21. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพฤติกรรมอันดีงามและได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย”

ผู้คนในโลกศาสนาถามว่า “นับแต่พวกเรามาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราก็ได้ถ่อมใจและอดทนเสมอมา พวกเรารักศัตรูของตน แบกกางเขน ละทิ้งสิ่งของทางโลก ทำงานและประกาศเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเราได้รับการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว  เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พวกเราจะถูกรับขึ้นไปยังราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  แล้วทำไมพวกคุณถึงบอกว่าพวกเราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เล่า?”

ถ้อยคำจากพระคัมภีร์

“ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะเข้าสู่ราชแห่งอาณาจักรสวรรค์ เว้นแต่จะเป็นผู้ที่ติดตามน้ำพระทัยแห่งพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23)

“เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป” (ยอห์น 8:34-35)

“เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาและไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาศัตรู” (ฮีบรู 10:26-27)

“จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

เป็นการง่ายอย่างนั้นเชียวหรือที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในฐานะวิสุทธิชนหรือคนชอบธรรม?  มันเป็นถ้อยแถลงที่แท้จริงว่า “ไม่มีผู้ชอบธรรมบนแผ่นดินโลกนี้ ผู้ชอบธรรมไม่ได้อยู่ในโลกนี้”  เมื่อพวกเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จงพิจารณาสิ่งที่พวกเจ้ากำลังสวมใส่ จงพิจารณาทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเจ้า ทุกความคิดและแนวคิดของพวกเจ้า และแม้กระทั่งบรรดาความฝันที่พวกเจ้าฝันอยู่ทุกวัน—สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าเองทั้งสิ้น  นี่ไม่ใช่รูปการณ์แวดล้อมที่แท้จริงหรอกหรือ?  “ความชอบธรรม” ไม่ได้หมายถึงการให้ทานแก่ผู้อื่น มันไม่ได้หมายถึงการรักเพื่อนบ้านของเจ้าเสมือนตัวเจ้าเอง และมันไม่ได้หมายถึงการละเว้นจากการทะเลาะเบาะแว้งและข้อโต้แย้งหรือการจี้ปล้นและการลักขโมย  ความชอบธรรมหมายถึง การรับเอาพระบัญชาของพระเจ้ามาเป็นหน้าที่ของเจ้า และนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ส่งมาให้เจ้าทำ โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ เสมือนทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้ถูกกระทำโดยองค์พระเยซูเจ้า  นี่คือความชอบธรรมซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้  โลทผู้นั้นอาจถูกเรียกได้ว่าชอบธรรมก็เป็นเพราะเขาได้ช่วยทูตสวรรค์สองตนที่พระเจ้าทรงส่งมาโดยไม่ได้พิจารณาส่วนได้ส่วนเสียของเขาเอง อาจกล่าวได้เพียงแค่ว่าสิ่งที่เขาได้ทำในเวลานั้นอาจเรียกได้ว่าชอบธรรม แต่ไม่อาจเรียกเขาว่าเป็นคนชอบธรรมได้  มันเป็นเพียงเพราะว่าโลทได้เห็นพระเจ้าแล้ว เขาจึงได้มอบลูกสาวสองคนของเขาเพื่อแลกกับทูตสวรรค์ แต่พฤติกรรมในอดีตของเขานั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นตัวแทนของความชอบธรรม  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่า “ไม่มีผู้ชอบธรรมบนแผ่นดินโลกนี้”  แม้กระทั่งในบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสแห่งการฟื้นคืน ก็ไม่มีใครที่สามารถเรียกได้ว่าชอบธรรม  ไม่สำคัญว่าการกระทำต่างๆ ของเจ้าจะดีเพียงใด  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะดูเหมือนว่าถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระเจ้าอีกทั้งไม่มีการชกต่อยและสาปแช่งผู้อื่น และไม่มีการจี้ปล้นและไม่ปล้นสะดมจากผู้อื่น เจ้าก็ยังคงไม่อาจถูกเรียกว่าชอบธรรมได้ เพราะนี่คือสิ่งที่บุคคลธรรมดาสามารถมีได้  สิ่งสำคัญในขณะนี้ก็คือว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า  อาจกล่าวได้เพียงแค่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ เจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีองค์ประกอบของความชอบธรรมที่พระเจ้าได้ตรัสถึง และดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าทำสามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้ารู้จักพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วย่อมจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน

ในศาสนา ผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากมายตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาเอง และแบกทุกข์ของตน พวกเขายังแม้แต่ทนทุกข์และสู้ทนต่อไปเมื่ออยู่บนปากเหวแห่งความตาย!  บางคนยังคงกำลังอดอาหารในตอนเช้าของวันที่พวกเขาตาย  ทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธไม่ให้ตัวเองได้รับอาหารและเสื้อผ้าดีๆ และมุ่งเน้นที่ความทุกข์เท่านั้น  พวกเขาสามารถอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาได้และละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขา  จิตใจที่พวกเขามีให้กับการสู้ทนความทุกข์ช่างน่ายกย่อง  แต่ความคิดของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทัศนคติทางใจของพวกเขา และโดยแท้จริงแล้ว ธรรมชาติเก่าๆ ของพวกเขา ยังไม่ได้ถูกจัดการเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  ภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นภาพแบบดั้งเดิมที่มีพระเจ้าที่คลุมเครือ  ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าของพวกเขามาจากความกระตือรือร้นและบุคลิกลักษณะที่ดีของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทั้งไม่เข้าใจพระองค์หรือรู้น้ำพระทัยของพระองค์  พวกเขาเพียงทำงานและทนทุกข์อย่างหูหนวกตาบอดเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ให้คุณค่าใดๆ กับการหยั่งรู้เลย ใส่ใจวิธีการทำให้แน่ใจว่าการรับใช้ของพวกเขาทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงจริงๆ เพียงเล็กน้อย  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่ใช่พระเจ้าในพระฉายาเนื้อแท้ภายในของพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้จินตนาการ พระเจ้าผู้ที่พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินหรือตำนานเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านในงานเขียนเท่านั้น  แล้วพวกเขาก็ใช้จินตนาการอันกว้างไกลและความเคร่งศาสนาของพวกเขาในการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติ  การรับใช้ของพวกเขาคลาดเคลื่อนเกินไป จนกระทั่งไม่มีพวกเขาคนใดที่มีความสามารถที่จะรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีทนทุกข์อย่างไรก็ตาม มุมมองแต่เดิมของพวกเขาเกี่ยวกับการรับใช้และภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน กระบวนการถลุง และการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า อีกทั้งไม่มีใครคนใดเคยนำพวกเขาโดยใช้ความจริง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาเพียงรู้จักพระองค์โดยผ่านทางตำนานและคำบอกเล่าเท่านั้น  ดังนั้น การรับใช้ของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากกว่าการปิดตารับใช้ไปอย่างไร้แบบแผน ราวกับคนตาบอดที่รับใช้บิดาของเขาเอง  ถึงที่สุดแล้ว การรับใช้เช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดได้บ้าง?  และผู้ใดจะเห็นชอบกับการรับใช้เช่นนั้น?  การรับใช้ของพวกเขายังคงเหมือนเดิมตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด พวกเขาได้รับเพียงบทเรียนที่มนุษย์สร้างขึ้น และอิงการรับใช้ของพวกเขาบนความเป็นธรรมชาติของพวกเขาและความชอบของพวกเขาเองเท่านั้น  สิ่งนี้จะสามารถให้รางวัลใด?  แม้กระทั่งเปโตร ผู้ซึ่งได้มองเห็นพระเยซู ก็ยังไม่รู้วิธีการรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เขาเพียงมารู้ถึงการนี้ในท้ายที่สุดในวัยชราของเขา  นี่บอกอะไรเกี่ยวกับผู้คนตาบอดที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการจัดการหรือการได้รับการตัดแต่งแม้แต่น้อย และผู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดนำพวกเขา?  การรับใช้ของผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าในวันนี้ไม่เหมือนกับของผู้คนที่ตาบอดเหล่านี้หรือ?  ผู้คนทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ยังไม่ได้รับการตัดแต่งและการจัดการ และผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกพิชิตอย่างไม่ครบบริบูรณ์หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีประโยชน์อันใดกัน?  หากความคิดของเจ้า ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับชีวิต และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใดๆ และเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยอดเยี่ยมในการรับใช้ของเจ้า!  หากปราศจากนิมิตและความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่ถูกพิชิต  แล้ววิธีการติดตามพระเจ้าของเจ้าก็จะเหมือนกับผู้ที่ทนทุกข์และอดอาหาร นั่นคือ มีคุณค่าเพียงน้อยนิด!  เป็นที่แน่แท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีคำพยานเพียงน้อยนิด เราจึงพูดว่าการรับใช้ของพวกเขาไร้ประโยชน์!  ผู้คนเหล่านั้นทนทุกข์และใช้เวลาอยู่ในคุกตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาอดกลั้น รักใคร่เสมอมา และพวกเขาแบกกางเขนเสมอมา พวกเขาถูกเยาะเย้ยถากถางและถูกปฏิเสธจากโลก พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากทุกอย่าง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังจนถึงที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ถูกพิชิต และไม่สามารถเสนอคำพยานใดๆ ต่อการถูกพิชิตได้  พวกเขาได้ทนทุกข์มากมาย แต่ภายใน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ความคิดเก่าๆ มโนคติอันหลงผิดเก่าๆ การปฏิบัติทางศาสนา ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และแนวความคิดในแบบมนุษย์ของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่เคยได้รับการจัดการ  ไม่มีเค้าของความรู้ใหม่ๆ ในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไม่มีแม้สักเสี้ยวที่แท้จริงหรือถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิด  นี่คือการรับใช้พระเจ้าหรือ?  ไม่ว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากความรู้นั้นยังคงเหมือนเดิมในวันนี้และเจ้ายังคงใช้มโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าเองเป็นพื้นฐานความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ หากเจ้ายังไม่มีความรู้ใหม่ๆ ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และหากเจ้ายังล้มเหลวที่จะรู้จักพระฉายาและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า หากความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงถูกนำด้วยความคิดตามระบบศักดินาและที่เป็นไสยศาสตร์ และยังคงเกิดขึ้นจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกพิชิต  วจนะมากมายทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าบัดนี้ มุ่งหมายเพื่อให้เจ้ารู้ เพื่อให้ความรู้นี้นำทางเจ้าสู่ความรู้ใหม่กว่าที่ถูกต้องแม่นยำ  วจนะเหล่านี้ยังมุ่งหมายที่จะกำจัดมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ และความรู้เก่าๆ ในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อที่เจ้าอาจมีความรู้ใหม่ๆ ได้  หากเจ้ากินและดื่มวจนะของเราจริงๆ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก  ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งความเชื่อฟัง เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็จะพลิกกลับ  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับการตีสอนซ้ำๆ ได้ วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป  ตราบเท่าที่วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าถูกแทนที่อย่างถ้วนทั่วด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ การปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องเช่นกัน  ด้วยวิธีนี้ การรับใช้ของเจ้าจะตรงเป้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หากเจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้า ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดมากมายที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเป็นธรรมชาติของเจ้าจะค่อยๆ ลดลง  สิ่งนี้และเป็นเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นผลที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงพิชิตผู้คน มันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้คน  หากในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ทั้งหมดที่เจ้ารู้คือการอยู่เหนือร่างกายของเจ้าและการสู้ทนและการทนทุกข์ และเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก หรือยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าทำไปเพื่อใคร แล้วการปฏิบัติเช่นนั้นจะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)

การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม อีกทั้งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เสแสร้งจากภายนอกหรือการปรับเปลี่ยนชั่วคราวที่ทำไปเพราะความกระตือรือร้น  ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะดีเพียงใด ก็ไม่สามารถแทนที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงภายนอกเหล่านี้สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยความพยายามของมนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยความพยายามของคนเราแต่เพียงอย่างเดียว  พึงต้องมีการผ่านประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงของพระเจ้า รวมทั้งการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงจะสัมฤทธิ์การนี้  แม้ว่าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะแสดงพฤติกรรมที่ดีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีพวกเขาแม้สักคนเดียวที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง รักพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เป็นเพราะว่านี่พึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต และการเปลี่ยนแปลงเพียงพฤติกรรมย่อมไม่เพียงพอ  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหมายความว่าเจ้ารู้จักและมีประสบการณ์กับความจริง และความจริงได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า ความจริงสามารถชี้นำและมีอำนาจครอบครองชีวิตของเจ้าและทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเจ้า  นี่คือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า  เฉพาะผู้คนที่มีความจริงเสมือนเป็นชีวิตเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนไปแล้ว  ในอดีตอาจมีความจริงบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้เวลาที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านั้น แต่บัดนี้เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงไม่ว่าจะเป็นแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจโดยปราศจากอุปสรรคหรือความลำบากยากเย็น  เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าย่อมพบว่าตนเองเปี่ยมด้วยสันติและความสุข แต่หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดและมโนธรรมของเจ้าก็จะถูกรบกวน  เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงในทุกสิ่ง ดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และมีรากฐานของการใช้ชีวิต  นี่หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  บัดนี้เจ้าสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า ความชอบและการไล่ตามไขว่คว้าทางด้านเนื้อหนังของเจ้า และสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้มาก่อน  เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นประเสริฐโดยแท้ และการปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดที่ควรจะทำ  นี่หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยฟังดูง่ายมาก แต่อันที่จริงเป็นกระบวนการที่เกี่ยวพันกับประสบการณ์มากมาย  ในช่วงนี้ผู้คนจำเป็นต้องทุกข์ทนกับความยากลำบากมากมาย พวกเขาจำเป็นต้องสยบร่างกายของตนเองและขบถต่อเนื้อหนังของตน พวกเขาจำเป็นต้องทุกข์ทนกับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง บททดสอบ และกระบวนการถลุงอีกด้วย และพวกเขายังจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์กับความล้มเหลว การล้มลง การดิ้นรนต่อสู้ภายใน และความทรมานมากมายในหัวใจของพวกเขาด้วย  หลังจากมีประสบการณ์เหล่านี้แล้วเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของตนเองได้บ้าง แต่การมีความเข้าใจอยู่บ้างนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในทันที พวกเขาต้องก้าวผ่านประสบการณ์อันยาวนานก่อนที่พวกเขาจะสามารถละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ทีละเล็กทีละน้อยในที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ผู้คนส่วนใหญ่วางการเน้นย้ำพิเศษไปที่พฤติกรรมในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผลลัพธ์ของการนั้นก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา  หลังจากที่พวกเขาได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เลิกสูบ เลิกดื่ม และเลิกขับเคี่ยวกับผู้อื่น เลือกที่จะใช้ความอดทนเมื่อพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสีย  พวกเขาก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมบางอย่าง  บางคนรู้สึกว่าทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เข้าใจความจริงจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และพวกเขามีความชื่นชมอันแท้จริงอยู่ในหัวใจของตน ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกแรงกล้าเป็นพิเศษ และไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่สามารถละทิ้งหรือทนทุกข์ได้  กระนั้นก็ตาม หลังจากที่เชื่อมาแปด สิบ หรือแม้กระทั่งยี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย พวกเขาจึงจบลงตรงการไถลย้อนกลับไปสู่หนทางเก่า ความโอหังและความหยิ่งยโสของพวกเขายิ่งประกาศแจ้งออกมามากขึ้น พวกเขาเริ่มแข่งขันกันเพื่ออำนาจและผลกำไร พวกเขาละโมบในเงินทองของคริสตจักร พวกเขาอิจฉาผู้ที่ได้ประโยชน์จากพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขากลายเป็นปรสิตและเห็บหมัดในพระนิเวศของพระเจ้า และบางคนก็ถูกเปิดโปงและขับออกไปในฐานะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ด้วยซ้ำ  และข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์อะไรหรือ?  การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในพฤติกรรมนั้นไม่มีความยั่งยืน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในอุปนิสัยชีวิตของผู้คนแล้วไซร้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา  นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมทั้งหลายมีแหล่งที่มาอยู่ในความเร่าร้อน และเมื่อเข้าคู่กับพระราชกิจบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลานั้น จึงกลายเป็นง่ายสุดขั้วที่พวกเขาจะเกิดความรู้สึกอันแรงกล้า หรือไม่ก็มีความตั้งใจที่ดี่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ  ในขณะที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดกันว่า “การทำความประพฤติที่ดีงามหนึ่งอย่างนั้นง่าย สิ่งที่ยากก็คือ การทำความประพฤติที่ดีงามไปตลอดชีวิต”  เพราะเหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถทำความดีไปตลอดชีวิตของตนได้?  เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้คนย่อมเลว เห็นแก่ตัว และเสื่อมทราม  พฤติกรรมของคนเราถูกชี้นำโดยธรรมชาติของตน ไม่ว่าธรรมชาติของคนเราเป็นเช่นไร พฤติกรรมที่คนเราเปิดเผยออกมาก็เป็นเช่นนั้น และมีเพียงสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นที่แสดงถึงธรรมชาติของคนเรา  สิ่งทั้งหลายซึ่งจอมปลอมไม่สามารถอยู่ได้ยืนยาว  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นไม่ใช่การประดับประดามนุษย์ด้วยพฤติกรรมที่ดีงาม—จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อแปลงสภาพอุปนิสัยของผู้คน เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเกิดใหม่ไปเป็นคนใหม่  การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงมนุษย์ของพระเจ้าล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจสัมฤทธิ์การนบนอบและการอุทิศตนแก่พระเจ้าโดยบริบูรณ์ และมานมัสการพระองค์อย่างเป็นปกติ  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้า  การมีพฤติกรรมดีมิได้มีความหมายเดียวกับการนบนอบต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะมีความหมายเท่ากับการเข้ากันได้กับพระคริสต์  การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในพฤติกรรมนั้นมีพื้นฐานอยู่บนคำสอน และเกิดมาจากความรู้สึกเร่าร้อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรืออยู่บนความจริง นับประสาอะไรที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้ว่ามีหลายคราที่บางสิ่งที่ผู้คนทำนั้นได้รับความรู้แจ้งหรือการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ก็มิใช่การแสดงออกถึงชีวิตของพวกเขา  พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  ไม่ว่าพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งจะดีงามเพียงใด ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า หรือพิสูจน์ว่าพวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ  การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตและไม่สามารถนับได้ว่าเป็นการแสดงออกของชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ผู้คนบางคนจะลงเอยด้วยการกล่าวว่า “ข้าพระองค์ได้ทำงานมากมายเหลือเกินเพื่อพระองค์ และแม้ว่าข้าพระองค์อาจไม่ได้ผลสัมฤทธิ์อันขึ้นชื่อลือนามใดๆ แต่ข้าพระองค์ก็ยังคงขยันหมั่นเพียรในความพยายามของข้าพระองค์เสมอมา  พระองค์แค่ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์เพื่อกินผลไม้แห่งชีวิตไม่ได้หรอกหรือ?”  เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน  แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราก็เป็นเรื่องที่ธรรมบัญญัติแห่งสวรรค์ไม่อาจทนยอมรับได้!  ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยเสนอช่องทางอันง่ายต่อการเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา  นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้!  เจ้าต้องแสวงหาชีวิต  วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือคนประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง เต็มใจที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จรางวัล และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาแก่นแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน ความทุกข์ และกระบวนการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกบ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ  ในอดีตนั้น โดยหลักแล้ว การพูดคุยถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการสามารถขัดขืนตนเอง อ้างอิงถึงการยอมให้เนื้อหนังได้ทนทุกข์ การบ่มวินัยร่างกายของคนเรา และการขจัดความเลือกชอบทางเนื้อหนังไปจากตัวคนเรา—ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่งในอุปนิสัย  วันนี้ ทุกคนรู้ว่าการแสดงออกที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็คือ การนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และการรู้จักพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างแท้จริง  ในหนทางนี้ ความเข้าใจที่มีมาก่อนเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งถูกละเลงสีสันโดยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น สามารถถูกลบทิ้งไปได้ และพวกเขาสามารถรู้จักและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง—นี่เท่านั้นที่เป็นการแสดงออกที่จริงแท้ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ หากเจ้าไม่ถือว่าความจริงเหล่านี้มีความสำคัญ หากเจ้าไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดนอกจากวิธีการหลีกเลี่ยงพระวจนะหรือว่าจะหาทางออกใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะอย่างไร เช่นนั้นแล้วเราบอกว่าเจ้าเป็นคนบาปที่น่าเวทนา หากเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกทั้งไม่รักหนทางซึ่งพาเจ้าเข้าสนิทกับพระเจ้ายิ่งขึ้น เช่นนั้นแล้ว เราบอกว่าเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่กำลังพยายามเลี่ยงหนีการพิพากษา และเจ้าเป็นหุ่นเชิดและคนทรยศที่หลบหนีจากมหาบัลลังก์สีขาว พระเจ้าจะไม่ทรงผ่อนผันแก่เหล่ากบฏที่หลบหนีจากใต้พระเนตรของพระองค์ พวกมนุษย์เช่นนั้นจะยิ่งได้รับการลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น บรรดาผู้ที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับการพิพากษา และยิ่งกว่านั้นคือ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะมีชีวิตในราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดกาล แน่นอนว่านี่คือบางสิ่งที่เป็นของอนาคต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

จงยอมรับการตัดสินของพระคริสต์ในยุคสุดท้ายเพื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์

พระเจ้าทรงตัดสินใจบั้นปลายของมนุษย์ด้วยพื้นฐานที่ว่าพวกเขาครอบครองความจริงหรือไม่

ก่อนหน้า: 20. มโนคติอันหลงผิดของโลกศาสนามีว่า “การพิพากษาแห่งมหาบัลลังก์สีขาวในยุคสุดท้ายคือการให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว ไม่ใช่ความรอด”

ถัดไป: 4. วิธีแก้ปัญหาการเรียกร้องจากพระเจ้าเสมอ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger