30. เหตุที่คนเราต้องเป็นคนซื่อสัตย์เพื่อบรรลุความรอด

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

ราชอาณาจักรของเราพึงประสงค์บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไม่หน้าซื่อใจคดหรือหลอกลวง  ผู้คนที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ไม่เป็นที่นิยมในโลกใช่หรือไม่?  เรากลับตรงกันข้าม  การที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์มาหาเราเป็นสิ่งที่ยอมรับได้  เราปีติยินดีในบุคคลประเภทนี้  และเราจำเป็นต้องมีบุคคลประเภทนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้คือความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 33

พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยแก่นแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์  ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์  สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก แต่สำหรับพวกเจ้า มันลำบากยากเข็ญเป็นเท่าทวีคูณ  ผู้คนมากมายเลือกที่จะถูกประณามสาปแช่งให้ไปลงนรกดีกว่าให้พูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์  จึงไม่ต้องประหลาดใจที่เรามีวิธีปฏิบัติอีกแบบซึ่งเตรียมไว้สำหรับรับมือพวกคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์  แน่นอนว่า เรารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหนสำหรับพวกเจ้าที่จะมีความซื่อสัตย์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนแยบยลนัก เก่งมากในเรื่องการวัดผู้คนด้วยไม้บรรทัดอันเล็กจิ๋วของเจ้าเอง นี่ทำให้งานของเรายิ่งมีความเรียบง่ายขึ้น  และด้วยความที่พวกเจ้าแต่ละคนล้วนกกกอดความลับแนบไว้กับอก เช่นนั้นก็ดีแล้ว เราจะส่งพวกเจ้าไปสู่ความวิบัติเรียงทีละคน ให้ “เข้าโรงเรียน” ด้วยเพลิงอัคคี เพื่อที่หลังจากนั้น พวกเจ้าอาจมั่นใจได้อย่างสิ้นเชิงต่อการเชื่อของเจ้าในวจนะของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราจะกระชากเอาคำว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อ” ออกมาจากปากของพวกเจ้า ทันทีหลังจากนั้น พวกเจ้าจะตีอกชกหัวและพิลาปรำพันว่า “หัวใจของมนุษย์ช่างหลอกลวง!”  จิตใจของพวกเจ้าจะอยู่ในสภาวะใดหรือ  ณ เวลานี้?  เราจินตนาการว่า เจ้าจะไม่รู้สึกมีชัยดังที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้  และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความ “ลุ่มลึกและยากที่จะเข้าใจ” ดังที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้  ในการสถิตของพระเจ้านั้น ผู้คนบางคนช่างสงบเสงี่ยมสำรวมไปเสียทั้งหมด พวกเขาอุตสาหะต่อการเป็นผู้ “ประพฤติดี” กระนั้น พวกเขาก็ยังแยกเขี้ยวและเงื้อง่ากรงเล็บใส่กันในการสถิตของพระวิญญาณ พวกเจ้าจะจัดอันดับผู้คนแบบนี้ให้อยู่ท่ามกลางลำดับชั้นของคนซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าเป็นคนประเภทหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีทักษะใน “สัมพันธภาพระหว่างบุคคล” เมื่อนั้นเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ช่างพยายามล้อเล่นกับพระเจ้าโดยแน่แท้  หากคำพูดของเจ้าพรุนไปด้วยข้อแก้ตัวกับเหตุผลข้ออ้างที่ไร้คุณค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ลังเลไม่เต็มใจจะนำความจริงมาปฏิบัติ  หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย  หากการแสวงหาหนทางแห่งความจริงสร้างความยินดีให้กับเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่อาศัยอยู่ในความสว่างตลอดเวลา  หากเจ้าเปรมปรีดิ์มากเหลือเกินที่ได้เป็นคนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีมโนธรรมอยู่เพียงเบื้องหลังไม่เสนอหน้า เป็นผู้ให้เสมอและไม่เคยเป็นผู้รับเลย เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือวิสุทธิชนผู้จงรักภักดี เพราะเจ้าไม่แสวงหาบำเหน็จ และเป็นเพียงบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเท่านั้น  หากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย หากเจ้าเต็มใจที่จะสละทั้งหมดที่เป็นของเจ้า หากเจ้าสามารถพลีอุทิศชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานของเจ้า และหากเจ้ามีความซื่อสัตย์จนถึงจุดที่เจ้ารู้เพียงการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่มัวพิจารณาตัวเจ้าเอง หรือรับไว้เพื่อตัวเจ้าเองเช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า ผู้คนเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงในความสว่าง และเป็นผู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลในราชอาณาจักรแห่งนี้  เจ้าควรรู้ว่า มีความเชื่อที่แท้จริงและความจงรักภักดีที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ รู้ว่าเจ้ามีบันทึกของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าหรือไม่ และรู้ว่า เจ้าได้นบนอบพระเจ้าด้วยประการทั้งปวงหรือไม่  หากเจ้าขาดสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ความเป็นกบฏ ความหลอกลวง ความโลภ และการพร่ำบ่นก็จะยังคงอยู่ภายในตัวเจ้า  เนื่องจากหัวใจของเจ้าอยู่ห่างไกลจากความซื่อสัตย์ เจ้าจึงไม่เคยได้รับการระลึกถึงในด้านบวกจากพระเจ้า และไม่เคยดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง  ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในปลายทางนั้นแขวนอยู่กับการที่พวกเขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์และเป็นสีแดงเข้มแบบเลือดหรือไม่ และพวกเขามีดวงจิตที่ปราศจากราคีหรือไม่  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์อย่างมาก ใครบางคนซึ่งมีหัวใจคิดร้าย ใครบางคนซึ่งมีดวงจิตที่ไม่สะอาด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงมั่นใจได้เลยว่าจะได้พบจุดจบในสถานที่ที่มนุษย์ถูกลงโทษ ตามที่ถูกขีดเขียนไว้ในบันทึกชะตากรรมของเจ้านั่นเอง  หากเจ้ากล่าวอ้างว่าตัวเองมีความซื่อสัตย์อย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยบริหารจัดการที่จะปฏิบัติไปโดยสอดคล้องกับความจริงหรือกล่าวคำพูดที่เป็นความจริงได้สำเร็จเสียที เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคงกำลังรอคอยให้พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จเจ้าอยู่อีกหรือ?  เจ้ายังคงหวังให้พระเจ้าคำนึงถึงเจ้าดุจแก้วตาดวงใจของพระองค์อยู่อีกหรือ?  การคิดเช่นนั้นไม่วิปริตหรอกหรือ?  เจ้าหลอกลวงพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง แล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะให้ที่พักแก่คนมือไม่สะอาดอย่างเจ้าได้เช่นไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ

เหตุใดพระเจ้าจึงเน้นเสมอว่าผู้คนควรที่จะซื่อสัตย์?  เพราะการเป็นคนซื่อสัตย์นี้สำคัญมาก—เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ และจะบรรลุความรอดได้หรือไม่  บางคนกล่าวว่า “ฉันโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ฉันมักจะโกรธและเผยให้เห็นความเสื่อมทราม”  ส่วนผู้อื่นก็บอกว่า “ฉันตื้นเขินมาก ไม่มีแก่นสาร แล้วพอมีคนยกยอปอปั้น ฉันก็ชอบใจ”  ทั้งหมดนี้คือสิ่งภายนอกที่ผู้คนมองเห็นได้ และไม่ใช่ปัญหาใหญ่  เจ้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป  ไม่ว่าอุปนิสัยหรือบุคลิกของเจ้าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าย่อมจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?  การเป็นคนซื่อสัตย์สำคัญหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และนี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในบทที่ชื่อ การตักเตือนสามประการ นี้ในพระวจนะของพระองค์  ส่วนในบทอื่นๆ พระองค์ตรัสบ่อยครั้งว่าผู้เชื่อควรมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และมีชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสม และทรงอธิบายว่าพวกเขาควรใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร  พระวจนะของพระองค์กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้กว้างๆ ไม่เสวนาลงลึกเกินไปหรือมีรายละเอียดมากเกินไปในเรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ทรงชี้เส้นทางให้ผู้คนทำตาม  พระองค์ตรัสบอกวิธีปฏิบัติแก่ผู้คน โดยตรัสอย่างละเอียดและชัดเจนมากพอ  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย”  การเป็นคนที่ซื่อสัตย์สัมพันธ์กับการบรรลุความรอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์?  นี่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องการวางตัวของมนุษย์  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่ซื่อสัตย์ให้รอด และผู้ที่พระองค์ต้องการที่จะได้ไว้ในราชอาณาจักรของพระองค์ก็คือผู้คนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าสามารถโกหกและหลอกลวงได้ เจ้าย่อมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง คดโกง และมีลับลมคมใน เจ้าไม่ใช่คนซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด และเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าเปี่ยมศรัทธาเป็นอย่างมาก เจ้าไม่โอหังหรือคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เจ้าสามารถจ่ายราคาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือสามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเรียกให้ผู้คนมากมายมารับเชื่อ  แต่เจ้าไม่ซื่อสัตย์ เจ้ายังคงเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  และด้วยเหตุนี้ พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจึงย้ำเตือนทุกคนว่าการที่จะได้รับการช่วยให้รอดนั้น พวกเขาต้องซื่อสัตย์ตามที่ระบุไว้ในพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าเสียก่อน  พวกเขาต้องเปิดใจ ตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจตนา และความลับของตนเอง และแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

การเป็นคนซื่อสัตย์หมายถึงการเป็นคนที่มีมโนธรรมและเหตุผล  สิ่งนี้หมายถึงการเป็นใครบางคนที่น่าไว้วางใจ ใครบางคนที่พระเจ้าทรงรัก และใครบางคนที่สามารถปฏิบัติความจริงและรักพระเจ้าได้  การเป็นคนซื่อสัตย์คือการสำแดงที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  หากใครบางคนไม่เคยเป็นคนซื่อสัตย์ หรือไม่เคยถูกมองว่าเป็นคนซื่อสัตย์เลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาสามารถได้รับความจริง  หากเจ้าไม่เชื่อเรา จงไปและดูให้เห็นกับตาตนเอง หรือจงไปและมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ด้วยตนเอง  ด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเปิดใจให้พระเจ้า ยอมรับความจริงได้ แล้วความจริงก็กลายเป็นชีวิตของเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าได้ และเจ้าก็จะสามารถเข้าใจและได้รับความจริง หากหัวใจของเจ้าปิดอยู่เสมอ หากเจ้าไม่เปิดใจหรือไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนให้ใครฟัง จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้าใจเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วกำแพงของเจ้าย่อมหนาเกินไป และเจ้าย่อมเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากที่สุด  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ยังไม่สามารถเปิดใจตนเองให้พระเจ้าได้อย่างหมดจด หากเจ้าสามารถพูดปดกับพระเจ้า หรือพูดเกินจริงเพื่อหลอกลวงพระเจ้าได้ หากเจ้าไม่สามารถเปิดหัวใจของตนให้พระเจ้า อีกทั้งยังคงสามารถพูดวกวนและซ่อนเร้นเจตนารมณ์ของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะทำให้ตนเองเสียหายเท่านั้น และพระเจ้าจะทรงเมินเจ้าและไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  เจ้าจะไม่เข้าใจความจริงใดเลย และเจ้าจะไม่ได้รับความจริงใดเลย  ตอนนี้พวกเจ้าสามารถมองเห็นความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริงหรือไม่?  สิ่งแรกที่พวกเจ้าควรทำเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร?  พวกเจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์  เฉพาะเมื่อผู้คนพยายามซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามลึกเพียงใด พวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริงบ้างหรือไม่ และประเมินตนเองได้อย่างชัดเจนหรือมองเห็นข้อบกพร่องของตนเองอย่างชัดเจนหรือไม่  มีเพียงเมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติความซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นตระหนักรู้ว่าพวกเขาพูดโกหกกี่ครั้งและความหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ลึกเพียงใด  ในขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค่อยๆ มารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง และรู้ถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์  เฉพาะในระหว่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์เท่านั้นที่ผู้คนจะมีความสามารถที่จะได้รับความจริง  จงใช้เวลาของพวกเจ้าตามสบายในการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้  พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม  หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงรับเจ้าไว้  ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่ได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย  การที่เจ้าไม่ได้รับพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  หากเจ้าไม่ได้รับพระเจ้า และเจ้ายังไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่รู้จักพระเจ้า และดังนั้นก็ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าไม่พยายามบรรลุความรอด เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า?  หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอด เจ้าก็จะเป็นศัตรูคู่อริกับพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด  ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์  ในท้ายที่สุด บรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงรับไว้ย่อมได้รับการทำหมายสำคัญ  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด?  สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า “และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ” (วิวรณ์ 14:5) “พวกเขา” คือผู้ใด?  พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้  พระเจ้าทรงพรรณนาผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร?  สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะและการแสดงออกของการปฏิบัติตนของพวกเขา?  พวกเขาไม่มีตำหนิ  พวกเขาไม่พูดโกหก  พวกเจ้าทั้งหมดน่าจะสามารถเข้าใจและจับความได้ว่าการไม่พูดโกหกหมายถึงสิ่งใด กล่าวคือ นี่หมายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์  คำว่า “ไม่มีตำหนิ” อ้างอิงถึงสิ่งใด?  นี่หมายถึงการไม่ทำชั่ว  และการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานใด?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการไม่ทำชั่วก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งการยำเกรงพระเจ้า  เพราะฉะนั้น การไม่มีตำหนิจึงหมายถึงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  พระเจ้าทรงนิยามใครบางคนที่ปราศจากตำหนิไว้เช่นไร?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เพียบพร้อม ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ไม่มีตำหนิจึงเป็นบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเฉพาะผู้ที่เพียบพร้อมเท่านั้นที่ไม่มีตำหนิ  นี่ถูกต้องทุกประการ… หากเจ้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้าได้มีประสบการณ์กับการเติบโตแล้ว แต่คำโกหกของเจ้ายังไม่ลดลงเลย และโดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็เหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วนี่เป็นการสำแดงที่ปกติของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อใครบางคนได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะพูดคำโกหกน้อยลงอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าโกหกมากเกินไปและคำพูดของเจ้ามีสิ่งเจือปนมากเกินไป นี่พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย และเจ้ายังไม่ได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และดังนั้นเจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับการเติบโตได้อย่างไร?  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังคงไม่บุบสลาย และเจ้าก็เป็นผู้ไม่มีความเชื่อและมาร

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต

การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์ ย่อมพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเกลียดและไม่ชอบผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ความไม่ชอบที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงคือความไม่ชอบวิธีทำสิ่งต่างๆ อุปนิสัย เจตนา และวิธีใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา พระเจ้าไม่ชอบเรื่องทั้งหมดนี้  หากผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงสามารถยอมรับความจริง ยอมรับอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของตน และเต็มใจที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเช่นกัน—เพราะพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม และความจริงก็ทำเช่นนั้นด้วย  ดังนั้น หากพวกเราอยากเป็นผู้คนที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือเปลี่ยนแปลงหลักธรรมในการวางตน  พวกเราไม่สามารถดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตานอีกต่อไป ไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมอีกต่อไป  พวกเราต้องโยนเรื่องโกหกทั้งหมดทิ้งไปและกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  จากนั้นทัศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเราจึงจะเปลี่ยนแปลง  ก่อนหน้านี้ผู้คนพึ่งพาเรื่องโกหก การเสแสร้ง และการใช้เล่ห์เหลี่ยมเวลาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น และใช้ปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ เป็นชีวิต และเป็นรากฐานในการวางตน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น  ในหมู่ผู้ไม่เชื่อนั้น หากเจ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา พูดความจริง และซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะถูกใส่ความ ถูกตัดสิน และถูกทอดทิ้ง  ดังนั้นเจ้าจึงทำตามกระแสนิยมทางโลกและดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เจ้าเริ่มมีทักษะมากขึ้นเรื่อยๆ ในการโกหก และมีเล่ห์ลวงมากขึ้นทุกที  เจ้ายังเรียนรู้ที่จะใช้วิธีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาสัมฤทธิ์เป้าหมายและปกป้องตัวเจ้าเองอีกด้วย  เจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของซาตาน และผลที่ตามมาคือเจ้าร่วงลึกลงไปเรื่อยๆ ในบาป จนกระทั่งเจ้าไม่สามารถถอนตัวได้  แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งต่างๆ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม  ยิ่งเจ้าโกหกและใช้เล่ห์ลวงเล่นไม่ซื่อ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเอือมระอาและทอดทิ้งเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมกลับใจและยังคงยึดมั่นในปรัชญาและตรรกะของซาตาน ถ้าเจ้าใช้ลูกเล่นและกลอุบายอันซับซ้อนมาอำพรางและตกแต่งตัวเองให้ดูดี เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปได้อย่างมากที่เจ้าจะถูกเปิดโปงและขับออกไป  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงย่อมจะถูกทอดทิ้งและขับออกไปในที่สุด  พระเจ้าได้ทรงลิขิตทั้งหมดนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรสวรรค์  หากเจ้าไม่พยายามที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าไม่มีประสบการณ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ปฏิบัติในทิศทางนั้น หากเจ้าไม่เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเอง และไม่ตีแผ่ตัวเองออกมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเห็นชอบจากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในบทอวสาน?

ก่อนหน้า: 26. สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย

ถัดไป: 38. สิ่งที่เป็นสัมพันธภาพระหว่างการยำเกรงพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงความชั่ว กับการได้รับการช่วยให้รอด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger