉัน ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินไม่ว่าจำนวนเท่าใด โดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงสองสามปีหลังมานี้ ฉันได้มาเข้าใจความจริงบางประการ และฉันเห็นความว่างเปล่าของชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานภาพอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้คนที่อุดมด้วยโภคทรัพย์ และคนเด่นคนดังเหล่านั้น ซึ่งครองสถานภาพอันมีเกียรติและมีค่านับล้าน ใช้ชีวิตที่มีความสุขและเต็มไปด้วยความชื่นบานจริงๆ หรือ? เหตุใดเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้คนที่อุดมด้วยโภคทรัพย์ และคนเด่นคนดังมากมายยิ่งนัก เลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อจบชีวิตของพวกเขา? ข้อเท็จจริงนั้นชัดเจน กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าสถานภาพของพวกเราสูงส่งเพียงใด หรือพวกเรามีเงินมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้เพียงแค่สามารถมอบความชื่นบานทางกายภาพชั่วคราวให้พวกเราได้เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันสามารถเติมเต็มความว่างในจิตวิญญาณของพวกเราได้เลย ด้วยการที่มีเพียงแค่สิ่งเหล่านี้ ชีวิตของพวกเราจะปราศจากความหมายหรือคุณค่าอย่างสิ้นเชิง และพวกเราย่อมจะไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งความสุขและความชื่นบานที่แท้จริง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้ มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาค สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) มีเพียงโดยการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระเจ้า โดยการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ โดยการหยั่งรู้และการบอกปัดทรรศนะผิดๆ และโดยการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถได้รับประสบการณ์กับสันติสุขและความชื่นบานที่แท้จริง และใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ นับตั้งแต่ที่ฉันเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันได้ใช้ชีวิตที่มั่งคั่งและเปี่ยมด้วยความหมายทุกวัน และหัวใจของฉันรู้สึกถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระมากขึ้นทุกที!
เสียวหนาน หากคุณสามารถเชื่อในพระเจ้า มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมรับการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า และใช้ชีวิตภายใต้การดูแลและการทรงอารักขาขอพระองค์ด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว คุณย่อมจะได้มาซึ่งสันติสุขและความชื่นบานนี้ในจิตวิญญาณของคุณอย่างแน่นอนเช่นกัน เพราะสันติสุขและความชื่นบานที่แท้จริงมาจากพระเจ้า มีเพียงโดยการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถชื่นชมสันติสุขและเสถียรภาพในจิตวิญญาณของพวกเราได้ ความเข้าใจความจริงของฉันยังคงมีขีดจำกัดอย่างมาก และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ มีเพียงโดยการเชื่อในพระเจ้าด้วยตัวคุณเองและการเรียนรู้โดยผ่านทางประสบการณ์ของตัวคุณเองเท่านั้น คุณจึงจะมีความสามารถที่จะซึ้งคุณค่าได้ว่า ความสุขที่แท้จริง ความชื่นบานที่แท้จริง และสันติสุขที่แท้จริงคืออะไร สุดท้ายนี้ ฉันแค่ต้องการบอกการนี้กับคุณ: มีเพียงโดยการเชื่อในพระเจ้า เข้าใจความจริง และรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะมีความสามารถที่จะค้นหาความสุขที่แท้จริงได้!
รักมาก
หลี่รุ่ย
1 เมษายน ค.ศ. 2018
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ