หลักปฏิบัติของการนบนอบพระเจ้า

เหตุผลที่ทุกคนอิจฉาโยบในวันนี้เป็นเพราะเขามีความเชื่อที่แท้จริง  แต่พวกเจ้าได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับรายละเอียดของประสบการณ์ของเขารวมทั้งเหตุผลที่เขาสามารถเป็นพยานได้อย่างแท้จริงมาก่อนหรือไม่?  ชีวิตประจำวันของเขาเป็นอย่างไร?  เขาสมาคมกับพระเจ้าในชีวิตของเขาอย่างไร?  จากทุกการกระทำของเขา คนเราสามารถมองเห็นได้อย่างไรว่าเขาแสวงหาความจริง ว่าเขานบนอบพระเจ้าและยอมรับการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า?  สิ่งเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับรายละเอียดต่างๆ หรอกหรือ?  (สัมพันธ์กัน)  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ผู้คนทุกวันนี้ขาดพร่อง  ผู้คนรู้จักเพียงแค่คำกล่าวอันเป็นที่รู้จักกันดีของโยบว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  พวกเขาล้วนสามารถท่องถ้อยคำนี้ได้ แต่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเหตุใดโยบจึงสามารถกล่าวถ้อยคำนี้ได้  คำกล่าวอันเป็นที่รู้จักกันดีนี้ โยบก็ไม่ได้ได้มาโดยง่าย—แต่เกิดขึ้นหลังจากมีประสบการณ์ชั่วชีวิตเท่านั้น  ในประสบการณ์ชั่วชีวิตของเขา เขาได้เห็นการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงจากพระหัตถ์ของพระเจ้าและกิจการของพระเจ้าในหลายสิ่งหลายอย่าง และเขาก็ได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานความมั่งคั่งทั้งหมดของเขา  อยู่มาวันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็หายไป และเขาก็รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงพรากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว  ข้อสรุปที่โยบได้ก็คือ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด พระนามของพระเจ้าย่อมจะต้องได้รับการถวายพระพร  แล้วข้อสรุปนี้ได้มาอย่างไร?  การได้มาซึ่งข้อสรุปนี้ไม่พึงต้องมีกระบวนการหรอกหรือ?  การนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนทุกวันนี้ใช้ขณะที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งก็คือวิธีได้มาซึ่งผลลัพธ์นี้ วิธีสร้างผลตอบแทนเหล่านี้  ผลตอบแทนเหล่านี้ไม่ใช่ได้มาในเวลาไม่กี่วัน หรือแม้กระทั่งในเวลาสองสามปี นั่นสัมพันธ์กับทุกแง่มุมและทุกรายละเอียดของชีวิตผู้คน

การเชื่อในพระเจ้าของโยบไม่ใช่เป็นเพียงในนาม เขาคือตัวแทนต้นแบบของผู้เชื่อที่จริงใจ  เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง  เขาไม่สบายใจกับการสรวลเสเฮฮาของบุตรชายหญิงของเขา และเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าและวางใจมอบหมายบุตรชายหญิงต่อพระเจ้า  แน่นอนว่าเขาอธิษฐานในเรื่องวิธีเลี้ยงดูฝูงสัตว์ของเขาอยู่เนืองนิจ  เขาวางใจมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระเจ้า  หากเขาเป็นดังเช่นผู้ไม่มีความเชื่อ ที่วางแผนและคิดคำนวณการเลี้ยงดูฝูงสัตว์ของเขาด้วยเจตจำนงของมนุษย์อยู่เสมอ  พึ่งพาเพียงความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของตนเองและเค้นสมองเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายที่เขาได้วางแผนเอาไว้ เช่นนั้นแล้วต่อให้เขาได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลวและการชะงักงันมากมาย เขายังจะสามารถมองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าและอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้หรือ?  (ไม่สามารถมองเห็นได้)  หากเขาไม่ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยครั้ง เขาคงจะไม่ได้รับประสบการณ์กับพระพรของพระเจ้า เขาคงจะคิดลบและอ่อนแอดังเช่นผู้เชื่อธรรมดาทั่วไปอยู่เป็นนิจ และอารมณ์ขัดขืนอาจจะเกิดขึ้นในตัวเขา  “ผู้คนพูดอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงอวยพรฉันตามแผนของฉัน!  ฉันนมัสการพระเจ้าและถวายเครื่องบูชาทุกวัน  หากพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง พระพรที่พระองค์ประทานให้ฉันก็ควรจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะขอหรือจินตนาการได้  เป็นอย่างไรหนอฉันจึงยังไม่ได้สัมฤทธิ์เป้าหมายนั้น?  เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่”  เขาคงจะเขียนเครื่องหมายคำถามถัดจากการดำรงอยู่ของพระเจ้า ซึ่งเป็นผลเชิงลบ  เหตุผลหนึ่งก็คือ เขาไม่สามารถมองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าหรืออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์  นอกจากนี้เขาคงจะพร่ำบ่นต่อว่าพระเจ้า และเขาก็คงจะเริ่มมีความเข้าใจผิด ความจงเกลียดจงชัง และความเป็นกบฏต่อพระเจ้า  หากผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าดำเนินตามวิถีของตนเอง ไล่ตามไขว่คว้าพระพรอยู่เสมอ เช่นนั้นสุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพูดดังเช่นโยบว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ได้หรือ?  ความรู้จากประสบการณ์จำพวกนี้จะเกิดขึ้นในตัวพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ไม่อย่างแน่นอน  เหตุใดจึงจะไม่เกิดขึ้น?  ปัญหานี้มาจากตรงไหน?  (พวกเขาไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า อีกทั้งไม่แสวงหาจากพระเจ้า ตรงกันข้าม พวกเขาแก้ไขสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการของมนุษย์)  เหตุใดผู้คนจึงเค้นสมองโดยใช้วิธีการของมนุษย์เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองแทนที่จะพึ่งพาพระเจ้า?  เมื่อพวกเขาวางแผน พวกเขาแสวงหาความพึงปรารถนาของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขามีท่าทีนบนอบหรือไม่เมื่อกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด  ฉันจะวางแผนและการคิดคำนวณนี้เอาไว้ก่อน แต่ฉันไม่รู้ว่าแผนของฉันจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของฉันหรือไม่ นี่เป็นแค่แผนเท่านั้น  หากนั่นสามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายของฉันได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นพระพรจากพระเจ้า  หาไม่แล้วนั่นก็เป็นเพราะความมืดบอดของฉันเอง แผนของฉันไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า” พวกเขามีท่าทีจำพวกนี้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วครรลองแห่งการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่คือความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ เป็นความอยากได้อยากมีแบบมนุษย์ เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุผลของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลาย  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  นอกจากนี้ผู้คนเช่นนั้นมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้าเห็นได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า?  (พวกเขารู้สึกถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสัมฤทธิ์แผนที่พวกเขาวางเอาไว้)  นี่คืออุปนิสัยเช่นใด?  นี่คือความโอหังและการกบฏ  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา แต่ในเวลาที่พวกเขามีความอยากได้อยากมีและการคิดคำนวณของตนเอง พวกเขาพักวางพระเจ้าไว้ก่อน นี่คืออุปนิสัยอันโอหัง  ในเวลาที่พวกเขาพักวางพระเจ้าไว้ก่อนนั้นพวกเขากำลังนบนอบอยู่หรือไม่?  พวกเขาไม่ได้กำลังนบนอบพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาไม่พิจารณาวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือสิ่งต่างๆ เลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ได้พิจารณาวิธีที่พระองค์ต้องประสงค์จะทำสิ่งต่างๆ  พวกเขาไม่พิจารณาเรื่องเหล่านี้  มองเห็นอะไรได้บ้างจากการนี้?  พวกเขาไม่แสวงหาสิ่งใด พวกเขาไม่นบนอบ และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาวางแผนของตนเองเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนั้นพวกเขาจึงกระทำการและทำงานหนักตามแผนของตน อาศัยวิธีการ ความคิดฝัน และมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ โดยไม่ได้คิดถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  เมื่อเป็นเรื่องของการเลี้ยงดูฝูงสัตว์ อย่างน้อยที่สุดผู้คนก็จำเป็นต้องรู้ในหัวใจของพวกเขาว่า “มนุษย์ควรพยายามทำสิ่งที่พวกเขาพึงจะทำและนบนอบต่อน้ำพระทัยของฟ้าให้ดีที่สุด” กล่าวคือ “ฉันจะลุล่วงความรับผิดชอบของฉันที่จะให้อาหารฝูงสัตว์ ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกมันขาดสารอาหาร หรือหนาวจนตัวแข็ง หรืออดอยาก หรือล้มป่วย  จำนวนลูกๆ ที่พวกมันมีในปีหน้าอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น และฉันก็จะไม่วางแผน  เรื่องเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้า”  หากพวกเขายืนกรานที่จะพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันแบบมนุษย์ในการปฏิบัติตน พวกเขาจะมีท่าทีที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  ครรลองใดในสองครรลองแห่งการกระทำนี้มาจากเจตจำนงของมนุษย์ และครรลองใดเป็นการนบนอบพระเจ้า?  (ครรลองแรกมาจากเจตจำนงของมนุษย์ และเป็นครรลองแห่งการกระทำของพวกผู้ไม่เชื่อ ครรลองแห่งการกระทำครรลองที่สองมาจากบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและแสวงหาความจริงอย่างจริงใจ)  พวกเขาล้วนเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็ล้วนทำในสิ่งเดียวกัน แต่เหตุจูงใจ ต้นตอ และเป้าหมายของการกระทำของพวกเขาตลอดจนหลักธรรมของพวกเขานั้นแตกต่างกันไป  ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถมองเห็นเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน  มีความแตกต่างกันอยู่มิใช่หรือ?  แก่นแท้ของผู้ไม่เชื่อก็คือแก่นแท้ของผู้ไม่มีความเชื่อ  ต้นตอและเป้าหมายการกระทำของพวกเขาคืออะไร?  ทั้งหมดนั่นก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยที่ผลกำไรเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดถึงมากที่สุด ดังนั้นในการกระทำทั้งหลาย พวกเขาจึงอาศัยเจตจำนงของตนเองเพียงอย่างเดียว  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาอาศัยแต่เจตจำนงของตนเอง?  หลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบ พวกเขาวางแผนด้วยตนเองทั้งสิ้น  พวกเขาไม่กระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นหรือมืดบอด ตรงกันข้าม พวกเขามีความตั้งใจและเป้าหมาย  พวกเขาไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขากระทำการตามที่ตนเองกำหนดทั้งสิ้น  ไม่มีใครอื่นวางแผนให้กับพวกเขา อีกทั้งไม่มีใครอื่นที่ฝืนใจพวกเขาให้กระทำการในหนทางนี้  เป็นพวกเขาเองที่มุ่งมั่นจะกระทำการตามแผนของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงอาศัยเจตจำนงของตนเอง  จากนั้นพวกเขาก็เค้นสมองและกระทำการตามแผนของตนเองไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม เพื่อที่จะสนองความอยากได้อยากมีของตนเองและสัมฤทธิ์เป้าหมายของแผนเหล่านั้น  ขณะที่พวกเขากระทำการ พวกเขาก็ยังมีแนวคิดที่คลุมเครือนี้ด้วย กล่าวคือ “ฉันเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ย่อมจะทรงอวยพรฉันอย่างแน่นอน”  นี่ไม่น่าละอายหรอกหรือ?  พระเจ้าจะทรงอวยพรเจ้าบนพื้นฐานใด?  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเจ้า?  พระเจ้าจะทรงทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นเพราะการกำหนดของเจ้าเช่นนั้นหรือ?  นี่ไม่ใช่แนวคิดที่ไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน นั่นเทียบเท่ากับการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  แต่ผู้คนมากมายสับสนกับเรื่องนี้  พวกเขาพูดว่า “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรฉัน ฉันเชื่อว่าพระองค์จะทรงคุ้มครองทุกสิ่งที่ฉันมี และฉันก็เชื่อว่าพระองค์จะทรงสนองความอยากได้อยากมีของฉัน!”  พวกเขาคิดว่านี่คือท่าทีที่นบนอบพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ?  ไม่เพียงแต่เป็นความผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการหมิ่นประมาทและเป็นการกบฏต่อพระเจ้าอีกด้วย  การเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเจ้าไม่ได้หมายความว่าเจ้านบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—นี่เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน  ในการกล่าวเช่นนี้ เจ้ากำลังถูกควบคุมโดยธรรมชาติอันโอหังของเจ้าโดยสิ้นเชิง และการพูดเช่นนี้ก็ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริง

สิ่งใดคือแก่นแท้ของการประพฤติปฏิบัติที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าซึ่งเราเพิ่งได้สามัคคีธรรมกันไป?  จงชำแหละรากเหง้าของเรื่องนี้  มีการปฏิบัติความจริงใดๆ อยู่ในการนั้นหรือไม่?  มีการนบนอบใดหรือไม่?  มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาหรือไม่?  พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเจ้าล้วนแต่พูดว่าไม่ ดังนั้นหากพูดอย่างเฉพาะเจาะจงแล้ว สิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาในหนทางใด?  พวกเจ้าต้องเปรียบเทียบการนี้กับตัวเอง และรู้วิธีชำแหละการนี้  หากเจ้ารู้วิธีชำแหละการนี้ เจ้าย่อมจะรู้วิธีตัดสินสภาวะภายในตัวเจ้า และเจ้าย่อมจะรู้วิธีตัดสินว่าทั้งหมดที่เจ้าปฏิบัตินั้นตรงตามหลักธรรมหรือไม่ และเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่  ก่อนอื่น หากผู้คนวางแผนของตนไว้ก่อนโดยปราศจากการแสวงหาความจริง จะมีการนบนอบใดๆ ในที่นี้หรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อเห็นว่าไม่มีการนบนอบ คนเราควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเป็นการนบนอบ?  (แสวงหาความพึงปรารถนาของพระเจ้าเป็นอันดับแรก)  ในหลายๆ เรื่อง พระเจ้าไม่ทรงแสดงให้เจ้าเห็นความพึงปรารถนาของพระองค์อย่างชัดเจน ดังนั้นเจ้าสามารถมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง?  (พวกเราต้องพึ่งพาคำอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้มั่นใจ)  หากเจ้าอธิษฐานสองสามครั้งและยังคงไม่เข้าใจความพึงปรารถนาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  จงอย่ากระทำการอย่างมืดบอด  ก่อนอื่น จงดูว่าการกระทำในหนทางนี้จำเป็นหรือไม่ การกระทำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่ การกระทำการในหนทางนี้ตรงตามภาวะหรือไม่ และเจ้าสามารถสัมฤทธิ์แผนของเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์แผนของเจ้า แต่เจ้ายังคงยึดมั่นในแผนนี้ต่อไป นั่นไม่ได้หมายความว่าการนั้นเป็นครรลองแห่งการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลหรอกหรือ?  การที่แผนและแนวคิดของเจ้ามีความเป็นจริงหรือไม่นั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด  เจ้าคิดในหัวใจของเจ้าว่า “ฉันจะวางแผนนี้เป็นอันดับแรก และหากพระเจ้าทรงอวยพรฉัน เช่นนั้นแล้วบางทีฉันอาจจะได้รับมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ!”  เจ้ามีวิธีคิดที่โชคดี แล้วเจ้าก็พึ่งพาเจตจำนงของตนเองและพยายามยึดมั่นอยู่กับความคิดเห็นของตนเองว่า ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก และเจ้าก็ทั้งโอหังและป่าเถื่อน  แผนการและการกำหนดของผู้คนมีความเบี่ยงเบนเสมอ และไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรปฏิบัติ  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า แผนการและการกำหนดของพวกเขาจะถูกต้องได้หรือ?  สิ่งเหล่านี้จะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่มั่นใจได้ เนื่องจากมีเรื่องมากมายที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจได้ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ การกำหนดและแผนการของผู้คนล้วนแต่เป็นความคิดฝันแบบมนุษย์ เป็นการคาดคะเนและการตัดสินของพวกเขา  พวกที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองเห็นได้ว่า ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่สามารถมองเห็นได้ว่าพระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งเหล่านั้น  เจ้าต้องดูว่าพระหัตถ์ของพระเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ เจตนารมณ์ของพระองค์คือสิ่งใด และขณะนี้พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใดกับผู้คน  หากแผนและการตัดสินใจของเจ้าสวนทางกลับพระราชกิจที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำ หรือเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับความพึงปรารถนาของพระเจ้า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?  แน่นอนว่าแผนของเจ้าย่อมจะล้มเหลว  จากเรื่องนี้เจ้าต้องมองให้ชัดเจนว่าผู้คนไม่ควรวางแผน—การวางแผนโดยตัวของมันเองแล้วก็คือความผิดพลาดอย่างหนึ่ง  ดังนั้นแล้วผู้คนควรปฏิบัติให้ถูกต้องอย่างไร?  พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ ตามที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ควรกระทำการกับหรือวางแผนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างมืดบอด  มีหลายเรื่องที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ และเจ้าก็ไม่รู้ว่าปัญหาใดอาจจะเกิดขึ้นระหว่างทาง  สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเหล่านี้อยู่ในแผนของผู้คนหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ ดังนั้นแผนของผู้คนจึงล้วนแต่เป็นแค่ความคิดฝันแบบมนุษย์ เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ดังนั้นผู้คนควรทำอย่างไร?  สิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขาควรมีหัวใจแห่งการนบนอบพระเจ้า และพวกเขาไม่ควรวางแผนใดๆ ของตนเอง อีกสิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขาต้องลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนโดยไม่เป็นการสุกเอาเผากินด้วย  สำหรับเรื่องที่ว่าเจ้าสามารถทำให้สิ่งต่างๆ ที่เจ้าวางแผนและกำหนดให้สำเร็จลุล่วงได้หรือไม่นั้น นั่นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  บางทีเจ้าอาจจะวางแผนเพียงเล็กน้อย แต่พระเจ้าประทานให้เจ้ามากมาย บางทีเจ้าอาจจะวางแผนมากมาย แต่เจ้ากลับไม่ได้รับมากมายนัก  หลังจากผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมามากมาย เจ้าก็จะยอมรับว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานของเจตจำนงหรือแผนของมนุษย์  ทั้งหมดนั่นขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการและครองอธิปไตยเหนือเรื่องต่างๆ อย่างไร ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ด้วยการรวบรวมประสบการณ์ในหนทางนี้อยู่เป็นนิตย์ ผู้คนจึงได้พบว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง  หากเจ้ายืนยันข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับความจริงซึ่งได้มาโดยประสบการณ์  บางครั้งแผนของเจ้าอาจจะค่อนข้างดี แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกชั่วขณะ เจ้าไม่สามารถจินตนาการสิ่งอันเป็นเอกลักษณ์หลายสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเกินกว่าความคิดฝันและแผนของเจ้าในทุกหนทาง  เรื่องต่างๆ มากมายทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้าไม่ทันตั้งตัว และเจ้าก็ไม่ตระหนักรู้ว่าข้อผิดพลาดนั้นอยู่ตรงไหนในแผนของเจ้า ไม่ตระหนักรู้ว่าแผนเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว รวมทั้งสิ่งไหนที่ผู้คนทำได้และทำไม่ได้  เจ้ารู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่ามีหลายสิ่งที่เหล่ามนุษย์ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของแผนและความคิดฝันของพวกเขา  ในเวลาเช่นนั้น เจ้าได้ข้อสรุปใด?  (ข้อสรุปว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง)  ในอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งของพระเจ้า มีรายละเอียดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ หากพระเจ้าไม่ประทานบางสิ่งให้เจ้า เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าวิ่งวุ่นดำเนินงาน ตรากตรำ หรือดิ้นรนอย่างไร นั่นย่อมไม่มีประโยชน์  หากพระเจ้าทรงอวยพรเจ้า เช่นนั้นแล้วทั้งหมดก็ย่อมกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากการสะดุด และไม่มีผู้ใดสามารถเป็นอุปสรรคต่อเจ้าได้  เจ้าระลึกรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในเรื่องนี้ พระเจ้าทรงสามารถทอดพระเนตรเห็นแผนทั้งหมดของเจ้าได้อย่างชัดเจนมาก และเรื่องนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น  ด้วยประสบการณ์นี้ หัวใจของเจ้าจะเริ่มมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ใดหรือ?  พระเจ้าทรงประทานการนั้นให้แก่เจ้า  หากพระเจ้าต้องประสงค์จะพรากการนั้นไป เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญว่าเจ้านบนอบพระเจ้ามากเพียงใดหรือเจ้ารู้จักพระเจ้ามากเพียงใด—หากพระองค์ทรงควรพรากการนั้นไป พระองค์ก็จะทรงทำเช่นนั้น  ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงลิขิตทั้งหมดไว้ และพระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดนั้น  เจ้าไม่ควรมีทางเลือกของตัวเอง  ในเวลานี้ แผน การคิดคำนวณ และเป้าหมายส่วนตัวของเจ้าจะยังคงครองตำแหน่งที่โดดเด่นในหัวใจของเจ้าอยู่หรือไม่?  ไม่  แผนและการคิดคำนวณเหล่านี้ของมนุษย์จะทุเลาลงโดยไม่รู้ตัว และเจ้าจะละทิ้งสิ่งเหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ได้อย่างไร?  การที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้านั้นเทียบเท่ากับการได้เห็นอธิปไตยของพระองค์  แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ตรัสเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากเจ้า แต่กระนั้นก็ตามเจ้าจะเข้าใจได้โดยไม่รู้ตัว  เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรเจ้าด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยทรงอวยพรเจ้าด้วยความมั่งคั่งมากมาย พระองค์ไม่ตรัสบอกเจ้าหรอกว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น แต่ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง และเจ้าก็ตระหนักรู้ว่านี่คือพระพรจากพระเจ้า ไม่ใช่บางสิ่งที่บุคคลหนึ่งจะสามารถหามาได้  วันหนึ่งบางสิ่งจะถูกพรากไป และเจ้าจะตระหนักรู้ในหัวใจของเจ้าอย่างชัดเจนว่านี่มาจากพระเจ้า  เมื่อเจ้าตระหนักรู้ทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน เจ้าจะไม่รู้สึกว่าพระเจ้ากำลังทรงนำเจ้าในทุกก้าวที่เจ้าเดิน ทุกวันที่เจ้ามีชีวิตอยู่ และทุกปีที่ผ่านพ้นไปหรอกหรือ?  ขณะที่พระเจ้าทรงนำเจ้า เจ้าจะรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่าเจ้าได้มาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ในแต่ละวัน เจ้ามีความรู้ใหม่ในทุกๆ วัน และเจ้ามีการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ปี  เจ้าจะค่อยๆ ได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว  เมื่อเจ้าได้ประสบกับสิ่งต่างๆ จนถึงระดับนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงมีที่ในหัวใจของเจ้าหรอกหรือ?  หากพระเจ้าทรงมีที่ในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ดังนั้นสิ่งของ ความคิด หรือทฤษฎีอื่นใดจะสามารถชักพาให้เจ้าหลงผิด ทำให้เจ้าสับสน หรือทำให้เจ้าผละจากพระเจ้าไปหรือไม่?  เป็นไปไม่ได้  ต่อเมื่อเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า ต่อเมื่อความจริงได้หยั่งรากในหัวใจของเจ้าแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงจะสามารถสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้าไปตลอดกาล  หากความจริงยังไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะสถิตอยู่ในหัวใจของเจ้าเป็นเวลานานได้หรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากหัวใจของเจ้าสามารถอยู่ห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ได้ทุกชั่วขณะ  หากผู้คนใช้ความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด แผน การคิดคำนวณ และความอยากได้อยากมีของตนเองเพื่อกำหนดทิศทางชีวิตของตนอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระเจ้านี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้น เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าดังเช่นโยบ เส้นทางแห่งประสบการณ์และการปฏิบัติของเจ้าจะต้องถูกต้อง  หากมีความเบี่ยงเบนในเส้นทางแห่งการปฏิบัติของเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าความเชื่อหรือเจตจำนงของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สำคัญว่าความทะเยอทะยานของเจ้าอาจจะสูงส่งเลิศเลอเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์  มีในเรื่องราวในชีวิตมากมายที่วิธีการปฏิบัติของผู้คนมีความเบี่ยงเบน  มองจากภายนอก ดูเหมือนผู้คนสามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้อย่างมากมาย เหมือนพวกเขามีความมุ่งมั่นสูง และเหมือนหัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟ แต่หลังจากสั่งสมประสบการณ์มาจำนวนหนึ่ง เหตุใดท้ายที่สุดแล้วพวกเขากลับไม่ได้รับความรู้จากประสบการณ์เกี่ยวกับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า?  เป็นเพราะวิธีการปฏิบัติของพวกเขามีความเบี่ยงเบน เพราะการตระหนักรู้ส่วนตน มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ตลอดจนแผนของพวกเขาเป็นตัวนำอยู่เสมอ  สิ่งเหล่านี้คอยชี้นำ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากสิ่งเหล่านี้  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราปรากฏแก่ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ และซ่อนเร้นตัวเราเองจากแผ่นดินแห่งความโสมม”  “แผ่นดินแห่งความโสมม” หมายถึงสิ่งใด?  นั่นหมายถึงความอยากได้อยากมี แผน และความมุ่งมั่นที่หลากหลายของผู้คน—แม้กระทั่งเจตนาและความตั้งใจที่ดีของพวกเขาที่พวกเขาคิดว่าถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคขัดขวางพระเจ้าไม่ให้ทรงพระราชกิจกับตัวเจ้า และเป็นเหมือนกำแพงตรงหน้าเจ้า ปิดกั้นเจ้าโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถมองเห็นหรือรับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าได้เลย  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถมารู้จักอธิปไตยของพระองค์ได้หรือ?  (ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้)  เจ้าไม่สามารถมารู้จักอธิปไตยของพระเจ้าได้เลย

พวกเราจงมามองดูท่าทีที่โยบมีตอนที่จัดการกับบุตรชายหญิงของเขากันเถิด  โยบยำเกรงพระยาห์เวห์ แต่บุตรชายหญิงของเขาไม่เชื่อในพระเจ้า—คนนอกจะไม่คิดหรอกหรือว่านี่เป็นเรื่องน่าขายหน้ามากสำหรับโยบ?  ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ โยบมาจากครอบครัวที่ดีมาก และเขาก็ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่บุตรชายหญิงของเขากลับไม่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีความน่านับถือ  แนวคิดเกี่ยวกับความน่านับถือนี้ไม่ได้มาจากเจตจำนงของมนุษย์ จากความหัวร้อนของมนุษย์หรอกหรือ?  ผู้คนอาจจะคิดว่า “การนี้ไม่น่านับถือเลยแม้แต่น้อย  ฉันต้องคิดถึงหนทางที่จะทำให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า และเรียกความน่านับถือของฉันกลับคืนมา”  นี่ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์หรอกหรือ?  นี่ใช่สิ่งที่โยบทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การนี้บันทึกในพระคัมภีร์ไว้ว่าอย่างไร?  (โยบมอบถวายเครื่องบูชาและอธิษฐานแทนพวกเขา)  โยบก็แค่มอบถวายเครื่องบูชาและอธิษฐานแทนพวกเขา  นี่คือท่าทีประเภทไหน?  พวกเจ้าสามารถมองเห็นหลักธรรมที่โยบกำลังปฏิบัติอยู่หรือไม่?  พวกเราไม่รู้ว่าโยบขวางกั้นหรือแทรกแซงการสรวลเสเฮฮาของบุตรชายหญิงของเขาหรือไม่ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม—เขาก็แค่มอบถวายเครื่องบูชาแทนบุตรชายหญิงของเขา  เขาเคยอธิษฐานหรือไม่ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้า โปรดดลใจพวกเขา โปรดทำให้พวกเขาเชื่อในพระองค์ และโปรดให้พวกเขาได้มาซึ่งพระคุณของพระองค์ และทำให้พวกเขายำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วอย่างเดียวกับที่ข้าพระองค์ทำ”?  เขาเคยอธิษฐานในหนทางนี้หรือไม่?  พระคัมภีร์ไม่มีการบันทึกเช่นนั้น  แนวทางปฏิบัติของโยบคือการอยู่ห่างจากพวกเขา มอบถวายเครื่องบูชาแทนพวกเขา และเป็นกังวลแทนพวกเขา เพื่อไม่ให้พวกเขาทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า  โยบปฏิบัติสิ่งเหล่านี้  สิ่งใดคือหลักธรรมของการปฏิบัติของเขา?  โยบไม่ได้เรียกร้องต่อพวกเขามากเกินไป  ดังนั้นแล้วโยบต้องการให้บุตรชายหญิงของเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าเขาต้องการให้บุตรชายหญิงของเขาเชื่อในพระเจ้า  ในฐานะบิดาที่เชื่อในพระเจ้า การเห็นบุตรชายหญิงของตนยึดติดกับโลกในหนทางนี้โดยปราศจากการเชื่อในพระเจ้าอย่างตั้งใจจริงคงจะทำให้เขาเศร้าใจมาก  แน่นอนว่าเขาต้องการให้บุตรชายหญิงของเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มอบถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันกับเขา ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และยอมรับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความน่านับถือ แต่เป็นความรับผิดชอบของบิดามารดา  แต่บุตรชายหญิงของเขาเลือกที่จะไม่เชื่อ และในฐานะบิดา โยบจึงไม่ได้เรียกร้องต่อพวกเขามากเกินไป  นั่นคือท่าทีของโยบ  แล้วเขาทำสิ่งใด?  เขาฉุดกระชากลากถูบุตรชายหญิงของเขา หรือพยายามที่จะโน้มน้าวพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  ไม่อย่างแน่นอน  อย่างมากที่สุดเขาก็พูดคำเตือนสติสองสามคำแล้วแต่โอกาส และเมื่อบุตรชายหญิงของเขาไม่ฟัง เขาก็ละทิ้งการนั้นไป  โยบบอกพวกเขาไม่ให้ทำสิ่งอันใดที่เกินขอบเขตมากไป แล้วจึงแยกออกมาจากพวกเขา กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน โดยแต่ละบุคคลก็ดำเนินชีวิตของตนเองไป  โยบมอบถวายเครื่องบูชาแทนพวกเขาด้วยกลัวว่าพวกเขาจะล่วงเกินพระยาห์เวห์พระเจ้า เขาไม่ได้มอบถวายเครื่องบูชาแทนบุตรชายหญิงของเขา เขาทำเช่นนั้นเพราะเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  โยบไม่ได้เรียกร้องต่อพวกเขามากเกินไป ไม่ได้ฉุดกระชากลากถูพวกเขา และไม่ได้พูดว่า “นี่คือบุตรชายหญิงของฉัน และฉันต้องให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะทรงสามารถได้ผู้คนมาอีกสองสามคน”  เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ และไม่มีแผนหรือการคิดคำนวณเช่นนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้กระทำในหนทางนี้  เขารู้ว่าการกระทำในหนทางนี้มาจากเจตจำนงของมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าไม่โปรด  โยบก็แค่เตือนสติบุตรชายหญิงของเขา และอธิษฐานแทนพวกเขา แต่โยบไม่ได้บังคับพวกเขาหรือฉุดกระชากลากถูพวกเขา และโยบถึงขั้นกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนด้วยซ้ำ  นี่คือความมีเหตุผลของโยบ และยังเป็นหลักธรรมของการปฏิบัติประการหนึ่งด้วย กล่าวคือ จงอย่าพึ่งพาเจตจำนงหรือเจตนาที่ดีของมนุษย์ในการทำสิ่งอันใดที่จะล่วงเกินพระเจ้า  นอกจากนี้พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงดลใจพวกเขา  โยบเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือ “พระเจ้ายังไม่ได้ทรงพระราชกิจกับพวกเขา ดังนั้นฉันจึงจะไม่อธิษฐานแทนพวกเขา  ฉันจะไม่ขออะไรจากพระเจ้า และฉันไม่ต้องการล่วงเกินพระเจ้าในเรื่องนี้”  แน่นอนที่สุดว่าเขาจะไม่อธิษฐานด้วยการฟูมฟายหรืออดอาหารอธิษฐานเพื่อที่ว่าบุตรชายหญิงของเขาจะได้รับการช่วยให้รอด ว่าพวกเขาจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าและได้รับพระพร  แน่นอนที่สุดว่าโยบจะไม่กระทำในหนทางนี้ เขารู้ว่าการกระทำในหนทางนี้จะล่วงเกินพระเจ้า และพระเจ้าจะไม่โปรดการนี้  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดบ้างจากรายละเอียดเหล่านี้?  การนบนอบของโยบจริงใจหรือไม่?  (จริงใจ)  บุคคลปกติทั่วไปสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบประเภทนี้ได้หรือไม่?  บุคคลปกติทั่วไปไม่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบประเภทนี้ได้  บุตรชายหญิงคือสมบัติล้ำค่าที่รักยิ่งของบิดามารดา ดังนั้นเมื่อบุตรชายหญิงสรวลเสเฮฮาเช่นนี้ การมองเห็นพวกเขาทำตามกระแสนิยมชั่ว ไม่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และสูญเสียโอกาสที่จะเชื่อในพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด—และอาจถึงขั้นจมดิ่งลงสู่ความพินาศและถูกทำลาย—นี่เป็นความทุกข์ยากสาหัสที่มีความยากทางภาวะอารมณ์เกินกว่าที่บุคคลปกติทั่วไปจะเอาชนะได้  แต่โยบก็สามารถสำเร็จลุล่วงการนั้นได้  เขาทำเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแทนพวกเขา และการเป็นกังวลในหัวใจของเขา  ก็เท่านั้นเอง  บุตรชายหญิงของเขาคือสายสัมพันธ์ที่รักยิ่งของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำสิ่งอันใดเป็นพิเศษแทนพวกเขาที่จะเป็นการล่วงเกินพระเจ้า  เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับหลักธรรมของการปฏิบัตินี้ของโยบ?  นั่นแสดงให้เห็นว่าเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและเขานบนอบพระองค์อย่างแท้จริง  เมื่อมาถึงเรื่องที่สัมพันธ์กับอนาคตของบุตรชายหญิงของเขา เขาไม่อธิษฐานเลยแม้แต่น้อย และไม่ใช้แนวทางปฏิบัติใดๆ บนพื้นฐานของเจตจำนงของมนุษย์ เขาก็แค่ส่งคนรับใช้ของเขาไปทำบางสิ่ง ไม่ไปด้วยตัวเอง  เหตุผลที่เขาไม่เข้าร่วมการสรวลเสเฮฮานี้ก็คือ เขาไม่เต็มใจที่จะถูกสิ่งเหล่านี้ทำให้ปนเปื้อน และนอกจากนี้เขาก็ไม่ต้องการปะปนกับสิ่งเหล่านี้  ด้วยการปะปนกับสิ่งเหล่านี้ เขาจะล่วงเกินพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงอยู่ห่างจากสถานที่ที่ชั่วร้าย  การปฏิบัติของโยบมีรายละเอียดเฉพาะหรือไม่?  ก่อนอื่น พวกเรามาพูดถึงวิธีที่เขาปฏิบัติต่อบุตรชายหญิงของเขากันเถิด  จุดมุ่งหมายของเขาคือการนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เขาไม่พยายามที่จะบังคับในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าไม่ทรงทำ อีกทั้งเขาไม่มีการคิดคำนวณและไม่มีแผนบนพื้นฐานของเจตจำนงของมนุษย์  เขาเชื่อฟังและรอคอยการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง นี่คือหลักการทั่วไป  อะไรคือวิธีการปฏิบัติโดยละเอียด?  (เขาไม่เข้าร่วมในเวลาที่บุตรชายหญิงของเขาสรวลเสเฮฮา  โยบอยู่ห่างจากพวกเขาและทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแทนพวกเขา แต่โยบไม่ดึงดันที่จะให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งโยบก็ไม่ได้ฉุดกระชากลากถูพวกเขา และโยบก็กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนกับพวกเขา)  นี่คือหลักธรรมของการปฏิบัติ  บุคคลปกติทั่วไปปฏิบัติกันอย่างไรเมื่อพวกเขาเผชิญกับเรื่องนี้?  (พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าบุตรชายหญิงของตนจะเชื่อในพระองค์)  มีอะไรอีกไหม?  หากพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น พวกเขาก็ลากบุตรชายหญิงของตนไปคริสตจักร แล้วบุตรชายหญิงก็จะได้รับพระพร  พวกเขามองว่าพวกเขาได้รับสิ่งดีมีประโยชน์จากการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว แต่บุตรชายหญิงของตนยังไม่ได้รับ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดอยู่ในหัวใจของตน  พวกเขาไม่ต้องการให้บุตรชายหญิงของตนพลาดโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีมีประโยชน์นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเค้นสมองโดยพยายามค้นหาหนทางที่จะชักจูงบุตรชายหญิงของตนให้ไปที่คริสตจักร โดยคิดว่าการนี้จะเทียบได้กับการลุล่วงความรับผิดชอบของตนในการเป็นบิดามารดา  อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ใส่ใจว่าบุตรชายหญิงของตนมีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดหรือไม่  โยบไม่ได้ทำสิ่งนี้ แต่บุคคลปกติทั่วไปไม่สามารถทำเช่นโยบได้  เหตุใดจึงทำไม่ได้?  (ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  พวกเขากระทำการบนพื้นฐานของความรู้สึกของตน)  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่คำนึงถึงเลยว่าการกระทำการในหนทางนี้เป็นการล่วงเกินพระเจ้าหรือไม่  ลำดับความสำคัญของพวกเขาก็คือการตอบสนองตัวเอง เอาใจใส่ความรู้สึกของตน และการตอบสนองความอยากได้อยากมีของตนเอง  พวกเขาไม่คำนึงถึงวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการหรือครองอธิปไตยเหนือสิ่งต่างๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำ หรือสิ่งที่เป็นเจตนารมณ์ของพระองค์  พวกเขาคำนึงถึงเพียงแค่ความอยากได้อยากมีของตนเอง ความรู้สึกของตนเอง ความตั้งใจของตนเอง และประโยชน์ของตนเอง  โยบปฏิบัติต่อบุตรชายหญิงของเขาอย่างไร?  เขาก็แค่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะบิดา ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขาและสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบุตรชายหญิงของเขารับฟังเขาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาเชื่อฟังหรือไม่ก็ตาม โยบก็ไม่ได้บังคับพวกเขาให้เชื่อในพระเจ้า—โยบไม่ได้ฉุดกระชากลากถูพวกเขาหรือแทรกแซงชีวิตของพวกเขา  แนวคิดและความเห็นของพวกเขาแตกต่างจากแนวคิดและความเห็นของโยบ ดังนั้นโยบจึงไม่ได้แทรกแซงสิ่งที่พวกเขาทำ และไม่ได้แทรกแซงว่าพวกเขากำลังเดินบนเส้นทางแบบไหน  โยบได้พูดถึงการเชื่อในพระเจ้ากับบุตรชายหญิงของเขาไม่น้อยเลยมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าโยบคงจะได้พูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมที่จะรับฟัง และไม่ยอมรับคำพูดเหล่านั้น  ท่าทีของโยบที่มีต่อการนั้นเป็นอย่างไร?  “ฉันได้ลุล่วงความรับผิดชอบของฉันแล้ว สำหรับเรื่องที่ว่าพวกเขาเดินบนเส้นทางประเภทใดนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาเลือก และขึ้นอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจกับพวกเขา หรือไม่ทรงดลใจพวกเขา ฉันก็จะไม่พยายามบังคับพวกเขา”  เพราะฉะนั้นโยบจึงไม่ได้อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแทนพวกเขาหรือคร่ำครวญออกมาเป็นน้ำตาแห่งความระทมเพราะพวกเขา หรืออดอาหารอธิษฐานแทนพวกเขาหรือทนทุกข์ในหนทางใดเลยแม้แต่น้อย  เขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้  เหตุใดโยบจึงไม่ได้ทำสิ่งอันใดเหล่านี้เลย?  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นหนทางแห่งการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มาจากแนวคิดแบบมนุษย์และเป็นหนทางของการบังคับเรื่องต่างๆ อย่างแข็งขัน  ตอนที่บุตรชายหญิงของโยบจะไม่เดินบนเส้นทางเดียวกับที่เขาเดิน นี่คือท่าทีของเขา แล้วตอนที่บุตรชายหญิงของเขาเสียชีวิต ท่าทีของเขาเป็นอย่างไร?  เขาคร่ำครวญหรือไม่?  เขาระบายความรู้สึกของตนออกมาหรือไม่?  เขารู้สึกเสียใจหรือไม่?  พระคัมภีร์ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย  เมื่อโยบเห็นบุตรชายหญิงของตนเสียชีวิต เขารู้สึกใจสลายหรือโศกเศร้าไหม?  (เขารู้สึกเช่นนั้น)  หากพูดในแง่ของความรักใคร่เอ็นดูที่เขารู้สึกกับบุตรชายหญิงของตน แน่นอนว่าเขารู้สึกถึงความโศกเศร้าเล็กน้อยนั่นจริงๆ แต่เขาก็ยังคงนบนอบพระเจ้า  การนบนอบของเขาแสดงออกอย่างไร?  เขาพูดว่า “บุตรชายหญิงเหล่านี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานให้ฉัน  ไม่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ชีวิตของพวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าต้องประสงค์จะพรากพวกเขาไป พระองค์ก็ยังจะทรงทำเช่นนั้น หากพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังจะถูกพรากไปอยู่ดีหากพระเจ้าตรัสแล้วว่าพวกเขาจะถูกพรากไป  ทั้งหมดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า มิเช่นนั้นแล้วใครจะสามารถพรากชีวิตของผู้คนไปได้เล่า?”  สรุปสั้นๆ การนี้จะสื่อความหมายว่าอย่างไร?  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  เขาธำรงไว้ซึ่งท่าทีนี้ในหนทางที่เขาปฏิบัติต่อบุตรชายหญิงของตน  ไม่ว่าบุตรชายหญิงของตนจะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ยังคงมีท่าทีนี้  วิธีการปฏิบัติของเขาถูกต้อง โดยที่ในทุกหนทางที่เขาปฏิบัติ ในเรื่องของมุมมอง ท่าทีและสภาวะที่เขาใช้ในการปฏิบัติกับทุกสิ่ง เขาอยู่ในตำแหน่งและสภาวะแห่งการนบนอบ รอ แสวงหา แล้วก็สัมฤทธิ์ความรู้อยู่เสมอ  ท่าทีนี้สำคัญมาก  หากผู้คนไม่มีท่าทีประเภทนี้ในสิ่งอันใดที่พวกเขาทำเลย รวมทั้งมีแนวคิดส่วนตัวอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งและให้ความสำคัญกับเจตนาและประโยชน์ส่วนตัวก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด เช่นนั้นแล้วพวกเขากำลังนบนอบจริงๆ อย่างนั้นหรือ?  (ไม่)  ไม่สามารถมองเห็นการนบนอบอันจริงแท้ในตัวผู้คนเช่นนั้นได้ พวกเขาไม่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบอันจริงแท้ได้

ผู้คนบางคนไม่มุ่งความสนใจไปที่การแสวงหาหลักธรรมความจริงในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับพึ่งพาเจตจำนงของตนเองในการปฏิบัติตน  สิ่งใดเป็นการสำแดงทั่วไปที่พบมากที่สุดในใครบางคนที่มีแนวคิดส่วนตัวอันแข็งแกร่งเป็นพิเศษ?  ไม่สำคัญว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาย่อมคิดคำนวณสิ่งต่างๆ ในจิตใจของตนก่อน พินิจพิเคราะห์สิ่งทั้งปวงที่พวกเขาสามารถคิดออกมาได้ วางแผนอันละเอียดรอบคอบ  เมื่อพวกเขารู้สึกว่าแผนนั้นไม่มีข้อบกพร่อง พวกเขาก็ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของตนเองทั้งสิ้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือแผนของพวกเขาไม่สามารถตามทันการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ ดังนั้นในบางครั้งสิ่งต่างๆ จึงเกิดการผิดพลาด  อะไรคือปัญหาตรงนี้?  สิ่งต่างๆ เกิดการผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งเมื่อกระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเอง  ดังนั้น ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนควรที่จะนั่งลงและแสวงหาความจริงร่วมกัน อธิษฐานถึงพระเจ้า ขอการทรงนำจากพระองค์  ด้วยความรู้แจ้งของพระเจ้า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสว่าง และจัดเตรียมหนทางต่อไปข้างหน้า  นอกจากนี้ด้วยการไว้วางใจมอบหมายเรื่องต่างๆ ต่อพระเจ้า เคารพยกย่องพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ให้พระองค์ทรงนำทางเจ้า และให้พระองค์ทรงดูแลและคุ้มครองเจ้า—ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้—เจ้าจะมีการรับรองมากขึ้น และเจ้าจะไม่เผชิญกับปัญหาใหญ่อันใด  สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนคิดหาอยู่ในหัวสามารถเป็นไปตามข้อเท็จจริงได้อย่างสิ้นเชิงหรือ?  สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหรือ?  เป็นไปไม่ได้  หากเจ้าไม่พึ่งพิงและฝากความหวังไว้ที่พระเจ้าในเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และแค่ทำตามที่เจ้าปรารถนา เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมเพียงใด ย่อมจะมีช่วงเวลาที่เจ้าล้มเหลวอยู่เสมอ  ผู้คนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูกมักจะทำตามแนวคิดของตนเอง แล้วพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  ผู้คนที่มีแนวคิดส่วนตัวอันแข็งแกร่งย่อมลืมพระเจ้าเมื่อถึงเวลาลงมือกระทำ พวกเขาลืมการนบนอบพระเจ้า จนเมื่อพวกเขาถึงทางตันและล้มเหลวที่จะสำเร็จลุล่วงสิ่งอันใดแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขายังไม่ได้นบนอบพระเจ้า และยังไม่ได้อธิษฐานต่อพระเจ้า  นี่คือปัญหาอะไร?  นี่คือการที่พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน  การกระทำของพวกเขาบ่งชี้ว่าพระเจ้าทรงหายไปจากหัวใจของพวกเขา และพวกเขาพึ่งพาแต่ตัวเองเท่านั้น  ดังนั้น ไม่ว่าเจ้ากำลังทำงานของคริสตจักร ปฏิบัติหน้าที่ รับมือกับเรื่องราวภายนอกบางอย่าง หรือจัดการกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตส่วนตัวของเจ้า ย่อมต้องมีหลักธรรมอยู่ในหัวใจของเจ้า ย่อมต้องมีสภาวะ  สภาวะเช่นใด?  “ไม่สำคัญว่าจะเป็นสิ่งใด ก่อนที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นกับฉัน ฉันต้องอธิษฐาน ฉันควรที่จะนบนอบพระเจ้า และฉันก็ควรที่จะนบนอบต่ออธิปไตยของพระองค์  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้น ฉันต้องแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันต้องมีกรอบความคิดนี้ ฉันต้องไม่วางแผนของตัวเอง”  หลังจากที่ได้รับประสบการณ์นั้นมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ผู้คนจะเริ่มมองเห็นอธิปไตยของพระเจ้าในหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว  หากเจ้ามีแผน การพิจารณา ความพึงปรารถนา เหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัว และความอยากได้อยากมีของตัวเองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็ย่อมจะออกนอกลู่นอกทางจากพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว เจ้าย่อมจะมืดบอดต่อวิธีที่พระเจ้าทรงกระทำ และส่วนใหญ่แล้ว พระเจ้าจะทรงซ่อนเร้นจากเจ้า  เจ้าไม่ชอบทำสิ่งต่างๆ ตามแนวคิดของตัวเองหรอกหรือ?  เจ้าไม่วางแผนของตัวเองหรอกหรือ?  เจ้าคิดว่าเจ้ามีความรู้สึกนึกคิด เจ้ามีการศึกษา มีความรู้ เจ้ามีวิถีทางและวิธีการในการทำสิ่งต่างๆ เจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง เจ้าเก่ง เจ้าไม่ต้องการพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่า “เช่นนั้นก็จงไปทำการนั้นด้วยตัวเจ้าเองเถิด และรับผิดชอบไม่ว่าการนั้นจะเป็นไปด้วยดีหรือไม่ก็ตาม เราไม่ใส่ใจ”  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้า  เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้าตามเจตจำนงของตนเองในหนทางนี้และเชื่ออย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ ผลสืบเนื่องจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาไม่สามารถที่จะมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าได้เลย พวกเขาไม่สามารถมองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าได้เลย ไม่สามารถรู้สึกถึงความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เลย พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า  แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป?  หัวใจของพวกเขาจะอยู่ไกลจากพระเจ้าออกไปทุกที และจะมีผลกระทบทางอ้อม  ผลกระทบใด?  (การกังขาและการไม่ยอมรับพระเจ้า)  นี่ไม่ใช่แค่กรณีของการกังขาและการไม่ยอมรับพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าไม่ทรงมีพื้นที่ในหัวใจของผู้คน และพวกเขาทำตามที่พวกเขาปรารถนาในช่วงระยะยาว ความเคยชินย่อมจะกล้ำกรายเข้ามา กล่าวคือ  เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขา สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำก็คือคิดถึงทางออกของปัญหาของตนเองและกระทำการตามเจตนา จุดมุ่งหมาย และแผนของตนเอง ก่อนอื่นพวกเขาจะพิจารณาว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อพวกเขาหรือไม่ หากมีประโยชน์ พวกเขาก็จะทำสิ่งนี้ และหากไม่มีประโยชน์ พวกเขาก็จะไม่ทำ  การมุ่งตรงไปที่การเดินบนเส้นทางนี้จะกลายเป็นความเคยชินของพวกเขา  แล้วพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไรหากพวกเขากระทำการตามนั้นเรื่อยไปโดยปราศจากการกลับใจใหม่?  พระเจ้าจะไม่ใส่พระทัยพวกเขา และจะทรงวางพวกเขาไว้ข้างหนึ่ง  การถูกวางไว้ข้างหนึ่งหมายความว่าอย่างไร?  พระเจ้าจะไม่ทรงบ่มวินัยและไม่ทรงตำหนิพวกเขา พวกเขาจะตามใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปราศจากการพิพากษา การตีสอน การบ่มวินัย หรือการติติง นับประสาอะไรกับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง หรือการทรงนำ  นี่เองคือความหมายของการถูกวางไว้ข้างหนึ่ง  ใครบางคนรู้สึกอย่างไรเมื่อพระเจ้าทรงวางพวกเขาไว้ข้างหนึ่ง? จิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกมืดมน พระเจ้าไม่สถิตกับพวกเขา พวกเขารู้สึกไม่ชัดเจนเกี่ยวกับนิมิต พวกเขาไม่มีเส้นทางของการกระทำ และพวกเขาทำแต่เรื่องโง่เขลา  ขณะที่เวลาผ่านไปในหนทางนี้ พวกเขาคิดว่าชีวิตไม่มีความหมาย และจิตวิญญาณของพวกเขาว่างเปล่า ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นอย่างเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ และพวกเขาก็กลายเป็นเสื่อมถอยมากขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือบุคคลที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์  ผู้คนบางคนพูดว่า “เหตุใดฉันจึงรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าการทำหน้าที่ของฉันไร้ความหมาย ว่าฉันมีพลังน้อยลงทุกที?  เป็นอย่างไรหนอฉันจึงไม่มีแรงจูงใจ?  แรงจูงใจของฉันไปอยู่ไหนหนอ?”  มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “เป็นอย่างไรหนอ ยิ่งฉันเชื่อมานานเท่าใด ฉันก็ยิ่งคิดว่าฉันมีความเชื่อไม่มากเท่าที่ฉันเริ่มเชื่อในครั้งแรกมากขึ้นเท่านั้น?  ตอนที่ฉันเริ่มต้นเชื่อนั้น ฉันชื่นชมการอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าเป็นพิเศษ แล้วเป็นอย่างไรหนอฉันจึงไม่มีความรู้สึกถึงความชื่นชมยินดีนั้นอีกต่อไป?”  ความรู้สึกนั้นไปอยู่ที่ไหน?  พระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถรู้สึกถึงพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงกลายเป็นน่าสมเพชและเหี่ยวเฉา  เจ้าจะเหี่ยวเฉาถึงระดับใด?  เจ้ากลายเป็นไม่เข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าไม่มีสิ่งใดในหัวใจของเจ้าเลย และรูปลักษณ์ที่แย่และน่าสมเพชของเจ้าก็ปรากฏออกมา  การนี้ดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  แม้ว่าเจ้าจะยังคงเป็นคนเดิม หลังจากที่พระเจ้าทรงทอดทิ้งเจ้า เจ้าก็กลายเป็นโฉดเขลาและโง่เขลาเช่นนี้ และเจ้าไม่มีสิ่งใดเลย  นี่คือรูปลักษณ์ที่น่าสมเพชของพวกที่ผละจากพระเจ้าไป!  ณ จุดนี้ พวกเขาไม่คิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องดีอีกต่อไป  ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะคิดกับการนั้นอย่างไร พวกเขาย่อมไม่คิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นหนทางที่ถูกต้อง  ตามความเห็นของพวกเขานั้น ถนนเส้นนี้ไม่ไปไหนเลย และพวกเขาก็จะไม่เดินบนถนนเส้นนี้ไม่สำคัญว่าผู้ใดจะแนะนำพวกเขาให้ทำเช่นนั้น  พวกเขาไม่สามารถเชื่อต่อไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องวิ่งไปหาโลก สำหรับพวกเขาแล้ว การทำเงินและการได้รับความมั่งคั่งเป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขามี เป็นเส้นทางที่มีความเป็นจริงที่สุด  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าการส่งเสริมและความมั่งคั่ง ความสุขและความพึงพอใจ การให้เกียรติบรรพบุรุษของตน และความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในอาชีพการงาน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ แล้วพวกเขายังคงสามารถทำหน้าที่ของตนได้อยู่หรือ?  พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  หากใครบางคนมีเพียงความคิดเยี่ยงนี้ แต่ยังคงมีการเชื่อที่แท้จริงอยู่เล็กน้อย และพวกเขาก็เต็มใจที่จะไล่ตามไขว่คว้าอยู่ต่อไป เช่นนั้นแล้วท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาเป็นอย่างไร?  ตราบที่พวกเขามีความสามารถที่จะลงแรง เช่นนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็ย่อมจะให้โอกาสพวกเขา ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อแต่ละบุคคลนั้นไม่สูง  เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น?  ผู้คนมิได้ดำรงชีวิตในสุญญากาศ และไม่มีคนที่ไม่เสื่อมทรามเลย  มีใครบ้างที่ไม่มีแนวคิดขัดขืนพระเจ้า?  มีใครบ้างที่ยังไม่เคยกระทำผิดในการขัดขืนพระเจ้า?  มีใครบ้างที่ไม่มีสภาวะและพฤติกรรมของการกบฏต่อพระเจ้า?  หากจะก้าวไปอีกขั้น มีใครบ้างที่ยังไม่เคยมีแนวคิด ความคิด หรือสภาวะของการไม่เชื่อ ความกังขา ความเข้าใจผิด หรือการคาดคะเนบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า?  มีกันทุกคน  แล้วพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร?  พระองค์ทรงให้ความสนพระทัยกับสิ่งเหล่านี้อย่างมากหรือไม่?  พระองค์ไม่เคยทรงทำเช่นนั้น  พระเจ้าทรงทำเช่นใด?  ผู้คนบางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่า “ตราบที่ใครบางคนเชื่อในพระเจ้า พระองค์ย่อมจะทรงเปิดโปง พิพากษา ตีสอน และตัดแต่งพวกเขาอยู่เสมอ  พระองค์ไม่ทรงปล่อยมือจากผู้คน และพระองค์ก็ไม่ประทานอิสรภาพแห่งทางเลือกแก่พวกเขา”  เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและมาสู่พระนิเวศของพระองค์ล้วนแต่ทำเช่นนั้นโดยอิสระ ไม่มีใครสักคนในบรรดาพวกเขาที่ถูกบังคับ  ผู้คนบางคนสูญเสียความเชื่อไปแล้ว พวกเขาได้ปล่อยใจไปกับสรรพสิ่งทางโลก และไม่มีผู้ใดขวางกั้นพวกเขาหรืออิดออดไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกเขาไป  ทั้งในการมามีความเชื่อในพระเจ้าและการผละจากความเชื่อนั้น พวกเขาเป็นอิสระ  นอกจากนี้พระเจ้าก็ไม่ทรงบังคับขู่เข็ญผู้ใด  ไม่สำคัญว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อผู้คนจะเป็นอย่างไร พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาเลือกถนนที่พวกเขาปรารถนาจะเดิน และพระองค์ก็ไม่ทรงบังคับผู้ใด  ไม่สำคัญว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร หรือพระองค์ทรงชี้นำผู้คนและทรงนำผู้คนให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร พระเจ้าไม่เคยทรงบังคับขู่เข็ญผู้ใด  พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อจัดเตรียมให้กับมนุษย์และเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์อยู่เสมอ ทรงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอยู่เสมอ และเพื่ออำนวยให้ผู้คนเข้าใจความจริง  สิ่งใดคือจุดประสงค์เบื้องหลังการอำนวยให้ผู้คนเข้าใจความจริง?  (เพื่อที่พวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงได้)  หากเจ้ายอมรับความจริงและยอมรับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมมีวุฒิภาวะที่จะทานทนอุปนิสัยอันเป็นกบฏและเสื่อมทรามเหล่านี้ ทรรศนะของผู้ไม่เชื่อ และสภาวะที่ไม่ถูกต้องทุกจำพวก เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะแยกแยะสภาวะเหล่านี้ได้ เจ้าย่อมจะไม่ถูกชักพาให้หลงผิด  เมื่อใครบางคนเข้าใจความจริงทุกจำพวก พวกเขาย่อมไม่เข้าใจพระเจ้าผิด และพวกเขาย่อมเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์  อีกสิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขามีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ดี นอกจากนี้พวกเขาก็ใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ และมีความสามารถที่จะเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต  เมื่อใครบางคนเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต เป็นคำพยานที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรที่จะเป็น สามารถที่จะทำให้ซาตานปราชัยได้ในที่สุด มีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย มีการนบนอบและการยำเกรงพระเจ้าที่แท้จริง และกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน เช่นนั้นแล้วบุคคลเช่นนั้นย่อมบรรลุความรอดซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดแล้ว

29 กันยายน ค.ศ. 2017

ก่อนหน้า: ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยสุดหัวใจ จิตใจ และดวงจิตของตนเท่านั้นคือผู้ที่รักพระเจ้า

ถัดไป: การนบนอบพระเจ้าคือบทเรียนขั้นพื้นฐานในการได้รับความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger