จงเปิดใจในการสามัคคีธรรม
ต้นปี 2021 ฉันได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเข้าร่วมการนัดพบ และอ่านพระวจนะอย่างแข็งขัน ผ่านไปราวสองเดือนเศษ ฉันก็ได้รับเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ เรามีการนัดพบมัคนายกกันทุกสุดสัปดาห์ เพื่อหารือปัญหาและความยากลำบากที่เจอในหน้าที่ รวมถึงสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เราได้รับ ความเสื่อมทรามอะไรที่พวกเราเปิดโปง และเราทบทวนและเข้าใจมันผ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร ก่อนการนัดพบทุกครั้งฉันจะประหม่ามาก และคิดอยู่นาน เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเหล่าผู้นำคริสตจักรและมัคนายกคนอื่นๆ ฉันกังวลที่จะพูดเรื่องความเสื่อมทรามและข้อเสียของตัวเองออกมา เพราะกลัวพวกเขาจะมองฉันไม่ดี อย่างเช่น ฉันเพิ่งเริ่มให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันยังไม่รู้อะไรหลายอย่าง และขาดประสบการณ์ ฉันกังวลว่า เหล่าผู้มาใหม่จะไม่ชอบฉัน และคิดว่าฉันให้น้ำได้ไม่ดี ฉันเลยไม่อยากทำหน้าที่นี้แล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากเปิดใจถึงสภาวะของตัวเองในการนัดพบมัคนายก เพราะกังวลว่าถ้าพูดไป พี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันขาดความสามารถในการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อใหม่ อีกอย่าง ฉันยังใจร้อนใส่ผู้มาใหม่บางคน และไม่อยากพูดถึง เพราะกังวลว่าถ้าบอกไป พวกเขาจะคิดว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่แย่ แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลยในการนัดพบ พวกเขาอาจจะคิดว่าฉันมีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น ฉันไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้า หรือโดนดูถูก พอคิดดูแล้ว ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่า จะพูดแค่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง และไม่น่าอายเกินไปนัก อย่างเช่นฉันขี้เกียจ ซึ่งเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มี แบบนั้นฉันก็จะไม่ดูด้อยกว่าคนอื่น
และดังนั้น ในการนัดพบ ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งถามถึงประสบการณ์ของฉันในช่วงนั้น และฉันได้รับความรู้อะไรเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองบ้าง ฉันก็สามัคคีธรรมตามที่วางแผนเอาไว้ พอพูดจบ ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าฉันไม่ได้บอกความจริง และทำสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันนึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:37) “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย” (มัทธิว 18:3) พอนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส ฉันก็รู้สึกผิดมาก คำโกหกมาจากซาตาน และเป็นเรื่องชั่ว พระเจ้าทรงรักคนซื่อสัตย์ มีเพียงพวกเขาที่เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ เหล่าคนโกหกและหน้าซื่อใจคด ไม่อาจเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ พระเจ้าทรงเกลียดคนเช่นนั้น และสุดท้ายจะทรงขับพวกเขาออกอย่างแน่นอน ฉันกังวลมาก และกลัวถูกพระองค์รังเกียจ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันในการเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันตั้งใจจะบอกความจริง และเปิดใจถึงความเสื่อมทรามของตนในการนัดพบครั้งต่อไป แต่เมื่อถึงเวลา ฉันก็ยังไม่กล้าพูด ฉันกังวลว่า ถ้าพูดถึงความเสื่อมทรามและข้อเสียของตัวเอง พี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันเสื่อมทรามกว่าพวกเขา ฉันรู้สึกเหมือน การพูดความจริงมันยากเกินไป และถึงกับอยากเลิกเข้าร่วมนัดพบมัคนายกเพราะเหตุนั้น แต่ฉันก็กังวลว่า พี่น้องชายหญิงจะถามว่าทำไมฉันไม่ไป ฉันคงไม่รู้จะตอบพวกเขาว่าอย่างไร ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันยิ่งรู้สึกขัดแย้งและทุกข์ใจมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ในการนัดพบครั้งหนึ่ง พี่น้องชายหญิงต่างสามัคคีธรรมตามประสบการณ์และความรู้ของตนตามปกติ ฉันไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ ฉันรู้สึกผิดหวังในตัวเอง ฉันอำพรางตัวเองเสมอ และไม่อาจปฏิบัติความจริงได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันพูดอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกทุกข์ใจ จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำฉันออกจากสภาวะนี้
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเองคือขั้นตอนแรกของการเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากโซ่ตรวนหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงผู้ที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้นที่มีหัวใจอันยำเกรงพระองค์) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าเราไม่ควรปิดบังสภาวะอันเสื่อมทรามของตัวเอง เราควรนำมันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน ทบทวน และพยายามเข้าใจตัวเอง รวมถึงเปิดใจในการเปิดโปงความเสื่อมทรามของตนแก่พี่น้องชายหญิง เพื่อแสวงหาความจริง สิ่งนี้ย่อมจะช่วยให้เราเข้าใจตนเอง และแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ดีขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง ฉันจึงไม่เต็มใจจะเปิดใจถึงความเสื่อมทรามและความยากลำบากของตน อีกทั้งไม่อยากแสวงหาความจริงกับเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันปิดกั้นหัวใจอยู่เสมอ จะได้ไม่มีใครมองฉันออก แต่ฉันก็ไม่พบการปลดปล่อยจากการใช้ชีวิตในความมืด ฉันตระหนักได้ว่า ฉันไม่อาจทำแบบนี้ต่อไปได้ และฉันควรปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เปิดใจถึงสภาวะของตนกับพี่น้องชายหญิง และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พอจบการนัดพบ พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็เข้ามาคุยกับฉัน ถึงประสบการณ์ที่เธอเพิ่งได้รับ ฉันคิดว่า นี่เป็นโอกาสอันดีในการเปิดใจและแสวงหาความจริง แต่ฉันก็ยังอายอยู่บ้าง เพราะไม่รู้ว่าเธอจะมองฉันอย่างไร ฉันกังวลว่า เธอจะบอกว่าฉันเป็นคนไม่ซื่อสัตย์อย่างมาก จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากปิดบังตัวตนอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ไม่อยากซ่อนความคิดที่แท้จริงอีกต่อไป ข้าพระองค์เหนื่อยเหลือเกิน พระเจ้า ข้าพระองค์อยากเป็นคนซื่อสัตย์ โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็เล่าทุกอย่างที่ไม่กล้าเปิดใจในการนัดพบให้เธอรู้ หลังจากพูดจบ ฉันรู้สึกโล่งใจมาก พี่น้องคนนี้ได้แบ่งปันความเข้าใจกับฉัน และส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้บทตอนหนึ่ง “ลักษณะหลักๆ ของบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคือ พวกเขาไม่เคยเปิดใจที่จะสามัคคีธรรมกับผู้ใด และพวกเขาไม่พูดจากหัวใจของตนแม้แต่กับเพื่อนที่พวกเขาสนิทที่สุด พวกเขาเข้าใจยากเป็นพิเศษ บุคคลเช่นนี้อาจไม่จำเป็นต้องสูงอายุ หรือเกี่ยวพันลึกซึ้งกับเรื่องทางโลก และอาจมีประสบการณ์น้อยด้วยซ้ำไป กระนั้นก็ยากที่จะเข้าใจพวกเขา พวกเขาเป็นปีศาจมากกว่ามนุษย์ นี่คือบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงโดยธรรมชาติมิใช่หรือ? พวกเขาซ่อนตัวอยู่ลึกเสียจนไม่มีผู้ใดมองพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดไปมากมายกี่คำ ก็ยากที่จะบอกว่าคำไหนจริงและคำไหนเท็จ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อใดที่พวกเขากำลังพูดความจริงหรือเมื่อใดที่พวกเขากำลังพูดโกหก นอกจากนี้พวกเขายังมีทักษะในการอำพรางและบิดเบือนเหตุผลเป็นพิเศษ บ่อยครั้งที่พวกเขาซ่อนเร้นความจริงด้วยการสร้างภาพจำเทียมเท็จแก่ผู้คน เพื่อที่ผู้คนจะได้มองเห็นแต่รูปลักษณ์เทียมเท็จของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาอำพรางตัวตนว่าเป็นบุคคลที่สูงส่ง ดี มีคุณธรรม และไร้เล่ห์มารยา เป็นบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความเห็นชอบ และในท้ายที่สุดทุกคนก็เลื่อมใสและยอมรับนับถือพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะใช้เวลาอยู่กับบุคคลเช่นนี้นานเพียงใด เจ้าก็ไม่เคยรู้ว่าพวกเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทรรศนะและท่าทีที่พวกเขามีต่อผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบถูกเก็บซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เคยบอกสิ่งเหล่านี้แก่ผู้ใด พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้แม้แต่กับผู้รู้ใจที่สนิทที่สุดของตน เมื่อพวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า พวกเขาอาจถึงกับไม่บอกความลับที่อยู่ในหัวใจของตนหรือสิ่งที่พวกเขาคิดจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังพยายามปลอมแปลงตนว่าเป็นบุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ มีความเชื่อทางฝ่ายวิญญาณและทุ่มเทอุทิศให้กับการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นอย่างมาก ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นว่าพวกเขามีอุปนิสัยอย่างไรและพวกเขาคือบุคคลประเภทใด เหล่านี้คือการสำแดงต่างๆ ของบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักได้ว่า คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่พูดจากใจ หรือเปิดใจเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของตนกับผู้อื่น พวกเขากลับปิดบังและอำพรางตนอยู่บ่อยครั้ง ฉันเห็นว่าตัวเอง เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพอดี ตั้งแต่มาเป็นมัคนายกให้น้ำ ฉันเห็นว่าฉันมีข้อบกพร่อง และเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมายด้วย ฉันไร้ความรัก และความอดทนกับผู้มาใหม่ ฉันต้องเปิดใจและแสวงหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้กับพี่น้องชายหญิง แต่ฉันกังวลว่าถ้าพูดความจริงออกไป พวกเขาจะดูถูกและมองว่าฉันด้อยกว่า จึงไม่อยากบอกสภาวะที่แท้จริงกับพวกเขา ฉันเลี่ยงเรื่องสำคัญ และบอกสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือปัญหาที่ฉันรู้สึกว่าหลายคนมี ฉันทำแบบนี้เพื่อซ่อนด้านมืด และความคิดส่วนลึกที่สุดของตน เพื่อให้คนอื่นคิดถึงฉันในทางที่ดี ฉันจึงอำพรางตัวและสร้างความประทับใจจอมปลอม ฉันหลอกลวงพี่น้องชายหญิง ฉันฉลาดแกมโกง และหน้าซื่อใจคดจริงๆ!
ต่อมา พี่น้องคนนี้ก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งมาให้ “ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนรู้กันทุกคนว่าเหตุใดตนจึงพูดโกหก นั่นคือ เพื่อผลประโยชน์ หน้าตา ความถือดี และสถานะของพวกเขา และในการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น พวกเขาก็ย่อมทำเกินตัวไปมาก ผลลัพธ์ก็คือคำโกหกของพวกเขาถูกเปิดโปงและถูกผู้อื่นมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ส่งผลให้เสียหน้า เสียบุคลิก และเสียศักดิ์ศรีแทน นี่คือผลของการโกหกมากเกินไป เมื่อเจ้าโกหกมากเกินไป ทุกคำที่เจ้าพูดย่อมปนเปื้อน ทั้งหมดนั้นเทียมเท็จ และไม่มีคำใดจริงหรือสามารถเป็นข้อเท็จจริงได้ แม้ว่าเจ้าอาจไม่เสียหน้าในยามที่เจ้าโกหก แต่เจ้าย่อมรู้สึกเสื่อมเสียอยู่ภายในแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้าติเตียน และเจ้าจะดูหมิ่นและดูแคลนตนเอง ‘ทำไมฉันจึงใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาปานนี้? การพูดสิ่งที่ซื่อสัตย์สักอย่างหนึ่งนี่ยากขนาดนั้นจริงหรือ? ฉันจำเป็นต้องพูดคำโกหกเหล่านี้เพียงเพื่อหน้าตากระนั้นหรือ? ทำไมการใช้ชีวิตในหนทางนี้ถึงน่าเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้?’ เจ้าสามารถใช้ชีวิตในหนทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อย หากเจ้าปฏิบัติตนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างง่ายดายและเป็นอิสระ แต่เมื่อเจ้าเลือกที่จะโกหกเพื่อปกป้องหน้าตาและความถือดีของตน ชีวิตของเจ้าก็ย่อมเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดมาก ซึ่งหมายความว่านี่คือความเจ็บปวดที่เกิดจากน้ำมือของตนเอง อะไรคือหน้าตาที่เจ้าได้รับจากการพูดโกหก? นั่นคือบางสิ่งซึ่งว่างเปล่า บางสิ่งซึ่งไร้ค่าโดยสิ้นเชิง ในยามที่เจ้าโกหก เจ้ากำลังทรยศบุคลิกลักษณะและศักดิ์ศรีของเจ้าเอง คำโกหกเหล่านี้ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียศักดิ์ศรีของพวกเขา ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียบุคลิกลักษณะของพวกเขา และพระเจ้าทรงพบว่าพวกเขาไม่น่ายินดีและน่าชัง คำโกหกเหล่านี้คุ้มค่าหรือไม่? ไม่เลย…หากเจ้าเป็นใครบางคนที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถสู้ทนความทุกข์ทุกประเภทเพื่อปฏิบัติความจริง และเจ้าจะไม่ใส่ใจแม้เมื่อเจ้าสูญเสียความมีหน้ามีตาและสถานะของตน และถูกผู้อื่นดูหมิ่นเหยียดหยามและตะโกนด่าทอ และเจ้าจะพอใจกับการได้ปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพียงเท่านั้น สำหรับบรรดาผู้ที่รักความจริง ตัวเลือกของพวกเขาคือการปฏิบัติความจริง เป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง และย่อมได้รับพรจากพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่รักความจริง พวกเขาเลือกทำสิ่งใด? พวกเขาใช้คำโกหกมาปกป้องความมีหน้ามีตา สถานะ ศักดิ์ศรี และบุคลิกลักษณะของตน คนเช่นนี้พอใจที่จะเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และถูกพระเจ้าทรงเกลียดชังและปฏิเสธเสียมากกว่า พวกเขาไม่ต้องการความจริงหรือพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาเลือกคือความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง พวกเขาต้องการเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และพวกเขาไม่ใส่ใจว่านั่นทำให้พระเจ้าทรงยินดีหรือไม่ หรือพระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดหรือไม่ ดังนั้นผู้คนเช่นนี้จะยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเลือกเดินบนเส้นทางที่ผิด พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการโกหกและการฉ้อโกงเท่านั้น และพวกเขาจะทำได้เพียงมีชีวิตที่เจ็บปวดจากการโกหกและปกปิดคำโกหกเหล่านั้น และเค้นสมองคิดหาทางปกป้องตนเองทุกวันเท่านั้น เจ้าอาจคิดว่าสามารถใช้คำโกหกปกป้องชื่อเสียง สถานะ และความถือดี ที่เจ้าอยากได้อยากมีได้ แต่นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ คำโกหกไม่เพียงปกป้องความถือดีและศักดิ์ศรีส่วนตัวของเจ้าไม่ได้เท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้เจ้าพลาดโอกาสที่จะปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์อีกด้วย ต่อให้เจ้าปกป้องความมีหน้ามีตาและความถือดีของเจ้าไว้ได้ในเวลานั้น แต่สิ่งที่เจ้าสูญเสียคือความจริง และเจ้าก็ทรยศพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้าสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้าและโอกาสที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมอย่างสิ้นเชิง นี่คือการสูญเสียอันใหญ่หลวงที่สุดและเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์ ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่เคยมองเห็นการนี้อย่างชัดเจน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ทบทวนตัวเอง เพื่อรักษาหน้าและสถานะ และเลี่ยงการโดนดูถูก ทุกครั้งก่อนการนัดพบ ฉันจะเค้นสมอง คิดว่าในการนัดพบจะสามัคคีธรรมอย่างไร ถ้าฉันเปิดใจถึงสภาวะจริง ก็กลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อฉัน แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย ฉันก็กังวลด้วยว่าพี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันไม่เก่ง และดูถูกฉัน ด้วยความสิ้นหวัง ทำให้ฉันอยากหนีจากสถานการณ์นี้ ฉันเห็นว่า เพื่อจะรักษาหน้าและสถานะของตัวเอง ฉันเค้นสมองอย่างหนัก และยอมเป็นทุกข์ มากกว่าจะเปิดใจ เป็นคนซื่อสัตย์ และบอกสภาวะจริงและความยากลำบากของฉันกับพี่น้องชายหญิง ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและชั่วร้ายจริงๆ! ถึงฉันจะพยายามรักษาภาพลักษณ์ของฉันในใจคนมาพักหนึ่ง ฉันก็เสียศักดิ์ศรี เสียโอกาสจะเป็นคนซื่อสัตย์ และโอกาสจะแสวงหาความจริงไป ฉันเหนื่อยมากกับการนัดพบแต่ละครั้ง ไม่รู้สึกถึงความปลดเปลื้องเลย ฉันถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามพันธนาการไว้โดยสมบูรณ์ ในการนัดพบ พี่น้องชายหญิงตั้งใจกินดื่มพระวจนะ และสามัคคีธรรมตามประสบการณ์และความรู้เรื่องพระวจนะ ถ้ามีปัญหาหรือความยากลำบาก เราก็หารือและแก้ไขร่วมกัน อีกทั้งเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกันได้ แบบนี้ก็ย่อมได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเข้าใจความจริงได้ง่ายขึ้น แต่ในการนัดพบ ฉันคิดเสมอว่าจะพูดอะไรถึงจะไม่โดนดูถูก คนอื่นจะได้นึกถึงฉันในทางที่ดี ทุกความคิดของฉันอุทิศให้กับเรื่องนี้ การใช้ชีวิตทางนี้ มันยากและเหนื่อยเกินไป
ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “พวกเจ้าสามารถเปิดอกพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเจ้าโดยแท้เวลาสามัคคีธรรมกับผู้อื่นหรือไม่? หากใครบางคนพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนโดยแท้อยู่เสมอ หากพวกเขาไม่เคยโกหกหรือพูดเกินจริง หากพวกเขาจริงใจ และไม่สะเพร่าหรือสุกเอาเผากินขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่อย่างใด หากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงที่พวกเขาเข้าใจ เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็มีหวังที่จะได้รับความจริง หากบุคคลผู้หนึ่งปิดบังตนเองและปกปิดหัวใจของตนเพื่อมิให้ผู้ใดสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน หากพวกเขาสร้างภาพจำที่เทียมเท็จเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรง พวกเขากำลังเดือดร้อนหนัก และเป็นการยากมากที่พวกเขาจะได้รับความจริง เจ้าสามารถเห็นได้จากชีวิตประจำวันของใครบางคน และจากคำพูดกับการกระทำของพวกเขา ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของพวกเขาจะเป็นเช่นใด หากบุคคลผู้นี้เสแสร้งตลอดเวลา วางท่าตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ยอมรับความจริง และพวกเขาจะถูกเปิดเผยและถูกขับออกไปไม่ช้าก็เร็ว… ผู้คนที่ไม่เคยเปิดใจ ซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลายอยู่เสมอ เสแสร้งตลอดเวลาว่าตนเที่ยงตรง พยายามทำให้ผู้อื่นคิดว่าตนสูงส่งอยู่เสมอ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าใจพวกเขาจริง และให้ผู้อื่นมาเลื่อมใสตน—ผู้คนเหล่านี้ไม่โฉดเขลาหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนี้ไร้ปัญญาอย่างที่สุด! นั่นเป็นเพราะว่าความจริงเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งย่อมจะเผยตัวออกมาในไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางใดในการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา? เส้นทางของพวกฟาริสี พวกคนหน้าซื่อใจคดตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าทรงเกลียดชังที่สุด ดังนั้นเจ้าคิดหรือว่าพวกเขาไม่ตกอยู่ในอันตราย? ทุกคนที่เป็นพวกฟาริสีเดินอยู่บนถนนไปสู่ความพินาศทั้งสิ้น!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง) ฉันได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ พูดจาเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไม่โกหกหรือหลอกลวง เมื่อเปิดโปงความเสื่อมทราม เราก็ควรสามารถเปิดใจและพูดเรื่องนี้ คนอื่นจะได้เห็นถึงความคิดที่แท้จริงของเรา การใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เหนื่อย และง่ายกว่าในการเข้าสู่ความจริงและเดินบนเส้นทางแห่งความรอด แต่กับคนที่มักจะอำพรางตัว ปกปิด ปิดบัง และไม่ยอมให้คนอื่นเห็นสภาวะของตนอยู่เสมอ พวกเขาเดินอยู่บนทางที่ผิด มีแต่จะหน้าซื่อใจคดมากขึ้นเรื่อยๆ และจะไม่มีวันแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้ นี่คือเส้นทางสู่หายนะ ฉันนึกถึงพวกฟาริสีเมื่อสองพันปีก่อน ภายนอกพวกเขาดูเคร่ง และคอยอธิบายพระคัมภีร์แก่ผู้อื่นในธรรมศาลา พวกเขายังจงใจยืนอธิษฐานอยู่ตรงทางแยก เพื่อให้คนอื่นคิดว่าตนรักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ได้ยำเกรงพระเจ้าสักนิด ไม่วางพระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง หรือเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขารู้อย่างชัดเจน ว่าพระวจนะเปี่ยมฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และมาจากพระเจ้า แต่เพื่อรักษาสถานะและรายได้ของตนไว้ พวกเขาจึงต่อต้าน และกล่าวโทษพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า ฉันเห็นว่าพวกฟาริสีดูเคร่ง แต่แก่นแท้นั้นชั่วร้ายและฉลาดแกมโกง พวกเขามีทักษะในการจำแลงกายและหลอกลวง ทุกสิ่งที่ทำ ก็เพื่อหลอกลวงและควบคุมผู้คน โกงพวกเขา ให้มาเคารพบูชา เส้นทางที่พวกเขาเดิน เป็นทางหนึ่งในการต่อต้านพระเจ้า สุดท้ายพวกเขาก็ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ ฉันมาทบทวนตัวเอง เพื่อจะมีภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของผู้คน ฉันจึงปกปิดความเสื่อมทรามของตน และพูดถึงแค่ความเสื่อมทรามทั่วๆ ไปที่ฉันเปิดเผย ไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ แต่เพื่อทำให้พวกเขามองว่าฉันเป็นคนที่เรียบง่าย เปิดเผยด้วย ฉันไม่ได้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และชั่วร้ายเหมือนพวกฟาริสีหรือ? เรื่องนี้ทำให้ฉันกลัว ฉันทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าประสงค์
จากนั้น พี่น้องคนนี้ก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งมาให้ “ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถแสวงหาความจริงเมื่อมีสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่ตน หากเจ้าปรารถนาที่จะแก้ไขเหตุจูงใจที่ผิดและสภาวะที่ผิดปกติในตัวเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อที่จะทำเช่นนั้น ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจในการสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้า แน่นอนว่าเจ้าควรเลือกผู้รับที่ถูกต้องสำหรับการสามัคคีธรรมที่เปิดกว้าง—อย่างน้อยเจ้าควรเลือกใครบางคนที่รักและยอมรับความจริง ใครบางคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ดีกว่าคนส่วนใหญ่ ค่อนข้างซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม แน่นอนว่าย่อมจะดีกว่าหากเจ้าสามารถเลือกใครบางคนที่เข้าใจความจริง ที่เจ้าอาจได้รับความช่วยเหลือจากการสามัคคีธรรมของพวกเขา การพบเจอบุคคลจำพวกที่เจ้าจะเปิดใจของเจ้าในการสามัคคีธรรมกับพวกเขาและแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าร่วมกับพวกเขานี้สามารถเกิดประสิทธิผล หากเจ้าเลือกคนผิด ใครบางคนที่ไม่รักความจริง แต่มีเพียงพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ พวกเขาก็จะเย้ยหยันและดูหมิ่นเจ้า และพวกเขาจะด้อยค่าเจ้า นี่ย่อมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า ในแง่หนึ่ง การเปิดใจและเปิดเผยตนเองเป็นแนวทางที่คนเราควรใช้ในการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ และยังเป็นวิธีที่คนเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแก่ผู้อื่นอีกด้วย จงอย่าเก็บงำสิ่งทั้งหลายไว้โดยคิดว่า ‘ฉันมีเหตุจูงใจและความลำบากยากเย็น สภาวะภายในของฉันไม่ดี—เป็นลบ ฉันจะไม่บอกใคร ฉันจะเก็บงำเอาไว้’ หากเจ้าเก็บงำสิ่งต่างๆ ไว้ตลอดเวลาโดยไม่แก้ไข เจ้าก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้นทุกทีและสภาวะของเจ้าก็จะยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เต็มใจอธิษฐานถึงพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ยากจะพลิกกลับ และดังนั้น ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบหรืออยู่ในความลำบากยากเย็นหรือไม่ ไม่ว่าแรงจูงใจหรือแผนการส่วนตัวของเจ้าเองจะเป็น ไม่สำคัญว่าเจ้าได้มารู้หรือตระหนักสิ่งใดโดยผ่านทางการตรวจสอบ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสามัคคีธรรม และขณะที่เจ้าสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงพระราชกิจ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร? พระองค์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นความร้ายแรงของปัญหา พระองค์ทรงทำให้เจ้าตระหนักรู้ถึงรากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหา จากนั้นก็ทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและน้ำพระทัยของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย และให้เจ้ามองเห็นเส้นทางปฏิบัติและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง เมื่อบุคคลสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผย นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขามีท่าทีที่ซื่อสัตย์ต่อความจริง การที่บุคคลหนึ่งจะซื่อสัตย์หรือไม่นั้นประเมินวัดจากท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่น้องคนนี้ก็สามัคคีธรรมว่า “การจะเป็นคนซื่อสัตย์ เราต้องเรียนรู้จะเปิดใจในการแสวงหาและสามัคคีธรรมก่อน ถ้าเราปกปิดและปิดบังสภาวะอันเสื่อมทรามของตนอยู่เสมอ และไม่อยากอธิษฐาน หรือเปิดใจในการสามัคคีธรรมกับคนอื่น ก็ยากที่เราจะแก้ไขปัญหาได้ อย่างเช่น เวลามีคนป่วย พวกเขาก็จะไปหาหมอ หรือถามคนที่มีประสบการณ์ แบบนั้น พวกเขาก็จะเข้าใจอาการ ได้รับยาที่ถูกต้อง และควบคุมโรคได้ทันการณ์ ทว่าบางคนปิดปังอาการป่วยของตน ดังนั้นเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาทันการณ์ อาการของพวกเขาก็แย่ลง หรือถึงกับอันตรายถึงชีวิต ถ้าเราอยากแก้ไขสภาวะ และความยากลำบากของตน เราต้องเปิดใจสามัคคีธรรม และเป็นคนซื่อสัตย์ นี่คือทางปฏิบัติที่ถูกต้อง” ฉันเห็นได้ว่า การเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดใจนั้นสำคัญมาก ฉันเชื่อในพระเจ้ามาไม่นานนัก และไม่เข้าใจความจริง แม้จะรู้ว่าตัวเองเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ฉันก็แก้ไม่ได้ ฉันควรปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์ เปิดใจถึงสภาวะของตน และแสวงหาความจริง มีเพียงทางนี้ ที่ฉันจะได้รับการทรงนำของพระเจ้า และยังช่วยแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันได้ด้วย ฉันเพิ่งเริ่มให้น้ำผู้มาใหม่ จึงเป็นปกติที่ฉันยังไม่เข้าใจหลายสิ่ง เวลาที่ไม่เข้าใจ ฉันก็ควรเปิดใจเพื่อแสวงหากับพี่น้องชายหญิง แบบนั้น ฉันก็จะเชี่ยวชาญหลักธรรมในหน้าที่ขึ้นทีละนิด และทำหน้าที่ได้ดี ต่อมา ฉันบอกพี่น้องหญิงอีกคนถึงสภาวะและความยากลำบากในหน้าที่ ที่เจอในช่วงเวลานั้น เธอไม่ได้ดูถูกฉันเลย ทั้งยังส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ และสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของเธอเพื่อช่วยเหลือฉันด้วย นี่ทำให้ฉันรู้จักสภาวะ และความเสื่อมทรามที่ฉันเปิดโปงไปบ้าง และมอบเส้นทางปฏิบัติให้ฉัน ฉันรู้สึกมีความสุข และหลุดพ้นมาก จากนั้นมา ฉันก็ปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์ และเปิดใจถึงสภาวะของตัวเองอย่างมีสติ
ค่ำวันหนึ่ง ฉันเป็นเจ้าบ้านการนัดพบกลุ่ม ผู้นำคริสตจักรได้จัดให้ผู้นำกลุ่มมาร่วมจัดด้วย พี่น้องหญิงคนนี้เข้าใจความจริงดีกว่าฉัน ระหว่างการนัดพบ เธอสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาของคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ และฉันก็อิจฉาเธออยู่บ้าง ฉันกังวลว่า คนอื่นจะคิดว่าฉันด้อยกว่าเธอ พอจบการนัดพบ ผู้นำคริสตจักรก็ถามฉันว่า จะแบ่งปันความคิดอะไรไหม ฉันรู้ว่าฉันควรเป็นคนซื่อสัตย์ เปิดใจถึงความเสื่อมทรามของตน และแสวงหาทางแก้ไข ฉันจึง บอกเธอถึงสิ่งที่ฉันเปิดเผยอยู่ในใจ แล้วเธอก็ส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ และเล่าประสบการณ์ของเธอให้ฟัง ฉันตระหนักว่า ฉันอิจฉาพี่น้องคนนี้ เพราะฉันให้ค่าสถานะ มีอุปนิสัยอันโอหัง และอยากเป็นที่นับถือ ฉันยังตระหนักด้วยว่า การจะปล่อยวางความอิจฉานั้น ฉันต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าให้มากขึ้น ดูที่ธรรมชาติและผลของการอิจฉา คำนึงถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้าและหน้าที่ และเอาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นที่ตั้ง นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ขณะเดียวกัน ฉันก็ต้องจัดการข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเองอย่างเหมาะสม เรียนรู้จากข้อดีของคนอื่นให้มากขึ้น เพื่อชดเชยข้อเสียของตัวเอง แบบนั้น ฉันก็จะเข้าใจความจริงได้มากขึ้น ฉันดีใจมาก ที่ตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันรู้สึกอย่างแท้จริง ว่าเมื่อเปิดใจกับพี่น้องชายหญิง แทนที่จะดูถูกฉัน พวกเขาล้วนช่วยฉันได้มาก
พอประสบกับเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกว่า การเป็นคนซื่อสัตย์สำคัญขนาดไหน มีเพียงการเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดใจ ที่เราจะได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้มาเข้าใจความจริง ฉันยังเห็นด้วยว่า การเป็นคนซื่อสัตย์ช่วยปลดปล่อย ทำให้เราเป็นอิสระ และได้ใช้ชีวิตที่เหมือนมนุษย์ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ