ความทุกข์ทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร?
หลังเป็นผู้เชื่อ ฉันได้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานหลายคนสามารถสู้ทนความยากลำบากได้มากจริงๆ ไม่ว่าจะกลางสายลมหรือสายฝนพวกเขาก็จะทำงานและทำหน้าที่ของตนต่อไป และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ให้ความเห็นชอบและเลื่อมใสในตัวพวกเขา ฉันอิจฉาพวกเขาจริงๆ และหวังให้ตนเองเป็นอย่างพวกเขาได้คือ เป็นคนที่ทนทุกข์ได้ ลำบากได้ และเป็นที่เลื่อมใสของคนอื่น ดังนั้นฉันจึงกระตือรือร้นมากในการไล่ตามเสาะหาของตน และได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรในเวลาต่อมา ฉันง่วนอยู่กับหน้าที่ทุกวันจริงๆ และคนอื่นก็พากันสรรเสริญที่ฉันรับมือความยากลำบากได้ พวกเขาพูดกันว่าฉันคือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนั้น และรู้สึกว่าคุ้มค่ากับความทุกข์ทั้งหมดแล้ว ต่อมาขอบเขตความรับผิดชอบของฉันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และภาระงานของฉันก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด ฉันมองเห็นว่าพี่น้องหญิงบางคนที่ทำงานคู่กับฉันทนทุกข์และยอมลำบากได้จริงๆ พวกเธอเข้านอนดึกมากอยู่เสมอและบางครั้งในช่วงกลางวันก็ไปร่วมชุมนุมทั้งที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเพราะไม่มีเวลากิน ฉันได้ยินพี่น้องชายหญิงพูดว่าพวกเธอกำลังแบกรับภาระในหน้าที่ของตน ว่าพวกเธอรับความยากลำบากได้ ฉันรู้สึกว่าถ้าพี่น้องชายหญิงชอบผู้คนแบบนั้น พระเจ้าก็ต้องชอบเหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงเริ่มทำหน้าที่ของตนจนดึกดื่น แต่ผ่านไประยะหนึ่ง ร่างกายของฉันก็รับไม่ไหวอีกต่อไป พอเลยเที่ยงคืน ฉันจะเริ่มง่วงนอน แต่ทุกครั้งที่เห็นพี่น้องหญิงคนอื่นยังทำงานอยู่ตรงนั้น ฉันก็รู้สึกอายที่จะไปนอน กลัวพวกเธอจะพูดว่าฉันใส่ใจเนื้อหนัง ว่าฉันไม่เอาธุระในหน้าที่ของตน ฉันจึงทำงานต่อไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะง่วงงุน และทำงานไม่ได้มากนัก แม้จะเป็นเช่นนั้น ฉันก็ยังไม่ยอมไปนอน ฉันคะยั้นคะยอตัวเองเงียบๆ ให้ทำต่อ คิดไปว่าจะใส่ใจเนื้อหนังไม่ได้ จะยอมให้คนอื่นดูถูกไม่ได้ เนื่องจากฉันอยู่ดึก บางครั้งเวลาที่ต้องตื่นไปชุมนุมแต่เช้า ฉันจึงขี่รถจักรยานไฟฟ้าไปชุมนุมอย่างง่วงงุน แล้วก็ไปง่วงในที่ชุมนุมด้วย ฉันอยากนอนพักในตอนบ่าย แต่ก็กลัวคนอื่นจะพูดว่าฉันกำลังใฝ่หาความสุขสบายทางกาย ทุกวันฉันจึงบังคับตัวเองให้ทำงานต่อไป แล้วก็ผลักดันตัวเองให้ผ่านไปให้ได้ วันหนึ่งฉันขี่รถจักรยานไฟฟ้าไปชุมนุมในสภาพที่มึนงงไปตลอดทางเพราะง่วงมาก และสุดท้ายก็ขี่ตกท่อระบายน้ำซึ่งทำให้ฉันตกใจตื่นทันที ระหว่างที่จูงรถจักรยานไฟฟ้าเดินไปตามถนนอยู่นั้น ฉันก็เอาแต่คิดว่านี่ไม่ใช่หนทางของการดำรงอยู่ที่ถูกต้อง เมื่อทบทวนดูสภาวะภายในของตนเอง ฉันก็ตระหนักว่าตั้งแต่ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ สิ่งที่ฉันคิดอยู่ทุกวันมีแต่การทนทุกข์และมุมานะให้คนเห็น นึกกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนจะพูดกันว่าฉันมุ่งสนใจเนื้อหนังและใฝ่หาความสะดวกสบาย นั่นทำให้ฉันไม่มีกิจวัตรที่แน่นอนในชีวิตของตนเองและถึงกับไม่ยอมพักผ่อนตามปกติ
วันหนึ่งฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางตอนที่เปิดโปงพวกฟาริสี และฉันก็เอาพระวจนะเหล่านี้มาปรับใช้กับตัวเอง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วฟาริสีคืออะไร? มีพวกฟาริสีรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่? เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า ‘พวกฟาริสี’? มีการบรรยายถึงพวกฟาริสีไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาเป็นผู้คนที่หน้าซื่อใจคด ปลอมอย่างสิ้นเชิง และเล่นละครตบตาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาแสดงละครอันใด? พวกเขาแสร้งทำตัวเป็นคนดี ใจดี และเป็นบวก พวกเขาเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนอยู่ที่ใด? ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของพวกเขา โดยที่ผู้อื่นไม่มีวันพบเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกคือการแสดง ล้วนเทียมเท็จทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็หลอกได้เฉพาะผู้คนเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถหลอกพระเจ้า หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง และดังนั้นไม่ว่าวาจาของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง แต่เป็นคำพูดและหลักคำสอน ผู้คนบางคนเน้นแต่การท่องคำพูดและหลักคำสอนเหมือนนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น พวกเขาเลียนแบบผู้ใดก็ตามที่ประกาศคำเทศนาที่สูงส่งที่สุด ส่งผลให้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การท่องบ่นคำพูดและหลักคำสอนของพวกเขาก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นทุกที และพวกเขาก็เป็นที่เลื่อมใสและเทิดทูนของผู้คนมากมาย แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มอำพรางตนเอง และให้ความสนใจอย่างมากกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายวิญญาณและเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้มาอำพรางตนเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาพูดถึงในทุกที่ที่พวกเขาไป สิ่งลวงโลกที่เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน แต่ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด และด้วยการประกาศสิ่งเหล่านี้—สิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความนิยมชมชอบของผู้คน—พวกเขาก็ชักพาให้ผู้คนมากมายหลงผิด สำหรับผู้อื่นแล้ว ผู้คนเช่นนี้ดูเหมือนจะเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจอย่างมาก แต่อันที่จริงแล้วเป็นเท็จ พวกเขาดูเหมือนยอมผ่อนปรน อดกลั้น และเปี่ยมรัก แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นการเสแสร้ง พวกเขาบอกว่าตนรักพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วนี่คือการแสดงละคร ผู้อื่นคิดไปว่าผู้คนเช่นนี้บริสุทธิ์ แต่ตามจริงแล้วนี่เป็นเท็จ จะหาบุคคลที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงพบได้ในที่ใดกัน? ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ล้วนปลอมทั้งสิ้น ทั้งหมดคือการแสดง การเสแสร้ง ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที ดูภายนอกแล้ว พวกเขาสละตนเองเพื่อพระเจ้าและยอมทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา แต่พวกเขากำลังลอบทำสิ่งใดอยู่? พวกเขากำลังทำโครงการของตนเองและดำเนินงานของพวกเขาเองอยู่ในคริสตจักร หากำไรจากคริสตจักร และลอบลักเครื่องบูชาโดยแสร้งทำเป็นว่ากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า… ผู้คนเหล่านี้คือพวกฟาริสียุคใหม่ที่หน้าซื่อใจคด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต) สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นนั้นน่าเศร้าใจและยากสำหรับฉันจริงๆ ฉันทำตัวเหมือนพวกฟาริสีไม่มีผิด พวกเขาชอบใช้พฤติกรรมอันฉาบฉวยของตนมาเล่นละคร จงใจอธิษฐานตามหัวมุมถนนและประกาศพระวจนะของพระเจ้าอยู่บ่อยๆ เพื่อให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาเปี่ยมศรัทธาอย่างแท้จริงและรักพระเจ้ามาก แต่ในที่ลับตาคน พวกเขากลับไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการแสดงเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสเท่านั้น ฉันก็เช่นกัน ฉันให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับพฤติกรรมที่ดูดี พี่น้องชายหญิงจะได้คิดกับฉันในทางที่ดี พอเห็นบางคนทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของตนได้ และได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสจากทุกคน ฉันก็เพียรพยายามที่จะเป็นคนเช่นนั้นบ้าง เมื่อได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันเห็นพี่น้องหญิงทั้งหลายที่เป็นคู่ทำงานของฉันทำงานดึกดื่น ฉันก็บังคับตนเองให้อยู่ดึกเพื่อให้ตัวเองไม่ตามหลังพวกเธอ ฉันจะฝืนทนทำต่อไปไม่ว่าตัวเองจะง่วงขนาดไหน ฉันถึงกับเลิกนอนพักกลางวันตามปกติเพื่อพยายามนำเสนอว่าตนเองเป็นคนที่ทนความยากลำบากได้ ฉันอำพรางตัวทุกครั้งที่มีโอกาส พยายามให้พี่น้องชายหญิงเลื่อมใสด้วยการทำสิ่งดีๆ ให้พวกเขาเห็น การทนทุกข์และสละตนเองแบบนี้ปลอมและหลอกลวงทั้งสิ้น ฉันกำลังเดินบนเส้นทางของพวกฟาริสี—และนี่จะไม่ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจได้อย่างไร? หลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่ฉันอยากอำพรางตนอีก ฉันจะละทิ้งตนเองอย่างมีสติ ไม่แสดงละครต่อหน้าคนอื่น ทั้งยังปรับเปลี่ยนเวลางานและเวลาพักผ่อนของตนเสียด้วย เมื่อเสร็จงานของวันนั้นแล้ว ฉันจึงจะเข้านอน ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงมากเมื่อปฏิบัติเช่นนี้
ฉันไปต่างประเทศในอีกหนึ่งปีให้หลัง พี่น้องชายหญิงที่ฉันทำงานด้วยสามารถทนความยากลำบากในหน้าที่ของพวกเขาได้จริงๆ และทำงานจนดึกดื่นทุกคืน บางครั้งเมื่อทำงานของตนเสร็จแล้ว ฉันก็อยากเข้านอนเร็วๆ แต่ก็กลัวพวกเขาจะคิดว่าฉันใส่ใจเนื้อหนัง นอกจากนี้ฉันยังเป็นผู้นำด้วย ทุกคนจะคิดอย่างไรกับฉันถ้าฉันเข้านอนก่อนพี่น้องชายหญิงคนอื่น? พวกเขาจะพูดกันหรือเปล่าว่าฉันรับมือความทุกข์ไม่ได้และไม่เอาธุระในหน้าที่ของตน? เมื่อคิดเช่นนั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเล่นละครอีกครั้ง และอยู่ดึกไปพร้อมกับพวกเขา แต่พอพ้นตีหนึ่งไปแล้ว ฉันก็จะเริ่มง่วงและเริ่มสัปหงก พวกเขาแนะให้ฉันไปนอนก่อน แต่ฉันก็จะฝืนบังคับตัวเองให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาและบอกว่า “ไม่เป็นไร ฉันยังไหว อีกเดี๋ยวเดียวก็จะไปนอน” แต่แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะลงเอยด้วยการง่วงจนตาลอยอีก บางครั้งฉันทนง่วงไม่ไหวจริงๆ จึงวางหัวลงกับโต๊ะแล้วงีบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีสันติสุขที่ตัวเองทำเช่นนี้ ฉันกังวลว่าคนอื่นจะพูดถึงฉันอย่างไร ฉันจึงรีบทำตัวให้ยุ่งกับงานอีก บางครั้งฉันก็จงใจส่งข้อความในกลุ่มตอนดึกดื่นเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าฉันอยู่ดึกขนาดไหน ว่าฉันกำลังทำหน้าที่ของตนอยู่จนดึก จะได้ดูเหมือนว่าฉันแบกรับภาระ ฉันอยากซื้ออาหารเสริมบางชนิดเพราะมีปัญหาบางอย่างด้านสุขภาพ แต่ฉันก็ห่วงว่าคนอื่นจะพูดกันว่าอย่างไร พวกเขาจะคิดกันหรือเปล่าว่าฉันทะนุถนอมเนื้อหนังของตัวเอง? ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่ซื้อ ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันพบว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งไม่อยู่ในสภาวะที่ดี และเธอจำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมและการเกื้อหนุนบางอย่าง แต่เนื่องจากเธออยู่อีกประเทศในเขตเวลาที่ต่างกัน และทางฉันก็ล่วงเข้ากลางดึกแล้ว เดิมทีฉันจึงคิดว่าจะสามัคคีธรรมกับเธอในวันรุ่งขึ้น แต่แล้วฉันก็คิดว่าการสามัคคีธรรมกับเธอตอนกลางคืนอาจทำให้ดูเหมือนว่าฉันแบกรับภาระเพื่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ดังนั้นฉันจึงติดต่อเธอไปและจบการสามัคคีธรรมเอาประมาณตีสอง เธอบอกฉันว่า “ที่ที่คุณอยู่ดึกมากแล้ว คุณควรไปนอน การทำงานจนดึกดื่นอย่างนี้อยู่เสมอไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ” ฉันพอใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น แม้ฉันจะไม่สบายกาย แต่ก็ไม่ได้สูญเปล่าในเมื่อการทำเช่นนี้ทำให้เธอคิดว่าฉันแบกรับภาระและมีสำนึกรับผิดชอบ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ สารพัดอย่าง หมอบอกฉันว่านี่เกี่ยวเนื่องกับการอดหลับอดนอนเป็นเวลานานๆ ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นและทำเหมือนเดิมต่อไป ในช่วงนี้เองที่ผู้นำระดับสูงคนหนึ่งคอยเตือนฉันเสมอว่าฉันไม่ควรอยู่ดึกเกินไป ว่างานจะไม่ล่าช้าถ้าฉันเข้านอนเร็วและตื่นแต่เช้า ฉันคิดในใจว่าถ้าฉันเข้านอนเร็ว คนอื่นก็จะคิดว่าฉันที่เป็นผู้นำทนความยากลำบากได้ไม่เท่าคนอื่น พอเป็นเช่นนั้น พวกเขายังจะยอมรับนับถือฉันอยู่หรือ? ฉันจึงไม่ได้เอาคำพูดของผู้นำมาใส่ใจ พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นฉันไม่ค่อยสบาย จึงพูดว่า “คุณต้องมีอะไรให้คิดมากเกินไปแน่เลย การมีปัญหาให้แก้มากมายตลอดเวลาและความเครียดทั้งหมดนั้นกำลังส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ในฐานะผู้นำ คุณมีเรื่องให้กังวลมากเหลือเกิน” ฉันรู้สึกพอใจในตัวเองมากเมื่อเธอพูดเช่นนั้น รู้สึกว่าราคาที่ฉันยอมจ่าย ความทุกข์ที่ฉันยอมสู้ทนนั้น ช่างคุ้มค่ากับความเห็นชอบจากคนอื่น ฉันคิดเช่นนี้จนกระทั่งได้อ่านบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าที่ทำให้ฉันเกิดความเข้าใจบางอย่างในเส้นทางผิดๆ ที่ตนเดินอยู่ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด—ซึ่งบ่งบอกชัดเจนถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ ศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยกระทำการตามหลักธรรมความจริง พวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง—ซึ่งเป็นลักษณะที่สำแดงถึงศัตรูของพระคริสต์อย่างชัดแจ้งที่สุด นอกจากความมีหน้ามีตา สถานะ การได้รับพรและรางวัลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าก็คือการสำราญอยู่กับความสุขสบายทางเนื้อหนังและผลประโยชน์ทั้งหลายที่มาพร้อมสถานะ และเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนเป็นธรรมดา ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า พฤติกรรมของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมานั้นไม่เป็นที่รักของพระเจ้า และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำและพฤติกรรมของผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตัวอย่างเช่น ศัตรูของพระคริสต์บางคนที่เป็นอย่างเปาโลนั้นมีปณิธานที่จะทนทุกข์เวลาทำหน้าที่ของตน พวกเขาอดนอนทั้งคืนและไม่กินอาหารเวลาทำงาน พวกเขาสามารถกำราบร่างกายของตน เอาชนะความเจ็บป่วยและความไม่สบายกาย แล้วจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการทำทั้งหมดนี้คืออะไร? คือการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาสามารถละวางตนเอง—ปฏิเสธตัวเอง—เมื่อเป็นพระบัญชาของพระเจ้า สำหรับพวกเขามีแต่หน้าที่เท่านั้น พวกเขาแสดงทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้อื่น เมื่อมีผู้คนอยู่รอบๆ พวกเขาก็ไม่พักผ่อนในยามที่ควรพัก ถึงกับจงใจยืดเวลาทำงานออกไป ตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนเอาดึกดื่น เมื่อศัตรูของพระคริสต์ตรากตรำแบบนี้ตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ ประสิทธิภาพของงานและประสิทธิผลในหน้าที่ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร? สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการคิดคำนึงของพวกเขา พวกเขาเพียงพยายามทำทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้อื่น เพื่อที่ผู้อื่นจะได้เห็นว่าพวกเขาทนทุกข์ และเห็นว่าพวกเขาสละเพื่อพระเจ้าโดยไม่คิดถึงตนเองอย่างไรบ้าง ส่วนหน้าที่ที่พวกเขาทำและงานที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นดำเนินการตามหลักธรรมความจริงหรือไม่ พวกเขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย พวกเขาคิดแต่ว่าทุกคนได้เห็นพฤติกรรมภายนอกอันดีงามของตนแล้วหรือยัง ทุกคนตระหนักรู้พฤติกรรมดังกล่าวของพวกตนหรือไม่ พวกเขาทิ้งภาพจำไว้ให้ทุกคนแล้วหรือยัง และภาพจำนี้จะกระตุ้นให้เกิดความเลื่อมใสและความเห็นชอบในตัวพวกเขาหรือไม่ แล้วลับหลังพวกเขา ผู้คนเหล่านี้จะยกนิ้วให้และสรรเสริญพวกเขาหรือไม่ว่า ‘พวกเขาสู้ทนความยากลำบากได้จริงๆ จิตวิญญาณของการอดทนอดกลั้นและความมุมานะที่ไม่ธรรมดาของพวกเขาพ้นวิสัยของพวกเรา นี่คือคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถทนทุกข์และสู้ทนภาระอันหนักอึ้งได้ พวกเขาคือเสาหลักของคริสตจักร’ เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ศัตรูของพระคริสต์ก็พอใจ พวกเขาคิดในใจว่า ‘ฉันฉลาดมากที่แกล้งทำอย่างนั้น ฉันปราดเปรื่องมากที่ทำแบบนี้! ฉันรู้ว่าทุกคนจะมองแต่ภายนอก และพวกเขาก็ชอบพฤติกรรมอันดีงามเหล่านี้ ฉันรู้ว่าถ้าฉันทำตัวแบบนี้ ก็จะได้รับความเห็นชอบจากผู้คน จะทำให้พวกเขายกนิ้วให้ฉัน ทำให้พวกเขาเลื่อมใสในตัวฉันจากส่วนลึกของหัวใจ มองฉันอย่างนิยมชมชอบ และจะไม่มีใครดูแคลนฉันอีกแล้ว และถ้าวันหนึ่งเบื้องบนเกิดค้นพบว่าฉันไม่ได้ทำงานจริงและปลดฉัน ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีผู้คนมากมายลุกขึ้นมาปกป้องฉัน ร้องไห้เพื่อฉัน ขอให้ฉันอยู่ต่อ และพูดจาแทนฉัน’ พวกเขาแอบปลื้มปริ่มในพฤติกรรมจอมปลอมของตน—และความปลื้มปริ่มนี้ย่อมเผยให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ด้วยมิใช่หรือ? แล้วนี่เป็นแก่นแท้ของอะไร? (ความเลว) ถูกต้อง—นี่คือแก่นแท้ของความเลว” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สิบ)) พระเจ้าทรงเปิดโปงธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ว่าชั่วอย่างร้ายแรง พวกเขาจะใช้กลเม็ดทุกอย่างเพื่อสร้างภาพเทียมเท็จให้ตนสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะควบคุมคนอื่นและเป็นที่เลื่อมใส ตัวอย่างเช่น พวกเขาจงใจยืดเวลาทำงานของตน อยู่ดึกและตื่นเช้า เพื่อให้ดูเหมือนว่าพวกเขาอุทิศตนให้พระเจ้า พวกเขาตรากตรำทำหน้าที่ของตนตั้งแต่ฟ้าสางจวบจนย่ำค่ำ พวกเขาไม่กินอาหารและอดนอน ละเลยความต้องการทางร่างกาย เพื่อให้ผู้คนเลื่อมใสและชื่นชูตน ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ลงเอยด้วยการพาผู้คนมาเบื้องหน้าตนเอง พระเจ้าทรงเกลียดชังและกล่าวโทษพฤติกรรมเช่นนี้ เมื่อเทียบดูตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ไม่สบายใจจริงๆ ฉันทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันพากเพียรแสดงละครในเวลางาน เวลาพักผ่อน รวมทั้งในสิ่งที่ตนเองกิน เพื่อที่จะทำให้คนอื่นเห็นว่าฉันทนความลำบากได้ ไม่ใส่ใจเนื้อหนังของตนเอง และแบกรับภาระเพื่องานของตน และเพื่อให้พวกเขาเลื่อมใสในตัวฉันว่าเป็นผู้นำที่ดี ฉันไม่พักผ่อนเมื่อฉันควรจะทำ และจงใจอยู่ดึกแม้จะไม่จำเป็นต่อหน้าที่ของตน แม้กระทั่งตอนที่ตัวเองเริ่มมีปัญหาบางอย่างทางด้านสุขภาพ ฉันก็เอาแต่ทำอย่างนี้ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคนอื่นจะพูดว่าฉันสนใจเนื้อหนังมากเกินไปและเกิดความรู้สึกไม่ดีกับฉัน กลัวมากเสียจนไม่ยอมซื้ออาหารเสริมที่จำเป็นต่อตัวเอง ฉันสร้างตัวด้วยความกลับกลอก ด้วยการทำตัวดีๆ ให้คนเห็น ทนทุกข์และยอมลำบาก ทำให้คนอื่นคิดว่าฉันไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าฉันขยันและอุทิศตนให้กับหน้าที่ของตน ว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี ทำให้พวกเขาเคารพฉัน ความพยายามและการลงทุนลงแรงของฉันแปดเปื้อนไปด้วยความจอมปลอมและการหลอกลวงทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ฉันดูดีและใช้ภาพลักษณ์ที่เทียมเท็จมาชักจูงให้คนอื่นเข้าใจผิด ฉันอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ฉันไม่อยากทำสิ่งต่างๆ เยี่ยงนี้อีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานว่าพร้อมที่จะสำนึกกลับใจกับพระเจ้าและเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตน
ในเวลาต่อมา ฉันคิดทบทวนถึงสาเหตุที่ฉันตั้งใจเหลือเกินที่จะทำให้ดูเหมือนว่ากำลังสู้ทนความยากลำบาก ฉันตระหนักว่าตัวเองมีมุมมองที่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง ฉันนึกเสมอว่าการทนทุกข์และยอมลำบากได้ และการทำสิ่งดีๆ ให้คนเห็น คือการปฏิบัติความจริงและเป็นการทำให้พระเจ้าพอพระทัย ว่าพระเจ้าจะทรงเห็นชอบในการนี้ แต่ด้วยการเปิดโปงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมองเห็นว่ามุมมองเช่นนี้ไม่เข้าทีเอาเสียเลย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ความประพฤติดีแบบผิวเผินของมนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวแทนของอะไรหรือ? สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของเนื้อหนัง และแม้แต่พิธีปฏิบัติภายนอกที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่ตัวแทนของชีวิต สิ่งเหล่านั้นสามารถแสดงออกได้เพียงภาวะอารมณ์แบบปัจเจกบุคคลของเจ้าเองเท่านั้น พิธีปฏิบัติภายนอกของมนุษยชาติไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้… หากการกระทำทั้งหลายของเจ้ามีจริงอยู่เสมอในการปรากฏภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างสุดขั้ว พวกที่เพียงดำเนินความประพฤติดีแบบผิวเผินและไร้ความเป็นจริงเป็นมนุษย์ลักษณะใดหรือ? ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้นเอง! หากพวกเจ้าไม่สลัดพิธีปฏิบัติภายนอกของพวกเจ้าทิ้งและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นของความหน้าซื่อใจคดในพวกเจ้าก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งองค์ประกอบของความหน้าซื่อใจคดของเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีการต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุด ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่) “ขณะนี้มีบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำจนลืมกินหรือลืมนอน พวกเขาสามารถสยบเนื้อหนัง กบฏต่อความยากลำบากทางกาย ถึงกับทำงานแม้ในยามเจ็บป่วย แม้พวกเขาจะมีข้อดีเหล่านี้ที่ชดเชยข้อเสียได้และเป็นคนดี เป็นคนที่ถูกต้อง แต่ในหัวใจของพวกเขาก็ยังคงมีสิ่งทั้งหลายที่ตนไม่สามารถวางลงได้ นั่นก็คือชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ และความฟุ้งเฟ้อ หากพวกเขาไม่เคยวางสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? คำตอบนั้นประจักษ์ชัดในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนที่ยากที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าคือการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย บางทีเจ้าอาจครองตนไม่แต่งงานได้ตลอดชีวิต หรือไม่เคยกินอาหารที่ดีหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม บางคนถึงกับพูดว่า ‘ถึงฉันต้องทนทุกข์ตลอดชีวิตหรืออยู่โดดเดี่ยวไปทั้งชีวิตก็ไม่เป็นไร ฉันสู้ทนสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีความหมาย’ การเอาชนะและแก้ไขความเจ็บปวดและความยากลำบากทางกายประเภทนี้เป็นเรื่องง่าย สิ่งใดที่ไม่อาจเอาชนะได้โดยง่าย? อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั่นเอง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่สามารถแก้ไขได้จากการยับยั้งตนเองเพียงอย่างเดียว ผู้คนสามารถสู้ทนความทุกข์ทางกายได้เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเข้าสู่ราชอาณาจักรในอนาคต—แต่การสามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้หมายความว่าอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้วใช่หรือไม่? ไม่ใช่เลย ในการวัดว่าอุปนิสัยของใครบางคนเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง จงอย่าดูว่าพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ได้มากเพียงใด หรือดูจากภายนอกแล้วพวกเขามีพฤติกรรมที่ดีมากน้อยเพียงใด หนทางเดียวที่จะวัดได้ถูกต้องว่าอุปนิสัยของบุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยังคือให้ดูที่จุดมุ่งหมาย แรงจูงใจ และเจตนาเบื้องหลังการกระทำ หลักธรรมที่พวกเขาใช้ปฏิบัติตนและรับมือเรื่องราวต่างๆ รวมถึงท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, พฤติกรรมอันดีงามไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยของคนเราเปลี่ยนแปลง) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่าการทนทุกข์ได้และยอมลำบากได้นั้นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะทรงเห็นชอบ ในยุคพระคุณนั้นเห็นได้ชัดว่าเปาโลทนความยากลำบากได้ เขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐและไม่ได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อเขาถูกจำคุก พฤติกรรมของเขาดูน่าเลื่อมใส แต่ความทุกข์และการลงทุนลงแรงทั้งหมดของเขาเป็นไปเพื่อที่จะทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า เขาต้องการเอาความทุกข์ของตนมาแลกเปลี่ยนเป็นมงกุฎและพรจากราชอาณาจักรของพระเจ้า ความประพฤติดีของเขาไม่ได้หมายความว่าเขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยแล้ว การทำดีให้คนเห็นเหล่านี้กลับทำให้เขาอวดตนและเป็นพยานให้ตัวเองอยู่เสมอ ทั้งยังโอหังยิ่งขึ้นทุกที เขาถึงกับเป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสต์ แล้วเขาก็ลงเอยด้วยการถูกพระเจ้ากล่าวโทษและลงทัณฑ์ เมื่อทบทวนตนเอง ฉันกลับคำนึงถึงแต่การประพฤติดีให้เห็นเพื่ออำพรางตนและทำให้ผู้คนยอมรับนับถือฉัน แต่ไม่ได้สนใจที่จะปฏิบัติความจริงหรือแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ผลก็คือฉันกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดยิ่งขึ้นและไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนเลย ถ้าฉันไล่ตามไขว่คว้าเช่นนี้ต่อไป ฉันก็จะไม่ได้รับความจริงอะไรไว้เลยอย่างแน่นอน ฉันมีแต่จะลงเอยด้วยการถูกกำจัดออกไปเหมือนเปาโลเท่านั้น พอคิดเช่นนี้ ฉันก็อยากจะเปลี่ยนมุมมองที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาของตนทันที
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “พระเจ้าประทานร่างกายให้มนุษย์ และความสามารถของร่างกายนั้นจะยังคงดีอยู่ภายในขอบเขตบางประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อล้ำขอบเขตเหล่านี้ไปหรือละเมิดธรรมบัญญัติบางประการ สิ่งทั้งหลายย่อมจะเกิดขึ้น—ผู้คนจะล้มป่วย จงอย่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้มนุษย์ หากเจ้าทำเช่นนั้น ก็หมายความว่าเจ้าไม่เคารพพระเจ้า และหมายความว่าเจ้าเป็นคนโง่เขลาและไม่รู้ความ หากเจ้าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติเหล่านี้—หากเจ้า ‘ออกนอกลู่นอกทาง’—พระเจ้าจะไม่ทรงคุ้มครองเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงรับผิดชอบเจ้า พระเจ้าทรงดูหมิ่นพฤติกรรมเช่นนี้… เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน การหาสมดุลปกติระหว่างการทำงานและการพักผ่อนให้เจอย่อมดีที่สุด เมื่อหน้าที่ของเจ้าเกิดยุ่งขึ้นมา เนื้อหนังของเจ้าก็ควรสู้ทนความทุกข์เล็กน้อย เจ้าควรละวางความต้องการทางกายเอาไว้ แต่ต้องไม่ต่อเนื่องเช่นนี้นานเกินไป หากทำเช่นนั้นเจ้าย่อมจะเหนื่อยล้าได้ง่าย และอาจกระทบต่อประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ ในเวลาเช่นนี้เจ้าต้องพักผ่อน จุดมุ่งหมายของการพักผ่อนคืออะไร? ก็เพื่อดูแลร่างกายของเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีขึ้น แต่หากเจ้าไม่ได้เหนื่อยล้าทางกายแต่กลับหาโอกาสที่จะทำตัวหย่อนยานอยู่เสมอไม่ว่าหน้าที่ของเจ้ายุ่งหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ไร้ซึ่งการอุทิศตน นอกจากการอุทิศตนและการปฏิบัติหน้าที่ที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว เจ้าต้องไม่ทำให้ร่างกายของตนเหนื่อยล้าด้วย เจ้าต้องจับความเข้าใจในหลักธรรมข้อนี้ เมื่อหน้าที่ของเจ้าไม่ยุ่ง ก็จงพักผ่อนตามตารางที่วางไว้ เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็จงปฏิบัติการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ อธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมความจริงของพระวจนะของพระเจ้าร่วมกัน หรือเรียนรู้บทสวดสรรเสริญตามปกติ เมื่อหน้าที่ของเจ้ายุ่ง จงมุ่งเน้นกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และผนวกพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับชีวิตจริงของเจ้า สิ่งจะทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามหลักธรรมความจริงเป็นเรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้คือการปรับเปลี่ยนที่เจ้าควรทำ” (การสามัคคีธรรมของพระเจ้า) การได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ความกระจ่างแก่ฉันอย่างมาก พระเจ้าทรงให้พวกเราดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงบัญญัติเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ใช้ชีวิตและพักผ่อนอย่างถูกต้องเหมาะสม และทำหน้าที่ของตนบนรากฐานนี้ เมื่องานของพวกเราจำต้องมีการทนทุกข์บ้างและต้องให้พวกเรายอมแลก พวกเราก็ต้องละทิ้งเนื้อหนัง พยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้งานสำเร็จ เมื่องานของพวกเราไม่จำเป็นต้องให้พวกเราอยู่ดึก พวกเราก็ควรทำงานและเข้านอนอย่างถูกต้องเหมาะสม และรักษาสภาพจิตใจที่ดีเอาไว้ เมื่อทำเช่นนี้ พวกเราก็ย่อมจะมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนได้ ฉันนึกถึงข้อความนี้ในพระคัมภีร์ที่ว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน’ นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก” (มัทธิว 22:37-38) พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเราจะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ในหน้าที่ของตนได้ แบกรับภาระอย่างแท้จริง และทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจ นี่ย่อมได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า เมื่อคำนึงถึงเส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้พวกเราเห็น ฉันก็มองเห็นว่าตัวเองเขลาขนาดไหน พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนถึงปานนั้น แต่ฉันก็ไม่เคยเอามาปฏิบัติ ฉันกระทำการตามมโนคติที่หลงผิดและความคิดฝันของตนเองเสมอมา และก้าวผ่านความทุกข์ที่ไร้ซึ่งความหมายมากมายนัก ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่อาจมุ่งแต่จะทำความดีให้คนเห็นต่อไปได้ ว่าฉันควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ทำทุกสิ่งทุกอย่างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่คำนึงว่าผู้คนจะคิดอย่างไร และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ชำแหละตามที่ชุมนุมทั้งหลายว่าตนเองหลงผิดอย่างไร ทั้งยังชำแหละมุมมองที่ผิดพลาดของตน เพื่อให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณ โดยปกติแล้วฉันจะเน้นการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และทุ่มเทหัวใจให้กับเรื่องที่ว่าฉันจะแบกรับภาระในงานของตนได้อย่างไรและจะปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมได้อย่างไร ฉันไม่สนใจที่จะทนทุกข์ให้คนเห็นอยู่เสมอเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากคนอื่นอีกแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เลิกห่วงว่าคนอื่นจะมองฉันอย่างไร และไม่คิดที่จะแสดงละครต่อหน้าคนอื่น ฉันรู้สึกปลอดโปร่งอย่างยิ่ง ฉันได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ว่าพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นคือทิศทางและมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติและการกระทำ ว่าการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าคือความสบายใจอย่างยิ่งและทำให้เป็นอิสระอย่างมาก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา การดำรงชีวิตเช่นนี้ไม่เหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดเท่าใดนัก ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ