ผมเกือบพลาดโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย หวัง เหล่ย, ประเทศจีน

ผมกับภรรยากลายมาเป็นคริสเตียนในค.ศ. 1995 แล้วก็กระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหามาตั้งแต่นั้น และไม่นานนัก เราก็ได้เป็นผู้ร่วมงานให้กับคริสตจักรโซลา ฟีเด พอประมาณค.ศ. 2000 สมาชิกหลายคนจากคริสตจักรนั้นได้ยินข่าวประเสริฐเกี่ยวกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และเริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตั้งแต่นั้นมา พวกศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสก็คอยประกาศต่อต้านฟ้าแลบจากทิศตะวันออกในการชุมนุมของผู้ร่วมงานอยู่เป็นนิตย์ มีครั้งหนึ่ง ศิษยาภิบาลหวังเปรยว่า เปาโลได้พูดไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป” (กาลาเทีย 1:6-8) เขายังบอกด้วยว่า เราต้องติดตามทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า และการฟังข่าวประเสริฐอื่นๆ คือการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราจะถูกแช่งด่า เขาบอกว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกประกาศว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และทรงกำลังปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายผ่านพระวจนะของพระองค์ และบอกว่านี่ก็คืออีกหนึ่งข่าวประเสริฐ เขาบอกว่าเราจะไปฟังไม่ได้ และเราจะไปเชื่อไม่ได้เด็ดขาด มันจะเป็นการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เขารบเร้าว่าถ้ามีใครบอกเราเรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ให้รีบเชิญคนคนนั้นออกนอกประตูทันที ทุกครั้งที่พวกศิษยาภิบาลของเราหยิบยกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้มา ผมจะเตือนตัวเองอย่างเงียบๆ ว่า “กลุ่มนักบวชจะไม่ยอมให้เราติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และนั่นก็เพื่อประโยชน์ของเราเอง ฉันไม่มีความเข้าใจในองค์พระคัมภีร์ดีนัก และวุฒิภาวะก็ยังน้อย ฉันจะฟังไปเรื่อยไม่ได้ ฉันชื่นชมกับพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาก ฉันไม่สามารถทรยศพระองค์ได้” ผมมีเพื่อนๆ กับญาติๆ ที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผมอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ปฏิเสธไปหมด ผมคิดว่าผมต้องยึดทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จะฟังไปเรื่อยไม่ได้ ถ้าถูกหลอกและถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธ แล้วจะยังไงล่ะ? มีวันหนึ่งหลานสาวผม มาแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผมและภรรยา ผมเลยตอบกลับไปอย่างเย็นชา “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป’ (กาลาเทีย 1:8) เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า และถ้าเราติดตามเส้นทางอื่นใด ที่จะเป็นการละทิ้งศาสนาและทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็จะถูกแช่งด่า หลานควรสารภาพและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทันที” ตอนนั้นผมฟังสิ่งที่ศิษยาภิบาลเคยพูดไว้ ไม่ว่าใครมาแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าในยุคสุดท้าย อย่างไรผมก็ไม่ฟัง ผมใช้ข้ออ้างทุกอย่างเพื่อไล่พวกเขาไป

อีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ภรรยาและผมไปทำงานในไร่ ภรรยาพูดกับผมอย่างระมัดระวัง “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” พอเธอพูดอย่างนั้น ผมก็ตระหนัก ว่าภรรยาผมไม่เพียงฟังข่าวประเสริฐของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก แต่ยังยอมรับไปแล้วด้วย ผมโกรธจัด แล้วด่าเธอว่า “พวกนักบวชเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเราต้องไม่ฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ทำไมถึงไม่ฟังพวกเขา? การยอมรับหนทางอื่นคือการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณจะเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้” ผมอารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ และคิดถึงข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ “อย่ามีส่วนร่วมในบาปของคนอื่นเลย จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์” (1 ทิโมธี 5:22) ผมคิดว่าเมื่อเธอยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมก็ไม่ควรมีส่วนร่วมในบาปของเธอ ผมบอกเรื่องนี้กับศิษยาภิบาลทันที เพื่อให้เขารบเร้าภรรยาผมให้หันกลับ เขาได้ยินแล้วโมโหมาก พูดว่า “การฟังใครประกาศเกี่ยวกับการเชื่ออื่น เป็นการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และเธอจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร ลองไปดูว่าเธอมีหนังสืออะไรหรือไม่ ถ้าเจอก็ทำลายซะ รีบกลับบ้านและจับตาดูเธอไว้ คุณต้องไม่ปล่อยให้เธอออกไปฟังคนพวกนั้นเด็ดขาด” พอได้ยินแบบนี้ผมก็คิดว่า “ใช่! ทางเดียวที่จะช่วยภรรยาให้รอด ก็คือทำตามที่ศิษยาภิบาลบอก ไม่อย่างนั้นเธอก็จะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธ และจะสูญเสียโอกาสในการไปสวรรค์” จากนั้นมาผมก็จับตาดูภรรยาอย่างใกล้ชิด และจะไม่ให้เธอได้ติดต่อกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกตราบที่ผมอยู่ใกล้ ผมให้ลูกสาวสองคนเฝ้าดูให้ตอนที่ผมไปทำงาน แต่ภรรยาผมก็ยังแอบไปที่การชุมนุม วันหนึ่งผมกลับจากทำงานมาไม่เจอภรรยาที่บ้าน ผมรู้ว่าเธออยู่ที่การชุมนุมอีก ผมโมโหมาก ไม่ว่าทำอย่างไรผมก็ควบคุมเธอไม่อยู่ ผมเลยคิดว่าควรหนักมือขึ้น ผมทนอยู่เฉยๆ แล้วดูเธอทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า และถูกพระองค์ขจัดออกไปไม่ได้ ตอนภรรยากลับมา ผมจึงลงไม้ลงมือกับเธอ ผมไม่เคยทำร้ายเธอเลยตลอดหลายปีที่แต่งงานกันมา ผมก็รู้สึกแย่มากๆ ที่ทำอย่างนั้น แต่ก็คิดว่า ผมแค่กลัวเธอเดินผิดเส้นทาง และสูญเสียความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าไป แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอก็ยังยึดมั่นอยู่กับการเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ก็นึกถึงคำพูดศิษยาภิบาลหวังที่ให้ทำลายหนังสือของเธอ ผมคิดว่าเขาพูดถูก ถ้าไม่มีหนังสือให้อ่าน จะปฏิบัติความเชื่อได้หรือ? ด้วยความเดือดดาล ผมแอบเจอหนังสือของเธอและทำลายทิ้ง แต่ว่าเธอก็ยังไม่มีเจตนาที่จะหันกลับ เธอหาทางหลบหนีการเฝ้าดูของผมและไปที่การชุมนุมได้เสมอ และบอกกับผมอยู่เสมอ ว่าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อดูด้วยตัวเองว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ ตอบตามตรง ผมโอนเอนไปมา ภรรยาผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ มาตลอด ไม่เคยเป็นคนหัวแข็งแบบนี้ ผมไม่เข้าใจว่าครั้งนี้ทำไมถึงไม่ยอมถอย ผมสงสัยว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกประกาศอะไรกันแน่ ทำไมดึงดูดเธอเข้าหาได้อย่างแรงกล้านัก ผมอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะ แต่พอนึกได้ถึงคำพูดของศิษยาภิบาล ก็เตือนตัวเองว่า “เราต้องอยู่บนทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าในความเชื่อของเรา การไถลออกห่างจะเป็นการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า!” ผมจึงปฏิเสธอย่างหนักแน่น

มีวันหนึ่งผมลงไปในเหมืองถ่านหิน จู่ๆ ตัวจุดระเบิดที่เพื่อนร่วมงานผมจุดก็ระเบิดใส่เขา จนทำให้เขาตาบอดทันที ผมอยู่ห่างไปไม่ไกล แต่ไม่เป็นอะไรเลย ผมตัวสั่นด้วยความกลัว ผมรู้สึกแย่แทนผู้ร่วมงานคนนั้นมาก แต่ขณะเดียวกันก็ดีใจที่พระเจ้าทรงอารักขา ตอนกลับถึงบ้าน ผมยังตกใจไม่หาย ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟัง เธอตอบกลับว่า “เขามืดบอดทางกาย แต่คุณบอดทางวิญญาณ ฉันบอกให้คุณอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาตลอด แต่คุณก็ไม่ยอมและถึงขั้นกล่าวโทษพระองค์ คุณรอดมาได้โดยไร้รอยข่วน เพราะการทรงอารักขาของพระเจ้า แต่มันคือการเตือนของพระองค์ถึงคุณด้วย” การได้ยินเธอพูดแบบนั้นส่งผลต่อผม ถ้านั่นคือการที่พระเจ้าทรงเตือนผมจริงๆ ล่ะ? ไม่กี่วันต่อมา ตอนกำลังตรวจสอบสายพานลำเลียงในเหมือง อยู่ๆ ผมก็มึนหัวมาก แล้วก็เกือบล้มลงบนสายพาน ตอนนั้นผมเหงื่อแตกพลั่กเลย ผมรู้ว่าถ้าผมล้มลงไป ผมคงกลายเป็นเนื้อบดแน่ ผมรู้สึกถึงความตื่นตกใจที่อธิบายไม่ได้ พอกลับถึงบ้าน ผมก็เล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องนั้น ผมถามเธอว่า “ผมเป็นผู้เชื่อ แต่ทำไมผมถึงไม่ได้รับการพิทักษ์รักษาให้ปลอดภัย มันเกิดอะไรขึ้น?” เธอบอกว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คุณเอาแต่ต้านทานพระองค์ นี่คือการเตือนของพระองค์ถึงคุณ! คุณต้องหยุดต่อสู้กับพระองค์” ในตอนนั้น ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา และรู้สึกว่า ผมไม่ควรห้ามภรรยาต่อไป แต่ผมก็มาคิดถึงคำพูดของศิษยาภิบาล ว่าเธออยู่บนเส้นทางอื่น ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า และนี่คือการที่พระเจ้ากำลังทรงทดสอบผม และผมต้องยืนอยู่ฝ่ายพระองค์ให้ถึงที่สุด ผมไม่กล้าคิดไปมากกว่านั้น เพราะกลัวว่า ภรรยาจะโน้มน้าวและผมจะโอนเอนไปมา ผมยืนขวางทางการไปร่วมชุมนุมของเธอต่อไป และรบเร้าให้เธอสารภาพและกลับใจ แต่เมื่อผมพยายามหยุดเธอ ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับรู้สึกอ่อนแอและปวกเปียกไปหมด ผมไม่มีกำลังแม้แต่น้อย ถึงกับไปทำงานไม่ได้ ได้แค่นอนอยู่บนเตียงเหมือนศพ ผมอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่ดีขึ้น ภรรยาผมบอกให้เรียกหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระองค์เท่านั้นที่จะทรงช่วยผมให้รอดได้ เมื่อหมดหนทาง ผมตัดสินใจลองดู ผมเรียกพระองค์อยู่เงียบๆ ในใจ “โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…” ผมตกใจที่จู่ๆ กำลังก็เริ่มคืนมาช้าๆ ทันทีที่เรียกพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกสองสามครั้ง ทันทีที่ขวางทางภรรยา ผมก็จะสูญเสียกำลังทั้งหมด ถึงกับทำงานไม่ได้ แต่ทันทีที่อธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ กำลังก็จะค่อยๆ กลับมา หลังจากนั้น ผมก็ไม่เข้มงวดมากอีกต่อไป และเริ่มที่จะยอม ผมสงสัยว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาจริงหรือ? ครั้งต่อมาที่ภรรยารบเร้าให้ตรวจสอบหนทางที่แท้จริง ผมจึงตกลง

ในวันนั้นผมเห็นกลุ่มคนกำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่บ้านพี่สาวของภรรยา พี่สาวถามเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าตั้งแต่ยุคธรรมบัญญัติ ไปจนถึงยุคพระคุณ เกี่ยวกับพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าในการถูกตรึงกางเขน เพื่อไถ่มวลมนุษย์จากบาปของเรา เธอนำพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าและคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ มาผูกไว้ในสามัคคีธรรมถึงการที่พระเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย แสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อกำจัดธรรมชาติบาปหนาของคน ชำระเราให้บริสุทธิ์ถ้วนทั่ว ช่วยให้รอด และพาเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ เธอยังพูดถึงว่าการถูกรับขึ้นไปคืออะไร เรื่องหญิงพรหมจารีที่โง่กับที่มีปัญญา และอื่นๆ สามัคคีธรรมของพวกเขาชัดเจนมาก และตรงกับพระคัมภีร์ทั้งหมด มันเติมความสว่างให้ใจของผม ผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยตลอดหลายปีที่เป็นคริสตชนมา ผมคิดกับตัวเองว่า การเทศนาของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แน่ๆ และผมรู้สึกได้รับการบำรุงเลี้ยงจริงๆ ผมสงสัยว่าทำไมกลุ่มนักบวชที่คริสตจักรถึง กันเราไว้ให้ห่างจากมัน และผมอยากสามัคคีธรรมกับพวกเขาตอนที่ไปคริสตจักร เพื่อให้พวกเขาได้ยินเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกด้วย และพิจารณาว่าใช่หนทางที่แท้จริงหรือไม่ ก่อนผมจะมีโอกาสได้ไปหา พวกเขาก็มาที่บ้านผมแล้ว ยืนกรานให้ภรรยาผมออกมาจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกซะ เธอโต้คารมกับพวกเขาอยู่นานสองหรือสามชั่วโมงได้ เมื่อเห็นว่าภรรยาผมมุ่งมั่นจะรักษาความเชื่อในมันไว้ ศิษยาภิบาลหวังจึงตะคอกใส่ “คุณไม่ยอมฟัง แต่ยืนกรานจะเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก นี่คือการละทิ้งศาสนาและการทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า! คุณจะไม่ปลอดภัยถ้าไถลจากองค์พระผู้เป็นเจ้า และหากเกิดอะไรขึ้นคริสตจักรจะไม่ช่วยเหลือ!” ศิษยาภิบาลอีกคนก็ดุว่าเธอเสียงดัง “คุณหันหลังให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณต้องสารภาพและกลับใจเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น คุณจะถูกไล่ออกไปจากคริสตจักร!” พวกเขายังอยากบังคับให้เธอคุกเข่าและสารภาพต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย ผมหงุดหงิดมากกับแนวทางที่ก้าวร้าวของพวกเขา ผมคิดว่า “ต่อให้ความเชื่อของภรรยาผมไม่ถูกต้อง คุณก็ไม่สามารถตัดสินและกล่าวโทษโดยพลการ คุณควรยกโทษ แสดงความรักและช่วยเหลือ และสามัคคีธรรมกับเธออย่างอดทน นั่นคือน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมถึงต้องพยายามครอบงำขนาดนี้?”

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาทั้งคืน ผมแค่ทำความเข้าใจไม่ได้ ทำไมศิษยาภิบาล ถึงได้ปฏิบัติกับพี่น้องชายหญิงเช่นนี้ พวกเขาไม่มีความรัก ความเห็นใจ และความยอมผ่อนปรนสักนิดอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าสอนให้มี พวกเขาเป็นนักบวชประเภทไหนกัน? สิ่งที่ผมประหลาดใจมากๆ ก็คือข่าวลือเรื่องภรรยาของผม ว่อนไปทั่วคริสตจักรอย่างรวดเร็วมาก ทุกคนพูดว่า เธอเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและเสียสติไปแล้ว ผมโมโหมากๆ ในการชุมนุม ผมถามศิษยาภิบาลหวังว่า “เห็นชัดอยู่ว่าภรรยาผมไม่มีอะไรผิดไป ทำไมต้องหาว่าเธอบ้าด้วย? คุณกุข่าวลือขึ้นมาแบบลอยๆ ได้อย่างไร?” ผมตกใจตอนที่เขาพูดแบบไม่ใยดีว่า “เราเกรงว่า ผู้เชื่อคนอื่นจะติดตามฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไปด้วย นี่ก็เพราะเราห่วงใยชีวิตของพวกเขา…” ผมไม่อยากเชื่อเลยว่านั่นได้ออกมาจากปากของศิษยาภิบาล องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว(มัทธิว 5:37) พระองค์ทรงสอนเราว่าควรพูดอย่างซื่อสัตย์ พลั่วก็บอกว่าพลั่ว เราต้องไม่โกหก โกง หรือสร้างเรื่องขึ้นมา แต่พวกศิษยาภิบาลไม่เพียงโกหกหน้าตาเฉย แต่ยังไม่รู้สึกผิดอีกด้วย ศิษยาภิบาลหวังพูดออกมาอย่างโอหังบังอาจว่า ทำไปก็เพราะคิดถึงชุมนุมชน พวกเขาไม่ได้ทำตัวเหมือนผู้เชื่อเลย ผมไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดจากการชุมนุมนั้นเลยสักคำ แล้วก็ออกมาเร็วมาก ญาติๆ กับเพื่อนๆ หลายคนแวะมาถามเรื่องภรรยาผมเพราะคำโกหกที่พวกศิษยาภิบาลได้แพร่ไว้ เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็กระซิบกระซาบกันเรื่องนี้ ทำให้ผมกับภรรยาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ ผมทั้งเจ็บทั้งผิดหวังกับพฤติกรรมของพวกศิษยาภิบาล และผมก็อธิษฐานอยู่เสมอ “องค์พระผู้เป็นเจ้า เหล่าศิษยาภิบาลบิดเบือนความจริงและแพร่คำโกหกเกี่ยวกับภรรยาของข้าพระองค์ เพื่อกันไม่ให้ผู้เชื่อตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ข้าพระองค์ไม่เห็นชอบในการกระทำของพวกเขาแม้แต่น้อย องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินสิ่งที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกประกาศ และรู้สึกว่ามันช่างน่าอัศจรรย์ และสัมพันธ์กับชีวิตจริงจริงๆ แต่ข้าพระองค์กลัวว่าจะเป็นการทรยศพระองค์ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร โปรดประทานความรู้แจ้ง และความหยั่งรู้ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ผมรู้สึกหลงทางจริงๆ อยู่พักใหญ่ เอาแต่คิดเรื่องสามัคคีธรรมที่ได้มีกับบรรดาคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พวกเขาช่างดูน่านับถือ พูดคุยอย่างอบอุ่น และดูเคร่งครัดจริงๆ สามัคคีธรรมของพวกเขาเกี่ยวกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้ความรู้แจ้งได้จริงๆ ไม่เหมือนฟังพวกศิษยาภิบาลพูดเลยสักนิด แต่ถ้ามันคือหนทางที่แท้จริง ทำไมพวกศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสถึงไม่ยอมรับ หรือยอมให้ผู้เชื่อตรวจสอบ? ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งนี้ วกไปวนมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงเสียงนี้ที่เต็มไปด้วยบารมีและสิทธิอำนาจพูดว่า “จงอย่าสงสัย แต่จงมีความเชื่ออยู่เสมอ” ตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ผมรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับพระเจ้า กำลังฟังพระองค์ ทำให้ผมตกตะลึงไปเลย ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น และเหมือนจะรู้สึกกลัว ผมนึกถึงคำเผยพระวจนะในคำวิวรณ์ “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7) และผมคิดถึงสิ่งที่ภรรยาพูดอยู่ตลอดว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงพระวจนะมากมาย หรือพระวจนะเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับเหล่าคริสตจักร? ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจเจาะลึกฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ภรรยาผมเชิญพี่โจวจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาที่บ้าน ให้เขาได้แบ่งปันคำพยานเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผมถามพี่เขาว่า “เปาโลกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป’ (กาลาเทีย 1:6-8) เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูดมาตลอดว่านี่หมายความว่า ถ้าเราหันเหไปจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและฟังข่าวประเสริฐอื่น จะเป็นการละทิ้งศาสนาและทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมกังวลครับ การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่หรือ?” พี่เขาตอบผมด้วยคำถามว่า “เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสตีความว่านี่หมายความว่า การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการหันเหไปจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ยอมรับข่าวประเสริฐอื่น และทรยศพระองค์ นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องถึงคำพูดของเปาโลหรือไม่? พวกเขากล้ารับประกันหรือว่าเมื่อพูดว่า ‘ข่าวประเสริฐอื่น’ เปาโลหมายถึงข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรถึงการทรงกลับมาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย? เปาโลกล่าวไว้เช่นนั้นหรือ?” ผมพูดไม่ออกเลย ผมคิดได้ว่าเปาโลไม่เคยพูดเช่นนั้น จากนั้นพี่เขาก็พูดต่อและสามัคคีธรรม “บริบทก็คือ เปาโลพูดเช่นนี้หลังจากองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ไม่นาน ตอนที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ถึงราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้เผยแผ่ออกไป ชาวกาลาเทียจำนวนมากได้ต้อนรับองค์พระเยซูเจ้า แต่บางคนก็ถูกทำให้หลงผิด และเริ่มเชื่อในข่าวประเสริฐอื่น สิ่งนี้อยู่เบื้องหลังการที่เปาโลเขียนจดหมายรบเร้าชาวกาลาเทีย เตือนพวกเขาว่า ในยุคพระคุณนั้น มีข่าวประเสริฐเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า หากผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นที่ต่างจากองค์พระเยซูเจ้า นั่นจึงเป็น ‘ข่าวประเสริฐอื่น’ และมีขึ้นเพื่อพาผู้คนหลงไป พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย และตอนที่เปาโลพูดเช่นนี้ ก็ไม่มีใครแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้าย ดังนั้นสิ่งที่เปาโลพูดจึงไม่ได้หมายถึงข่าวประเสริฐแห่งการทรงกลับมาในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาใช้คำพูดที่เปาโลพูดกับบรรดาคริสตจักรในยุคพระคุณโดยพลการ เพื่อกล่าวโทษการทรงปรากฏของพระเจ้าและพระราชกิจในยุคสุดท้าย ทำให้ทุกอย่างเสียบริบท และตีความองค์พระคัมภีร์ผิดๆ แบบนี้ไม่เหลวไหลหรือ”

การสามัคคีธรรมของพี่โจวทำให้ผมได้เข้าใจสิ่งที่ศิษยาภิบาลได้พูดไว้ แต่ผมยังสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง การเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการซื่อสัตย์ต่อพระนามของพระองค์และหนทางของพระองค์ หากผมยอมรับหนทางของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก จะทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไหม? พี่เขาบอกว่า “ลองคิดดูให้ดี เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ หลายคนที่เคยเชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้า เมื่อได้ฟังทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เริ่มติดตามพระองค์ พวกเขาทรยศต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าหรือ? นี่คือการละทิ้งศาสนาหรือ? ก็เห็นชัดว่าไม่ใช่ พวกเขาเดินตามรอยเท้าของพระเมษโปดก เป็นผู้ติดตามที่ยำเกรงพระเจ้า แต่พวกที่ยังดื้อดึงยึดติดกับธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม และบอกปัดองค์พระเยซูเจ้า อาจดูเหมือนอุทิศตัวต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาคือผู้ที่กบฏและต้านทานพระเจ้าที่สุด พวกเขาเชิดชูพระราชกิจในอดีตของพระเจ้าเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับและนบนอบต่อพระราชกิจและพระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้า พวกเขาถึงกับกล่าวโทษและต่อสู้กับมันด้วยซ้ำ นั่นแหละทำไมพวกเขาจึงเป็นผู้ทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถูกทรงบอกปัดและกำจัดทิ้งโดยพระองค์” พี่โจวยังบอกด้วยว่า “พระราชกิจของพระเจ้านั้นก้าวไปข้างหน้าเสมอ พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงส่งกว่าเดิมเสมอ ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และตามความต้องการของมวลมนุษย์ ในยุคพระคุณ พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าคือการไถ่เราจากบาปของเรา เพื่อที่เมื่อทำบาปไปแล้ว เราก็สามารถได้รับการยกโทษหลังจากอธิษฐานต่อองค์พระเยซูเจ้า แต่ว่าไม่ได้กำจัดธรรมชาติบาปหนาที่เรามีอยู่ภายในตัว เรายังคงใช้ชีวิตในวัฏจักรอันขมขื่นแห่งการทำบาปและการสารภาพ พอสารภาพแล้วก็ทำบาป ไม่มีทางหนีพ้นพันธะของบาปได้เลย แล้วทุกวันนี้ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในสภาวะแบบไหน? พวกเขาคอยแต่โกหกและโกงเพื่อชื่อเสียงและสถานะ ไล่ตามกระแสโลก โลภอยากได้เงิน อิจฉากัน ทะเลาะกัน พิพากษากัน ไม่มีความรักในหมู่ผู้เชื่อ พวกผู้ร่วมงานก็ใช้เล่ห์กล และไขว่คว้าอำนาจ ฉีกบรรดาคริสตจักรออกจากกัน กลุ่มศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ไม่แม้กระทั่งจะตรวจสอบพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา แต่กลับกุข่าวลือ ต้านทานและกล่าวโทษพระราชกิจ และห้ามไม่ให้คนอื่นแสวงหาหนทางที่แท้จริง บางคนถึงกับร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ช่วยตำรวจจับกุมผู้ที่แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้าย” เขาบอกว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ราชอาณาจักรของพระองค์คือพื้นที่บริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงยอมให้คนที่เอาแต่ทำบาปและต้านทานพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง? นั่นคือสาเหตุที่องค์พระเยซูเจ้าทรงรับปากว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาบนรากฐานพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า เพื่อแก้ไขธรรมชาติบาปหนาของเรา เพื่อให้พวกเราปลดเปลื้องบาปได้หมดจด ให้พระเจ้าทรงช่วยให้รอดโดยครบถ้วน และทรงพาเราไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13)

เมื่อสามัคคีธรรมถึงตรงนั้น พี่โจวก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองสามบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)หลังจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการในแบบแยกไปตามลำพัง แต่ทรงก่อขึ้นบนพระราชกิจของพระยาห์เวห์ มันคือพระราชกิจสำหรับยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงทำหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติ ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่พระราชกิจของพระเยซูสิ้นสุดลง พระเจ้าก็ทรงไปต่อกับพระราชกิจของพระองค์สำหรับยุคถัดไป เพราะการบริหารจัดการทั้งมวลของพระเจ้ากำลังก้าวไปข้างหน้าเสมอ เมื่อยุคเก่าผ่านไป มันจะถูกแทนที่ด้วยยุคใหม่ และเมื่อพระราชกิจเก่าเสร็จบริบูรณ์แล้วก็จะมีพระราชกิจใหม่เพื่อสานต่อการบริหารจัดการของพระเจ้าต่อไป การทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าซึ่งตามหลังพระราชกิจของพระเยซูมา แน่นอนการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเอกเทศ มันเป็นช่วงระยะที่สามของพระราชกิจหลังยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงริเริ่มช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจ จะต้องมีการเริ่มต้นใหม่เสมอและมันจะต้องนำยุคใหม่มาเสมอ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันในพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในลักษณะของการทรงพระราชกิจของพระองค์ ในที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์และในพระนามของพระองค์อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มันยากสำหรับมนุษย์ที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์จะถูกมนุษย์ต่อต้านอย่างไร พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์เสมอและทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้าเสมอ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) หลังจากอ่านจบ เขาก็พูดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ถึงจะแตกต่างจากพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า และพระราชกิจของพระยาห์เวห์พระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจนี้ก็สร้างขึ้นจากรากฐานของพระราชกิจในสองช่วงระยะนั้น มันคือช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์ พระราชกิจแต่ละช่วงระยะจะยิ่งสูงส่งกว่าช่วงก่อน แต่ทุกช่วงก็ทรงปฏิบัติโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และหนทางเดียวที่เราจะเป็นอิสระจากบาปและถูกชำระให้บริสุทธิ์ ก็คือการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราจึงจะคู่ควรได้เข้าไปยังราชอาณาจักรของพระเจ้า การยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือการเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาที่ได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและรับเสด็จพระองค์ ถูกยกขึ้นตรงหน้าพระที่นั่งและเข้าร่วมงานสมรสขององค์พระผู้เป็นเจ้า! แล้วจะเป็นการทรยศหรือหันเหจากทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง” เมื่อได้ยินผมก็ตื่นเต้นมาก ผมได้รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่เพื่อให้อภัยบาปของเราเท่านั้น แต่ไม่ได้ทรงแก้ไขธรรมชาติบาปหนาของเรา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดธรรมชาติบาปหนาของเรา ช่วยเราให้รอดและชำระให้บริสุทธิ์อย่างครบถ้วน นำความรอดมาสู่เรา ให้เราได้เข้าไปยังราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ผมรู้ว่าการฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ไม่ใช่การทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นการฟังพระสุรเสียงและรับเสด็จพระองค์ เป็นการเดินตามก้าวพระบาทของพระเมษโปดก! ทำให้นึกถึงข้อพระคัมภีร์นี้ในคำวิวรณ์ “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน(วิวรณ์ 14:4) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว การไม่ยอมรับพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาสิที่เป็นการทรยศ! ในตอนนั้น ความรู้สึกของผมเปี่ยมล้นไปหมด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาที่ผมเฝ้ารอมาหลายปี ผมได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าในที่สุด! ผมได้ยินพระสุรเสียงและได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าในช่วงชีวิตของผม พรนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! แต่ผมไม่เคยนึกเลยว่า จะได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าในหนทางนั้น ผู้คนได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผมมาหลายปี แต่ผมมัวแต่ฟังคำโกหกของนักบวช จึงปิดประตูใส่พระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และพยายามทำทุกทาง กันไม่ให้ภรรยาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อถูกนักบวชยุ ก็ถึงกับทำลายสำเนาพระวจนะของพระเจ้าของภรรยา ผมสมควรถูกลงโทษจริงๆ ไม่คู่ควรได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า!

เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรู้จักพระคัมภีร์ดี และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี พวกเขาหยิบยกและเลือกองค์พระคัมภีร์มาตีความและทำให้ผู้คนหลงผิด และถึงกับกุข่าวลือเพื่อกันไม่ให้ผู้เชื่อตรวจสอบหนทางที่แท้จริงได้ยังไง? แต่ก็ทำความเข้าใจได้มากขึ้นหลังจากได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงในการชุมนุม พี่ลองคิดดู ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ ทำไมพวกฟาริสีถึงสร้างเรื่องโกหก เพื่อกล่าวโทษและต้านทานพระองค์ บทที่ 11 ข้อ 47 ถึง 48 ในข่าวประเสริฐแห่งยอห์น กล่าวไว้ว่า “ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า ‘เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา’” แล้วก็มีมัทธิว 23:13-14 ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าว่ากล่าวพวกฟาริสี “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น” บทตอนเหล่านี้จากพระคัมภีร์บอกเราว่า พวกฟาริสีโกหกจนไปใหญ่ ต่อสู้และกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และพาให้ผู้เชื่อหลงผิด เพื่อให้กุมสถานะและการใช้ชีวิตของตนเอาไว้ได้ พวกเขาอ้างว่าทางแห่งองค์พระเยซูเจ้าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เป็นสิ่งนอกรีตและพาผู้คนหลงไป พวกเขาให้ร้ายและเหยียดหยามพระองค์ บอกว่าพระองค์ขับผีออกโดยใช้นายผี เบเอลเซบูล ถึงกับติดสินบนทหารให้โกหกและปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องการทรงเป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูเจ้า ผลที่ตามมาคือ ผู้เชื่อส่วนใหญ่หลงผิด และปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้า สูญเสียความรอดของพระองค์ไป พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงปรากฏและปฏิบัติพระราชกิจในยุคสุดท้าย นักบวชในโลกศาสนา เห็นว่าพระวจนะมีสิทธิอำนาจและทรงพลังแค่ไหน ว่าผู้คนจำพระสุรเสียงของพระเจ้าในนั้นได้ทันที แล้วจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเลยรู้สึกถูกข่มขู่ ถ้าทุกคนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วใครจะไปฟังพวกเขาอีก? ใครจะถวายเครื่องบูชาให้พวกเขา? พวกเขาถึงได้พยายามปกป้องสถานะและรายได้ ด้วยการให้ร้ายและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พาให้ผู้คนหลงผิด และกันไม่ให้ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกเขากล่าวโทษและต้านทานพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่างจากที่พวกฟาริสีทำกับองค์พระเยซูเจ้าตรงไหน? พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่คอยกันไม่ให้ผู้คนหันไปหาพระเจ้าไม่ใช่หรือครับ? มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนเถอะครับ พี่จะได้เข้าใจแก่นแท้ของพวกศิษยาภิบาล

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) พวกศิษยาภิบาลอ้างว่าปกป้องฝูงแกะแพะของตัวเอง แต่ที่จริงกำลังปกป้องสถานะและรายได้ ผมเคยดูแค่ว่าภายนอกพวกศิษยาภิบาลเคร่งศาสนาแค่ไหน แต่ไม่ได้รู้สึกถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาเลย พวกเขาถึงได้หลอกผมได้ ถ้าลองคิดดู เรารู้ว่าการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้น เมื่อได้ยินใครให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว พวกเขาควรแสวงหาและเจาะลึกทันที และนำให้พี่น้องชายหญิงได้ยินพระสุรเสียงและรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พวกเขาพะวงกับชื่อเรียกและค่าจ้างมากกว่า ยอมให้ตัวเองตีความองค์พระคัมภีร์ผิดๆ พาผู้คนให้หลงผิด และกันไม่ให้เจาะลึกหนทางที่แท้จริง เมื่อมีใครยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็บิดเบือนความจริง และบ่อนทำลายด้วยคำพูดให้ร้าย เพื่อให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ กล่าวโทษและปฏิเสธพวกเขา นักบวชที่คริสตจักรมีเล่ห์เหลี่ยมมาก ชั่วร้ายมาก! เพื่อตำแหน่งและการใช้ชีวิตของตัวเอง พวกเขาไม่ลังเลที่จะทำลายโอกาสของพี่น้องชายหญิงที่จะได้เข้าไปสู่ราชอาณาจักร น่าขยะแขยงจริงๆ! นักบวชที่คริสตจักรพวกนั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ผมโง่เขลาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ขนาดนั้นได้ยังไงนะ ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ฟังพระวจนะของพระองค์ กลับไปฟังคำโกหกของพวกศิษยาภิบาล ผมยึดติดกับมโนคติทางศาสนาอันหลงผิดอย่างเอาเป็นเอาตาย ปิดประตูใส่พระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ผมถึงกับพยายามหยุดภรรยาไม่ให้ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อสู้กับพระเจ้าร่วมไปกับพวกนักบวช จนผมเกือบถูกพวกเขาทำลาย แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว! การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแท้ๆ ที่ช่วยเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกนักบวชที่คริสตจักร เพื่อให้ผมได้เห็นว่าพวกเขาเป็นพวกฟาริสีที่ต่อต้านพระเจ้าและศัตรูของพระคริสต์ และเป็นอิสระจากการล่อลวงและการควบคุมของพวกเขา พระราชกิจของพระเจ้าจริงแท้!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ทางเลือกของบาทหลวงคาทอลิก

โดย เว่ยมัว, ประเทศจีนพ่อแม่เลี้ยงผมมาในศาสนจักรคาทอลิก พอโตขึ้นผมก็ได้เป็นบาทหลวง ต่อมา วัดนั้นก็เริ่มเงียบเหงาลงเรื่อยๆ...

ใครคือพวกฟาริสีของยุคปัจจุบัน

โดย Jingmo, มาเลเซีย ตลอด 22 ปีที่ฉันเป็นคริสเตียนมา หน้าที่รับผิดชอบหลักของฉันคือการเงินของคริสตจักรและโรงเรียนวันอาทิตย์ ในเดือนพฤษภาคม...

เมื่อครอบครัวพยายามหยุดฉันจากการเชื่อในพระเจ้า

เมื่อมีนาคมปี 2018 มีญาติมาประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่ฉัน และชวนฉันไปเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์...

ติดต่อเราผ่าน Messenger