เบื้องหลังความกลัวที่จะเปิดใจคืออะไร?

วันที่ 29 เดือน 07 ปี 2022

โดย เย่ซิ่นฉ่าว, เมียนมาร์

เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สักพักฉันก็ได้ทำหน้าที่ ผ่านไปไม่นาน ฉันก็ได้รับเลือกเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ฉันตื่นเต้นมาก และคิดว่า “ฉันได้รับเลือกแทนเหล่าพี่น้องที่ทำหน้าที่มานานกว่า มันดูเหมือนว่า กับพี่น้องชายหญิง ฉันเป็นคนมีขีดความสามารถดีที่ไล่ตามความจริง ฉันต้องทำหน้าที่ให้ดี คนอื่นจะได้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เลือกคนผิด” จากนั้น ฉันก็เริ่มติดตามงานของพี่น้องอย่างแข็งขัน เวลาเห็นพวกเขาอยู่ในสภาวะที่แย่ ฉันก็หาพระวจนะไปสามัคคีธรรมทันที และพอฉันมีประสบการณ์ข่าวประเสริฐที่ดี ฉันก็รีบแบ่งปันกับพวกเขา ผ่านไปสักพัก พี่น้องที่เคยเอื่อยเฉื่อย ก็แข็งขันในหน้าที่มากขึ้น ฉันคิดว่า “ดูเหมือนฉันมีความสามารถในงานอยู่บ้างจริงๆ ถ้าผู้นำของฉันรู้เข้า พวกเขาจะต้องคิดว่าฉันเก่งเรื่องนี้ และบ่มเพาะฉันแน่” พอคิดแบบนี้ ฉันก็ยิ่งตื่นเต้นและมีแรงจูงใจในหน้าที่มากขึ้น ต่อมา ตอนที่งานข่าวประเสริฐเห็นแล้วว่าได้ผล ฉันก็ส่งข่าวดีไปหากลุ่ม หวังว่าทุกคนจะเห็นถึงผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของฉัน ฉันยังอวดตนครั้งแล้วครั้งเล่าในหมู่พี่น้องชายหญิง ตอนที่ตามงานของพวกเขา ฉันก็ถามพวกเขาก่อน ว่าพวกเขามีปัญหาหรือความยากลำบากไหม แล้วฉันก็จงใจพูดว่า “นอกจากเรื่องแก้ปัญหาและความยากลำบากของคุณแล้ว ยังมีงานให้ติดตามอีกมาก ฉันยุ่งทุกวัน และนอนดึกมาก” พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ พี่น้องบางคนก็พูดว่า “ช่วงนี้เราไม่มีเรื่องยากลำบากอะไรเลย พี่สาว คุณทำงานหนักมาก” พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น ฉันก็มีความสุข ฉันรู้สึกว่า พวกเขาต้องคิดว่าฉันแบกรับภาระในหน้าที่ และเต็มใจยอมลำบาก และคิดว่าฉันมีความรับผิดชอบ

วันหนึ่ง น้องชายคนหนึ่งมาเปิดใจและสามัคคีธรรมถึงสภาวะของเขา บอกว่า “ในหน้าที่ ผมมักจะทำให้คนอื่นมานับถือ เวลาติดตามงาน ผมก็มักจะพูดจากตำแหน่งผู้นำกลุ่ม และพูดจาอวดตนเสมอ…” ได้ยินสิ่งที่เขาพูด หัวใจฉันก็ปั่นป่วน ฉันก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เวลาฉันติดตามงาน ฉันก็อยากทำให้ทุกคนรู้เสมอ ว่าฉันไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อทั่วไปแล้ว แต่เป็นมัคนายก บางครั้ง ฉันก็จงใจเอ่ยขึ้นมา ว่าฉันรับผิดชอบงานเยอะมาก และยุ่งมากจนนอนดึก ฉันอยากให้คนอื่นเห็นว่าฉันแบกรับภาระ และรับผิดชอบหน้าที่ ในการนี้ ฉันกำลังอวดตนเพื่อทำให้คนอื่นมานับถือ ฉันอยากเปิดใจและสามัคคีธรรมกับเขา เพื่อแสวงหาทางแก้ไขสภาวะนี้ร่วมกัน แต่ก็คิดว่า “ตอนนี้ฉันเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ถ้าเปิดใจเรื่องความเสื่อมทรามออกไป น้องชายคนนี้จะคิดว่าฉันเสื่อมทรามมาก และให้ความสำคัญกับสถานะไหม? เขาจะมองฉันไม่ดีหรือเปล่า? แล้วภาพลักษณ์ดีๆ ที่ฉันสร้างมาก็จะหายไป” พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตัดสินใจไม่เปิดใจ และปลอบเขาไปว่า “ไม่เป็นไร ฉันก็มีความเสื่อมทรามเหมือนกัน” แล้วก็สามัคคีธรรมอีกสองสามคำ แค่นั้น

อีกครั้งหนึ่ง กลุ่มที่ฉันดูแลทำการเลือกตั้งผู้นำ ฉันคิดว่า “ในเมื่อมีผู้นำกลุ่มที่รับผิดชอบงานแล้ว ฉันก็ไม่ต้องคอยตาม” ต่อมา ตอนที่กลุ่มนั้นหารือเรื่องงาน ฉันก็ไม่ฟังให้ดี ขนาดในการนัดพบ ฉันก็ทำไปพอผ่านๆ แล้วหนึ่งเดือน ก็ผ่านไปแบบลางเลือน และประสิทธิผลของงานกลุ่มนั้น ก็ถดถอยลงอย่างชัดเจน ในการนัดพบหนึ่ง พี่น้องทุกคนต่างทบทวนท่าทีที่มีต่อหน้าที่ตามพระวจนะ รวมถึงเปิดใจ เพื่อเปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา ฉันรู้ว่าฉันขาดความรับผิดชอบ และตรวจงานของพวกเขาอย่างขอไปที ซึ่งทำให้งานของพวกเขาเกิดผลน้อยลง แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป เพราะภาพของฉันในใจของพวกเขาคือคนที่ขยันและรับผิดชอบหน้าที่ และทุกคนต่างก็มองฉันในทางที่ดี ฉันกังวลว่าถ้าเปิดใจไป พี่น้องชายหญิงก็จะมีความเห็นเกี่ยวกับฉัน พวกเขาจะคิดว่าฉันทำงานแบบมั่วๆและไม่รับผิดชอบหน้าที่ ตอนที่ผู้นำรู้เข้าพวกเขาคงจะประเมินฉันไม่ดีและอาจจะปลดฉันได้ แบบนั้นคงจะน่าอายอย่างยิ่ง ครั้งนี้ ผู้นำถามว่าฉันอยากสามัคคีธรรมไหม และฉันรู้สึกขัดแย้งมาก ฉันอยากสามัคคีธรรมแต่ก็กลัวสถานะและภาพที่มีจะถูกทำลายถ้าพูดออกไป แต่ถ้าฉันไม่พูด ฉันคงปิดบังตัวเองและเล่นแง่ แล้วฉันจะทำยังไงดี ฉันวิตกมากๆ สุดท้าย ก็คิดว่า “ช่างเถอะ คราวนี้ฉันจะไม่สามัคคีธรรม อย่างน้อยก็จะได้ผ่านช่วงนี้ไปได้” หลังการนัดพบฉันก็รู้สึกเศร้าและรู้สึกผิดมากๆ ราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ ทับอยู่บนหน้าอกของฉัน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหา ว่าทำไมฉันถึงกลัวการเปิดใจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตัวเอง ทำไมฉันถึงอำพรางตัว และให้สถานะกับภาพลักษณ์เป็นที่หนึ่งเสมอ

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะสองบทตอน และได้เข้าใจตัวเองขึ้นบ้าง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในเวลาที่ผู้คนปั้นหน้าอยู่เสมอ ล้างความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ เสแสร้งแกล้งทำอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาลองพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น มันคืออุปนิสัยใดหรือ? นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด มันคืออุปนิสัยของซาตาน นี่คือบางสิ่งที่ชั่ว จงดูสมาชิกของระบอบเยี่ยงซาตานเอาเถิดว่า ไม่สำคัญว่าพวกเขาต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันมากเพียงใดหลังฉาก ไม่มีใครเลยที่ได้รับอนุญาตให้รายงานหรือเปิดโปงการนี้ พวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของตน และพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้ ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และถูกต้องเพียงใด นี่คือธรรมชาติของซาตาน ลักษณะที่เด่นชัดยิ่งในธรรมชาติของซาตานคือเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้? การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้ของมันและตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันยืนยาวขึ้น ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีความเห็นที่ดีเกี่ยวกับพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และมอบสถานะที่สูงแก่พวกเขา นี่เองคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)การจะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ อันดับแรกเจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และเหลือบมองใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามที่จะอำพรางตนเองหรือหุ้มห่อตัวเจ้าให้ดูดี ถึงตอนนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะไว้วางใจเจ้า และพิจารณาว่าเจ้าซื่อสัตย์ นี่เป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องมีก่อนการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง เจ้ากำลังเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งแสดงความบริสุทธิ์ ความมีคุณธรรม ความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ และแสร้งแสดงคุณสมบัติทางศีลธรรมอันสูงส่ง เจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าและการล้มเหลวทั้งหลายของเจ้า เจ้านำเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จต่อผู้คนเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้านั้นน่ายกย่องนับถือ ยิ่งใหญ่ เสียสละ ไม่ลำเอียงและไม่เห็นแก่ตัว นี่คือความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและความเทียมเท็จมิใช่หรือ? จงอย่าสวมหน้ากากปลอมแปลงตน และจงอย่าหุ้มห่อตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ใช่กำลังมีความซื่อสัตย์อยู่หรอกหรือ? หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงมองเห็นเจ้าด้วยเช่นกัน และตรัสว่า ‘เจ้าได้ตีแผ่ตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็น และดังนั้น แน่นอนว่า เจ้าย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราด้วยเช่นกัน’ หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าในตอนที่อยู่นอกสายตาของผู้คนอื่น และเสแสร้งทำเป็นยิ่งใหญ่และมีคุณธรรม หรือเป็นธรรม และไม่เห็นแก่ตัวเมื่ออยู่ในกลุ่มพวกพ้องของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงดำริและตรัสสิ่งใดเล่า? พระองค์จะตรัสว่า ‘เจ้าช่างเปี่ยมด้วยเล่ห์ลวงอย่างจริงแท้ เจ้าเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกและกระจอกอย่างถ้วนทั่ว และเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง’ พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าด้วยเหตุนั้น(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้อย่างพอดิบพอดี ตั้งแต่ที่ได้รับเลือกเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองมีขีดความสามารถ และวุฒิภาวะสูงกว่าพี่น้องทั่วไป ฉันจึงอยากให้ทุกคนเห็นด้านดีของฉันเสมอ ฉันปกปิดความเสื่อมทรามและข้อเสีย เพื่อไม่ให้พวกเขารู้ พอเกิดประสิทธิผลในหน้าที่ ฉันก็อยากอวดตน ฉันอดไม่ไหวที่จะส่งข่าวดีไปยังกลุ่ม เพราะฉันอยากให้เหล่าพี่น้อง ผู้นำ และเพื่อนร่วมงานได้เห็น ฉันยังจงใจบอกคนอื่น ว่าฉันดูแลงานเยอะมาก และยุ่งมากๆ พวกเขาจะได้เห็น ว่าฉันรับผิดชอบหน้าที่ ฉันล้างความผิดและปลอมตัว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางบวก ภาพของคนที่รับผิดชอบ และแสวงหาความจริง จุดประสงค์คือเพื่อทำให้เหล่าพี่น้อง นับถือฉัน แต่ที่จริงฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ฉันยังค่อนข้างเสื่อมทรามด้วย เหมือนตอนที่อวดตนในหน้าที่ ทำงานไปมั่วๆ และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ฉันไม่เคยเปิดใจ และสามัคคีธรรม ถึงความเสื่อมทราม และข้อเสีย ของตัวเอง เพราะกลัวพี่น้องชายหญิงจะรู้ว่าฉันกระหายสถานะ และขาดความรับผิดชอบ แล้วฉันก็จะเสียภาพลักษณ์ดีๆ ในใจพวกเขาไป ตอนทบทวนเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกคลื่นเหียนมาก ฉันเข้ากับคนอื่นภายใต้การนำเสนอจอมปลอม และปลอมตัวให้พวกเขามานับถือ นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่โอหังและเปี่ยมเล่ห์ลวง ที่พระเจ้าทรงเกลียด ฉันนึกถึงก่อนจะเข้ารับหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐ ระหว่างนัดพบ ฉันมักจะได้ยินพี่น้องชายหญิงพูดว่า “ทุกคนมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เสื่อมทรามกันทั้งนั้น ใครๆ ก็หวงแหนสถานะ เราทุกคนสามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาสถานะของตัวเองไว้” ตอนนั้น ฉันคิดว่า “ถ้าฉันมีสถานะ ฉันจะไม่ทำอะไรเพื่อรักษามันไว้เด็ดขาด” แต่ข้อเท็จจริงและพระวจนะได้เปิดเผยตัวฉัน ฉันเห็นว่า การรักษาภาพและสถานะ ทำให้ฉันปลอมตัว และล้างความผิดให้ตัวเอง และฉันก็โอหัง และเปี่ยมเล่ห์ลวงเป็นพิเศษ ตอนนั้นเองฉันถึงเห็นว่าที่ฉันมีความเชื่อว่าจะไม่ไล่ตามสถานะ แค่เพราะว่าฉันไม่ได้ถูกเปิดเผย ฉันเองก็เป็นคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเปี่ยมด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าพระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์ ที่ปฏิบัติความจริงและเปิดโปงตัวเองได้ พอตระหนักได้ว่าฉันอำพรางตัวและไม่ปฏิบัติความจริง ฉันก็อดไม่สบายใจไม่ได้ และคิดว่า “ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์ และเปิดใจถึงความเสื่อมทรามกับทุกคน”

สองสามวันต่อมา ที่การประชุมเพื่อนร่วมงาน ฉันอยากเปิดใจและสามัคคีธรรม กับคนอื่นถึงการที่ฉันอำพรางตัว หลอกลวง และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เป็นคนซื่อสัตย์ และเปิดใจ แต่พอถึงเวลาจะสามัคคีธรรม ฉันก็ลังเลอีก “ถ้าฉันวิเคราะห์และเปิดโปงตัวเอง เหล่าพี่น้องจะคิดกับฉันยังไง ภาพดีๆ ที่ฉันทำงานหนักเพื่อสร้างมันขึ้นมาจะหายไปไหม ถ้าพี่น้องชายหญิงดูถูกฉันเพราะเรื่องนี้ มันคงน่าอายเกินไปมาก ฉันจะรออีกหน่อย และปล่อยให้คนอื่นสามัคคีธรรมไปก่อนดีกว่า” แต่พอคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกสบายใจเลย ฉันไม่อยากเปิดใจเรื่องความเสื่อมทรามของฉัน นี่ก็ยังเป็นการเสแสร้งและอยากรักษาสถานะไว้ไม่ใช่เหรอ? ในใจฉันเริ่มเกิดการสู้รบ ถ้าฉันพูดไป คนอื่นก็อาจจะดูถูกฉัน ถ้าไม่พูด ฉันก็จะรู้สึกผิด ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันในการปฏิบัติความจริง ตอนนั้น ฉันเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วพวกฟาริสีเป็นใคร? มีพวกฟาริสีรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่? เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า ‘พวกฟาริสี’? มีการบรรยายถึงพวกฟาริสีไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาเป็นผู้คนที่หน้าซื่อใจคด ปลอมอย่างสิ้นเชิง และเล่นละครตบตาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาแสดงละครอันใด? พวกเขาแสร้งทำตัวเป็นคนดี ใจดี และเป็นบวก พวกเขาเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนอยู่ที่ใด? ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของพวกเขา โดยที่ผู้อื่นไม่มีวันพบเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกคือการแสดง ล้วนเทียมเท็จทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็หลอกได้เฉพาะผู้คนเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถหลอกพระเจ้า หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง และดังนั้นไม่ว่าวาจาของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความเป็นจริงของความจริง แต่เป็นคำสอน ผู้คนบางคนเน้นแต่การท่องคำสอนเหมือนนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น พวกเขาเลียนแบบผู้ใดก็ตามที่ประกาศคำเทศนาที่สูงส่งที่สุด ส่งผลให้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การท่องบ่นคำสอนของพวกเขาก็ยิ่งสูงส่งขึ้นไปทุกที และพวกเขาก็เป็นที่เลื่อมใสและเทิดทูนของผู้คนมากมาย แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มอำพรางตนเอง และให้ความสนใจอย่างมากกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายวิญญาณและเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้มาอำพรางตนเอง นี่คือทั้งหมดที่พวกเขาพูดถึงในทุกที่ที่พวกเขาไป สิ่งลวงโลกที่เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน แต่ไม่มีความเป็นจริงของความจริงแต่อย่างใด และด้วยการประกาศสิ่งเหล่านี้—สิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและรสนิยมของผู้คน—พวกเขาก็หลอกผู้คนมากมายให้หลงกล สำหรับผู้อื่นแล้ว ผู้คนเช่นนี้ดูเหมือนจะเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจอย่างมาก แต่อันที่จริงแล้วเป็นเท็จ พวกเขาดูเหมือนยอมผ่อนปรน อดกลั้น และเปี่ยมรัก แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นการเสแสร้ง พวกเขาบอกว่าตนรักพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วนี่คือการแสดงละคร ผู้อื่นคิดไปว่าผู้คนเช่นนี้บริสุทธิ์ แต่ตามจริงแล้วนี่เป็นเท็จ จะหาบุคคลที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงพบได้ในที่ใดกัน? ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ล้วนปลอมทั้งสิ้น ทั้งหมดคือการแสดง การเสแสร้ ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที ดูภายนอกแล้ว พวกเขาสละตนเองเพื่อพระเจ้าและยอมทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา แต่พวกเขากำลังลอบทำสิ่งใดอยู่? พวกเขากำลังทำโครงการของตนเองและดำเนินงานของพวกเขาเองอยู่ในคริสตจักร หากำไรจากคริสตจักร และลอบลักเครื่องบูชาโดยแสร้งทำเป็นว่ากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า…ผู้คนเหล่านี้คือพวกฟาริสียุคใหม่ที่หน้าซื่อใจคด พวกฟาริสี—ผู้คนเหล่านี้มาจากที่ใด? พวกเขาอุบัติขึ้นมาท่ามกลางผู้ไม่เชื่อหรือ? เปล่าเลย พวกเขาทั้งหมดอุบัติขึ้นมาท่ามกลางบรรดาผู้เชื่อ เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงกลายเป็นพวกฟาริสี? มีใครบางคนทำให้พวกเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่? เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งใดคือสาเหตุ? สาเหตุคือแก่นแท้และธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้ และนี่ก็เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาเลือก พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกาศและหากำไรจากคริสตจักรเท่านั้น พวกเขาเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นอาวุธให้กับความรู้สึกนึกคิดและปากของตนเอง พวกเขาประกาศทฤษฎีทางฝ่ายวิญญาณที่เป็นเท็จและแสดงตัวว่าบริสุทธิ์ จากนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นต้นทุนเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ที่จะหากำไรจากคริสตจักร พวกเขาเพียงแค่ประกาศหลักคำสอน แต่ไม่เคยได้นำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนชนิดใดที่เป็นพวกที่ประกาศพระวจนะและหลักคำสอนต่อไปทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ติดตามหนทางของพระเจ้า? เหล่านี้คือพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด สิ่งที่พูดกันว่าเป็นพฤติกรรมที่ดีและการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม และสิ่งน้อยนิดที่พวกเขาได้ยอมทิ้งและสละเป็นการฝืนทำทั้งสิ้น ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่ละครที่พวกเขาเล่นตบตาอยู่ สิ่งเหล่านั้นปลอมทั้งสิ้น การกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการเสแสร้ง ในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเดินในเส้นทางชนิดนี้ และพวกเขาก็จะกลายเป็นพวกฟาริสี นั่นไม่น่าขวัญผวาหรือ? สถานที่ทางฝ่ายวิญญาณที่พวกฟาริสีไปรวมตัวกันกลายเป็นตลาดขายของ ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่คือศาสนา ไม่ใช่คริสตจักรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงได้รับการนมัสการ ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะพรั่งพร้อมไปด้วยความหมายตามตัวอักษรและหลักคำสอนที่ผิวเผินเกี่ยวกับถ้อยดำรัสของพระเจ้ามากเพียงใด ก็จะไม่มีประโยชน์เลย(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็กลัวมาก และสั่นเทาอยู่ข้างใน เพื่อให้ทุกคนเทิดทูนฉัน ฉันจึงอำพรางตัวในทุกเรื่อง ทุกคนจะได้เห็นด้านดีๆ ของฉัน ฉันไม่เคยเอ่ยหรือเปิดใจถึงข้อเสียของตัวเอง ฉันให้ภาพจำผิดๆ และทำให้เหล่าพี่น้องสับสนเสมอ ฉันเป็นเหมือนพวกฟาริสีเลยไม่ใช่เหรอ? พวกฟาริสีตีความพระคัมภีร์แก่ผู้คนในธรรมศาลาทุกวัน ยืนอธิษฐานตามหัวถนน ทุกคนคิดว่าพวกเขารักพระเจ้าและเคร่ง ทั้งยังเคารพบูชาพวกเขา แต่พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า วางพระเจ้าเหนือสิ่งใด และไม่เชื่อฟังพระบัญชา โดยเฉพาะตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงงาน พวกเขารู้ว่าพระวจนะนั้นเปี่ยมสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่เพื่อรักษาสถานะและรายได้ไว้ พวกเขาจึงหมิ่นประมาท ต่อต้าน และกล่าวโทษงานของพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง การทำดีภายนอกของพวกเขาจอมปลอม สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้เพื่อจำแลงและปกปิดตัว ถึงจะดูดีงามมาก แต่แก่นแท้ก็ชั่วร้ายและเกลียดความจริง ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าสาปแช่งพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม(มัทธิว 23:27-28) แล้วฉันก็นึกถึงตัวเอง ฉันเป็นเหมือนกันเลยไม่ใช่หรือ? ตั้งแต่มาเป็นมัคนายกให้น้ำ ภายนอก ฉันดูตื่นเช้า นอนดึก และกระตือรือร้นในหน้าที่ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นการแสดงให้คนอื่นดู ฉันกระตือรือร้นทำหน้าที่ ให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาเลือกคนไม่ผิด เวลาที่มีประสิทธิภาพและแก้ไขสภาวะของเหล่าพี่น้องได้ ฉันก็ส่งข้อความไปในกลุ่ม หรือบอกพี่น้องชายหญิงทันที เพราะอยากให้ผู้นำและคนอื่นรู้ ว่าฉันมีความสามารถและรับผิดชอบหน้าที่ ฉันเห็นว่าตัวเองทำหน้าที่ด้วยแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายส่วนตัว ฉันแค่อยากให้คนอื่นยกย่อง ฉันรู้อย่างชัดเจนมาก ว่าฉันไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง อวดตนอยู่บ่อยครั้ง ไล่ตามสถานะ แต่ฉันไม่พูดถึงความเสื่อมทรามของตัวเองเลย พระเจ้าทรงมอบโอกาสมากมายให้ฉันเปิดใจและพูด แต่ฉันก็ไม่ปฏิบัติความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเลือกจะหลอกลวง อำพราง และปิดบังเพื่อขี้โกง จนทำให้เหล่าพี่น้อง เข้าใจผิดหลงนับถือฉัน ว่าเป็นคนที่ไล่ตามความจริง และทำหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ ฉันเห็นว่า เหมือนพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด ฉันนำผู้คนมาอยู่หน้าตัวเอง นี่คือการหลอกลวงและเอาชนะใจพวกเขา และฉันกำลังอยู่บนทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าทรงสาปแช่งพวกฟาริสี ถ้าฉันไม่กลับใจ ฉันคงโดนพระเจ้าเกลียดและขับออกด้วย

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเองคือขั้นตอนแรกของการเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร? การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้ หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากโซ่ตรวนหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์ การเรียนรู้วิธีเปิดใจเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมคือก้าวแรกไปสู่การเข้าสู่ชีวิต อันดับถัดไป เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ความคิดและการกระทำของตนเองเพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิด และมีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่โปรด และเจ้าจำเป็นต้องพลิกสิ่งเหล่านั้นกลับมาทันทีและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง อะไรคือจุดประสงค์ของการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง? นั่นคือการยอมรับและรับเอาความจริง ในขณะที่ปฏิเสธสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่เป็นของซาตานและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริง ก่อนหน้านี้เจ้าทำทุกสิ่งตามอุปนิสัยอันเจ้าเล่ห์ของเจ้า ซึ่งโป้ปดมดเท็จและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จหากไม่พูดปด บัดนี้ที่เจ้าเข้าใจความจริงและดูหมิ่นหนทางแห่งการทำสิ่งทั้งหลายของซาตาน เจ้าก็ไม่กระทำการในหนทางนั้นอีกต่อไป เจ้ากระทำการด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ซื่อสัตย์ สะอาดบริสุทธิ์ และเชื่อฟัง หากเจ้าไม่ปิดบังอะไรเอาไว้ หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ การสร้างภาพ หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นแนวคิดและความคิดในส่วนลึกที่สุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากพระวจนะฉันได้เข้าใจว่า การไม่ปลอมแปลงตัว หรือสร้างความประทับใจเท็จ การเปิดเผยความเสื่อมทราม และข้อเสียได้ การแสดงตัวตนที่แท้จริง และปล่อยให้พี่น้องชายหญิงได้เห็นจิตใจข้างใน คือสิ่งที่จำเป็นในการเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันคิดถึงการที่ฉันคอยอำพรางตัวและปิดบังตนเองตลอด เพื่อให้คนอื่นเทิดทูนฉัน และการที่ระหว่างนัดพบ ฉ้นไม่กล้าเปิดใจถึงความเสื่อมทรามของตน ฉันเปี่ยมด้วยเล่ห์ลวง พระเจ้าทรงเกลียดและชัง การใช้ชีวิตทางนี้ช่างเหน็ดเหนื่อย และเจ็บปวด พอตระหนักได้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ข้าฯ ปลอมตัวในทุกเรื่อง เพื่อให้คนอื่นเคารพนับถือข้าฯ ข้ารู้ว่านี่ทำให้ทรงสะอิดสะเอียน ตอนนี้ข้าฯ ก็ขยะแขยงตัวเองเช่นกัน พระเจ้า ข้าฯ อยากปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ โปรดทรงนำข้าฯ ที!” หลังอธิษฐาน ฉันก็สามัคคีธรรมเรื่องที่ฉันไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเปิดโปงถึงการที่ฉันอำพรางตัวและหลอกลวง พอสามัคคีธรรมจบ หัวใจฉันก็เบาลง และฉันก็โล่งอกขึ้นมาก พี่น้องชายหญิงไม่ได้ดูถูกฉัน และผู้นำก็ไม่ได้ติเตียนหรือจัดการฉัน พวกเขากลับสามัคคีธรรมและนำฉันในการทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างใจเย็น ฉันตระหนักได้ว่า การปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันจะรู้สึกสงบและปลอดภัย ถึงปัญหาและข้อเสียของฉันจะถูกเปิดโปง ผ่านสามัคคีธรรมและการช่วยเหลือของเหล่าพี่น้อง ฉันก็เปลี่ยนแปลงหนทางได้ทันการณ์ และทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับฉันค่ะ

จากนั้น ฉันก็เปิดใจและสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องด้วยสติ เปิดโปงอุปนิสัยเสื่อมทราม และหยุดอำพรางตัว ครั้งหนึ่ง มีน้องชายส่งข้อความมาหาฉันว่า “คุณเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ทำไมถึงไม่มาสามัคคีธรรมกับเป้าหมายข่าวประเสริฐตอนเราประกาศข่าวประเสริฐล่ะ? คุณน่าจะต้องมานะ” พอเห็นข้อความ ฉันก็โกรธมาก คิดว่า “คุณเป็นแค่ผู้นำกลุ่ม มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับฉัน? ทำอย่างกับสอบปากคำฉันอยู่อย่างนั้น คุณไม่ถามด้วยซ้ำ ว่าฉันยุ่งหรือมีเวลาหรือเปล่า” ฉันตอบไปว่า “งานข่าวประเสริฐจะขึ้นอยู่กับฉันคนเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมมือกัน” จากนั้น ฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะฉันรู้สึกว่าแสดงอุปนิสัยโอหังออกไป น้องคนนี้คำนึงถึงงานของเรา และพูดข้อเท็จจริง ฉันควรยอมรับมัน นอกจากจะปฏิเสธเขา ฉันยังตอบกลับด้วยความโกรธ แบบนี้มันไม่ไร้เหตุผลเหรอ? สิ่งที่ฉันทำ อาจทำให้เขาเจ็บปวดและอึดอัดด้วย ฉันอยากเปิดใจกับเขา และยอมรับปัญหา แต่ก็ปล่อยวางภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ได้ ฉันมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อน้องคนนี้เมื่อก่อน ถ้าฉันเปิดใจไป เขาจะดูถูกฉันหรือเปล่า? พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันอยากอำพรางตัว เพื่อรักษาสถานะและภาพลักษณ์อีกครั้ง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงนำฉันในการปฏิบัติความจริง และละทิ้งตนเอง ต่อมา ฉันเปิดใจถึงความเสื่อมทรามกับน้องคนนั้น เขาบอกว่าเขามีอุปนิสัยโอหังและพูดโดยไม่คิดถึงความรู้สึกฉัน และเขาอยากเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำของพระวจนะ เราทบทวนตัวเอง และการปฏิบัติที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ ก็ทำให้ฉันสบายใจเป็นพิเศษ

ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันตระหนักว่า พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย ชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้จริงๆ ถ้าไม่มีการพิพากษาของพระวจนะ ฉันคงปลอมแปลงปกปิดตัวเองตลอด คงไม่มีทางที่ฉันจะเข้าใจความเสื่อมทรามและข้อเสียของตัวเองอย่างแท้จริง และฉันคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้า สำหรับการทรงนำและความรอด และสำหรับการทำให้ฉันตระหนักถึงความสบายใจและปลดปล่อย ของการปฏิบัติความจริง และการเป็นคนซื่อสัตย์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใครบอกว่าอุปนิสัยที่หยิ่งยโสไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

โดย จ้าวฝาน ประเทศจีน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน...

คำพยานเกี่ยวกับความเชื่อ: หญิงอาวุโสคนหนึ่งหายเป็นปกติจากโรคท้องมานจากภาวะตับแข็งอย่างน่าอัศจรรย์หลังจากพึ่งพิงพระเจ้า

โดย จง ฉิน ยอมผ่อนปรนให้กับโรคภัยไข้เจ็บของเธอเพื่อที่ลูกๆ ของเธอจะได้ไม่ยุ่งยาก ผู้หญิงสองสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างสบายๆ...

เจ้าควรมองหน้าที่ตนเช่นไร

โดย จงเฉิง ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดของความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ก็คือว่า...

ความรู้เรื่องอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์อันเล็กน้อยของฉัน

ปี 2021 ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร เป็นเวลานึง ที่ฉันมีปัญหากับงานให้น้ำของเรา ผู้ให้น้ำบางคนไม่มาร่วมชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger