12. วิธีแก้ปัญหาการตีกรอบและตัดสินพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
พระเจ้าและมนุษย์ไม่สามารถถูกกล่าวถึงในลักษณะเท่าเทียมกันได้ แก่นแท้ของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์นั้นยากหยั่งถึงที่สุดและไม่สามารถจับความเข้าใจได้มากที่สุดสำหรับมนุษย์ หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์และตรัสพระวจนะของพระองค์ในโลกของมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ มนุษย์ก็จะไม่มีวันสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และดังนั้น แม้แต่ผู้ที่ได้อุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ หากพระเจ้าไม่ได้เริ่มทรงพระราชกิจ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่ามนุษย์จะทำได้ดีเพียงใด ทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ เพราะพระดำริของพระเจ้าจะสูงส่งกว่าความคิดของมนุษย์เสมอและพระปัญญาของพระเจ้าก็อยู่เหนือการจับความเข้าใจของมนุษย์ และดังนั้น เราบอกว่าพวกที่อ้างว่า “เข้าใจถ่องแท้” เกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์นั้น เป็นพวกโง่ทึ่มกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดอวดดีและไม่รู้เท่าทัน มนุษย์ไม่ควรนิยามพระราชกิจของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ไม่สามารถนิยามพระราชกิจของพระเจ้าได้ ในสายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์ไร้ความสำคัญพอกันกับมดตัวหนึ่ง ดังนั้นมนุษย์จะสามารถหยั่งลึกถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกที่ชอบพูดปาวๆ ว่า “พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจเช่นนี้หรือเช่นนั้น” หรือ “พระเจ้าทรงเป็นอย่างนี้หรืออย่างนั้น”—พวกเขาไม่ได้กำลังพูดด้วยความโอหังหรอกหรือ? เราทุกคนควรรู้ว่ามนุษย์ซึ่งอยู่ในสภาวะเนื้อหนังได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ธรรมชาติจริงๆ ของมวลมนุษย์คือการต่อต้านพระเจ้า มวลมนุษย์ไม่สามารถเทียบเสมอพระเจ้าได้และมวลมนุษย์ยิ่งหวังได้น้อยกว่าที่จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับวิธีที่พระเจ้าทรงนำมนุษย์ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง เป็นการเหมาะสมแล้วที่มนุษย์ควรนบนอบ โดยปราศจากการเอ่ยอ้างทรรศนะอย่างนี้อย่างนั้น เพราะมนุษย์เป็นเพียงผงคลีดิน ในเมื่อพวกเรามีเจตนาที่จะแสวงหาพระเจ้า พวกเราจึงไม่ควรเอามโนคติที่หลงผิดของพวกเราไปเติมแต่งพระราชกิจของพระองค์ให้พระเจ้าทรงพิจารณา และยิ่งไม่ควรใช้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนมาต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างหนักหน่วงและจงใจ นั่นจะไม่ทำให้พวกเราเป็นศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ? ผู้คนเช่นนี้จะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไรกัน? เนื่องจากพวกเราเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งและเนื่องจากพวกเราปรารถนาที่จะทำให้พระองค์สมดังพระทัยและมองเห็นพระองค์ พวกเราก็ควรแสวงหาหนทางแห่งความจริง และควรมองหาหนทางที่จะเข้ากันได้กับพระเจ้า พวกเราไม่ควรยืนหยัดต่อต้านพระองค์อย่างดื้อดึง การกระทำเหล่านี้จะสามารถนำมาซึ่งประโยชน์ดีงามอันใดหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ
ผู้คนมากมายต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจอันหลากหลายและแตกต่างกันของพระเจ้า และนอกจากนั้นเพราะพวกเขามีความรู้และคำสอนแค่หางอึ่งที่จะใช้ประเมินพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิใช่หรือ? แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผู้คนเช่นนี้จะผิวเผิน แต่พวกเขาก็โอหังและหลงใหลในธรรมชาติ และพวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเหยียดหยาม เพิกเฉยต่อการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งกว่านั้นใช้ข้อโต้แย้งเก่าๆ ไร้สาระของพวกเขาเพื่อ “ยืนยัน” พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขายังเล่นละครตบตาอีกด้วย และหลงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการเรียนรู้และความคงแก่เรียนของตัวเอง และหลงเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเดินทางข้ามโลกได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดูหมิ่นและทรงปฏิเสธหรอกหรือ และพวกเขาจะไม่ถูกยุคใหม่ขับออกไปหรอกหรือ? พวกที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่บุคคลน่าดูหมิ่นที่ไม่รู้เท่าทันและได้รับข่าวสารน้อยเกินไป ซึ่งเพียงกำลังพยายามอวดว่าพวกเขาหลักแหลมเพียงใดหรอกหรือ? ด้วยความรู้เรื่องพระคัมภีร์เพียงน้อยนิด พวกเขาพยายามก่อจลาจลใน “สถาบันวิชาการ” ของโลก ด้วยคำสอนเพียงผิวเผินเพื่อใช้สอนผู้คน พวกเขาพยายามพลิกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพยายามทำให้พระราชกิจหมุนรอบกระบวนการขบคิดของพวกเขาเอง เพราะพวกเขามีสายตาสั้นพวกเขาจึงพยายามมองดู 6,000 ปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการชำเลืองครั้งเดียว ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ที่มีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึงแต่อย่างใด! อันที่จริงยิ่งผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตัดสินพระราชกิจของพระองค์ช้าลงเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขาพูดถึงความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นในการตัดสินของพวกเขา ยิ่งผู้คนรู้เรื่องพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโอหังและหลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งประกาศการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น—กระนั้น พวกเขาก็พูดถึงทฤษฎีเท่านั้น และไม่เสนอหลักฐานจริงแท้ใดๆ ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย พวกที่เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล่นนั้นเป็นคนเหลาะแหละ! พวกที่ไม่ระมัดระวังเมื่อพวกเขาเผชิญกับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพูดมาก ด่วนตัดสิน ผู้ซึ่งให้อิสระเต็มที่แก่อารมณ์ของพวกเขาที่จะปฏิเสธความถูกต้องของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ซึ่งดูแคลนและหมิ่นประมาทพระราชกิจด้วยเช่นกัน—ผู้คนที่ขาดความเคารพเช่นนี้ไม่ได้ขาดความรู้เท่าทันต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่โอหังอย่างหนัก ผู้คนที่ทะนงตนและไม่สามารถควบคุมได้โดยสันดานหรอกหรือ? แม้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อผู้คนเช่นนี้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา พวกเขาไม่เพียงดูถูกพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังหมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เองอีกด้วย ผู้คนที่หมดหวังเช่นนี้จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งในยุคนี้และในยุคที่จะมา และพวกเขาจะต้องพินาศในนรกตลอดกาล! ผู้คนที่ขาดความเคารพและหลงระเริงเช่นนี้กำลังเสแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า และยิ่งผู้คนเป็นเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น พวกคนโอหังเหล่านั้นผู้ซึ่งปราศจากการควบคุมแต่กำเนิด และผู้ซึ่งไม่เคยได้เชื่อฟังผู้ใด ต่างก็ไม่เดินบนเส้นทางนี้ทั้งหมดหรอกหรือ? พวกเขาไม่ต่อต้านพระเจ้าวันแล้ววันเล่า พระเจ้าผู้ทรงใหม่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า
จงรู้ไว้ว่าพวกเจ้าต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า หรือใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าเองในการประเมินพระราชกิจของวันนี้ เพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระเจ้า และเพราะการปฏิบัติต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหุนหันพลันแล่นของพวกเจ้า การที่พวกเจ้าต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดจากมโนคติอันหลงผิดและความโอหังแต่กำเนิดของพวกเจ้า ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นผิด แต่เพราะพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเกินไปโดยธรรมชาติ หลังจากที่พวกเขาได้พบการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนบางคนก็ถึงกับไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์ได้มาจากไหน กระนั้นพวกเขากล้าที่จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเพื่อประเมินความถูกและความผิดของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาถึงกับสั่งสอนบรรดาอัครทูตที่มีพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ความคิดเห็น และแย่งกันพูด สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต่ำเกินไป และไม่มีสำนึกรับรู้ในพวกเขาแม้แต่น้อย วันนั้นจะไม่มาถึงหรอกหรือเมื่อผู้คนเช่นนี้ถูกปฏิเสธโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกเผาด้วยไฟแห่งนรก? พวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กลับวิจารณ์พระราชกิจของพระองค์แทน และยังพยายามอบรมพระเจ้าถึงวิธีทรงพระราชกิจอีกด้วย ผู้คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? มนุษย์มารู้จักพระเจ้าในระหว่างกระบวนการแสวงหาและการมีประสบการณ์ ไม่ใช่โดยผ่านทางการวิจารณ์ตามอำเภอใจว่ามนุษย์มารู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระองค์น้อยลงเท่านั้น ในทางกลับกันยิ่งผู้คนรู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต่อต้านพระองค์มากขึ้นเท่านั้น มโนคติที่หลงผิดของเจ้า ธรรมชาติเก่าของเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และทรรศนะด้านศีลธรรมของเจ้าเป็น “ทุน” ที่เจ้าใช้ในการต้านทานพระเจ้า และยิ่งศีลธรรมของเจ้าเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด คุณภาพของเจ้าน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นเท่าใด และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าต่ำต้อยมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น พวกที่ถูกครอบงำโดยมโนคติที่หลงผิดอย่างแรงกล้า และที่มีอุปนิสัยเห็นตัวเองถูกเสมอจะยิ่งมีความเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มากขึ้นไปอีก ผู้คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์ หากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันเข้ากันได้กับพระเจ้า และจะอยู่ห่างจากพระองค์เสมอ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า
หากเจ้าใช้มโนคติอันหลงผิดของเจ้าเองเพื่อวัดและจำกัดเขตพระเจ้า ราวกับว่าพระเจ้าทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียวที่ไม่เปลี่ยนแปลง และหากเจ้าจำกัดเขตพระเจ้า ให้อยู่ภายในขอบเขตของพระคัมภีร์และจำกัดวงพระองค์ไว้ภายในวงเขตงานที่จำกัดอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้วนี่ก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าได้กล่าวโทษพระเจ้า เพราะพวกยิวในยุคพันธสัญญาเดิมรับเอาพระเจ้าเป็นรูปเคารพในรูปสัณฐานตายตัวที่พวกเขายึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขา ราวกับว่าพระเจ้าทรงรับการเรียกขานได้ว่าพระเมสสิยาห์เท่านั้น และพระองค์ที่ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเมสสิยาห์เท่านั้นที่อาจเป็นพระเจ้าได้ และเพราะมนุษยชาติได้รับใช้และนมัสการพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียว (ที่ไร้ชีวิต) พวกเขาจึงได้ตอกตรึงพระเยซูในเวลานั้นไว้บนกางเขน ตัดสินโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิต—พระเยซูผู้ไร้ความผิดจึงได้รับโทษประหารด้วยเหตุดังนี้ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ต่อการกระทำผิดใดๆ กระนั้นมนุษย์ก็ยังปฏิเสธที่จะละเว้นไม่ทำร้ายพระองค์ และยืนกรานที่จะตัดสินโทษพระองค์ด้วยการประหารชีวิต และดังนั้นพระเยซูจึงทรงถูกตรึงกางเขน มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง และนิยามพระองค์บนพื้นฐานของหนังสือเล่มเดียว นั่นคือพระคัมภีร์ ประหนึ่งว่ามนุษย์มีความเข้าใจบริบูรณ์ในการบริหารจัดการของพระเจ้า ประหนึ่งว่ามนุษย์กำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำไว้ในฝ่ามือของเขา ผู้คนนั้นไร้สาระอย่างที่สุด โอหังอย่างที่สุด และพวกเขาทั้งหมดมีพรสวรรค์ในการพูดเกินจริง ไม่ว่าความรู้ในเรื่องพระเจ้าของเจ้าจะมากมายเพียงใด เรายังคงพูดว่าเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า พูดว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ต่อต้านพระเจ้ามากที่สุด และพูดว่าเจ้าได้กล่าวโทษพระเจ้า เพราะเจ้าไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางแห่งการถูกทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ทำไมพระเจ้าไม่เคยพึงพอพระทัยกับการกระทำต่างๆ ของมนุษย์เล่า? เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะเขามีมโนคติอันหลงผิดมากเกินไป และเพราะความรู้ของเขาในเรื่องพระเจ้าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใดเลย แต่กลับทวนซ้ำอรรถบทเดิมอย่างน่าเบื่อหน่ายโดยปราศจากความเปลี่ยนแปลง และใช้วิธีเข้าหาแบบเดิมกับทุกสถานการณ์ และดังนั้น หลังจากที่ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ พระเจ้าจึงทรงถูกมนุษย์ตอกตรึงกับกางเขนอีกครั้ง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วย่อมจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน
ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า “สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสในระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ทั้งหมด จะไม่มีพระวจนะจากพระเจ้าอีกต่อไป นั่นคือทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสไว้” ใช่ไหม? การคิดเช่นนี้คือความผิดพลาดครั้งใหญ่! พระวจนะที่บรรจุไว้ในพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นเพียงพระวจนะเริ่มต้นของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเท่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะแห่งพระราชกิจนี้ พระวจนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความจริงของนิมิตต่างๆ เป็นหลัก ในวันข้างหน้าจะมีการตรัสพระวจนะเกี่ยวกับรายละเอียดของการปฏิบัติมากมายอีกด้วย ดังนั้นการเผยแพร่พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ไปสู่ผู้คนทั่วไปไม่ได้หมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้มาสู่ช่วงสุดท้าย และยิ่งไม่ได้หมายความว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้มาสู่ข้อสรุปสุดท้ายแล้ว พระเจ้ายังทรงมีพระวจนะอีกมากมายที่จะแสดง และแม้เมื่อมีการตรัสพระวจนะเหล่านี้ออกไปแล้ว คนเราก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อพระราชกิจทั่วทั้งจักรวาลเสร็จสิ้นลง คนเราก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้จะยังคงมีผู้คนดำรงอยู่ในจักรวาลนี้หรือ? ตราบใดที่ชีวิตดำรงอยู่ ตราบใดที่มนุษยชาติดำรงอยู่ เช่นนั้นการบริหารจัดการของพระเจ้าก็ยังต้องดำเนินต่อไป เมื่อแผนการบริหารจัดการหกพันปีเสร็จสมบูรณ์ ตราบใดที่ยังมีมนุษยชาติ ชีวิต และจักรวาลนี้ดำรงอยู่ เช่นนั้นพระเจ้าจะยังคงบริหารจัดการทุกอย่าง แต่จะไม่เรียกว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีอีกต่อไป ถึงตอนนี้ก็จะเรียกว่าการบริหารจัดการของพระเจ้า บางทีอาจจะมีชื่อเรียกอื่นในอนาคต นั่นจะเป็นอีกชีวิตหนึ่งสำหรับมนุษยชาติและพระเจ้า ไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าจะยังคงทรงใช้พระวจนะในปัจจุบันเพื่อนำผู้คน เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้เหมาะสมสำหรับช่วงเวลานี้เท่านั้น ดังนั้นจงอย่านิยามพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงเวลาใดๆ บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าแค่ทรงจัดเตรียมพระวจนะเหล่านี้ให้กับผู้คนเท่านั้น และไม่มีอะไรอื่น พระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะได้เพียงเท่านี้” นี่คือการจำกัดพระเจ้าไว้ในขอบเขตบางอย่างด้วย นี่เปรียบเหมือนการนำพระวจนะที่ตรัสไว้ในยุคพระเยซูมาใช้ในยุคราชอาณาจักรในปัจจุบัน—นั่นจะเหมาะสมหรือไม่? พระวจนะบางส่วนอาจประยุกต์ใช้ได้ และพระวจนะบางส่วนจำเป็นต้องยกเลิก ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถกล่าวว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่มีวันสามารถยกเลิกได้ ผู้คนพร้อมที่จะนิยามสิ่งต่างๆหรือไม่? พวกเขานิยามพระเจ้าจริงๆ ในบางด้าน บางทีวันหนึ่งเจ้าอาจจะอ่านพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์เหมือนกับที่ผู้คนอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ในวันนี้ โดยก้าวตามรอยพระบาทของพระเจ้าให้ทัน ปัจจุบันนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการอ่านพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกกี่ปีที่การอ่านหนังสือเล่มนี้จะเป็นเหมือนการดูปฏิทินที่ล้าสมัย เพราะจะมีสิ่งใหม่มาแทนที่สิ่งเก่าในเวลานั้น ความต้องการของผู้คนถูกสร้างและพัฒนาตามพระราชกิจของพระเจ้า ณ เวลานั้น ธรรมชาติของมนุษย์ อีกทั้งสัญชาตญาณและคุณสมบัติที่ผู้คนควรมีจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว หลังจากที่โลกนี้เปลี่ยนแปลง ความต้องการของมนุษยชาติจะแตกต่างออกไป บางคนถามว่า: “พระเจ้าจะตรัสในวันหน้าหรือไม่?” บางคนจะมาถึงข้อสรุปที่ว่า “พระเจ้าจะไม่สามารถตรัสได้ เพราะเมื่อพระราชกิจแห่งยุคพระวจนะเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นที่สามารถตรัสได้อีก และพระวจนะอื่นใดจะเป็นเท็จ” นี่ก็คือสิ่งที่ผิดเช่นกันไม่ใช่หรือ? เป็นเรื่องง่ายที่มวลมนุษย์จะทำผิดพลาดด้วยการนิยามพระเจ้า ผู้คนโน้มเอียงที่จะยึดติดกับอดีตและนิยามพระเจ้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ แต่ยังคงนิยามพระราชกิจของพระองค์อย่างไม่ระมัดระวัง ผู้คนมีธรรมชาติอันโอหังเช่นนี้! พวกเขาต้องการยึดมั่นกับมโนคติอันหลงผิดแบบเก่าในอดีตและเก็บเรื่องราวต่างๆ ของวันเวลาที่ผ่านไปไว้ในใจของตนเองเสมอ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นต้นทุนของตนเอง พวกเขาโอหังและโอ้อวด คิดว่าตนเองเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความกล้าที่จะนิยามพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้แสดงความเห็นตัดสินพระเจ้าหรือ? นอกจากนี้ผู้คนยังไม่คำนึงถึงพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอีกด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ แต่พวกเขาก็ยังนิยามพระเจ้าอย่างมืดบอด ผู้คนโอหังมากจนพวกเขาขาดเหตุผล พวกเขาไม่ฟังผู้ใด และยิ่งกว่านั้นยังไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าด้วย นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ โอหังและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ และไม่มีการเชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่พวกฟาริสีเป็นตอนที่พวกเขากล่าวโทษพระเยซู พวกเขาคิดว่า “ต่อให้เจ้าถูก ข้าก็ยังจะไม่ติดตามเจ้า พระยาห์เวห์เท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง” ปัจจุบันมีบางคนด้วยที่กล่าวว่า: “เขาคือพระคริสต์หรือ? ฉันจะไม่ติดตามเขาแม้ว่าเขาจะเป็นพระคริสต์จริงๆ ก็ตาม!” มีผู้คนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ? มีผู้คนที่นับถือศาสนามากมายที่เป็นเช่นนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของมนุษย์เสื่อมทรามเกินไป ผู้คนเช่นนั้นอยู่ห่างไกลจากความรอด
ในบรรดาธรรมิกชนตลอดยุคต่างๆ โมเสสและเปโตรเท่านั้นคือผู้ที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และพวกเขาได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถหยั่งถึงพระเจ้าหรือไม่? สิ่งที่พวกเขาจับความเข้าใจได้ก็ถูกจำกัดเช่นกัน พวกเขาเองก็ไม่กล้ากล่าวว่าตนเองรู้จักพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริงๆไม่นิยามพระองค์ เพราะพวกเขาตระหนักว่าพระเจ้าไม่อาจถูกคาดการณ์ได้และไม่มีขอบเขต ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือคนที่โน้มเอียงที่จะนิยามพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พวกเขาเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับพระเจ้า สร้างมโนคติอันหลงผิดอย่างง่ายดายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ ดังนั้นผู้คนที่เชื่อว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าคือผู้ที่แข็งขืนต่อพระเจ้ามากที่สุด และเป็นผู้คนที่อยู่ในอันตรายมากที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ พวกเขาก็นิยามพระองค์ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก นั่นคือ พวกเขาเชื่อว่าไม่สำคัญว่าผู้คนจะทำอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร และไม่สำคัญว่าพวกเขาอาจจะเป็นกบฏเพียงใด เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญจริงๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงมีความรัก และความรักของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัดและไม่สามารถวัดได้ พระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงสามารถยอมผ่อนปรนต่อผู้คนได้ และพระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นพระองค์จึงทรงเปี่ยมกรุณาต่อผู้คน ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่ของพวกเขา ทรงเปี่ยมกรุณาต่อความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และทรงเปี่ยมกรุณาต่อการเป็นกบฏของพวกเขา นี่เป็นหนทางที่มันเป็นจริงๆ หรือ? สำหรับผู้คนบางคน เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความอดทนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวหรือแม้แต่สองสามครั้ง พวกเขาจะปฏิบัติต่อประสบการณ์เหล่านี้ในฐานะทุนในความเข้าใจของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์จะทรงอดทนและเปี่ยมกรุณาต่อพวกเขาตลอดกาล และจากนั้น ตลอดครรลองแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขานำความอดทนนี้ของพระเจ้ามาถือว่าเป็นมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติต่อพวกเขา นอกจากนี้ยังมีพวกที่หลังจากได้รับประสบการณ์กับความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าเพียงครั้งเดียวจะนิยามพระเจ้าว่ายอมผ่อนปรนตลอดกาล—และในจิตใจของพวกเขา ความยอมผ่อนปรนนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีเงื่อนไข และแม้แต่ไร้วินัยโดยสิ้นเชิง การเชื่อเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? ทุกครั้งที่เรื่องของเนื้อแท้ของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระเจ้าถูกนำมาหารือ พวกเจ้าดูเหมือนงุนงงที่สุด การได้เห็นพวกเจ้าเยี่ยงนี้ทำให้เราร้อนใจมาก พวกเจ้าได้ยินความจริงมากมายเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเจ้าก็ได้ฟังการหารือมากมายที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในจิตใจของพวกเจ้า ประเด็นปัญหาเหล่านี้และความจริงของแง่มุมเหล่านี้เป็นเพียงความทรงจำบนพื้นฐานของทฤษฎีและถ้อยคำที่เขียนไว้ ในชีวิตวันต่อวันของพวกเจ้า ไม่มีใครสักคนในพวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์หรือเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในสิ่งที่สิ่งนั้นเป็นจริงๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าล้วนสับสนมึนงงในการเชื่อของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดเชื่ออย่างมืดบอด จนถึงจุดที่พวกเจ้ามีท่าทีที่ไม่เคารพต่อพระเจ้า และแม้กระทั่งปัดพระองค์ออกไป การที่พวกเจ้ามีท่าทีแบบนี้ต่อพระเจ้านำไปสู่อะไรเล่า? มันนำไปสู่การที่พวกเจ้ากระทำการสรุปเกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ ทันทีที่เจ้าได้รับความรู้เพียงเล็กน้อย เจ้าก็จะรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ราวกับว่าเจ้าได้รับพระเจ้ามาแล้วอย่างครบถ้วน หลังจากนั้นเจ้าก็สรุปว่านี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเป็น และเจ้าไม่ปล่อยให้พระองค์ทรงเคลื่อนไหวโดยอิสระ นอกจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำบางสิ่งใหม่ๆ เจ้าก็ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน สักวันหนึ่งเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เราไม่รักมวลมนุษย์อีกต่อไป เราจะไม่ยื่นความกรุณาให้พวกมนุษย์อีกต่อไป เราไม่มีความยอมผ่อนปรนหรือความอดทนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป เราเต็มปริ่มไปด้วยความเกลียดและความเป็นปรปักษ์อย่างสุดขีดต่อพวกเขา” พระดำรัสเช่นนี้จะก่อเกิดความขัดแย้งลึกลงไปในหัวใจของผู้คน พวกเขาบางคนจะถึงกับพูดว่า “พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของฉันอีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าที่ฉันต้องการติดตามอีกต่อไป หากนี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัส เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จะไม่ทรงมีคุณสมบัติที่จะเป็นพระเจ้าของฉันอีกต่อไป และฉันไม่จำเป็นต้องติดตามพระองค์ต่อไป หากพระองค์จะไม่ทรงให้ความกรุณา ความรัก และความยอมผ่อนปรนแก่ฉันอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วฉันก็จะหยุดติดตามพระองค์ หากพระองค์ทรงยอมผ่อนปรนต่อฉันโดยไม่มีกำหนด ทรงอดทนต่อฉันเสมอ และทรงยินยอมให้ฉันเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความอดทน และเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นความยอมผ่อนปรน เมื่อนั้นเท่านั้นฉันจึงจะสามารถติดตามพระองค์ได้ และเมื่อนั้นเท่านั้น ฉันจึงจะมีความมั่นใจที่จะติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุดได้ เนื่องจากฉันมีความอดทนและความกรุณาของพระองค์ การเป็นกบฏของฉันและการกระทำผิดของฉันสามารถได้รับการอภัยและละเว้นโทษอย่างไม่มีกำหนด และฉันสามารถทำบาปได้ทุกเวลาและทุกหนแห่ง สารภาพและได้รับการละเว้นโทษทุกเวลาและทุกหนแห่ง และทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธได้ทุกเวลาและทุกหนแห่ง พระองค์ไม่ควรทรงมีข้อคิดเห็นใดๆ หรือสร้างข้อสรุปใดๆ เกี่ยวกับฉัน” แม้ว่าไม่มีสักคนเดียวในพวกเจ้าที่อาจคิดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาแบบนี้อย่างเป็นส่วนตัวหรืออย่างมีสำนึกรับรู้ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ใช้เพื่อให้อภัยเจ้าต่อบาปของเจ้า หรือวัตถุชิ้นหนึ่งที่จะใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายที่สวยงาม เจ้าก็ได้วางพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ไว้ตรงข้ามกับเจ้าในฐานะศัตรูของเจ้าอย่างแยบยลแล้ว นี่คือสิ่งที่เราเห็น เจ้าอาจพูดสิ่งเหล่านี้ต่อไป อาทิ “ฉันเชื่อในพระเจ้า” “ฉันไล่ตามเสาะหาความจริง” “ฉันต้องการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของฉัน” “ฉันต้องการหลุดพ้นจากอิทธิพลของความมืด” “ฉันต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย” “ฉันต้องการนบนอบต่อพระเจ้า” “ฉันต้องการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของฉันให้ดี” และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าคำพูดของเจ้าอาจจะไพเราะเสนาะหูเพียงใดไม่สำคัญว่าเจ้าอาจรู้ทฤษฎีมากเพียงใด และไม่สำคัญว่าทฤษฎีนั้นอาจจะภูมิฐานหรือทรงเกียรติเพียงใด แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็คือว่า ตอนนี้มีพวกเจ้ามากมายที่ได้เรียนรู้วิธีใช้กฎระเบียบ คำสอน ทฤษฎีที่เจ้าเชี่ยวชาญเพื่อสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงวางพระองค์ตรงข้ามกับตัวพวกเจ้าเองโดยธรรมชาติ แม้ว่าเจ้าอาจได้แตกฉานในคำพูดและคำสอนทั้งหลายแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้า รู้จักพระองค์ และเข้าใจพระองค์ นี่ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก!
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
ผู้คนชอบนำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างเคร่งครัด และชอบใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตและนิยามพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเขาชอบใช้สูตรเพื่อพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้น ในขอบเขตความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่มีพระดำริ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดที่เป็นสาระสำคัญใดๆ แต่ในความเป็นจริง พระดำริของพระเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีการแปลงรูปอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในสิ่งทั้งหลายและในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ขณะที่พระดำริเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลง แง่มุมที่แตกต่างกันในแก่นแท้ของพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย ในช่วงระหว่างกระบวนการแปลงรูปนี้ ในชั่วขณะนั้นๆ ที่พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงต่อมวลมนุษย์คือการมีอยู่ที่เป็นจริงของพระชนม์ชีพของพระองค์ และการที่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้การเผยที่แท้จริงของพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ต่อมวลมนุษย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพิโรธของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยในทุกที่และทุกเวลาตามวิธีการที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป พระองค์ทรงครอบครองความโกรธเกรี้ยวของราชสีห์และความปรานีและการทนยอมรับของมารดา พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่ยอมให้มีการตั้งคำถาม การฝ่าฝืน การเปลี่ยนแปลง หรือการบิดเบือนโดยผู้ใด พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—นั่นคือ พระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—สามารถได้รับการเปิดเผยทุกที่และทุกเวลาท่ามกลางทุกเรื่องและทุกสิ่ง พระองค์ทรงให้การแสดงออกที่มีชีวิตชีวาแก่แง่มุมเหล่านี้ในทุกมุมของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และพระองค์ทรงนำสิ่งเหล่านี้มาดำเนินการด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกชั่วขณะที่ผ่านไป พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปิดเผยขึ้นเองตามข้อจำกัดของเวลาหรือพื้นที่ แต่ด้วยความสบายที่สมบูรณ์แบบในทุกที่และทุกเวลา เมื่อเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้ามีการเปลี่ยนพระทัยและยุติการแสดงพระพิโรธของพระองค์ และงดเว้นจากการทำลายเมืองนีนะเวห์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักใคร่เท่านั้น? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระพิโรธของพระเจ้ากอปรด้วยพระวจนะที่ว่างเปล่า? เมื่อพระเจ้าทรงเดือดดาลด้วยพระพิโรธที่ดุดันและถอนความปรานีของพระองค์กลับ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติ? พระพิโรธที่ดุดันนี้ได้รับการแสดงออกโดยพระเจ้าเพื่อตอบสนองต่อการกระทำชั่วของผู้คน พระพิโรธของพระองค์ไม่ได้มีข้อตำหนิ พระทัยของพระเจ้าได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองต่อการกลับใจของผู้คน และการกลับใจนี้นี่เองที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกตื้นตัน เมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัย และเมื่อพระองค์ทรงแสดงความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ต่อมนุษย์ ทั้งหมดนี้ปราศจากข้อตำหนิโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน และไม่มีสิ่งเจือปน การทนยอมรับของพระเจ้าที่แท้แล้วก็คือการทนยอมรับ เช่นเดียวกับที่ความปรานีของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความปรานี พระอุปนิสัยของพระองค์เผยถึงพระพิโรธหรือความปรานีและการทนยอมรับตามการกลับใจของมนุษย์ และความผันแปรต่างๆ ในการประพฤติของมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ทรงเผยและแสดงออกสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์และตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของสิ่งเหล่านั้นย่อมแตกต่างจากเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อพระเจ้าทรงแสดงหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ หลักธรรมเหล่านั้นปราศจากข้อตำหนิหรือมลทินใดๆ และดังนั้นพระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ และทุกๆ การตัดสินพระทัยที่พระองค์ทรงทำ และทุกๆ การกระทำที่พระองค์ทรงมีก็เป็นเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้ และเนื่องจากพระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้ พระเจ้าก็ทรงทำให้ภาระหน้าที่ของพระองค์ครบบริบูรณ์เช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ของภาระหน้าที่ของพระองค์มีความถูกต้องและไม่มีข้อบกพร่องก็เพราะแหล่งกำเนิดของผลลัพธ์นั้นไม่มีข้อบกพร่องและไม่มีมลทินนั่นเอง พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีข้อตำหนิ ในทำนองเดียวกัน ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า—ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมี—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อตำหนิ และสามารถทนต่อการตรึกตรองครุ่นคิดและประสบการณ์ได้
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
บางคนเชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเอาไว้เป็นความจริงโดยแท้ อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขามาถึงพระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในหัวใจ ไม่ยับยั้งวาจาและการกระทำของตน ประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม และพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ตัดสินและว่าร้ายตามที่ตนเห็นควร นี่คือการที่คนชั่วเยี่ยงนั้นถูกเปิดเผย สิ่งทรงสร้างที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์เหล่านี้มักจะทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร และย่อมจะไม่มีเรื่องดีบังเกิดแก่พวกเขา! พวกเขาต้านทาน ว่าร้าย ตัดสิน และจาบจ้วงพระเจ้าอย่างเปิดเผย หมิ่นประมาทพระองค์และตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์อย่างเปิดเผย ผู้คนเยี่ยงนี้ต้องได้รับโทษอย่างร้ายแรง บางคนเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จ และหลังจากที่ถูกปลดก็รู้สึกเคืองพระเจ้าตลอดเวลา พวกเขาฉวยโอกาสเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและระบายคำพร่ำบ่นของตนอยู่ร่ำไปตามการชุมนุมต่างๆ พวกเขาอาจถึงขั้นโพล่งถ้อยคำที่เกรี้ยวกราดหรือวาจาที่ระบายความเกลียดชังของตนออกมา ผู้คนเยี่ยงนี้คือปีศาจมิใช่หรือ? หลังจากถูกนำตัวออกจากพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้ว พวกเขาก็สำนึกเสียใจ อ้างว่าชั่วขณะที่โง่เขลานั้น ตนพูดผิดไป บางคนแยกแยะคนเหล่านี้ไม่ออก จึงกล่าวว่า “พวกเขาออกจะน่าสงสารและสำนึกผิดจากหัวใจแล้ว พวกเขาบอกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าและไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น มาให้อภัยพวกเขากันเถอะ” การให้อภัยสามารถทำได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? ผู้คนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง นับประสาอะไรกับพระเจ้า! หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้หมิ่นประมาทและว่าร้ายเสร็จแล้ว พวกเขาก็ดูจะสำนึกผิดในสายตาของคนบางคนที่ยอมอภัยให้และกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นกระทำการในชั่วขณะที่โง่เขลา—แต่นั่นเป็นชั่วขณะที่โง่เขลาหรือไม่? พวกเขามีเจตนาบางอย่างอยู่ในคำพูดของตนเสมอ และถึงกับกล้าตัดสินพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าจึงสลับตำแหน่งพวกเขา แล้วพวกเขาก็สูญเสียผลประโยชน์จากสถานะ และด้วยความกลัวว่าจะถูกกำจัดออกไป พวกเขาจึงเอ่ยปากพร่ำบ่นมากมาย ร้องไห้อย่างขมขื่น และสำนึกผิดในภายหลัง เช่นนี้มีประโยชน์อันใด? เมื่อเจ้ากล่าววาจาออกมาแล้ว ก็เหมือนน้ำที่เทลงพื้น ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้ พระเจ้าจะทรงอดกลั้นต่อผู้คนที่ต้านทาน ตัดสิน และหมิ่นประมาทพระองค์ตามใจชอบกระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงมองข้ามไปเสียเฉยๆ กระนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าย่อมจะทรงไร้ซึ่งศักดิ์ศรี หลังจากต้านทานพระองค์แล้ว บางคนก็กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ไถ่ข้าพระองค์ พระองค์ทรงให้พวกเราอภัยแก่ผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง—พระองค์ก็ควรที่จะประทานอภัยแก่ข้าพระองค์เช่นเดียวกัน!” ช่างไร้ยางอายเสียจริง! บางคนแพร่กระจายข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและเกิดความเกรงกลัวขึ้นมาหลังจากว่าร้ายพระองค์ พอกลัวการถูกลงโทษ พวกเขาก็รีบคุกเข่าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ขออย่าได้เสด็จไปจากข้าพระองค์ ขออย่าทรงลงโทษข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอสารภาพ ข้าพระองค์สำนึกผิดแล้ว ข้าพระองค์เป็นหนี้บุญคุณพระองค์ ข้าพระองค์ได้กระทำผิดไปแล้ว” จงบอกเราเถิดว่าผู้คนเช่นนี้อภัยได้หรือไม่? ไม่ได้! ทำไมจึงไม่ได้? สิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบาปที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่มีวันได้รับการอภัยไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือในโลกที่จะมาถึง! พระเจ้าย่อมรักษาพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงมีศักดิ์ศรี พระพิโรธ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เจ้าคิดหรือว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนมนุษย์ ที่หากมีใครดีต่อพระองค์มากขึ้นอีกสักหน่อย พระองค์ก็จะทรงมองข้ามการฝ่าฝืนที่ผ่านมาของคนเหล่านั้น? หาได้เป็นเช่นนั้นไม่! หากเจ้าต้านทานพระเจ้า สิ่งต่างๆ จะกลับกลายเป็นดีสำหรับเจ้ากระนั้นหรือ? ถ้าเจ้าทำความผิดบางอย่างด้วยความโง่เขลาชั่วขณะ หรือเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเล็กน้อยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้าเจ้าต้านทาน กบฏต่อพระเจ้า และตั้งตนต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และถ้าเจ้าว่าร้าย หมิ่นประมาทและแพร่กระจายข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จบสิ้นโดยสิ้นเชิง ไม่มีความจำเป็นที่คนเช่นนี้จะต้องอธิษฐานอีกต่อไป พวกเขาควรรอรับการลงโทษเท่านั้น เป็นผู้คนที่อภัยให้ไม่ได้! เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าพูดอย่างไร้ยางอายว่า “พระเจ้า โปรดอภัยให้ข้าพระองค์ด้วย!” ไม่ว่าเจ้าจะวิงวอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ น่าเสียใจที่พูดไป เมื่อเข้าใจความจริงบางส่วนแล้ว เช่นนั้นถ้าผู้คนยังฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ก็ไม่อาจอภัยให้พวกเขาได้ ก่อนหน้านี้มีคำกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของคนเรา นั่นหมายถึงผู้เยาว์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกฎการปกครองของพระเจ้าและมิได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ไม่รวมถึงการหมิ่นประมาทและว่าร้ายพระเจ้า แต่หากเจ้าจะหมิ่นประมาท ตัดสิน หรือว่าร้ายพระเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว นี่ย่อมจะเป็นจุดด่างพร้อยถาวรที่ไม่อาจลบออกได้ ผู้คนนึกอยากจะหมิ่นประมาทและหยาบหยามพระเจ้าตามใจชอบ แล้วจากนั้นก็เอาเปรียบพระองค์เพื่อให้ได้รับพร ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาง่ายๆ เช่นนั้น! ผู้คนคิดเสมอว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและใจดี พระองค์ทรงเมตตา พระหทัยของพระองค์นั้นไพศาลและไม่อาจประมาณได้ พระองค์ไม่ทรงจดจำการฝ่าฝืนของผู้คน และทรงปล่อยให้การฝ่าฝืนและการกระทำในอดีตของผู้คนเป็นสิ่งที่ผ่านเลยไป การปล่อยสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้แล้วกันไปย่อมเกิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พระเจ้าจะไม่มีวันอภัยให้ผู้ที่ต้านทานและหมิ่นประมาทพระองค์อย่างเปิดเผย
แม้ผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่พวกเขาก็มิได้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงยากที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ถ้าผู้คนไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่ได้เกรงกลัวพระองค์ในการเชื่อของพวกเขา และพูดจาตามใจชอบเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของตน เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาพูดจบ เรื่องจะจบลงตรงนั้นกระนั้นหรือ? พวกเขาต้องรับผลจากคำพูดของตน และนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า เมื่อพวกเขาตัดสินพระเจ้า พวกเขารู้แก่ใจหรือไม่ว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่? ทุกคนที่กล่าวสิ่งเหล่านี้รู้แก่ใจดีว่าตนพูดอะไรออกไป นอกเหนือจากคนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำและเป็นผู้ที่มีเหตุผลผิดปกติแล้ว คนทั่วไปย่อมรู้อยู่ในหัวใจของตนว่าตนกำลังพูดอะไร ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังโกหก เวลาที่พวกเขาพูด พวกเขาก็คิดว่า “ฉันรู้ว่าท่านคือพระเจ้า และฉันก็กำลังพูดอยู่ว่าท่านทำไม่ถูก แล้วท่านจะทำอะไรฉันได้? ท่านจะทำอย่างไรเมื่อฉันพูดจบ?” พวกเขาเจตนาทำเช่นนี้เพื่อก่อความไม่สงบแก่ผู้อื่น เพื่อดึงผู้อื่นมาอยู่ฝั่งตน เพื่อให้ผู้อื่นพูดอะไรที่คล้ายๆ กัน ทำให้ผู้อื่นทำอะไรคล้ายๆ กัน พวกเขารู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นการต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผย เป็นการต่อต้านพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หลังจากใคร่ครวญแล้ว พวกเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด “ฉันพูดอะไรออกไป? นั่นเป็นชั่วขณะที่ผลีผลามและฉันก็เสียใจจริงๆ!” ความเสียใจของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้ชัดว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ หากเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่รู้เท่าทันและสับสนไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ผู้คนอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องมีสามัญสำนึกขั้นต่ำอยู่แล้ว การที่จะเชื่อในพระเจ้านั้น เจ้าควรเกรงกลัวพระเจ้าและยำเกรงพระองค์ เจ้าไม่อาจหมิ่นประมาทพระเจ้า ตัดสิน หรือว่าร้ายพระองค์ตามใจชอบ เจ้ารู้ไหมว่า “การตัดสิน” “การหมิ่นประมาท” และ “การว่าร้าย” หมายความว่าอย่างไร? เมื่อเจ้าพูดอะไรสักอย่าง เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังตัดสินพระเจ้าอยู่หรือไม่? บางคนพูดตลอดเวลาถึงข้อเท็จจริงที่พวกเขารับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับพระเจ้า มักจะพบเจอพระเจ้า และได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าโดยตรง พวกเขาพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับใครก็ตามที่บังเอิญผ่านมา อย่างละเอียด และมีแต่เรื่องของผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น พวกเขาไม่รู้อะไรที่แท้จริงเลย เวลาที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอาจไม่มีเจตนาร้าย พวกเขาอาจมีเจตนาดีกับพี่น้องชายหญิงและปรารถนาที่จะให้กำลังใจทุกคน แต่ทำไมพวกเขาจึงเลือกหยิบสิ่งเหล่านี้มาพูด? ถ้าพวกเขาขวนขวายที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องมีเจตนาบางอย่าง โดยมากแล้วก็เพื่ออวดตัวและทำให้ผู้คนยอมรับนับถือตนเอง ถ้าพวกเขาจะทำให้ผู้คนมั่นใจและให้กำลังใจผู้คนในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อาจจะอ่านพระวจนะของพระองค์ซึ่งเป็นความจริงให้คนเหล่านั้นฟังมากขึ้น เหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานที่จะพูดถึงสิ่งภายนอกดังกล่าว? ต้นตอของการที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ก็คือพวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยแท้ พวกเขาไม่กลัวพระเจ้า พวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสมและพูดจาพล่อยๆ ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าทรงมีศักดิ์ศรี! ถ้าผู้คนตระหนักถึงข้อนี้ พวกเขาจะยังทำเช่นนั้นอีกหรือไม่? ผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาพูดตามอำเภอใจว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรและกล่าวถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นตามแรงจูงใจของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน และเพื่อให้ผู้อื่นมองตนอย่างยกย่อง นี่คือการตัดสินพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยแท้ ผู้คนแบบนี้ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจแม้แต่น้อย พวกเขาล้วนเป็นคนที่ต้านทานและ หมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาทุกคนคือพวกวิญญาณชั่วและปีศาจ
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
หากเจ้าพยายามที่จะตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่เกิดแก่ผู้คนจากมุมมองในเรื่องถูกกับผิด ถูกต้องกับไม่ถูกต้อง เจ้าจะปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นดูไม่เหมือนเป็นพระราชกิจของพระเจ้าและไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้า และเจ้าก็จะปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น หากเจ้าปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะนบนอบต่อสิ่งเหล่านั้นดั่งเป็นความจริงได้อย่างไร? นั่นจะเป็นไปไม่ได้ เหตุใดผู้คนจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น? นี่มีเหตุมาจากมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่สมองมนุษย์สามารถระลึกรู้ได้และสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นจากกิจการของพระเจ้านั้นมีขีดจำกัด ทั้งยังหมายความว่า ความจริงที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ก็มีขีดจำกัด เจ้าสามารถฝ่าพ้นขีดจำกัดเหล่านี้เพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร? เจ้าต้องยอมรับสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้า และไม่นิยามสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผชิญที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจอย่างฉาบฉวย และไม่ด่วนตัดสินอย่างมืดบอดหากเจ้าไม่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้คนควรมีที่สุด หากเจ้าพูดว่า “นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำ พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำสิ่งนั้น!” เช่นนั้นเจ้าก็ขาดเหตุผล อะไรคือสิ่งที่เจ้าสามารถเข้าใจได้จริงเล่า? หากเจ้ากล้าที่จะทำการตัดสินแทนพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็กำลังขาดเหตุผลอย่างแท้จริง พระเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกระทำตรงกับที่เจ้าคิดหรืออยู่ในขอบเขตความคิดฝันของเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เกินไป ทรงยากจะหยั่งถึงเกินไป ทรงลุ่มลึกเกินไป ทรงอัศจรรย์เกินไป และทรงปัญญาเกินไป! เหตุใดเราจึงได้เติมคำว่า “เกินไป” เข้าไป? เพราะมนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงพระเจ้าได้ เจ้าเป็นสิ่งทรงสร้าง ดังนั้นจงอย่าพยายามหยั่งถึงพระเจ้า ครั้งเจ้าไม่มีความคิดนี้ต่อไปแล้ว เจ้าก็จะมีเหตุผลอยู่เล็กน้อย จงอย่าพยายามที่จะตั้งกฎเกณฑ์สำหรับพระเจ้า และหากเจ้าสามารถละเว้นจากการทำสิ่งนี้ เช่นนั้นเจ้าก็จะมีเหตุผล มีผู้คนมากมายที่ตั้งกฎเกณฑ์สำหรับพระเจ้าอยู่เสมอ และพูดว่าพระเจ้าควรปฏิบัติตนในหนทางเฉพาะบางอย่าง ว่าพระเจ้าจะทรงทำการนั้นในหนทางนี้หรือพระเจ้าจะไม่ทรงทำการนั้นในหนทางนั้นอย่างแน่นอน ว่านี่คือการกระทำของพระเจ้าอย่างแน่นอน และสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่ใช่การกระทำของพระเจ้าอย่างแน่นอน แล้วการเพิ่มเติมคำว่า “อย่างแน่นอน” นี้เล่าว่าอย่างไร? (นี่ไม่มีเหตุผล) เจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงวิเศษเกินไปและทรงปัญญาเกินไป แต่แล้วเจ้าก็พูดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันกระทำในบางหนทาง นั่นไม่ย้อนแย้งหรอกหรือ? นั่นไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า การยืนกรานทัศนะของคนเราเองอย่างหัวชนฝาและตั้งกฎเกณฑ์ให้กับพระเจ้าเสมอนั้นเป็นการขาดพร่องในเหตุผลอย่างถึงที่สุด
พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายนี้ และไม่มีใครคิดว่าพระองค์จะสามารถทรงปรากฎและทรงพระราชกิจในประเทศจีน ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่สามารถจินตนาการเรื่องนี้ได้นั้น ไม่ใช่เนื่องมาจากมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันในหัวใจเจ้าและความคิดที่มีข้อจำกัดของเจ้าหรอกหรือ? เจ้าอาจจะนึกถึงประเทศอเมริกา สหราชอาณาจักร หรือประเทศอิสราเอลว่าล้วนเป็นไปได้ แต่ไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจในประเทศจีน นั่นเกินกว่านึกถึงได้สำหรับเจ้า นั่นไกลเกินมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันของผู้คนอย่างมาก แต่พระเจ้าเพิ่งเริ่มทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศจีน กำลังทรงดำเนินพระราชกิจสุดท้ายและสำคัญที่สุดของพระองค์ นี่ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ไกลเกินไปมาก ดังนั้นเจ้าได้เรียนรู้อะไรจากการนี้เล่า? (ได้เรียนรู้ว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ อีกทั้งยังอัศจรรย์และไม่อาจหยั่งถึง) พระราชกิจของพระเจ้านั้นไกลเกินกว่าความคิดฝันแบบมนุษย์ อัศจรรย์ และยากจะหยั่งถึง มีปัญญา ลุ่มลึก--เหล่านี้เป็นคำพูดมนุษย์ที่ใช้บรรยายทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น แก่นแท้และอุปนิสัยของพระองค์ และนี่ถูกพิจารณาว่าสมเหตุสมผล โดยอาศัยการที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายซึ่งไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์นั่นเองที่ผู้คนสรุปรวมด้วยคำพูดเหล่านี้—พระราชกิจของพระเจ้าอัศจรรย์และไม่อาจหยั่งถึง ไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ อะไรอื่นอีกที่ผู้คนสามารถเรียนรู้ได้จากการนี้? เรียนรู้ว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเดิมในอดีตของมวลมนุษย์ล้วนถูกล้มล้างไปหมดแล้ว แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มาจากไหนเล่า? จากสิ่งที่เจ้ามองเห็น ประเทศจีนนั้นยากจนและล้าหลัง พรรคคอมมิวนิสต์เรืองอำนาจมาก ชาวคริสเตียนถูกข่มเหง ไม่มีอิสรภาพ ไม่มีสิทธิมนุษยชน และประชาชนจีนด้อยการศึกษา มีจุดยืนต่ำต้อยบนเวทีโลก ดูเป็นผองมนุษย์ที่ป่วยน่าสงสารของภูมิภาคเอเชียตะวันออก พระเจ้าสามารถทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในประเทศจีนเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดหรอกหรือ? ทีนี้ จงดูสิว่ามโนคติอันหลงผิดนี้ถูกหรือผิด (ผิดอย่างสิ้นเชิง) อันดับแรก จงอย่าพูดเกี่ยวกับเหตุผลที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ว่าเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะถ่อมใจและหลบซ่อน หรือว่าการทรงพระราชกิจในหนทางนี้มีนัยสำคัญและคุณค่าอันลุ่มลึก พวกเราอย่าหารือกันที่ระดับนี้เลย แต่มาคุยกันเกี่ยวกับว่า การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้ขัดแย้งกับมโนคติแบบมนุษย์อย่างมาก ใช่เป็นแบบนั้นเลย! ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้ นั่นเป็นข้อล้ำลึกหนึ่งของฟ้า และไม่มีใครรู้ ต่อให้นักดาราศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และผู้เผยพระวจนะถูกเรียกใช้ ใครหรือที่จะสามารถหาคำตอบของเรื่องนี้? ไม่มีใครจะสามารถทำได้ ต่อให้ผู้คนที่มีความสามารถทั้งหมดที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วถูกเชิญมาประชุมร่วมกันวิเคราะห์และสืบค้น หรือสังเกตการณ์และศึกษาด้วยกล้องดูดาว—ทั้งหมดนั่นล้วนเปล่าประโยชน์ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่ามวลมนุษย์ไร้ความสำคัญเกินไป ไม่รู้ความเกินไป ขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกินกว่าที่จะหยั่งถึงกิจธุระทั้งหลายของพระเจ้า หากเจ้าไม่สามารถหยั่งถึง เช่นนั้นก็อย่าได้ยุ่งยากไป ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรหากเจ้าพยายาม? มโนคติอันหลงผิดของเจ้าไม่เทียบเท่าความจริง และอันที่จริงแล้วก็แตกต่างมากมายจากสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกันเลย ความรู้เล็กน้อยอันใดที่พวกมนุษย์มีนั้นไร้ประโยชน์ ไม่สามารถค้นหาคำตอบอะไรได้หรือแก้ปัญหาอะไรได้ ตอนนี้ที่พวกเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรม ในหัวใจเจ้าเข้าใจมากขึ้นสักเล็กน้อยหรือไม่? เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าบ้างหรือไม่? บางคนอาจจะพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงหารือกับพวกเราถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ หากพระองค์จะทรงมอบเพียงหมายสำคัญทางท้องฟ้าเพื่อที่พวกเราอาจสามารถเข้าใจได้ในสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งใจทำ หรือแม้แต่ทรงบันดาลใจให้ผู้เผยพระวจนะให้คำทำนาย” เจ้าก็คงไม่สามารถมองเห็นการนั้นได้ ต่อให้มีหมายสำคัญทางท้องฟ้าและผู้เผยพระวจนะก็ทำไม่ได้เช่นกัน สิ่งที่พระเจ้าทรงทำในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณยังคงเป็นความลับนับจากโบราณกาลจนบัดนี้ และเป็นความลับมากเสียจนไม่มีมนุษย์สักคนสามารถรู้ได้ ไม่ว่าผู้เผยพระวจนะหรือนักดาราศาสตร์ หรือนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาใดอาจจะมีความสามารถพิเศษเพียงใดก็ตาม พวกเขาสามารถศึกษาทุกสิ่งได้ตามที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจกิจธุระของพระเจ้า ผู้คนสามารถศึกษาพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า และอาจจะสามารถเก็บตกความลับหรือความหมายไม่กี่อย่างที่อาจมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่พระเจ้าทรงทำการนั้น แต่ก็ไม่มีใครรู้สิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำในภายภาคหน้า หรือแผนการของพระองค์ เพราะฉะนั้น ผู้คนไม่ควรคิดที่จะหยั่งถึงพระเจ้า หรือหยั่งถึงในที่สุดถึงวิธีที่พระองค์ทรงพระราชกิจผ่านทางการสังเกตการณ์และการศึกษา การสืบค้นระยะยาวและประสบการณ์ การวิเคราะห์หลายแง่มุม หรือความขยันขันแข็งอย่างมากและการทำงานหนัก นี่เป็นไปไม่ได้และจะไม่มีวันได้ผล ดังนั้นหากผู้คนไม่สามารถหยั่งถึงพระเจ้า พวกเขาควรทำอย่างไร? (พวกเขาควรนบนอบ) เป็นการสมเหตุผลที่สุดที่ผู้คนจะนบนอบและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่สุด การนบนอบคือหลักฐานยืนยัน อะไรคือจุดประสงค์ของการนบนอบ? นั่นก็เพื่อให้สามารถรู้จักพระองค์มากขึ้น เพื่อได้มาซึ่งความจริง และได้รับชีวิตบนพื้นฐานของการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าควรที่จะได้รับ และเป็นขุมทรัพย์ที่เจ้าควรพึงปรารถนา เมื่อคำนึงถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ ภายนอก เช่นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิธีที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลาย และวิธีที่พระองค์ทรงนำทางเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้—หากเจ้าสามารถมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นั่นก็ยิ่งดี ไม่เป็นไรเช่นกันหากเจ้าพูดว่า “ฉันไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นจริงจังอะไร ฉันไม่มีขีดความสามารถหรือความคิดจิตใจสำหรับเรื่องนั้น ฉันสนใจเพียงวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมความจริงให้ฉันและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของฉัน” ตราบที่เจ้ามีหัวใจที่นบนอบและยำเกรงพระเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับความจริงจากพระเจ้า รวมถึงปัญญาในที่สุด ความจริงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน นั่นเป็นชีวิตที่ผู้คนควรเสาะแสวงที่จะได้รับ และเส้นทางที่พวกเขาควรเดิน ดังนั้น ปัญญาอะไรหรือที่ผู้คนได้มา? โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เจ้าก็จะสามารถมองเห็นหนทางที่พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ มากมาย เห็นเหตุผลที่พระองค์ทำสิ่งเหล่านั้น เห็นสิ่งที่เป็นพระเจตนารมณ์และเป้าหมาย อีกทั้งสิ่งที่เป็นหลักธรรมของพระองค์ในการทำบางสิ่ง เจ้าจะสามารถตระหนักถึงการนี้โดยไม่รู้ตัว ผ่านทางกระบวนการรับประสบการณ์กับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า บางทีพระวจนะและเรื่องเหล่านี้อาจลุ่มลึกเกินไป และเจ้าจะไม่สามารถแสดงมันออกมาเป็นคำพูดได้ แต่เจ้าจะรู้สึกถึงความจริงในหัวใจเจ้า และมีความเข้าใจจริงโดยไม่ทันตระหนักถึงมันด้วยซ้ำ
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีรู้จักอธิปไตยของพระเจ้า
ไม่สำคัญว่าพระเพระเจ้าทรงทำสิ่งใด มนุษย์ก็ต้องเชื่อฟัง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทำจากดินเหนียว และพวกเขาควรเชื่อฟังพระเจ้า นี่คือหน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบของมนุษย์ ที่คือท่าทีที่ผู้คนควรมี ทันทีที่ผู้คนมีท่าทีนี้ พวกเขาควรปฏิบัติอย่างไรต่อพระเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำ? จงไม่กล่าวโทษโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เจ้าล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นจงแก้ไข แต่จงไม่กล่าวโทษพระเจ้าหรือสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทันทีที่เจ้ากล่าวโทษสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็จบเห่ นั่นเทียบเท่ากับการยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าโดยไม่มีโอกาสได้รับความรอดเลย เจ้าอาจพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่ได้กำลังยืนอยู่ทางฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า แต่ฉันมีการเข้าใจพระเจ้าผิด” หรือ “ฉันมีความกังขานิดหน่อยในหัวใจเกี่ยวกับพระเจ้า ความเชื่อของฉันนั้นน้อย และฉันมีความอ่อนแอและความคิดลบ” ทั้งหมดนี้บริหารจัดการได้ ทั้งหมดนี้สามารถได้รับการแก้ไขโดยการแสวงหาความจริง—แต่จงอย่ากล่าวโทษพระเจ้า หากเจ้าพูดว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ถูกต้อง นั่นไม่พ้องกับความจริง ดังนั้นฉันมีเหตุผลที่จะกังขา ตั้งคำถามและกล่าวหา ฉันจะเผยแพร่เรื่องนี้ไปทุกแห่งหนและรวมรวมผู้คนให้พร้อมใจกันตั้งคำถามกับพระองค์” นี่จะสร้างความเดือดร้อน ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลง และหากเจ้ากล่าวโทษพระเจ้า เจ้าก็จะจบเห่โดยสมบูรณ์ มีหนทางมากมายเหลือเกินที่พระเจ้าทรงสามารถแก้เผ็ดเจ้า เพราะฉะนั้นผู้คนไม่ควรจงใจต่อต้านพระองค์ นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หากเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดขืนพระองค์โดยไม่ตั้งใจ นั่นไม่ได้ถูกทำไปโดยตั้งใจหรือมีจุดประสงค์ และพระเจ้าทรงให้โอกาสเจ้ากลับใจ หากเจ้าตั้งใจกล่าวโทษการนั้นแม้เจ้ารู้ว่าบางสิ่งเป็นการทำของพระเจ้า และเจ้าก็ปลุกระดมให้ทุกคนพากันกบฏ เช่นนั้น นี่ก็สร้างความเดือดร้อน และผลลัพธ์จะเป็นอะไรเล่า? เจ้าจะจบลงเหมือนผู้นำของชุมนุมชนสองร้อยห้าสิบคนที่ขัดขืนโมเสส ทั้งที่รู้ว่านั่นคือพระเจ้า เจ้าก็ยังกล้าดีที่จะโหวกเหวกใส่พระองค์ พระเจ้าไม่ทรงโต้วาทีกับเจ้า พระองค์คือสิทธิอำนาจ พระองค์ทรงทำให้ธรณีสูบเจ้าเข้าไปโดยตรง และทั้งหมดก็มีเท่านั้นเอง พระองค์จะไม่มีวันทรงมองเห็นเจ้าหรือฟังการให้เหตุผลของเจ้า นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า อะไรคือการสำแดงอุปนิสัยของพระเจ้า ณ เวลานี้? พระพิโรธ! เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะในวิถีทางใด ผู้คนไม่ควรโหวกเหวกใส่พระเจ้าหรือยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ หากผู้ใดล่วงเกินพระเจ้า ผลลัพธ์จะเป็นความพินาศ
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ในครรลองแห่งการดำรงชีวิตของพวกเขาด้วยความเชื่อในพระเจ้านั้น บุคคลทุกคนล้วนได้ทำในสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานและหลอกลวงพระเจ้า ความประพฤติผิดบางอย่างไม่จำเป็นต้องถูกบันทึกว่าเป็นการทำให้ขุ่นเคือง แต่บางอย่างก็ไม่สามารถยกโทษให้ได้ เพราะมีหลายความประพฤติที่ฝ่าฝืนกฎการบริหารปกครองของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้า หลายคนที่กังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเองอาจตั้งคำถามว่า ความประพฤติเหล่านี้มีอะไรบ้าง เจ้าควรจะรู้อยู่แล้วว่า พวกเจ้านั้นมีความโอหังและหยิ่งผยองอยู่โดยธรรมชาติ และไม่เต็มใจที่จะนบนอบข้อเท็จจริง ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงจะค่อยๆ บอกกล่าวกับพวกเจ้าทีละน้อยๆ หลังจากพวกเจ้าได้ทบทวนกับตัวเองแล้ว เราจะเตือนสติให้พวกเจ้ามีความเข้าใจในเนื้อหาของกฎการบริหารปกครองมากขึ้น และให้พยายามทำความรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า หากไม่เช่นนั้น พวกเจ้าคงห้ามปากตัวเองให้ปิดสนิทได้อย่างลำบากยากเย็น ลิ้นของพวกเจ้าคงตวัดอย่างอิสระเกินไปกับการพูดคุยให้ฟังดูสูงส่ง แล้วเจ้าก็จะทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และร่วงลงสู่ความมืดมิด สูญเสียการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความสว่าง เพราะพวกเจ้าไม่มีหลักธรรมในการกระทำทั้งหลาย เพราะเจ้าทำและพูดในสิ่งที่ไม่ควร เจ้าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์อันสาสม เจ้าควรรู้ว่าแม้เจ้าจะไม่มีหลักธรรมในคำพูดและความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงมีหลักธรรมสูงส่งในทั้งสองสิ่ง เหตุผลที่เจ้าได้รับการลงทัณฑ์อันสาสมก็เพราะเจ้าได้ล่วงเกินพระเจ้า ไม่ใช่ต่อบุคคลคนหนึ่ง หากในชีวิตของเจ้า เจ้าได้กระทำการล่วงเกินต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหลายครั้งหลายครา เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมต้องกลายไปเป็นลูกหลานแห่งนรกอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ สำหรับมนุษย์แล้ว อาจปรากฏเหมือนว่า เจ้าแค่ได้กระทำความประพฤติที่ไม่ลงรอยกับความจริงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เจ้าได้ตระหนักรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าได้กลายเป็นใครบางคนที่ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปจะมอบให้อีกแล้ว เพราะเจ้าได้ฝ่าฝืนกฎการบริหารปกครองของพระเจ้าเกินกว่าหนึ่งครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ได้แสดงสัญญาณของการกลับใจใหม่เลย ไม่มีตัวช่วยอื่นอีกแล้วสำหรับเจ้า มีก็แต่การดิ่งพรวดลงสู่นรกที่ซึ่งพระเจ้าจะทำการลงโทษมนุษย์เท่านั้นเอง ผู้คนจำนวนน้อยนิดได้กระทำความประพฤติบางอย่างที่ฝ่าฝืนหลักธรรมทั้งหลายในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า แต่หลังจากถูกตัดแต่งและได้รับการทรงนำแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบความเสื่อมทรามของตนเอง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเป็นจริง และพวกเขายังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในปัจจุบัน ผู้คนเช่นนั้นคือพวกที่จะคงอยู่ในตอนสุดท้าย กระนั้น ความซื่อสัตย์ต่างหากที่เราแสวงหา หากเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเป็นคนไว้ใจคนหนึ่งของพระเจ้าได้ หากในการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ได้กระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เมื่อนั้นความเชื่อของเจ้าย่อมขึ้นถึงมาตรฐาน ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่มีหัวใจที่สั่นรัวด้วยความสยองขวัญนั้นมีแววสูงมากที่จะฝ่าฝืนกฎการบริหารปกครองของพระเจ้า หลายคนรับใช้พระเจ้าด้วยจุดแข็งของความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา แต่ไม่มีความเข้าใจในประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเลย ที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือ ความเฉลียวใจอันใดต่อการแสดงนัยแห่งพระวจนะของพระองค์ และดังนั้น ด้วยเจตนาดีของพวกเขา บ่อยครั้งที่พวกเขาลงเอยตรงการทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นการรบกวนการบริหารจัดการของพระเจ้า ในกรณีที่รุนแรง พวกเขาถูกขว้างทิ้งออกไปเลย ถูกตัดขาดจากโอกาสอันใดในภายภาคหน้าที่จะได้ติดตามพระองค์ และถูกขับลงสู่นรก ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันจบสิ้นลง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ
ทุกประโยคที่เราพูดไปมีพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ในนั้น พวกเจ้าควรใคร่ครวญวจนะของเราอย่างละเอียดรอบคอบ และพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อย่างมากจากวจนะของเราอย่างแน่นอน แก่นแท้ของพระเจ้านั้นยากที่จะจับความเข้าใจ แต่เราไว้วางใจว่าพวกเจ้าทุกคนอย่างน้อยที่สุดก็มีแนวคิดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็หวังว่าพวกเจ้าจะมีสิ่งที่พวกเจ้าลงมือทำและไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามาแสดงให้เราดูมากขึ้น เมื่อนั้นเราจึงจะมั่นใจ ตัวอย่างเช่น จงรักษาพระเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้าตลอดเวลา เมื่อเจ้ากระทำการใด จงทำเช่นนั้นตามพระวจนะของพระองค์ จงแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในทุกสิ่ง และจงละเว้นการทำสิ่งที่ไม่เคารพและลบหลู่พระเจ้า และเจ้ายิ่งไม่ควรเอาพระเจ้าไปเก็บไว้เบื้องลึกในจิตใจของเจ้าเพื่อใช้เติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเจ้าในอนาคต หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเช่นกัน สมมุติว่าตลอดชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยตั้งข้อสังเกตที่หมิ่นประมาทหรือพร่ำบ่นพระเจ้า และอีกเช่นกัน สมมุติว่าเจ้าสามารถลุล่วงทุกอย่างที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และยังสามารถนบนอบพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ตลอดชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารแล้ว ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเคยพูดว่า “ทำไมฉันจึงไม่คิดว่าพระองค์คือพระเจ้า?” “ฉันคิดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงความรู้แจ้งบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์” “ในความเห็นของฉัน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นจำเป็นต้องถูกต้อง” “สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้เหนือกว่าของฉัน” “พระวจนะของพระเจ้าเชื่อไม่ได้จริงๆ” หรือความคิดเห็นอื่นๆ ที่ชอบตัดสินเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เราจะเตือนสติให้เจ้าสารภาพและสำนึกบาปของเจ้าให้บ่อยขึ้น มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการยกโทษ ด้วยเหตุที่เจ้าไม่ได้ล่วงเกินมนุษย์ แต่ล่วงเกินพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าอาจเชื่อว่าเจ้ากำลังตัดสินมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นดังนั้น การที่เจ้าไม่เคารพเนื้อหนังของพระองค์ย่อมเทียบเท่ากับการไม่เคารพพระองค์ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เจ้าไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ? เจ้าต้องจำไว้ว่าทุกสิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำล้วนทำไปเพื่อที่จะปกปักรักษาพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์และเพื่อทรงพระราชกิจนี้ให้ดี หากเจ้าละเลยเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว เราย่อมกล่าวว่าเจ้าคือใครบางคนที่จะไม่มีวันสามารถประสบความสำเร็จในการเชื่อในพระเจ้า ด้วยเหตุที่เจ้าได้ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า และดังนั้นพระองค์จะทรงใช้การลงโทษอันเหมาะสมเพื่อสอนบทเรียนแก่เจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก
แม้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าจะมีองค์ประกอบของความรักอยู่ด้วย และพระองค์ก็ทรงกรุณาต่อทุกๆ คน แต่ผู้คนก็ได้มองข้ามและลืมข้อเท็จจริงที่ว่าแก่นแท้ของพระองค์นั้นเป็นแก่นแท้แห่งความทรงเกียรติเช่นกัน การที่พระองค์ทรงมีความรักไม่ได้หมายความว่าผู้คนสามารถทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองได้อย่างอิสระโดยไม่ทำให้พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกทั้งหลายหรือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีความกรุณาก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้คน พระเจ้าทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริง พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นหุ่นเชิดที่จินตนาการขึ้นหรือวัตถุอื่นใด ในเมื่อพระองค์ทรงดำรงอยู่จริง พวกเราควรตั้งใจฟังเสียงของพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความสนใจใกล้ชิดต่อท่าทีของพระองค์ และมาเข้าใจความรู้สึกทั้งหลายของพระองค์ พวกเราไม่ควรใช้จินตนาการของมนุษย์ในการนิยามพระเจ้า อีกทั้งพวกเราไม่ควรบังคับใช้ความคิดหรือความปรารถนาของมนุษย์กับพระองค์ โดยทำให้พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนในลักษณะของมนุษย์บนพื้นฐานของจินตนาการทั้งหลายของมนุษย์ หากเจ้าทำการนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำให้พระเจ้ากริ้ว กระตุ้นพระพิโรธของพระองค์ และท้าทายความทรงเกียรติของพระองค์! ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่พวกเจ้าได้มาเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว เราขอรบเร้าให้พวกเจ้าทุกๆ คนระมัดระวังและรอบคอบในการกระทำของพวกเจ้า จงระมัดระวังและรอบคอบในวาทะของพวกเจ้าเช่นกัน—ในส่วนของวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้า ยิ่งเจ้าระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น! เมื่อเจ้าไม่เข้าใจว่าอะไรคือท่าทีของพระเจ้า จงงดเว้นการพูดอย่างประมาท จงอย่าประมาทในการกระทำของเจ้า และจงอย่าใช้ป้ายฉลากด้วยความฉาบฉวย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จงอย่ามาทำข้อสรุปตามอำเภอใจ เจ้าควรรอและแสวงหาแทน การกระทำเหล่านี้ก็เป็นการแสดงออกถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และเหนือสิ่งอื่นใด หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงโทษเจ้าเพราะความโง่ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการขาดความเข้าใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งทั้งหลายของเจ้า ตรงกันข้าม เนื่องจากท่าทีของเจ้าเกี่ยวกับความกลัวต่อการทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของพระองค์ และความเต็มใจที่จะนบนอบต่อพระองค์ พระเจ้าก็จะทรงจดจำเจ้า ทรงนำทางและทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า หรือทรงยอมผ่อนปรนต่อความไม่เป็นผู้ใหญ่และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้า ในทางกลับกัน หากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์นั้นไม่มีความเคารพ—ตัดสินพระองค์ตามที่เจ้าปรารถนา หรือเดาและนิยามแนวคิดของพระองค์ตามอำเภอใจ—พระเจ้าก็จะทรงกล่าวโทษเจ้า บ่มวินัยเจ้า และแม้กระทั่งลงโทษเจ้า หรือพระองค์อาจประทานความเห็นเกี่ยวกับเจ้า บางที ความเห็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับจุดจบของเจ้า เพราะฉะนั้นเราปรารถนาที่จะเน้นอีกครั้ง กล่าวคือ พวกเจ้าแต่ละคนควรระมัดระวังและรอบคอบเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้า จงอย่าพูดอย่างประมาท และจงอย่าประมาทในการกระทำของพวกเจ้า ก่อนที่เจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าควรหยุดและคิดว่า การกระทำครั้งนี้ของฉันจะทำให้พระเจ้ากริ้วหรือไม่? ในการทำสิ่งนั้น ฉันกำลังยำเกรงพระเจ้าอยู่หรือไม่? แม้ในเรื่องที่เรียบง่าย เจ้าควรพยายามขบคำถามเหล่านี้ให้แตก และใช้เวลามากขึ้นในการพิจารณาคำถามเหล่านี้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักธรรมเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน ในทุกๆ สิ่ง ตลอดเวลา และนำท่าทีเช่นนี้ไปใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าไม่เข้าใจบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าและทรงให้เส้นทางให้เจ้าติดตาม ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเสนอการแสดงแบบใด พระเจ้าก็ทรงเห็นพวกเขาอย่างชัดเจนและชัดแจ้ง และพระองค์จะประทานการประเมินที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการแสดงเหล่านี้ของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้ก้าวผ่านบททดสอบสุดท้ายแล้ว พระเจ้าก็จะทรงนำพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้ามาสรุปรวมกันอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อที่จะกำหนดพิจารณาจุดจบของเจ้า ผลลัพธ์นี้จะโน้มน้าวให้ทุกๆ บุคคลเชื่ออย่างสิ้นสงสัย สิ่งที่เราอยากจะบอกพวกเจ้าในที่นี้คือว่า ทุกความประพฤติของพวกเจ้า ทุกการกระทำของพวกเจ้า และทุกความคิดของพวกเจ้าตัดสินชะตากรรมของพวกเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนประพฤติตนแตกต่างกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ท่าทีของพระองค์ต่อพฤติกรรมเหล่านี้ก็แตกต่างกันเพราะพระองค์ไม่ทรงเป็นทั้งหุ่นเชิดและอากาศว่างเปล่า การทำความรู้จักกับท่าทีของพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาที่คุ้มค่าสำหรับมวลมนุษย์ โดยการรู้จักท่าทีของพระเจ้า ผู้คนควรจะได้เรียนรู้วิธีที่พวกเขาสามารถบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมาเข้าใจพระทัยของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเจ้าค่อยๆ มาเข้าใจพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าการยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งยากยิ่งที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระเจ้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่มีแนวโน้มที่จะสร้างบทสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์ ทันทีที่เจ้าหยุดสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าก็จะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง และโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ พระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การนี้จะเติมเต็มหัวใจของเจ้าด้วยความยำเกรงพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะหยุดนิยามพระเจ้าโดยผ่านทางคำสอน คำพูดและทฤษฎีทั้งหลายที่เจ้าได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญ แต่โดยการแสวงหาจนพบความพึงปรารถนาทั้งหลายของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งอย่างสม่ำเสมอ เจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว
พระราชกิจของพระเจ้านั้นพวกมนุษย์มองไม่เห็นและไม่สามารถแตะต้องได้ แต่ในความคิดเห็นของพระองค์ การกระทำของบุคคลทุกๆ คน—พร้อมกับท่าทีของพวกเขาต่อพระองค์—ไม่เพียงสามารถล่วงรู้ได้โดยพระเจ้า แต่ยังสามารถมองเห็นได้สำหรับพระองค์อีกด้วย นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรระลึกและชัดเจนอย่างมาก เจ้าอาจกำลังถามตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่? พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้? บางทีพระองค์อาจทรงรู้ และบางทีพระองค์อาจไม่ทรงรู้” หากเจ้ายอมรับทัศนคติแบบนี้ ติดตามและเชื่อในพระเจ้า แต่ยังแคลงใจในพระราชกิจของพระองค์และการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเจ้าจะปลุกเร้าพระพิโรธของพระองค์ เพราะเจ้ากำลังเดินโซเซอยู่บนขอบหน้าผาอันตราย เราได้เห็นผู้คนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับความเป็นจริงความจริง นับประสาอะไรที่จะได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่สร้างความก้าวหน้าในชีวิตและวุฒิภาวะของพวกเขา โดยยึดติดกับคำสอนที่ตื้นเขินที่สุดเท่านั้น นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนี้ไม่เคยถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือชีวิตในตัวเอง และพวกเขาไม่เคยเผชิญหน้าและยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เจ้าคิดหรือไม่ว่าเมื่อทรงเห็นผู้คนเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี? พวกเขาปลอบพระทัยพระองค์หรือไม่? ด้วยเหตุนี้จึงเป็นวิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้านั่นเองที่ตัดสินชะตากรรมของพวกเขา ในส่วนของวิธีที่ผู้คนแสวงหา และวิธีที่ผู้คนเข้าหาพระเจ้า ท่าทีของผู้คนมีความสำคัญอันดับแรก จงไม่เพิกเฉยต่อพระเจ้าเหมือนพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่รอบๆ ที่ด้านหลังของหัวเจ้า จงคิดถึงพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในฐานะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เป็นจริงเสมอ พระองค์ไม่ได้กำลังประทับอยู่บนนั้นในสวรรค์ชั้นที่สามโดยไม่มีสิ่งใดให้ทรงทำ ตรงกันข้ามพระองค์กำลังทรงเฝ้ามองหัวใจของทุกคน ทรงสังเกตการณ์สิ่งที่เจ้าคิดจะทำ ทรงเฝ้ามองทุกคำพูดเล็กน้อยและทุกความประพฤติเล็กน้อยของพวกเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าประพฤติตนอย่างไร และทรงเห็นว่าอะไรคือท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจมอบตัวเองให้กับพระเจ้าหรือไม่ พฤติกรรมของเจ้าทั้งหมดและความคิดและแนวคิดข้างในสุดของเจ้าถูกแผ่วางเฉพาะพระพักตร์พระองค์และกำลังถูกพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้า เนื่องจากความประพฤติของเจ้า และเนื่องจากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ ข้อคิดเห็นของพระเจ้าเกี่ยวกับเจ้า และท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราอยากจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่ผู้คนบางคนว่าจงอย่าวางตัวของเจ้าเองเหมือนเด็กทารกในพระหัตถ์ของพระเจ้า ราวกับว่าพระองค์ควรทรงหลงใหลเจ้า ราวกับว่าพระองค์ไม่มีวันสามารถจากเจ้าไป และราวกับว่าท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าได้ถูกกำหนดตายตัวแล้วและไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราขอแนะนำให้เจ้าเลิกฝัน! พระเจ้าทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคล และพระองค์ทรงจริงจังในวิธีการเข้าหาของพระองค์ในพระราชกิจแห่งการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอด นี่คือการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างจริงจัง และไม่ใช่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะเล่นด้วย ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นไม่ใช่แบบที่เอาใจหรือตามใจ อีกทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ก็ไม่ตามใจและไม่เพิกเฉย ในทางตรงกันข้าม ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการทะนุถนอม การสงสาร และการเคารพชีวิต ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์สื่อถึงความคาดหวังของพระองค์ต่อพวกเขา และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติต้องการเพื่อที่จะอยู่รอด พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง ท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นมีหลักธรรม ไม่ใช่กฎกติกามากมายแต่อย่างใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแปลงสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมขณะที่เกิดขึ้น และพร้อมกับท่าทีของทุกๆ บุคคล เพราะฉะนั้น เจ้าควรรู้ในหัวใจของเจ้าด้วยความชัดเจนอย่างแท้จริงว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระอุปนิสัยของพระองค์จะปรากฏออกมาในเวลาที่ต่างกันและในบริบทที่แตกต่างกัน เจ้าอาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงจัง และเจ้าอาจใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อจินตนาการว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ทัศนคติขั้วตรงข้ามของเจ้าเป็นจริง และด้วยการใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อพยายามวัดพระเจ้า เจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธแล้ว นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงดำเนินการตามวิธีที่เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงทำ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเรื่องนี้เหมือนที่เจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงทำ ด้วยเหตุนี้ เราเตือนความจำเจ้าให้ระมัดระวังและรอบคอบในการเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้า และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติไปตามหลักธรรมแห่งการเดินตามทางของพระเจ้า—การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในทุกสรรพสิ่ง เจ้าต้องพัฒนาความเข้าใจที่มั่นคงโดยคำนึงถึงเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและท่าทีของพระเจ้า เจ้าต้องหาผู้คนที่รู้แจ้งเพื่อสื่อสารเรื่องเหล่านี้กับเจ้า และเจ้าต้องแสวงหาอย่างจริงจัง จงไม่มองดูพระเจ้าแห่งการเชื่อของเจ้าในฐานะหุ่นเชิด—ตัดสินพระองค์ตามอำเภอใจ มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพระองค์โดยพลการ และไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความเคารพที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงนำพาความรอดมาให้เจ้าและกำหนดพิจารณาจุดจบของเจ้า พระองค์อาจประทานความกรุณา หรือความยอมผ่อนปรน หรือการพิพากษาและการตีสอนแก่เจ้า แต่ไม่ว่าในกรณีใด ท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะไม่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้าเองต่อพระองค์ ตลอดจนความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ จงไม่ปล่อยให้แง่มุมชั่วคราวอย่างหนึ่งในความรู้และความเข้าใจเรื่องพระเจ้าของเจ้านิยามพระองค์อย่างถาวร จงไม่เชื่อในพระเจ้าที่สิ้นพระชนม์แล้วองค์หนึ่ง จงเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่ จงจดจำเรื่องนี้ไว้! แม้ว่าเราได้หารือเกี่ยวกับความจริงบางอย่างที่นี่—ความจริงที่พวกเจ้าจำเป็นต้องฟัง—ในแง่ของสถานะปัจจุบันและวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้า เราจะไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นจากพวกเจ้าในตอนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการลดทอนความกระตือรือร้นของพวกเจ้า การทำเช่นนั้นสามารถเติมเต็มหัวใจของพวกเจ้าด้วยความท้อแท้มากเกินไป และทำให้พวกเจ้ารู้สึกผิดหวังมากเกินไปต่อพระเจ้า แต่เราหวังว่าพวกเจ้าสามารถใช้หัวใจที่รักพระเจ้าและใช้ท่าทีที่เปี่ยมความเคารพกับพระเจ้าแทน เมื่อเดินตามเส้นทางที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า จงไม่สับสนมึนงงโดยผ่านทางเรื่องนี้เกี่ยวกับวิธีเชื่อในพระเจ้า จงปฏิบัติต่อมันว่าเป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ จงวางมันไว้ในหัวใจของเจ้า เชื่อมโยงมันกับความเป็นจริง และเชื่อมต่อมันเข้ากับชีวิตจริง จงไม่เพียงปรนนิบัติเรื่องนี้แต่ปาก—เพราะนี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตาย และเป็นเรื่องที่จะกำหนดพิจารณาชะตากรรมของเจ้า จงไม่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกหรือเรื่องเล่นของเด็ก!
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าทรงเรียบง่ายอย่างที่เจ้าพูดอย่างนั้นหรือ?