เส้นทางสู่การถอดหน้ากากออก

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย ถง ซิ่น, เกาหลีใต้

เมื่อช่วงต้นปี ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมให้น้ำ รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้น ฉันคิดว่า การได้รับเลือกในตำแหน่งนั้น แปลว่าฉันต้องมีความสามารถและฝีมืออยู่บ้าง ฉันล้ำหน้าคนอื่น ในแง่ของการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ชีวิต ฉันต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยความจริง และตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าฉันมีความสามารถที่จะทำหน้าที่นั้น

ตอนแรกฉันไม่คุ้นชินกับงานเลย ดังนั้นพอมีเรื่องแปลกใหม่อะไร ฉันก็จะถามผู้นำหรือพี่น้องชายหญิงที่ฉันทำงานด้วย ฉันคิดว่าในเมื่อฉันใหม่ต่อหน้าที่นั้น ทุกคนจะเข้าใจว่ามีบางอย่างที่ฉันไม่รู้ และการแสวงหามากขึ้นอาจจะช่วยให้ฉันเติบโตเร็วขึ้น แล้วทุกคนจะคิดว่าฉันจริงจังตั้งใจและมีความประทับใจที่ดีต่อฉัน แต่ฉันก็ประสบปัญหามากมายอย่างต่อเนื่อง แล้วต่อมาฉันก็ลังเลที่จะถาม ตอนนั้นฉันทำหน้าที่นั้นมาสักพักแล้ว ทุกคนจะคิดกับฉันยังไงถ้าฉันยังถามคำถามมากมายอยู่เรื่อย? พวกเขาจะคิดไหม ว่าฉันไม่มีความสามารถ แม้แต่ในการแก้ปัญหาง่ายๆ และทำหน้าที่เป็นผู้นำให้กับทีม? ดังนั้น หลังจากนั้น พอไปเจอปัญหา ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ฉันควรถามพวกเขาไหม มีเหตุผลพอไหม? ฉันกังวลว่าความคิดของฉันจะดูง่ายเกินไป ถ้าฉันรู้สึกเหมือนบางปัญหาไม่ได้ซับซ้อน ฉันก็ไม่ถาม แต่หาคำตอบเอาเอง ดังนั้นปัญหาก็เลยพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ และมีหลายปัญหาที่ไม่ถูกแก้ไขทันท่วงที นี่ทำให้ฉันกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ทุกคนจะคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าทีมไหม?” ระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะเวลามีผู้นำอยู่ เมื่อฉันสามัคคีธรรมพระวจนะ ก็กังวลว่า “นี่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไหม? ความเข้าใจของฉันมีสิ่งเจือปนไหม?” หลังสามัคคีธรรม ฉันจะสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน และถ้ามีใครพูดเสริมเพิ่มเติมจากสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดเสร็จไป นั่นแปลว่าสามัคคีธรรมของฉันดลใจผู้อื่น มีความสว่างในนั้น นั่นแสดงว่าฉันเข้าใจพระวจนะอย่างถ่องแท้ และทำหน้าที่นั้นได้ แต่ถ้าไม่มีใครตอบสนองหลังจากที่ฉันพูดจบ ฉันจะรู้สึกแย่มากค่ะ หลังผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ามากในหน้าที่ ฉันคอยแต่ ย้ำคิดอยู่เสมอ ถึงทุกอย่างที่ฉันพูด ผ่อนคลายไม่ได้ ฉันอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ดี แต่ฉันเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา และฉันไม่เติบโต หรือเรียนรู้อะไร ฉันสูญเสียความตั้งใจเดิมไปหมดเลยค่ะ

ฉันมาอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์ และอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ผู้คนเองก็เป็นวัตถุเป้าหมายแห่งการทรงสร้าง วัตถุเป้าหมายแห่งการทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมและความไร้ข้อตำหนิได้หรือ? พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ความเชี่ยวชาญในทุกสิ่งทุกอย่าง มาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถ อย่างไรก็ตาม ภายในพวกมนุษย์มีความอ่อนแออยู่ ทันทีที่พวกเขาเรียนรู้ทักษะหรืออาชีพ ผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถ ว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีสถานะและคุณค่า และว่าพวกเขาเป็นพวกมืออาชีพ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะคิดว่าพวกเขา ‘สามารถ’ มากเพียงใด พวกเขาทั้งหมดก็ต้องการตกแต่งตัวพวกเขาเอง ปลอมตัวพวกเขาเองเป็นบุคคลสำคัญที่สูงส่ง และแลดูเพียบพร้อมและไร้ที่ติ โดยไม่มีตำหนิเลย ในสายตาของผู้อื่น พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับการคำนึงถึงว่ายิ่งใหญ่ ทรงพลัง และสามารถอย่างเต็มที่ และมีความสามารถที่จะทำให้สิ่งใดๆ สำเร็จลุล่วงได้ พวกเขารู้สึกว่าหากพวกเขาได้แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเรื่องสักเรื่อง พวกเขาก็คงจะดูเหมือนไม่สามารถ อ่อนแอและด้อยกว่า และว่าผู้คนจะดูแคลนพวกเขา ด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจึงมีหน้าฉากตั้งไว้เสมอ เมื่อถูกขอให้ทำบางสิ่ง ผู้คนบางคนจะพูดว่าพวกเขารู้วิธีทำทั้งที่พวกเขาทำไม่ได้จริง หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นดูและพยายามเรียนรู้วิธีทำอย่างลับๆ แต่หลังจากศึกษามาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจวิธีทำ พวกเขาไม่รู้อะไรเลย เมื่อถูกถามว่าพวกเขาก้าวหน้าไปถึงไหนกันแล้ว พวกเขาก็ยังคงเสแสร้งเพื่อที่จะไม่เปิดเผยข้อผิดพลาดและจุดอ่อนของพวกเขา โดยพูดว่าพวกเขาจะทำจนเสร็จสิ้นในไม่ช้าแทน นี่คืออุปนิสัยประเภทใดกัน? ผู้คนเช่นนี้โอหังเสียจนพวกเขาได้สูญเสียสำนึกรับรู้ทั้งหมดไปแล้ว! พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้คนธรรมดา ผู้คนปกติ หรือเพียงแค่มนุษย์ พวกเขาเพียงแค่ต้องการเป็นยอดมนุษย์ หรือใครบางคนที่มีความสามารถหรือพลังพิเศษ นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งนัก! สำหรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง ความไม่รู้เท่าทัน ความโง่เขลา และการขาดพร่องความเข้าใจภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจะห่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ และไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และจากนั้นก็ปลอมแปลงตัวพวกเขาเองต่อไป…ในหัวของผู้คนเช่นนี้มีแต่ความเหม่อลอยฝันกลางวันอยู่เสมอใช่หรือไม่? พวกเขาไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ? พวกเขาไม่รู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะนำสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติมาทำให้เป็นชีวิตจริง พวกเขาไม่เคยได้ปฏิบัติตนเหมือนพวกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยสักครั้ง ในการประพฤติปฏิบัติตนพวกเขาเอง หากผู้คนเลือกเส้นทางจำพวกนี้—การมีศีรษะของพวกเขาอยู่ในก้อนเมฆเสมอแทนที่จะยืนอยู่บนพื้นดิน การต้องการบินเสมอ—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่แคล้วที่จะเผชิญปัญหา เส้นทางในชีวิตที่เจ้าเลือกนั้นไม่ถูกต้อง(“ห้าสภาวะที่จำเป็นต่อการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การคิดทบทวนเรื่องนี้ ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตัวเองขึ้นบ้าง ฉันคิดถึงตัวเองมากเกินไป รู้สึกเหมือนในเมื่อฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำทีมให้น้ำ ก็แปลว่าฉันมีความสามารถและฝีมือในการทำงาน พอมองตัวเองแบบนั้น ฉันก็เริ่มห่วงว่าคนอื่นคิดกับฉันยังไง และอยากพิสูจน์ให้เร็วที่สุดว่าตัวเองเหมาะสมกับงาน ดังนั้น พอฉันเจอปัญหาและความยากลำบากมากขึ้น ฉันก็ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างเรียบง่าย แต่กลับกังวลเสมอว่าคนอื่นจะมองฉันออก และพูดว่าฉันขาดความสามารถและไม่ดีพอสำหรับงาน ฉันเริ่มสวมหน้ากาก เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่ปริปาก และหาทางออกด้วยตัวเอง นั่นแปลว่าปัญหามากมายในหน้าที่ของฉันไม่ถูกจัดการ ซึ่งทำให้งานชะงัก และส่งผลกระทบต่อสภาวะของฉันเอง ความคิดของฉันขาดความชัดเจน และเริ่มเกิดความสับสนกับสิ่งต่างๆ ที่ฉันเคยเข้าใจ ในการชุมนุม ฉันสามัคคีธรรมไปแบบคาดเดาเสมอ กลัวว่าถ้ามันไม่ดี ผู้คนก็จะดูแคลนฉัน ฉันรู้สึกบีบคั้นทุกฝีเก้าเลยค่ะ ฉันตระหนักว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ฉันเป็นคนโอหังและไร้เหตุผลอย่างมาก และเผชิญข้อบกพร่องของตัวเองอย่างเหมาะสมไม่ได้ ฉันเสแสร้งแกล้งทำเสมอเพื่อให้คนอื่นนับถือฉัน หน้าที่นั้นเป็นโอกาสที่พระนิเวศมอบให้ฉันเพื่อฝึกฝนตัวเอง และไม่ได้แปลว่าฉันเข้าใจความจริง หรือทำงานให้ดีได้ ฉันมีความสามารถที่จะได้รับความจริงน้อยมาก แต่มีหลายสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ และไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวด้วย ฉันไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ฉันคิดถึงตัวเองมากเกินไป แสร้งทำเป็นสูงส่ง เป็นคนที่เข้าใจความจริง ฉันประเมินตัวเองสูงเกินไป! แต่ว่าในตอนนี้ ฉันปักหลักตามความจริงและถามเมื่อจำเป็น ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติเดียวที่เป็นตามจริงและมีเหตุผล

ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งซึ่งให้แนวทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแก่ฉันค่ะ พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดกว้างตัวเองคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ความจริง และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การที่จะเดินก้าวแรกนี้มีนัยสำคัญว่า เจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใด ทำการดัดแปลงแก้ไขใดๆ หรือนำเล่ห์เหลี่ยมใดมาใช้ เพื่อประโยชน์ของความมีหน้ามีตา ความนับถือตนเอง และสถานะของเจ้าเอง และนี่ยังประยุกต์ใช้กับความผิดพลาดอันใดที่เจ้าได้ทำอีกด้วย ทั้งนี้ งานที่ไร้จุดหมายเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นเลย หากเจ้าไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะดำรงชีวิตอย่างง่ายดายและไม่เหน็ดเหนื่อย และอยู่ในความสว่างอย่างครบบริบูรณ์ มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเอาชนะพระทัยจนได้รับการสรรเสริญของพระเจ้า(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การคิดทบทวนเรื่องนี้ช่วยให้ฉันตระหนักว่า เพื่อทำหน้าที่อย่างอิสระ ไร้ความกังวล ก้าวแรกคือการเลิกสวมหน้า การและเรียนรู้ที่จะเปิดใจถึงข้อเสียของฉัน ฉันต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันเห็นว่า ตัวเองเป็นคนเสื่อมทรามที่แทบไม่เข้าใจความจริง จึงแน่นอนว่าฉันไม่เข้าใจหลายอย่าง นั่นเป็นปกติที่สุดค่ะ ไม่จำเป็นต้องแสร้งแสดงบทบาทปกปิดเพื่อภาพลักษณ์ของตัวเอง ทางเดียวเพื่อผ่อนคลายในหน้าที่คือการปล่อยวางความทะนงตน เปิดเผย และแสวงหา ในเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมา พอเข้าใจสิ่งนี้ หัวใจฉันก็เบิกบาน และฉันก็เริ่มมุ่งเน้นปฏิบัติสิ่งนั้น เมื่อฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับบางอย่าง ฉันก็เอ่ยถามด้วยความมั่นใจ และในเวลาแบ่งปันความคิดเห็นกัน ฉันก็พูดสิ่งที่ฉันคิดจริงๆ และสามัคคีธรรมสิ่งที่ฉันรู้เท่านั้น เมื่อฉันนำสิ่งนี้ไปสู่การปฏิบัติ ฉันก็ค่อยๆ เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และสามารถพบและแก้ไขข้อผิดพลาดในหน้าที่ของฉันได้ ฉันมองเห็นปัญหาของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ฉันก็ได้ประสบกับตัวเองว่าการถูกมองในแบบที่ตัวเองเป็นนั้นคือสิ่งที่ดี มันช่วยให้เข้าใจหลักธรรมแห่งความจริงและค้นพบข้อตำหนิของตัวเอง พอถึงจุดนี้ ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก และหลังจากนั้นฉันก็สามารถทำหน้าที่ตามปกติได้

ไม่นานต่อมา กลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบก็ไปได้ดีในชีวิตคริสตจักร และพี่น้องชายหญิงก็อยากนำปัญหามาสามัคคีธรรมกับฉัน แต่โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันก็เริ่มหมกมุ่นว่าคนอื่นคิดยังไงกับฉันอีก ครั้งหนึ่งในการประชุมเพื่อนร่วมงาน ผู้นำคนหนึ่งพูดถึงปัญหาในคริสตจักรและถามความเห็นของเรา ตอนนั้นฉันคิดว่า “ตรงนี้มีพี่น้องชายหญิงเยอะมาก ถ้าฉันให้ความเข้าใจเชิงลึกได้ไม่เหมือนใคร คนก็จะเห็นว่าฉันมีความสามารถแค่ไหน” แต่คิดอยู่เป็นนานฉันก็ทำความเข้าใจไม่ได้ ตอนนั้นเอง ผู้นำก็ถามความเห็นของฉัน ฉันอ้ำอึ้งติดอ่างอยู่นาน และก็เสนออะไรที่คลุมเครือออกมา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พี่สาวอีกสองคนก็แบ่งปันความคิดเห็นของพวกเธอ และข้อเสนอแนะนั้นก็ตรงข้ามกับฉัน สิ่งที่พวกเธอพูดมีเหตุผลดีมาก และผู้นำก็เห็นด้วย ฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เพราะฉันทำให้ตัวเองดูดีไม่สำเร็จ หนำซ้ำกลับดูแย่ลง ผู้นำจะคิดกับฉันยังไง? คิดว่าการที่ฉันไม่เข้าใจเรื่องเรียบง่ายแบบนี้ แสดงว่าฉันไม่เติบโตหรือเปล่า? ตลอดสองสามวันต่อมา มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มต่างๆ ที่ฉันรับผิดชอบอยู่ ฉันไม่เข้าใจ จึงควรขอความช่วยเหลือในทันที แต่ฉันก็นึกสงสัย ว่าถ้าฉันถามคำถามพวกนั้นทั้งหมด จะไม่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ที่ฉันสร้างไว้เหรอ? ในทางกลับกัน ฉันรู้ว่าปัญหาที่ไม่ได้แก้ไขจะขัดขวางงานของเรา ฉันจึงคิดแผนการเฉพาะหน้าขึ้นมา ฉันจะแบ่งคำถามไปถามหลายๆ คน ปัญหาจะได้รับการแก้ไข แต่ฉันจะไม่ดูเหมือนถามมากเกินไป และไม่รู้อะไรเลย พอฉันซ่อนเร้นตัวเองแบบนี้ สภาวะของฉันก็เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ความคิดของฉันคลุมเครือมากขึ้น และฉันเริ่มมีปัญหาหลายอย่าง จากนั้น ฉันก็ทบทวนตัวเอง และเห็นว่าในเมื่อฉันไม่เข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่เคยเข้าใจ ปัญหาจะต้องอยู่ที่สภาวะของฉันแน่ ฉันจึงมาอธิษฐานอยู่เฉพาะพระพักตร์ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์มีปัญหา แต่ข้าพระองค์ไม่กล้าซื่อสัตย์เปิดเผยข้อเสียของตัวเอง ข้าพระองค์อยากทำตัวใหญ่ ทำไมการถามเมื่อข้าพระองค์ไม่เข้าใจถึงยากเย็นนัก? ริมฝีปากของข้าพระองค์ปิดสนิท และการทำหน้าที่แบบนี้เหน็ดเหนื่อยมาก โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้รู้และเปลี่ยนแปลงความเสื่อมทรามของตัวเอง”

หลังจากนั้น ฉันอ่านพระวจนะสองบทตอนซึ่งเปิดโปงสภาวะของฉันโดยสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การทำความผิดพลาดหรือการเสแสร้งแกล้งทำ อย่างไหนในสองสิ่งนี้ที่มีความสัมพันธ์กับอุปนิสัย? (การเสแสร้งแกล้งทำ) การเสแสร้งแกล้งทำเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันโอหัง นั่นเกี่ยวข้องกับความชั่วและการคิดคดทรยศ และนั่นเป็นที่ดูถูกโดยผู้อื่น และเป็นที่ดูถูกโดยพระเจ้า…หากเจ้าไม่ลองพยายามและเสแสร้งแกล้งทำหรือสร้างข้อแก้ตัว ทุกคนย่อมจะพูดว่าเจ้าซื่อสัตย์และมีปัญญา แล้วอะไรเล่าทำให้เจ้ามีปัญญา? ทุกคนทำความผิดพลาด ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์เป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่แปลกใจไปกับความผิดพลาดของตัวเอง อีกทั้งเจ้ายังจะไม่กดดันผู้อื่นเมื่อพวกเขาทำความผิดพลาด แต่จะเผชิญหน้ากับทั้งสองกรณีนี้อย่างถูกต้อง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่โง่เง่า ซึ่งจะทำให้เจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่มีปัญญา พวกเหล่านั้นที่ไม่มีปัญญาวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขาอยู่เสมอในขณะที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่หลังฉาก มันน่าขยะแขยงที่ได้เห็น ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นเห็นได้ชัดในทันทีทันใดสำหรับผู้คนอื่นๆ แต่กระนั้นเจ้ากลับกำลังยังคงสวมบทบาทอย่างโจ่งแจ้ง สำหรับผู้อื่นแล้ว นั่นดูเหมือนการแสดงของตัวตลก นี่ไม่โง่เง่าหรอกหรือ? นี่โง่เง่าจริงๆ ผู้คนที่โง่เง่าไม่มีปัญญาอันใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือมองสิ่งอันใดในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ พวกเขามองไม่เห็นหัวผู้อื่นอยู่เสมอ โดยคิดว่าพวกเขานั้นแตกต่างจากคนอื่นทุกคน คิดว่าพวกเขานั้นควรค่ามากกว่า—ซึ่งเป็นเรื่องที่โง่เง่า ผู้คนที่โง่เง่าไม่มีความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ ใช่หรือไม่? ในเรื่องทั้งหลายซึ่งเจ้าโง่เง่าและไม่มีปัญญานั้นก็เป็นในเรื่องซึ่งเจ้าไม่มีความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณเลย และไม่เข้าใจความจริง ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ในเวลาที่ผู้คนปั้นหน้าอยู่เสมอ ล้างความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ เสแสร้งแกล้งทำอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาลองพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดและเพียบพร้อมที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น มันคืออุปนิสัยใดหรือ? นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด มันคืออุปนิสัยของซาตาน นี่คือบางสิ่งที่ชั่ว จงดูสมาชิกของระบอบเยี่ยงซาตานเอาเถิดว่า ไม่สำคัญว่าพวกเขาต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันมากเพียงใดหลังฉาก ไม่มีใครเลยที่ได้รับอนุญาตให้รายงานหรือเปิดโปงการนี้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้ ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และถูกต้องเพียงใด นี่คือธรรมชาติของซาตาน อะไรหรือคือคุณสมบัติพิเศษซึ่งเด่นชัดที่สุดของแง่มุมนี้ของธรรมชาติของซาตาน? (เล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง) แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้? การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้ของมันและตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันมั่นคง ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีความเห็นที่ดีเกี่ยวกับพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และมอบสถานะที่สูงแก่พวกเขา นี่เองคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเหล่านั้นที่ไม่ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ไม่พาดพิงถึงความผิด ข้อบกพร่อง และสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาเองเลย ทั้งพวกเขายังไม่พูดถึงการรู้จักตัวเองเลย พวกเขาพูดสิ่งใดหรือ? ‘ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คุณไม่รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ในยามที่ฉันทำบางสิ่ง ฉันรับอะไรเอาไว้เพื่อพิจารณา ฉันถนัดที่จะทำอะไร!’ นี่คืออุปนิสัยอันโอหังใช่หรือไม่? อะไรหรือคือลักษณะเฉพาะหลักของอุปนิสัยอันโอหัง? อะไรหรือคือเป้าหมายที่พวกเขาปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์? (การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง) จุดประสงค์ของการทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งก็คือ เพื่อให้พวกเขามีสถานะในจิตใจของผู้คนเหล่านี้(“หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ฉันเห็นได้ว่า ระหว่างใส่หน้ากากกับทำพลาด การใส่หน้ากากแย่กว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ดังนั้น การเจอปัญหาและผิดพลาดในหน้าที่จึงเป็นเรื่องปกติที่สุด แต่เบื้องหลังก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่ชั่ว โอหัง และฉลาดแกมโกง การเก็บซ่อนความไม่สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ ให้ผู้คนเห็นแต่ด้านดีของตัวเอง เพื่อจะได้เป็นที่ยกย่องเลื่อมใสนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดมากกว่า คนมีปัญญาอย่างแท้จริงย่อมเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องของตนได้อย่างเหมาะสม และใช้สิ่งนั้นชดเชยสิ่งที่ขาดไป มันเป็นโอกาสเพื่อเติบโตค่ะ แต่คนโง่เขลา ไม่รู้ความ ไม่ตระหนักรู้ในตนเองนั้น ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกเขาแค่เสแสร้งแกล้งทำ ปัญหาจึงไม่เคยถูกแก้ไข และพวกเขาก็ไม่เคยเติบโตในชีวิต เมื่อคิดย้อนไปถึงพฤติกรรมของฉัน ฉันรู้ตัวว่าเป็นหนึ่งในคนโง่โอหังที่พระเจ้าทรงเปิดโปง เมื่อฉันเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ฉันรู้สึกเหมือนจริงๆ ฉันก็ไม่ได้แย่ และเก่งพอจะเป็นผู้นำทีม ฉันสามารถแก้ไขปัญหาได้ ฉันจึงยกระดับตัวเองจริงๆ และคิดว่าตัวเองสูงส่งมาก ดังนั้นพอเผชิญสิ่งที่ฉันไม่รู้จะรับมือยังไง ฉันก็ระวังตัวไม่กล้าตัดสินใจ กังวลว่าฉันจะพูดอะไรผิด และทำลายภาพลักษณ์ของตัวเอง จึงตัดสินใจแสดงความเห็นและถามให้น้อยลงกว่าเดิม แม้แต่ตอนที่ ฉันขอความช่วยเหลือ ก็จะเลือกคำถามยากๆ เพื่อแสดงความสามารถ ไม่ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าฉันติดขัดตรงไหน ฉันถึงกับเล่นเกม แบ่งไปถามคนนั้นทีคนนี้ที ฉันจะได้ไม่ถูกมองเมิน ตอนนั้นฉันโอหังและฉลาดแกมโกง ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ เสแสร้งแกล้งทำในหลายๆ ทาง ให้ผู้คนยกย่องฉัน ฉันช่างโง่เขลาจริงๆ น่าขยะแขยงทั้งต่อพระเจ้าและผู้คน ฉันซ่อนข้อตำหนิของตัวเองเพื่อปกป้องชื่อและสถานะ ปล่อยให้ปัญหาต่างๆ ในหน้าที่ของฉันไม่ได้รับการแก้ไข ฉันทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ฉันคิดอะไรอยู่กันแน่? ฉันช่างชั่วและน่าดูหมิ่นนัก ฉันสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ชั่วคราวด้วยการเสแสร้ง แต่พระเจ้าทรงตรวจสอบทุกอย่าง และในไม่ช้าฉันก็จะถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้งเพราะโกงพระองค์ เพราะถ่วงเวลางานของคริสตจักร ศัตรูของพระคริสต์สถานะถนอมสถานะราวสมบัติล้ำค่า เพื่อสถานะแล้ว พวกเขาไม่แม้แต่จะละเว้นผลประโยชน์แห่งพระนิเวศน์ อุปนิสัยและมุมมองต่อการงานของฉันต่างกับของศัตรูของพระคริสต์ตรงไหนกัน? พอคิดจริงๆ ตำแหน่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อฉันยังไงเหรอ? มันทำให้ฉันไม่เต็มใจยอมรับรู้หรือเผชิญข้อตำหนิของตัวเอง สูญเสียเหตุผลของตัวเอง เมื่อฉันเจอเข้ากับปัญหา ฉันก็ไม่อยากแสวงหา แต่เสแสร้งแกล้งทำ และฉลาดแกมโกงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะลงเอยบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ถูกพระเจ้าทรงขยะแขยงและกำจัดทิ้ง นั่นจะทำร้ายงานแห่งพระนิเวศ และทำลายตัวฉันเอง ถึงจุดนั้น ฉันตระหนักว่าการเป็นอย่างนั้นต่อไปมันอันตรายแค่ไหน มันปลุกเตือนฉันว่าทำหน้าที่แบบนั้นต่อไปไม่ได้

ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ซึ่งมีเส้นทางให้ปฏิบัติ และทำให้ฉันเป็นอิสระยิ่งขึ้นอีก พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนบางคนได้รับการส่งเสริมและเลี้ยงดูโดยคริสตจักร ทั้งนี้ นี่เป็นโอกาสเหมาะอันยิ่งใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าพระเจ้าได้ทรงยกระดับและทรงมอบพระคุณให้พวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างไรหรือ? หลักธรรมแรกที่พวกเขาควรยึดปฏิบัติตามคือการเข้าใจความจริง เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาต้องแสวงหาความจริง และหากหลังจากที่แสวงหาความจริงแล้วพวกเขายังคงไม่เข้าใจ พวกเขาสามารถหาใครสักคนเพื่อถามและสามัคคีธรรมด้วยได้ พวกเขาควรเรียนรู้วิธีที่จะทำงานอย่างกลมเกลียวไปกับผู้อื่น ที่จะถามคำถามมากขึ้น ที่จะแสวงหามากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและงานของคริสตจักร ด้วยเหตุที่เจ้าอยู่ที่ช่วงระยะของการส่งเสริมและการเลี้ยงดูเท่านั้น เจ้าไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นจงอย่าแสร้งว่าเจ้าเข้าใจ ทั้งนี้ นี่เป็นหนทางที่โง่เขลาของการทำสิ่งทั้งหลาย หากเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าสามารถถามใครคนอื่น หรือสามัคคีธรรมกับผู้อื่น หรือสอบถามกับเบื้องบนได้—ไม่มีอะไรที่น่าละอายเกี่ยวกับสิ่งอันใดเหล่านี้ แม้ในยามที่เจ้าไม่ถาม เบื้องบนก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่อะไรเลย ว่าเจ้าไม่มีอะไรเลย การตรวจค้นและการสามัคคีธรรมคือสิ่งที่เจ้าควรที่จะทำ นี่คือสำนึกซึ่งควรที่จะพบในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเป็นหลักธรรมซึ่งผู้นำและคนทำงานควรติดตาม ไม่มีอะไรที่น่าละอายในการทำสิ่งเหล่านี้ ด้วยบัดนี้เจ้าเป็นผู้นำ หากเจ้ามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าการยังคงไม่เข้าใจหลักธรรมและการถามผู้อื่นและเบื้องบนอยู่เป็นนิตย์นั้นน่าละอาย—และด้วยเหตุนั้น หากเจ้าแสร้งว่าเจ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเจ้ารู้จริงๆ ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะทำงานนี้ได้ ว่าเจ้าเก่งในงานนี้ และไม่พึงต้องมีคำแนะนำและการสามัคคีธรรมจากผู้อื่น ไม่พึงต้องมีการจัดเตรียมและการเกื้อหนุนจากใครคนอื่น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นภัยอันตราย ทั้งนี้ ในไม่ช้าเจ้าย่อมจะถูกเปลี่ยนตัว ด้วยเหตุที่การนี้ไม่ลงรอยกันกับภาวะของการส่งเสริมและการเลี้ยงดูโดยพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าเชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ ทว่าเจ้าต้องตระหนักว่าในข้อเท็จจริงตามจริงแล้ว เจ้าไม่มีความสามารถในสิ่งใดเลย และอยู่ที่ช่วงระยะของการเรียนรู้และการฝึกฝนเท่านั้น นี่คือสำนึกที่เจ้าควรครอง การตรวจค้นและการสามัคคีธรรม เหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติ(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (5)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้และเห็นว่า การที่พระนิเวศส่งเสริมบ่มเพาะผู้คน เพื่อให้โอกาสพวกเขาในการปฏิบัตินั้น ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แก้ปัญหาได้ และเหมาะให้พระเจ้าทรงใช้งาน ในการปฏิบัติของพวกเขา พวกเขาจะเผชิญปัญหาจริงทุกรูปแบบ และถ้าพวกเขาแสวงหาและสามัคคีธรรมต่อไป พวกเขาจะค่อยๆ เข้าใจแง่มุมที่แตกต่างของหลักธรรม และสามารถแก้ปัญหาและทำหน้าที่ให้ดีได้ ฉันรู้ว่าฉันต้องรู้จักตัวเอง และเผชิญข้อตำหนิของตัวเองอย่างเหมาะสม เมื่อมีเรื่องอะไร ก็แสวงหาความจริงมากขึ้น หารือและสามัคคีธรรมกับคนอื่นมากขึ้น และทุ่มเทให้สุดตัว จากนั้น ถึงวันหนึ่งจะชัดเจนว่าฉันไม่มีขีดความสามารถจริงๆ ว่าฉันไม่เหมาะกับงานนั้น อย่างน้อยมโนธรรมของฉันจะชัดเจน พอฉันคิดตก ฉันก็รู้สึกโล่งใจจริงๆ ค่ะ ฉันไม่ต้องคอยเสแสร้งและใส่หน้ากาก แต่ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์ และเผชิญหน้ากับข้อด้อยและข้อบกพร่องของตัวเองอย่างตรงๆ

ในการหารือในทีมของเราหลักจากนั้น ฉันพยายามแบ่งปันความคิดเห็นอย่างซื่อสัตย์ ตอนแรกฉันก็ค่อนข้างลังเล กลัวว่าจะพูดอะไรผิดไป และถูกมองว่ามีความเข้าใจตื้นและไร้ฝีมือ โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาที่ฉันไม่แน่ใจจริงๆ ความเห็นที่ฉันแบ่งปันก็ไม่ชัดเจนนัก ใจฉันจะเริ่มเต้นตูมตาม “ทุกคนจะมองเห็นฉันทะลุปรุโปร่งไหม?” แต่ฉันจะเตือนตัวเอง ว่านั่นเป็นระดับที่ฉันอยู่จริงๆ และถ้าพวกเขาดูแคลนฉันก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือการเป็นคนซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นหน้าที่ที่ฉันต้องแสดงความคิด และมีส่วนร่วมหารือ นั่นเป็นหนทางดำรงชีวิตแบบสันติสุขหนึ่งเดียว หลังจากนั้น เมื่อฉันมีคำถามอะไรในหน้าที่ ฉันก็จะไปขอความคิดเห็นจากคนอื่น นานๆ ครั้ง ฉันก็ยังกังวลว่าจะถูกดูแคลนบ้าง แต่เมื่อฉันคิดว่าการซ่อนข้อเสียของตัวเองเพื่อปกป้องความหยิ่งผยอง อาจจะทำร้ายงานแห่งพระนิเวศได้ ฉันพยายามหันหลังให้แรงกระตุ้นนั้นและขอความช่วยเหลือ พอทำแบบนั้น ฉันก็เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้เคยเข้าใจมาก่อนเลย และฉันรู้สึกสงบลง มีสันติสุขมากขึ้น บางครั้งพี่น้องชายหญิงก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องกว่าฉัน และฉันก็จะเริ่มนึกสงสัยว่าทุกคนกำลังคิดว่าฉันไม่เอาไหนหรือเปล่า แต่ฉันเห็นได้ว่านั่นเป็นการมองที่ถูกต้อง ฉันต้องเรียนรู้จากจุดแข็งของคนอื่นเพื่อชดเชยจุดอ่อนของฉัน นั่นไม่ใช่ของประทานเหรอคะ? พอคิดแบบนั้นฉันก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันขอบคุณที่พระเจ้าทรงนำให้ฉันได้พบว่าความซื่อสัตย์ให้อิสระและความชื่นบานแค่ไหน จนฉันก็มีความเชื่อมากขึ้นที่จะนำพระวจนะไปปฏิบัติ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ผมได้รับจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

โดย เฟลิกซ์, ประเทศเกาหลีใต้ในการประชุมครั้งหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งถามผมว่าการให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ผมดูแลอยู่เป็นอย่างไรบ้าง...

คริสเตียนชาวเมียนมาคนหนึ่งกับประสบการณ์ในนรกหลังความตาย

โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger