มีเพียงการรู้จักตนเองเท่านั้นที่ช่วยในการไล่ตามเสาะหาความจริง

มีผู้คนบางคนที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เล็กน้อยหลังจากที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีและได้เข้าร่วมการเทศนามาหลายครั้งแล้ว  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถท่องคำพูดและคำสอนบางคำที่ฟังดูเหมือนล้วนแต่คล้อยตามความจริง  แต่ถึงกระนั้นเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริง พวกเขาไม่สามารถทำแม้แต่หนึ่งสิ่งที่ตรงตามความจริงได้  อาจพูดได้อีกด้วยว่าในช่วงหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ พวกเขายังไม่ได้ทำแม้แต่สิ่งเดียวเพื่อคุ้มครองงานของคริสตจักรหรือกระทำการที่ยุติธรรมแม้แต่อย่างเดียว  เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไร?  แม้ว่าพวกเขาสามารถพ่นคำพูดและคำสอนบางคำได้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมการรู้จักตนเองของตน สิ่งแรกที่ออกจากปากของพวกเขาคือ “ฉันเป็นมาร เป็นซาตานที่มีชีวิต เป็นใครบางคนที่ขัดขืนพระเจ้า  ฉันกบฏต่อพระองค์และทรยศพระองค์ ฉันเป็นงูพิษ เป็นคนชั่วที่ควรถูกสาปแช่ง”  นี่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริงหรือไม่?  พวกเขาได้แต่พูดสรุปแบบเหมารวมเท่านั้น  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยกตัวอย่าง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เปิดเผยสิ่งที่น่าละอายที่พวกเขาเคยทำออกมาเพื่อการชำแหละ?  ผู้คนบางคนที่ไม่รู้จักแยกแยะได้ยินสิ่งเหล่านี้แล้วก็คิดว่า “เอาละ นั่นคือการรู้จักตนเองที่แท้จริง!  การรู้จักตนเองว่าเป็นมาร และถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง—พวกเขาช่างประสบความสำเร็จมากเสียจริง!”  ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชื่อใหม่ โน้มเอียงที่จะถูกการสนทนานี้ชักพาให้หลงผิด  พวกเขาคิดว่าผู้พูดปราศจากราคีและมีความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ คิดว่านี่คือใครบางคนที่รักความจริง และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้สักชั่วครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น บุคคลผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาเคยจินตนาการเอาไว้ แต่กลับเทียมเท็จและหลอกลวงเป็นพิเศษ มีทักษะในการปลอมแปลงตนและการเสแสร้งแกล้งทำ ซึ่งถือเป็นความผิดหวังอันใหญ่หลวง  ผู้คนสามารถถือว่ารู้จักตนเองอย่างแท้จริงบนพื้นฐานใด?  เจ้าจะพิจารณาแต่สิ่งที่พวกเขาพูดไม่ได้—กุญแจสำคัญคือการพิจารณาว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติและยอมรับความจริงได้หรือไม่  สำหรับบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาไม่เพียงแค่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริง  พวกเขาไม่เพียงแค่พูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงของตนเท่านั้น แต่ยังสามารถทำสิ่งที่พวกเขาพูดได้อย่างแท้จริงด้วย  กล่าวคือ คำพูดและการกระทำของพวกเขาตรงกันอย่างสมบูรณ์  หากสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูสอดคล้องกันและน่าพอใจ แต่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่ดำเนินชีวิตตามสิ่งนั้น เช่นนั้นแล้วในการนี้พวกเขาย่อมกลายเป็นพวกฟาริสีไปแล้ว พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด และแน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ผู้คนมากมายดูเหมือนพูดจาสอดคล้องกันเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมความจริง แต่กลับไม่ตระหนักเวลาที่พวกเขามีการเปิดเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เหล่านี้ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองหรือไม่?  หากผู้คนไม่รู้จักตนเอง พวกเขาใช่ผู้คนที่เข้าใจความจริงหรือไม่?  ทุกคนที่ไม่รู้จักตนเองคือผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริง และทุกคนที่กล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่าเกี่ยวกับการรู้จักตนเองก็มีความเป็นฝ่ายวิญญาณที่เทียมเท็จ พวกเขาเป็นคนโกหก  ผู้คนบางคนดูเหมือนพูดจาสอดคล้องกันมากเวลาที่พวกเขากล่าวคำพูดและคำสอน แต่สภาวะในจิตวิญญาณของพวกเขาด้านชาและปัญญาทึบ พวกเขาไม่รับรู้ และพวกเขาก็ไม่ตอบสนองต่อประเด็นปัญหาใดๆ  อาจพูดได้ว่าพวกเขาด้านชา แต่บางครั้งเมื่อรับฟังพวกเขาพูด จิตวิญญาณของพวกเขาก็ดูเหมือนเฉียบแหลมทีเดียว  ตัวอย่างเช่น ทันทีหลังจากอุบัติการณ์ พวกเขาก็สามารถรู้จักตนเองได้ทันทีว่า “เพิ่งตะกี้นี้เองที่แนวคิดหนึ่งเผยออกมาในตัวฉัน  ฉันคิดเรื่องนั้นแล้วก็ตระหนักว่านั่นเป็นการหลอกลวง ตอนนั้นฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้า”  ผู้คนบางคนที่ไม่รู้จักแยกแยะอิจฉาเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้และพูดว่า “คนคนนี้ตระหนักในทันทีในเวลาที่พวกเขามีการเปิดเผยถึงความเสื่อมทราม และสามารถเปิดอกสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้เช่นกัน  พวกเขาตอบสนองเร็วมาก จิตวิญญาณของพวกเขาเฉียบแหลม พวกเขาเก่งกว่าพวกเรามาก  นี่คือใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง”  นี่ใช่หนทางที่ถูกต้องแม่นยำในการประเมินวัดผู้คนหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วสิ่งใดควรเป็นพื้นฐานสำหรับการประเมินวัดว่าผู้คนรู้จักตนเองจริงๆ หรือไม่?  นั่นต้องไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาเท่านั้น  เจ้ายังต้องดูที่สิ่งที่สำแดงในตัวพวกเขาจริงๆ ด้วย  วิธีการที่เรียบง่ายที่สุดคือการดูว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด  ความสามารถของพวกเขาในการปฏิบัติความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง เพราะบรรดาผู้ที่รู้จักตนอย่างแท้จริงสำแดงการกลับใจใหม่ และมีเพียงเมื่อผู้คนสำแดงการกลับใจใหม่แล้วเท่านั้นพวกเขาจึงจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งอาจรู้ว่าเขาเป็นคนหลอกลวง เขาเต็มไปด้วยกลอุบายและแผนร้ายอันต่ำช้า และพวกเขายังอาจสามารถบอกได้อีกด้วยเวลาที่ผู้อื่นเผยให้เห็นความหลอกลวง  ดังนั้นเจ้าจึงควรดูว่าพวกเขากลับใจและสลัดทิ้งความหลอกลวงของตนอย่างแท้จริงหรือไม่หลังจากยอมรับว่าตนเป็นคนหลอกลวง  และหากพวกเขาเผยให้เห็นความหลอกลวงอีกครั้ง จงดูว่าพวกเขารู้สึกถึงการตำหนิและสำนึกของความละอายด้วยเหตุที่ได้ทำเช่นนั้นไปหรือไม่ ดูว่าพวกเขารู้สึกผิดอย่างจริงใจหรือไม่  หากพวกเขาไม่มีสำนึกของความละอายเลย นับประสาอะไรกับการกลับใจใหม่ เช่นนั้นแล้วการรู้จักตนเองของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ลวกๆ ผ่านๆ  พวกเขาก็แค่ทำอย่างขอไปที ความรู้ของพวกเขาไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง  พวกเขาไม่รู้สึกว่าการหลอกลวงเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายนักหรือว่าเป็นสิ่งเยี่ยงปีศาจ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้สึกว่าการหลอกลวงช่างเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความละอายและสามานย์  พวกเขาคิดว่า “ผู้คนล้วนแต่หลอกลวง  คนพวกเดียวเท่านั้นที่ไม่หลอกลวงก็คือคนโง่เขลา  การหลอกลวงเล็กน้อยไม่ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี  ฉันยังไม่ได้ทำชั่วเลย ฉันไม่ใช่คนที่หลอกลวงที่สุด”  บุคคลเช่นนั้นสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่สามารถ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันหลอกลวงของตนเลย พวกเขาไม่ชิงชังการหลอกลวง และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการรู้จักตนเองก็คือการเสแสร้งแกล้งทำและการพูดคุยที่ว่างเปล่า  การไม่สำนึกถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  เหตุผลที่ผู้คนที่หลอกลวงไม่สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริงก็คือ สำหรับพวกเขาแล้วการยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาสามารถพ่นคำพูดและคำสอนได้มากเพียงใด พวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

คนเราสามารถแยกแยะได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งรักความจริงหรือไม่?  ในแง่มุมหนึ่ง คนเราต้องดูว่าบุคคลนี้สามารถรู้จักตนเองบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ พวกเขาสามารถทบทวนตัวเองและรู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริงได้หรือไม่ ในอีกแง่มุมหนึ่ง คนเราก็ต้องดูว่าพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่  หากพวกเขายอมรับและปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาย่อมเป็นใครบางคนที่รักความจริงและสามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า  หากพวกเขาเพียงแค่รู้จักความจริง แต่ไม่เคยยอมรับหรือปฏิบัติความจริงอย่างที่คนบางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด แต่ฉันไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้” นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ใครบางคนที่รักความจริง  ผู้คนบางคนยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยังพูดอีกด้วยว่าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจและเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หลังจากนั้นกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  คำพูดและการกระทำของพวกเขายังคงเป็นเหมือนก่อน  เวลาที่พวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง ดูราวกับพวกเขากำลังเล่าเรื่องตลกหรือโห่ร้องคำขวัญ  พวกเขาไม่ทบทวนหรือรู้จักตัวเองในห้วงลึกของหัวใจตนเลยแม้แต่น้อย ประเด็นปัญหาสำคัญก็คือพวกเขาไม่มีท่าทีของการสำนึกผิด  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ยอมเปิดเผยความเสื่อมทรามของตนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อทบทวนตัวเองอย่างแท้จริง  ตรงกันข้าม พวกเขากลับกำลังเสแสร้งแกล้งทำเป็นรู้จักตนเองด้วยการทำเป็นขั้นเป็นตอนอย่างขอไปที  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่รู้จักตนเองหรือยอมรับความจริงโดยแท้จริง  เมื่อผู้คนเช่นนั้นพูดถึงการรู้จักตนเอง พวกเขากำลังทำอย่างขอไปที พวกเขากำลังทำการอำพรางตนและฉ้อฉล รวมทั้งมีความเป็นฝ่ายวิญญาณเทียมเท็จ  ผู้คนบางคนเป็นคนหลอกลวง และเมื่อพวกเขาเห็นผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเอง พวกเขาก็คิดว่า “คนอื่นเปิดเผยและชำแหละการหลอกลวงของตนเองกันทุกคน  หากฉันไม่พูดอะไรเลย ทุกคนก็จะคิดว่าฉันไม่รู้จักตัวเอง  เช่นนั้นฉันก็จะต้องทำพอเป็นพิธี!”  หลังจากนั้นพวกเขาก็บรรยายถึงการหลอกลวงของตนเองว่าร้ายแรงอย่างมหันต์ แสดงให้เห็นการหลอกลวงของตนเองอย่างเร้าใจ และการรู้จักตนเองของพวกเขาก็ดูลุ่มลึกอย่างยิ่ง  ทุกคนที่ได้ยินย่อมรู้สึกว่าพวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง ฉะนั้นจึงมองพวกเขาด้วยความอิจฉา ซึ่งส่งผลให้พวกเขารู้สึกราวกับตนเองน่าสรรเสริญ ราวกับพวกเขาเพิ่งประดับประดาตนเองด้วยรัศมี  การรู้จักตนเองในลักษณะที่สัมฤทธิ์ได้โดยการทำอย่างขอไปที ควบคู่ไปกับการอำพรางตนและการฉ้อฉลของพวกเขานี้ ชักพาผู้อื่นให้หลงเชื่อ  เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ มโนธรรมของพวกเขาจะผ่อนคลายได้หรือไม่?  นี่ไม่ใช่การหลอกลวงอย่างโจ่งแจ้งเลยหรอกหรือ?  หากผู้คนเพียงพูดอย่างไร้ความหมายเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง ไม่สำคัญว่าความรู้นั้นจะสูงส่งหรือดีเพียงใด หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่อไป เหมือนที่พวกเขาเคยทำมาก่อน โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  หากผู้คนสามารถจงใจเสแสร้งแกล้งทำและหลอกลวงในหนทางนี้ได้ นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และเป็นเหมือนพวกผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีผิด  ด้วยการพูดถึงการรู้จักตนเองของพวกเขาในหนทางนี้ พวกเขาก็แค่กำลังทำตามกระแสนิยมและพูดอะไรก็ตามที่เหมาะสมกับรสนิยมของทุกคนอยู่เท่านั้น  การรู้จักและการชำแหละตัวเองของพวกเขาไม่เป็นการหลอกลวงหรอกหรือ?  นี่ใช่การรู้จักตนเองอันจริงแท้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้กำลังเปิดเผยและชำแหละตัวเองจากหัวใจ และพวกเขาก็แค่กำลังพูดถึงการรู้จักตนเองในหนทางเทียมเท็จและหลอกลวงเพื่อทำอย่างขอไปทีเท่านั้น  ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาจงใจพูดเกินจริงเพื่อทำให้ปัญหาของตนดูร้ายแรงยิ่งขึ้นยามที่เสวนาเรื่องการรู้จักตนเอง โดยรวมเจตนาและเป้าหมายส่วนตัวเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสและอิจฉาพวกเขา  ในเวลาที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาไม่รู้สึกเป็นหนี้ มโนธรรมของพวกเขาไม่ถูกตำหนิติเตียนหลังจากที่พวกเขาอำพรางตนและกระทำการฉ้อฉล พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหลังจากหลอกลวงและเป็นกบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตน  ผู้คนเช่นนี้ไม่ดื้อแพ่งหรอกหรือ?  หากพวกเขาไม่รู้สึกเป็นหนี้ พวกเขาจะรู้สึกสำนึกผิดได้หรือ?  ใครบางคนที่ปราศจากการสำนึกผิดที่แท้จริงสามารถขัดขืนเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงได้หรือ?  ใครบางคนที่ปราศจากการสำนึกผิดที่แท้จริงสามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้  หากพวกเขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด การพูดถึงการรู้จักตนเองไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่แค่การอำพรางตนและการฉ้อฉลหรอกหรือ?  หลังจากโกหกและหลอกลวงแล้ว ผู้คนบางคนสามารถตระหนักถึงการนั้นและรู้สึกสำนึกผิด  เพราะพวกเขามีสำนึกของความละอาย พวกเขาจึงรู้สึกอับอายที่จะยอมรับกับผู้อื่นถึงความเสื่อมทรามของตนอย่างเปิดเผย แต่พวกเขาสามารถอธิษฐานและเปิดใจตนเองต่อพระเจ้า  พวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ และหลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง  นี่ก็เป็นบุคคลที่รู้จักตนเองและกลับใจได้อย่างแท้จริงเช่นกัน  ใครก็ตามที่กล้าพอที่จะยอมรับกับผู้อื่นว่าพวกเขาโกหกและหลอกลวงเรื่อยมา ทั้งยังสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและเปิดเผยตนเอง ยอมรับการเผยความเสื่อมทรามของตน ย่อมเป็นใครบางคนที่สามารถรู้จักตนเองและกลับใจได้อย่างแท้จริง  หลังจากการอธิษฐานและการแสวงหาความจริงผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็พบเส้นทางของการปฏิบัติและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง  แม้ทุกคนมีแก่นแท้ธรรมชาติที่เหมือนกัน และทุกคนก็มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงก็มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ผู้คนบางคนชื่นชอบการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมุ่งเน้นการทบทวนตัวเองหลังจากเชื่อในพระเจ้า  เมื่อพวกเขามองเห็นการเผยความเสื่อมทรามของตน พวกเขาก็รู้สึกว่าตนติดค้างพระเจ้าและมักจะรับวิธีการต่างๆ ในการยับยั้งมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการโกหกและการหลอกลวงของตน  แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงโกหกและทำการหลอกลวงอยู่เนืองนิจโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้  ตอนนั้นนั่นเองที่พวกเขาตระหนักว่าปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการยับยั้ง  ดังนั้นพวกเขาจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า อธิบายความลำบากยากเย็นของตนต่อพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากข้อจำกัดควบคุมของธรรมชาติที่เป็นบาปและอิทธิพลของซาตาน เพื่อที่จะบรรลุความรอดของพระเจ้า  หลังจากผ่านไปสักพักก็จะมีผลลัพธ์บางอย่าง แต่ไม่มีการแก้ปัญหาอันเป็นรากฐานให้กับการโกหกและการหลอกลวงของพวกเขา  แล้วในที่สุดพวกเขาจึงตระหนักว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้หยั่งรากลงในหัวใจของพวกเขามานานแล้ว โดยเจาะทะลุเข้าไปถึงแก่นของพวกเขา  ธรรมชาติของมนุษย์คือธรรมชาติเยี่ยงซาตาน  ด้วยการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้าและการได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการผูกมัดและข้อจำกัดควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้  เมื่อพระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งและนำทางพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงจะมองเห็นห้วงลึกของความเสื่อมทรามของตน และระลึกรู้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจริงๆ แล้วก็คือผู้สืบสันดานของซาตาน และหากไม่เป็นเพราะพระราชกิจแห่งความรอดโดยพระองค์เองของพระเจ้า ทุกคนก็คงจะทนทุกข์กับความพินาศและการทำลายล้าง  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมองเห็นว่าการที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดโดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร  หลังจากได้รับประสบการณ์กับการนี้ พวกเขาย่อมสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าจากหัวใจของตน และเริ่มเกิดความสำนึกผิดอย่างแท้จริงในหัวใจ  บัดนี้พวกเขามีการตระหนักรู้และเริ่มที่จะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง  ส่วนพวกที่ขาดพร่องการตระหนักรู้ในหัวใจของตนนั้นอาจเรียนรู้ที่จะกล่าวคำพูดฝ่ายวิญญาณบางคำและคำพูดที่มีเหตุผลบางคำได้เช่นกัน  พวกเขาเก่งกาจเป็นพิเศษในการท่องวลีเด็ดที่พวกที่เรียกกันว่า “คนเคร่งศรัทธา” ทวนซ้ำอยู่เนืองนิจ และคำพูดเหล่านี้ก็ฟังดูจริงใจมาก หลอกลวงผู้ที่รับฟังตนจนเสียน้ำตาได้  ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงชอบและเคารพนับถือพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้มีมากมายหรือไม่?  นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกัน?  นี่ไม่ใช่พวกฟาริสีหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนที่หลอกลวงที่สุด  เมื่อพบเจอใครบางคนที่เป็นเช่นนี้ครั้งแรก ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงอาจคิดว่าคนคนนี้มีความเป็นฝ่ายวิญญาณสูง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกคนคนนี้เป็นผู้นำ  ผลลัพธ์คือในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี คนคนนี้ก็ทำให้ผู้คนที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะทั้งหมดนี้มาอยู่ข้างเดียวกับเขา  พวกเขาห้อมล้อมคนคนนี้ แสดงความเห็นชอบและความชื่นชมของตน ขอคำแนะนำจากเขาเมื่อใดก็ตามที่เกิดบางสิ่งขึ้น และถึงขั้นเลียนแบบน้ำเสียงในการพูดของเขา  บรรดาผู้ที่ติดตามเขาเรียนรู้วิธีพ่นคำพูดและคำสอน พวกเขาเรียนรู้การหลอกลวงผู้คนและพระเจ้า แต่ผลก็คือเมื่อบททดสอบมาถึงจริงๆ พวกเขาล้วนแต่คิดลบและอ่อนแอ  พวกเขากังขาและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของตน ไม่แสดงให้เห็นความเชื่อแม้แต่น้อยนิด  นี่เป็นผลลัพธ์จากการเคารพบูชาและทำตามคนคนหนึ่ง  ทั้งๆ ที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีและสามารถพูดคำสอนฝ่ายวิญญาณได้มากมาย พวกเขากลับไม่มีความเป็นจริงความจริงใดเลย  พวกเขาล้วนถูกพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดคนหนึ่งชักพาให้หลงผิดและทำให้หลงใหล  พวกที่ไม่สามารถแยกแยะย่อมถูกหลอกลวงและเลือกเส้นทางที่ผิดได้โดยง่ายมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ย่อมเลอะเลือน และพวกเขาก็ล้วนแต่ถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่ายเกินไป!

ในการเรียนรู้การมีวิจารณญาณแยกแยะ คนเราต้องเรียนรู้วิธีทบทวนและแยกแยะปัญหาของตนเองเป็นอันดับแรก  ในตัวทุกคนมีความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก และการมีอำนาจแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การปฏิบัติตนตามอำเภอใจได้  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนเห็นว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งทีเดียว และสิ่งนี้ก็อาจรับรู้ได้ในชั่วพริบตา แต่อะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นที่ไม่ง่ายที่จะสังเกตเห็น หรือเป็นอุปนิสัยที่ผู้คนรับรู้ได้ไวน้อยกว่า และอุปนิสัยใดยากที่จะตรวจพบในตัวเองหรือในตัวผู้อื่น?  (ฉันไม่มีความรู้สึกไวต่อการหลอกลวง)  ความไม่มีความรู้สึกไวต่อการหลอกลวง แล้วอะไรอีก?  (ความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ)  ความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ  ตัวอย่างเช่น มีผู้คนบางคนที่ทำบางสิ่งบางอย่างและกล่าวอ้างว่าพวกเขาทำสิ่งนั้นเพราะคำนึงถึงผู้อื่น โดยใช้การนี้เป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน  แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาทำสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์ของการไม่ให้ตัวเองต้องเดือดร้อนลำบาก ซึ่งเป็นเหตุจูงใจที่ผู้อื่นไม่ตระหนักรู้ และเป็นสิ่งที่ยากที่จะตรวจพบ  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอื่นใดที่ตรวจพบได้ยากที่สุด?  (การเป็นคนหน้าซื่อใจคด)  นั่นคือการทำบางสิ่งที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เพื่อได้รับการสรรเสริญโดยที่ภายนอกนั้นดูว่าเป็นคนดี แต่ภายในนั้นซ่อนเร้นปรัชญาเยี่ยงซาตานและเหตุจูงใจแอบแฝง  นี่คืออุปนิสัยอันหลอกลวงอย่างหนึ่ง  การนี้ง่ายที่จะแยกแยะหรือไม่?  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำและผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่สามารถแยกแยะบุคคลจำพวกนี้ได้  มีผู้นำและคนทำงานบางคนพูดอย่างชัดเจนและมีตรรกะในตอนที่แก้ปัญหา ราวกับพวกเขามองทะลุปรุโปร่งถึงประเด็นปัญหานั้นแล้ว แต่เมื่อพวกเขาพูดเสร็จแล้วปัญหานั้นก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข  พวกเขาถึงขั้นทำให้เจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าปัญหานั้นได้รับการแก้ไขแล้ว นี่ไม่ใช่การหลอกลวงและการชักพาผู้คนให้หลงผิดหรอกหรือ?  พวกที่ไม่ลงมือกระทำการจริงๆ เวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน รวมทั้งพวกที่กล่าวถ้อยคำที่ว่างเปล่าและสละสลวยอย่างท่วมท้นล้วนแต่เป็นคนหน้าซื่อใจคด  พวกเขาฉลาดแกมโกงและเคี้ยวคดมากเกินไป  หลังจากสมาคมกับบุคคลประเภทนี้เป็นเวลานาน พวกเจ้าสามารถแยกแยะพวกเขาได้หรือไม่?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี?  อะไรคือสาเหตุรากเหง้า?  พูดอย่างชัดเจนก็คือ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้คนที่รังเกียจความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง  พวกเขาชอบที่จะใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานมากกว่า คิดว่านี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาดูสว่างสุกใสและน่าดึงดูดใจ และทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาด้วย  ผู้คนเช่นนี้ไม่กลิ้งกลอกและหลอกลวงหรอกหรือ?  พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมรับความจริง ใครบางคนเช่นนี้สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือ?  ผู้คนบางคนสามารถยอมรับการกระทำผิดของตนด้วยวาจาเมื่อเผชิญหน้ากับการถูกตัดแต่ง แต่กลับขัดขืนในหัวใจของตนว่า “ต่อให้สิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่นั้นถูกต้อง ฉันก็จะไม่ยอมรับสิ่งนั้น  ฉันจะสู้กับคุณไปจนถึงที่สุด!”  พวกเขาปลอมแปลงตัวเองดีทีเดียว พูดว่าพวกเขายอมรับ แต่ในหัวใจของตนนั้นพวกเขากลับไม่ยอมรับ  นี่ก็เป็นอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงเช่นกัน  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามอื่นใดอีกยากที่จะตรวจพบและสังเกตเห็น?  การดื้อแพ่งไม่ยากที่จะพบเห็นหรอกหรือ?  การดื้อแพ่งคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ค่อนข้างซ่อนเร้นเช่นกัน  การดื้อแพ่งมักจะสำแดงเป็นความดึงดันที่ดื้อด้านในทรรศนะและความลำบากยากเย็นของคนเราเองในการยอมรับความจริง  ไม่สำคัญว่าผู้อื่นพูดโดยเป็นไปตามความจริงอย่างไร คนที่ดื้อแพ่งก็ยังคงยึดมั่นในหนทางของตนเองอยู่ดี  คนที่มีอุปนิสัยอันดื้อแพ่งมีแววที่จะยอมรับความจริงน้อยที่สุด  ผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงมักจะซ่อนเร้นอุปนิสัยอันดื้อแพ่งจำพวกนี้ไว้ภายในตัวพวกเขาเอง  เมื่อผู้คนยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างภายในตัวพวกเขาเองอย่างดื้อด้านหรือมีท่าทีของการยืนกรานกับความปรารถนาส่วนตนของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องยากที่จะตรวจพบ  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือ?  การไม่รักความจริงและการรังเกียจความจริงยากที่จะตรวจพบ  ความชั่วช้ายากที่จะตรวจพบ  สิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะตรวจพบคือความโอหังและการหลอกลวง แต่สิ่งอื่นๆ—การดื้อแพ่ง การรังเกียจความจริง ความชั่วช้า ความเลวร้าย—ล้วนแต่ยากที่จะตรวจพบ  สิ่งที่ยากที่สุดที่จะตรวจพบคือความเลวร้าย เพราะความเลวร้ายได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้วและพวกเขาก็เริ่มที่จะเชิดชูความเลวร้าย และแม้แต่ความเลวร้ายที่มากขึ้นก็จะดูเหมือนไม่เลวร้ายสำหรับพวกเขา  ดังนั้นอุปนิสัยอันเลวร้ายจึงตรวจพบได้ยากกว่าอุปนิสัยอันดื้อแพ่งมากขึ้นไปอีก  ผู้คนบางคนพูดว่า “นั่นไม่ง่ายที่จะตรวจพบได้อย่างไร?  ผู้คนล้วนแต่มีตัณหาที่ชั่ว  นั่นไม่ใช่ความเลวร้ายหรอกหรือ?”  นั่นเป็นเรื่องผิวเผิน  อะไรคือความเลวร้ายที่แท้จริง?  สภาวะใดคือสภาวะที่เลวร้ายเวลาที่สภาวะเหล่านั้นสำแดงออกมา?  เวลาที่ผู้คนใช้คำกล่าวที่ฟังดูสูงส่งเพื่อซ่อนเร้นเจตนาที่เลวร้ายและน่าละอายซึ่งฝังอยู่ในห้วงลึกของหัวใจของตน แล้วจึงทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าคำกล่าวเหล่านี้ดีมาก ไม่มีลับลมคมใน และถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และในท้ายที่สุดแล้วก็สัมฤทธิ์เหตุจูงใจแอบแฝงของตน นั่นใช่อุปนิสัยอันเลวร้ายหรือไม่?  เหตุใดจึงเรียกการนี้ว่าการเป็นคนเลวร้ายและไม่เรียกว่าการเป็นคนหลอกลวง?  ในแง่ของอุปนิสัยและแก่นแท้ ความหลอกลวงไม่ได้แย่ขนาดนั้น  การเป็นคนเลวร้ายนั้นร้ายแรงกว่าการเป็นคนหลอกลวง การเป็นคนเลวร้ายเป็นพฤติกรรมที่เคลือบแฝงและสามานย์กว่าความหลอกลวง และเป็นเรื่องยากที่บุคคลทั่วไปจะมองทะลุปรุโปร่งถึงเรื่องนี้  ตัวอย่างเช่น งูใช้คำพูดประเภทใดเพื่อชักนำเอวา?  คำพูดสร้างภาพตบตาที่ฟังดูถูกต้องและดูเหมือนพูดเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เจ้าไม่ตระหนักรู้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติกับคำพูดเหล่านี้หรือมีเจตนาอันมุ่งร้ายใดๆ เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ และในเวลาเดียวกันเจ้าก็ไม่สามารถปล่อยมือจากคำแนะนำเหล่านี้ที่เอ่ยโดยซาตาน  นี่เป็นการทดลอง  เมื่อเจ้าถูกทดลองและเจ้ารับฟังคำพูดประเภทเหล่านี้ เจ้าย่อมอดไม่ได้ที่จะถูกชักนำและมีแววว่าเจ้าจะตกหลุมพราง ด้วยการนั้นจึงเป็นการสัมฤทธิ์เป้าหมายของซาตาน  นี่เรียกว่าความเลวร้าย  งูใช้วิธีการนี้เพื่อชักนำเอวา  นี่ใช่อุปนิสัยประเภทหนึ่งหรือไม่?  (ใช่)  อุปนิสัยประเภทนี้มาจากไหน?  อุปนิสัยประเภทนี้มาจากงู จากซาตาน  อุปนิสัยอันเลวร้ายประเภทนี้ดำรงอยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์  ความเลวร้ายนี้แตกต่างจากตัณหาที่ชั่วของผู้คนหรือไม่?  ตัณหาที่ชั่วเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง  ความเลวร้ายที่แท้จริงคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างดิ่งลึก ซึ่งไม่สามารถแยกแยะได้อย่างสิ้นเชิงสำหรับผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท่ามกลางอุปนิสัยของมนุษย์เรื่องนี้จึงยากที่สุดที่จะตรวจพบ  อุปนิสัยที่เลวร้ายนั้นร้ายแรงที่สุดในตัวบุคคลประเภทใด?  พวกที่ชอบฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่น  พวกเขาเป็นเลิศในการบงการมากเหลือเกินกระทั่งผู้คนที่พวกเขาบงการไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น  บุคคลประเภทนี้มีอุปนิสัยอันเลวร้าย  ผู้คนที่เลวร้ายใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อปิดบังการหลอกลวงของตน ปกปิดบาปของตน และซ่อนเร้นเจตนาแอบแฝง เป้าหมาย และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนบนพื้นฐานของความหลอกลวง  นี่เป็นความเลว  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะใช้วิธีการนานาสารพันเพื่อชักนำ ทดลอง และล่อลวง ทำให้เจ้าติดตามความปรารถนาของพวกเขาและตอบสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขา  นี่ล้วนแต่เลวร้าย  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานแท้ๆ  พวกเจ้าเคยแสดงพฤติกรรมใดแบบนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยแสดงอุปนิสัยอันเลวร้ายแง่มุมใดมากกว่ากัน กล่าวคือ การทดลอง การชักนำ หรือการใช้คำโกหกเพื่อปิดบังคำโกหกอื่นๆ?  (ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนเคยแสดงทั้งหมดนั้นเล็กน้อย)  เจ้ารู้สึกเหมือนเคยแสดงทั้งหมดนั้นเล็กน้อย  กล่าวคือในระดับทางอารมณ์เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้าทั้งเคยแสดงและไม่เคยแสดงพฤติกรรมเหล่านี้  เจ้าไม่สามารถคิดหาหลักฐานได้  เช่นนั้นแล้วในชีวิตประจำวันของเจ้า หากเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเลวร้ายเมื่อเผชิญกับบางสิ่งบางอย่าง เจ้าตระหนักถึงสิ่งนั้นหรือไม่?  อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ภายในอุปนิสัยของทุกคน  ตัวอย่างเช่น มีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้น ดังนั้นเจ้าจึงใช้วิธีการนานาสารพันเพื่อชักพาผู้อื่นให้หลงผิดคิดว่าเจ้าเข้าใจ  นี่เป็นการฉ้อฉล  การฉ้อฉลแบบนี้คือการสำแดงถึงความเลวร้าย  ยังมีการทดลองและการชักนำอีกด้วย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการสำแดงถึงความเลวร้าย  พวกเจ้าทดลองผู้อื่นบ่อยครั้งหรือไม่?  หากพวกเจ้ากำลังพยายามที่จะเข้าใจใครบางคนอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต้องการสามัคคีธรรมกับพวกเขา และนั่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานของตนและเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสม นี่ไม่นับเป็นการทดลอง  แต่หากพวกเจ้ามีเจตนาและจุดประสงค์ส่วนตัว และพวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเข้าใจอุปนิสัย การไล่ตามเสาะหา และความรู้ของบุคคลนี้จริงๆ แต่ในทางกลับกันต้องการที่จะสกัดความคิดส่วนที่อยู่ลึกที่สุดและความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขาออกมา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเรียกว่าความเลวร้าย การทดลอง และการชักนำ  หากเจ้าทำเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีอุปนิสัยอันเลวร้าย นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเร้นหรอกหรือ?  อุปนิสัยประเภทนี้ง่ายที่จะเปลี่ยนหรือไม่?  หากเจ้าสามารถแยกแยะได้ว่าอุปนิสัยแต่ละแง่มุมของเจ้ามีการสำแดงใด แต่ละแง่มุมเหล่านั้นมักจะทำให้เกิดสภาวะใด และทำให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับตัวเจ้าเอง รู้สึกว่าอุปนิสัยประเภทนี้เลวร้ายและเป็นภัยอันตรายเพียงใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกมีภาระที่จะเปลี่ยนแปลงในแง่มุมนี้ และเจ้าย่อมจะสามารถกระหายพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริงได้  ตอนนั้นเองที่เจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงและรับความรอดไว้ได้  แต่หากหลังจากทำให้สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องต้องกันแล้วเจ้าก็ยังคงไม่กระหายความจริง ไม่มีการเป็นหนี้หรือการกล่าวหาใดเลย—นับประสาอะไรกับการกลับใจใหม่ใดๆ—และไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้วย่อมจะเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเปลี่ยนแปลง  และความเข้าใจก็จะไม่ช่วยอะไร เพราะทั้งหมดที่เจ้าจะเข้าใจเป็นแค่เพียงคำสอนเท่านั้น  ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใดของความจริง หากความเข้าใจของเจ้าหยุดอยู่ที่ระดับของคำสอนและไม่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ของเจ้า ย่อมจะไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับคำสอนที่เจ้าเข้าใจ  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะไม่ตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนรวมทั้งไม่กลับใจต่อพระเจ้าและสารภาพ และเจ้าก็จะไม่รู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าและไม่เกลียดชังตัวเอง ดังนั้นเจ้าย่อมจะมีโอกาสเป็นศูนย์ที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าตระหนักถึงว่าปัญหาของตนร้ายแรงเพียงใด แต่เจ้าไม่ใส่ใจและไม่เกลียดชังตัวเอง ยังคงรู้สึกค่อนข้างด้านชาและนิ่งดูดายอยู่ข้างใน ไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และไม่อธิษฐานถึงพระองค์หรือพึ่งพาพระองค์เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง และจะไม่ได้รับความรอด

อะไรคือเงื่อนไขสำหรับการได้รับการช่วยให้รอด?  อันดับแรกเลยก็คือ คนเราต้องเข้าใจความจริงและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าอย่างเต็มใจ  จากนั้นพวกเขาต้องมีความแน่วแน่ที่จะให้ความร่วมมือ และสามารถขัดขืนตัวเองและเต็มใจที่จะปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตัวเอง  ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวรวมถึงอะไรบ้าง?  ความมีหน้ามีตา สถานะ ความฟุ้งเฟ้อ แง่มุมนานาสารพันของผลประโยชน์ของตัวเอง ตลอดจนแผน ความอยากได้อยากมี จุดหมายปลายทางในอนาคต บั้นปลายของตัวเอง—ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนหรืออนาคต—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ถูกรวมไว้ในที่นี้  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ สัมฤทธิ์การฝ่าพ้นในอุปนิสัยเหล่านั้นทีละอย่าง ละทิ้งอุปนิสัยเหล่านั้นไปทีละน้อย เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติความจริงย่อมจะง่ายขึ้นทุกทีสำหรับเจ้า และเจ้าย่อมจะไปถึงสภาวะแห่งการนบนอบพระเจ้า  วุฒิภาวะของเจ้าย่อมจะค่อยๆ เติบโต  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถละทิ้งและรู้เท่าทันถึงความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวเหล่านี้ทีละน้อย อุปนิสัยของเจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลง  พวกเจ้าไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่ระดับใดแล้วในขณะนี้?  จากการเฝ้าสังเกตของเรา ในแง่ของความเป็นจริงความจริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  แล้ววุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าคืออะไร และพวกเจ้ากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะใด?  พวกเจ้าส่วนใหญ่ติดอยู่ในระดับของการปฏิบัติหน้าที่ และยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ช่วงระยะนี้ว่า “ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันหรือไม่?  ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีได้อย่างไร?  การปฏิบัติหน้าที่ของฉันในหนทางนี้เป็นแบบสุกเอาเผากินหรือไม่?”  บางครั้งเวลาที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นแบบสุกเอาเผากินเป็นพิเศษ เจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิในหัวใจของตน  เจ้าจะรู้สึกเหมือนเจ้าติดค้างพระเจ้า รู้สึกว่าเจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ถึงขั้นร้องไห้คร่ำครวญและแสดงความปรารถนาของตนกับพระเจ้าในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์  แต่อีกสองวันถัดมา เจ้าก็กลายเป็นคิดลบอีกครั้ง ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  เจ้าไม่สามารถผ่านช่วงระยะนี้ไปได้เลย  นี่ใช่การมีวุฒิภาวะหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างอุทิศตน ความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยสุดใจและสุดความคิดของพวกเจ้า และความจำเป็นที่จะต้องนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเจ้าสามารถรับเอาหน้าที่ของพวกเจ้าไว้เป็นภารกิจของตัวเอง ทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีโดยปราศจากข้อเรียกร้อง โดยปราศจากการพร่ำบ่น และโดยปราศจากการทำการเลือกของตัวเอง เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมสัมฤทธิ์วุฒิภาวะบางอย่างแล้ว  พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีอยู่เสมอ  เหตุใดพวกเราจึงต้องสามัคคีธรรมการนี้อยู่ต่อไป?  เพราะผู้คนไม่รู้วิธีปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรม พวกเขายังไม่เข้าใจความจริงนานาสารพันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถ้วนทั่ว อีกทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจความจริงและยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริง  ผู้คนบางคนเข้าใจเพียงแค่คำสอนบางคำเท่านั้น แต่ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหรือเข้าสู่คำสอนเหล่านั้น ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์และความเหนื่อยล้า ละโมบความสะดวกสบายฝ่ายเนื้อหนังอยู่เสมอ ยังคงมีทางเลือกของตัวเองมากเกินไป ไม่สามารถปล่อยวางได้ และไม่วางใจมอบหมายตัวเองในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างสุดใจ  พวกเขายังคงมีแผนและข้อเรียกร้องของตัวเอง ความปรารถนา ความคิด และจุดหมายปลายทางในอนาคตส่วนตัวของพวกเขายังคงครอบงำและสามารถควบคุมพวกเขา กล่าวคือ “หากฉันปฏิบัติหน้าที่นี้ ฉันจะมีจุดหมายปลายทางในอนาคตที่ดีในเบื้องหน้าหรือไม่?  มีทักษะใดที่ฉันสามารถเรียนรู้จากการนี้ได้หรือไม่?  ในอนาคตฉันจะสัมฤทธิ์สิ่งใดในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?”  การไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ การพบว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเมื่อการปฏิบัติหน้าที่ยากลำบากเล็กน้อย เหน็ดเหนื่อย หรือขาดพร่องความชื่นชมยินดี รู้สึกไม่ชูใจเมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นคิดลบและยังคงต้องการการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับปรึกษาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขา—นี่คือการขาดพร่องวุฒิภาวะ  นี่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่?  ยังเร็วเกินไปสำหรับการนั้น  ทันทีที่พวกเจ้ารู้ซึ้งถึงหลักธรรมความจริงที่พวกเจ้าควรเข้าใจเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนี้ พวกเจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างได้มาตรฐาน  เมื่อนั้นการเคลื่อนไปข้างหน้าย่อมจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือการรับใช้พระเจ้า ทั้งหมดนั้นพึงต้องมีการทบทวนตัวเองบ่อยครั้ง  ไม่สำคัญว่าคนเราเผยให้เห็นทรรศนะที่ผิดหรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใด พวกเขาต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  คนเราต้องสามารถแยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้นได้  ผู้คนบางคนไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งว่าสิ่งใดเป็นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสิ่งใดไม่เป็นของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ตัวอย่างเช่น สิ่งที่ผู้คนชอบกินหรือสวมใส่ ความเคยชินในรูปแบบการดำเนินชีวิตที่พวกเขามี ตลอดจนมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษและมโนทัศน์ดั้งเดิม—สิ่งเหล่านี้มีบางส่วนที่เกิดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมดั้งเดิม บางส่วนเกิดจากการเลี้ยงดูและมรดกตกทอดในครอบครัว และบางส่วนเกิดจากการขาดพร่องความรู้และความเข้าใจเชิงลึก  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาหลักและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความดีหรือความไม่ดีของความเป็นมนุษย์ของคนเรา และบางอย่างก็สามารถแก้ไขได้ผ่านทางการเรียนรู้และการได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเพิ่มเติม  อย่างไรก็ตาม มโนคติอันหลงผิดหรือทรรศนะที่ผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องได้รับการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผ่านทางการศึกษาแบบมนุษย์ได้  ไม่ว่าในกรณีใด ไม่สำคัญว่ามโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าจะมาจากไหน หากสิ่งเหล่านี้ไม่ตรงกับความจริง เจ้าต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  การไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของคนเราได้  ประเด็นปัญหามากมายที่ไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับความจริงสามารถแก้ไขได้โดยอ้อมด้วยการเข้าใจความจริง  นั่นไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่สามารถแก้ไขได้โดยใช้ความจริง แต่ยังเป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่น พฤติกรรม วิธีการ มโนคติอันหลงผิด และความเคยชินบางอย่างของมนุษย์ด้วย—สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขโดยสมบูรณ์ได้โดยใช้ความจริงเท่านั้น  ความจริงไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเป้าหมายในชีวิต รากฐานของชีวิต และหลักธรรมในการดำรงชีวิตด้วย และความจริงก็สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นและปัญหาทั้งหมดของคนเราได้  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด  อะไรคือกุญแจสำคัญในตอนนี้?  นั่นก็คือการมองเห็นว่าจุดเริ่มต้นของปัญหามากมายสัมพันธ์โดยตรงกับการไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนมากมายไม่รู้วิธีปฏิบัติเมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับพวกเขา และนี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  ผู้คนไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้และรากเหง้าของสิ่งทั้งหลายมากมายนัก และนี่ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเช่นกัน  แต่พวกเขายังคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่เข้าใจความจริงได้อย่างไร?  (ทั้งหมดนั้นเป็นแค่คำพูดและคำสอน)  เช่นนั้นแล้วปัญหาเกี่ยวกับการพูดคำสอนนี้ย่อมต้องได้รับการแก้ไข  จงพูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า ท่องคำสอน และโห่ร้องคำขวัญให้น้อยลง จงพูดอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง ปฏิบัติความจริง พูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองและการชำแหละตนเอง และทำให้ผู้อื่นได้ยินคำพูดซึ่งพวกเขาพบว่าให้ความเจริญใจและเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น  มีเพียงผู้ที่ทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะครองความเป็นจริงความจริง  จงอย่าพ่นคำสอนและพูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า จงอย่าพูดถ้อยคำที่หน้าซื่อใจคดและหลอกลวง และจงอย่าพูดถ้อยคำที่ไม่ให้ความเจริญใจ  เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงถ้อยคำประเภทนี้ได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องตระหนักและมองทะลุปรุโปร่งถึงความน่าเกลียด ความโง่เง่า และความไร้เหตุผลของสิ่งเหล่านี้ จากนั้นเจ้าจึงจะสามารถขัดขืนเนื้อหนังได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังต้องมีเหตุผลด้วย  ยิ่งบุคคลหนึ่งมีเหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะพูดอย่างถูกต้องแม่นยำและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ยิ่งจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น คำพูดของพวกเขาก็ยิ่งจะกลายเป็นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจะพูดเรื่องไร้สาระน้อยลงเท่านั้น  และในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาย่อมจะรังเกียจถ้อยคำที่ว่างเปล่า คำพูดที่เกินจริง และการโป้ปดมดเท็จเหล่านั้น  ผู้คนบางคนมีความฟุ้งเฟ้อมากเกินไปและต้องการที่จะพูดสิ่งที่ดีเพื่อปลอมแปลงตนเองอยู่เสมอ ต้องการที่จะได้มาซึ่งสถานะในหัวใจของผู้อื่นและได้รับการเคารพนับถือจากผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าดีมาก เป็นคนดี และควรค่ากับความเลื่อมใสเป็นพิเศษ  พวกเขามีเจตนาที่จะปลอมแปลงตนเองนี้อยู่เสมอ พวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามควบคุม  ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ซึ่งเป็นรากเหง้าของการทำชั่วของผู้คนในการต่อต้านพระเจ้า เป็นปัญหาที่ยากที่สุดที่จะแก้ไข  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่สามารถชำระให้บริสุทธิ์ได้ และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็ไม่สามารถบรรลุได้ เว้นเสียแต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจและพระเจ้าพระองค์เองจะทรงทำให้ใครบางคนเพียบพร้อม  มิฉะนั้นก็ย่อมจะไม่มีทางที่บุคคลหนึ่งจะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นได้  หากเจ้าเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องทบทวนและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนตามพระวจนะของพระเจ้า ประเมินวัดตัวเองโดยอิงทุกประโยคของพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการเปิดโปงและการพิพากษา และขุดค้นอุปนิสัยและสภาวะอันเสื่อมทรามทั้งหมดของตนไปทีละน้อย  จงเริ่มต้นด้วยการขุดคุ้ยเจตนาและจุดประสงค์ของคำพูดและการกระทำของเจ้า ชำแหละและแยกแยะทุกคำที่เจ้าพูด และไม่มองข้ามสิ่งใดก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในความคิดและความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค้นพบผ่านทางการชำแหละและวิจารณญาณที่เพิ่มขึ้นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้มีแค่เล็กน้อย แต่ค่อนข้างมีเหลือล้น และว่าพิษของซาตานไม่ได้มีจำกัด แต่ค่อนข้างมีมาก  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะค่อยๆ มองเห็นอุปนิสัยและแก่นแท้ตามธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนอย่างชัดเจน และตระหนักว่าซาตานทำให้เจ้าเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด  ในเวลานี้เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าล้ำค่าอย่างที่สุดเพียงใด  ความจริงดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยและธรรมชาติของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามได้  ยาชนิดนี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง มีคุณค่ามากกว่ายาวิเศษใดๆ เสียด้วยซ้ำ  ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะรับความรอดของพระเจ้าไว้ เจ้าจึงไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเต็มใจ ทะนุถนอมทุกแง่มุมของความจริงมากขึ้นทุกที ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นทุกที  เมื่อคนเรามีความรู้สึกนี้ในหัวใจของตน นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงบางอย่างไว้แล้ว และได้หยั่งรากในหนทางที่แท้จริงแล้ว  หากพวกเขาสามารถมีประสบการณ์กับความจริงอย่างลึกซึ้งมากขึ้นและรักพระเจ้าจากหัวใจของตนอย่างแท้จริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตนย่อมจะเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงบางอย่างในพฤติกรรมเป็นเรื่องง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  การแก้ไขประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต้องเริ่มด้วยการรู้จักตนเอง  การนี้พึงต้องมีความใส่ใจ การมุ่งความสนใจไปที่การตรวจสอบเจตนาและสภาวะของคนเราทีละน้อย โดยตรวจสอบเจตนาและแบบอย่างในการพูดอันเป็นนิสัยอยู่เป็นนิตย์  จากนั้นอยู่มาวันหนึ่งย่อมจะมีการตระหนักโดยกะทันหันว่า “ฉันพูดสิ่งที่ดีเพื่อปลอมแปลงตนอยู่เสมอ โดยหวังว่าจะได้รับสถานะในหัวใจของผู้อื่น  นี่คืออุปนิสัยที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง  นี่ไม่ใช่การเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่คล้อยตามความจริง  แบบอย่างในการพูดและเจตนาที่เลวร้ายนี้ไม่ถูกต้อง และต้องมีการเปลี่ยนแปลงและถูกกำจัดทิ้ง”  หลังจากมีการตระหนักเช่นนี้แล้ว เจ้าจะรู้สึกถึงความรุนแรงของอุปนิสัยที่เลวร้ายของตนอย่างชัดเจนขึ้น  เจ้าได้คิดว่าความเลวร้ายก็แค่หมายถึงการมีอยู่ของตัณหาที่ชั่วเล็กน้อยระหว่างชายและหญิง และรู้สึกว่าแม้ว่าเจ้าแสดงให้เห็นความเลวร้ายในแง่มุมนี้ แต่เจ้าก็ไม่ใช่บุคคลที่มีอุปนิสัยที่เลวร้าย  การนี้บ่งชี้ว่าเจ้าขาดพร่องความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยที่เลวร้าย เจ้าดูเหมือนรู้ความหมายผิวเผินของคำว่า “เลวร้าย” แต่ไม่สามารถตระหนักรู้หรือแยกแยะอุปนิสัยที่เลวร้ายได้อย่างแท้จริง และในข้อเท็จจริงนั้นเจ้ายังคงไม่เข้าใจว่าคำว่า “เลวร้าย” หมายความว่าอย่างไร  เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้เผยให้เห็นอุปนิสัยประเภทนี้แล้ว เจ้าก็เริ่มที่จะทบทวนตัวเองและตระหนักถึงอุปนิสัยดังกล่าว และขุดคุ้ยลึกลงไปในจุดเริ่มต้นของอุปนิสัยนั้น และเจ้าก็จะมองเห็นว่าเจ้ามีอุปนิสัยเช่นนั้นจริงๆ  เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำสิ่งใดเป็นลำดับถัดไป?  เจ้าต้องตรวจสอบเจตนาของตนภายในแบบอย่างในการพูดที่คล้ายกันของตนเองอย่างต่อเนื่อง  โดยผ่านทางการขุดคุ้ยอันสม่ำเสมอนี้ เจ้าจะระบุแยกแยะด้วยความจริงแท้และความแม่นยำถูกต้องที่มากขึ้นว่าเจ้ามีอุปนิสัยและแก่นแท้ประเภทนี้อย่างแท้จริง  มีเพียงในวันที่เจ้ายอมรับอย่างแท้จริงว่าจริงๆ แล้วเจ้ามีอุปนิสัยที่เลวร้ายเท่านั้น เจ้าจึงจะเริ่มมีความเกลียดชังและการรังเกียจต่ออุปนิสัยที่เลวร้ายนี้  คนเราเปลี่ยนจากการคิดว่าตนเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม มีสำนึกของความยุติธรรม เป็นคนที่มีความสัตย์สุจริตทางศีลธรรม เป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยา ไปสู่การตระหนักถึงว่าตนมีแก่นแท้ตามธรรมชาติ อย่าง ความโอหัง การดื้อแพ่ง การหลอกลวง ความเลวร้าย และการรังเกียจความจริง  ที่จุดนั้น พวกเขาจะประเมินวัดตัวเองอย่างถูกต้องแม่นยำแล้วและรู้ว่าตนเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง  การเพียงแค่ยอมรับด้วยวาจาหรือตระหนักรู้อย่างลวกๆ ว่าเจ้ามีการสำแดงและสภาวะเหล่านี้จะไม่สร้างความเกลียดชังอันจริงแท้ขึ้นมา  โดยการตระหนักรู้ว่าแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือลักษณะที่น่าคลื่นเหียนของซาตานเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง  การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงจนถึงจุดที่เกลียดชังตนเองพึงต้องมีความเป็นมนุษย์จำพวกใด?  คนเราต้องรักสิ่งที่เป็นบวก รักความจริง รักความเที่ยงธรรมและความชอบธรรม มีมโนธรรมและการตระหนักรู้ มีจิตใจดี และสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้—ผู้คนทุกคนเช่นนี้สามารถรู้จักตนเองและเกลียดชังตนเองได้อย่างแท้จริง  พวกที่ไม่รักความจริงและพวกที่พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความจริงย่อมจะไม่มีวันรู้จักตนเอง  ต่อให้พวกเขาอาจพูดคำบางคำเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่จริงแท้ใดๆ  การรู้จักตนเองเป็นงานที่ลำบากยากเย็นที่สุด  ตัวอย่างเช่น อาจมีใครบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำที่คิดว่า “ขีดความสามารถของฉันนั้นแย่  โดยธรรมชาติแล้วฉันขี้ขลาดและกลัวว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง  ฉันอาจจะถึงขั้นเป็นคนที่ไร้เล่ห์มารยา และขี้ขลาดที่สุดในโลก  ดังนั้นนั่นจึงทำให้ฉันเป็นผู้รับความรอดของพระเจ้าที่ควรค่าที่สุด”  นี่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริงหรือไม่?  เหล่านี้คือคำพูดของผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง  การมีขีดความสามารถแย่หมายความว่าคนเราไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยอัตโนมัติหรือไม่?  คนที่ขี้ขลาดไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วด้วยหรอกหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น มีอุปนิสัยที่เลวร้ายและโอหังมากพอๆ กันในผู้คนเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นอุปนิสัยดังกล่าวก็ถูกซ่อนเร้นอย่างดิ่งลึกทีเดียว ทั้งยังฝังรากมากกว่าของบุคคลปกติทั่วไป  เหตุใดเราจึงพูดว่าอุปนิสัยดังกล่าวถูกซ่อนเร้นอย่างดิ่งลึก?  (เพราะพวกเขาคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นคนดี)  ถูกต้อง  พวกเขาเองถูกลวงให้หลงผิดและถูกชักพาให้หลงผิดโดยภาพลวงตานี้ ซึ่งทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมรับความจริง  พวกเขาคิดว่าตนค่อนข้างดีอยู่แล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับการพิพากษาผู้คนและการเปิดโปงความเสื่อมทรามของพวกเขามุ่งตรงไปยังผู้อื่น ผู้คนที่มีความสามารถเหล่านั้นซึ่งมีอุปนิสัยอันโอหัง ผู้คนเหล่านั้นที่เลวร้าย และพวกที่ชักพาให้หลงผิด—พวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่พระวจนะเหล่านั้นไม่ได้มุ่งตรงไปยังผู้คนเช่นพวกเขา  พวกเขาดีมากพออยู่แล้ว มือของพวกเขาสะอาด และพวกเขาเองก็บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ซึ่งจุดด่างพร้อยทั้งหมด  เมื่อพวกเขาให้นิยามตัวเองแบบนี้ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง?  (เป็นไปไม่ได้)  พวกเขาไม่สามารถรู้จักตนเองได้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาไม่อาจสามารถเข้าใจความจริงทั้งหลายอย่างเช่นเหตุผลที่พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนผู้คน วิธีที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด หรือวิธีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  บุคคลหนึ่งที่ไม่รู้จักตนเองแม้แต่น้อยแน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจความจริง  ทรรศนะที่ผิดเหล่านี้ซึ่งพวกเขาเผยให้เห็นนั้นมากพอที่จะแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่วิปลาสและไร้เหตุผล  ความเข้าใจของพวกเขาไร้เหตุผล และพวกเขาก็ยัดเยียดการเชื่อของตนเองให้พระเจ้า นี่คืออุปนิสัยของความเลวร้ายเช่นกัน  ความเลวร้ายคืออุปนิสัยประเภทหนึ่งที่ไม่เพียงแค่สำแดงในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติระหว่างชายและหญิงเท่านั้น ตัณหาที่ชั่วเล็กน้อยไม่ควรถูกติดป้ายกำกับว่าเป็นความเลวร้ายอันเป็นอุปนิสัย  แต่หากตัณหาที่ชั่วของคนเราแรงกล้าเกินไป และพวกเขาเข้าร่วมในความสำส่อนหรือรักร่วมเพศแบบไม่ลดละอยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็คือเลวร้าย  ผู้คนบางคนไม่สามารถจำแนกความต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้ มองตัณหาที่ชั่วว่าเป็นความเลวร้ายอยู่เสมอ และอธิบายความเลวร้ายในแง่ของตัณหาที่ชั่ว พวกเขาขาดพร่องวิจารณญาณการแยกแยะ  อุปนิสัยอันเลวร้ายยากที่สุดที่จะตระหนักรู้  การกระทำของใครก็ตามที่หลอกลวงและมุ่งร้ายเกินไปล้วนแต่เลวร้าย  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนหลังจากโกหกแล้วก็พูดกับตัวเองในใจว่า “หากฉันไม่แบ่งปันความเข้าใจของฉัน ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร?  ฉันต้องเปิดอกและสามัคคีธรรมเล็กน้อย ทันทีที่ฉันแบ่งปันความเข้าใจของฉันแล้ว นั่นย่อมจะเป็นทั้งหมดที่มีให้กับการนั้น  ฉันจะยอมให้คนอื่นรู้เจตนาที่แท้จริงของฉันและคิดว่าฉันหลอกลวงไม่ได้”  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  การเปิดใจของตัวเองในหนทางที่หลอกลวง—นี่เรียกว่าความเลวร้าย  และหลังจากโกหกแล้ว พวกเขาก็จะเฝ้าสังเกตว่า “มีใครรู้หรือไม่ว่าฉันโกหก?  มีใครมองธาตุแท้ของฉันออกไหม?”  พวกเขาเริ่มที่จะหว่านล้อมเอาข้อมูลจากผู้อื่นและสืบค้นข้อมูลเหล่านั้น นี่ก็เลวร้ายเช่นกัน  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับเค้าอุปนิสัยอันเลวร้าย  ผู้ใดก็ตามที่ทำสิ่งต่างๆ ในหนทางที่มุ่งร้ายและหลอกลวงเป็นพิเศษ ทำให้เป็นเรื่องยากที่ผู้อื่นจะมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งเหล่านั้น ผู้นั้นเป็นคนเลวร้าย  ผู้ใดก็ตามวางอุบายและวางแผนร้ายเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเป็นคนเลวร้าย  ผู้ใดก็ตามที่หลอกลวงผู้คนด้วยการทำสิ่งที่แย่ภายใต้การสร้างภาพตบตาว่ากำลังทำสิ่งที่ดี ทำให้ผู้อื่นทำงานรับใช้พวกเขา เป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในบรรดาคนเลวร้ายทั้งปวง  พญานาคใหญ่สีแดงเป็นผู้ที่เลวร้ายที่สุด ซาตานเป็นผู้ที่เลวร้ายที่สุด พวกราชามารเหล่านั้นผู้ที่เลวร้ายที่สุด มารทั้งหมดนั้นเลวร้าย

ในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คนเราต้องสามารถตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเป็นอันดับแรก  การรู้จักตนเองอย่างแท้จริงเกี่ยวข้องกับการมองทะลุปรุโปร่งและการชำแหละแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนอย่างถ้วนทั่ว ตลอดจนการตระหนักรู้สภาวะนานาสารพันที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทำให้เกิดขึ้น  มีเพียงเมื่อใครบางคนเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างชัดเจนเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเกลียดชังเนื้อหนังของตนและเกลียดชังซาตานได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเมื่อนั้นเท่านั้น  หากพวกเขาไม่สามารถตระหนักถึงสภาวะเหล่านี้ และไม่สามารถทำการเชื่อมโยงและทำให้สภาวะเหล่านี้สอดคล้องต้องกันกับตัวเอง อุปนิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ?  เปลี่ยนแปลงไม่ได้  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยพึงต้องให้คนเราตระหนักถึงสภาวะต่างๆ ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาสร้างขึ้นมา พวกเขาต้องไปให้ถึงจุดที่ไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและนำความจริงไปปฏิบัติ—เมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยของพวกเขาจึงจะสามารถเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงได้  หากพวกเขาไม่สามารถตระหนักถึงจุดเริ่มต้นของสภาวะที่เสื่อมทรามของตน และจำกัดควบคุมตัวเองตามคำพูดและคำสอนที่พวกเขาเข้าใจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขามีพฤติกรรมบางอย่างที่ดีและเปลี่ยนแปลงภายนอกเล็กน้อย การนั้นย่อมไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  เนื่องจากการนั้นไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วอะไรคือบทบาทที่ผู้คนส่วนใหญ่แสดงในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นก็คือบทบาทของคนลงแรง พวกเขาเพียงแค่ทุ่มเทตัวเองและยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ต่างๆ  แม้ว่าพวกเขาก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามุ่งความสนใจไปที่การทำให้สิ่งต่างๆ ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ไม่ใช่การแสวงหาความจริง แต่แค่ทุ่มเทตัวเอง  ในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ดี พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามเป็นพิเศษ และในบางครั้งเมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะจำใจเล็กน้อย  แต่หลังจากนั้นพวกเขาจะตรวจสอบตัวเองและรู้สึกผิด ดังนั้นพวกเขาก็จะทุ่มเทความพยายามมากขึ้นอีกครั้ง เชื่อว่านี่เป็นการกลับใจใหม่  อันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง อีกทั้งไม่ใช่การกลับใจใหม่ที่แท้จริง  การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการรู้จักตนเอง การกลับใจใหม่ที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม  ทันทีที่พฤติกรรมของใครบางคนเปลี่ยนไปแล้ว และพวกเขาสามารถขัดขืนเนื้อหนังของตน นำความจริงไปปฏิบัติ และปรากฏว่าตรงกับหลักธรรมในแง่ของพฤติกรรม นี่ย่อมหมายความว่ามีการกลับใจใหม่ที่จริงแท้  เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไปถึงจุดที่สามารถพูดและกระทำการตามหลักธรรมได้ทีละน้อย คล้อยตามความจริงโดยสมบูรณ์  นี่คือเวลาที่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเริ่มต้น  พวกเจ้าไปถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของตนในตอนนี้?  (โดยผิวเผินแล้วข้าพระองค์มีพฤติกรรมบางอย่างที่ดี)  เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงอยู่ในช่วงเวลาแห่งการทุ่มเทความพยายาม  ผู้คนบางคนทุ่มเทความพยายามเล็กน้อยแล้วก็คิดว่าพวกเขามีส่วนร่วมสนับสนุนแล้วและสมควรได้รับพระพรของพระเจ้า  ภายในนั้นพวกเขาไตร่ตรองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  ฉันทุ่มเทความพยายามไปมากเหลือเกินและสู้ทนความยากลำบากมากยิ่งนัก ฉันจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่?”  การพยายามไปให้ถึงก้นบึ้งของสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ—นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่เป็นความหลอกลวง ความเลวร้าย และความโอหัง  ยิ่งไปกว่านั้น การหวังว่าจะได้รับพระพรจากการทุ่มเทความพยายามบางส่วนในขณะที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ในที่นี้ไม่มีอุปนิสัยอันดื้อแพ่งหรอกหรือ?  การไม่เคยละทิ้งผลประโยชน์แห่งสถานะเลย นี่ไม่ใช่การดื้อแพ่งด้วยหรอกหรือ?  พวกเขาเป็นกังวลอยู่เสมอว่า “พระเจ้าจะทรงจดจำได้หรือไม่ว่าฉันได้ทนทุกข์กับความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่นี้?  พระองค์จะประทานพระพรให้ฉันบ้างหรือไม่?”  ในจิตใจของพวกเขานั้นพวกเขาทำการคิดคำนวณเหล่านี้อยู่เสมอ  ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำข้อตกลงอยู่ แต่ในข้อเท็จจริงนั้นในที่นี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่กำลังส่งผลอยู่หลายประเภท  การต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ การต้องการรับพระพรไว้จากการเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอ การต้องการฉวยประโยชน์และไม่ทนทุกข์กับการสูญเสียอยู่เสมอ การเข้าร่วมในวิถีทางที่คดโกงและซ่อนเร้นทุจริตอยู่เสมอ—นี่กำลังถูกอุปนิสัยที่ชั่วครอบงำ  ในแต่ละครั้งที่บุคคลเช่นนั้นทุ่มเทความพยายามบางส่วนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาต้องการรู้ว่า “ฉันจะรับพระพรไว้จากความพยายามทั้งหมดที่ฉันทุ่มเทออกไปหรือไม่?  ฉันจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่หลังจากทนทุกข์มากมายเหลือเกินเพื่อเชื่อในพระเจ้า?  พระเจ้าจะทรงเห็นชอบในตัวฉันหรือไม่ด้วยเหตุที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉัน?  พระเจ้าทรงยอมรับฉันหรือไม่?”  พวกเขาไตร่ตรองคำถามเหล่านี้ตลอดทั้งวัน  หากพวกเขาขบคิดคำถามเหล่านี้ไม่ออกเป็นเวลาหนึ่งวัน พวกเขาจะกลายเป็นไม่สบายใจในวันนั้น ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือยอมลำบาก และถึงขั้นเต็มใจน้อยลงที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อถูกจำกัดควบคุมและพันธนาการโดยเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ พวกเขาจึงขาดพร่องความเชื่อที่แท้จริงใดๆ  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริง  พวกเขาไม่เชื่อว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงจะนำพระพรของพระเจ้ามาอย่างแน่นอน  ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขารังเกียจความจริง  ต่อให้พวกเขาต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ขาดพร่องพลังที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริง  บุคคลนี้เผชิญกับปัญหาในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เนืองนิจ และพวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอบ่อยครั้ง  พวกเขาคร่ำครวญคำพร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น และเมื่อความวิบัติบังเกิดขึ้นกับพวกเขาหรือพวกเขาถูกจับกุม พวกเขาก็พิจารณาว่าพระเจ้าไม่ได้กำลังทรงคุ้มครองพวกเขาและไม่ต้องประสงค์พวกเขา และส่งตัวเองไปสู่ความท้อแท้สิ้นหวัง  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่ไม่ใช่ความชั่วช้าหรอกหรือ?  บุคคลนี้จะทำสิ่งใดทันทีที่พวกเขารู้สึกถึงความคับแค้นใจ?  พวกเขาจะคิดลบและหย่อนยานอย่างแน่นอนที่สุด พวกเขาจะชูมือยอมแพ้ด้วยความสิ้นหวัง  และพวกเขาจะกล่าวหาพวกผู้นำและคนทำงานว่าเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์อยู่เนืองนิจ  พวกเขาอาจจะถึงขั้นพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและทำการตัดสินเกี่ยวกับพระองค์โดยตรง  อะไรทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น?  พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันชั่วช้า  พวกเขาเชื่อตามทรรศนะปุถุชนและตรรกะเยี่ยงซาตานว่าต้องมีผลตอบแทนจากการลงทุนทุกครั้ง  หากปราศจากค่าตอบแทนดังกล่าว พวกเขาจะไม่ลงทุนอีกต่อไป  พวกเขามีกรอบความคิดแบบตอบแทนและเสาะแสวงที่จะละทิ้งหน้าที่ของตน ไม่ยอมทำหน้าที่ของตน และเรียกร้องค่าตอบแทน  การนี้ไม่ชั่วช้าหรอกหรือ?  การนี้คล้ายกับเปาโลในแบบใด?  (เปาโลเชื่อว่าทันทีที่เขาได้เสร็จสิ้นการแข่งขันครั้งนี้และได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว มงกุฎแห่งความชอบธรรมจะถูกสงวนไว้เพื่อเขา)  วิธีที่สิ่งเหล่านี้เข้ากันได้กับเปาโลเป็นเช่นนี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน  พวกเจ้าเองแสดงการสำแดงใดแบบนี้ของเปาโลออกมาให้เห็นหรือไม่?  พวกเจ้าเข้าร่วมในการเปรียบเทียบตนเองเช่นนี้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าย่อมจะไม่สามารถรู้จักตนเองได้  โดยการตระหนักถึงแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะสามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าตระหนักรู้เพียงแค่สิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิดแบบผิวเผินเท่านั้น หรือเพียงแค่ยอมรับว่าพวกเจ้าเป็นมารและซาตานตนหนึ่ง การนี้ก็มีลักษณะทั่วไปและว่างเปล่าเกินไป  การนี้เป็นการแสร้งทำเป็นลึกซึ้ง เป็นการปลอมแปลงตน เป็นการฉ้อฉล  การพูดถึงการรู้จักตนเองในหนทางนี้เป็นการแสร้งทำว่ามีความเป็นฝ่ายวิญญาณ เป็นการชักพาให้หลงเชื่อ

พวกเจ้าเคยเห็นวิธีที่คนที่หลอกลวงพยายามที่จะรู้จักตนเองหรือไม่?  พวกเขาพยายามทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ พูดถึงว่าพวกเขาเป็นมารและซาตานอย่างไร และถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง แต่ถึงกระนั้นพวกเขากลับไม่พูดถึงความประพฤติที่อำมหิตและชั่วที่พวกเขาได้ทำลงไป ทั้งพวกเขาไม่ชำแหละความโสโครกและความเสื่อมทรามในหัวใจของตน  พวกเขาเอาแต่พูดว่าตนเป็นมารและซาตาน ว่าตนขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้า ใช้คำพูดที่ว่างเปล่าและคำกล่าวกว้างๆ มากมายเพื่อกล่าวโทษตัวเอง ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า “เอาล่ะ นี่คือใครบางคนที่รู้จักตนเองจริงๆ พวกเขาช่างมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกเสียจริง”  พวกเขาปล่อยให้ผู้อื่นมองเห็นว่าพวกเขามีความเป็นฝ่ายจิตวิญญาณเพียงใด ทำให้ผู้อื่นทุกคนอิจฉาพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริง  แต่หลังจากรู้จักตนเองในหนทางนี้มาเป็นเวลาหลายปี พวกเขาก็ยังคงไม่ได้กลับใจอย่างจริงแท้ และคนเราก็มองไม่เห็นสถานการณ์ใดๆ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นนำความจริงไปปฏิบัติหรือทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมจริงๆ  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโปงปัญหาที่ว่า นี่ไม่ใช่การรู้จักตนเองที่แท้จริง  นี่เป็นการปลอมแปลงตนและการฉ้อโกง และบุคคลนี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด  ไม่สำคัญว่าใครบางคนพูดถึงการรู้จักตนเองอย่างไร จงอย่ามุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่ว่าคำพูดของพวกเขาฟังดูดีเพียงใดหรือความรู้ของพวกเขาลุ่มลึกเพียงใด  อะไรคือกุญแจสำคัญที่จะเฝ้าสังเกต?  จงสังเกตว่าพวกเขาสามารถนำความจริงมากเพียงใดไปปฏิบัติ และจงสังเกตว่าพวกเขาสามารถยึดมั่นในหลักธรรมความจริงเพื่อค้ำจุนงานของคริสตจักรได้หรือไม่  ตัวบ่งชี้สองอย่างนี้มากพอที่จะบอกว่าใครบางคนได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงแล้วหรือยัง  นี่คือหลักธรรมสำหรับการประเมินวัดและแยกแยะผู้คน  จงอย่ารับฟังสิ่งดีๆ ที่ออกมาจากปากของพวกเขา จงเฝ้าสังเกตว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาทำสิ่งใด  มีบางคนที่ภายนอกนั้นดูเหมือนถือจริงจังกับการรู้จักตนเองเวลาที่เสวนาเรื่องนี้  พวกเขาพูดกับผู้อื่นถึงแนวคิดที่เข้าใจกันผิดหรือความคิดที่ผิดใดๆ ที่พวกเขามี โดยเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาพูดจบแล้วพวกเขาก็ยังคงไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริงอยู่ดี  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ยังคงไม่ปฏิบัติความจริง ทั้งพวกเขาไม่ยึดมั่นในหลักธรรม ไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักร และไม่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ  การรู้จักตนเอง การเปิดกว้าง และการสามัคคีธรรมประเภทนี้ไม่มีความหมายใดๆ  บางทีบุคคลประเภทนี้อาจจะคิดว่าการรู้จักตนเองในหนทางนี้หมายความว่าพวกเขาได้กลับใจอย่างแท้จริงแล้วและกำลังปฏิบัติความจริง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากเข้าใจการนี้หลายปี  การรู้จักตนเองในหนทางนี้ไม่ใช่แค่การทำอย่างขอไปทีและทำตามขั้นตอนหรอกหรือ?  ไม่มีผลพวงตามจริงอันใด พวกเขาไม่ได้แค่กำลังหยอกตัวเองเล่นหรอกหรือ?  ครั้งหนึ่งเราไปยังที่ไหนสักแห่งและเมื่อเราไปถึง ใครบางคนกำลังตัดหญ้าด้วยเครื่องตัดหญ้า  เครื่องจักรส่งเสียงดังและทำเสียงอึกทึกครึกโครม  สองหรือสามครั้งที่เราไปที่นั่น ในแต่ละครั้งเราได้พบพานกับสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้นเราจึงถามบุคคลนั้นว่า “พวกเจ้าไม่มีเวลาตามกำหนดสำหรับการตัดหญ้าบ้างหรอกหรือ?”  เขาตอบกลับว่า “อ้า ข้าพระองค์ตัดหญ้าเวลาที่ข้าพระองค์เห็นว่าพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว  เรื่องนี้ก็ไม่น่ายินดีสำหรับข้าพระองค์เช่นกัน”  ผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะได้อาจจะได้ยินเรื่องนี้และคิดว่าเขากำลังเป็นคนซื่อสัตย์ พูดอะไรก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของตน  ผู้คนเหล่านั้นอาจจะคิดว่าเขากำลังยอมรับความผิดพลาดของตนและได้รับการรู้จักตนเอง และด้วยเหตุนี้ผู้คนเหล่านั้นจึงถูกชักพาให้หลงผิด  แต่ใครบางคนที่เข้าใจความจริงจะมองเรื่องนี้แบบนั้นหรือ?  อะไรคือมุมมองที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับเรื่องนี้?  บรรดาผู้ที่สามารถมองสถานการณ์นี้ออกจะคิดว่า “คุณไม่ได้กำลังมีความรับผิดชอบขณะที่ทำหน้าที่ของตน คุณไม่ได้ทำเรื่องนี้เพื่อสร้างภาพแค่นั้นหรอกหรือ?”  แต่คนตัดหญ้ากลัวว่าผู้อื่นจะคิดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบนั้นไว้ก่อนล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นหยุดพูด  นี่เป็นวาทศิลป์ที่ค่อนข้างมีทักษะใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในข้อเท็จจริงนั้น เขาได้ขบคิดให้ออกมานานแล้วถึงวิธีจัดการกับสถานการณ์นี้ ชักพาเจ้าให้หลงผิดไว้ก่อนล่วงหน้า และทำให้เจ้าคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อตรงเปิดเผย ว่าเขาสามารถพูดอย่างเปิดอกและยอมรับความผิดพลาดของตนได้  สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ก็คือ “ฉันเข้าใจความจริง ฉันไม่จำเป็นต้องให้คุณบอกฉัน  ฉันจะยอมรับเรื่องนั้นก่อน  พวกเรามาดูกันเถิดว่าคุณสามารถพูดอะไรที่ขัดกับการใช้ถ้อยวลีอันชาญฉลาดของฉันได้บ้าง  นี่เองคือสิ่งที่ฉันจะทำ แล้วคุณจะทำอะไรฉันได้?”  ในที่นี้อุปนิสัยใดกำลังทำงานอยู่?  อันดับแรกเลยก็คือ เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อเขาทำความผิดพลาด เขารู้จักการกลับใจ  นี่คือภาพจำที่เขาให้กับผู้อื่น โดยใช้การปลอมแปลงตนและคำโกหกเพื่อสร้างภาพลวงตาและทำให้ผู้อื่นเคารพยกย่องเขา  เขากำลังคิดคำนวณเป็นพิเศษ รู้ว่าคำพูดของตนจะชักพาผู้อื่นให้หลงผิดในระดับใดและการตอบสนองของผู้คนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร  เขาได้ประเมินวัดทั้งหมดนี้ล่วงหน้าแล้ว  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่เลวอย่างหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาสามารถพูดสิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เพิ่งตระหนักเรื่องนี้ตอนนี้ แต่ได้รู้มานานแล้วว่าการกระทำการในหนทางนี้เป็นการสุกเอาเผากิน ว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้ในตอนนี้ ว่าเขาไม่ควรเสแสร้งปั้นฉากหน้าเช่นนั้น และเขาไม่ควรกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งความภาคภูมิใจของตนเอง  เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจึงยังคงทำเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่การดื้อแพ่งหรอกหรือ?  มีการแสร้งทำ การดื้อแพ่ง และความเลวทรามด้วย  พวกเจ้าสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  บางคนสามารถทำได้เพียงแยกแยะผู้อื่นเท่านั้น แต่แยกแยะตัวเองไม่ได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  หากคนเราสามารถแยกแยะตนเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วในทำนองเดียวกันพวกเขาก็ย่อมสามารถแยกแยะผู้อื่นได้  หากพวกเขาสามารถทำได้เพียงแยกแยะผู้อื่นเท่านั้น แต่แยกแยะตัวเองไม่ได้ นั่นก็หมายความว่ามีปัญหากับอุปนิสัยและลักษณะนิสัยของพวกเขา  การเห็นว่าผู้อื่นสอดคล้องต้องกันกับความจริงอย่างไร แต่ไม่ใช่ว่าตนเองสอดคล้องต้องกันกับความจริงอย่างไร—แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ใครบางคนที่รักความจริง นับประสาอะไรที่จะเป็นผู้ที่ยอมรับความจริง

เมื่อใครบางคนสามารถค้นพบว่าความเสื่อมทรามของตนเป็นปัญหาที่ร้ายแรงเพียงใด นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่?  นั่นเป็นสิ่งที่ดี  ยิ่งเจ้าสามารถค้นพบความเสื่อมทรามของตนและเข้าใจความเสื่อมทรามนั้นอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าสามารถระลึกรู้แก่นแท้ของตัวเองมากขึ้นเท่าใด เมื่อนั้นเจ้าก็ยิ่งสามารถได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งจะอยู่ใกล้การรับความรอดไว้มากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าไร้ความสามารถที่จะค้นพบปัญหาของตนมากขึ้นเท่าใด โดยเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้านั้นดีและน่าพอใจ เมื่อนั้นเจ้าก็ยิ่งอยู่ห่างออกไปจากเส้นทางแห่งความรอดมากขึ้นเท่านั้น—เจ้ายังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่มาก  หากเจ้ามองเห็นใครบางคนที่อวดตัวอยู่เสมอเกี่ยวกับว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนดีเพียงใด รวมทั้งความสามารถของตนในการสามัคคีธรรมความจริงและปฏิบัติความจริง นี่ย่อมพิสูจน์ว่าวุฒิภาวะของบุคคลนั้นเล็กน้อยมาก  พวกเขาเหมือนเด็ก และชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่โตเต็มที่  บุคคลประเภทใดมีความหวังที่จะรับความรอดไว้มากกว่าและสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดได้?  คือบุคคลประเภทที่ระลึกรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองอย่างแท้จริงนั่นเอง  ยิ่งพวกเขาเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามดังกล่าวอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งอยู่ใกล้กับการได้รับการช่วยให้รอดมากขึ้นเท่านั้น  การเข้าใจว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองล้วนแต่มีจุดกำเนิดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตาน โดยมองเห็นว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ว่าพวกเขาไม่สามารถนำความจริงใดๆ ไปปฏิบัติ ว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้นและขาดพร่องความเป็นมนุษย์ใดๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ว่าพวกเขาคือมารที่มีชีวิตและซาตานที่มีชีวิต—นี่คือการรู้แก่นแท้ของความเสื่อมทรามของตนเองอย่างแท้จริง  การเข้าใจเรื่องนี้ในหนทางนี้ทำให้ปัญหานี้ดูค่อนข้างร้ายแรง แต่นี่คือสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่?  (สิ่งที่ดี)  แม้ว่านี่เป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้คนบางคนก็กลายเป็นคิดลบเมื่อพวกเขามองเห็นด้านที่เป็นเยี่ยงมารและเยี่ยงซาตานของตนโดยคิดว่า “ฉันจบเห่แล้วตอนนี้  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน  ฉันจะถูกส่งไปนรกอย่างแน่นอน  ไม่มีทางที่ฉันจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า”  นี่ใช่บางสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่?  จงบอกเราทีว่า มีผู้คนที่เมื่อพวกเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น ก็กลายเป็นคิดลบมากขึ้นหรือไม่?  พวกเขาคิดว่า “ฉันย่อยยับโดยสิ้นเชิง  การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าบังเกิดแก่ฉัน  นี่เป็นการลงโทษ เป็นการลงทัณฑ์อันสาสม  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ฉัน  ฉันไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด”  ผู้คนมีความเห็นผิดเหล่านี้หรือไม่?  (มี)  อันที่จริงแล้วยิ่งคนเราระลึกรู้ความสิ้นหวังของตนมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความหวังสำหรับคนคนนั้นมากขึ้นเท่านั้น  จงอย่าคิดลบ จงอย่าเลิกล้ม  การรู้จักตนเองเป็นสิ่งที่ดี เป็นเส้นทางที่จำเป็นในการรับความรอดไว้  หากคนเราไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิงถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและแก่นแท้ของการต้านทานพระเจ้าของตนในแง่มุมนานาสารพัน และพวกเขาไม่แม้กระทั่งวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นปัญหา  บุคคลประเภทนี้ด้านชา พวกเขาตายแล้ว  การชุบชีวิตคนตายเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว การชุบชีวิตพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

พระเจ้ายังคงทรงให้โอกาสแก่บุคคลประเภทใดในการกลับใจใหม่?  บุคคลประเภทใดยังคงมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด?  ผู้คนเหล่านี้ควรแสดงการสำแดงแบบใดออกมาให้เห็น?  อันดับแรกเลยก็คือ พวกเขาต้องมีสำนึกรับรู้ถึงมโนธรรม  ไม่สำคัญว่าจะบังเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็สามารถยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า โดยเข้าใจในหัวใจของตนว่าเป็นพระเจ้านั่นเองที่กำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด  พวกเขาจะพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทั้งฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งจำพวกนี้จึงเกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันก็วางใจว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งนี้เพื่อช่วยฉันให้รอด  ฉันไม่สามารถกบฏต่อพระองค์หรือสร้างบาดแผลให้พระหทัยของพระองค์ได้  ฉันต้องนบนอบและขัดขืนตัวเอง”  พวกเขามีมโนธรรมนี้  ที่มากกว่านั้น ในแง่ของเหตุผล พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง  ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  พระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนฉันเพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันให้บริสุทธิ์  ไม่ว่าพระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์อย่างไรก็สมเหตุสมผลและถูกต้องเหมาะสมทั้งสิ้น”  นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้คนควรมีหรอกหรือ?  ผู้คนไม่ควรสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าโดยพูดว่า “ข้าพระองค์เป็นมนุษย์  ข้าพระองค์มีความซื่อตรงและศักดิ์ศรี  ข้าพระองค์จะไม่ยอมให้พระองค์ปฏิบัติต่อข้าพระองค์เช่นนี้”  นี่สมเหตุสมผลหรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อุปนิสัยเช่นนี้ขาดพร่องเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติ และพระเจ้าย่อมจะไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด พระองค์ไม่ทรงยอมรับพวกเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สมมติว่าเจ้าได้พูดว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างฉันขึ้นมา ไม่ว่าพระองค์ต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อฉันอย่างไรก็ไม่เป็นไร  พระองค์ทรงสามารถปฏิบัติต่อฉันดังเช่นลาหรือม้าหรือสิ่งอื่นใดก็ได้ทั้งนั้น  ฉันไม่มีทางเลือกหรือข้อกำหนดใดของตัวเองเลย”  หากเจ้าได้พูดเช่นนั้น หากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าลำบากยากเย็นและน่าเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เจ้าจะยังคงต้องการเลือกเฟ้นเอาแต่ที่ถูกใจหรือไม่?  (ไม่)  ถูกต้อง  เจ้าต้องนบนอบ  เจ้านบนอบอย่างไร?  ตอนแรกนั้น เป็นเรื่องหนักและลำบากยากเย็นที่จะทนการนบนอบ  เจ้าต้องการหลีกหนีและไม่ยอมอยู่เสมอ  แล้วเจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน แสวงหาความจริง มองเห็นแก่นแท้ของปัญหาอย่างชัดเจน แล้วจึงค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติ  เจ้าควรเพียงแค่ทุ่มเทหัวใจและความพากเพียรในการปฏิบัติความจริง นบนอบไปทีละน้อย  นี่คือการมีเหตุผล  เจ้าต้องมีเหตุผลประเภทนี้เสียก่อน  เมื่อคนเรามีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาต้องการอะไรอีก?  สำนึกละอายแก่ใจ  คนเราจำเป็นต้องมีสำนึกละอายแก่ใจในสถานการณ์ใดบ้าง?  เมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นความเป็นกบฏ ความคดโกง และความหลอกลวงของตน เมื่อพวกเขาโกหกและเข้าร่วมในการฉ้อโกง—นั้นคือเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องมีการตระหนักรู้และสำนึกละอายแก่ใจ  พวกเขาต้องรู้ว่าการทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ไม่คล้อยตามความจริงและไม่มีศักดิ์ศรี พวกเขาต้องรู้จักรู้สึกสำนึกผิด  ผู้ที่ไม่มีสำนึกละอายแก่ใจเป็นคนหน้าทนและหน้าด้านที่ไม่ควรค่ากับการถูกเรียกว่ามนุษย์  การนั้นจบสิ้นโดยสมบูรณ์แล้วสำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง  ไม่สำคัญว่าความจริงได้รับการสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาไม่รับความจริงนั้นเอาไว้ และไม่สำคัญว่าจะมีการพูดสิ่งใด พวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับการตระหนักรู้อยู่ดี  นี่เรียกว่าการขาดพร่องสำนึกละอายแก่ใจ  ผู้คนที่ปราศจากสำนึกละอายแก่ใจรู้สึกสำนึกผิดได้หรือไม่?  หากปราศจากสำนึกละอายแก่ใจ คนเราย่อมไม่มีศักดิ์ศรี และใครบางคนเช่นนี้ย่อมไม่รู้จักการสำนึกผิด  ผู้คนที่ไม่รู้จักการสำนึกผิดจะกลับตัวได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกที่ไม่สามารถกลับตัวได้ย่อมจะไม่ละทิ้งความชั่วที่อยู่ในมือของตน  “ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ” (โยนาห์ 3:8)  คนเราต้องมีสิ่งใดจึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้?  พวกเขาต้องมีสำนึกละอายแก่ใจ สำนึกรับรู้ถึงมโนธรรม  เมื่อพวกเขาทำความผิดพลาด พวกเขาจะตำหนิตัวเองและรู้สึกสำนึกผิด และพวกเขาจะละทิ้งหนทางที่ผิดของตน  คนประเภทนี้สามารถกลับตัวได้  นี่คือสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ของคนเราควรมีอย่างขั้นต่ำที่สุด  นอกจากมโนธรรม เหตุผล และสำนึกละอายแก่ใจแล้ว จำเป็นต้องมีอะไรอีก?  (ความรักในสิ่งที่เป็นบวก)  ถูกต้อง  ความรักในสิ่งที่เป็นบวกหมายถึงการรักความจริง  มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่เป็นคนมีจิตใจปรานี  คนชั่วรักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่?  คนชั่วรักสิ่งที่เลวร้าย ชั่วช้า และมุ่งร้าย พวกเขารักทุกอย่างที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นลบ  เมื่อเจ้าพูดคุยกับพวกเขาเรื่องสิ่งที่เป็นบวก หรือเรื่องที่ว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและมาจากพระเจ้าอย่างไร พวกเขาไม่ยินดีและไม่สนใจที่จะได้ยินเรื่องเหล่านั้น—พวกเขาไม่มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ไม่สำคัญว่าคนเราสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาดีเพียงใดหรือมีคนพูดกับพวกเขาอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร พวกเขาเพียงแค่ไม่สนใจ และอาจจะถึงขั้นแสดงความไม่เป็นมิตรและความเป็นปรปักษ์เสียด้วยซ้ำ  แต่สายตาของพวกเขาก็เปล่งประกายเมื่อพวกเขาได้ยินใครบางคนพูดถึงความสำราญทางเนื้อหนัง และพวกเขาก็กลายเป็นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วช้าและเลวร้าย และพวกเขาก็ไม่ได้มีจิตใจดี  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจสามารถรักสิ่งที่เป็นบวกได้  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาคำนึงถึงสิ่งที่เป็นบวกอย่างไร?  พวกเขาดูหมิ่นและดูแคลนสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาเย้ยหยันสิ่งเหล่านี้  เมื่อเป็นเรื่องของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาคิดว่า “การเป็นคนที่ซื่อสัตย์มีแต่ทำให้คุณตกอยู่ในความเสียเปรียบ  ฉันขอผ่านก็แล้วกัน!  หากคุณซื่อสัตย์ คุณก็คือคนโง่เขลา  ดูคุณสิ สู้ทนความยากลำบากและทำงานหนักเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่เคยคำนึงถึงอนาคตของตัวเองหรือสุขภาพของตัวเองเลย  ใครจะไปใส่ใจหากคุณหมดแรงล้มลงจากความเหนื่อยล้า?  ฉันทำให้ตัวเองเหนื่อยมากไม่ได้หรอก”  คนอื่นอาจจะพูดว่า “พวกเรามาเตรียมทางหนีปัญหาให้ตัวเองกันเถิด  พวกเราจะทำงานหนักเหมือนคนโง่ไม่ได้หรอก  พวกเราต้องตระเตรียมแผนสำรองของพวกเราเอาไว้ แล้วก็แค่ทุ่มเทความพยายามมากขึ้นอีกเล็กน้อย”  พวกที่ชั่วเหล่านั้นจะมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขาตระหนักเรื่องนี้ดี  แต่เมื่อเป็นเรื่องของการนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์และการสละตนเองเพื่อหน้าที่ของคนเราอย่างอุทิศตน พวกเขากลับรู้สึกถึงความสะอิดสะเอียนและการรังเกียจ และจะไม่เข้าใจความหมายของการนั้น  ใครบางคนเช่นนี้ไม่ชั่วช้าหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ล้วนมีอุปนิสัยอันชั่วช้า  ตราบที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริงและพูดถึงหลักธรรมของการปฏิบัติกับพวกเขา พวกเขาย่อมกลายเป็นคลื่นเหียนและไม่เต็มใจที่จะรับฟัง  พวกเขาจะคิดว่าเรื่องนี้กระทบกระเทือนความภาคภูมิใจของตน สร้างบาดแผลให้ศักดิ์ศรีของตน และพวกเขาก็ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้  ภายในนั้นพวกเขาจะพูดว่า “การพูดเกี่ยวกับความจริง เกี่ยวกับหลักธรรมของการปฏิบัติเรื่อยไป  การพูดถึงการเป็นคนซื่อสัตย์อยู่ตลอด—ความซื่อสัตย์ให้อาหารคุณกินได้หรือ?  การพูดอย่างซื่อสัตย์ทำเงินให้คุณได้หรือ?  การหลอกลวงคือวิธีที่ฉันจะได้รับผลประโยชน์!”  นี่คือตรรกะแบบใด?  นี่คือตรรกะของโจร  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอันชั่วช้าหรอกหรือ?  คนคนนี้มีจิตใจปรานีหรือไม่?  (ไม่)  คนประเภทนี้ไม่สามารถบรรลุความจริงได้  สิ่งเล็กน้อยที่พวกเขาถวาย สละ และละทิ้งจริงๆ นั้นล้วนแต่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายหนึ่ง เป้าหมายที่พวกเขาคิดคำนวณล่วงหน้าอย่างดี  พวกเขาคิดเพียงว่าการเสนอบางสิ่งบางอย่างเป็นข้อตกลงที่ดีหากพวกเขาได้รับกลับคืนมามากกว่า  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วและชั่วช้าอย่างหนึ่ง

คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้าไม่แสวงหาความจริง  พวกเขาชอบคิดกลอุบายและการจัดการเตรียมการของตนเองอยู่เสมอ  ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ได้รับมากมายหลังจากหลายปีของการนี้—พวกเขาจะไม่เข้าใจความจริงอันใดและไม่สามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้  ในเวลานี้พวกเขาจะรู้สึกเสียใจ และคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดที่จะนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์  พวกเขาได้รู้สึกค่อนข้างฉลาดแยบยลในเวลานั้น คิดแผนตามเจตจำนงของตัวเอง แต่ด้วยการที่ยังไม่ได้บรรลุความจริง พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด  ผู้คนทำความเข้าใจความจริงและตื่นขึ้นผ่านทางความล้มเหลวเหล่านี้เท่านั้น  เฉพาะหลังจากที่ชีวิตของพวกเขาทนทุกข์กับความสูญเสียระดับหนึ่งแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงไปอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และเริ่มใช้ทางลัด  หากพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขาคงจะหลีกเลี่ยงทางอ้อมมากมายเหลือเกินตามเส้นทาง  คนบางคนเกิดความเข้าใจความจริงบางประการหลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมายและเผชิญกับความล้มเหลวและความพลั้งพลาดบางอย่าง  พวกเขามองทะลุปรุโปร่งถึงเรื่องเหล่านี้ และสามารถวางใจมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่พระเจ้า นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์อย่างเต็มใจ  ที่จุดนั้น พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  แต่คนที่มีอุปนิสัยที่ชั่วและชั่วช้าย่อมไม่ยอมมอบตัวเองให้กับพระเจ้า  พวกเขาต้องการพึ่งพาความพยายามของตนเองอยู่เสมอ ตั้งคำถามอยู่เสมอว่า “ชะตากรรมควบคุมโดยพระเจ้าจริงๆ หรือ?  พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งจริงๆ หรือ?”  บางคนเมื่อรับฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมเดียวกันในพระนิเวศของพระเจ้า ยิ่งรับฟังมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกขะมักเขม้นมากขึ้น  ยิ่งรับฟังมากขึ้นสภาวะของพวกเขาก็ดีขึ้นและพวกเขาก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง  แต่ผู้อื่นบางคนคิดเพียงว่าการนี้ฟังดูซับซ้อนมากขึ้นทุกที ไม่สามารถบรรลุไปถึงได้มากขึ้น  เหล่านี้คือคนที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  และยังมีคนอื่นๆ ที่รับฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมแล้วรู้สึกรังเกียจและไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง  นี่เผยให้เห็นความแตกต่างในธรรมชาติของผู้คน แยกแกะออกจากแพะ แยกบรรดาผู้ที่รักความจริงออกจากผู้ที่ไม่รักความจริง  กลุ่มหนึ่งยอมรับพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับความจริง และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  อีกกลุ่มไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าพวกเขาจะรับฟังคำเทศนาอย่างไร  พวกเขาคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่ศัพท์แสง และต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงนั้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถละทิ้งแผน ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว และผลประโยชน์ของตนเองได้  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงแม้หลังจากหลายปีแห่งการเชื่อแล้วก็ตาม  ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ภายในคริสตจักรไม่ค่อนข้างประจักษ์ชัดหรอกหรือ?  บรรดาผู้ที่ต้องการพระเจ้าอย่างแท้จริงไม่ได้รับอิทธิพลไม่ว่าผู้อื่นพูดอย่างไร พวกเขายืนกรานในการสละตนเองเพื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกต้อง และเชื่อว่าการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมสูงสุด  พวกที่ชั่วและไม่รักความจริงมีความคิดแล่นอยู่เสมอ  หากในวันนี้พวกเขามองเห็นความหวังริบหรี่ที่จะได้รับพระพร พวกเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถและทำสิ่งที่ดีเพื่อให้ทุกคนเห็น โดยหวังว่าจะเอาชนะใจทุกคน  อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสักพักเมื่อพระเจ้ายังไม่ได้ทรงอวยพรพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นเสียใจและพร่ำบ่น และนี่คือข้อสรุปที่พวกเขามาถึง กล่าวคือ “พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ทรงแสดงให้เห็นความลำเอียง—ฉันไม่แน่ใจนักว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่สัตย์จริง”  พวกเขาไม่สามารถมองพ้นผลประโยชน์ปัจจุบันทันด่วนของตนเองไปได้ หากการนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่กระดิกนิ้ว  นี่ไม่ชั่วช้าหรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด พวกเขาย่อมพยายามที่จะทำข้อตกลงกับผู้นั้น และพวกเขาก็ถึงขั้นอาจหาญที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า  พวกเขาคิดว่า “ฉันจำเป็นต้องเห็นผลประโยชน์อยู่บ้าง แล้วก็ในตอนนี้เลย  ฉันต้องได้ผลประโยชน์ทันที!”  เป็นการใช้กำลังบังคับเสียจริง—จะมากเกินไปไหมที่จะพูดว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันชั่วช้า?  (ไม่)  จะพิสูจน์ความชั่วช้าของพวกเขาได้อย่างไร?  เมื่อพวกเขาเผชิญกับบททดสอบและความวิบัติเล็กน้อย พวกเขาจะไม่สามารถรับมือได้และจะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาจะรู้สึกว่าตนได้ประสบกับความสูญเสีย กล่าวคือ “ฉันลงทุนไปมากมายเหลือเกินและพระเจ้าก็ยังคงไม่ได้ทรงอวยพรฉัน  มีพระเจ้าจริงๆ ด้วยหรือ?  นี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่?”  หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนด้วยความกังขา  พวกเขาต้องการที่จะเห็นกำไร และนี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ทำการพลีอุทิศอย่างเต็มใจและตั้งใจจริง พวกเขาถูกเผยให้เห็นในหนทางนี้  ภรรยาของโยบพูดอะไรเมื่อโยบกำลังได้รับประสบการณ์กับบททดสอบของตน?  (“เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9))  ภรรยาของโยบเป็นผู้ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระเจ้าและละทิ้งพระองค์เมื่อภัยพิบัติโหมกระหน่ำ  เมื่อพระเจ้าประทานพระพร เธอพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้า ท่านเป็นผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่!  ท่านประทานทรัพย์สินให้กับฉันมากมายเหลือเกินรวมทั้งอวยพรฉัน  ฉันจะติดตามท่าน  ท่านคือพระเจ้าของฉัน!”  และเมื่อพระเจ้าทรงเอาทรัพย์สินของเธอไปเสีย เธอก็พูดว่า “ท่านไม่ใช่พระเจ้าของฉัน”  เธอถึงขั้นบอกกับโยบว่า “อย่าไปเชื่อเลย  ไม่มีพระเจ้าหรอก!  หากมีพระเจ้า ท่านจะปล่อยให้พวกโจรเอาทรัพย์สินของพวกเราไปได้อย่างไรกัน?  ทำไมท่านถึงไม่คุ้มครองพวกเรา?”  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วช้าอย่างหนึ่ง  ทันทีที่ผลประโยชน์ของพวกเขามีความเสี่ยง และไม่เป็นไปตามเป้าหมายและความอยากได้อยากมีของตัวเอง พวกเขาก็เดือดดาล ขัดขืน และกลายเป็นยูดาส ทรยศและละทิ้งพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้มีมากมายหรือไม่?  คนชั่วและผู้ไม่เชื่อที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเช่นนั้นอาจยังคงมีอยู่ภายในคริสตจักรในขอบข่ายหนึ่ง  แต่บางคนก็มีเพียงแค่สภาวะประเภทนี้เท่านั้น กล่าวคือ พวกเขามีอุปนิสัยนี้ แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนประเภทนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ามีอุปนิสัยประเภทนี้ นั่นจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  (จำเป็น)  หากเจ้ามีอุปนิสัยประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วย่อมหมายความว่าธรรมชาติของเจ้าก็ชั่วช้าด้วย  ด้วยอุปนิสัยอันชั่วช้าประเภทนี้ เจ้าสามารถต่อต้านพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และกระทำการกับพระองค์อย่างเป็นอริได้ทุกชั่วขณะ  ทุกๆ วันที่เจ้าไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้คือวันที่เจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  เมื่อเจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าย่อมไม่มีหนทางที่จะได้รับความรอด

โยบเป็นมนุษย์ที่มีความเชื่อที่แท้จริง  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเขา เขาขอบคุณพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงบ่มวินัยและทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน  เมื่อสิ้นสุดประสบการณ์ของเขา ตอนที่เขาแก่ชราและพระเจ้าได้ทรงเอาทั้งหมดที่เขามีไปเสีย โยบมีปฏิกิริยาอย่างไร?  ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้พร่ำบ่นเท่านั้น แต่เขายังสรรเสริญพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าด้วย  ในที่นี้มีอุปนิสัยที่เลวร้ายหรือไม่?  มีอุปนิสัยที่ชั่วช้าหรือไม่?  (ไม่มี)  โยบต่อต้านหลังจากเสียทรัพย์สินไปมากมายเหลือเกินหรือไม่?  เขาพร่ำบ่นหรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่ได้พร่ำบ่น เขาสรรเสริญพระเจ้า  นี่คืออุปนิสัยแบบใด?  นี่รวมหลายสิ่งหลายอย่างที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี กล่าวคือ มโนธรรม เหตุผล และความรักที่มีให้กับสิ่งที่เป็นบวก  อันดับแรกเลยคือ โยบมีมโนธรรม  ในหัวใจของเขานั้นเขารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานทุกสิ่งที่เขามี และเขาก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนี้  นอกจากนี้เขาก็มีเหตุผล  คำกล่าวใดของเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีเหตุผล?  (เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21))  คำกล่าวนี้เป็นพยานให้ประสบการณ์ที่แท้จริงและความเข้าใจของโยบเกี่ยวกับบททดสอบของพระเจ้า คำกล่าวนี้สื่อวุฒิภาวะและความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา  โยบมีอะไรอีก?  (ความรักในความจริง)  เรื่องนี้ประเมินวัดอย่างไร?  พวกเราจะมองเห็นความรักที่เขามีให้กับความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงทำให้เขาสูญเสียได้อย่างไร?  (เมื่อบางสิ่งบังเกิดขึ้นกับเขา เขาสามารถแสวงหาความจริงได้)  การแสวงหาความจริงคือการสำแดงถึงการรักความจริง  เวลาที่สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา ไม่สำคัญว่าโยบรู้สึกไม่สบายใจหรือเจ็บปวดเพียงใด เขาก็ไม่ได้พร่ำบ่น—นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการรักความจริงหรอกหรือ?  แล้วอะไรคือการสำแดงถึงการรักความจริงที่สำคัญอีกประการ?  (ความสามารถที่จะนบนอบ)  พวกเรารู้ได้อย่างไรว่านี่คือการสำแดงถึงการรักความจริงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและถูกต้องแม่นยำ?  ผู้คนมักจะพูดว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อผู้คนเป็นประโยชน์และมาพร้อมกับเจตนารมณ์อันดีของพระองค์”  นี่คือความจริงหรือ?  (ใช่)  แต่เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่?  เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงเอาไปเสีย เจ้าสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถ แต่โยบสามารถ  เขาถือว่าคำกล่าวนี้เป็นความจริง—เขาไม่ได้รักความจริงหรอกหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงเอาทั้งหมดที่เขามีไปเสีย ทำให้เขาต้องสูญเสียอย่างสาหัส และเมื่อโยบทนทุกข์จากความเจ็บป่วยร้ายแรงเช่นนั้น เพราะคำกล่าวเดียวนี้—“ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและมาพร้อมกับเจตนารมณ์อันดีของพระองค์”—และเนื่องจากโยบเข้าใจในหัวใจของตนว่านี่คือความจริง ไม่สำคัญว่าเขาทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงเพียงใด เขายังคงสามารถยืนกรานว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราจึงกล่าวว่าโยบรักความจริง  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการใดเพื่อทดสอบโยบ เขายอมรับวิธีการนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอาสิ่งทั้งหลายไปเสียหรือการให้พวกโจรเอาสิ่งเหล่านั้นไป หรือแม้กระทั่งการทำให้โยบเจ็บป่วยด้วยฝีร้าย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดสวนทางกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—แต่โยบปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  เขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?  เขาไม่ได้พร่ำบ่นพระเจ้าสักคำ  นี่คือการรักความจริง การรักความเที่ยงธรรม และการรักความชอบธรรม  เขาพูดกับตัวเองในใจว่า “พระเจ้าทรงเที่ยงธรรมต่อผู้คนอย่างพวกเรายิ่งนักและทรงชอบธรรมยิ่งนัก!  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำย่อมถูกต้อง!”  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถสรรเสริญพระเจ้าโดยพูดว่า “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ฉันจะไม่พร่ำบ่น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นเพียงแค่หนอนแมลง  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรก็ย่อมดีและมีเหตุผลอันชอบธรรม”  เขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง เป็นบางสิ่งที่เป็นบวก  ทั้งที่เขามีความเจ็บปวดและความไม่สบายรุนแรง แต่เขาก็ไม่ได้พร่ำบ่น  นี่คือความรักอันแท้จริงในความจริงที่ทุกคนต้องชื่นชม และนี่ล้วนแต่แสดงให้เห็นอย่างเป็นไปในทางปฏิบัติ  ไม่ว่าเขาสูญเสียไปมากเพียงใดหรือรูปการณ์แวดล้อมของเขาลำบากยากเย็นเพียงใด โยบก็ไม่ได้พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เขากลับนบนอบ  นี่คือการสำแดงถึงการรักความจริง  เขาสามารถเอาชนะความลำบากยากเย็นของตัวเองได้ เขาไม่ได้พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าเนื่องด้วยความลำบากยากเย็นเหล่านั้นหรือสร้างข้อเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า  นี่คือการรักความจริง เป็นการนบนอบอันแท้จริง  มีเพียงผู้ที่มีการนบนอบอันแท้จริงเท่านั้นที่เป็นคนที่รักความจริง  คนบางคนเป็นเลิศในการพ่นคำสอนและโห่ร้องคำขวัญในเวลาปกติ แต่เมื่อบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากลับมีข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เสมอ และอ้อนวอนพระองค์อย่างไม่ลดละว่า “โอ พระเจ้า ได้โปรดทรงนำเอาความเจ็บป่วยของข้าพระองค์ไปเสียเถิด!  ได้โปรดทรงกู้ความอุดมด้วยโภคทรัพย์ของข้าพระองค์คืนด้วยเถิด!”  นี่ใช่การนบนอบหรือไม่?  พวกเขาไม่ใช่คนที่รักความจริง  พวกเขาชอบโกหกและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด รวมทั้งรักความอุดมด้วยโภคทรัพย์และผลประโยชน์ในหัวใจของตน  โยบคำนึงถึงผลประโยชน์ทางวัตถุและสิ่งครอบครองทั้งหมดของเขาอย่างไม่สลักสำคัญ มีความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงสามารถนบนอบได้  ในหัวใจของเขานั้นโยบสามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้  เขาพูดว่า “ไม่สำคัญว่าคนเราหาเงินได้มากเพียงใดในชีวิตนี้ ทั้งหมดนั่นมาจากพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าหาเงินได้ เจ้าย่อมจะหาไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว  หากพระองค์ทรงอนุญาตการนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีมากเท่าที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า”  เขามองเห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งอย่างชัดเจน ความจริงนี้หยั่งรากลงในหัวใจของเขา  “พระเจ้าทรงอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง”—ประโยคนี้ไม่ได้มาพร้อมเครื่องหมายคำถามสำหรับโยบ แต่มาพร้อมเครื่องหมายอัศเจรีย์  ประโยคนี้ได้กลายมาเป็นชีวิตของเขาและลงหลักปักฐานในหัวใจของเขา  มีอะไรอีกที่เป็นลักษณะประจำตัวในความเป็นมนุษย์ของโยบ?  เหตุใดเขาจึงสาปแช่งวันเกิดของตัวเอง?  เขาสู้ตายเสียดีกว่าที่จะให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเจ็บปวดและระทมพระทัยให้กับเขา  นี่เป็นคุณลักษณะแบบใด เป็นแก่นแท้แบบใด?  (ความใจดี)  อะไรคือการสำแดงหลักถึงความใจดีของโยบ?  เขาคำนึงถึงและมีความเข้าใจในพระเจ้า และเขาก็รักความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  หากใครบางคนมีคุณลักษณะเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีความซื่อตรง  ความซื่อตรงเกิดขึ้นมาอย่างไร?  มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริง ผู้ที่สามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนในระหว่างบททดสอบของพระเจ้าและการทดลองของซาตาน ผู้ที่สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ ไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และผู้ที่ครองความจริงประมาณหนึ่งเท่านั้นที่มีความซื่อตรง  ในแง่ของแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ เป็นเพราะโยบมีหัวใจอันดีเท่านั้นเขาจึงสามารถสาปแช่งวันเกิดของตัวเองได้ และสู้ตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเจ็บปวด ทำให้พระเจ้าระทมพระทัยและทรงเป็นกังวล  นี่คือความเป็นมนุษย์ของโยบ  คนคนหนึ่งจะรักและใส่ใจในพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขามีความเป็นมนุษย์และแก่นแท้อันดีเท่านั้น  หากพวกเขาไม่มีทั้งสองอย่างนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะด้านชาและมึนชา  ลองเทียบเคียงการนี้กับเปาโลซึ่งตรงกันข้ามกับโยบอย่างสิ้นเชิง  เปาโลดูแลเอาใจใส่ตัวเองอยู่เสมอ และถึงขั้นต้องการทำข้อตกลงกับพระเจ้า  เขาต้องการได้มาซึ่งมงกุฎ เขาต้องการเป็นพระคริสต์และแทนที่พระคริสต์  และเมื่อเขาไม่สามารถได้รับมงกุฎของตน เขาก็พยายามที่จะโต้เถียงกับพระเจ้าและโต้แย้งพระองค์  ช่างเป็นการไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง!  นี่แสดงให้เห็นว่าเปาโลขาดพร่องสำนึกละอายแก่ใจ  คนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานต้องเปลี่ยนแปลง  หากคนเราเข้าใจความจริง และสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถนบนอบพระเจ้า  พวกเขาจะไม่ต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไปและจะกลายเป็นเข้ากันได้กับพระองค์  คนเช่นนี้เป็นผู้ที่ได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  นี่คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างประเภทที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา

13 กรกฎาคม ค.ศ. 2018

ก่อนหน้า: มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าได้

ถัดไป: โดยการแสวงหาหลักธรรมความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger