45. วิธีทำความเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
ในพระราชกิจสุดท้ายแห่งการสรุปปิดตัวยุค พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา ซึ่งพระองค์ทรงใช้เผยสิ่งที่ไม่ชอบธรรมทั้งปวง เพื่อพิพากษากลุ่มชนทั้งหมดอย่างเปิดเผย และเพื่อทำให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ด้วยหัวใจที่จริงใจมีความเพียบพร้อม มีเพียงพระอุปนิสัยเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนำยุคไปถึงปลายทางได้ ยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว สรรพสิ่งทรงสร้างจะถูกแยกไปตามประเภทของตน และจะถูกแบ่งออกเป็นจำพวกต่างๆ กันตามธรรมชาติของตน นี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงเผยจุดจบของมนุษยชาติและบั้นปลายของพวกเขา หากผู้คนมิได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้วไซร้ ก็ย่อมจะไม่มีหนทางเปิดโปงความไม่เชื่อฟังและความไม่ชอบธรรมของพวกเขา มีเพียงโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาเท่านั้นที่จะสามารถเผยจุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างได้ มนุษย์แสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเฉพาะเมื่อเขาถูกตีสอนและถูกพิพากษาเท่านั้น คนชั่วจะถูกนำไปอยู่กับคนชั่ว คนดีอยู่กับคนดี และมนุษยชาติทั้งปวงจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา จุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการเปิดเผยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่คนชั่วอาจได้รับการลงโทษและคนดีได้รับบำเหน็จรางวัล และผู้คนทั้งปวงกลับกลายมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า พระราชกิจทั้งหมดนี้จะต้องสัมฤทธิ์โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาที่ชอบธรรม เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว และความไม่เชื่อฟังของพวกเขากลับกลายเป็นร้ายแรงเหลือหลาย จึงมีเพียงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระอุปนิสัยที่ประกอบด้วยการตีสอนและการพิพากษาเป็นสำคัญ และเป็นพระอุปนิสัยที่ถูกเปิดเผยในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถแปลงสภาพมนุษย์และทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมได้ มีเพียงพระอุปนิสัยนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดโปงคนชั่ว และด้วยเหตุนี้จึงสามารถลงโทษพวกที่ไม่ชอบธรรมทั้งหมดอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นพระอุปนิสัยเช่นนี้จึงบรรจุความสำคัญของยุคเอาไว้ และการเปิดเผยและแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดก็เป็นไปเพื่อพระราชกิจของยุคใหม่แต่ละยุค มิใช่ว่าพระเจ้าเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ตามใจชอบและโดยไม่มีนัยสำคัญ สมมุติว่าในการเปิดเผยจุดจบของมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าจะยังคงประทานความสงสารและความรักอันไม่สิ้นสุดแก่มนุษย์และเปี่ยมรักต่อเขาต่อไป โดยไม่ให้มนุษย์ได้รับการพิพากษาอันชอบธรรม แต่กลับทรงแสดงให้เขาเห็นการยอมผ่อนปรน ความอดทน และการให้อภัย และทรงยกโทษให้มนุษย์ไม่ว่าบาปของเขาจะใหญ่หลวงเพียงใด โดยไม่มีการพิพากษาอันชอบธรรมแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นแล้ว การบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าจะถึงกาลสิ้นสุดลงเมื่อใด? พระอุปนิสัยเช่นนี้จะสามารถนำทางผู้คนไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมของมวลมนุษย์ได้เมื่อใด? จงดูตัวอย่างของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่เปี่ยมรักอยู่เสมอ ผู้พิพากษาที่มีใบหน้าที่ใจดีและหัวใจที่อ่อนโยน เขารักผู้คนโดยไม่คำนึงถึงอาชญากรรมที่พวกเขาอาจก่อเอาไว้ และเขาเปี่ยมรักและอดกลั้นกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ในกรณีนั้น เมื่อใดเขาจึงจะสามารถมีคำพิพากษาที่ยุติธรรมได้เสียที? ในระหว่างยุคสุดท้าย มีเพียงการพิพากษาอันชอบธรรมเท่านั้นที่สามารถแยกมนุษย์ไปตามประเภทของพวกเขาและพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรใหม่ได้ ในหนทางนี้ ทั้งยุคย่อมไปถึงปลายทางโดยผ่านทางพระอุปนิสัยอันชอบธรรมแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)
เราคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง และที่มากยิ่งกว่าคือ เราเป็นสภาวะบุคคลองค์หนึ่งและองค์เดียวของพระเจ้า ที่มากไปกว่านั้นด้วยซ้ำก็คือ เรา ที่มีเนื้อหนังอันครบถ้วนบริบูรณ์นี้ เป็นการสำแดงที่ครบบริบูรณ์ถึงพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่ยำเกรงเรา ผู้ใดก็ตามที่กล้าแสดงออกถึงการต้านทานในสายตาของพวกเขา และผู้ใดก็ตามที่กล้ากล่าวคำเยาะเย้ยท้าทายต่อเราจะต้องตายจากคำสาปแช่งและความโกรธของเราอย่างแน่นอน (จะมีการสาปแช่งเพราะความโกรธของเรา) ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่จงรักภักดีหรืออกตัญญูต่อเรา และผู้ใดก็ตามที่กล้าพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเรา ก็จะตายอย่างแน่นอนจากความเกลียดชังของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาของเราจะสู้ทนไปตลอดกาล ในคราแรก เรารักใคร่และเปี่ยมกรุณา แต่นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแห่งเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาแค่ประกอบกันเป็นอุปนิสัยของเรา เป็นพระเจ้าพระองค์เองที่ครบบริบูรณ์ ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ เรารักใคร่และเปี่ยมกรุณา เนื่องจากงานที่เราต้องทำให้แล้วเสร็จ เราจึงครองความเมตตาและความกรุณา อย่างไรก็ตาม ภายหลังนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกต่อไป (และนับจากนั้นมาก็ยังไม่มีความจำเป็นอีกเลย) ทั้งหมดเป็นความชอบธรรม บารมีและการพิพากษา และนี่คืออุปนิสัยที่ครบบริบูรณ์แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราควบคู่กันกับเทวสภาพอันครบบริบูรณ์ของเรา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 79
เราจะลงโทษคนเลวและให้บำเหน็จคนดี และเราจะนำความชอบธรรมของเรามาบังคับใช้ และเราจะดำเนินการพิพากษาของเราให้เสร็จสิ้น เราจะใช้วจนะของเราเพื่อสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง โดยทำให้ผู้คนทั้งหมดและทุกสรรพสิ่งมีประสบการณ์กับมือที่ตีสอนของเรา และเราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงมองเห็นสง่าราศีอันเต็มเปี่ยมของเรา ปัญญาอันเต็มเปี่ยมของเรา และความอารีอันเต็มเปี่ยมของเรา ไม่มีบุคคลใดจะกล้าลุกขึ้นมาตัดสิน เพราะในเรานั้น ทุกสรรพสิ่งสำเร็จลุล่วงแล้ว และในที่นี้ จงให้มนุษย์ทุกคนมองเห็นศักดิ์ศรีอันเต็มเปี่ยมของเรา และลิ้มรสแห่งชัยชนะอันเต็มเปี่ยมของเรา เพราะทุกสรรพสิ่งสำแดงอยู่ในเรา จากการนี้ย่อมเป็นไปได้ที่จะมองเห็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและสิทธิอำนาจของเรา ไม่มีผู้ใดจะกล้าล่วงเกินเรา และไม่มีผู้ใดจะกล้าขัดขวางเรา ในเรานั้น ทั้งหมดถูกทำให้เปิดกว้าง ผู้ใดจะกล้าซ่อนเร้นสิ่งอันใดไว้เล่า? เรามั่นใจว่าจะไม่แสดงความกรุณาต่อบุคคลนั้น! พวกวายร้ายเช่นนั้นต้องได้รับการลงโทษอันรุนแรงของเรา และเดนมนุษย์เช่นนั้นต้องได้รับการชำระล้างไปจากสายตาของเรา เราจะปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็ก และเราจะใช้สิทธิอำนาจของเราพิพากษาพวกเขาโดยไม่มีความกรุณาแม้แต่น้อยและโดยไม่ถนอมความรู้สึกของพวกเขาเลย เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ปราศจากความรู้สึกทางเนื้อหนังและเปี่ยมบารมี และไม่สามารถถูกล่วงเกินได้ ทุกคนควรเข้าใจและมองเห็นการนี้เพื่อมิให้พวกเขาถูกเราบดขยี้และทำให้สลายไปสิ้น “โดยไม่มีสาเหตุหรือเหตุผล” เพราะคทาของเราจะบดขยี้ทุกคนที่ล่วงเกินเรา เราไม่ใส่ใจว่าพวกเขารู้จักประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราหรือไม่ นั่นย่อมจะไม่มีความสำคัญต่อเรา เพราะสภาวะบุคคลของเราไม่ทนยอมรับการถูกใครก็ตามล่วงเกิน นี่คือสาเหตุที่กล่าวกันว่าเราคือสิงโต เราย่อมบดขยี้ผู้ใดก็ตามที่เราสัมผัส นั่นคือสาเหตุที่กล่าวกันว่า บัดนี้ถือเป็นการหมิ่นประมาทหากพูดว่าเราคือพระเจ้าแห่งความสงสารและความรักเมตตา ในแก่นแท้แล้ว เราไม่ใช่ลูกแกะ แต่เป็นสิงโต ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินเรา ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินเรา เราจะลงโทษด้วยความตายทันทีและโดยปราศจากความกรุณา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 120
เราชอบธรรม เราไว้วางใจได้ และเราคือพระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์! เราจะเผยให้เห็นทันทีว่าผู้ใดเที่ยงแท้และผู้ใดเทียมเท็จ จงอย่าตระหนก ทุกสรรพสิ่งทำงานสอดคล้องกับเวลาของเรา ผู้ใดต้องการเราอย่างจริงใจ และใครไม่ต้องการ—เราจะบอกพวกเจ้า ทีละคน พวกเจ้าเพียงแต่ดูแลเรื่องการกินให้หมด ดื่มให้หมด และเข้ามาใกล้ชิดเราเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าเรา และเราจะทำงานของเราด้วยตัวเราเอง จงอย่ากระวนกระวายเกินไปกับการที่จะให้เกิดผลลัพธ์อันรวดเร็ว งานของเราไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในทันที ภายในงานนั้นมีขั้นตอนต่างๆ ของเราและสติปัญญาของเรา และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสติปัญญาของเราจึงสามารถเปิดเผยให้เห็นได้ เราจะให้พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่กระทำโดยมือของเรา—คือการลงโทษคนชั่วและมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดี แน่นอนที่สุดว่าเราไม่โปรดปรานใครคนใด เจ้าผู้ซึ่งรักเราอย่างจริงใจ เราก็จะรักเจ้าอย่างจริงใจ และสำหรับพวกที่ไม่รักเราอย่างจริงใจ ความโกรธของเราจะเกิดกับพวกเขาเรื่อยไป เพื่อที่พวกเขาอาจจะจดจำไปจนชั่วกัลปาวสานว่าเราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์ จงอย่ากระทำการวิธีหนึ่งต่อหน้าผู้อื่น แต่กระทำการอีกวิธีหนึ่งลับหลังพวกเขา เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำอย่างชัดเจน และแม้ว่าเจ้าอาจจะหลอกผู้อื่นได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกเราได้ เราเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะปกปิดสิ่งใด ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายในมือของเรา อย่าคิดว่าตัวเจ้าเองฉลาดมากนักที่ทำการคำนวณเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าออกมาเพื่อความได้เปรียบของเจ้า เราบอกเจ้าว่า ไม่ว่ามนุษย์อาจจะคิดวางแผนการมากมายเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าแผนเหล่านั้นจะเป็นจำนวนพันหรือเป็นจำนวนหมื่น ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถรอดพ้นจากฝ่ามือของเราได้ ทุกสรรพสิ่งและวัตถุทั้งหมดถูกควบคุมโดยมือของเรา นับประสาอะไรกับคนคนเดียว! จงอย่าพยายามหลบเลี่ยงเราหรือหลบซ่อน จงอย่าพยายามฉอเลาะหรือปกปิด เป็นไปได้หรือที่เจ้ายังคงไม่เห็นว่าใบหน้าอันรุ่งโรจน์ของเรา ความโกรธของเราและการพิพากษาของเรา ได้รับการเผยต่อสาธารณะแล้ว? ใครก็ตามที่ไม่ต้องการเราอย่างจริงใจ เราก็จะพิพากษาพวกเขาทันทีและโดยไม่มีความกรุณา ความสงสารของเราได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีเหลืออีกแล้ว จงอย่าเป็นพวกคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไป และหยุดวิถีทางต่างๆ อันป่าเถื่อนและบุ่มบ่ามของเจ้าเสีย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 44
เพื่อเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า คนเราต้องเข้าใจความรู้สึกของพระเจ้าก่อน กล่าวคือ พระองค์ทรงเกลียดชังสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงรักสิ่งใด พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงปรานีต่อผู้ใด และพระองค์ประทานความปรานีนั้นแก่ผู้คนชนิดใด นี่คือประเด็นหลักหนึ่ง คนเรายังต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงดีงามเพียงใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงมีความปรานีและความรักต่อผู้คนมากเพียงใด พระเจ้าไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อผู้ใดที่ทำให้พระสถานภาพและตำแหน่งของพระองค์ขุ่นเคือง อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อผู้ใดที่ทำให้ความทรงเกียรติของพระองค์ขุ่นเคือง ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน พระองค์ก็ไม่ทรงพะเน้าพะนอพวกเขา พระองค์ทรงมอบความรักของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ และความยอมผ่อนปรนของพระองค์ให้แก่ผู้คน แต่พระองค์ไม่เคยทรงประคบประหงมพวกเขา พระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์และขีดจำกัดของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะได้รู้สึกถึงความรักของพระเจ้ามากเพียงใด ไม่ว่าความรักนั้นอาจจะลึกซึ้งเพียงใด เจ้าต้องไม่มีวันปฏิบัติต่อพระเจ้าดังเช่นที่เจ้าจะปฏิบัติต่ออีกบุคคลหนึ่ง ในขณะที่จริงอยู่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสนิทสนมอย่างที่สุด หากบุคคลหนึ่งมองพระเจ้าว่าทรงเป็นแค่บุคคลอีกคนหนึ่ง ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นมิตรสหายหรือวัตถุสำหรับนมัสการ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากพวกเขาและทรงละทิ้งพวกเขา นี่คือพระอุปนิสัยของพระองค์ และผู้คนต้องไม่ทำอย่างสิ้นคิดกับประเด็นปัญหานี้ ดังนั้น บ่อยครั้งที่พวกเรามองเห็นพระวจนะเช่นนี้ที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์ว่า ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เดินทางไปบนถนนกี่สายแล้ว พวกเจ้าได้ทำงานไปมากเพียงใดแล้ว หรือพวกเจ้าได้สู้ทนกับความทุกข์ไปมากเพียงใดแล้ว ทันทีที่เจ้าทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง พระองค์จะทรงชดใช้คืนให้เจ้าแต่ละคนบนพื้นฐานของสิ่งที่เจ้าได้ทำไป ความหมายของการนี้ก็คือว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสนิทสนมอย่างที่สุด ถึงกระนั้นผู้คนก็ต้องไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนมิตรสหายคนหนึ่งหรือญาติคนหนึ่ง จงอย่าเรียกพระเจ้าว่า “เพื่อน” ไม่สำคัญว่าเจ้าได้รับความรักจากพระองค์มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ทรงมอบความยอมผ่อนปรนให้เจ้ามากเพียงใด เจ้าต้องไม่มีวันปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนมิตรสหายของเจ้า นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7
ความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระพิโรธของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระบารมีของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ หลักธรรมเบื้องหลังโทสะของพระเจ้าคือการแสดงให้เห็นถึงพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ที่มีพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าหลักธรรมนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อแท้ของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองอีกด้วย พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระองค์เอง ซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนผันของเวลาเลย อีกทั้งไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ พระอุปนิสัยประจำพระองค์ของพระองค์คือเนื้อแท้ภายในของพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับผู้ใด เนื้อแท้ของพระองค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อมีผู้ทำให้พระเจ้ากริ้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงส่งออกไปคือพระอุปนิสัยประจำพระองค์ ในขณะนี้หลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังโทสะของพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งพระอัตลักษณ์และสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย พระองค์ไม่ได้เกิดโทสะเพราะการเปลี่ยนแปลงในเนื้อแท้ของพระองค์ หรือเพราะมีองค์ประกอบที่แตกต่างเกิดขึ้นจากพระอุปนิสัยของพระองค์ แต่เพราะการต่อต้านพระองค์ของมนุษย์ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ การยั่วยุพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัดของมนุษย์คือการท้าทายพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าเองอันร้ายแรง ในทรรศนะของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ท้าทายพระองค์ มนุษย์ก็กำลังแข่งขันกับพระองค์และทดลองโทสะของพระองค์ เมื่อมนุษย์ต่อต้านพระเจ้า เมื่อมนุษย์แข่งขันกับพระเจ้า เมื่อมนุษย์ทดลองโทสะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง—และช่วงเวลาเช่นนั้นคือเวลาที่บาปไร้การควบคุม—พระพิโรธของพระเจ้าจะเผยและแสดงตัวออกมาโดยธรรมชาติ ดังนั้น การแสดงออกของพระเจ้าถึงพระพิโรธของพระองค์จึงเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับทั้งหมดที่เลวย่อมจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดจะถูกทำลาย นี่คือความเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และของพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อความทรงเกียรติและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถูกท้าทาย เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกขัดขวางและมนุษย์มองไม่เห็น เมื่อนั้นพระเจ้าจะส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้า กำลังบังคับทั้งหมดเหล่านั้นบนแผ่นดินโลกที่แข่งขันกับพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ และต่อสู้กับพระองค์ จึงเลว เสื่อมทราม และไม่ยุติธรรม สิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและเป็นของซาตาน เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงมีความสว่างและความบริสุทธิ์อันไร้ที่ติ ดังนั้นทุกสิ่งที่เลว เสื่อมทราม และเป็นของซาตานย่อมจะหายไปเมื่อพระพิโรธของพระเจ้าถูกปลดปล่อยออกมา
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความเดือดดาลของพระองค์ออกไป กำลังบังคับอันเลวจะถูกยับยั้งและสิ่งที่เลวทั้งหลายย่อมจะถูกทำลาย ในขณะที่สิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกจะมาชื่นชมการใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า และได้รับอนุญาตให้ดำเนินต่อไปได้ พระเจ้าปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์เพราะสิ่งที่อยุติธรรม เป็นลบ และเลว คอยขัดขวาง รบกวน หรือทำลายกิจกรรมและพัฒนาการที่ปกติของสิ่งทั้งหลายที่ยุติธรรมและเป็นบวก เป้าหมายของโทสะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อพิทักษ์สภาวะและพระอัตลักษณ์ของพระองค์เอง แต่เพื่อพิทักษ์การดำรงอยู่ของสิ่งที่ยุติธรรม เป็นบวก สวยงาม และดี เพื่อพิทักษ์ธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่รอดโดยปกติของมนุษยชาติ นี่คือสาเหตุที่เป็นรากเหง้าของพระพิโรธของพระเจ้า ความเดือดดาลของพระเจ้าคือการเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรมชาติ และแท้จริงอย่างยิ่ง ในความเดือดดาลของพระองค์ไม่มีแรงจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหลอกลวงหรือการคิดแผนการ นับประสาอะไรที่จะมีความอยากได้อยากมี ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความมุ่งร้าย ความรุนแรง ความเลว หรือลักษณะอื่นใดที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามมีร่วมกัน ก่อนที่พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยความเดือดดาลของพระองค์ออกไป พระองค์ได้ทรงล่วงรู้แก่นแท้ของทุกเรื่องอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งแล้ว และพระองค์ได้ทรงกำหนดคำจำกัดความและข้อสรุปที่ถูกต้องแม่นยำและชัดเจนแล้ว ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่นเดียวกับท่าทีของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงสับสนปนเป หูหนวกตาบอด หุนหันพลันแล่น หรือไม่ระมัดระวัง และพระองค์ไม่ได้ทรงขาดหลักการอย่างแน่นอน นี่คือแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้า และมวลมนุษย์ได้บรรลุการดำรงอยู่ที่ปกติก็เพราะแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้านี้นั่นเอง หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า มนุษยชาติคงจะลงมาสู่สภาวะการใช้ชีวิตที่ผิดปกติ และทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรม สวยงาม และดีงามจะถูกทำลายและไม่มีอยู่อีกต่อไป หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า ธรรมบัญญัติและกฎการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะถูกทำลาย หรือแม้กระทั่งถูกล้มล้างอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิทักษ์และค้ำชูการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กอปรด้วยพระพิโรธและพระบารมี ผู้คน สิ่งของ และวัตถุทั้งหมดที่เลว และทุกสรรพสิ่งที่รบกวนและทำความเสียหายต่อการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษย์จึงถูกลงโทษ ควบคุม และทำลายเนื่องจากพระพิโรธของพระองค์ ในช่วงระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อบดขยี้และทำลายบรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินทุกประเภทที่ต่อต้านพระเจ้าและกระทำการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตานในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า ดังนั้น พระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รุดหน้าไปตามแผนของพระองค์อยู่เสมอ นี่จึงกล่าวได้ว่า เนื่องจากการมีอยู่ของพระพิโรธของพระเจ้า ความถูกต้องชอบธรรมที่สุดในหมู่มวลมนุษย์จึงไม่เคยถูกทำลาย
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
การปฏิบัติของพระเจ้าต่อมนุษยชาติทั้งหมดที่เบาปัญญาและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษยชาติเป็นนั้น โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่บนความปรานีและการทนยอมรับ ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์ได้รับการปกปิดไว้เป็นส่วนใหญ่ในสถานการณ์ส่วนมาก และไม่เป็นที่รับรู้ของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นการยากที่มนุษย์จะได้เห็นพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการยากด้วยเช่นกันที่จะเข้าใจพระพิโรธของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จึงเห็นพระพิโรธของพระเจ้าเป็นของเล่น เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับพระราชกิจและขั้นตอนสุดท้ายในการทนยอมรับและการอภัยโทษให้มนุษย์ของพระเจ้า—นั่นคือ เมื่อความปรานีครั้งสุดท้ายของพระเจ้าและคำเตือนสุดท้ายของพระองค์มาถึงมวลมนุษย์—หากผู้คนยังคงใช้วิธีการเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้าและไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ ในการกลับใจ ในการทำให้วิธีของพวกเขาถูกต้อง และยอมรับความปรานีของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ประทานการทนยอมรับและความอดทนของพระองค์ให้แก่พวกเขาอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจะทรงถอนความปรานีของพระองค์ในครั้งนี้กลับ หลังจากนี้ พระเจ้าจะเพียงทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไปเท่านั้น พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ในหนทางต่างๆ หลายหนทาง เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลงโทษและทำลายผู้คน
การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองโสโดมคือวิธีการที่รวดเร็วที่สุดของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งอื่นใดให้สิ้นซาก การเผาผู้คนเมืองโสโดมได้ทำลายมากกว่าร่างกายทางกายภาพของพวกเขา มันได้ทำลายทั้งหมดทั้งปวงของจิตวิญญาณของพวกเขา ดวงจิตของพวกเขา และร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้แน่ใจว่าผู้คนภายในเมืองจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทั้งในโลกวัตถุและโลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์ นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเผยและแสดงถึงพระพิโรธของพระองค์ ลักษณะการเผยและการแสดงออกนี้คือแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ยังเป็นการเผยเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าตามธรรมชาติด้วย เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป พระองค์ทรงหยุดเผยความปรานีหรือความเมตตาใดๆ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงแสดงการทนยอมรับหรือความอดทนใดๆ ของพระองค์อีก ไม่มีบุคคล สิ่งของ หรือเหตุผลใดที่สามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ทรงอดทนต่อไป ให้ประทานความปรานีของพระองค์อีกครั้ง ให้ประทานการทนยอมรับของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มาแทนที่สิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความลังเลสักชั่วขณะหนึ่ง และทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา พระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่รวดเร็วและหมดจดตามความปรารถนาของพระองค์เอง นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มา ซึ่งมนุษย์ต้องไม่ล่วงเกิน และยังเป็นการแสดงออกถึงแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานในการที่พระเจ้าทรงแสดงความกังวลและความรักต่อมนุษย์ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสังเกตพบพระพิโรธของพระองค์ มองเห็นพระบารมีของพระองค์ หรือรู้สึกถึงความไม่ยอมผ่อนปรนที่พระองค์ทรงมีต่อการถูกล่วงเกิน สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นอุปนิสัยแห่งความปรานี การทนยอมรับ และความรักอย่างเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเห็นพระเจ้าทรงทำลายเมืองหรือทรงรังเกียจมนุษยชาติ ความเดือดดาลของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษย์และพระบารมีของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง นี่คือความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินใดๆ นั้นเกินกว่าจินตนาการของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ และท่ามกลางสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกแซงสิ่งนี้หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่สิ่งนี้จะสามารถถูกปลอมแฝงหรือเอาอย่างได้ ด้วยเหตุนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมนี้คือแง่มุมที่มนุษยชาติควรรู้เป็นที่สุด มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีพระอุปนิสัยประเภทนี้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ครอบครองพระอุปนิสัยประเภทนี้ พระเจ้าทรงครอบครองพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประเภทนี้เพราะพระองค์ทรงรังเกียจความชั่วร้าย ความมืด ความเป็นกบฏ และการกระทำอันเลวของซาตาน—ซึ่งก็คือการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมวลมนุษย์—เพราะพระองค์ทรงรังเกียจการทำบาปทั้งปวงซึ่งต่อต้านพระองค์ และเพราะแก่นแท้ของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และปราศจากความมัวหมอง เป็นเพราะการนี้นั่นเองพระองค์จึงจะไม่ทรงทนทุกข์กับการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ต่อต้านหรือแข่งขันกับพระองค์อย่างเปิดเผย แม้แต่ผู้ที่พระองค์เคยทรงแสดงความปรานีให้หนึ่งครั้งหรือผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ หากแค่พวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์และฝ่าฝืนหลักธรรมแห่งความอดทนและการทนยอมรับของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยและเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน โดยไม่มีความปรานีหรือการลังเลโดยแม้แต่น้อย
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำแต่ละอย่างของพระเจ้า เจ้าต้องมั่นใจเสียก่อนว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นปราศจากองค์ประกอบอื่นใด ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ การกระทำเหล่านี้รวมถึงการที่พระเจ้าทรงบดขยี้ ลงโทษ และทำลายล้างมนุษยชาติ ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าได้รับการดำเนินการโดยสอดคล้องกับอุปนิสัยโดยเนื้อแท้ของพระองค์และแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด และไม่รวมถึงส่วนเสี้ยวใดๆ ของความรู้ ธรรมเนียมประเพณี และปรัชญาของมนุษยชาติ ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม มวลมนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดว่ามีเพียงความรัก ความปรานี และการทนยอมรับของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเท่านั้นที่ไม่มีที่ติ ไม่มีสิ่งเจือปน และศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าและพระพิโรธของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งเจือปนเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ใคร่ครวญคำถามทั้งหลาย เช่น เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน หรือเหตุใดความเดือดดาลของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่นัก ในทางตรงกันข้าม บางคนสำคัญผิดว่าพระพิโรธของพระเจ้ามาจากอารมณ์ที่ไม่ดี ดังเช่น อารมณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม และเข้าใจผิดว่าโทสะของพระเจ้าเป็นความเดือดดาลแบบเดียวกันกับความโกรธของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม พวกเขาถึงขั้นตั้งสมมุติฐานอย่างผิดๆ ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าเป็นเหมือนกับการเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติตามธรรมชาติ และว่าการส่งพระพิโรธของพระเจ้าออกมาก็แค่เป็นเหมือนกับความโกรธของผู้คนที่เสื่อมทรามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีความสุขบางอย่าง และเชื่อว่าการปล่อยพระพิโรธของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์… พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้าเอง พระอุปนิสัยนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เขียนขึ้นหรือก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และไม่มีความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ พระเจ้าพระองค์เองก็คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์จะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และแม้ว่าพระองค์ทรงกลายเป็นสมาชิกหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ภายในของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การรู้จักพระเจ้าจึงไม่ใช่แบบเดียวกับการรู้จักวัตถุ การรู้จักพระเจ้าไม่ใช่การชำแหละบางสิ่งบางอย่าง อีกทั้งยังไม่ใช่แบบเดียวกับการทำความเข้าใจบุคคลหนึ่ง หากมนุษย์ใช้มโนทัศน์หรือวิธีการทำความรู้จักวัตถุหรือทำความเข้าใจบุคคลของตน มาทำความรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าไม่ได้อาศัยประสบการณ์หรือจินตนาการ และดังนั้นเจ้าต้องไม่ยัดเยียดใช้ประสบการณ์หรือจินตนาการของเจ้ากับพระเจ้าโดยเด็ดขาด ไม่ว่าประสบการณ์และจินตนาการของเจ้าอาจมากมายเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีข้อจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น จินตนาการของเจ้าไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วนับประสาอะไรที่จะสอดคล้องกับความจริง และจินตนาการของเจ้าไม่เข้ากันกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จหากเจ้าอาศัยจินตนาการของเจ้าในการทำความเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า นี่เป็นเส้นทางเดียว กล่าวคือ ยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า จากนั้นค่อยๆ รับประสบการณ์และทำความเข้าใจมัน จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเพื่อที่จะเข้าใจและรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เนื่องเพราะการให้ความร่วมมือของเจ้า และเนื่องเพราะความหิวและความกระหายความจริงของเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
เมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนพระทัยต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์แล้ว ความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์เป็นฉากหน้าเทียมเท็จหรือไม่? แน่นอนว่าไม่! เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนผ่านระหว่างสองแง่มุมนี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าในระหว่างที่พระเจ้าทรงจัดการกับสถานการณ์หนึ่งเดียวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์—พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีการแบ่งส่วนเลย ไม่ว่าพระองค์จะกำลังแสดงโทสะหรือความปรานีและการทนยอมรับต่อผู้คนหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้ามีชีวิตชีวาและชัดเจนแจ่มแจ้ง และพระองค์เปลี่ยนพระดำริและท่าทีของพระองค์ตามวิธีที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป การแปลงรูปของท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์บอกมนุษยชาติว่าพระองค์มีพระดำริและแนวคิดของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงเป็นหุ่นยนต์หรือรูปปั้นดิน แต่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ดำรงพระชนม์ พระองค์สามารถกริ้วผู้คนเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถประทานอภัยให้กับอดีตของพวกเขาเพราะท่าทีของพวกเขา พระองค์สามารถตัดสินพระทัยที่จะนำโชคร้ายมาสู่ชาวนีนะเวห์ และพระองค์ยังสามารถเปลี่ยนการตัดสินพระทัยของพระองค์เพราะการกลับใจของพวกเขาได้เช่นกัน ผู้คนชอบนำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างเคร่งครัด และชอบใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตและนิยามพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเขาชอบใช้สูตรเพื่อพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้น ในขอบเขตความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่มีพระดำริ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดที่เป็นสาระสำคัญใดๆ แต่ในความเป็นจริง พระดำริของพระเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีการแปลงรูปอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในสิ่งทั้งหลายและในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ขณะที่พระดำริเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลง แง่มุมที่แตกต่างกันในแก่นแท้ของพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย ในช่วงระหว่างกระบวนการแปลงรูปนี้ ในชั่วขณะนั้นๆ ที่พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงต่อมวลมนุษย์คือการมีอยู่ที่เป็นจริงของพระชนม์ชีพของพระองค์ และการที่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้การเผยที่แท้จริงของพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ต่อมวลมนุษย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพิโรธของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยในทุกที่และทุกเวลาตามวิธีการที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป พระองค์ทรงครอบครองความโกรธเกรี้ยวของราชสีห์และความปรานีและการทนยอมรับของมารดา พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่ยอมให้มีการตั้งคำถาม การฝ่าฝืน การเปลี่ยนแปลง หรือการบิดเบือนโดยผู้ใด พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—นั่นคือ พระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—สามารถได้รับการเปิดเผยทุกที่และทุกเวลาท่ามกลางทุกเรื่องและทุกสิ่ง พระองค์ทรงให้การแสดงออกที่มีชีวิตชีวาแก่แง่มุมเหล่านี้ในทุกมุมของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และพระองค์ทรงนำสิ่งเหล่านี้มาดำเนินการด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกชั่วขณะที่ผ่านไป พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปิดเผยขึ้นเองตามข้อจำกัดของเวลาหรือพื้นที่ แต่ด้วยความสบายที่สมบูรณ์แบบในทุกที่และทุกเวลา เมื่อเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้ามีการเปลี่ยนพระทัยและยุติการแสดงพระพิโรธของพระองค์ และงดเว้นจากการทำลายเมืองนีนะเวห์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักใคร่เท่านั้น? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระพิโรธของพระเจ้ากอปรด้วยพระวจนะที่ว่างเปล่า? เมื่อพระเจ้าทรงเดือดดาลด้วยพระพิโรธที่ดุดันและถอนความปรานีของพระองค์กลับ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติ? พระพิโรธที่ดุดันนี้ได้รับการแสดงออกโดยพระเจ้าเพื่อตอบสนองต่อการกระทำชั่วของผู้คน พระพิโรธของพระองค์ไม่ได้มีข้อตำหนิ พระทัยของพระเจ้าได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองต่อการกลับใจของผู้คน และการกลับใจนี้นี่เองที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกตื้นตัน เมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัย และเมื่อพระองค์ทรงแสดงความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ต่อมนุษย์ ทั้งหมดนี้ปราศจากข้อตำหนิโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน และไม่มีสิ่งเจือปน การทนยอมรับของพระเจ้าที่แท้แล้วก็คือการทนยอมรับ เช่นเดียวกับที่ความปรานีของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความปรานี พระอุปนิสัยของพระองค์เผยถึงพระพิโรธหรือความปรานีและการทนยอมรับตามการกลับใจของมนุษย์ และความผันแปรต่างๆ ในการประพฤติของมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ทรงเผยและแสดงออกสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์และตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของสิ่งเหล่านั้นย่อมแตกต่างจากเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อพระเจ้าทรงแสดงหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ หลักธรรมเหล่านั้นปราศจากข้อตำหนิหรือมลทินใดๆ และดังนั้นพระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ และทุกๆ การตัดสินพระทัยที่พระองค์ทรงทำ และทุกๆ การกระทำที่พระองค์ทรงมีก็เป็นเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้ และเนื่องจากพระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้ พระเจ้าก็ทรงทำให้ภาระหน้าที่ของพระองค์ครบบริบูรณ์เช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ของภาระหน้าที่ของพระองค์มีความถูกต้องและไม่มีข้อบกพร่องก็เพราะแหล่งกำเนิดของผลลัพธ์นั้นไม่มีข้อบกพร่องและไม่มีมลทินนั่นเอง พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีข้อตำหนิ ในทำนองเดียวกัน ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า—ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมี—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อตำหนิ และสามารถทนต่อการตรึกตรองครุ่นคิดและประสบการณ์ได้
จากความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในเรื่องราวของเมืองนีนะเวห์ ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเนื้อแท้อีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้าหรือไม่? มีผู้ใดในบรรดามนุษยชาติที่ครอบครองอุปนิสัยประเภทนี้หรือไม่? มีผู้ใดครอบครองความพิโรธประเภทนี้ ซึ่งเป็นพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่? มีผู้ใดครอบครองความปรานีและการทนยอมรับเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงครอบครองหรือไม่? ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีใครสามารถเรียกใช้ความโกรธเกรี้ยวที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นและตัดสินใจที่จะทำลายหรือนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์ได้? และใครที่มีคุณสมบัติที่จะมอบความปรานีแก่มนุษย์ ทนยอมรับและให้อภัย และด้วยเหตุนั้นจึงเปลี่ยนการตัดสินใจก่อนหน้าของเขาที่จะทำลายมนุษย์? พระผู้สร้างได้แสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการและหลักธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เอง และพระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้การควบคุมหรือข้อจำกัดใดที่กำหนดโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดก็ตาม ด้วยพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นี้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนพระดำริและแนวคิดของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวพระองค์และเปลี่ยนการตัดสินพระทัยใดๆ ของพระองค์ได้ พฤติกรรมและความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงนั้นย่อมดำรงอยู่ภายใต้การพิพากษาแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้ว่าพระองค์จะใช้พระพิโรธหรือความปรานี มีเพียงเนื้อแท้ของพระผู้สร้างเท่านั้น—หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง—ที่สามารถตัดสินใจในการนี้ได้ เช่นนั้นเองที่เป็นธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง!
จากการวิเคราะห์และการทำความเข้าใจการแปลงรูปของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ พวกเจ้าสามารถใช้คำว่า “เป็นเอกลักษณ์” เพื่ออธิบายความปรานีที่พบภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้เราได้พูดไปแล้วว่าพระพิโรธของพระเจ้าเป็นแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ตอนนี้เราจะนิยามสองแง่มุม—คือพระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—ในฐานะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ทนยอมรับการถูกล่วงเกินหรือการถูกตั้งคำถาม พระอุปนิสัยของพระองค์คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ครอบครอง พระอุปนิสัยนี้ทั้งเป็นเอกลักษณ์และเป็นของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นี่จึงกล่าวได้ว่า พระพิโรธของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์และมิอาจถูกล่วงเกินได้ ในหนทางเดียวกัน อีกแง่มุมในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—กล่าวคือ ความปรานีของพระเจ้า—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถถูกล่วงเกินได้ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่สามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการกระทำของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดจะสามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระองค์ในความย่อยยับของเมืองโสโดมหรือความรอดของเมืองนีนะเวห์ได้ นี่คือการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด? พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขาออกห่างจากพระเจ้าและหันเหไปจากพระเจ้า ไม่เคยหวนกลับมา เช่นนั้นแล้ว เมื่อมองตามสิ่งที่เห็นภายนอกหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยากนมัสการ ติดตาม และนบนอบพระเจ้าอยู่ในกายหรือในการนึกคิดของตนเช่นไรก็ตาม ทันทีที่หัวใจของพวกเขาหันเหออกจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะปลดปล่อยพระพิโรธออกมาไม่หยุด จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่ความกริ้วถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีทางดึงกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ… พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์ เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2
พระราชกิจใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำแล้วนั้นเหมาะควร พระองค์ทรงรู้ว่าจะทำสิ่งใดและทำอย่างไร และพระองค์จะไม่ทรงทำให้ผู้คนทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ตามสัญชาตญาณอย่างแน่นอน การจัดการของพระเจ้ากับแต่ละบุคคลนั้นอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริงของรูปการณ์แวดล้อมและภูมิหลังของบุคคลนั้นในเวลานั้น รวมถึงการกระทำและพฤติกรรมของบุคคลนั้นและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พระเจ้าจะไม่มีทางทรงผิดต่อใคร นี่คือด้านหนึ่งของความชอบธรรมของพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น เอวาถูกงูล่อลวงให้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว แต่พระยาห์เวห์ไม่ทรงตำหนิเอวาด้วยการตรัสว่า “เราบอกเจ้าแล้วว่าอย่ากิน แล้วทำไมเจ้าถึงทำอยู่ดีเล่า? เจ้าควรมีวิจารณญาณ เจ้าควรรู้อยู่แล้วว่าเจ้างูนั่นพูดเพียงเพื่อล่อลวงเจ้า” พระยาห์เวห์มิได้ทรงตำหนิเอวาเช่นนั้น เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ว่าสัญชาตญาณของพวกเขาคืออะไร และสัญชาตญาณเหล่านั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ผู้คนสามารถควบคุมตนเองได้ถึงขอบข่ายใด และผู้คนสามารถไปได้ไกลแค่ไหน พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้อย่างชัดเจนทีเดียว การจัดการของพระเจ้าต่อบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน เมื่อท่าทีของพระองค์ต่อบุคคลคนหนึ่งคือท่าทีของความเกลียดหรือความรู้สึกรังเกียจ หรือเมื่อเป็นสิ่งที่บุคคลผู้นี้พูดในบริบทที่ได้รับมา พระองค์ทรงมีความเข้าใจอันดีต่อสภาวะของพวกเขา นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจและแก่นแท้ของมนุษย์ ผู้คนคิดอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงมีเพียงเทวสภาพ พระองค์ทรงชอบธรรมและไม่ทนการล่วงเกินจากมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของมนุษย์หรือดำริในมุมของผู้คน หากบุคคลคนหนึ่งต้านทานพระเจ้า พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา” นั่นไม่ใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่เลย หากนั่นคือวิธีที่ใครบางคนเข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และการปฏิบัติต่อผู้คนของพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดมหันต์ การที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ แต่ยึดตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทนบุคคลแต่ละคนตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป พระเจ้าทรงชอบธรรม และไม่ช้าก็เร็ว พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดเชื่ออย่างทะลุปรุโปร่ง
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ผู้คนพากันพูดว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพูดว่าตราบเท่าที่มนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายทาง แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทรงเข้าข้างมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรมที่สุด หากมนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดทาง พระองค์จะสามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้อย่างไรเล่า? เราเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และพิพากษามนุษย์ทุกคนด้วยอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา ทว่ามีภาวะที่เหมาะสมต่อข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อมนุษย์ และสิ่งที่เราพึงประสงค์จะต้องถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างไร หรือเจ้ามีคุณสมบัติเช่นนั้นมานานเท่าใดแล้ว เราใส่ใจเพียงว่าเจ้าเดินไปในหนทางของเรา และไม่ว่าเจ้ารักและกระหายความจริงหรือไม่ หากเจ้าขาดความจริง แต่กลับนำความอับอายมาสู่นามของเรา และไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับทางของเรา แค่ทำตามโดยปราศจากความใส่ใจหรือความห่วงใย เช่นนั้นแล้ว ณ เวลานั้น เราจะบดขยี้เจ้าและลงโทษเจ้าสำหรับความชั่วของเจ้า และเจ้าจะต้องพูดอะไรอีกเล่าเมื่อถึงตอนนั้น? เจ้าจะสามารถพูดว่า พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างนั้นหรือ? ในวันนี้หากเจ้าปฏิบัติตามวจนะที่เราได้พูดไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลประเภทที่เราเห็นชอบ เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นทุกข์เสมอขณะกำลังติดตามพระเจ้า พูดว่าเจ้าได้ติดตามพระองค์ผ่านร้อนผ่านหนาว และได้ใช้เวลาที่ดีและที่เลวร้ายร่วมกับพระองค์ แต่เจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ เจ้าเพียงปรารถนาที่จะสาละวนวุ่นวายเพื่อพระเจ้าและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าในแต่ละวัน และไม่เคยคิดที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย เจ้ายังพูดด้วยว่า “ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ฉันได้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ และอุทิศตนเพื่อพระองค์ และฉันได้ทำงานหนักทั้งที่ไม่ได้รับการให้ความสำคัญอันใด พระองค์จะทรงจดจำฉันได้อย่างแน่นอน” เป็นความจริงที่พระเจ้านั้นทรงชอบธรรม ทว่าความชอบธรรมนี้ไม่ได้ด่างพร้อยด้วยราคีอันใด กล่าวคือ ไม่มีเจตจำนงของมนุษย์อยู่ในนั้นเลย และไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยโดยเนื้อหนัง หรือโดยธุรกรรมแลกเปลี่ยนของมนุษย์ พวกที่เป็นกบฏและต่อต้านทั้งหมด พวกที่ไม่ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์จะถูกลงโทษ ไม่มีใครเลยที่ได้รับการอภัย และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้น! ผู้คนบางคนพูดว่า “ในวันนี้ ข้าพระองค์สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ เมื่อบทอวสานมาถึง พระองค์จะสามารถมอบพระพรให้ข้าพระองค์สักเล็กน้อยได้หรือไม่?” ดังนั้นเราจึงถามเจ้าว่า “เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราแล้วหรือยัง?” ความชอบธรรมที่เจ้าพูดถึงนั้นมีพื้นฐานอยู่บนการทำการแลกเปลี่ยน เจ้าเพียงแต่คิดว่าเราชอบธรรมและเป็นธรรมกับมนุษย์ทุกคน และคิดว่าบรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดและได้รับพรของเราอย่างแน่นอน วจนะของเราที่ว่า “บรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” มีความหมายแฝงเร้นอยู่ กล่าวคือ บรรดาผู้คนที่ติดตามเราไปจนสุดทางนั้นคือผู้ที่จะได้รับการรับไว้โดยเราอย่างครบถ้วน พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หลังจากที่ถูกเราพิชิตแล้ว ภาวะใดหรือที่เจ้าได้สัมฤทธิ์? เจ้าเพียงสัมฤทธิ์การติดตามเราไปจนสุดทาง ว่าแต่อย่างอื่นเล่า? เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราหรือไม่? เจ้าได้สำเร็จลุล่วงหนึ่งในข้อพึงประสงค์ทั้งห้าของเรา กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้อีกสี่ข้อที่เหลือนั้นสำเร็จลุล่วง เจ้าก็แค่ได้พบเส้นทางซึ่งธรรมดาที่สุด ง่ายดายที่สุด และได้ไล่ตามเสาะหามันไปด้วยท่าทีของการที่แค่หวังว่าจะโชคดี กับบุคคลเช่นเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราย่อมเป็นอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา เป็นอุปนิสัยแห่งการลงทัณฑ์อันสาสมและชอบธรรม และเป็นการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับพวกคนทำชั่วทุกคน นั่นก็คือ พวกที่ไม่เดินตามหนทางของเราทั้งหมดจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาติดตามมาจนสุดทางก็ตาม นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่ออุปนิสัยอันชอบธรรมนี้ถูกแสดงออกมาในการลงโทษมนุษย์ มนุษย์จะตะลึงงันและรู้สึกเสียใจว่า ในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า เขาไม่ได้เดินตามหนทางของพระองค์ “ณ เวลานั้น ข้าพระองค์เพียงทนทุกข์เล็กน้อยในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้เดินตามหนทางแห่งพระเจ้า ยังจะมีข้อแก้ตัวอะไรหรือ? ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากการถูกตีสอนเท่านั้น!” กระนั้นในจิตใจเขากำลังคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าพระองค์ก็ได้ติดตามพระองค์มาจนสุดทาง ดังนั้นต่อให้พระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ การตีสอนก็ไม่น่าจะรุนแรงจนเกินไป และหลังจากการบีบบังคับให้รับการตีสอนนี้แล้ว พระองค์ก็จะยังคงต้องประสงค์ในตัวข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม และจะไม่ปฏิบัติต่อข้าพระองค์ในหนทางนั้นตลอดกาล จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์ก็ไม่เหมือนกับพวกที่จะถูกลบทิ้ง กล่าวคือ พวกที่จะถูกลบทิ้งจะได้รับการตีสอนอย่างหนัก ในขณะที่การตีสอนของข้าพระองค์จะเบากว่า” พระอุปนิสัยอันชอบธรรมไม่ได้เป็นเหมือนที่เจ้ากล่าว มันไม่ใช่กรณีที่ว่าพวกที่เก่งในการสารภาพบาปของพวกเขาจะถูกจัดการอย่างกรุณา ความชอบธรรมนั้นบริสุทธิ์ และเป็นพระอุปนิสัยที่ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองโดยมนุษย์ และทุกสิ่งที่โสมมและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนั้นล้วนเป็นเป้าแห่งความขยะแขยงของพระเจ้า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นไม่ใช่ธรรมบัญญัติ แต่เป็นกฎการบริหาร มันคือกฎการบริหารภายในราชอาณาจักร และกฎการบริหารนี้คือการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับผู้ใดก็ตามที่ไม่ครองความจริงและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีช่องว่างสำหรับความรอดเลย เนื่องจากเมื่อมนุษย์แต่ละคนได้ถูกจำแนกชั้นไปตามประเภท มนุษย์ที่ดีจะได้รับบำเหน็จและมนุษย์ที่ชั่วจะถูกลงโทษ มันคือตอนที่บั้นปลายของมนุษย์จะถูกระบุชัดออกมา เป็นเวลาที่พระราชกิจแห่งความรอดจะมาถึงบทอวสาน หลังจากนั้น พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดจะไม่ถูกกระทำอีกต่อไป และการลงทัณฑ์อันสาสมจะมาถึงทุกคนที่ทำชั่ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา
ความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าต้องได้รับความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน และต้องได้รับการอธิบายและจับความเข้าใจโดยยึดพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้น คนเราต้องผ่านประสบการณ์จริงและบรรลุความรู้แจ้งของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง การประเมินของคนเราต่อความรักและความชอบธรรมของพระองค์นั้น ไม่ควรอยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของคนเรา ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ความดี จะได้รับรางวัล ความชั่วจะถูกลงโทษ คนดีได้รับความดีตอบแทน และคนชั่วได้รับความชั่วตอบแทน และคนที่ไม่ทำชั่วก็ควรได้รับความดีตอบแทน และได้รับพรด้วยกันทั้งสิ้น นั่นแสดงว่าผู้คนที่ไม่ชั่วร้ายก็ควรได้รับความดีตอบแทนในทุกกรณี แบบนี้เท่านั้นจึงเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของผู้คนหรอกหรือ? แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้รับความดีตอบแทนเล่า? เช่นนั้น เจ้าก็จะพูดว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรมใช่หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยโนอาห์ พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า “เราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก” (ปฐมกาล 6:13) จากนั้นพระองค์ก็ทรงสั่งโนอาห์ให้สร้างเรือใหญ่ หลังจากโนอาห์รับพระบัญชาจากพระเจ้าและสร้างเรือใหญ่ขึ้นมา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงบนแผ่นดินโลกอย่างหนักเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนจนโลกทั้งโลกจมอยู่ใต้น้ำ ยกเว้นโนอาห์และสมาชิกครอบครัวอีกเจ็ดคน พระเจ้าทรงทำลายมนุษย์จนหมดสิ้้นในยุคนั้น เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? เจ้าจะพูดว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมรักหรือไม่? ในความคิดเห็นของมนุษย์ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะเสื่อมทรามสักเพียงใด ตราบที่พระเจ้าทรงทำลายมวลมนุษย์ ย่อมหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงเปี่ยมรัก—พวกเขาถูกต้องหรือไม่ที่เชื่อเช่นนี้? ความเชื่อนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ? พระเจ้าไม่ทรงรักพวกที่พระองค์ทรงทำลาย แต่เจ้าสามารถพูดอย่างซื่อสัตย์ได้หรือไม่ว่า พระองค์ไม่ทรงรักพวกที่รอดชีวิตและบรรลุความรอดของพระองค์? เปโตรรักพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง และพระเจ้าก็ทรงรักเปโตร—เจ้าสามารถพูดได้จริงๆ หรือว่าพระเจ้าไม่ทรงเปี่ยมรัก? พระเจ้าทรงรักผู้คนที่รักพระองค์อย่างแท้จริง และพระองค์ทรงดูหมิ่นและสาปแช่งพวกที่ต้านทานพระองค์และไม่ยอมที่จะกลับใจ พระเจ้าทรงมีทั้งความรักและความเกลียด นี่คือความจริง ผู้คนไม่ควรด้อยค่าหรือตัดสินพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน เพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมวลมนุษย์ซึ่งเป็นวิธีในการมองสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ไม่มีความจริงเลยสักนิด พระเจ้าต้องเป็นที่รู้จักตามท่าทีของพระองค์ต่อมนุษย์ ตามพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ คนเราต้องไม่พยายามนิยามแก่นแท้ของพระเจ้าตามสิ่งภายนอกที่พระองค์ทรงทำและตรัสถึงสิ่งเหล่านั้น มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเหลือเกิน พวกเขาไม่รู้จักแก่นแท้ตามธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม นับประสาอะไรกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรตามพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ลองพิจารณาเรื่องโยบ เขาเป็นคนชอบธรรมและพระเจ้าประทานพรให้เขา นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซาตานทำการเดิมพันกับพระยาห์เวห์ “โยบยำเกรงพระเจ้าเปล่าๆ หรือ? พระองค์ไม่ได้ทรงกั้นรั้วรอบตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่เสียทุกด้านหรือ? พระองค์ได้ทรงอวยพรงานที่มือเขาทำ และฝูงปศุสัตว์ของเขาได้ทวีขึ้นในแผ่นดิน แต่ขอยื่นพระหัตถ์แตะต้องสิ่งของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ แล้วเขาจะแช่งพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์” (โยบ 1:9-11) พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด บรรดาสิ่งที่เขามีอยู่ก็อยู่ในอำนาจของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขาเท่านั้น” (โยบ 1:12) ดังนั้นซาตานจึงได้ไปหาโยบ โจมตีและทดลองโยบ และโยบก็ต้องเผชิญกับบททดสอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีถูกพรากไป—เขาสูญเสียลูกหลานและทรัพย์สินของเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยฝี ตอนนี้ ภายในบททดสอบของโยบมีพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่หรือไม่? เจ้าไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่? ต่อให้เจ้าเป็นบุคคลที่ชอบธรรม พระเจ้าทรงมีสิทธิที่จะให้เจ้าอยู่ภายใต้บททดสอบและเปิดโอกาสให้เจ้าเป็นพยานต่อพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ว่า ผู้คนที่ชอบธรรมไม่จำเป็นต้องก้าวผ่านบททดสอบถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทานทนต่อบททดสอบ หรือพวกเขาต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่เช่นนั้นเลย พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะให้ผู้คนที่ชอบธรรมก้าวผ่านบททดสอบ นี่คือวิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ในที่สุดแล้ว หลังจากโยบได้เสร็จสิ้นการก้าวผ่านบททดสอบและการเป็นพยานต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ได้ทรงอวยพรเขามากกว่าแต่ก่อน ดีกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ และพระองค์ประทานพระพรให้เขามากเป็นสองเท่าด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏต่อเขา และได้ตรัสกับเขาจากสายลม และโยบได้มองเห็นพระองค์ราวกับเผชิญหน้ากันโดยตรง นี่คือพระพรที่พระเจ้าประทานให้กับเขา นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า แล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อโยบได้เสร็จสิ้นการก้าวผ่านบททดสอบและพระยาห์เวห์ได้ทอดพระเนตรเห็นวิธีที่โยบเป็นพยานต่อพระองค์ในการปรากฏอยู่ของซาตานและทำให้ซาตานอดสู จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงหันหนีและทรงจากไป โดยทรงเพิกเฉยเขา และโยบไม่ได้รับพระพรหลังจากนั้น—นี่จะมีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ในการนั้นหรือไม่? ไม่ว่าโยบได้รับพระพรหลังบททดสอบหรือไม่ก็ตาม หรือว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้าบรรจุอยู่ การทรงปรากฏต่อโยบคงจะได้เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า และการไม่ทรงปรากฏต่อเขาก็คงจะได้เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าด้วยเช่นกัน บนมูลฐานใดหรือที่เจ้า—สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—สร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า? ผู้คนไม่มีคุณสมบัติที่จะสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่ไร้เหตุผลมากไปกว่าการสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอีกแล้ว พระองค์จะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ควรที่จะทำ และพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นก็ชอบธรรม ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่? อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม? มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร? หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด? พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ? ไม่มีความจำเป็นเลย ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หากเจ้าไม่เป็นที่น่ายินดีในสายพระเนตรของพระเจ้า และหากพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ของเจ้าแล้วหลังจากคำพยานของเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทำลายเจ้า นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์ด้วยหรือไม่? นี่เป็นความชอบธรรม เจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงการนี้ในตอนนี้จากข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจในคำสอน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร—การทำลายล้างซาตานของพระเจ้านั้นเป็นการแสดงออกถึงความชอบธรรมของพระองค์หรือไม่? (ใช่) จะเป็นอย่างไรหากพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานคงอยู่? เจ้าไม่กล้าพูดใช่ไหม? แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร? “มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่พระปัญญาและกิจการของพระองค์?” ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายซาตานในช่วงเวลาแห่งความรอดสำหรับมนุษย์ของพระองค์ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไร และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน และพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยให้พวกเขารอดได้อย่างไร ในท้ายที่สุด เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและเห็นโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของซาตานอย่างชัดเจน และมองเห็นบาปมหันต์ของซาตานที่นำพวกเขาไปสู่ความเสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงทำลายซาตาน เพื่อแสดงความชอบธรรมของพระองค์ให้พวกเขาเห็น ช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงทําลายซาตานนั้นเปี่ยมด้วยพระอุปนิสัยและพระปัญญาของพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนชอบธรรม แม้มนุษย์อาจจะไม่สามารถรับรู้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่ควรทำการตัดสินตามใจชอบ หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลายว่าไร้เหตุผล หรือหากพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับเรื่องนั้น และนั่นทำให้พวกเขากล่าวว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กําลังไร้เหตุผลอย่างที่สุด เจ้าก็เห็นว่าเปโตรพบบางสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เขาแน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้าสถิตอยู่และมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ในสิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งได้ มีสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจ ดังนั้น การรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่เกิดขึ้นกับพวกคนชั่ว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ ผู้ที่ทำความชั่วลงไปทุกรูปแบบ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะลงโทษคนที่ทำความชั่วเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!
งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไร้ปรานี เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนกับมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า กระนั้นก็ยังไม่มีใครใส่ใจเรา เราได้ทำงานที่ไม่มีใครอื่นทำได้ และหวังเพียงแค่ว่ามนุษย์จะสามารถตอบแทนเราด้วยความประพฤติที่ดีงามบ้าง แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตอบแทนเราได้ เราก็จะยังคงยุติการเดินทางไกลของเราในโลกมนุษย์ลง และเริ่มต้นขั้นตอนถัดไปของงานของเราที่กำลังคลี่คลายออกมา เนื่องจากการเร่งรุดไปมาของเราทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ดอกผลดี และเราก็ยินดีมาก สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่จำนวนผู้คน แต่เป็นความประพฤติที่ดีงามของพวกเขาเสียมากกว่า ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครเลยในบรรดาพวกเจ้าที่จะสามารถหนีรอดจากความวิบัติที่จะตกมาถึงเจ้าได้ ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่ที่เราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดจากความทุกข์ของความวิบัติไปได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า
คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าทรงชอบธรรมยิ่งนัก
เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง
การพิพากษาของพระเจ้าถูกเปิดเผยอย่างครบถ้วน
พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าชัดเจนและมีชีวิตชีวา
พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าทรงเป็นเอกลักษณ์
พระเจ้าทรงเมตตาอย่างมากมายและทรงพิโรธอย่างล้ำลึก
พระอุปนิสัยของพระเจ้าเปี่ยมกรุณา เปี่ยมรัก และที่สำคัญกว่านั้น เปี่ยมบารมี และชอบธรรม