รู้สึกดียิ่งนักที่ถอดหน้ากากของฉันออกไป
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำคริสตจักรเมื่อเดือนมิถุนายนที่แล้ว ณ เวลานั้น ฉันตื่นเต้นเร้าใจและรู้สึกว่า บรรดาพี่น้องชายหญิงต้องคิดถึงฉันในด้านที่ดี และว่าการที่ผู้คนมากมายยิ่งนักที่ลงคะแนนเสียงให้ฉัน หมายความว่าฉันดีกว่าคนอื่นๆ ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจำเป็นที่จะต้องทำงานหนักจริงๆ เพื่อทำหน้าที่นี้ให้ดี เพื่อที่บรรดาพี่น้องชายหญิงจะได้เห็นว่าฉันมีความสามารถเพียงใด ฉันไม่คุ้นเคยจริงๆ กับงานของคริสตจักรเมื่อฉันเริ่มทำงาน ดังนั้นแล้ว ฉันจึงใส่ใจจริงๆ ในการฟังและจดจำสิ่งทั้งหลายในขณะที่ทำงานเคียงข้างกับพี่น้องหญิงที่ฉันจับคู่ด้วย ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับหน้าที่นี้มากกว่า ฉันคิดอยู่เป็นนิตย์ว่า “เนื่องจากบัดนี้ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันจำเป็นที่จะต้องทำงานให้ได้ดี และสำเร็จลุล่วงบางสิ่ง เพื่อที่จะทำได้ดีเทียบเท่ากับตำแหน่งนั้น ฉันไม่สามารถได้รับความฉาวโฉ่จากการเป็นใครบางคนที่ไม่ทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้ซึ่งละโมบต่อพระพรแห่งสถานะ เช่นนั้นแล้ว ฉันจะสามารถเสนอหน้าของฉันได้อย่างไร?” ฉันยังได้ไตร่ตรองถึงวิธีที่จะทำหน้าที่ให้ดีจริงๆ ด้วยเช่นกัน ฉันเผชิญหน้าบรรดาพี่น้องชายหญิงจากทั้งคริสตจักร ซึ่งบางคนนั้นได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเรื่อยมาเป็นเวลาหลายปี และเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริงมากกว่าที่ฉันเข้าใจ พวกเขาจะคิดถึงฉันอย่างไร หากฉันลองพยายามที่จะช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาของพวกเขา แต่ฉันไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างแน่ชัดถึงรากเหง้าของการนั้น และฉันไม่สามารถแบ่งปันเส้นทางแห่งการปฏิบัติในการสามัคคีธรรมของฉันได้? พวกเขาจะคิดหรือไม่ว่า ฉันไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง ว่าฉันไม่เหมาะสมสำหรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำ? ฉันรู้สึกว่าการสามัคคีธรรมบนระดับที่สูงกว่าพวกเขาสำคัญยิ่งยวดในฐานะผู้นำ ดังนั้นแล้ว ฉันจำเป็นที่จะต้องไม่เสียเวลาไปในการเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริง เพื่อที่ว่าเมื่อบรรดาพี่น้องชายหญิงเผชิญกับปัญหา ฉันจะพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาคงจะเห็นว่า ฉันครองความเป็นจริงของความจริงเล็กน้อย และฉันกำลังทำได้ดีจริงๆ ในฐานะผู้นำ ดังนั้นแล้ว นอกเหนือไปจากการยุ่งอยู่กับงานของคริสตจักรทุกๆ วัน ฉันก็จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ้างด้วยเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันมีชั่วขณะที่ว่าง กำหนดเวลาของฉันอัดแน่นทุกๆ วัน และแม้ว่าพี่น้องหญิงคนอื่นๆ จะย้ำเตือนฉันเมื่อพวกเขากำลังจะเข้านอนว่า “นี่ก็ดึกแล้ว คุณควรนอนพักเสียบ้าง” ฉันไม่ได้รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย และฉันก็จะทำงานจนดึกดื่นอยู่บ่อยครั้ง และแม้ว่าฉันได้ทุ่มเทความพยายามมากมายในการตระเตรียมเพื่อพวกเขา แต่ฉันยังคงไม่ได้รู้สึกเชื่อมั่นในการชุมนุมกับบรรดาพี่น้องชายหญิง
เย็นวันหนึ่ง พี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยบอกฉันว่า พวกเราจำเป็นต้องจัดการชุมนุมให้กับทีมข่าวประเสริฐในวันถัดไป การนี้ได้ทำให้ฉันกังวลใจอย่างเหลือเชื่อ ฉันคิดว่า “บรรดาพี่น้องชายหญิงในทีมนั้นได้เป็นผู้เชื่อมาสักระยะหนึ่งแล้ว และฉันก็ใหม่ต่อหน้าที่ในการเป็นผู้นำ ฉันไม่มีการจับความเข้าใจจริงๆ เกี่ยวกับว่า พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหาและความลำบากยากเย็นประเภทใดในงานข่าวประเสริฐของพวกเขา หากพวกเขาพาดพิงถึงประเด็นปัญหาที่ฉันไม่สามารถจัดการแก้ไขได้ พวกเขาจะคิดหรือไม่ว่า ฉันไม่เก่งในหน้าที่ของฉัน? นั่นจะไม่พังทลายภาพลักษณ์ของฉันในฐานะผู้นำหรอกหรือ? ไม่หรอก การตระเตรียมนาทีสุดท้ายยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย และฉันควรทำครั้งนี้ให้ดีที่สุดในการเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริงที่สัมพันธ์กันบางอย่าง” อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฉันไม่สามารถจับความเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้จริงๆ ฉันจึงไม่สบายใจ ฉันเคลื่อนไปมาอย่างรวดเร็วโดยมองดูนั่นดูนี่บนคอมพิวเตอร์ของฉัน มองดูสิ่งหนึ่งชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็มองดูอีกสิ่งหนึ่งชั่วขณะหนึ่ง จิตใจของฉันพันกันยุ่งเป็นปมไปหมด และฉันไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย—ไม่มีอะไรเลยสำหรับการนั้นนอกจากจะไปนอน ในการชุมนุมในวันถัดมา ฉันเฝ้าดูพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริงกับพวกเขาทั้งหมด โดยช่วยพวกเขาแก้ไขประเด็นปัญหาที่พวกเขาเผชิญในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ในขณะที่ฉันแค่นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร มันรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ สำหรับฉัน ฉันคิดว่า “หากฉันไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจะไม่คิดหรือว่า ฉันก็เป็นแค่สิ่งประดับในฐานะผู้นำคนหนึ่ง? ฉันควรพูด พี่น้องหญิงเหล่านี้บางคนรู้จักฉันแล้ว และด้วยบัดนี้ฉันเป็นผู้นำ ฉันไม่ควรหรอกหรือที่จะมีความสามารถในการแบ่งปันการสามัคคีธรรมซึ่งลุ่มลึกมากกว่า? มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร? พวกเขาจะพูดหรือไม่ว่าฉันไม่มีประโยชน์เลย?” ฉันบีบเค้นสมองของฉันเพื่อคิดหาประสบการณ์บางอย่างที่ฉันได้มีซึ่งฉันสามารถแบ่งปันได้ แต่ยิ่งฉันกังวลใจมากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งอยู่ในความสับสนอลหม่านมากขึ้นเท่านั้น ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่มองว่า ฉันไม่มีอะไรให้สามัคคีธรรมเลย ฉันจึงได้ฟังการสามัคคีธรรมของหุ้นส่วนของฉันอย่างตั้งใจ และทันทีที่เธอทำจนแล้วเสร็จ ฉันก็แค่กระโดดเข้าไปสรุปโดยพื้นฐานถึงสิ่งที่เธอได้พูดไปแล้ว ในหนทางนั้นนั่นคงจะแสดงให้เห็นว่า การสามัคคีธรรมและความเข้าใจของฉันดีกว่าของเธอ และทุกคนก็คงจะมองว่าฉันทำได้ดี ว่าฉันเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำได้ ฉันรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดนั้น คือความเข้าใจของหุ้นส่วนของฉันว่าฉันเข้าเกณฑ์ ฉันรู้ว่านั่นเป็นหนทางที่น่าดูหมิ่นจริงๆ ในการที่จะปฏิบัติตน ฉันรู้สึกว่างอย่างสิ้นเชิงในหัวใจของฉันหลังการชุมนุม ฉันยังรู้อีกเช่นกันว่า ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหมดที่ฉันได้เผชิญทุกๆ วัน ได้รับการจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า แต่ฉันไม่รู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นเลย ฉันยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ความคิดนี้ได้ทิ้งให้ฉันรู้สึกแย่มาก และฉันถึงขั้นเสียใจเล็กน้อยในการเข้ารับหน้าที่นั้น ในสองสามวันถัดมา ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีน้ำหนักที่มากกดทับลงบนหัวของฉัน—ฉันรู้สึกงงๆ และเหมือนว่าฉันไม่สามารถหายใจลึกได้ การเผชิญหน้ากับปัญหาในงานของคริสตจักร และการไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะเริ่มต้นตรงไหนนั้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจริงๆ สำหรับฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการทำหน้าที่นี้ให้ดี แต่ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่า ข้าพระองค์ไม่สามารถรับกิจนี้ได้อยู่เสมอ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวข้าพระองค์เองด้วยเถิด เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถหลีกหนีจากสภาวะนี้ได้”
หลังจากนั้น ฉันได้เปิดใจต่อหุ้นส่วนของฉัน และได้บอกเธอเกี่ยวกับสภาวะของฉัน เธอได้มอบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันอ่าน ซึ่งตัดตอนมาจาก “เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” บทตอนนี้กล่าวว่า “พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมดแสดงปัญหานี้ กล่าวคือ เมื่อพวกเขาเป็นบรรดาพี่น้องชายหญิงธรรมดาที่ไม่มีสถานะ พวกเขาจะไม่ทำท่าโอหังเมื่อมีปฏิสัมพันธ์หรือพูดกับผู้ใด อีกทั้งพวกเขาจะไม่ใช้ลีลาหรือน้ำเสียงเฉพาะบางอย่างในวาทะของพวกเขา พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาและปกติ และไม่จำเป็นต้องตกแต่งตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความกดดันทางจิตใจใดๆ และสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผยและจากหัวใจ พวกเขาสามารถเข้าหาได้และง่ายที่จะปฏิสัมพันธ์ด้วย ผู้อื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาบรรลุสถานะ พวกเขาก็กลายเป็นสูงส่ง และมีฤทธิ์ ราวกับว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงพวกเขาได้ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขานั้นสมควรที่จะได้รับความเคารพ และว่าพวกเขาและผู้คนธรรมดามาจากต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน พวกเขาดูแคลนผู้คนธรรมดาและหยุดสามัคคีธรรมกับผู้อื่นอย่างเปิดเผย เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยอีกต่อไป? พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้พวกเขามีสถานะ และเป็นผู้นำ พวกเขาคิดว่าผู้นำต้องมีภาพลักษณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง ต้องสูงส่งกว่าผู้คนธรรมดาเล็กน้อย และมีวุฒิภาวะมากกว่าและมีความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น พวกเขาเชื่อว่าเทียบกับผู้คนธรรมดาแล้ว ผู้นำต้องมีความอดทนมากกว่า มีความสามารถที่จะทนทุกข์และสละมากกว่า และมีความสามารถที่จะทานทนการทดลองใดๆ พวกเขาถึงกับคิดว่าผู้นำไม่สามารถร้องไห้ได้ ไม่สำคัญว่าสมาชิกครอบครัวของพวกเขาอาจตายไปกี่คน และคิดว่าหากพวกเขาต้องร้องไห้ พวกเขาก็ต้องร้องไห้กับผ้าปูที่นอนของพวกเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดสามารถมองเห็นข้อบกพร่อง ตำหนิหรือความอ่อนแอใดๆ ในตัวพวกเขา พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าผู้นำไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นลบไปแล้วหรือไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ทั้งหมด พวกเขาเชื่อว่านี่คือวิธีที่ผู้ที่มีสถานะควรกระทำตัว” (บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านบทตอนนี้เป็นการกระทุ้งขนานใหญ่สำหรับฉัน—พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยสภาวะที่ถูกต้องแม่นยำของฉันแล้ว! เหตุใดฉันจึงกลัวเหลือเกินว่าจะไปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในทุกๆ การชุมนุม? เหตุใดฉันจึงรู้สึกเครียดยิ่งนัก? นั่นเป็นเพราะฉันกำลังลองพยายามที่จะยกตัวฉันเองให้สูงขึ้น นับตั้งแต่ที่กลายมาเป็นผู้นำ ฉันได้รู้สึกเรื่อยมาเหมือนว่าฉันมีตำแหน่งและสถานะ ดังนั้นแล้ว ฉันจึงแตกต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้ในฐานะผู้นำ ฉันคิดว่าฉันจำเป็นที่จะต้องค้ำจุนภาพลักษณ์ของผู้นำ ว่าฉันควรอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่าผู้อื่น และมีความสามารถมากกว่าพวกเขา การสามัคคีธรรมของฉันจำเป็นต้องเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น และฉันจำเป็นที่จะต้องมองเข้าไปในแก่นแท้ของปัญหาให้ดียิ่งขึ้น และที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาอันใดที่บรรดาพี่น้องชายหญิงเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันจำเป็นต้องเป็นผู้ที่โดดเด่นจากฝูงชนในการชุมนุม ไม่สำคัญว่าฉันอยู่กับทีมใด ว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะควรค่ากับตำแหน่ง ดังนั้นแล้ว หลังจากยอมรับพระบัญชานั้น ฉันพูดและปฏิบัติตนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตำแหน่งของฉันในทุกสรรพสิ่ง ในข้อเท็จจริงนั้น ฉันขาดพร่องในทุกแง่มุม แต่ฉันต้องการที่จะปลอมแปลงตัวฉันเอง โดยแสร้งทำเป็นสูงส่ง และฉันถึงขั้นทำพฤติกรรมที่ฉลาดแกมโกง โดยลองพยายามที่จะฉกฉวยความสว่างของการสามัคคีธรรมของหุ้นส่วนของฉันไป เพื่อสาดแสงกับตัวฉันเอง เพื่อที่ว่าผู้อื่นจะได้เชิดชูบูชาฉัน วันแล้ววันเล่า ทั้งหมดที่ฉันได้คิดก็คือวิธีดำรงไว้ซึ่งสถานะของฉัน ไม่ใช่เรื่องวิธีทำหน้าที่ของฉันให้ดี วิธีลุล่วงหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันแทบจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่งานจริงที่ถูกต้องเหมาะสม นั่นเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของฉันได้อย่างไรกัน? นั่นคือการไล่ตามเสาะหาและการถูกสถานะควบคุมอย่างที่สุด—นั่นคือการกลายเป็นทาสต่อสถานะ แม้ว่าฉันจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ แต่ฉันก็ไม่ได้ครองวุฒิภาวะมากมายก่ายกองหรือความเป็นจริงของความจริงในทันทีทันใดจริงๆ แต่ฉันยังคงเป็นบุคคลเดิม ทั้งหมดที่แตกต่างออกไปก็คือหน้าที่ของฉัน พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ฉันได้รับการฝึกฝนมากขึ้น โดยผ่านทางหน้าที่ของฉันในฐานะผู้นำ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง นั่นไม่ใช่เพื่อมอบสถานะให้ฉันเลยแม้แต่น้อย แต่ฉันได้ยกตัวฉันเองให้สูงขึ้นจนถึงสถานะของผู้นำ ถึงขั้นคิดอย่างผิดๆ ถึงการเป็นผู้นำว่า ก็เหมือนการทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั่วไปในโลกนี้ ว่านั่นหมายถึงการมีสถานะ นั่นไม่ใช่มุมมองของผู้ไม่เชื่อหรอกหรือ? นั่นไร้เหตุผล!
หลังจากตระหนักถึงทั้งหมดนี้แล้ว ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ขอขอบคุณพระองค์สำหรับความรู้แจ้งและการทรงนำของพระองค์ ที่ได้เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสภาวะที่ไม่ถูกต้องของข้าพระองค์นั้นก็คือ การที่ข้าพระองค์ไล่ตามเสาะหาสถานะ ข้าพระองค์อยู่บนเส้นทางที่ผิด พระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะกลับใจและแสวงหาความจริง เพื่อแก้ไขสภาวะนี้ของข้าพระองค์ ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์” ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น ซึ่งในนั้นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนเองก็เป็นวัตถุของการทรงสร้าง วัตถุของการทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ที่ติได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถ อย่างไรก็ตาม ภายในพวกมนุษย์มีความอ่อนแออยู่ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นพวกมืออาชีพ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะคิดว่าพวกเขา ‘สามารถ’ มากเพียงใด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องการตกแต่งตัวพวกเขาเอง ปลอมตัวพวกเขาเองเป็นบุคคลสำคัญที่สูงส่ง และแลดูเพียบพร้อมและไร้ที่ติ โดยไม่มีตำหนิเลย ในสายตาของผู้อื่น พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการคำนึงถึงว่ายิ่งใหญ่ ทรงพลัง และสามารถอย่างเต็มที่ และมีความสามารถที่จะทำให้สิ่งใดๆ สำเร็จลุล่วงได้…พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้คนธรรมดา ผู้คนปกติ หรือเพียงแค่มนุษย์ พวกเขาเพียงแค่ต้องการเป็นยอดมนุษย์ หรือใครบางคนที่มีความสามารถหรือพลังพิเศษ นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก! สำหรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความไม่รู้เท่าทัน ความโง่เขลา และการขาดพร่องความเข้าใจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจะห่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ หุ้มไว้ไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และจากนั้นก็ปลอมแปลงตัวพวกเขาเองต่อไป…พวกเขาไม่รู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร อีกทั้งพวกเขาไม่รู้วิธีดำเนินชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาไม่เคยได้กระทำตัวเหมือนพวกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยสักครั้ง ในการประพฤติตัวพวกเขาเอง หากผู้คนเลือกเส้นทางจำพวกนี้—การมีศีรษะของพวกเขาอยู่ในก้อนเมฆเสมอแทนที่จะยืนอยู่บนพื้นดิน การต้องการบินเสมอ—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่แคล้วที่จะเผชิญปัญหา เส้นทางในชีวิตที่เจ้าเลือกนั้นไม่ถูกต้อง พูดตามตรงแล้ว หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร เจ้าก็จะไม่เข้าใจความจริง อีกทั้งเจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะได้รับความจริง เพราะจุดเริ่มต้นของเจ้าผิด” (“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านบทตอนนี้รู้สึกเหมือนว่า ฉันได้เผชิญหน้ากับพระเจ้า กำลังถูกพระองค์ทรงพิพากษา นั่นน่าเศร้าหมองและน่าหัวเสียจริงๆ สำหรับฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านว่า “หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร เจ้าก็จะไม่เข้าใจความจริง อีกทั้งเจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะได้รับความจริง เพราะจุดเริ่มต้นของเจ้าผิด” ฉันได้ตระหนักว่า สิ่งจูงใจของใครบางคนและเส้นทางที่พวกเขาใช้ สำคัญยิ่งยวดเพียงใดในหน้าที่ของพวกเขา ว่าเหล่านี้กำหนดพิจารณาโดยตรงว่าพวกเขาสามารถได้รับความจริงหรือไม่ หากพวกเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงในหน้าที่ของพวกเรา หากพวกเราคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับค้ำจุนสถานะของพวกเราเอง ไม่สำคัญว่าพวกเราทำงานหนักเพียงใด พวกเราทนทุกข์และจ่ายราคามากเพียงใด—พวกเราจะไม่มีวันได้รับการรับรองจากพระเจ้า แต่พวกเราจะถูกบอกปัด ถูกกล่าวโทษโดยพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระองค์สามารถทรงมองเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจและจิตใจของพวกเราได้ หลังจากที่ฉันได้กลายเป็นผู้นำ ฉันคิดถึงแต่เพียงภาพลักษณ์และสถานะของฉันในสายตาของผู้คนอื่นๆ เท่านั้น เมื่อต้องการที่จะปกป้องตำแหน่งในการเป็นผู้นำของฉัน ฉันปลอมแปลงอยู่เสมอ โดยซ่อนเร้นความผิดและความไม่เพียงพอของฉัน เพื่อที่ผู้คนอื่นๆ จะได้เชิดชูบูชาฉันและเลื่อมใสฉัน พระบัญชาของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวใจของฉัน—ฉันกำลังไล่ตามเสาะหาสถานะ โดยใช้เส้นทางของการต้านทานพระเจ้า ฉันจะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนทางนั้นได้อย่างไร? ความมืดมิดที่ฉันได้ตกลงไปในตอนนั้น คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งมาถึงฉันโดยไม่คาดฝัน หากฉันยังคงไม่ได้กลับใจ แน่นอนว่าฉันคงจะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจ ฉันได้คิดเรื่องบรรดาศัตรูของพระคริสต์ที่ได้ถูกขับไล่จากพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขามีสถานะและรู้สึกเสมอว่าพวกเขาไม่เหมือนคนอื่นทุกคน พวกเขากลายเป็นละโมบต่อพระพรแห่งสถานะ โดยยกตัวพวกเขาเองขึ้นสูงและอวดตัว ดิ้นรนต่อสู้เพื่อกระชากประชากรของพระเจ้าไปจากพระองค์ พวกเขาทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า และในท้ายที่สุดแล้ว ปลายทางของพวกเขาคือการที่จะถูกเตะออกไป ถูกกำจัดทิ้ง เมื่อฉันตระหนักถึงทั้งหมดนี้ ฉันจึงทบทวนวิธีที่ฉันได้ถูกสถานะควบคุมตั้งแต่ที่เข้ารับหน้าที่ในการเป็นผู้นำ ฉันคิดถึงหน้าที่ว่าเป็นเรื่องของลำดับชั้น โดยอ้างตำแหน่งหนึ่งให้แก่ตัวฉันเองและยกตัวฉันเองให้สูงขึ้น ฉันคิดว่าฉันได้บรรลุสถานะแล้ว และฉันต้องการที่จะอวดตัวโดยการแก้ไขประเด็นปัญหาของผู้คนอื่นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้เชิดชูบูชาฉัน ฉันไร้ยางอาย! ความคิดนี้ได้ทิ้งให้หน้าของฉันไหม้ไปด้วยความอับอาย ฉันรู้สึกว่าฉันน่ารังเกียจ และรู้สึกว่าการปกป้องสถานะของฉันในสายตาของผู้คนอื่นๆ ในหนทางนั้น โดยแก่นแท้แล้วคือการแก่งแย่งสถานะกับพระเจ้า นั่นเป็นเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อนั้นนั่นเองที่ฉันได้ตระหนักว่า นั่นช่างเป็นสภาวะที่อันตรายที่จะอยู่เสียจริง และว่าหากฉันไม่ได้กลับใจ ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็คงจะถูกลงโทษ ก็เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์
ในการแสวงหาและการทบทวนต่อมาของฉัน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “เมื่อเจ้าไม่มีสถานะ เจ้าก็สามารถชำแหละตัวเจ้าเองบ่อยๆ และมารู้จักตัวเจ้าเอง ผู้อื่นสามารถได้รับประโยชน์จากการนี้ เมื่อเจ้ามีสถานะ เจ้าก็ยังคงสามารถชำแหละตัวเจ้าเองบ่อยๆ และมารู้จักตัวเจ้าเอง เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงความเป็นจริง และจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าจากประสบการณ์ของเจ้า ผู้คนสามารถได้รับประโยชน์จากการนี้เช่นกันใช่หรือไม่? หากเจ้าปฏิบัติเช่นนั้นแล้วไซร้ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะหรือไม่ ผู้อื่นก็จะได้รับประโยชน์จากการนี้อยู่ดี ดังนั้น สถานะหมายถึงสิ่งใดสำหรับเจ้า? ในข้อเท็จจริงแล้ว สถานะคือสิ่งเพิ่มเติมพิเศษเหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งหรือหมวกใบหนึ่ง ตราบเท่าที่เจ้าไม่ถือว่าสถานะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป นั่นก็จะไม่สามารถจำกัดควบคุมเจ้าได้ หากเจ้ารักสถานะและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสถานะ โดยปฏิบัติต่อสถานะในฐานะเรื่องสำคัญเสมอๆ เช่นนั้นแล้วสถานะก็จะเข้าควบคุมเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะไม่ต้องการรู้จักตัวเจ้าเองอีกต่อไป อีกทั้งเจ้าจะไม่เต็มใจเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเจ้าเอง หรือพักบทบาทความเป็นผู้นำของเจ้าไว้ก่อนเพื่อพูดและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง นี่เป็นปัญหาชนิดใดกัน? เจ้าไม่ได้ยอมรับสถานะนี้ให้ตัวเจ้าเองหรอกหรือ? และเช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่เพียงแค่ยึดครองตำแหน่งนั้นต่อไป และไม่เต็มใจที่จะยอมทิ้งสถานะ และถึงกับแข่งกับผู้อื่นเพื่อปกป้องสถานะของเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้เพียงแค่กำลังทรมานตัวเจ้าเองหรอกหรือ? หากเจ้าจบลงที่การทรมานตัวเจ้าเองจนตาย เจ้าจะมีผู้ใดให้ติเตียนเล่า? หากเมื่อเจ้ามีสถานะ เจ้าสามารถงดเว้นการกดขี่ผู้อื่น แต่กลับมุ่งเน้นที่วิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างดี ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรทำ และทำให้หน้าที่ทั้งหมดที่เจ้าควรจะทำลุล่วงแทน และหากเจ้ามองเห็นตัวเจ้าเองในฐานะพี่น้องชายหญิงธรรมดา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้ทิ้งแอกแห่งสถานะไปแล้วหรือ?” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้จัดเตรียมเส้นทางแห่งการปฏิบัติและการเข้าสู่ให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมีสถานะอันใดหรือไม่ก็ตาม ฉันจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของฉันเองอย่างถูกต้องเหมาะสม สามัคคีธรรมว่าด้วยสิ่งใดก็ตามที่ฉันเข้าใจ และเมื่อฉันเผชิญบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันควรสามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยกับบรรดาพี่น้องชายหญิง เพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขสิ่งนั้นด้วยกัน ฉันก็แค่กำลังปฏิบัติหน้าที่ที่แตกต่างออกไปจากผู้อื่น แต่ไม่มีใครเลยที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าใครคนอื่น และข้อเท็จจริงที่ฉันทำหน้าที่เป็นผู้นำ แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้หมายความว่าฉันดีกว่าพวกเขา มีความสามารถมากกว่าพวกเขา แต่ฉันปฏิบัติตนเหมือนตัวตลก ขาดพร่องการตระหนักรู้ในตนเองอย่างที่สุด ฉันยังมีข้อบกพร่องทุกจำพวกด้วยเช่นกัน และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาพี่น้องชายหญิง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ฉันก็คิดว่าฉันจำเป็นต้องดีกว่าพวกเขา นั่นโอหังและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก! ฉันรู้สึกเหมือนว่า การที่ฉันวางตัวฉันเองไว้สูงส่งอย่างน่าเสื่อมเสียนั้น น่าหัวเราะจริงๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจของฉันสำหรับการเปิดโปงฉันโดยผ่านทางสถานการณ์นี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันเห็นว่า ฉันกำลังใช้เส้นทางที่ผิด ฉันได้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับการเปิดโปงข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้สามารถเห็นว่า ข้าพระองค์หมกมุ่นกับสถานะเพียงใด และว่าข้าพระองค์อยู่บนเส้นทางแห่งการต้านทานพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการอยู่บนเส้นทางที่ผิดต่อไป ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ ปล่อยวางแนวคิดเกี่ยวกับสถานะ เปลี่ยนแปลงท่าทีของข้าพระองค์ที่มีต่อหน้าที่ของข้าพระองค์ และทำหน้าที่ของข้าพระองค์โดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งความจริง”
ครั้งหนึ่งฉันได้ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพี่น้องชายหญิงสามคนที่นั่นได้ทำหน้าที่ของพวกเขามานานกว่าฉัน และสองคนในพวกเขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำแล้ว พวกเขาได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริงกับฉัน และได้ช่วยฉันแก้ไขประเด็นปัญหาก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกถูกหน่วงเหนี่ยวในการชุมนุมนี้ ฉันกลัวว่า หากการสามัคคีธรรมของฉันไม่ดีมาก และฉันล้มเหลวที่จะช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องปัญหาของพวกเขา พวกเขาอาจจะคิดว่า ฉันขาดพร่องความเป็นจริงของความจริงอย่างสิ้นเชิง และฉันไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำ ฉันไม่กล้าถามพวกเขาว่าพวกเขาอยู่ในสภาวะประเภทใด ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะพูดบางสิ่งที่ฉันไม่สามารถจัดการได้ ณ จุดนั้น ฉันตระหนักว่า ฉันกำลังลองพยายามที่จะปกป้องหน้าและสถานะของฉันเองอีก และดังนั้นแล้ว ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานเพื่อละทิ้งตัวฉันเอง แล้วพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าก็เข้ามาในความคิด ความว่า “หากเมื่อเจ้ามีสถานะ เจ้าสามารถงดเว้นการกดขี่ผู้อื่น แต่กลับมุ่งเน้นที่วิธีปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างดี ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรทำ และทำให้หน้าที่ทั้งหมดที่เจ้าควรจะทำลุล่วงแทน และหากเจ้ามองเห็นตัวเจ้าเองในฐานะพี่น้องชายหญิงธรรมดา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้ทิ้งแอกแห่งสถานะไปแล้วหรือ?” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นที่จะต้องปรับการปฏิบัติของฉันให้เข้ากับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และแม้ว่าความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับความจริงนั้นตื้นเขิน แต่ฉันก็เต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันจนสุดความสามารถของฉัน ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้บรรลุสำนึกอันยิ่งใหญ่ถึงการปลดปล่อย และไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่ผู้คนอื่นๆ จะคิดถึงฉันอีกต่อไป ฉันได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปันการสามัคคีธรรมของฉันว่าด้วยความเข้าใจที่ฉันได้ครอง เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันมีที่จะพูด บรรดาพี่น้องชายหญิงไม่ได้ดูแคลนฉันเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาทั้งหมดพูดว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งจากการนั้นแล้ว
ในการชุมนุม ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งปรากฏใน “หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าบุคคลปฏิบัติหน้าที่ใด การสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและได้รับการรับรองจากพระองค์ และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของพระเจ้า หากเจ้าดำเนินหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าให้เสร็จสิ้น หากเจ้าทำหน้าที่ของเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงกระทำการและพระเจ้าไม่ตรัสบอกเจ้าว่าจะต้องทำสิ่งใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้เส้นทางของเจ้า ทิศทางของเจ้า หรือเป้าหมายของเจ้า ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดเล่าคือผลของการนั้น? นั่นย่อมจะเป็นการตรากตรำที่ไร้ผล ด้วยเหตุนี้ การทำหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานและการสามารถตั้งมั่นได้ภายในพระนิเวศของพระเจ้า การจัดเตรียมความเจริญใจสำหรับพี่น้องชายหญิง และการได้รับการรับรองจากพระเจ้าจึงขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น! ผู้คนสามารถทำได้เพียงสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาควรที่จะทำ และซึ่งอยู่ภายในขีดความสามารถประจำตัวของพวกเขาเท่านั้น—ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะฉะนั้น การทรงนำของพระเจ้าย่อมกำหนดพิจารณาผลลัพธ์ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเก็บเกี่ยวจากหน้าที่ของเจ้า เส้นทาง เป้าหมาย ทิศทาง และหลักธรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมคือสิ่งที่กำหนดพิจารณาผลลัพธ์เหล่านั้น” (บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสว่างไสว ฉันได้เห็นว่า พระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า อันที่จริงแล้วล้วนแต่กระทำไปและค้ำจุนโดยพระเจ้า และในฐานะมนุษย์ พวกเราแค่ทำหน้าที่ของพวกเราเองไปเท่าที่พวกเรามีความสามารถ แต่หากปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ปราศจากความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า พวกเราก็จะไม่สำเร็จลุล่วงอะไรเลยในหน้าที่ของพวกเรา ไม่สำคัญว่าพวกเราทำงานหนักเพียงใด ในหน้าที่ของพวกเรา พวกเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เข้ารับภาระสำหรับการนั้นในหัวใจของพวกเรา แสวงหาและปฏิบัติตามความจริงในทุกสรรพสิ่ง และทำงานตามหลักธรรม นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับการรับรองจากพระเจ้า ตำแหน่งของฉันในฐานะผู้นำก็แค่เพื่อให้ฉันสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริง เพื่อช่วยแก้ไขความลำบากยากเย็นของบรรดาพี่น้องชายหญิงในหน้าที่ของพวกเขาและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในทันที แต่ฉันก็สามารถจดบันทึกปัญหานั้นได้เสมอ และจากนั้นจึงทำการพยายามเสาะแสวงให้มากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานั้นภายหลัง และดังนั้นแล้ว ฉันจึงมีความสามารถที่จะถามพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เกี่ยวกับว่าพวกเขาอยู่ในสภาวะประเภทใด และพวกเขากำลังมีความลำบากยากเย็นใดในหน้าที่ของพวกเขา เมื่อพวกเขาแบ่งปันการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าพวกเขากำลังเป็นไปอย่างไร ฉันก็สงบหัวใจของฉันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และแสวงหาและไตร่ตรองการสามัคคีธรรมนั้นอย่างตั้งใจ ในหนทางนั้นฉันมีความสามารถที่จะขบคิดออกถึงความไม่เพียงพอและข้อบกพร่องของพวกเขา และใช้พระวจนะของพระเจ้าอย่างสอดคล้องกันเพื่อค้นหาเส้นทางสำหรับพวกเขา ในการที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านี้และเข้าสู่ ฉันรู้ว่านี่คือการทรงนำของพระเจ้าโดยครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันตื่นเต้นเร้าใจ และได้รับสำนึกถึงว่า การปล่อยวางสถานะนั้นเป็นอิสระเพียงใด ประสบการณ์นั้นแสดงให้ฉันเห็นเป็นการส่วนตัวว่า โดยการแก้ไขท่าทีของฉันในหน้าที่ของฉันให้ถูกต้อง การกำหนดหัวใจของฉันไปที่การทำงานจากพระบัญชาของพระเจ้า การทบทวนและการแสวงหาวิธีที่จะทำหน้าที่ของฉันให้ดี และวิธีที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก่อนที่ฉันจะรู้ ฉันก็ได้รับการปล่อยเป็นอิสระจากข้อผูกมัดและการบังคับควบคุมของสถานะแล้ว ฉันสามารถเก็บเกี่ยวภาวะการเป็นผู้นำและพระพรจากพระเจ้าได้!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...
โดย ถง ซิ่น, เกาหลีใต้ เมื่อช่วงต้นปี ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมให้น้ำ รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้น ฉันคิดว่า...
โดย ซู หว่าน, ประเทศจีน ในเดือนสิงหาคมปี 2020 ฉันถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำเพราะว่า ฉันไล่ตามสถานะและขาดความเชี่ยวชาญ ในเวลานั้น...
โดยจูเลีย จากประเทศโปแลนด์ ต้นปี 2021 ฉันได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเข้าร่วมการนัดพบ...