4 หลักการของวิธีอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างถูกต้อง

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

โดย หยางหยาง ประเทศจีน

บันทึกของบรรณาธิการ: ในท่ามกลางโรคระบาดนี้ ผู้คนจำนวนมากได้เริ่มการอธิษฐานต่อพระเจ้า โดยขอให้พระองค์ประทานความเชื่อและพละกำลังแก่พวกเขาและทรงช่วยพวกเขาให้ผ่านเวลาอันลำบากยากเย็นนี้ไปได้ สิ่งใดคือหนทางที่ถูกต้องในการอธิษฐานเพื่อที่พระเจ้าจะทรงฟัง? อ่านต่อเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการสี่อย่างของการอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างถูกต้อง

น้องชายหญิงทั้งหลาย เราทั้งหมดรู้ว่าการอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นวิธีที่ตรงที่สุดสำหรับคริสเตียนในการสื่อสารกับพระเจ้า นี่คือสาเหตุที่เราอธิษฐาน ณ เวลาอื่นอีกมากมายนอกเหนือจากการอธิษฐานในตอนเช้าและตอนเย็น เช่น เมื่ออ่านพระคัมภีร์ เมื่ออยู่ในการชุมนุม ถือปฏิบัติวันสะบาโต หรือเมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นทั้งหลาย แต่การอธิษฐานของพวกเรานั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ และพระองค์จะทรงได้ยินพวกเราหรือไม่? นี่คือบางสิ่งที่สำคัญสำหรับพี่น้องชายหญิงทุกคนที่จะเข้าใจ มิฉะนั้น ไม่สำคัญว่าเราอธิษฐานกี่ครั้งหรือเป็นเวลานานเท่าใด การอธิษฐานเหล่านี้จะไม่ได้รับการรับรองของพระเจ้า อันที่จริงแล้ว องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงให้คำตอบแก่พวกเรานานมาแล้ว เรามาแสวงหาสิ่งที่ความจริงพูดในด้านนี้กัน!

1. จงยืนในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในการอธิษฐาน

ในลูกา 18:9-14 มีการบันทึกไว้ว่า “สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสอุปมานี้ว่า ‘มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี คนที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์มาถวายเสมอ” ส่วนคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” เราบอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น’” มันง่ายที่จะเห็นจากอุปมาขององค์พระเยซูเจ้าว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงรับรองการอธิษฐานของคนเก็บภาษีและได้ทรงรังเกียจการอธิษฐานของชาวฟาริสี นั่นเป็นเพราะคนหลังนี้กำลังจะโอ้อวดและแสดงตัวเขาเองและแจกแจงความประพฤติของเขาเพื่อพระเจ้า เขาได้วางตัวเขาเองในสถานะที่สูงมาก ถึงขั้นในระดับเดียวกับพระเจ้า เขาได้ต่อรองกับพระเจ้า ได้รับชื่อเสียงสำหรับพระราชกิจของพระเจ้าเอง และได้ขาดพร่องความศรัทธาเบื้องพระพักตร์พระองค์แม้เพียงน้อยนิดเสียด้วยซ้ำ เขาได้ขาดพร่องความยำเกรงใดๆ ในหัวใจของเขาสำหรับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และการนี้ได้กระตุ้นการสบประมาทและความเกลียดชังของพระเจ้า แต่คนเก็บภาษีนั้นแตกต่างออกไปโดยทั้งหมดทั้งมวล เขารู้ว่าเขาเป็นคนบาปที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง ดังนั้นในการอธิษฐานของเขา เขามีความยำเกรงพระเจ้าและแผ่วางตัวเขาเอง โดยยอมรับความเสื่อมทรามของเขาเองและออดอ้อนเพื่อการยกโทษของพระเจ้าอย่างจริงใจ และในท้ายที่สุด เขารับความปรานีของพระเจ้าไว้ พระเจ้าทรงมีท่าทีที่แตกต่างต่อพวกเขาแต่ละคนเพราะท่าทีที่แตกต่างของพวกเขาต่อพระองค์ จงเปรียบเทียบการนี้กับการอธิษฐานของพวกเราเอง พวกเรามีจุดยืนที่ผิดอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น บางครั้งเมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นทั้งหลาย พวกเรารู้ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นไม่อยู่ในแนวเดียวกับพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเรายังคงมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้น และในการอธิษฐานของพวกเรา เราถึงขั้นต้องการให้พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเราเอง หรือ เมื่อพวกเราสำเร็จลุล่วงบางสิ่งในหน้าที่ของพวกเรา เช่นการไม่ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพวกเราได้ถูกจับกุม พวกเรารู้สึกว่าพวกเราคือใครบางคนผู้ที่อุทิศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามาก ผู้ที่รักพระองค์จริงๆ ดังนั้นเมื่อพวกเราอธิษฐาน พวกเราจึงขอพระพรหรือมงกุฎ และหากพระเจ้าไม่ทรงอวยพรพวกเรา พวกเราก็ทะเลาะกับพระองค์ หรือ เมื่อพวกเราเจ็บป่วยหรือบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้นที่บ้าน ในการอธิษฐานของพวกเรา พวกเราโทษพระเจ้าสำหรับการไม่ทรงคุ้มครองปกป้องพวกเรา และพวกเราถึงขั้นพยายามที่จะชี้แจงเหตุผลกับพระเจ้าและสะสางบัญชีกับพระองค์ รายการนี้ไปต่อเรื่อยๆ การอธิษฐานทั้งหมดเหล่านี้กำลังวางข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าและพยายามที่จะบังคับพระหัตถ์ของพระองค์ นี่คือการฉกฉวยโอกาส การโทษพระองค์ และยืนต้านพระองค์และต่อต้านพระองค์เสียด้วยซ้ำ การอธิษฐานประเภทเหล่านี้กำลังขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลอย่างสิ้นเชิง และการอธิษฐานเยี่ยงนี้คือการต้านทานพระเจ้า หากพวกเราในฐานะคริสเตียนต้องการให้พระเจ้าทรงได้ยินการอธิษฐานของพวกเรา พวกเราควรอธิษฐานอย่างที่คนเก็บภาษีได้ทำ ยืนในสถานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีท่าทีของความศรัทธาเบื้องพระพักตร์พระองค์ และอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยเงื่อนไขเบื้องต้นของการเชื่อฟัง พวกเราไม่ควรพยายามที่จะบังคับความปรารถนาของพวกเราเองต่อพระเจ้า หรือเรียกร้องให้พระองค์ทรงประพฤติตัวโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเราเอง พวกเราควรเพียงขอให้พระเจ้าทรงดำเนินการสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์เองเท่านั้น นี่คือหนทางเดียวที่พระเจ้าจะทรงได้ยินการอธิษฐานของเรา และทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเรา

ครั้งหนึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสบอกแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามมุมถนนต่างๆ เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน(มัทธิว 6:5-6) เราสามารถเห็นได้จากสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เมื่อพวกฟาริสีอธิษฐานบ่อยครั้งที่พวกเขาชอบที่จะเลือกสถานที่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน พวกเขาชื่นชมการยืนในธรรมศาลาหรือที่ทางแยกเพื่ออธิษฐาน แล้วพวกเขาก็จะท่องคัมภีร์และทำการอธิษฐานอันยาวนานและมีเลศนัยอยู่บ่อยครั้ง มันทั้งหมดถูกกระทำไปสำหรับคนอื่นๆ จะได้เห็น เพื่อทำให้คนอื่นๆ เห็นพวกเขาว่าเปี่ยมศรัทธาและเคร่งศาสนา และโดยผ่านทางการนั้นได้รับความเลื่อมใสของผู้คนและทำให้ผู้คนชื่นชมบูชาพวกเขา การอธิษฐานประเภทนั้นไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าการยกย่องตัวพวกเขาเองและการโอ้อวด มันคือการพยายามที่จะหลอกลวงพระเจ้า นั่นคือเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า พวกฟาริสีนั้นเป็นคนหน้าซื่อใจคด และว่าการอธิษฐานของพวกเขานั้นหน้าไหว้หลังหลอก น่าชิงชังสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อได้สำนึก ในหลายๆ ครั้งที่พวกเราอธิษฐาน พวกเรายังเก็บงำสิ่งจูงใจที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เมื่ออธิษฐานในการชุมนุม พวกเราไม่พูดกับพระเจ้าเกี่ยวกับความลำบากยากเย็นทั้งหลายหรือความเสื่อมทรามที่แท้จริงของพวกเรา ไม่พูดกับพระองค์จากหัวใจ และไม่ขอให้พระองค์ทรงนำทางและทรงนำพวกเรา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราพูดคำพูดสละสลวยและให้การสรรเสริญอันว่างเปล่า มิฉะนั้นพวกเราก็ท่องบททั้งหลายจากพระคัมภีร์หรือพูดไปเรื่อยเกี่ยวกับคัมภีร์ เพราะพวกเราคิดว่าใครก็ตามที่จดจำคัมภีร์ได้มากกว่าและพูดได้อย่างมีวาทศิลป์กว่านั้นอธิษฐานได้ดีกว่า พวกเรายังคิดอีกด้วยว่า ยิ่งพวกเราทำการเฝ้าดูยามเช้าและการอธิษฐานยามเย็นของพวกเราบ่อยครั้งมากขึ้นเท่าใด หรือยิ่งพวกเราอธิษฐานก่อนมื้ออาหารและขอบคุณพระคุณของพระเจ้าหลังการกินมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเราใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้นานขึ้นเท่าใด พวกเราก็จะยิ่งกลายเป็นมีความเป็นจิตวิญญาณมากขึ้นและเปี่ยมศรัทธามากขึ้นเท่านั้น พวกเราคิดว่าการอธิษฐานในหนทางนี้สอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด ในข้อเท็จจริงนั้น การอธิษฐานในหนทางนั้นไม่ใช่เป็นการแบ่งปันหัวใจของพวกเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้า และมันไม้ใช่การนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันคือการยึดติดกับสิ่งจูงใจและเป้าหมายของพวกเราเอง และมันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่าพวกเราแสวงหาดีเพียงใดเมื่อพวกเราใช้การนี้เพื่อโอ้อวด การอธิษฐานในหนทางนั้นเป็นเพียงการทำสิ่งนั้นอย่างท่องจำ โดยทำไปอย่างพอเป็นพิธี และมันคือการอธิษฐานตามพิธีกรรมทางศาสนา มันคือการทำอะไรอย่างพอเป็นพิธีกับพระเจ้าและการพยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงรังเกียจ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง(ยอห์น 4:24) พระเจ้าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง ดังนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายอธิษฐานเบื้องพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเราควรจะมีหัวใจที่ยำเกรงและนมัสการพระองค์ด้วยความจริงใจ ยอมรับการสังเกตการณ์ของพระองค์ และพูดกับพระเจ้าอย่างเปิดเผยและอย่างซื่อสัตย์ มีเพียงการอธิษฐานประเภทนี้เท่านั้นที่ทำให้พระเจ้าทรงปีติยินดี

3. จงอธิษฐานว่าจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในมัทธิว 6:9-10, 13 องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก…และขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย’” นับตั้งแต่มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดมาตลอด ทรงเปิดโอกาสให้พวกเราหนีพ้นจากความชั่ว ทรงเปิดโอกาสให้พวกเราหนีพ้นจากพันธนาการและอันตรายของซาตาน และท้ายที่สุดทรงเปิดโอกาสให้พวกเราได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าทรงหวังว่าผู้คนจะสามารถมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์และยอมรับความรอดของพระองค์ พระองค์ยังทรงหวังให้ผู้คนใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์และเคารพพระองค์เหนือทั้งหมดเช่นกัน นั่นคือเหตุผลที่ในการอธิษฐานของเรานั้น เราไม่สามารถแค่ทำการขอเพื่อตัวพวกเราเอง เรายังจะต้องคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเช่นกัน อธิษฐานให้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้กระทำไปจนเสร็จสิ้นบนแผ่นดินโลก อธิษฐานเพื่อการปรากฏของราชอาณาจักรแห่งพระคริสต์บนแผ่นดินโลก และอธิษฐานให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเผยแผ่ไปยังทุกมุมโลก นี่คืออีกเส้นทางของการปฏิบัติซึ่งการอธิษฐานของคริสเตียนสามารถสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยทางนั้นได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็น การลบหลู่ และความยากลำบากที่หลากหลายในขณะที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเรารู้สึกอ่อนแอและคิดลบ พวกเราควรจะอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังและขอให้พระองค์ทรงให้ความเชื่อและพละกำลังแก่พวกเรา ทรงเปิดโอกาสให้พวกเราตัดจากจากเนื้อหนังและเอาชนะความลำบากยากเย็นทั้งหมด และไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดควบคุมทั้งหลายของกำลังบังคับของศัตรู เมื่อทำงานและเทศนา พวกเราควรจะอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยภาระ โดยขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเราให้เข้าใจพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่พวกเราจะสามารถมีน้ำพระทัยของพระองค์ร่วมกันในการสามัคคีธรรมในช่วงระหว่างการชุมนุม เช่นนั้นแล้วพวกเราจึงจะสามารถนำทางบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเราในการปฏิบัติและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและนำพาพวกเขาไปอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า เมื่อพวกเราเห็นสิ่งที่ไม่มีหลักศีลธรรมและชั่วที่ถูกกระทำไปในคริสตจักร พวกเราควรจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอความเชื่อและความกล้าจากพระองค์ ตลอดจนเพื่อความเข้าใจความจริงเพื่อมองทะลุปรุโปร่งถึงเล่ห์เหลี่ยมของซาตานและค้ำจุนผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และอื่นๆ หากพวกเราอธิษฐานอยู่บ่อยครั้งให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาและให้น้ำพระทัยของพระองค์ได้กระทำไปจนเสร็จสิ้น และพวกเราสามารถมอบถวายพละกำลังสักน้อยของพวกเราเองให้กับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงรับรองการอธิษฐานของพวกเรา และการอธิษฐานเหล่านั้นจะอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระองค์ ในข้อเท็จจริงแล้ว มีการอธิษฐานอยู่บ้างในพระคัมภีร์ที่ได้รับการรับรองของพระเจ้า เช่นเมื่อกษัตริย์ดาวิดได้ทรงสร้างวิหารหลังหนึ่งสำหรับพระยาห์เวห์ เพื่อที่ผู้คนจะได้สามารถนมัสการพระเจ้าภายในนั้นได้ บ่อยครั้งที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อการนี้ แล้วเขาก็นำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ การวอนขอเหล่านั้นได้รับการรับรองของพระเจ้า และในท้ายที่สุดดาวิดก็ได้กลายเป็นใครบางคนซึ่งสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า หลังจากที่ซาโลมอนได้กลายเป็นกษัตริย์และพระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาในความฝัน โดยได้ขอสิ่งที่เขาน่าจะขอ ซาโลมอนไม่ได้ขอความมั่งคั่งหรือชีวิตที่ยืนยาว แต่ได้ขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญาแก่เขาแทนเพื่อที่เขาจะสามารถปกครองประชากรของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น แล้วประชากรของพระองค์ก็จะสามารถนมัสการพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น พระเจ้าได้ทรงรับรองการอธิษฐานของเขา และไม่เพียงประทานสติปัญญาแก่เขาเท่านั้น แต่ประทานความมั่งคั่งและชีวิตที่ยืนยาวที่เขาไม่ได้ขอเสียด้วยซ้ำอีกด้วย เป็นที่ชัดเจนว่าการอธิษฐานว่าจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือการอธิษฐานที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์โดยทั้งหมดทั้งมวล

4. จงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความทรหดอดทนและความแน่วแน่–จงอย่าเสียกำลังใจ

ในลูกา 18:1-8 กล่าวไว้ว่า “พระเยซูตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง เพื่อสอนว่าเขาทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ พระองค์ตรัสว่า ‘ในเมืองแห่งหนึ่งมีผู้พิพากษาอยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ด้วย ในเมืองนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาท่านพูดว่า “ขอให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันในการสู้ความเถิด” แต่ผู้พิพากษาคนนั้นไม่ยอมทำจนเวลาผ่านไปนาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นแก่มนุษย์ แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มาทำให้ข้าลำบาก ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อไม่ให้นางมารบกวนให้รำคาญใจบ่อยๆ”’ และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมคนนี้พูด พระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้ คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? พระองค์จะทรงอดทนได้หรือ? เราบอกพวกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่พวกเขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านยังจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?’” อุปมานี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อพวกเราอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือขอบางสิ่ง พวกเราไม่สามารถเร่งรีบเนื่องจากปณิธานนั้น พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะรอ แสวงหา และเชื่อฟัง พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ตลอดจนทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งเกินธรรมชาติทั้งหลาย แต่พระราชกิจแห่งการทรงนำและการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์ของพระองค์อยู่บนพื้นฐานของวุฒิภาวะจริงแท้ของผู้คนโดยทั้งหมดทั้งมวล และทั้งหมดทรงกระทำไปโดยอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ผู้คนสามารถบรรลุได้อย่างแท้จริง ตราบเท่าที่การวอนขอทั้งหลายของพวกเราอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้การอธิษฐานของพวกเราลุล่วงอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องมีความเชื่อในพระเจ้า พวกเราทั้งหมดได้ก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายประเภทเหล่านี้ กล่าวคือ บางครั้งเมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นและพวกเราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด พวกเราพยายามที่จะสื่อสารกบพระเจ้าในการอธิษฐาน และโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการมีสามัคคีธรรมกับบรรดาพี่น้องชายหญิง พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำพวกเราอย่างรวดเร็วมาก โดยทรงให้เส้นทางที่จะปฏิบัติแก่พวกเรา หรือบางครั้ง พวกเราได้อธิษฐานเกี่ยวกับบางสิ่งเรื่อยมาเป็นเวลานานและยังไม่ได้รับการตอบรับจากพระเจ้า และในเวลาเหล่านั้นเราจำเป็นต้องสงบจิตใจของพวกเราและรอคอยน้ำพระทัยของพระเจ้าให้ได้รับการเปิดเผยต่อพวกเรา ในเวลาอื่นๆ พระเจ้ากำลังทรงทดสอบความเชื่อของพวกเราเพื่อดูว่า พวกเราสามารถพึ่งพาพระองค์ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ บางครั้งพระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะเปิดโปงการเจือปนภายในพวกเราและชำระความเสื่อมทรามของพวกเราให้สะอาด บางครั้งพระเจ้าทรงจำเป็นต้องขับเคลื่อนหรือจัดการเตรียมการสำหรับผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเหตุการณ์ทั้งหลายเพื่อทำให้การอธิษฐานของพวกเราลุล่วง และการนี้พึงประสงค์เวลาและกระบวนการเฉพาะบางอย่าง ยังมีเวลาที่พระเจ้าทรงเห็นว่าวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเรานั้นเล็กน้อยและพวกเราไม่สามารถจัดการหรือสัมฤทธิ์บางสิ่งด้วยตัวพวกเราเองได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นพระองค์ทรงรอจนกระทั่งวุฒิภาวะของพวกเราได้เติบโตขึ้นเล็กน้อย แล้วพระองค์ก็ทรงดำเนินการสิ่งนั้นเพื่อพวกเรา...โดยไม่คำนึงถึงว่าการอธิษฐานของพวกเราต่อพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วงแล้วหรือไม่ พวกเราต้องมีความเชื่อในพระเจ้าและเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำในพวกเรานั้นดีงาม ว่ามันล้วนเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของพวกเรา และว่าเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้าดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น ไม่สำคัญว่าความลำบากยากเย็นทั้งหลายที่พวกเราเผชิญหน้าอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเราหรือในการรับใช้พระเจ้าของพวกเรา พวกเราไม่สามารถเสียกำลังใจหรือกลายเป็นท้อแท้ได้ พวกเราต้องเป็นเหมือนหญิงม่ายที่แสวงหาความยุติธรรม คงเส้นคงวา มีความเชื่ออันจริงแท้ในพระเจ้า มาเบื้องพระพักตร์พระองค์ในการอธิษฐานอยู่บ่อยๆ แสวงหา และรอให้น้ำพระทัยของพระองค์ได้รับการเปิดเผยต่อพวกเรา พวกเราต้องเชื่อว่าเมื่อเวลาของพระเจ้ามาถึง พวกเราจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเราจะเห็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า พระปรีชาญาณ และกิจการอันน่ามหัศจรรย์ของพระองค์

องค์ประกอบสี่อย่างของการอธิษฐานข้างต้นนี้คือเส้นทางของการปฏิบัติสำหรับการอธิษฐานของคริสเตียน และหากพวกเราสามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้ทุกวัน พวกเราจะสามารถกำหนดสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าและสามารถเข้าใจความจริงภายในพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ทรรศนะสำหรับดวงจิตของพวกเราจะปรับปรุงเสมอ และพวกเราจะมีความเชื่อมั่นในความเชื่อของพวกเราและการติดตามพระเจ้าของพวกเรามากขึ้นทุกที การอธิษฐานของพวกเรายังจะได้รับการรับรองของพระเจ้าด้วยเช่นกัน!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว: คริสตชนควรกลับใจอย่างไรเพื่อให้ได้รับการทรงอารักขาจากพระเจ้า?

ทุกวันนี้ โรคระบาดได้แพร่กระจายไปแล้วทั่วโลก ผู้คนกำลังตายเป็นฝูงไปทั่วทั้งโลกและมีอีกหลายคนอยู่ในสภาวะแห่งความตื่นตระหนกตลอดเวลา...

หมายสำคัญของวาระสุดท้ายของโลก: จันทรุปราคาปรากฏในคืนจันทร์เพ็ญสีเลือดแห่งฤดูดอกไม้บานใน ค.ศ. 2022

บันทึกของบรรณาธิการ: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าของพระจันทร์สีเลือดได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ภัยพิบัติอันหลากหลาย อาทิ...

ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว: คริสตชนจะถูกรับขึ้นไปก่อนหน้าความทุกข์ลำบากอันยิ่งใหญ่อย่างไร?

โดย เบ็กกี้, สหรัฐอเมริกา วันนี้ มหันตภัยต่างๆ ทั่วโลกกำลังกลายเป็นความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger