พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่

บทตัดตอน 30

อะไรคือหน้าที่?  พระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้มนุษย์ทำคือหน้าที่ที่มนุษย์ควรปฏิบัติ  สิ่งใดที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำก็คือหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ  ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริงและไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม  จงอย่าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งที่อยู่ไกลตัวนั้นดีกว่าและดึงดันที่จะทำสิ่งที่ไม่เหมาะกับตนเอง  บางคนเหมาะที่จะให้ที่พักพิง แต่กลับยืนยันที่จะเป็นผู้นำ ในขณะที่บางคนเหมาะที่จะเป็นนักแสดง แต่กลับอยากเป็นผู้กำกับ  การพยายามไต่ขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป  คนเราต้องค้นหาบทบาทหน้าที่และฐานะของตนเองให้เจอ—นั่นคือสิ่งที่คนมีเหตุผลเขาทำกัน  จากนั้นพวกเขาก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยท่าทีที่มั่นคงหนักแน่นเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าและทำให้พระองค์พอพระทัย  หากคนเรามีท่าทีเช่นนี้ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน จิตใจของคนเราก็จะมั่นคงและสงบสุข พวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงในหน้าที่ของตนได้ และจะค่อยๆ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนตามข้อกำหนดของพระเจ้า  พวกเขาจะสามารถขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน นบนอบต่อทุกการจัดเตรียมของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ถึงมาตรฐาน  นี่คือหนทางที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  หากเจ้าสามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง เป็นทัศนคติที่รักพระองค์และทำให้พระองค์พอพระทัย เจ้าก็จะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยชี้แนะและนำทาง เจ้าจะเต็มใจปฏิบัติความจริงและทำตามหลักธรรมขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะกลายเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  ด้วยวิธีนี้เจ้าย่อมจะใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงโดยสมบูรณ์  ชีวิตของผู้คนค่อยๆ เติบโตเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  คนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่จะไม่สามารถได้รับความจริงและชีวิต ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม เพราะพวกเขาไม่มีพรจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงอวยพรแก่ผู้ที่สละตนเพื่อพระองค์อย่างแท้จริงและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถเท่านั้น  หน้าที่ใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถทำได้ จงถือว่านั่นคือความรับผิดชอบของเจ้า เป็นหน้าที่ของเจ้า ยอมรับเอาไว้ และทำให้ดี  การที่เจ้าจะทำให้ดีนั้นทำอย่างไร?  ด้วยการทำสิ่งนั้นๆ ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ทุกประการ—ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยพละกำลังทั้งหมดที่พวกเจ้ามี  เจ้าควรใคร่ครวญวจนะเหล่านี้และพิจารณาว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าได้อย่างไร  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเห็นใครสักคนกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างปราศจากหลักธรรม ทำอย่างไม่เอาใจใส่และตามเจตจำนงของตนเอง แล้วเจ้าคิดอยู่ในใจว่า “ฉันไม่สนใจ นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน” นี่ใช่การทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของตนหรือไม่?  ไม่ใช่ นี่คือการไม่รับผิดชอบ  หากเจ้าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เมื่อสถานการณ์เช่นนี้บังเกิดแก่เจ้า เจ้าย่อมจะพูดว่า “ทำอย่างนี้ไม่ได้  เรื่องนี้อาจไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของฉัน แต่ฉันสามารถแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้นำรู้และให้พวกเขาดำเนินการตามหลักธรรมได้”  หลังจากทำเช่นนั้นแล้ว  ทุกคนจะเห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่พอเหมาะพอควร หัวใจของเจ้าจะรู้สึกผ่อนคลาย และเจ้าจะได้ทำตามความรับผิดชอบของเจ้าได้อย่างสำเร็จลุล่วง  แล้วเจ้าก็จะได้ทำหน้าที่ของเจ้าด้วยทั้งหัวใจของเจ้า  ไม่สำคัญว่าหน้าที่ที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่คืออะไร หากเจ้าไม่เอาใส่ใจอยู่เสมอและเจ้าก็พูดว่า “หากฉันทำงานนี้ในหนทางที่เรียบง่าย แบบลวกๆ ฉันก็สามารถจับแพะชนแกะให้มันผ่านไป  สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีใครตรวจสอบอยู่ดี  ฉันทำได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่จะทำได้ด้วยความสามารถและทักษะเชิงวิชาชีพที่ฉันมีอยู่แบบจำกัด  แค่ทำให้เสร็จๆ ไปก็ดีพอแล้ว  อีกอย่าง ไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้หรือเอาอะไรจริงจังกับฉันหรอก—ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น” การมีเจตนานี้และกรอบความคิดนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าหรือไม่?  ไม่ใช่เลย นี่คือการทำตัวสุกเอาเผากิน และเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าโดยการพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าได้หรือ?  ไม่ได้ นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  ดังนั้น การทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ?  เจ้าจะต้องพูดว่า “แม้เบื้องบนยังไม่ได้สอบถามถึงงานชิ้นนี้ และมันดูไม่สำคัญมากนักเมื่อเทียบกับงานทั้งหมดในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็ยังจะทำให้ดีอยู่ดี—มันคือหน้าที่ของฉัน  งานชิ้นนั้นสำคัญหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ฉันสามารถทำมันให้ดีได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง”  อะไรเล่าที่สำคัญ?  การที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าได้หรือไม่ และการที่เจ้าสามารถยึดติดอยู่กับหลักธรรมและการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงได้หรือไม่  นี่เองที่เป็นสิ่งซึ่งสำคัญ  หากเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ประเภทหนึ่งได้ดีแล้ว แต่เจ้ายังไม่พึงพอใจและปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ชนิดอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าด้วยซ้ำ และเจ้าสามารถปฏิบัติได้ดี เช่นนั้นเจ้าก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าในระดับที่สูงกว่าเดิมด้วยซ้ำ  ดังนั้น หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า การนี้แสดงนัยอะไรหรือ?  ในแง่หนึ่ง การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้า ในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าเจ้าได้ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าแล้ว หมายความว่าเจ้าไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของเจ้าเพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็น หรือตามแต่ที่เจ้ายินดี หรือไม่ก็ทำไปตามการเลือกชอบของตนเอง—แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับกำลังถือว่านั่นเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า และเจ้ากำลังทำด้วยความรับผิดชอบนั้นและหัวใจ ไม่ใช่ทำตามเจตจำนงของเจ้าเอง แต่ทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าโดยทั้งสิ้น  เจ้ากำลังใส่หัวใจทั้งดวงของเจ้าลงไปในหน้าที่ของเจ้า—นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่  เมื่อความยากลำบากบางอย่างตกมาถึงพวกเขา พวกเขาพร่ำบ่น และพวกเขาก็โวยวายเกี่ยวกับ ผลประโยชน์ ผลกำไรและผลขาดทุนส่วนตนอยู่เสมอ  พวกเขาคิดว่า “หากฉันปฏิบัติงานได้ดีตามที่ผู้นำมอบให้ ก็จะนำพาเกียรติและสง่าราศีมาสู่พวกเขา ว่าแต่ใครเล่าจะจดจำฉัน จะไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นผู้ทำงานนั้น แล้วผู้นำจะได้รับความน่าเชื่อถือสำหรับงานนั่นไปทั้งหมด  การปฏิบัติหน้าที่ของฉันในหนทางนี้ไม่ใช่การรับใช้ผู้อื่นหรอกหรือ?”  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด นี่คือความเป็นกบฏ—ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกไร้สาระ  พวกเขาไม่เข้าใจพระบัญชาของพระเจ้าในทางที่ถูกต้องเลย  พวกเขาต้องการเสมอที่จะอยู่ในตำแหน่งผู้มีสิทธิอำนาจ เพื่อให้ได้รับความน่าเชื่อถือและบำเหน็จ และเพื่อทำให้ตนเองดูดีอยู่เสมอ  เหตุใดพวกเขาจึงมุ่งเน้นชื่อเสียงและผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา?  นั่นแสดงให้เห็นว่าความอยากที่พวกเขามีต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้นกล้าแข็งเกินไป และพวกเขาไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์เบื้องลึกในหัวใจของบุคคลทุกคน  ผู้คนเหล่านี้ขาดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงลงความเห็นตัดสินบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่พวกเขามองเห็นได้ด้วยตาของตนเอง ซึ่งนำพวกเขาไปสู่การสร้างทรรศนะที่ผิดพลาด  ผลสืบเนื่องก็คือพวกเขากลายเป็นคิดลบและหย่อนยานในงานของตน และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ด้วยหัวใจทั้งดวงและพละกำลังทั้งหมดของตน  เพราะพวกเขาขาดความเชื่อที่แท้จริง และพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์เบื้องลึกในหัวใจของผู้คน พวกเขาจึงมุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อให้ผู้อื่นเห็น มุ่งเน้นการทำให้ผู้อื่นรู้ถึงความทุกข์และความยากลำบากที่พวกเขาสู้ทน และมุ่งเน้นการแสวงหาการสรรเสริญและความเห็นชอบจากเหล่าผู้นำและคนทำงาน  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติหน้าที่มีความคุ้มค่าก็ต่อเมื่อพวกเขาทำในลักษณะนี้เท่านั้น และมีสง่าราศีก็ต่อเมื่อทุกคนมองเห็นพวกเขาเทำเท่านั้น  นี่ไม่ชั่วช้าหรือ?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เพียงไม่มีความเชื่อเท่านั้น พวกเขายังไม่ยอมรับหรือเข้าใจความจริงเลยสักนิดอีกด้วย  ผู้คนแบบนี้สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีได้อย่างไร?  อุปนิสัยของพวกเขาไม่มีปัญหาหรือ?  หากเจ้าพยายามสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับความจริง และพวกเขายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นพวกเขาก็มีอุปนิสัยที่ชั่ว  พวกเขาล้มเหลวในการใส่ใจในความรับผิดชอบที่ถูกต้องเหมาะสมของตน และไม่ยึดมั่นต่อหน้าที่ของตน  ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็ต้องถูกกำจัดออกไป  บรรดาผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องเป็นคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาจะต้องมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล และพวกเขาจะต้องสามารถนบนอบต่อทุกการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  พระเจ้าประทานขีดความสามารถและของประทานที่แตกต่างให้แก่ผู้คนแตกต่างกัน  และผู้คนที่แตกต่างกันก็เหมาะดีที่สุดที่จะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันออกไป  เจ้าต้องไม่เรื่องมากและเลือกหน้าที่ตามพื้นฐานการเลือกชอบของตน เลือกปฏิบัติเฉพาะหน้าที่ที่ง่ายและสบายซึ่งตรงตามความปรารถนาของตนเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ผิด  นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ด้วยหัวใจของเจ้าทั้งดวง และนี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่  สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ก็คือใส่หัวใจทั้งดวงของเจ้าลงไปในนั้นด้วย  ต่อจากนั้นไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นงานชิ้นใหญ่หรืองานชิ้นเล็ก งานที่สกปรกหรือที่น่าเหน็ดเหนื่อย งานที่ทำต่อหน้าผู้อื่นหรือที่ทำนอกสายตา งานชิ้นสำคัญหรืองานชิ้นที่ไม่สำคัญ เจ้าก็ควรถือว่านั่นเป็นหน้าที่ของเจ้าและยึดติดอยู่กับหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า ด้วยจิตใจทั้งหมดของเจ้า และด้วยพละกำลังทั้งหมดของเจ้า  หากหลังจากปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว เจ้าจบลงด้วยความรู้สึกว่ามโนธรรมของเจ้ายังไม่ชัดเจนครบบริบูรณ์เกี่ยวกับงานบางส่วนที่เจ้าได้ทำไป และรู้สึกว่าแม้เจ้าได้ใส่หัวใจทั้งดวงของเจ้าลงไปในนั้นแล้ว เจ้าก็ยังทำงานบางส่วนได้ไม่ดี และผลลัพธ์ของความพยายามของเจ้านั้นไม่ดีเท่าไร เจ้าควรทำอย่างไรเล่า?  บางคนจะคิดว่า “เอาเถอะ ฉันได้ใส่หัวใจลงไปในหน้าที่ของฉันแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าไร นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน ตอนนี้มันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว”  นี่เป็นทรรศนะประเภทใดหรือ?  ใช่ทรรศนะที่ถูกต้องหรือ?  พวกเขาไม่ได้กำลังสละตนเองเพื่อพระเจ้าเพราะพวกเขาไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขายังคงมีมุมมองที่สุกเอาเผากินต่อหน้าที่ของตน  ดูเหมือนว่าผู้คนประเภทนี้ไม่มีหัวใจ เมื่อพวกเราพูดถึงการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า นั่นหมายถึงการใช้ทั้งหัวใจของเจ้า—เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าโดยครึ่งหัวใจไม่ได้ เจ้าควรเด็ดเดี่ยว ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างใส่ใจ และอุทิศตนโดยการนำท่าทีแบบรับผิดชอบมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าชิ้นงานทั้งหลายทำเสร็จไปได้ด้วยดีและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่เจ้าควรที่จะสัมฤทธิ์  ถึงตอนนั้นเท่านั้นสามารถเรียกการนี้ได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจทั้งดวงของคนเรา  หากเจ้าเห็นว่าผลลัพธ์ของงานของเจ้าไม่ดีเท่าไร และเจ้าก็คิดในใจว่า “ฉันได้ทำดีที่สุดแล้ว ฉันเสียสละเวลานอน อดอาหารบางมื้อ และนอนดึก บางครั้งก็ยังอยู่รั้งท้ายในขณะที่คนอื่นออกไปพักผ่อนและเดินเล่นกันแล้ว  ฉันได้สู้ทนกับความยากลำบากและไม่ลุ่มหลงในสิ่งชูใจทางเนื้อหนัง  นั่นหมายความว่าฉันได้ทำหน้าที่ของฉันด้วยหัวใจทั้งดวงของฉันแล้ว”  นี่เป็นทรรศนะที่ถูกต้องหรือ?  เจ้าได้ทุ่มเทเวลาและมานะพยายามไปแล้ว  โดยผิวเผิน ดูเหมือนเจ้าผ่านการเคลื่อนไหวเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่เจ้าได้มานั้นกลับไม่ดี และเจ้าไม่ยอมรับความรับผิดชอบต่อการนี้ และเจ้าก็ไม่สนใจ  นี่ใช่การทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้าหรือ?  (ไม่ใช่)  นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาว่าบุคคลหนึ่งกำลังทำบางสิ่งด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเขาหรือไม่นั้น พระองค์ทรงมองที่สิ่งใด?  ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงมองว่าเจ้าเข้าหาสิ่งนั้นด้วยท่าทีที่มีมโนธรรมและรับผิดชอบหรือไม่  ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ก็ทรงมองว่าเจ้ากำลังคิดอะไรขณะที่เจ้าทำหน้าที่ ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติอย่างใส่ใจหรือไม่ และว่าเจ้ากำลังทำหน้าที่อย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ และว่าเมื่อความยากลำบากตกมาถึงเจ้า เจ้ากำลังแสวงหาความจริงโดยเจตนาที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหลายเพื่อให้เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีหรือไม่  ในขณะที่มนุษย์ทำสิ่งทั้งหลาย พระเจ้าก็ทรงเฝ้าดูและพินิจพิเคราะห์อยู่ พระองค์ทรงเฝ้าดูหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา  แม้ผู้คนไม่รู้ แต่บางคราวพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  บางคนสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตนเสมอ และในท้ายที่สุด พระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อที่จะเผยพวกเขาออกมา เมื่อถึงจุดนั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงการทอดทิ้งของพระองค์ และทุกคนมองเห็นว่าพวกเขาไม่มีความคล้ายคลึงกับบรรดาผู้เชื่อ—พวกเขากลับเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ พวกมาร และเหล่าซาตานทั้งหลาย  ผู้คนจำพวกนี้ย่อมถูกกำจัดออกไปในช่วงระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ผู้คนบางคนมักทบทวนตนเองอยู่บ่อยๆ ขณะปฏิบัติหน้าที่  บางครั้งพวกเขาได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี หรือมีปัญหาเกิดขึ้น และพวกเขารู้สึกได้ในหัวใจของพวกเขา และคิดว่า “ฉันกำลังสุกเอาเผากินอีกแล้วหรือเปล่า?”  พวกเขารู้สึกถูกตำหนิ  นี่เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ?  นี่เกิดขึ้นโดยพระเจ้า เป็นความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงกำลังทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า?  พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าบนพื้นฐานใด?  พระองค์กำลังทรงตำหนิเจ้าในบริบทใดหรือ?  เจ้าต้องมีกรอบความคิดที่ถูกต้องและพูดว่า  “ฉันต้องทำหน้าที่ของฉันด้วยหัวใจของฉันทั้งดวง และนั่นหมายถึงการทำหน้าที่โดยสอดคล้องกับความจริง  ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันด้วยหัวใจทั้งดวงของฉันแล้วหรือยัง?”  หากเจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่เสมอ พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทำให้เจ้าเข้าใจ  “ฉันไม่ได้ทำงานชิ้นนั้นด้วยหัวใจทั้งดวงของฉัน  ฉันคิดว่าฉันกำลังทำได้ค่อนข้างดี ฉันน่าจะให้คะแนนตนเอง 99 เต็ม 100  แต่ตอนนี้ฉันเห็นว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสักเท่าไร—แท้จริงแล้วมันยังแทบไม่พอเลย”  เพียงเท่านี้เจ้าก็จะค้นพบความไม่พึงพอพระทัยของพระเจ้า  นี่คือการที่พระเจ้ากำลังทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าดีเท่าไรและเจ้ายังคงห่างจากข้อพึงประสงค์ของพระองค์เท่าไร  หากใครสักคนตกลงไปอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติหน้าที่ของตน พระเจ้าจะยังคงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาหรือไม่?  อาจจะไม่  พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ใครบ้าง?  อันดับแรกคือบรรดาผู้ที่รักความจริง อันดับสองคือผู้ที่มีท่าทีนบนอบ อันดับสาม บรรดาผู้ที่ถวิลหาความจริง และอันดับสี่ บรรดาผู้ที่ตรวจสอบและทบทวนตนเองในทุกด้าน  นี่คือประเภทของผู้คนที่สามารถได้รับความรู้แจ้งของพระเจ้า  โดยการปฏิบัติและรับประสบการณ์ในหนทางนี้ ประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าในการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของเจ้า—แง่มุมนี้ของการปฏิบัติความจริงและแง่มุมนี้ของความเป็นจริง—จะเติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยไป  เจ้าจะเริ่มเข้าใจชัดเจนไปทีละน้อยว่าผู้คนใดทำหน้าที่ด้วยหัวใจทั้งดวงของตนและผู้คนใดที่ไม่ทำ รวมถึงท่าทีและพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลอันหลากหลายที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่  เมื่อเจ้ารู้จักตนเอง เจ้าจะสามารถหยั่งรู้ผู้อื่น และเจ้าจะกลายเป็นคนที่ละเอียดลออในการทำหน้าที่ของเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  การสุกเอาเผากินแม้เพียงเล็กน้อยย่อมจะไม่รอดจากการสังเกตของเจ้า และเจ้าจะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมันได้  เจ้าจะสามารถรับมือสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ เจ้าจะปฏิบัติความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และหัวใจของเจ้าจะมั่นคงและมีสันติสุข  หากวันหนึ่งเจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี เจ้าควรทำเช่นไรเล่า?  เจ้าต้องไตร่ตรองการนี้ ค้นหาข้อมูล และแสวงหาคำแนะนำจากผู้อื่น แล้วเจ้าจะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อนเจ้าทันรู้ตัว  นี่จะไม่ช่วยเหลือเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรอกหรือ?  (ช่วย)  มันจะเป็นประโยชน์  จะเป็นเช่นนี้ไม่ว่าหน้าที่ที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่นั้นคืออะไร  ตราบใดที่ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเขา แสวงหาหลักธรรมความจริง และพากเพียรในความพยายาม พวกเขาก็จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้ในที่สุด

บทตัดตอน 31

เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะสุกเอาเผากินในเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่คือหนึ่งในปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด  หากผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาต้องจัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความสุกเอาเผากินนี้เสียก่อน  ตราบใดที่พวกเขามีท่าทีที่สุกเอาเผากินเช่นนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าการแก้ไขปัญหาความสุกเอาเผากินนี้สำคัญอย่างที่สุด  ดังนั้นพวกเขาควรปฏิบัติอย่างไร?  ก่อนอื่นพวกเขาต้องแก้ไขปัญหาด้านสภาวะจิตใจของพวกเขา พวกเขาต้องจัดการหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง และทำสิ่งต่างๆ ด้วยความจริงจังและสำนึกของความรับผิดชอบ  พวกเขาไม่ควรเจตนาที่จะใช้เล่ห์ลวงหรือสุกเอาเผากิน  คนเราปฏิบัติหน้าที่เพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากผู้คนสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า พวกเขาก็จะมีสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากทำบางสิ่งบางอย่าง ผู้คนต้องตรวจสอบและคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งนั้น และหากพวกเขายังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยภายในหัวใจของตน และหลังจากตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว พวกเขาพบว่ามีปัญหาอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลง ทันทีที่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกผ่อนคลายในหัวใจของพวกเขา  เมื่อผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ นี่ย่อมพิสูจน์ว่ามีปัญหาอยู่ และพวกเขาต้องตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาทำลงไปอย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะที่เป็นกุญแจสำคัญ  นี่คือท่าทีที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  เมื่อคนเราสามารถเอาจริงเอาจัง มีความรับผิดชอบ และมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา งานนั้นจะเสร็จสิ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม  บางครั้งเจ้าอยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ถูกต้อง และไม่สามารถพบเจอและค้นพบความผิดพลาดซึ่งชัดเจนมาก  หากเจ้ามีสภาวะจิตใจที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว ด้วยความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็จะสามารถระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเจ้าและได้ทรงมอบการตระหนักรู้หนึ่งให้เจ้า เปิดโอกาสให้เจ้ารู้สึกถึงความชัดเจนที่หัวใจและรู้ว่าความผิดพลาดอยู่ที่ไหน เจ้าก็จะสามารถแก้ไขความเบี่ยงเบนให้ถูกต้องและเพียรพยายามเพื่อหลักธรรมความจริงได้  หากเจ้าอยู่ในสภาวะจิตใจที่ไม่ถูกต้อง และหากเจ้าใจลอยและไม่เอาใจใส่ เจ้าจะสามารถสังเกตเห็นความผิดพลาดนั้นได้หรือไม่?  เจ้าย่อมจะไม่สามารถ  สิ่งที่เห็นได้จากการนี้คืออะไร?  นี่แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้คนทำในส่วนของตนเองนั้นสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี สภาพจิตใจทั้งหลายของพวกเขาสำคัญมาก และความคิดและแนวคิดของพวกเขามุ่งตรงไปยังที่ใดก็สำคัญมาก  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และสามารถทอดพระเนตรเห็นผู้คนอยู่ในสภาพจิตใจเช่นไร และพวกเขาทุ่มเทพลังงานมากเพียงใดระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน  การที่ผู้คนใส่หัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญอย่างยิ่ง  การที่พวกเขาทำในส่วนของตนเองก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง  ผู้คนจะกระทำการด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ก็ต่อเมื่อพวกเขาเพียรพยายามที่จะไม่เสียใจเกี่ยวกับหน้าที่ที่พวกเขาทำเสร็จสิ้นแล้วและสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป และไม่เป็นหนี้ต่อพระเจ้า  หากเจ้าล้มเหลวเป็นนิตย์ในการทุ่มเทหัวใจและแรงกายทั้งหมดของเจ้าลงไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หากเจ้าสุกเอาเผากินตลอดเวลา และก่อความเสียหายใหญ่โตให้แก่งาน และห่างไกลจากผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เช่นนั้นแล้วมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถเกิดขึ้นกับเจ้าได้ นั่นคือ เจ้าจะถูกกำจัดออกไป  แล้วจะยังมีเวลาให้เสียใจอยู่อีกหรือ?  ย่อมจะไม่มี  การกระทำเหล่านี้จะกลายเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์ เป็นความด่างพร้อย!  การสุกเอาเผากินตลอดเวลาคือรอยด่าง เป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง—ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เจ้าต้องเพียรพยายามที่จะดำเนินการตามภาระหน้าที่ของเจ้าและตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าควรที่จะทำ ด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า เจ้าต้องไม่สุกเอาเผากิน หรือทิ้งความเสียใจใดๆ  เอาไว้  หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ พระเจ้าย่อมจะทรงจดจำหน้าที่ที่เจ้าทำ  สิ่งที่พระเจ้าทรงจดจำนั้นคือความประพฤติดีงาม  เช่นนั้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงจดจำ?  (คือการฝ่าฝืนและความประพฤติชั่ว)  เจ้าอาจจะไม่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความประพฤติชั่วหากพรรณนาสิ่งเหล่านั้นด้วยเหตุนั้นในปัจจุบัน แต่หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อมีผลสืบเนื่องร้ายแรงต่อสิ่งเหล่านั้น และสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดอิทธิพลด้านลบ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสำนึกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนด้านพฤติกรรม แต่เป็นความประพฤติชั่ว  เมื่อเจ้าตระหนักถึงการนี้ เจ้าจะเสียใจ และคิดกับตัวเจ้าเองว่า “ฉันควรได้กันเอาไว้ก่อน!  ด้วยความคิดและความพยายามอีกนิดหน่อยตั้งแต่แรก ก็คงจะสามารถหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องนี้ได้”  ไม่มีสิ่งใดที่จะลบรอยเปรอะเปื้อนชั่วนิรันดร์นี้จากหัวใจของเจ้า และหากการนั้นทิ้งให้เจ้าเป็นหนี้ถาวร เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเดือดร้อน  ดังนั้นวันนี้เจ้าจึงต้องเพียรพยายามทุ่มเทหัวใจและแรงกายทั้งหมดของเจ้าลงไปในพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน ปราศจากความเสียใจใดๆ และในรูปแบบที่พระเจ้าจะทรงจดจำ  ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่าสุกเอาเผากิน  หากเจ้าทำผิดพลาดด้วยความคิดชั่วแล่น และนั่นเป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง นี่จะกลายเป็นความด่างพร้อยชั่วนิรันดร์  ทันทีที่เจ้ามีความเสียใจ เจ้าจะไม่สามารถชดเชยความเสียใจเหล่านี้ได้ และนั่นจะเป็นความเสียใจอย่างถาวร  ควรมองเส้นทางทั้งสองนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน  เจ้าควรเลือกเส้นทางใดเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า?  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเจ้า และการตระเตรียมและการสะสมความประพฤติดีงาม โดยไม่มีการเสียใจใดๆ  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าทำความชั่วที่จะก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น จงอย่าทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับความจริงและเป็นการต้านทานพระเจ้า และอย่าทำให้เกิดความเสียใจไปตลอดชีวิต  เกิดอะไรขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้กระทำการฝ่าฝืนมากเกินไป?  พวกเขากำลังทำให้พระโมหะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นในการทรงสถิตของพระองค์!  หากเจ้าฝ่าฝืนตลอดไป และพระพิโรธที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าใหญ่หลวงยิ่งขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะถูกลงโทษ

จากภายนอก ตลอดเวลาที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนบางคนไม่ได้ดูเหมือนว่ามีปัญหาร้ายแรงอันใด  พวกเขาไม่ได้ทำชั่วอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่มีความผิดพลาดหรือปัญหาใหญ่โตอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมเกิดขึ้น แต่กระนั้น โดยไม่ได้ตระหนัก ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเขากลับถูกเปิดเผยว่าไม่ได้ยอมรับความจริงเลย และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ไม่เชื่อ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นประเด็นปัญหาได้ แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนในสุดของผู้คนเหล่านี้ และพระองค์ทอดพระเนตรเห็นปัญหาดังกล่าว  พวกเขาทำอย่างขอไปทีและไม่สำนึกกลับใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงถูกเปิดเผยเป็นธรรมดา  การที่ยังคงไม่กลับใจหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าแม้พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนมาโดยตลอด แต่พวกเขากลับมีท่าทีผิดๆ ต่อหน้าที่เหล่านั้นอยู่เสมอ ท่าทีของการขอไปที ท่าทีลำลองตามสบาย และพวกเขาไม่เคยมีมโนธรรมเลย นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมอบหัวใจทั้งหมดของพวกเขาให้กับหน้าที่ของตน  พวกเขาอาจทุ่มความพยายามเล็กน้อย แต่พวกเขาก็แค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธี  พวกเขาไม่ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาให้กับหน้าที่ของตน และการฝ่าฝืนของพวกเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยกลับใจ พวกเขาทำอย่างขอไปทีเสมอมา และไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงอันใดในตัวพวกเขา—นั่นคือ พวกเขาไม่ปล่อยวางความชั่วในมือของพวกเขาและกลับใจต่อพระองค์  พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เห็นท่าทีแห่งการกลับใจใหม่ในตัวพวกเขา และพระองค์ทอดพระเนตรไม่เห็นการพลิกกลับในท่าทีของพวกเขา  พวกเขายืนกรานเกี่ยวกับหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาของพระเจ้าด้วยท่าทีและวิธีการเช่นนั้น  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอันดื้อดึงและหัวแข็งนี้โดยตลอด และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า ไม่เคยรู้สึกว่าการขอไปทีของพวกเขาเป็นการฝ่าฝืน การทำชั่ว  ในหัวใจของพวกเขา ไม่มีความเป็นหนี้เลย ไม่มีความรู้สึกผิดเลย ไม่มีการตำหนิตนเองเลย และนับประสาอะไรที่จะมีการกล่าวหาตนเอง  และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าบุคคลประเภทนี้เกินกว่าจะเยียวยาได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนากี่คำหรือพวกเขาเข้าใจความจริงมากเพียงใด หัวใจของพวกเขาไม่ได้รับการดลใจและท่าทีของพวกเขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนหรือกลับตัว  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนี้และตรัสว่า “ไม่มีความหวังใดเลยสำหรับบุคคลผู้นี้  ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดสัมผัสหัวใจของพวกเขา และไม่มีสิ่งใดเลยที่เราพูดที่ทำให้พวกเขากลับตัว  ไม่มีวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงพวกเขา  บุคคลนี้ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่เหมาะที่จะออกแรงทำงานในบ้านของเรา”  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนและทำงาน พวกเขาสุกเอาเผากินอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งมากเพียงใด และไม่ว่าจะหยิบยื่นความอดกลั้นและอดทนให้พวกเขามากเพียงใด นั่นไม่มีผลใดเลยและไม่สามารถทำให้พวกเขาสำนึกกลับใจหรือเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง  นั่นไม่สามารถทำให้พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีได้ นั่นไม่สามารถเปิดโอกาสให้พวกเขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้  ดังนั้นบุคคลผู้นี้จึงเกินเยียวยา  เมื่อพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาว่าบุคคลนี้เกินกว่าจะเยียวยา พระองค์จะยังคงทรงควบคุมเขาอย่างเข้มงวดหรือไม่?  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  พระเจ้าจะทรงปล่อยพวกเขาไป  ผู้คนบางคนขอร้องอยู่เสมอว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างเบามือเถิด อย่าทรงทำให้ข้าพระองค์ทนทุกข์เลย อย่าทรงบ่มวินัยข้าพระองค์เลย  ขอทรงโปรดมอบอิสรภาพให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด!  ขอทรงโปรดปล่อยให้ข้าพระองค์ทำสิ่งทั้งหลายอย่างขอไปทีสักเล็กน้อยเถิด!  ขอทรงโปรดปล่อยให้ข้าพระองค์ทำตัวเหลวไหลสักเล็กน้อยเถิด!  ขอทรงโปรดปล่อยให้ข้าพระองค์เป็นเจ้านายของตัวเองเถิด!”  พวกเขาไม่ต้องการที่จะถูกเหนี่ยวรั้ง  พระเจ้าตรัสว่า “เนื่องจากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว เราจะปล่อยเจ้าไป  เราจะให้อิสระอย่างเต็มที่แก่เจ้า  จงไปทำสิ่งที่เจ้าต้องการ  เราจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด ด้วยเหตุที่เจ้าเกินกว่าจะเยียวยา”  พวกที่เกินกว่าจะเยียวยามีสำนึกมโนธรรมอันใดหรือไม่?  พวกเขามีสำนึกถึงความเป็นหนี้อันใดหรือไม่?  พวกเขามีสำนึกถึงการกล่าวหาอันใดหรือไม่?  พวกเขามีความสามารถที่จะสำนึกถึงการตำหนิ การบ่มวินัย การเฆี่ยนตี และการพิพากษาของพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการนั้นได้  พวกเขาไม่ตระหนักถึงสิ่งอันใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เลือนรางในหัวใจของพวกเขา หรือแม้กระทั่งไม่มีอยู่  เมื่อบุคคลได้มาถึงช่วงระยะนี้ โดยที่พระเจ้าไม่ทรงอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป พวกเขายังคงสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้หรือไม่?  นั่นยากลำบากที่จะพูด  เมื่อความเชื่อของคนเราได้มาถึงจุดดังกล่าว พวกเขาก็อยู่ในอันตราย  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร พวกเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร และพวกเจ้าควรเลือกเส้นทางใด เพื่อหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องที่ตามมานี้และประกันว่าสภาวะเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น?  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อันดับแรกต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเจ้าควรปฏิบัติ ณ ปัจจุบันให้ดี  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่สุด  พวกเจ้าควรแสวงหาความจริงและเพียรพยายามเพื่อให้ได้เกณฑ์มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางที่ถึงมาตรฐาน  นั่นเพราะสิ่งนี้สะท้อนความผูกพันที่เชื่อมโยงเจ้ากับพระเจ้าได้อย่างชัดเจนที่สุดถึงวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อเรื่องทั้งหลายที่พระเจ้าไว้วางพระทัยเจ้า และหน้าที่ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้เจ้า และท่าทีที่เจ้ามี  สิ่งที่สังเกตเห็นได้มากที่สุดและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดคือประเด็นปัญหานี้  พระเจ้ากำลังทรงรอ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะเห็นท่าทีของเจ้า  ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งนี้ เจ้าควรเร่งรีบและแสดงจุดยืนของเจ้าให้พระเจ้าทรงรับรู้ ยอมรับพระบัญชาของพระองค์ และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  เมื่อเจ้าจับความเข้าใจจุดที่สำคัญยิ่งนี้และลุล่วงพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้าได้ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติ  หากเมื่อพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายกิจหนึ่งให้กับเจ้า หรือรับสั่งเจ้าให้ปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง ท่าทีของเจ้าเป็นแบบขอไปทีและไม่ยินดียินร้าย และเจ้าไม่ได้ปฏิบัติอย่างตั้งใจจริงจัง นี่ไม่ได้ตรงกันข้ามกับการมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าอย่างแท้จริงหรอกหรือ?  เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีในหนทางนี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  เจ้าจะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจนถึงจุดที่ได้มาตรฐาน  ดังนั้นท่าทีของเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมทั้งวิธีการและเส้นทางที่เจ้าเลือกด้วย  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม คนที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีย่อมจะถูกกำจัดออกไป

บทตัดตอน 32

ผู้คนมากมายปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่สุกเอาเผากิน ไม่เคยจริงจังกับการนั้นเลย ราวกับว่าพวกเขากำลังทำงานให้ผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่หยาบ ผิวเผิน ไม่แยแส และเลินเล่อ ราวกับว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องตลก  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่ออกแรงทำงาน ผู้ไม่เชื่อที่ปฏิบัติหน้าที่  ผู้คนเหล่านี้ขี้โกงมากเหลือเกิน พวกเขาเหลวแหลกและไม่มีการยับยั้งชั่งใจ และพวกเขาไม่แตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ  เมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายเพื่อตนเอง พวกเขาจะไม่สุกเอาเผากินอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่เอาจริงเอาจังหรือขยันเลยแม้แต่น้อยเมื่อถึงคราวปฏิบัติหน้าที่ของตน?  สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ หน้าที่ใดก็ตามที่พวกเขาปฏิบัติ ย่อมมีคุณสมบัติของการทำเป็นเล่นและการสร้างปัญหา  ผู้คนเหล่านี้สุกเอาเผากินอยู่เสมอและมีคุณสมบัติของการหลอกลวงในตัวพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน และพวกเขาก็ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลในระดับต่ำที่สุด  พวกเขาต้องถูกบริหารจัดการและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องเหมือนกับลาป่าหรือม้าป่า  พวกเขาหลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพระนิเวศของพระเจ้า  นี่หมายความว่าพวกเขามีการเชื่อในพระองค์อย่างจริงใจบ้างหรือไม่?  พวกเขากำลังสละตนเองเพื่อพระองค์หรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาต่ำกว่ามาตรฐานและการลงแรงของพวกเขาก็ไม่ถึงมาตรฐาน  หากคนอื่นจ้างผู้คนเช่นนี้ให้ทำงาน พวกเขาย่อมจะถูกไล่ออกภายในสองสามวัน  ในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นการถูกต้องทั้งหมดที่จะกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนออกแรงทำงานและคนทำงานที่เป็นผู้รับจ้าง และพวกเขาสามารถถูกกำจัดออกไปเท่านั้น  ผู้คนจำนวนมากสุกเอาเผากินอยู่บ่อยๆ ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน  เมื่อเผชิญหน้ากับการถูกตัดแต่ง พวกเขายังคงไม่ยอมที่จะยอมรับความจริง โต้แย้งด้วยประเด็นของพวกเขาอย่างดื้อดึง และถึงกับบ่นว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรมต่อพวกเขา ไร้ซึ่งความกรุณาและความใจกว้าง  นี่ไม่มีเหตุผลมิใช่หรือ?  กล่าวอย่างไม่มีอคติมากขึ้นก็คือ นี่เป็นอุปนิสัยอันโอหัง และพวกเขาไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลแม้เพียงเล็กน้อย  ผู้คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงต้องสามารถยอมรับความจริงได้และสามารถทำสิ่งทั้งหลายได้โดยไม่ละเมิดมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างน้อย  ผู้คนที่ไม่สามารถยอมรับหรือนบนอบต่อการถูกตัดแต่งนั้นโอหังเกินไป คิดว่าตนเองถูก และไม่มีเหตุผลอย่างแท้จริง  การเรียกพวกเขาว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเพราะว่าพวกเขาไม่แยแสโดยสิ้นเชิงกับทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตรงตามที่พวกเขายินดีพอใจและปราศจากการคำนึงถึงผลที่ตามมา หากมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ  การลงแรงของผู้คนเช่นนี้ไม่ถึงมาตรฐาน  เพราะว่าพวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนในหนทางนี้ คนอื่นจึงไม่สามารถทนดูพวกเขาได้และไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวพวกเขา  เช่นนั้นแล้วพระเจ้าสามารถมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวพวกเขาได้หรือไม่?  เนื่องจากไม่ถึงแม้กระทั่งมาตรฐานขั้นต่ำนี้ การลงแรงของพวกเขาจึงไม่ถึงมาตรฐาน และพวกเขาก็สามารถถูกกำจัดออกไปได้เท่านั้น  ผู้คนบางคนสามารถโอหังและคิดว่าตนเองถูกได้ถึงเพียงใด?  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งใดก็ได้ ไม่ว่าสิ่งใดได้ถูกจัดแจงเตรียมการไว้สำหรับพวกเขาก็ตาม พวกเขากล่าวว่า “เรื่องนี้ง่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่  ฉันสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้  ฉันไม่จำเป็นต้องมีใครสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงกับฉัน ฉันสามารถประเมินมันด้วยตัวฉันเองได้”  ด้วยการมีท่าทีประเภทนี้อยู่เสมอ ทั้งเหล่าผู้นำและคนทำงานย่อมไม่สามารถทนดูผู้คนเหล่านี้และไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ  ผู้คนเหล่านี้ไม่โอหังและไม่คิดว่าตนเองถูกหรอกหรือ?  หากใครบางคนโอหังและคิดว่าตนเองถูกมากเกินไป นี่เป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาย่อมจะไม่มีวันทำหน้าที่ของตนในหนทางที่ถึงมาตรฐาน  คนเราควรมีท่าทีใดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน?  อย่างน้อยที่สุดคนเราควรมีท่าทีของความรับผิดชอบ  ไม่ว่าจะมีความลำบากยากเย็นและปัญหาใดเกิดขึ้นกับคนเราก็ตาม คนเราก็ควรจะแสวงหาหลักธรรมความจริง เข้าใจมาตรฐานที่พึงประสงค์ของพระนิเวศของพระเจ้า และรู้ว่าคนเราควรจะสัมฤทธิ์ผลใดด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากคนเราสามารถจับความเข้าใจในสามสิ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถึงมาตรฐานได้ง่าย  ไม่ว่าคนเราปฏิบัติหน้าที่ใดก็ตาม หากพวกเขาเข้าใจหลักธรรม เข้าใจข้อพึงประสงค์ของพระนิเวศของพระเจ้า และรู้ว่าพวกเขาควรจะสัมฤทธิ์ผลใดเสียก่อน พวกเขาจะไม่มีเส้นทางสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรอกหรือ?  ดังนั้นท่าทีของคนเราต่อการปฏิบัติหน้าที่จึงสำคัญมาก  บรรดาผู้คนเหล่านั้นที่ไม่รักความจริงย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่สุกเอาเผากิน—พวกเขาไม่มีท่าทีที่ถูกต้อง พวกเขาไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริง และพวกเขาไม่คิดคำนึงถึงข้อพึงประสงค์ของพระนิเวศของพระเจ้าและผลลัพธ์ใดที่พวกเขาควรจะสัมฤทธิ์  พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถึงมาตรฐานได้อย่างไร?  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อเจ้าสุกเอาเผากิน เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระองค์และทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง เจ้าต้องต่อต้านอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน พยายามอย่างหนักเพื่อหลักธรรมความจริง และเพียรพยายามทำให้ถึงมาตรฐานที่พระองค์พึงประสงค์  ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้ เจ้าจะตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ความจริงก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีนั้นไม่ยากมากนัก  การนี้เป็นเพียงเรื่องของการมีมโนธรรมและเหตุผล เรื่องของการเป็นคนเที่ยงตรงและขยันหมั่นเพียร  มีผู้ไม่มีความเชื่อจำนวนมากที่ทำงานอย่างจริงจังและพวกเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นผลลัพธ์  พวกเขาไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับหลักธรรมความจริงเลย ดังนั้นพวกเขาทำดีมากได้อย่างไร?  นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขารอบคอบและขยันหมั่นเพียร ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำงานอย่างจริงจังและเป็นคนพิถีพิถันได้ และในหนทางนี้พวกเขาก็ทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จได้ง่าย  ไม่มีหน้าที่ใดของพระนิเวศของพระเจ้าที่ยากมาก  ตราบใดที่เจ้าทุ่มเทหัวใจของเจ้าทั้งดวงให้กับหน้าที่นั้นและพยายามสุดความสามารถของเจ้า เจ้าก็สามารถทำงานให้ดีได้  หากเจ้าไม่เที่ยงตรง และไม่ขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่เจ้าทำ หากเจ้าพยายามช่วยตัวเจ้าเองให้รอดพ้นจากเรื่องเดือดร้อน หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอตลอดจนทำทุกสิ่งสำเร็จแบบมั่วๆ และผลที่ตามมาคือเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เจ้าทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิง และนำความเสียหายมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า  นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังทำความชั่ว และความชั่วนั้นจะกลายเป็นการกระทำผิดที่พระเจ้าทรงรังเกียจ  ระหว่างช่วงเวลาสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐ หากเจ้าไม่สัมฤทธิ์ผลที่ดีในหน้าที่ของตนและไม่เล่นบทบาทที่เป็นบวก หรือหากเจ้าก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน ตามธรรมชาติแล้วพระเจ้าจะทรงรังเกียจและกำจัดเจ้าออกไปและเจ้าจะสูญสิ้นโอกาสของเจ้าที่จะได้รับความรอด  นี่จะเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์ของเจ้า!  การที่พระเจ้าทรงเชิดชูเจ้าให้ทำหน้าที่ของเจ้านั้นเป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะได้รับความรอด  หากเจ้าไม่มีความรับผิดชอบ ปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าอย่างไม่เอาใจใส่ตลอดจนสุกเอาเผากิน นั่นคือท่าทีที่เจ้ากำลังปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า  หากเจ้าไม่จริงใจหรือไม่นบนอบแม้แต่น้อย เจ้าจะสามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าได้อย่างไร?  ตอนนี้เวลามีค่ามาก ทุกวันและทุกนาทีสำคัญยิ่งยวด  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง หากเจ้าไม่มุ่งความสนใจไปที่การเข้าสู่ชีวิต และหากเจ้าสุกเอาเผากินตลอดจนหลอกลวงพระเจ้าในหน้าที่ของเจ้า นั่นเป็นการไร้เหตุผลและอันตรายอย่างแท้จริง!  ทันทีที่พระเจ้าทรงรังเกียจและกำจัดเจ้าออกไป พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าอีกต่อไป และไม่มีการกลับมาจากจุดนั้น  บางครั้งสิ่งที่บุคคลหนึ่งทำในนาทีเดียวนั้นสามารถทำลายชีวิตของพวกเขาได้  บางครั้งเพราะคำพูดคำเดียวที่ก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้า บุคคลหนึ่งก็ถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป—นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่นาทีหรอกหรือ?  เหมือนกับผู้คนบางคนที่แม้จะปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่กลับปฏิบัติตนอย่างไร้ความรับผิดชอบ ประพฤติตนอย่างบุ่มบ่าม และปฏิบัติตนอย่างไร้ความยับยั้งชั่งใจอยู่ร่ำไป  โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ และไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย  นอกจากผู้คนเช่นนี้จะนำความสูญเสียมาสู่พระนิเวศของพระเจ้าเป็นผลลัพธ์แล้ว พวกเขายังสูญเสียโอกาสแห่งความรอดของตนอีกด้วย  ในหนทางนี้พวกเขาย่อมทำให้คุณสมบัติของพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาถูกเพิกถอน  การนี้หมายความว่าพวกเขาถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปแล้ว ซึ่งเป็นกิจธุระอันน่าเศร้าสลด  บางคนในบรรดาพวกเขาต้องการกลับใจ แต่พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสหรือไม่?  เมื่อถูกกำจัดออกไป พวกเขาย่อมจะสูญสิ้นโอกาสของพวกเขาไปแล้ว  และเมื่อถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะไถ่ตัวพวกเขาเอง

บุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด?  เจ้าอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาล้วนมีมโนธรรมและเหตุผลตลอดจนสามารถยอมรับความจริงได้ เพราะว่ามีเพียงผู้คนเหล่านั้นที่มีมโนธรรมและเหตุผลที่สามารถยอมรับและเห็นคุณค่าของความจริงได้ และตราบใดที่พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็สามารถปฏิบัติความจริงได้  ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผลเป็นคนที่ไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ ในภาษาพูดพวกเรากล่าวว่าพวกเขาไร้ซึ่งคุณธรรม  ธรรมชาติของการไร้ซึ่งคุณธรรมคืออะไร?  เป็นธรรมชาติที่ไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ ไม่สมควรถูกเรียกว่ามนุษย์  ดังคำกล่าวที่ว่าบุคคลหนึ่งสามารถขาดไร้ซึ่งสิ่งใดก็ได้ยกเว้นคุณธรรม—พวกเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์  จงดูปีศาจและกษัตริย์มารเหล่านั้นที่เพียงแค่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อต้านทานพระเจ้าและทำร้ายประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  พวกเขาไม่ไร้ซึ่งคุณธรรมหรอกหรือ?  พวกเขาไร้ซึ่งคุณธรรม พวกเขาไร้ซึ่งคุณธรรมอย่างแท้จริง  ผู้คนซึ่งทำหลายสิ่งมากเกินไปที่ไร้ซึ่งคุณธรรมนั้นจะเผชิญหน้ากับกรรมสนองอย่างไม่มีข้อสงสัย  ผู้คนเหล่านั้นที่ไร้ซึ่งคุณธรรมนั้นปราศจากความเป็นมนุษย์ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ควรค่าที่จะปฏิบัติหน้าที่เพราะว่าพวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ผู้คนเหล่านั้นที่ไร้ซึ่งคุณธรรมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ใดให้ดี  ผู้คนเช่นนี้ไม่สมควรถูกเรียกว่ามนุษย์  พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์  มีเพียงผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลเท่านั้นที่สามารถรับมือกับกิจธุระของมนุษย์ได้ เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อคำพูดของตน น่าไว้วางใจ และมีคุณสมบัติของ “สุภาพบุรุษที่เที่ยงตรง”  ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีการใช้คำศัพท์ที่ว่า “สุภาพบุรุษที่เที่ยงตรง”  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์ให้ผู้คนซื่อสัตย์ เพราะนั่นคือความจริง  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่น่าไว้วางใจ มีมโนธรรมและเหตุผล และสมควรถูกเรียกว่ามนุษย์  หากคนเราสามารถยอมรับความจริงได้ขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ พลางปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถึงมาตรฐาน เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ย่อมซื่อสัตย์อย่างแท้จริงและน่าไว้วางใจจริงๆ  และผู้คนเหล่านั้นที่สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าก็คือผู้คนที่ซื่อสัตย์  การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ซึ่งน่าไว้วางใจนั้นไม่เกี่ยวกับศักยภาพหรือรูปร่างหน้าตาของเจ้า และยิ่งไม่เกี่ยวกับขีดความสามารถ สมรรถนะ หรือพรสวรรค์ของเจ้า  ตราบใดที่เจ้ายอมรับความจริง ปฏิบัติตนอย่างมีความรับผิดชอบ และเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลตลอดจนสามารถนบนอบพระเจ้าได้ นั่นเพียงพอแล้ว  ไม่ว่าบุคคลหนึ่งมีฝีมือเช่นใด ความกังวลที่จริงนั้นอยู่ที่ว่าพวกเขาไร้ซึ่งคุณธรรมหรือไม่  เมื่อใครบางคนปราศจากคุณธรรม พวกเขาย่อมไม่อาจถูกมองว่าเป็นมนุษย์ได้ แต่เป็นสัตวเดรัจฉานมากกว่า  ผู้คนเหล่านั้นที่ถูกกำจัดออกไปจากพระนิเวศของพระเจ้านั้นถูกกำจัดออกไปเพราะว่าพวกเขาปราศจากความเป็นมนุษย์และคุณธรรม  ดังนั้นผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าต้องสามารถยอมรับความจริงได้ เป็นคนที่ซื่อสัตย์ มีมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างน้อย และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ และสามารถทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงได้  มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจและเป็นผู้ที่สละตนเองเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ  ผู้คนเหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด

ขณะที่พวกเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเจ้าตรวจสอบพฤติกรรมและเจตนาของตนบ่อยหรือไม่?  (นานๆ ครั้ง)  หากเจ้าตรวจสอบตัวเจ้าเองนานๆ ครั้ง เจ้าจะสามารถจำแนกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถเข้าใจสภาวะที่แท้จริงของตนได้หรือไม่?  หากเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาอย่างแท้จริง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  เจ้าต้องชัดเจนมากเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  หากคนเราไม่ตรวจสอบตนเอง พลางทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่สุกเอาเผากินอยู่ร่ำไปและปราศจากหลักธรรมแม้เพียงน้อยนิด ย่อมจะส่งผลให้คนเรากระทำความชั่วมากมายและถูกเผยออกมาและกำจัดออกไป  นี่ไม่ใช่ผลที่ร้ายแรงหรอกหรือ?  การตรวจสอบตนเองเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหานี้  จงบอกเราเถิดว่า เมื่อความเสื่อมทรามของมนุษย์ฝังลึก การทบทวนตนเองเพียงนานๆ ครั้งเท่านั้นเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่?  คนเราสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ดีโดยปราศจากการแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราได้หรือไม่?  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมเป็นการง่ายที่จะทำสิ่งทั้งหลายผิด ละเมิดหลักธรรม และแม้กระทั่งทำความชั่ว  หากเจ้าไม่เคยตรวจสอบตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นความเดือดร้อน—เจ้าก็ไม่ต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อ  ผู้คนจำนวนมากไม่ได้ถูกกำจัดออกไปเพราะเหตุผลนี้เท่านั้นหรอกหรือ?  เมื่อไล่ตามเสาะหาความจริง คนเราต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะได้มาซึ่งความจริง?  สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบตนเองบ่อยๆ ขณะทำหน้าที่ของตน โดยคิดทบทวนว่าคนเราได้ละเมิดหลักธรรมและเผยความเสื่อมทรามออกมาหรือไม่ และคิดทบทวนว่าคนเรามีเจตนาที่ผิดหรือไม่  หากเจ้าทบทวนตนเองให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและมองเห็นวิธีประยุกต์ใช้พระวจนะเหล่านั้นกับตัวเจ้าเอง ก็ย่อมจะง่ายที่จะรู้จักตัวเจ้าเอง  หากเจ้าทบทวนตนเองในหนทางนี้ อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขอย่างค่อยเป็นค่อยไป แนวคิดที่เลวทราม รวมทั้งเจตนาและแรงจูงใจที่ไม่ดีของเจ้าก็จะแก้ไขโดยง่าย หากเจ้าเพียงตรวจสอบหลังจากบางสิ่งผิดไป เพียงตรวจสอบหลังจากทำความผิดพลาด หรือเพียงตรวจสอบหลังจากกระทำความชั่ว เช่นนั้นก็สายเกินไปหน่อยแล้ว  ผลที่ตามมาได้เกิดขึ้นแล้ว และนี่ถือเป็นการกระทำผิด  หากเจ้าตรวจสอบตนเองหลังจากที่เจ้าทำความชั่วไปมากและถูกกำจัดออกไปแล้วเท่านั้น นั่นย่อมจะสายเกินไปและทั้งหมดที่เจ้าจะสามารถทำได้ก็คือการร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมสามารถทำหน้าที่ของตนได้—นี่คือการยกชูและเป็นพรจากพระเจ้า เป็นโอกาสที่เจ้าควรจะทะนุถนอม  ดังนั้นจึงควรแล้วที่เจ้าจะยิ่งทบทวนตัวเองอยู่เนืองๆ ขณะทำหน้าที่ของตน  เจ้าต้องตรวจสอบบ่อยๆ ตรวจดูตนเองในทุกเรื่อง  เจ้าต้องตรวจสอบเจตนาและสภาวะของตน พยายามดูว่าเจ้าใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่ เจตนาเบื้องหลังการกระทำของเจ้าถูกควรหรือไม่ ทั้งแรงจูงใจและที่มาของการกระทำของเจ้านั้นสามารถทนรับการตรวจตราของพระเจ้าและรองรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าหรือไม่  บางครั้งผู้คนรู้สึกว่าการแสวงหาความจริงเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นเป็นภาระ  พวกเขาคิดว่า “แค่นี้ก็พอ ดีพอแล้ว”  การคิดเช่นนี้สะท้อนท่าทีของบุคคลต่อเรื่องทั้งหลายและวิธีคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของพวกเขา  วิธีคิดนี้เป็นสภาวะประเภทหนึ่ง  สภาวะนี้คืออะไร?  ไม่ใช่การเข้าหาหน้าที่โดยปราศจากสำนึกของความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นท่าทีที่สุกเอาเผากินประเภทหนึ่งหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  ด้วยความที่มีปัญหาร้ายแรงเช่นนี้ การไม่ตรวจสอบตนเองจึงเป็นอันตรายมาก  ผู้คนบางคนไม่แยแสกับสภาวะนี้  พวกเขาคิดว่า “การเป็นผู้ที่สุกเอาเผากินเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติ นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนเป็น  ปัญหาคืออะไรหรือ?”  ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้คนที่สับสนหรอกหรือ?  ไม่อันตรายเกินไปหรอกหรือสำหรับใครบางคนที่มองเห็นสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้?  จงดูบรรดาผู้ที่ถูกกำจัดออกไป  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่สุกเอาเผากินอยู่เสมอหรอกหรือ?  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนเราสุกเอาเผากิน  ไม่ช้าก็เร็วผู้คนที่สุกเอาเผากินง่ายนั้นจะทำลายตนเอง และพวกเขาจะไม่หลั่งน้ำตาจนกว่าพวกเขาจะเห็นหลุมศพของตัวเอง  การปฏิบัติหน้าที่ในหนทางที่สุกเอาเผากินนั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรง และหากเจ้าไม่สามารถทบทวนตัวเจ้าเองให้ดีและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา นี่ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยแท้จริง—เจ้าอาจถูกกำจัดออกไปเมื่อใดก็ได้  หากยังมีปัญหาที่ร้ายแรงเช่นนี้อยู่และเจ้ายังคงไม่ตรวจสอบตนเองตลอดจนแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา เจ้าย่อมจะทำร้ายและทำลายตนเอง และเมื่อถึงวันที่เจ้าถูกกำจัดออกไป เจ้าจะเริ่มร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และทุกสิ่งก็ย่อมจะสายเกินไป

บทตัดตอน 33

ผู้คนบางคนไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและไม่รู้วิธีนำพระวจนะของพระองค์ไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไปสู่ชีวิตจริง  พวกเขามักพึ่งพาการไปร่วมชุมนุมมากมายหลายครั้งเพื่อให้ได้รับความจริงและการเติบโตในชีวิตอยู่เสมอ  อย่างไรก็ตามนี่ไม่เป็นความไม่สมจริงและเป็นข้อโต้แย้งที่ไม่มีเหตุผล  ชีวิตได้รับมาจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน  บรรดาผู้ที่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มีความสามารถที่จะเข้าใจและปฏิบัติความจริง ยอมรับการถูกตัดแต่ง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง บรรลุการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่อะไรก็ตาม  พวกที่ขี้เกียจและละโมบความสะดวกสบายไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ายามปฏิบัติหน้าที่ของตน เรียกร้องไม่รู้จบให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมการชุมนุม คำเทศนา และการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงให้กับพวกเขา  ผลที่ได้ก็คือ หลังจากที่ผ่านการเชื่อไปสิบหรือยี่สิบปีและหลังจากที่ฟังคำเทศนามานับไม่ถ้วน พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือไม่ได้รับความจริงอยู่ดี  พวกเขาไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่เข้าใจว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้า และไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้รู้จักตัวเองและได้รับความจริงและชีวิต  พวกเขาเป็นผู้คนที่กระหายความชูใจและบ่ายเบี่ยงหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไปเนื่องจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนนั่นเอง  บัดนี้ผู้คนที่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและให้ความสำคัญกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านั้นล้วนมีการเข้าสู่ชีวิตอยู่บ้างเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ทบทวนเพื่อทำความรู้จักตนเองเมื่อพวกเขาเผยความเสื่อมทราม และเมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลาย  หลังจากปฏิบัติหน้าที่หลายปี พวกเขาก็เก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถพูดถึงคำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่าง มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์โดยไม่รู้ตัวอยู่บ้าง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาด้วยเหตุนี้  ในปัจจุบันคริสตจักรทุกแห่งกำลังชำระตนเองให้สะอาดจากผู้คนที่ชั่วและพวกที่ขัดขวางและก่อให้เกิดการรบกวนต่างๆ  บรรดาผู้ที่เหลืออยู่โดยทั่วไปแล้วคือผู้ที่มีความสามารถที่จะยืนกรานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน มีการอุทิศตนในระดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทที่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตน  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่ชีวิตจริงและไปสู่หน้าที่ที่พวกเจ้าปฏิบัติ โดยปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ แล้วจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นในเวลาที่เกิดปัญหาและความลำบากยากเย็นเหล่านั้น  นอกจากนี้พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และฝึกฝนการปฏิบัติความจริงและการรับมือกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมในทุกเรื่อง  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความรักสำหรับพระเจ้า โดยคำนึงถึงภาระของพระองค์ และไปให้ถึงจุดที่พวกเจ้าสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้ด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า นี่เท่านั้นจึงเป็นใครบางคนที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจ  โดยการปฏิบัติในหนทางนี้ ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วน เจ้าก็ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ในหนทางที่เป็นไปตามมาตรฐาน และไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถแก้ไขความสุกเอาเผากินของเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้ายังสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความรักสำหรับพระเจ้า นบนอบพระองค์ และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้ในเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่—นี่คือบทเรียนของการเข้าสู่ชีวิต  หากเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมในหนทางนี้ได้สำหรับทุกเรื่อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและจะมีการเข้าสู่ชีวิต  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะยุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพียงใด เมื่อเจ้ามีดอกผลแห่งการเข้าสู่ชีวิต มีการเติบโตในชีวิต และสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะพบความชื่นบานยินดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้าจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่ว่าเจ้าจะยุ่งเพียงใด  เจ้าจะมีสันติสุขและความปีติยินดีในหัวใจของเจ้าและรู้สึกอิ่มเอมและสงบเป็นพิเศษเสมอ  ไม่สำคัญว่าจะเกิดความลำบากยากเย็นใด เมื่อเจ้าแสวงหาความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับพระพรของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าร่วมในการออกกำลังกายที่เหมาะสมตามแต่โอกาสและกิจกรรมเสริมสมรรถภาพของร่างกายที่สมเหตุสมผลเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเจ้าจะยุ่งหรือไม่ก็ตามในเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  การนี้จะส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาพละกำลังไว้ในระดับสูง และอาจมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพบางอย่าง  นี่เป็นประโยชน์อย่างสูงสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าสามารถที่จะเรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหลายประการ รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในที่สุด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีแนวคิดสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  หากเจ้าสามารถได้มาซึ่งความรักสำหรับพระเจ้า เป็นพยานให้พระองค์ และสัมฤทธิ์หัวใจและเจตจำนงที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เจ้าก็กำลังเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระองค์  นี่คือบุคคลที่ได้รับพระพรของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ได้รับพระพรอย่างเหลือเชื่อ!  หากเจ้าสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ แน่นอนว่า เจ้าจะได้รับพระพรอันอุดมจากพระองค์  พวกที่ไม่สละตนเองเพื่อพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถรับความรอดได้หรือไม่?  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  พระพรทั้งหมดสามารถได้รับผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราและการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น  ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานั่นเองที่คนเรารู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และรู้วิธีได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุง และการถูกตัดแต่ง  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ควรค่าที่สุดแก่การได้รับพระพร  ตราบที่บุคคลรักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะได้รับความจริง เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน ได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า และกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับพระพรจากพระองค์ในที่สุด

ผู้คนบางคนไม่แสวงหาความจริงเมื่อสิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้นกับพวกเขาในระหว่างทำหน้าที่ของตน โดยใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ทำสิ่งทั้งหลายตามความเลือกชอบส่วนบุคคล และปฏิบัติตนอย่างหูหนวกตาบอดตามเจตจำนงของตนเองอยู่เสมอ  ผลที่ได้ก็คือพวกเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างไม่ถูกต้องและทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกตัดแต่ง พวกเขายังคงไม่ยอมรับความจริงและยังแสดงพฤติกรรมที่ดื้อรั้นและบุ่มบ่ามอยู่ต่อไป  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขากลายเป็นงุนงงสับสนและถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิด  ผู้คนบางคนชื่นชอบชื่อเสียงและผลประโยชน์ และไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ยุ่งวุ่นวายอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือยอมรับการสามัคคีธรรมใดๆ เกี่ยวกับความจริง  ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป และตกอยู่ในความมืดมิด  ผู้เชื่อบางคนยอมรับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ทว่าในหัวใจของพวกเขายังคงเชื่อในพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์และเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเป็นนิตย์เกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงและหัวใจของพวกเขามีความระแวดระวังต่อพระองค์ เกรงกลัวว่าพระองค์จะทรงจับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา  พวกเขาหลีกเลี่ยงพระเจ้าในทุกโอกาส และเมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ พวกเขามองดูพระองค์ราวกับว่าพระองค์เป็นคนแปลกหน้า  ด้วยเหตุนี้ แม้หลังจากหลายปีแห่งการเชื่อแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งใดและไม่มีความเชื่อในพระองค์แม้แต่น้อย  พวกเขาไม่แตกต่างจากพวกผู้ไม่เชื่อเลย  นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยสิ้นเชิง  ผู้คนบางคนต้องการเห็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เป็นนิตย์  พวกเขาถวิลหาที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยและให้พระองค์ทรงยกระดับสถานะของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถใช้อิทธิพลเหนือคริสตจักร  ผลก็คือพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา เนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์ การไร้ซึ่งความตรงไปตรงมา การสังเกตพระพักตร์ของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ และการคาดเดาเกี่ยวกับความหมายของพระองค์ของพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะได้เห็นผู้คนเยี่ยงนี้อีกต่อไป  สิ่งใดคือจุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้?  ในเมื่อพระเจ้าตรัสความจริงมากมายเหลือเกิน เหตุใดพวกเขาจึงยังคงตรวจสอบพระองค์?  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เหตุใดพวกเขาจึงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เหตุใดพวกเขาจึงทะเยอทะยานและมีความอยากได้อยู่เป็นนิตย์ โดยไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์สถานะ ประโยชน์ และข้อได้เปรียบ?  พวกเขาเก็บงำเหตุจูงใจอันมุ่งร้ายต่อการเชื่อในพระเจ้า และผู้คนพบว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจเข้าใจได้  ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมของพวกผู้ไม่เชื่อ  พูดให้ถูกต้องก็คือ ใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้คือผู้ไม่เชื่อ  มีเพียงบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพียรพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และเสาะแสวงที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้นที่มีการเชื่อที่จริงใจในพระเจ้า และมีความสามารถที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระองค์

บัดนี้ทุกวันและทุกปีที่ผ่านไปในชีวิตของพวกเจ้าล้วนมีคุณค่า  คุณค่าที่ว่านี้อยู่ตรงไหนกัน?  เมื่อบุคคลมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้รับความจริงจากพระผู้สร้าง พวกเขากลับกลายเป็นมีประโยชน์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  การทุ่มเทความพยายามอย่างถ่อมใจของเจ้าต่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตในแต่ละวันของเจ้ามีคุณค่ากระนั้นหรือ?  (ใช่ เป็นดังนั้น)  นี่คือคุณค่าของชีวิตในแต่ละวัน และเป็นสิ่งล้ำค่า!  หากชีวิตในแต่ละวันของเจ้ามีคุณค่าเช่นนั้น สิ่งใดคือความทุกข์หรือความเจ็บป่วยเล็กน้อยเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า?  ผู้คนไม่ควรพร่ำบ่น  ผู้คนได้รับอย่างมากมายเหลือเกินจากการสถิตของพระเจ้า โดยที่พวกเขาชื่นชมพระคุณและพระพรที่มองไม่เห็น รวมทั้งการคุ้มครองที่มองไม่เห็นซึ่งล้ำเลิศกว่าสิ่งอันใดที่พวกเขาสามารถจินตนาการและมองเห็นได้  ผู้คนได้รับมากมายเหลือเกิน—ความเจ็บป่วยเล็กน้อยสำคัญอย่างไร?  นั่นไม่ใช่บทเรียนที่ผู้คนควรเรียนรู้หรอกหรือ?  หากคนเราสามารถเข้าใจความจริง บรรลุการนบนอบพระเจ้า และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้โดยผ่านทางความเจ็บป่วย นั่นไม่ใช่พระพรอีกประการจากพระองค์หรอกหรือ?  ท่ามกลางผู้ที่หาเลี้ยงชีพในโลกนี้ ใครบ้างไม่ได้รับประสบการณ์กับความเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย?  มีใครสนใจบ้างไหมถ้าพวกเขาเจ็บไข้ได้ป่วย?  ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่มีใครถาม และไม่มีใครเลยที่จัดเตรียมการรับรองให้กับพวกเขา  พวกเจ้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้ามีการรับรองหรือไม่?  (มี)  บรรดาผู้ที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจมีการรับรองและได้รับพระพรจากพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นและยอมรับการรับรองประเภทใด?  (ข้าพระองค์ไม่ได้รับอิทธิพลหรือได้รับพิษจากกระแสนิยมที่ชั่วของโลกอีกต่อไป โดยที่ข้าพระองค์ได้หลบเลี่ยงการกลั่นแกล้งและการทำร้ายจากพวกผู้ไม่มีความเชื่อ และมีการคุ้มครองและพระพรของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง  ข้าพระองค์จะไม่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงครอบงำหรือข่มเหงอีกต่อไป  ข้าพระองค์จะใช้ชีวิตในพระนิเวศของพระเจ้า มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ และหัวใจของข้าพระองค์จะเปี่ยมสันติสุข เปี่ยมความชื่นบาน และสงบ  ทุกๆ วันข้าพระองค์จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมว่าด้วยความจริง และหัวใจของข้าพระองค์จะกลายเป็นสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ  หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้ว หัวใจของข้าพระองค์ก็เปี่ยมความชื่นบานเป็นพิเศษ จิตวิญญาณของข้าพระองค์ได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อย และข้าพระองค์ไม่ถูกผู้คนที่ชั่วและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหลอกลวงหรือทำอันตรายอีกต่อไป  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เป็นพยานการคุ้มครองและพระพรของพระเจ้า ข้าพระองค์ก็ไม่กลัวเวลาที่ความวิบัติบังเกิดกับข้าพระองค์อีกต่อไป หัวใจของข้าพระองค์รู้สึกสงบและมีสันติสุข  ข้าพระองค์วางความกังวลเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย เช่น ความต้องการพื้นฐานของข้าพระองค์จะได้รับการสนองในอนาคตหรือไม่ และใครจะเลี้ยงดูข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์แก่ชราหรือไม่  การดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าคือพระพรและความชื่นบานอย่างแท้จริง!)  สิ่งที่พวกเจ้ากำลังลิ้มรสชาติอยู่ในขณะนี้ถูกจำกัด แต่หลังจากมหันตภัยใหญ่หลวงแล้ว พวกเจ้าจะเข้าใจและมองเห็นหลายสิ่งอย่างชัดเจน  ทั้งหมดนี้คือการคุ้มครองของพระเจ้าและพระพรของพระองค์  ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบางครั้งพวกเจ้าจะได้รับประสบการณ์กับการถูกตัดแต่งและผ่านการทดสอบและการถลุง และบางครั้งได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และทนทุกข์จากพระวจนะของพระองค์ แต่นี่เป็นการทนทุกข์จากการบรรลุความรอดและการได้รับการทำให้เพียบพร้อม—ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับการทนทุกข์ของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจ้ากลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีประโยชน์และใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและความหมายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า—เจ้าใช้ชีวิตเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริงและเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แทนที่จะใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังและเพื่อซาตาน  ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหลายประการและเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด  หลังจากที่เจ้าเข้าใจความจริง ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และได้รับความจริงเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว เจ้าจะได้ดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า และใช้ชีวิตในความสว่าง  บัดนี้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในทุกๆ วัน และในแต่ละวันที่เจ้าใช้ชีวิตนั้นมีผลลัพธ์และคุณค่า  เจ้ายังได้รับความจริงด้วยเช่นกัน รวมทั้งดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  นี่ใช่การมีการรับรองหรือไม่?  (ใช่)  สิ่งใดคือการรับรอง?  (การที่ไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลย)  นอกจากการถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว สิ่งใดที่สำคัญยิ่งยวดมากไปกว่านั้นอีก?  พระเจ้าทรงสร้างเจ้าในฐานะมนุษย์ และบัดนี้เจ้าสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ มีความเป็นจริงความจริง เดินตามหนทางของพระองค์ และใช้ชีวิตตามเจตนารมณ์ของพระองค์  พระเจ้าทรงเห็นชอบเจ้า และนั่นคือการรับรองและการรับประกันของเจ้าว่าเจ้าจะไม่ถูกพระเจ้าทำลาย  นี่ไม่ใช่ต้นทุนชีวิตของเจ้าหรอกหรือ?  หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะใช้ชีวิตต่อไปหรือไม่?  (ไม่)  คนเราได้มาซึ่งคุณสมบัตินี้อย่างไร?  ไม่ใช่ด้วยการที่มีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และทำตามหนทางของพระองค์ ตลอดจนด้วยการได้รับความเป็นจริงความจริง และการปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าดังเช่นชีวิตของคนเราหรอกหรือ?  (ใช่)  เพราะสิ่งเหล่านี้เจ้าจึงสามารถนมัสการพระองค์ และในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน  พระองค์จะไม่ทรงปีติยินดีในตัวเจ้าได้อย่างไร?  ใครหรือคือผู้คนที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำลาย?  พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างประเภทไหนกัน?  (พวกคนทำชั่ว)  ใครก็ตามที่ทำชั่วกำลังต้านทานพระเจ้าอยู่ และเป็นอริกับพระองค์—พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้าและจะเป็นพวกแรกที่จะถูกทำลาย  พวกศัตรูของพระคริสต์ที่แย่งชิงกับพระเจ้าเพื่อสถานะ พวกผู้ไม่เชื่อ พวกที่รังเกียจความจริง ผู้ที่เป็นอริกับพระเจ้า ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และต่อต้านพระองค์ไปจนถึงที่สุด และพวกที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างถึงระดับใดก็ตาม—เหล่านี้คือผู้คนที่พระเจ้าต้องประสงค์จะทำลาย  ผู้คนบางคนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นพวกผู้ไม่เชื่อ  คนอื่นๆ กระทำการอย่างสุกเอาเผากินอยู่เป็นนิตย์ สามารถทำชั่วและก่อให้เกิดการรบกวน และต้านทานและต่อต้านพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ตาม  ผู้คนเช่นนี้สามารถถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ถึงมาตรฐานในสายพระเนตรของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ ไม่สามารถถือเป็นเช่นนั้นได้)  ผลลัพธ์สุดท้ายของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่ถือว่าถึงมาตรฐานจะเป็นอย่างไร?  (พระเจ้าจะทรงกำจัดและทำลายพวกเขา)  ในชีวิตของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่ถือว่าได้มาตรฐานนั้นมีคุณค่าหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาอาจคิดว่า “ชีวิตของฉันมีคุณค่า  ฉันต้องการมีชีวิตอยู่  ฉันสามารถทำสิ่งดีๆ กับชีวิตของฉันได้!”  อย่างไรก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พื้นฐานของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้เสียด้วยซ้ำ  หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ในหนทางที่ถึงมาตรฐาน ชีวิตของพวกเขาควรค่ากับการดำรงชีวิตอยู่หรือไม่?  ในการดำรงอยู่ของพวกเขานั้นมีคุณค่าหรือไม่?  หากไม่มีคุณค่าใดในการดำรงอยู่ของพวกเขาเลย เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะยังคงต้องประสงค์พวกเขาอยู่หรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดเล่า?  พระองค์จะทรงกำจัดพวกเขาออกไป  กรณีที่เบาบางกว่าจะถูกวางไว้และส่งมอบให้แก่พวกผีโสโครกและบรรดาวิญญาณชั่ว ในขณะที่กรณีที่หนักหนาจะได้รับการลงโทษ และกรณีที่หนักหนามากขึ้นไปอีกจะนำไปสู่การทำลายล้าง

บทตัดตอน 34

ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา มีผู้คนบางคนไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์แต่อย่างใด และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญปัญหา พวกเขาก็พร่ำบ่นว่ายากเกินไปและไม่ยอมจ่ายราคา  นั่นคือท่าทีประเภทใด?  นั่นคือท่าทีที่สุกเอาเผากิน  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุกเอาเผากินและมีท่าทีที่ไม่เคารพหน้าที่ ผลลัพธ์ของการนี้จะเป็นเช่นไร?  เจ้าจะล้มเหลวในการทำให้ดีแม้กระทั่งกับหน้าที่ที่เจ้าสามารถปฏิบัติให้ดีได้—การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมจะไม่ได้มาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พอพระทัยอย่างมากต่อท่าทีที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริงและทุ่มเททั้งหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตนลงไป หากเจ้าสามารถให้ความร่วมมือได้ในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงตระเตรียมทุกสิ่งไว้ล่วงหน้าให้แก่เจ้าแล้ว เพื่อในยามที่เจ้ารับมือกับเรื่องต่างๆ ทุกสิ่งจะเข้าที่เข้าทางและให้ผลลัพธ์ที่ดี  เจ้าจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากมาย เมื่อเจ้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พระเจ้าย่อมจะทรงจัดการเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว  หากเจ้ากลับกลอกและหย่อนยาน  หากเจ้าไม่จัดการดูแลหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม และเดินบนเส้นทางที่ผิดเสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า เจ้าย่อมจะสูญเสียโอกาสนี้ไป และพระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าไม่มีประโยชน์ เราไม่สามารถใช้งานเจ้าได้  จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง  เจ้าชอบเป็นคนมีเหลี่ยมคูและหย่อนยานมิใช่หรือ?  เจ้าชอบเกียจคร้านและลุ่มหลงในความสะดวกสบายใช่ไหม?  ดีละ ถ้าเช่นนั้นก็จงลุ่มหลงในความสะดวกสบายไปชั่วกาลนานเถิด!”  พระเจ้าจะประทานพระคุณและโอกาสเช่นนี้แก่ผู้อื่น  พวกเจ้าคิดอย่างไร  นี่คือการได้หรือเสีย?  (เสีย)  นี่คือความสูญเสียอันใหญ่หลวง!

ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนที่รักพระองค์อย่างแท้จริงและทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเพียบพร้อม  พระองค์ทรงทำให้ผู้คนมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ผ่านทางสภาพแวดล้อมหรือบททดสอบอันหลากหลาย อันเป็นการทำให้พวกเขาเข้าใจความจริง ได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ และได้รับความจริงในที่สุด  หากเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไป และเจ้าจะสามารถได้รับความจริงและชีวิต  ตลอดหลายปีที่มีประสบการณ์มานี้พวกเจ้าได้รับไปมากมายแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น การสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยและจ่ายราคาบ้างเวลาทำหน้าที่ของเจ้าย่อมคุ้มค่ามิใช่หรือ?  เจ้าได้รับอะไรเป็นการตอบแทน?  เจ้าได้เข้าใจความจริงมากมายนัก!  นี่คือสมบัติอันหาค่ามิได้!  ผู้คนอยากได้อะไรผ่านทางการเชื่อในพระเจ้า?  พวกเขาอยากได้รับความจริงและชีวิตมิใช่หรือ?  เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถได้รับความจริงหากไม่ผ่านประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมเหล่านี้?  แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะไม่สามารถ  เมื่อความยากลำบากบางประการเกิดขึ้นกับเจ้าเป็นกรณีพิเศษ หรือเจ้าเผชิญสภาพแวดล้อมที่พิเศษบางอย่าง สมมุติว่าเจ้ามีท่าทีเช่นเดียวกันอยู่เสมอ—นั่นคือพยายามหลีกเลี่ยงหรือหนีจากความยากลำบากหรือสภาพแวดล้อมเหล่านั้น พยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิเสธและกำจัดสิ่งเหล่า ไม่อยากยอมตนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระองค์ ไม่อยากให้ความจริงคอยกำกับดูแลเจ้า และอยากเป็นคนถือคำขาดและพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าในการควบคุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเจ้าอยู่เสมอ  ในกรณีนั้น ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นว่า พระเจ้าจะทรงเมินเจ้าหรือส่งตัวเจ้าให้ซาตานเป็นแน่ และมีแต่จะรอเวลาให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเท่านั้น  หากผู้คนเข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องกลับตัวโดยเร็วและเดินไปตามทางชีวิตของตนให้สอดคล้องกับเส้นทางที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้—ทางสายนี้คือทางที่ถูกต้อง และเมื่อทางถูกต้อง นั่นหมายความว่าทิศทางย่อมถูกต้อง  พวกเขาอาจเผชิญกับความพ่ายแพ้และความยากลำบาก อีกทั้งอาจสะดุดในช่วงเวลาอย่างนี้ หรือบางครั้งพวกเขาอาจรู้สึกไม่สบอารมณ์และคิดลบเล็กน้อยอยู่หลายวัน  ตราบใดที่พวกเขาสามารถตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนและไม่ทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้า ปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมจะไม่สำคัญ  อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องทบทวนตนเองให้ทันท่วงที แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ และต้องไม่ผัดวันประกันพรุ่ง โยนงานของตนทิ้ง หรือละทิ้งหน้าที่ของตนโดยเด็ดขาด—ข้อนี้สำคัญที่สุด  หากเจ้าคิดเอาเองว่า “การเป็นคนคิดลบและอ่อนแอไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่เกิดอยู่ข้างใน  พระเจ้าไม่ทรงรู้เรื่องนี้  และเมื่อคำนึงว่าฉันทนทุกข์อย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งราคาที่ฉันจ่ายไป พระองค์ย่อมจะทรงอภัยฉันอย่างแน่นอน” และหากความอ่อนแอและความคิดลบนี้ดำเนินต่อไป และเจ้าไม่แสวงหาความจริงหรือเรียนรู้บทเรียนต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าก็จะสูญเสียโอกาสของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผลลัพธ์ก็คือเจ้าจะพลาดโอกาส ปิดกั้นและทำลายโอกาสทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะใช้ทำให้เจ้าเพียบพร้อม  ผลจากการทำเช่นนี้จะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกถึงสำนึกของความมืดที่เพิ่มมากขึ้นหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่รู้สึกถึงพระเจ้าแม้กระทั่งในคำอธิษฐานของเจ้าอีกต่อไป และเจ้าจะกลายเป็นคนคิดลบจนถึงจุดที่ความคิดของเจ้าเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและการทรยศ  จากนั้นเจ้าก็จะติดกับดักของความทุกข์ทรมานแสนสาหัส รู้สึกอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิงและเสียใจอย่างหนัก  เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่มีเส้นทางหรือทิศทาง และไม่สามารถมองเห็นความสว่างหรือพบเจอความหวังใดๆ  ชีวิตย่อมเหน็ดเหนื่อยสำหรับบุคคลเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่ เหน็ดเหนื่อย)  หากผู้คนไม่เดินไปบนเส้นทางอันสว่างไสวของการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และอยู่ในบาปและความมืดมน โดยไร้ซึ่งความหวังไปตลอดกาล  พวกเจ้าสามารถเข้าใจความหมายของการที่เรากล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่?  (พวกเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเรา)  เมื่อหน้าที่มาถึงตัว และเจ้าได้รับความไว้วางใจมอบหมายหน้าที่ให้ทำ จงอย่าคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าความลำบากยากเย็น อย่าวางมือจากสิ่งนั้นและเพิกเฉยเพราะเจ้าเห็นว่าจัดการยาก  เจ้าต้องเผชิญสิ่งนั้นซึ่งหน้า  เจ้าต้องจำไว้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับผู้คน ว่าถ้ามีความลำบากยากเย็นอันใด พวกเขาก็เพียงต้องอธิษฐานและแสวงหาจากพระองค์เท่านั้น และจำไว้ว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำเร็จลุล่วงได้ยาก  เจ้าต้องมีความเชื่อนี้  ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปัตย์เหนือสรรพสิ่ง ทำไมเจ้าถึงยังคงรู้สึกกลัวเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และกลัวว่าจะไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพา?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า  หากเจ้าไม่ถือว่าพระองค์คือผู้เกื้อหนุนเจ้า และเป็นพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า  ในชีวิตจริง ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสถานการณ์แบบใด เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ เพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง  ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงและได้รับบางสิ่งผ่านเรื่องราวเพียงวันละเรื่อง แต่ละวันย่อมจะไม่สูญเปล่า!  เดี๋ยวนี้พวกเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้นานเพียงใดในแต่ละวัน?  เจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ากี่ครั้งต่อวัน?  เจ้าเคยบรรลุผลใดๆ บ้างหรือไม่?  หากคนคนหนึ่งแทบไม่เคยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า วิญญาณของพวกเขาย่อมจะรู้สึกแห้งผากและมืดมนมาก  เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผู้คนก็ออกห่างจากพระเจ้าและเมินพระองค์ พวกเขาแสวงหาพระองค์ต่อเมื่อมีความยากลำบากเกิดขึ้นเท่านั้น  นี่ใช่การเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  นี่คือการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ทั้งหมดนี้คือลักษณะที่สำแดงถึงผู้ไม่เชื่อ  ด้วยการเชื่อเช่นนี้ในพระเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความจริงและชีวิต

ผู้คนไม่เข้าใจหรือไม่ปฏิบัติความจริง และบ่อยครั้งที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน และ อยู่ในบ่วงทั้งหลายเยี่ยงซาตาน ครุ่นคิดถึงอนาคต ความภาคภูมิใจ สถานะ และผลประโยชน์อื่นๆ ของตน และเค้นสมองคิดเรื่องเหล่านี้  แต่หากเจ้านำท่าทีนี้มาใช้กับหน้าที่ของเจ้า กับการแสวงหาและการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถได้รับความจริง  ตัวอย่างเช่น เจ้าใช้สมองคิดอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เจ้าคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพิถีพิถัน วางแผนทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ใช้ความคิดและความพยายามมากมายไปกับเรื่องนี้  หากเจ้าใช้พลังงานแบบเดียวกันนี้ในการทำหน้าที่ของตนและในการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้วดูว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีอย่างไรกับเจ้า นี่ย่อมจะแตกต่างอย่างแท้จริง  ผู้คนพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่เป็นนิจว่า “ทำไมพระองค์ดีกับคนอื่น แต่ไม่ดีกับฉัน?  ทำไมพระองค์ไม่เคยให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน?  ทำไมฉันถึงอ่อนแออยู่เสมอ?  ทำไมฉันถึงไม่เก่งเท่าพวกเขา?”  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?  พระเจ้าไม่ได้แสดงความลำเอียงให้เห็น  หากเจ้าไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และก็อยากแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าด้วยตนเองอยู่เสมอ พระองค์ก็จะไม่ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า  พระองค์จะทรงรอจนกระทั่งเจ้ามาอธิษฐานและวิงวอนพระองค์ และเมื่อนั้นพระองค์จึงจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า  พระเจ้าโปรดผู้คนประเภทใด?  พระเจ้าทรงรอให้ผู้คนขออะไรจากพระองค์?  พระองค์ทรงอยากให้พวกเขาขอเงินทอง ความสะดวกสบาย ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความรื่นเริงหรรษาเหมือนผู้คนที่ไร้ยางอายเหล่านั้นกระนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่โปรดเวลาผู้คนขออะไรแบบนี้จากพระองค์  บรรดาผู้ที่เรียกร้องสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าย่อมไร้ยางอาย เป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหลาย และพระเจ้าย่อมไม่ทรงต้องการพวกเขา  พระองค์ทรงต้องการผู้คนที่ตื่นจากบาปได้ สามารถแสวงหาความจริงจากพระองค์และยอมรับความจริงได้—ผู้คนประเภทนี้คือผู้ที่พระองค์ทรงเห็นว่ายอมรับได้  เจ้าจึงควรอธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ซาตานได้ทำให้ข้าพระองค์เสื่อมทรามอย่างหนัก และมีอยู่บ่อยครั้งที่ข้าพระองค์ดำรงชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  ข้าพระองค์ไม่สามารถเอาชนะความมีหน้ามีตาและสถานะ รวมถึงการทดลองอันหลากหลายได้ และข้าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าควรรับมือการทดลองเหล่านี้อย่างไร  ข้าพระองค์ไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง  ขอพระองค์ประทานความรู้แจ้งและแนะนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” และ “ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน แต่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอ—สาเหตุหนึ่งก็คือข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ด้านทักษะ  ข้าพระองค์กังวลว่าจะทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่ดี  ขอพระองค์ทรงชี้แนะและช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด”  พระเจ้ากำลังรอให้เจ้ามาแสวงหาความจริง  เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ พระองค์จะประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะมีเส้นทางและรู้ว่าควรทำหน้าที่ของตนอย่างไร  หากเจ้าใช้ความพยายามอยู่เสมอในเรื่องที่เกี่ยวกับความจริง นำสภาวะที่แท้จริงของตนมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และขอการชี้แนะและพระคุณจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเริ่มเข้าใจและปฏิบัติความจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหนทางนี้ แล้วการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะมีสภาพเสมือนมนุษย์ มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และมีความเป็นจริงความจริง  หากเจ้าไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง มักจะวางแผน ไตร่ตรอง ใช้ความคิดและทำงานอย่างหนัก และถึงขั้นมอบชีวิตของเจ้าเพื่อผลประโยชน์ต่างๆ ทำทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรเพื่อผลประโยชน์เหล่านั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็อาจจะได้รับความเคารพจากผู้คน รวมทั้งผลประโยชน์และความภาคภูมิใจอันหลากหลาย—แต่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน สิ่งเหล่านี้หรือความจริง?  (ความจริง)  ผู้คนเข้าใจคำสิ่งนี้ กระนั้นพวกเขาก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเพียงให้ค่ากับผลประโยชน์และสถานะของตนเอง  ดังนั้นพวกเขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง หรือว่านี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง?  (เป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง)  ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนเขลา  พวกเขามองไม่เห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน  เมื่อพวกเขาสามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะมีวุฒิภาวะบ้างแล้ว  การนี้พึงต้องให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ใช้ความพยายามกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่อาจทำตัวเลอะเลือนและไม่เอาใจใส่  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วเมื่อถึงวันที่พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าเสร็จสิ้นการตรัสพระวจนะของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะตรัสสิ่งใดแก่มวลมนุษย์เหล่านี้อีก และไม่ปรารถนาที่จะทำสิ่งใดอีก ถึงเวลาแล้วที่จะตรวจสอบงานของมนุษย์” เจ้าก็ต้องถูกกำจัดออกไป  ไม่ว่าคนที่หนุนหลังเจ้าอยู่จะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษมากเพียงใด มีการศึกษาสูงเพียงใด หรือมีเกียรติยศมากขนาดไหน หรือมีตำแหน่งที่สำคัญเพียงใดในโลกนี้ สิ่งเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ถึงเวลานั้น เจ้าจะตระหนักในความล้ำค่าและความสำคัญของความจริง เจ้าจะเข้าใจว่าหากเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เจ้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้า และเจ้าจะรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่ได้รับความจริงนั้นน่าเวทนาและน่าเศร้าเพียงใด  ทุกวันนี้หัวใจของผู้คนจำนวนมากรู้สึกถึงเรื่องนี้กันอย่างเลือนรางบ้างแล้ว แต่ความรู้สึกนี้ก็ยังไม่ได้กระตุ้นให้เกิดความแน่วแน่ในตัวพวกเขาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขายังไม่รู้สึกถึงความล้ำค่าและความสำคัญของความจริง  ความตระหนักรู้เล็กน้อยย่อมไม่เพียงพอ เจ้าต้องมองเห็นแก่นแท้ของเรื่องนี้อย่างแท้จริงและชัดเจน  เมื่อเจ้ามองเห็นดังนั้นแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าควรใช้แง่มุมใดของความจริงมาแก้ไขปัญหานี้  ความจริงเท่านั้นที่สามารถแก้ไขความยากลำบากนานัปการที่ผู้คนเผชิญอยู่ได้ รวมทั้งแก้ไขความคิดอ่านที่บิดเบือนต่างๆ นานา ทัศนะที่ใจแคบ อุปนิสัยอันต่ำทราม ตลอดจนปัญหาต่างๆ จากความเสื่อมทรามของพวกเขา  พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ความจริงแก้ไขปัญหาทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง และเมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  หากเจ้าพึ่งพาแต่วิธีการของมนุษย์และความยับยั้งชั่งใจของมนุษย์เท่านั้นในการแก้ไขปัญหาใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะไม่มีวันสามารถแก้ไขความยากลำบากและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ได้  บางคนกล่าวว่า “หากฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และใช้เวลาอ่านพระวจนะวันละหลายชั่วโมง ฉันจะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้อย่างแน่นอนหรือไม่?”  นี่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร เจ้าสามารถเข้าใจความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่  หากเจ้าเพียงแต่ทำอย่างขอไปทีเวลาอ่านพระวจนะของพระองค์ และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับความจริง และหากเจ้าไม่ได้รับความจริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน  สรุปแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าคนเราต้องไล่ตามเสาะหาความจริง คนเราต้องไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  การเอาแต่อ่านพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ  การถนัดประกาศพระวจนะของพระเจ้าให้คนอื่นฟังเหมือนพวกฟาริสี และบอกพวกเขาว่าควรนำความจริงไปปฏิบัติอย่างไร แต่ตนเองกลับไม่ทำอย่างนั้น เป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง  พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระองค์ให้มากขึ้นเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง ปฏิบัติความจริง และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง  การที่พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์ และเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อกำหนดของพระองค์ที่ให้ผู้คนมอบหัวใจทั้งดวงและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน  ในการติดตามพระเจ้า ผู้คนต้องมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเพื่อที่จะสามารถบรรลุความรอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม

บทตัดตอน 35

ทีนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าจะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า?  ตัวอย่างเช่น บางครั้งที่งานยุ่ง ผู้คนต้องสู้ทนความยากลำบากบางอย่าง และต้องจ่ายราคาเล็กน้อยเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และแล้วบางคนก็เกิดมโนคติอันหลงผิดในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และมีการต้านทานเกิดขึ้นในตัวพวกเขา พวกเขาอาจคิดลบและไม่อยากทำงานของตน  บางครั้งที่งานไม่ยุ่ง และผู้คนก็ปฏิบัติหน้าที่กันง่ายขึ้น บางคนก็รู้สึกมีความสุขและคิดว่า “ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ของฉันง่ายอย่างนี้เสมอไปก็เยี่ยมเลย”  พวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พวกเขาเป็นคนเกียจคร้านที่ละโมบความสุขสบายทางเนื้อหนัง  ผู้คนเช่นนี้อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเช่นนี้อ้างว่าเต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้า แต่ความนบนอบของพวกเขามาพร้อมกับเงื่อนไข—สิ่งต่างๆ ต้องสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเอง และไม่เป็นเหตุให้พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ พวกเขาจึงจะนบนอบ  ถ้าพวกเขาเผชิญความทุกข์เข็ญและจำเป็นต้องสู้ทนความยากลำบาก พวกเขาย่อมบ่นมาก และถึงกับคัดค้านและกบฏต่อพระเจ้า  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทใด?  พวกเขาคือผู้คนที่ไม่รักความจริง  เมื่อการกระทำของพระเจ้าสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความอยากได้อยากมีของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้องสู้ทนความยากลำบากหรือจ่ายราคา พวกเขาก็สามารถนบนอบได้  แต่ถ้าพระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดหรือความชอบส่วนตนของพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคา พวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบได้  ต่อให้พวกเขาไม่ต่อต้านพระราชกิจอย่างเปิดเผย ในหัวใจของพวกเขาก็ต้านทานและรำคาญ  พวกเขามองว่าตนเองกำลังสู้ทนความยากลำบากอันใหญ่หลวง และพวกเขาเก็บงำคำพร่ำบ่นเอาไว้ในหัวใจของตน  นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  นี่แสดงว่าพวกเขาไม่รักความจริง  การอธิษฐาน การให้คำสัตย์ หรือการตั้งปณิธานจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้นปัญหานี้ควรแก้ไขอย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระองค์ และเข้าใจว่าความนบนอบที่แท้จริงคืออะไร  เจ้าต้องรู้ว่าความเป็นกบฏและการต่อต้านคืออะไร เจ้าต้องคิดทบทวนว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามข้อใดที่ขัดขวางไม่ให้เจ้านบนอบพระเจ้า และเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้  ถ้าเจ้าเป็นคนที่รักความจริง เจ้าย่อมจะขบถต่อเนื้อหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชอบส่วนตนทางเนื้อหนังของเจ้า แล้วจากนั้นจึงนบนอบพระเจ้าและปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระองค์  ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถแก้ไขความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของเจ้าได้ และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ไม่สามารถแยกแยะสภาวะภายในตัวเจ้า และมองไม่ออกว่าสิ่งใดขัดขวางไม่ให้เจ้านบนอบพระเจ้า  ดังนั้นจึงย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะขบถต่อเนื้อหนังและนบนอบพระเจ้า  ถ้าคนคนหนึ่งไม่สามารถแม้แต่จะขบถต่อความชอบส่วนตนทางเนื้อหนัง ก็ย่อมจะยากมากที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์การอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  สามารถมองได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้นบนอบพระเจ้า?  ถ้าไม่มีการอุทิศตน ผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ถึงมาตรฐานได้หรือไม่?  พวกเขาจะทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ถ้าคนคนหนึ่งอยากปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ถึงมาตรฐาน อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ถ้าบางคนไม่สามารถขบถต่อความชอบส่วนตนทางเนื้อหนัง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ  ถ้าเจ้ามักจะกระทำการตามเจตจำนงของตนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้า  ต่อให้เจ้านบนอบพระองค์เป็นครั้งคราว นั่นย่อมมีเงื่อนไข เจ้าจะนบนอบได้ก็ต่อเมื่อสิ่งต่างๆ สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าและเมื่อเจ้าอารมณ์ดีเท่านั้น  ถ้าการกระทำของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า ถ้าหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้และสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เจ้านั้นนำความยากลำบากอันใหญ่หลวง ความอับอาย หรือความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงมาให้เจ้า เจ้าจะยังคงนบนอบได้หรือไม่?  ย่อมจะยากที่เจ้าจะนบนอบ เจ้าจะหาเหตุผลมากมายมากบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์  แม้เมื่อทบทวนตนเองในภายหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะขบถต่อเนื้อหนัง เพราะการขบถต่อเนื้อหนังไม่ใช่เรื่องง่าย  คนเราขบถต่อเนื้อหนังกันอย่างไร?  แน่นอนว่าคนเราต้องแสวงหาความจริง  คนเราต้องยอมรับแก่นแท้อันเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์อันเสื่อมทรามของตน จนถึงจุดที่เกลียดชังตนเอง  เกลียดชังความชอบส่วนตนทางเนื้อหนังและแก่นแท้ของเนื้อหนังอีกด้วย  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเต็มใจขบถต่อเนื้อหนัง  ถ้าคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะไม่สามารถเกลียดชังสิ่งต่างๆ ทางเนื้อหนัง และเมื่อไม่มีความเกลียดชัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขบถต่อเนื้อหนัง  ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์เพื่อที่จะมีเส้นทางให้เดิน  หากไม่มีความจริง ผู้คนย่อมไร้ความเข้มแข็ง และพวกเขาก็จะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ ต่อให้พวกเขาอยากจะทำเช่นนั้นก็ตาม  แน่นอนที่สุดว่าคนเราต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์

บางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเอาแต่ละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความยากลำบากเพื่อที่จะเข้าถึงความจริง  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญความยากลำบากแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็คร่ำครวญและพร่ำบ่นพระเจ้า และไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้  พวกเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้าอีกด้วยโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า อัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ช่างสูงส่ง  ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะรักพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบนอบพระองค์  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใด ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบนอบพระองค์  ขอพระองค์ทรงนำทาง ประทานความกระจ่างและความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์  ถ้าข้าพระองค์ไม่สามารถรักพระองค์และนบนอบพระองค์ได้อย่างแท้จริง โปรดทรงพินิจพิเคราะห์และลงโทษข้าพระองค์  ขอทรงพิพากษาข้าพระองค์เถิด”  หลังจากอธิษฐานเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีไม่น้อยกับการอธิษฐานของตน แต่นี่เป็นเพียงคำพูดอันว่างเปล่ากองหนึ่งมิใช่หรือ?  การอธิษฐานด้วยถ้อยคำอันว่างเปล่าและสาธยายคำพูดและคำสอนอยู่เป็นนิจช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อคนคนหนึ่งอธิษฐานด้วยถ้อยคำที่ว่างเปล่า นี่เป็นปัญหาประเภทใด? นี่ย่อมมีธรรมชาติของการหลอกลวงอยู่บ้างมิใช่หรือ?  การอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเช่นนี้มีประโยชน์หรือไม่?  การเกียจคร้านและไม่สามารถสู้ทนความทุกข์ พลางละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง การรู้ความจริง แต่กลับไม่สามารถนบนอบความจริง การรู้หน้าที่ของตน แต่กลับล้มเหลวที่จะดูแลรับผิดชอบหน้าที่นั้น และการพูดว่าตนอยากจะรักพระเจ้าเพียงใด ทั้งที่รู้ว่าตนไม่ได้มอบหัวใจทั้งดวงและพละกำลังทั้งหมดของตนให้—นี่คือการหลอกลวงพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงเกลียดมากไปกว่าการอธิษฐานตามพิธีทางศาสนา  พระเจ้าทรงยอมรับคำอธิษฐาน เมื่อคำอธิษฐานเหล่านั้นจริงใจเท่านั้น  ถ้าเจ้าไม่มีคำพูดอันจริงใจที่จะกล่าว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงเงียบ จงอย่ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วกล่าวคำพูดอันเป็นเท็จอยู่เสมอหรือหลับหูหลับตาแต่งคำสัตย์สาบานเพื่อหลอกลวงพระองค์ จงอย่าพูดว่าเจ้ารักพระองค์มากเพียงใด หรือพูดว่าเจ้าอยากจะจงรักภักดีต่อพระองค์มากเพียงใด  ถ้าเจ้าไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความอยากของเจ้า ถ้าเจ้าไม่มีความตั้งใจที่แน่วแน่และวุฒิภาวะนี้ เจ้าต้องไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานเช่นนั้นโดยเด็ดขาด  นั่นเป็นการเยาะเย้ยพระเจ้า  การเยาะเย้ยหมายถึงอะไร?  การเยาะเย้ยหมายถึงการทำให้บางคนกลายเป็นตัวตลก ไม่ใส่ใจในความรู้สึกของพวกเขา  เมื่อผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานด้วยอุปนิสัยประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยที่สุด นี่คือการหลอกลวง  อย่างเลวร้ายที่สุด ถ้าเจ้าทำเช่นนี้บ่อยๆ เจ้าย่อมเป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะอันต่ำช้าอย่างถึงที่สุด  ถ้าพระเจ้าทรงต้องกล่าวโทษเจ้า พระองค์คงจะทรงเรียกการกระทำนี้ว่าการสบประมาท!  ผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าจะยำเกรงพระองค์อย่างไร หรือจะรักพระองค์และทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างไร  ถ้าความจริงไม่แจ่มชัดสำหรับพวกเขา หรือถ้าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พระเจ้าจะทรงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป  แต่พวกเขากลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนำวิธีที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้หลอกลวงคนอื่นมาใช้ กับพระเจ้า  และพวกเขาคุกเข่าอธิษฐาน “อย่างเคร่งขรึม” เฉพาะพระพักตร์พระองค์ โดยใช้คำพูดเหล่านี้ทดสอบและหลอกลวงพระเจ้า เมื่อพวกเขาอธิษฐานเสร็จแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตำหนิตนเอง แต่พวกเขายังไม่มีสำนึกถึงความจริงจังของสิ่งที่พวกเขากระทำด้วย  ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าสถิตกับพวกเขาหรือไม่?  พระเจ้าไม่ได้สถิตกับพวกเขา  ใครบางคนที่พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับเขาอย่างแน่นอนจะน้อมรับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระองค์ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดังนั้นพวกเขาย่อมตกที่นั่งลำบาก  พวกเจ้าเคยอธิษฐานเช่นนั้นไปหลายคราวหรือไม่?  เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้นบ่อยใช่ไหม? (ใช่) เมื่อผู้คนใช้เวลาอยู่ในสังคมทางโลกนานเกินไป พวกเขาย่อมส่งกลิ่นเหม็นของสังคม ธรรมชาติอันสับปลับของพวกเขาเริ่มร้ายแรงเกินไป และพวกเขาก็เต็มไปด้วยพิษและปรัชญาของซาตาน สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาจึงเป็นคำเท็จและคำลวง คำอธิษฐานของพวกเขาก็เต็มไปด้วยวาจาอันว่างเปล่าและคำสอน ไร้ซึ่งถ้อยคำที่มาจากหัวใจ หรือการพูดถึงความยากลำบากจริงๆ ของตน  พวกเขาวิงวอนขอสิ่งที่ตนชอบจากพระเจ้าและแสวงหาพรจากพระองค์อยู่เสมอ แทบจะไม่มีหัวใจที่แสวงหาความจริง และพวกเขาก็ไม่ได้อธิษฐานด้วยหัวใจที่นบนอบพระเจ้า  คำอธิษฐานเช่นนั้นย่อมเปิดเผยให้เห็นแต่ความหลอกลวงและความเท็จเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าพวกเขากลายเป็นปีศาจที่มีชีวิตไปแล้ว  ตอนที่มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่ได้กล่าววาจาของมนุษย์หรือกล่าวจากหัวใจ  แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับนำการหลอกลวงและความเทียมเท็จของซาตานมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นี่ย่อมเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ?  พระเจ้าจะทรงสดับคำอธิษฐานเช่นนี้ได้หรือ?  พระเจ้าทรงรู้สึกรังเกียจคนเช่นนี้และไม่โปรดพวกเขาอย่างแน่นอน  คำอธิษฐานเช่นนี้อาจกล่าวเพื่อที่จะพยายามลวงและหลอกพระเจ้าก็เป็นได้  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้แสวงหาความจริงแต่อย่างใด พวกเขาไม่ได้พูดออกมาจากหัวใจและไม่ได้เล่าความในใจให้พระเจ้าฟัง  คำอธิษฐานของพวกเขาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระองค์  ในระดับรากเหง้า เรื่องนี้มีต้นเหตุจากธรรมชาติของมนุษย์มากกว่าการเปิดเผยความเสื่อมทรามออกมาชั่วขณะ  ผู้คนเหล่านี้คิดว่า “จะว่าไป ฉันก็ไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกถึงพระเจ้า และไม่รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่ใด  ฉันจะกล่าวคำกับพระเจ้าไปตามโอกาสก็แล้วกัน ใครจะไปรู้ว่าพระองค์กำลังฟังอยู่หรือเปล่า”  พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยกรอบความคิดที่คลางแคลงและหมายจะทดสอบพระองค์—พวกเขาจะมีความรู้สึกเช่นใดหลังจากอธิษฐานแบบนั้น?  ไม่ใช่ยังคงกลวงเปล่าหรอกหรือ?  การไม่รู้สึกอะไรเลยไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  คำอธิษฐานก่อเกิดบนรากฐานของความเชื่อ  เป็นการอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน การพูดกับพระเจ้าจากหัวใจ เปิดใจของตนให้กับพระองค์ และแสวงหาความจริงจากพระองค์  เมื่อผู้คนอธิษฐานด้วยวิธีนี้ พวกเขาย่อมจะรู้สึกถึงสันติสุขภายในและรู้สึกถึงการสถิตของพระเจ้า  นี่คือการที่พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครมองเห็น  เมื่อไรก็ตามที่คนเราอธิษฐานถึงพระเจ้าจากหัวใจเช่นนี้ พวกเขาก็จะรู้สึกราวกับว่าได้เข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตนเอง  ความเชื่อของพวกเขาจะเข้มแข็งขึ้น ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระเจ้าจะแนบแน่นขึ้น และพวกเขาจะเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นอีกก้าว  พวกเขาจะรู้สึกเติมเต็ม และจะมีความแน่วแน่ในหัวใจเป็นพิเศษ  ความรู้สึกเหล่านี้เป็นความรู้สึกแท้จริงที่เกิดขึ้นหลังการอธิษฐาน  เวลาสวดคำอธิษฐานทางศาสนา ผู้คนเพียงแต่สวดกันไปตามขั้นตอนเท่านั้น กล่าววลีเดิมไม่กี่วลีซ้ำๆ ทุกวัน จนถึงจุดที่พวกเขาไม่อยากกล่าวคำอธิษฐานเหล่านั้นอีกต่อไป  หลังการอธิษฐานเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่รู้สึกอะไร และไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ใดๆ  ผู้คนเช่นนี้จะมีความเชื่อที่แท้จริงได้หรือไม่?  ย่อมเป็นไปไม่ได้

บางคนไม่อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขามักทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ของตนยากและเหน็ดเหนื่อยเกินไป  พวกเขาไม่อยากนบนอบ ต้องการที่จะหลบหนีและปฏิเสธหน้าที่อยู่เป็นนิจ และอยากปฏิบัติหน้าที่ที่ง่ายกว่าอยู่เสมอ หน้าที่ที่ไม่ทำให้พวกเขาต้องเผชิญสภาพอากาศต่างๆ หน้าที่ที่ไม่ได้มาพร้อมความเสี่ยงใดๆ และเอื้อให้พวกเขาได้รับความสุขสบายทางเนื้อหนังของตน  พวกเขารู้อยู่ในหัวใจว่าตนนั้นเกียจคร้าน ละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่สามารถสู้ทนความยากลำบากได้  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยแสดงความคิดที่แท้จริงของตนให้ใครรู้ ด้วยเกรงว่าจะถูกหัวเราะเยาะ  ปากของพวกเขาพูดว่า “ฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีและอุทิศตนให้พระเจ้า” และเมื่อพวกเขาล้มเหลวในการทำสิ่งใดให้ดี พวกเขาก็บอกทุกคนว่า “ฉันไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และไม่อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเอง”  อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง พวกเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย  เมื่อคนเราอยู่ในสภาวะเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถอธิษฐานอย่างมีเหตุผลได้อย่างไร?  องค์พระเยซูเจ้าตรัสบอกให้นมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจของตนและด้วยความซื่อสัตย์  เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หัวใจของเจ้าต้องซื่อสัตย์และปราศจากความเทียมเท็จ  จงอย่าพูดสิ่งหนึ่งต่อหน้าคนอื่นขณะที่หัวใจของเจ้ากำลังคิดต่างออกไป  ถ้าเจ้ามาเสแสร้งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กล่าววาจาที่ไพเราะรื่นหูเหมือนกำลังพยายามแต่งเรียงความสักเรื่อง การทำเช่นนี้คือการหลอกลวงพระเจ้ามิใช่หรือ?  ผลก็คือพระเจ้าย่อมจะทรงเห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนที่นมัสการพระองค์ด้วยหัวใจของตนและด้วยความซื่อสัตย์  พระองค์จะทรงเห็นว่าหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์ หัวใจของเจ้าร้ายกาจและเลวยิ่ง และเจ้ามีเจตนาอันชั่ว แล้วพระองค์ก็จะทรงทอดทิ้งเจ้า  ดังนั้นผู้คนจึงควรอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดกับตนบ่อยๆ และปัญหาที่พวกเขามักจะเผชิญในชีวิตประจำวันของตนอย่างไร?  พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะพูดกับพระเจ้าจากหัวใจ  เจ้าจงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์พบว่าหน้าที่นี้เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน  ข้าพระองค์เป็นคนละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง เป็นคนเกียจคร้าน และไม่ชอบงานหนัก  ข้าพระองค์ไม่สามารถอุทิศตนให้หน้าที่ที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำได้ และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำ  ข้าพระองค์อยากจะหนีและปฏิเสธหน้าที่นี้เสมอ อีกทั้งปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินตลอดเวลา  ได้โปรดบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด”  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่ ถ้อยคำเหล่านี้เป็นความจริง)  เจ้ากล้าพูดอย่างนี้หรือไม่?  เจ้ากลัวสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าวันหนึ่งพระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าจริงๆ หลังจากที่เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้ารู้สึกหวาดกลัว กังวลตลอดเวลา และหวาดระแวง  เมื่อผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงความยากลำบากเสมอ  พวกเขาละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังและอยากจะถอยหนีเมื่อเผชิญความยุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ เมื่อต้องอาศัยความพยายามบ้าง หรือเมื่อพวกเขารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย  พวกเขาเลือกเฟ้นอยู่เป็นนิจ และพอเผชิญความยากลำบากสักเล็กน้อย พวกเขาก็ครุ่นคิดว่า “พระเจ้าทรงทราบหรือไม่?  พระองค์จะทรงจำได้หรือไม่?  หลังจากสู้ทนความยากลำบากอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ในอนาคตฉันจะได้รางวัลบ้างหรือไม่?”  พวกเขาแสวงหาผลลัพธ์เสมอ  ปัญหาเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องแก้ไข  ที่ผ่านมาเราเคยมอบหมายให้บางคนถ่ายทอดเนื้อความหนึ่ง เมื่อเขากลับมารายงานเรา เขาก็เล่าถึงผลสัมฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของตนเป็นอย่างแรก  เขาอธิบายว่าเขาแก้ปัญหาอย่างไร พลางเล่าว่าเขากังวลเกี่ยวกับปัญหานั้นมากเพียงใดและเขาต้องพูดมากมายขนาดไหน การรับมือคนคนนั้นยากเพียงใด และเขาต้องใช้วาจาอันไพเราะกับพวกเขาไปมากขนาดไหน ถึงได้ทำงานนั้นแล้วเสร็จในที่สุด  เขาแสดงตนเป็นเจ้าของผลงานและพร่ำพูดเรื่องนั้นอยู่เป็นนิจ  ความนัยที่แฝงอยู่ในการกระทำนี้คืออะไร?  “พระองค์ต้องทรงชมเชยข้าพระองค์ ต้องให้สัญญากับข้าพระองค์ และตรัสบอกว่าข้าพระองค์จะได้รับรางวัลอะไรในอนาคต”  เขากำลังแสวงหารางวัลอย่างเปิดเผย  จงบอกเราเถิดว่าการทำงานชิ้นเล็กๆ นี้ควรค่าแก่คำชมเชยหรือไม่?  ถ้าคนเราเอาแต่แสวงหาคำชมเชยจากการปฏิบัติหน้าที่เล็กน้อยของตน นั่นย่อมเป็นอุปนิสัยเช่นใด?  นั่นคือธรรมชาติของซาตานมิใช่หรือ?  เขาคาดหวังคำชมเชยและรางวัลจากงานชิ้นเล็กๆ นี้—นี่หมายความว่าถ้าเขาต้องรับผิดชอบงานที่สำคัญหรือทำงานชิ้นใหญ่ให้สำเร็จลุล่วง พฤติกรรมของเขาย่อมจะเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้มิใช่หรือ?  ถ้าเขาไม่ได้รับความเห็นชอบและพรจากพระเจ้า เขาจะกบฏไหม?  เขาจะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่สามและโต้แย้งพระเจ้าหรือไม่?  เมื่อเป็นเช่นนั้นเขากำลังเดินบนทางเส้นใดในการเชื่อในพระเจ้าของตน?  (เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์)  เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ เหมือนกับเปาโล  เปาโลแสวงหารางวัลและสถานะจากพระเจ้าอยู่เสมอ  ถ้าพระเจ้าไม่ให้สถานะ เขาก็จะคิดลบและจะหย่อนยานในงานของตน ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรยศพระองค์  จงบอกเราเถิดว่าคนประเภทใดที่อยากได้รางวัลหลังจากสู้ทนความยากลำบากเล็กน้อยในหน้าที่?  (คนชั่ว)  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นชั่วช้ามาก  ผู้คนทั่วไปมีสภาวะเหล่านี้ภายในตนเองหรือไม่?  ทุกคนมีสภาวะเหล่านี้  แก่นแท้ธรรมชาติภายในตัวทุกคนนั้นเหมือนกัน เพียงแต่บางคนไม่ได้แสดงแก่นแท้ธรรมชาตินี้ออกมารุนแรงเท่าคนอื่น  พวกเขารู้จักใช้เหตุผลและรู้ว่าการกระทำและความคิดเช่นนั้นไม่ถูกต้อง และรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถร้องขอรางวัลจากพระเจ้าได้  แต่คนเราควรทำอย่างไรกับสภาวะเช่นนี้?  คนเราต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะดังกล่าว  แง่มุมใดของความจริงสามารถแก้ไขสภาวะนี้ได้?  เรื่องสำคัญที่ผู้คนควรรู้คือพวกเขาเป็นใคร พวกเขาควรยืนอยู่ในฐานะใด พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางใด และพวกเขาควรเป็นคนประเภทใด  อย่างน้อยที่สุดเรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่คนเราควรรู้  ถ้าผู้คนไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็ยังห่างไกลจากการเข้าใจความจริง การปฏิบัติความจริง หรือการไล่ตามเสาะหาความรอด

เมื่อถึงคราวต้องปฏิบัติหน้าที่พิเศษหรือหน้าที่ที่ต้องบากบั่นและเหน็ดเหนื่อยบางอย่าง ในแง่หนึ่งผู้คนต้องใคร่ครวญเสมอว่าจะปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอย่างไร พวกเขาควรสู้ทนความยากลำบากอะไรบ้าง และพวกเขาควรค้ำจุนหน้าที่ของตนและนบนอบอย่างไร  ในอีกแง่หนึ่ง ผู้คนต้องตรวจสอบด้วยว่าเจตนาของตนมีสิ่งใดเจือปนอยู่ และสิ่งเจือปนเหล่านี้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  ผู้คนเกิดมาพร้อมความไม่ชอบที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก—ไม่มีใครสักคนที่กระตือรือร้นมากขึ้นหรือเบิกบานมากขึ้นจากการสู้ทนความยากลำบากมากขึ้น  ไม่มีคนเช่นนั้นในโลก  นี่คือธรรมชาติของเนื้อหนังมนุษย์ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลและทุกข์ใจทันทีที่เนื้อหนังของพวกเขาต้องสู้ทนความยากลำบาก  แต่ตอนนี้พวกเจ้าต้องสู้ทนความยากลำบากมากเพียงใดในหน้าที่ที่พวกเจ้าปฏิบัติอยู่?  เจ้าเพียงแต่ต้องสู้ทนการที่เนื้อหนังของตนรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยและตรากตรำเล็กน้อยเท่านั้น  ถ้าเจ้าไม่สามารถสู้ทนแม้เพียงความยากลำบากเล็กน้อยเช่นนี้ จะมองว่าเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่ได้หรือ?  จะมองว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจได้หรือ?  (ไม่ได้)  นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้  เวลาเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมไม่มีใครคอยกำกับดูแลเจ้า  ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับการที่เจ้าใช้ความคิดริเริ่มเอาเอง  ในพระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดแจงเตรียมงานและมีระบบงาน และบุคคลทั้งหลายต้องพึ่งพาความเชื่อของตน พึ่งพามโนธรรมกับสำนึกของตนกันเอาเอง  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงพินิจพิเคราะห์ว่าเจ้าทำหน้าที่ดีหรือไม่ดี  แล้วขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือเวลาเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวนั้น ไม่ว่าผู้คนจะเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรออกมาก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่เคยตระหนักรู้ว่าทำเช่นนั้น และไม่เคยรู้สึกว่าเสื่อมเสีย นี่ย่อมเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  ทำไมจึงมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี?  มโนธรรมและสำนึกของมนุษย์มีมาตรฐานขั้นต่ำอยู่  ถ้ามโนธรรมของเจ้าไร้ความตระหนักรู้และไม่สามารถยับยั้งเจ้าไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีหรือควบคุมพฤติกรรมของเจ้าได้ ถ้าเจ้าทำอะไรในทางที่ละเมิดกฤษฎีกาบริหารและหลักธรรม และในทางที่ไร้สภาวะความเป็นมนุษย์ แต่หัวใจของเจ้ากลับไม่รู้สึกว่าเสื่อมเสีย นี่ก็คือการขาดบรรทัดฐานทางศีลธรรมมิใช่หรือ?  นี่เป็นการไม่ตระหนักรู้มโนธรรมของเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ปกติพวกเจ้าตระหนักรู้มโนธรรมของตนหรือไม่เมื่อพวกเจ้าทำสิ่งผิด หรือละเมิดหลักธรรม หรือเมื่อพวกเจ้าไม่อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลานานๆ?  (ตระหนักรู้)  เช่นนั้นแล้ว มโนธรรมของเจ้าสามารถหยุดยั้งเจ้าและพาให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ ตามมโนธรรมและสำนึกของตน โดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้หรือไม่?  ถ้าเจ้าเป็นคนที่เข้าใจความจริง เจ้าสามารถเปลี่ยนจากการทำตามมโนธรรมของเจ้าไปเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้หรือไม่?  ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นได้ เจ้าก็สามารถได้รับการช่วยให้รอด  การสามารถสู้ทนความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  การปฏิบัติงานเฉพาะกิจบางประเภทให้ดีก็ไม่ง่ายเช่นกัน  แน่นอนว่าความจริงในพระวจนะของพระเจ้าย่อมทำงานภายในตัวผู้คนที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเกิดมาโดยไม่กลัวความยากลำบากและเหนื่อยล้า  แล้วจะพบเจอคนแบบนี้ได้ในที่ใด?  คนเหล่านี้ทุกคนมีแรงจูงใจบางประการ และพวกเขามีความจริงบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานของตน  เมื่อพวกเขาเริ่มทำหน้าที่ของตน มุมมองและจุดยืนของพวกเขาก็เปลี่ยนไป—การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขากลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และการสู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าทางเนื้อหนังบ้างก็เริ่มจะไม่สำคัญในความรู้สึกของพวกเขา  คนที่ไม่เข้าใจความจริงและคนที่มุมมองในสิ่งต่างๆ ของพวกเขายังไม่เปลี่ยนไปนั้นย่อมดำรงชีวิตตามแนวคิด มโนคติอันหลงผิด และความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ ตลอดจนความชอบส่วนตน ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลและไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ตัวอย่างเช่น เมื่อถึงคราวต้องทำงานที่สกปรกและเหน็ดเหนื่อย บางคนกล่าวว่า “ฉันจะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าคริสตจักรจะจัดเตรียมหน้าที่อะไรให้ฉัน ฉันก็จะปฏิบัติหน้าที่นั้น ไม่ว่างานนั้นจะสกปรกหรือเหน็ดเหนื่อย น่าประทับใจหรือธรรมดา  ฉันก็ไม่เรียกร้องสิ่งใด และฉันจะยอมรับว่างานนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน  นี่คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำ ความสกปรกเล็กน้อยและความเหนื่อยล้านิดหน่อยเป็นความยากลำบากที่ฉันควรสู้ทน”  ผลก็คือเมื่อพวกเขาทำงานของตน พวกเขาไม่รู้สึกว่ากำลังสู้ทนความยากลำบากใดๆ  ขณะที่คนอื่นอาจพบว่างานนั้นสกปรกและเหน็ดเหนื่อย พวกเขากลับพบว่างานนั้นง่าย เพราะหัวใจของพวกเขาสงบและไม่มีสิ่งใดรบกวน  พวกเขากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า จึงไม่รู้สึกว่างานนั้นยาก  บางคนมองว่าการทำงานที่สกปรก เหน็ดเหนื่อย หรือธรรมดา เป็นการปรามาสสถานะและบุคลิกลักษณะของพวกเขา  พวกเขามองว่าคนอื่นกำลังไม่เคารพตน กลั่นแกล้งตน หรือดูถูกตน  ผลก็คือแม้เมื่อเผชิญงานเดียวกันในปริมาณที่เท่ากัน พวกเขาก็เห็นว่ากินแรง  ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็พกความรู้สึกขุ่นเคืองไว้ในหัวใจของตน และรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่พวกเขาอยากให้เป็น หรือรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่น่าพอใจ  ภายในตัวพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดลบและการต่อต้าน  ทำไมพวกเขาถึงคิดลบและต่อต้าน?  อะไรคือรากเหง้าของปัญหานี้?  ส่วนมากเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เงินเดือนจากการปฏิบัติหน้าที่ จึงรู้สึกเหมือนทำงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน  ถ้ามีรางวัลให้ พวกเขาอาจจะยอมรับได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะได้รางวัลหรือไม่  ดังนั้น ผู้คนจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะปฏิบัติหน้าที่ คิดว่าเป็นการทำงานโดยไม่ได้อะไร บ่อยครั้งพวกเขาจึงคิดลบและต่อต้านเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  พูดตามตรง ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่  แล้วในเมื่อไม่มีใครบังคับพวกเขา เพราะเหตุใดพวกเขาจึงยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาบังคับตนเอง—เพราะพวกเขาอยากได้รับพรและอยากเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปฏิบัติหน้าที่ของตน  นั่นเป็นการสำแดงว่าพวกเขาไร้ซึ่งทางเลือกเพียงใด  นี่คือกรอบความคิดเบื้องหลังการที่พวกเขาพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า  บางคนถามว่าผู้คนเช่นนี้จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องการมีความคิดลบและการต้านทานอยู่ในหัวใจของพวกเขาได้อย่างไร  ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการสามัคคีธรรมความจริงเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่รักความจริง ไม่ว่าจะมีการสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่สามารถยอมรับความจริงได้  ในกรณีนั้น พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาได้ถูกเผยแล้ว  เนื่องจากพวกเขาอยากทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนและจะไม่ทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา ถ้าพระเจ้าทรงสัญญากับพวกเขาว่าจะให้รางวัลและให้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และเขียนใบรับประกันให้พวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้น  ในความเป็นจริง สัญญาของพระเจ้านั้นเปิดกว้าง และผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็สามารถได้รับสัญญาจากพระองค์  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมไม่สามารถได้รับสัญญา  ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องสัญญาของพระเจ้า เพียงแต่หัวใจของพวกเขารู้สึกว่าสัญญาของพระเจ้าจับต้องไม่ได้และไม่แน่นอน  พวกเขามองว่าสัญญาของพระเจ้าเป็นเช็คที่ขึ้นเงินไม่ได้—พวกเขาไม่อาจเชื่อในสัญญาของพระองค์ได้ พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในสัญญาของพระองค์ และไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้  พวกเขาอยากได้สิ่งที่จับต้องได้ และถ้าเจ้าจ่ายเงินเดือนให้พวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีกำลังวังชาขึ้นมา  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมและสำนึกอาจไม่จำเป็นต้องมีแรงขึ้นมาก็ได้ พวกเขาน่ารังเกียจมาก  ถ้าพวกเขาได้งานในสังคมทางโลก พวกเขาก็จะไม่ขยันทำงาน จะเหลวไหลและหย่อนยาน และแน่นอนว่าพวกเขาจะถูกไล่ออก  ชัดเจนว่านี่เป็นปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติของพวกเขา  สำหรับคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ วิธีเดียวที่จะแก้ไขก็คือกำจัดและเอาตัวพวกเขาออกไป  ไม่มีหนทางอื่นสำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง  ข้อแก้ตัวและเหตุผลที่พวกเขาใช้สร้างความชอบธรรมให้ตนเองล้วนไม่สมเหตุสมผล และไม่จำเป็นต้องหารือเรื่องลักษณะนิสัยของพวกเขาเลย

ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้ว  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าหน้าที่คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร และใครเป็นผู้มอบหมายหน้าที่เหล่านั้น?  (หน้าที่คือพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ผู้คนทำ)  ถูกต้องแล้ว  ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้าและมาที่พระนิเวศของพระองค์ ถ้าเจ้าสามารถน้อมรับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระองค์  งานที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า วิธีที่พระเจ้าตรัสให้เจ้าทำตาม และพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำคือหน้าที่ของเจ้า และหน้าที่เหล่านั้นคือสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  เวลาที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จงทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ จงฟังและทำความเข้าใจการจัดการเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้ในหัวใจของตนว่าเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ใด และเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบใดบ้าง และเมื่อเจ้าน้อมรับพระบัญชาของพระเจ้าและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าย่อมกลายเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พระเจ้าย่อมมองว่าเจ้าคือสมาชิกในพระนิเวศของพระองค์และเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระราชกิจของพระองค์  เมื่อมาถึงจุดนี้ เจ้าย่อมมีหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรได้ ไม่ว่าเจ้าจะสัมฤทธิ์สิ่งใดได้ สิ่งเหล่านั้นก็คือความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นหน้าที่ของเจ้า  กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือพระบัญชาของพระเจ้า เป็นภารกิจของเจ้า และหน้าที่ที่เจ้าต้องทำ  หน้าที่ทั้งหลายมาจากพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบและพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่มนุษย์  เช่นนั้นแล้วมนุษย์ควรเข้าใจหน้าที่เหล่านี้ว่าอย่างไร?  “ในเมื่อนี่คือหน้าที่ของฉันและเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำ ก็ย่อมเป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของฉัน  การที่ฉันยอมรับไว้ในฐานะหน้าที่ที่ฉันต้องทำนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว  ฉันไม่สามารถบอกปัดหรือปฏิเสธ ฉันไม่สามารถเลือกเฟ้น  สิ่งที่ตกมาถึงฉันย่อมเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำอย่างแน่นอน  ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือก—แต่ว่าฉันไม่ควรเลือกต่างหาก  นี่คือสำนึกที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรจะมี”  นี่คือท่าทีที่นบนอบ  เวลาปฏิบัติหน้าที่ บางคนเลือกที่รักมักที่ชังอยู่เป็นนิจ อยากทำงานที่ง่ายและงานที่พวกเขาทำแล้วสนุกอยู่ร่ำไป ไม่สามารถนบนอบการจัดแจงเตรียมการโดยพระนิเวศของพระเจ้า  นี่แสดงว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และแสดงว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลตามปกติของมนุษย์  ถ้าเป็นคนที่อายุยังน้อย ได้รับการประคบประหงมและตามใจจากที่บ้าน ไม่เคยมีประสบการณ์กับความยากลำบากใดๆ ก็เข้าใจได้ที่พวกเขาจะเป็นคนเอาแต่ใจอยู่บ้าง  ตราบเท่าที่พวกเขายอมรับความจริงได้ ลักษณะเช่นนี้ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป  อย่างไรก็ดี ถ้าผู้ใหญ่ในวัยสามสิบกว่าหรือสี่สิบกว่าประพฤติตนน่ารังเกียจเยี่ยงนี้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นปัญหาของความเกียจคร้าน  โรคเกียจคร้านเป็นโรคที่มีมาแต่กำเนิดและรักษายากที่สุด  ความเกียจคร้านเป็นปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติของคนเรา และเฉพาะเมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นในสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์นั้นๆ แล้วเท่านั้น ผู้คนเช่นนี้จึงจะสามารถสู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าได้บ้าง  เหมือนที่ขอทานบางคนรู้ดีว่าการเป็นขอทานทำให้คนอื่นดูหมิ่นและเลือกปฏิบัติกับตน แต่เพราะความเกียจคร้านและไม่เต็มใจที่จะทำงาน พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหันไปขอทาน  มิฉะนั้นพวกเขาก็จะต้องอดตาย  สรุปแล้วถ้าผู้คนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเอาจริงเอาจังและมีความรับผิดชอบ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไป  การฝ่าฝืนอันร้ายแรงที่สุดคือการเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่นบนอบพระองค์  ถ้าเจ้าไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือไม่ชอบลำบากและกลัวการออกแรงอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมและสำนึก  เจ้าไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่ และเจ้าควรออกไปเสีย  สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าตระหนักว่าการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นเท่ากับการปฏิเสธพระบัญชาที่พระผู้สร้างได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และตระหนักว่าเจ้าคือคนที่กำลังกบฏต่อพระเจ้า ไร้ซึ่งมโนธรรมและสำนึก เมื่อเจ้าตระหนักว่าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และตระหนักว่านั่นคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เมื่อนั้นเจ้าก็ลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควร  นี่คือความนบนอบ  ถ้าคนเราเป็นกบฏหรือคิดลบในหน้าที่ของตน นั่นคือ ถ้าพวกเขาแสดงให้เห็นการไม่นบนอบพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง คนเช่นนั้นก็ไม่ได้สละเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ  การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยความเต็มใจเป็นการแสดงการนบนอบพระเจ้าขั้นต่ำสุด  แล้วหน้าที่เกิดขึ้นมาอย่างไร?  (หน้าที่มาจากพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายแก่ผู้คน)  หน้าที่คือความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่ผู้คน แล้วผู้ไม่มีความเชื่อมีหน้าที่หรือไม่?  (ไม่มี)  ทำไมเจ้าถึงบอกว่าพวกเขาไม่มีหน้าที่?  (พวกเขาไม่ใช่คนในพระนิเวศของพระเจ้า)  นั่นถูกต้อง  ผู้ไม่มีความเชื่อเอาแต่วุ่นวายอยู่กับชีวิตทางเนื้อหนังของตนเท่านั้น และการกระทำของพวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเรียกว่าหน้าที่  ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นคนของทางโลกและคนของซาตาน  พระเจ้าเพียงแต่ทรงจัดเตรียมชะตาชีวิตให้พวกเขาเท่านั้น—เวลาเกิดของพวกเขา ครอบครัวที่พวกเขาไปเกิดด้วย งานที่พวกเขาทำเมื่อโตขึ้น และเวลาตายของพวกเขา—พระองค์ไม่ทรงเลือกพวกเขา และไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้านั้นต่างออกไป  ในระดับที่เล็กลงมา งานทั้งหมดที่พวกเขาทำในพระนิเวศของพระเจ้าคือหน้าที่ที่พวกเขาควรปฏิบัติ  ในระดับที่กว้างขึ้น ภายในแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงคือการให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า  กล่าวง่ายๆ ก็คือ พวกเขากำลังให้การปรนนิบัติเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะให้การปรนนิบัติด้วยการอุทิศตนหรือไม่ เจ้าก็ยังห่างไกลจากการเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  อันที่จริงจะมองผู้คนว่าเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างแท้จริง สัมฤทธิ์ผลในการเป็นพยานให้พระเจ้า และได้รับความเห็นชอบจากพระองค์เท่านั้น  ถ้าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ทุกประการที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้าได้ดีและทำหน้าที่ดังกล่าวได้ตามมาตรฐาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นคนที่พระเจ้าทรงยอมรับในฐานะคนในพระนิเวศของพระองค์

บทตัดตอน 36

เนื้อร้องของเพลง “การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เป็นความน่ายินดีอย่างยิ่ง” ล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากทั้งสิ้น และเราได้เลือกบางบรรทัดเพื่อสามัคคีธรรมกัน  พวกเรามาสามัคคีธรรมกันก่อนในบรรทัดที่ว่า “ฉันค้ำจุนหน้าที่ของตนเองด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของฉัน และฉันไม่มีความกังวลต่อเนื้อหนัง”  นี่คือสภาวะใด?  บุคคลประเภทไหนคือผู้ที่สามารถค้ำจุนหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเขา?  พวกเขามีมโนธรรมหรือไม่?  พวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  พวกเขาได้ตอบแทนพระเจ้าในหนทางใดแล้วหรือไม่?  (ใช่)  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถค้ำจุนหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเขาหมายความว่าพวกเขาทำหน้าที่อย่างจริงจัง มีความรับผิดชอบ ไม่ทำตัวสุกเอาเผากิน ไม่ปลิ้นปล้อนหรือหย่อนยาน และไม่มีการละเลยความรับผิดชอบ  พวกเขามีท่าทีที่เหมาะสม และสภาวะกับความนึกคิดของพวกเขาเป็นปกติ  พวกเขามีสำนึกและมโนธรรม พวกเขาคำนึงถึงพระเจ้า และพวกเขาจงรักภักดีและอุทิศตนให้กับหน้าที่ของตน  การ “ไม่มีความกังวลต่อเนื้อหนัง” หมายถึงอะไร?  มีสภาวะบางอย่างในนี้ด้วย  โดยหลักแล้วหมายความว่าพวกเขาไม่กังวลกับอนาคตของเนื้อหนังพวกเขา และไม่ได้วางแผนสำหรับสิ่งที่จะมาถึงพวกเขา  หมายความว่าพวกเขาไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำในภายหลังยามพวกเขาชรา ใครจะดูแลพวกเขา หรือพวกเขาจะดำรงชีวิตอย่างไร  พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ และกลับนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งแทน  การลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีคืองานแรกและงานที่สำคัญที่สุดของพวกเขา—การค้ำจุนหน้าที่ของพวกเขาและค้ำชูพระบัญชาของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  เมื่อผู้คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดีในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์เช่นนั้นหรือ?  นี่คือการมีสภาพเสมือนมนุษย์  อย่างน้อยผู้คนก็ต้องลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา อุทิศตน และทุ่มเทหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเขาลงไป  การ “ค้ำจุนหน้าที่ของตน” หมายถึงอะไร?  หมายถึงไม่ว่าผู้คนเผชิญกับความยากลำบากใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่ล้มเลิกในงานของตน กลายเป็นพวกละทิ้งหน้าที่ หรือละเลยความรับผิดชอบของตน  พวกเขาทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้  นั่นคือความหมายของการค้ำจุนหน้าที่ของตน  ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีการจัดการเตรียมการให้เจ้าทำบางสิ่งบางอย่าง และไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อเฝ้าดูเจ้า กำกับดูแลเจ้าหรือกระตุ้นเจ้า  การค้ำจุนหน้าที่ของเจ้าจะดูเป็นอย่างไร?  (การยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและดำรงชีวิตในการทรงสถิตของพระองค์)  การยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือก้าวแรก นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการค้ำจุนหน้าที่  อีกส่วนหนึ่งคือการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้า  เจ้าต้องทำเช่นไรเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้า?  เจ้าต้องยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติ นั่นคือ เจ้าต้องยอมรับและนบนอบสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าต้องจัดการหน้าที่ของเจ้าเช่นเดียวกันกับที่เจ้าจัดการกิจธุระส่วนตัวของตนเอง ไม่พึงต้องให้ผู้ใดเฝ้าดูเจ้า กำกับดูแลเจ้า ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ากำลังทำได้ถูกต้อง กระตุ้นเจ้า หรือควบคุมดูแลสิ่งที่เจ้ากำลังทำ หรือแม้แต่ตัดแต่งเจ้า  เจ้าต้องพูดกับตัวเองในใจว่า “การปฏิบัติหน้าที่นี้คือความรับผิดชอบของฉัน  นี่คือส่วนของฉัน และเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งนี้ และฉันได้รับการบอกเล่าถึงหลักธรรมและได้จับความเข้าใจหลักธรรมเหล่านั้นแล้ว ฉันก็จะทำสิ่งนี้ต่อไปด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยว  ฉันจะทำทุกสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อให้เห็นว่าสิ่งนี้สำเร็จได้ด้วยดี”  เจ้าต้องพากเพียรในการทำหน้าที่นี้ และไม่ถูกบุคคลใด เหตุการณ์ใด หรือสิ่งใดบีบคั้น  นี่คือความหมายของการค้ำจุนหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้า และนี่คือสภาพเสมือนที่ผู้คนควรมี  ดังนั้นผู้คนต้องประกอบพร้อมด้วยสิ่งใดเพื่อที่จะค้ำจุนหน้าที่ของพวกเขาด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเขา?  ก่อนอื่นพวกเขาต้องมีมโนธรรมที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสมควรมี  นั่นคือขั้นต่ำสุด  นอกเหนือจากนั้นแล้วพวกเขาต้องอุทิศตนอีกด้วย  การยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คนเราต้องอุทิศตน  คนเราต้องอุทิศตนแด่พระเจ้าพระองค์เดียวโดยสมบูรณ์ และไม่สามารถทำอย่างไม่เต็มใจ หรือล้มเหลวในการรับผิดชอบ การกระทำบนพื้นฐานของประโยชน์หรืออารมณ์ส่วนตนนั้นไม่ถูกต้อง—นี่ไม่ใช่การอุทิศตน  การอุทิศตนหมายถึงอะไร?  การอุทิศตนหมายความว่า เจ้าปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของเจ้า และเจ้าไม่ได้รับอิทธิพลหรือถูกอารมณ์ สภาพแวดล้อม หรือผู้คนอื่น เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลายตีกรอบเอาไว้  เจ้าต้องบอกตัวเองในใจว่า “ฉันได้ยอมรับพระบัญชานี้จากพระเจ้าแล้ว พระองค์ได้ทรงมอบหมายพระบัญชานี้ให้ฉันแล้ว  นี่คือสิ่งที่ฉันถูกคาดหมายให้ทำ  ดังนั้น ฉันจะทำการนี้ในหนทางเดียวกับกิจธุระของตัวเอง ในหนทางใดก็ตามที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยให้ความสำคัญกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย”  เมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะนี้ ไม่เพียงมโนธรรมของเจ้าที่อยู่ในการควบคุม แต่ยังมีการอุทิศตนปรากฏอยู่ในตัวเจ้าอีกด้วย  หากเจ้าพึงพอใจแค่การทำงานให้สำเร็จ โดยไม่ทะเยอะทะยานที่จะมีประสิทธิภาพหรือสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลาย และรู้สึกว่าเพียงแค่ใช้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าก็เพียงพอแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น นี่เป็นเพียงการลุล่วงมาตรฐานมโนธรรมของผู้คนเท่านั้น และไม่สามารถนับเป็นการอุทิศตนได้  การอุทิศตนให้พระเจ้าคือมาตรฐานที่ถูกกำหนดไว้อันสูงกว่ามาตรฐานของมโนธรรม  ไม่ใช่เพียงเรื่องของการใส่ความพยายามทั้งหมดลงไปเท่านั้น เจ้ายังต้องใส่ทั้งหัวใจของเจ้าลงไปอีกด้วย  ในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องคำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าในฐานะการงานของเจ้าที่ต้องทำ รับภาระสำหรับกิจนี้ ทนทุกข์กับการตำหนิหากเจ้าทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย หรืออยู่ในสภาวะที่เจ้าประมาทเลินเล่อเสมอ และเจ้าต้องรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตนในหนทางนี้ได้ เพราะนั่นทำให้เจ้าเป็นหนี้พระเจ้ามากเหลือเกิน  ผู้คนที่มีมโนธรรมและสำนึกอย่างแท้จริงย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาราวกับว่านี่เป็นการงานของพวกเขาเองที่ต้องทำ โดยไม่คำนึงว่ามีผู้ใดกำลังเฝ้าหรือกำกับดูแลพวกเขาอยู่หรือไม่  ไม่ว่าพระเจ้าทรงมีความสุขกับพวกเขาหรือไม่ และไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็มักมีข้อเรียกร้องที่เคร่งครัดต่อตัวเองในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดีและทำพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาให้เสร็จสิ้นเสมอ  นี่เรียกว่าการอุทิศตน  นี่ไม่ใช่มาตรฐานที่สูงส่งกว่ามาตรฐานของมโนธรรมหรอกหรือ?  เมื่อกระทำการตามมาตรฐานของมโนธรรม ผู้คนมักจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆ ภายนอก หรือคิดว่าเพียงทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของพวกเขาให้กับหน้าที่ของตนก็เพียงพอแล้ว ระดับความปราศจากราคียังไม่สูงเท่าใดนัก  อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการอุทิศตนและการสามารถยึดมั่นในหน้าที่ในของตนอย่างอุทิศตน ระดับความปราศจากราคีก็จะสูงขึ้น การนี้ไม่เพียงแค่การทุ่มเทความพยายาม ยังพึงประสงค์ให้เจ้าทุ่มเทหมดทั้งหัวใจ จิตใจและร่างกายให้กับหน้าที่ของเจ้า  บางครั้งเจ้าต้องอดทนต่อความยากลำบากทางร่างกายบ้างเล็กน้อยเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  เจ้าต้องจ่ายราคา และอุทิศความคิดทั้งหมดของเจ้าเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมใดที่เจ้าเผชิญหน้า รูปการณ์แวดล้อมเหล่านั้นไม่ส่งผลต่อหน้าที่ของเจ้าหรือทำให้เจ้าล่าช้าจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้  การทำเช่นนี้ เจ้าต้องสามารถจ่ายราคา  เจ้าต้องละทิ้งครอบครัวแห่งเนื้อหนัง เรื่องส่วนตัวทั้งหลาย และผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้า  ความถือดี ความเย่อหยิ่ง ความรู้สึก ความยินดีทางร่างกายของเจ้า และแม้กระทั่งสิ่งทั้งหลายเช่นช่วงปีที่ดีที่สุดในวัยเยาว์ของเจ้า การแต่งงานของเจ้า อนาคตของเจ้า และโชคชะตาของเจ้าต้องถูกปล่อยไปและถูกละทิ้งทั้งหมด และเจ้าต้องเต็มใจปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  จากนั้นเจ้าจะได้สัมฤทธิ์การอุทิศตน และจะมีสภาพเสมือนมนุษย์ด้วยการดำรงชีวิตเช่นนี้  ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงมีมโนธรรม แต่พวกเขายังใช้มาตรฐานแห่งมโนธรรมเป็นรากฐานเพื่อเรียกร้องการอุทิศตนต่อพระเจ้าตามข้อกำหนดต่อมนุษย์ของพระองค์จากตนเอง และใช้การอุทิศตนนี้เป็นวิถีทางในการประเมินตนเอง  พวกเขาเพียรพยายามไปสู่เป้าหมายนี้อย่างขะมักเขม้น  ผู้คนเช่นนี้หาได้ยากบนแผ่นดินโลก  มีเพียงหนึ่งเดียวในทุกหนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ผู้คนเช่นนี้ดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าใช่หรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าใช่หรือไม่?  แน่นอน พวกเขาดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่า และเป็นผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นคุณค่า

บรรทัดต่อไปของบทเพลงนั้นกล่าวว่า “ถึงขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์”  คำพูดเหล่านี้ฟังดูเป็นจริงมาก และพูดจากข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์  ข้อพึงประสงค์อะไร?  นั่นคือหากผู้คนขาดพร่องขีดความสามารถ ก็ไม่ใช่อวสานของโลก แต่พวกเขาต้องครองหัวใจที่ซื่อสัตย์ และหากพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าสถานการณ์หรือภูมิหลังของเจ้าจะเป็นอย่างไร เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พูดอย่างซื่อสัตย์ กระทำการอย่างซื่อสัตย์ สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้า อุทิศตนให้หน้าที่ของเจ้า ไม่หาทางมักง่าย ไม่เป็นบุคคลปลิ้นปล้อนหรือเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่โกหกหรือหลอกลวง และไม่พูดจาวกไปวนมา  เจ้าต้องกระทำการให้สอดคล้องกับความจริงและเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนมากมายคิดว่าพวกเขาเป็นพวกขีดความสามารถต่ำ และพวกเขาไม่มีทางลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยดีหรือได้ตามมาตรฐาน  พวกเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่ในสิ่งที่ตนทำ แต่พวกเขาก็ไม่เคยจับความเข้าใจในหลักธรรมและยังไม่สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีมากได้เลย  ในท้ายที่สุด ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คือพร่ำบ่นว่าตนมีขีดความสามารถต่ำเกินไป และกลายเป็นพวกคิดลบ  เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่มีขีดความสามารถต่ำไม่มีหนทางก้าวหน้าได้เลยหรือ?  การมีขีดความสามารถต่ำไม่ใช่โรคร้ายแรง และพระเจ้าไม่เคยตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำให้รอด  ตามที่พระเจ้าตรัสก่อนหน้านี้ พระองค์เศร้าพระทัยเพราะพวกที่ซื่อสัตย์แต่ไม่รู้เท่าทัน  อะไรคือความหมายของการไม่รู้เท่าทัน?  การไม่รู้เท่าทันในหลายกรณีมาจากการมีขีดความสามารถต่ำ  เมื่อผู้คนมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงที่ตื้นเขิน  ไม่เฉพาะเจาะจงหรือสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากพอ และมักถูกจำกัดอยู่ในระดับผิวเผินหรือความเข้าใจตามตัวอักษร—ถูกจำกัดอยู่กับคำสอนและข้อบังคับทั้งหลาย  นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นปัญหามากมายได้โดยชัดเจน และไม่เคยจับความเข้าใจหลักธรรมในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือทำหน้าที่ของตนให้ดีได้เลย  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเช่นนั้นหรือ?  (พระองค์มีพระประสงค์)  พระเจ้าทรงชี้นำผู้คนไปในเส้นทางหรือทิศทางใด?  (การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์)  เจ้าสามารถเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เพียงด้วยการกล่าวว่าเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ เจ้าต้องมีลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์)  อะไรคือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์?  อันดับแรก ไม่มีความสงสัยในพระวจนะของพระเจ้า  นั่นเป็นหนึ่งในลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์  นอกจากนี้ ลักษณะการแสดงออกที่สำคัญที่สุดคือการแสวงหาและการปฏิบัติความจริงในทุกเรื่อง—นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง  เจ้าบอกว่าเจ้าซื่อสัตย์ แต่เจ้ามักผลักพระวจนะให้ไปอยู่เบื้องหลังจิตใจของเจ้าเสมอแล้วก็ทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ  นั่นคือการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  เจ้ากล่าวว่า “แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำ แต่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์”  และเมื่อหน้าที่หนึ่งตกอยู่กับเจ้า เจ้าก็กลัวการทนทุกข์และการแบกรับความรับผิดชอบถ้าหากเจ้าทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อละเลยหน้าที่ของเจ้าหรือเสนอแนะให้ผู้อื่นทำหน้าที่นั้นแทน  นี่เป็นการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ใช่หรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่ใช่  เช่นนั้นแล้ว บุคคลที่ซื่อสัตย์ควรประพฤติตัวอย่างไร?  พวกเขาควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า อุทิศตนให้หน้าที่ที่พวกเขาสมควรปฏิบัติ และเพียรพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  การนี้แสดงออกได้หลายหนทาง หนทางหนึ่งคือการยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้า ไม่ทำอย่างไม่เต็มใจ และไม่ออกอุบายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง  เหล่านั้นคือการแสดงออกของความซื่อสัตย์  อีกหนทางหนึ่งคือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า ทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องเหมาะสม และทุ่มเทหัวใจและความรักของเจ้าลงไปในหน้าที่ของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  สิ่งเหล่านี้คือลักษณะการแสดงออกของบุคคลที่ซื่อสัตย์ควรมีระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของตน  หากเจ้าเข้าใจและรู้ว่าต้องทำสิ่งใด แต่เจ้ากลับไม่ทำสิ่งนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่ของตน  แต่เจ้ากลับปลิ้นปล้อนและย่อหย่อนแทน  ผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้ซื่อสัตย์หรือไม่?  ไม่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน  พระเจ้าไม่ทรงใช้ผู้คนที่กลับกลอกและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้ พวกเขาจึงต้องถูกกำจัดออกไป  พระเจ้าทรงใช้แต่ผู้คนที่ซื่อสัตย์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลาย  แม้แต่คนออกแรงทำงานที่จงรักภักดีก็ต้องซื่อสัตย์  ผู้คนที่สุกเอาเผากินและปลิ้นปล้อน และเฝ้าหาหนทางย่อหย่อนอยู่ตลอดเวลา ล้วนเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและล้วนเป็นปิศาจ  พวกเขาเหล่านั้นไม่มีใครเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและจะถูกกำจัดออกไปทั้งหมด  ผู้คนบางคนคิดว่า “การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ก็แค่เพียงพูดความจริงและไม่พูดโกหก  การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ช่างเป็นเรื่องง่ายจริงๆ”  เจ้าคิดอย่างไรกับความรู้สึกนึกคิดนี้?  การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์มีขอบเขตที่จำกัดขนาดนี้เลยหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  เจ้าต้องเปิดเผยหัวใจของเจ้าและถวายหัวใจต่อพระเจ้า นี่คือท่าทีที่บุคคลที่ซื่อสัตย์สมควรมี  นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหัวใจที่ซื่อสัตย์ดวงหนึ่งจึงล้ำค่ามาก  เรื่องนี้บ่งบอกอะไร?  บ่งบอกว่า หัวใจที่ซื่อสัตย์สามารถควบคุมพฤติกรรมของเจ้าและเปลี่ยนแปลงสภาวะของเจ้า  สามารถนำเจ้าไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง  และไปสู่การนบนอบต่อพระเจ้าและได้รับความเห็นชอบจากพระองค์  หัวใจเช่นนี้ย่อมล้ำค่าจริงๆ  หากเจ้ามีหัวใจที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว นั่นคือสภาวะที่เจ้าควรดำรงชีวิตอยู่ นั่นคือหนทางที่เจ้าควรประพฤติ และนั่นคือหนทางที่เจ้าควรอุทิศตนเอง  เจ้าควรไตร่ตรองเนื้อเพลงเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน  ไม่มีประโยคใดที่เรียบง่ายธรรมดาเหมือนความหมายตามตัวอักษร และเจ้าจะได้รับบางสิ่งบางอย่างหากเจ้าเข้าใจความหมายจริงๆ หลังการไตร่ตรองแล้ว

พวกเรามาดูบรรทัดต่อไปของเนื้อเพลงกัน “จงอุทิศตนในสรรพสิ่งเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  ในคำพูดเหล่านี้มีเส้นทางปฏิบัติอยู่เส้นทางหนึ่ง  ผู้คนบางคนกลายเป็นพวกคิดลบเมื่อพวกเขาเผชิญหน้าความยากลำบากในระหว่างการทำหน้าที่ของพวกเขา และนั่นทำให้พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  ผู้คนเหล่านี้มีบางสิ่งผิดปกติ  พวกเขายอมสละตัวเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  พวกเขาควรคิดทบทวนว่าเหตุใดพวกเขาจึงคิดลบเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับความยากลำบากทั้งหลาย และเหตุใดพวกเขาไม่สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  หากพวกเขาสามารถคิดทบทวนตนเองและแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถมองเห็นปัญหาทั้งหลายที่พวกเขามี  ที่จริงแล้ว ความยากลำบากที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนคือปัญหาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นหลัก  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะแก้ไขได้ง่าย  ทันทีที่เจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าจะสามารถมอบการอุทิศตนทั้งหมดของเจ้าในทุกสรรพสิ่งเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  “ทุกสรรพสิ่ง” หมายถึงไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าบางสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เจ้า บางสิ่งที่ผู้นำหรือคนทำงานจัดเตรียมไว้ให้เจ้า หรือบางสิ่งที่เจ้าเผชิญโดยบังเอิญ ตราบใดที่สิ่งนี้คือสิ่งที่มั่นหมายให้เจ้าทำและเจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าทำสิ่งนั้นด้วยการอุทิศตน และลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าควรทำให้ลุล่วง และทำให้การสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้ากลายเป็นหลักธรรมของเจ้า  หลักธรรมนี้ฟังดูค่อนข้างยิ่งใหญ่และยากเล็กน้อยสำหรับผู้คนที่จะดำเนินชีวิตตาม  หากพูดในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น ก็หมายถึงการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ดี  การค้ำจุนหน้าที่ของเจ้าและลุล่วงหน้าที่ให้ดีไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ  ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือหน้าที่อื่นบางหน้าที่ก็ตาม เจ้าต้องเข้าใจความจริงบางประการด้วย  เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าให้ดีโดยไม่มีการเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  เจ้าสามารถทำหน้าที่ให้ดีโดยไม่มีการค้ำชูหลักธรรมความจริงหรือไม่?  หากเจ้าเข้าใจความจริงทุกแง่มุม และเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าได้ดี ค้ำจุนหน้าที่ของเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  นี่คือเส้นทางปฏิบัติ  เส้นทางนี้ทำได้ง่ายหรือไม่?  หากหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัตินั้นเป็นอะไรบางอย่างที่เจ้าทำได้ดีและเจ้าชอบ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็รู้สึกว่านั่นเป็นความรับผิดชอบของเจ้าและเป็นภาระผูกพันของเจ้า และการทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้  เจ้ารู้สึกชื่นบาน มีความสุข และผ่อนคลาย  นี่เป็นบางสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำ และเป็นบางสิ่งที่เจ้าสามารถอุทิศตนให้ได้ และเจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  แต่เมื่อวันหนึ่งที่เจ้าเผชิญหน้ากับหน้าที่ที่เจ้าไม่ชอบหรือไม่เคยปฏิบัติมาก่อน เช่นนั้นเจ้าจะสามารถอุทิศตนได้หรือไม่?  นี่จะทดสอบว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น หากหน้าที่ของเจ้าอยู่ในฝ่ายบทเพลงนมัสการ เจ้าสามารถร้องเพลงและนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าชอบทำ แล้วเจ้าก็เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้  หากเจ้าได้ถูกมอบหมายหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งซึ่งบอกให้เจ้าประกาศข่าวประเสริฐ และงานนั้นค่อนข้างยากลำบาก เจ้าจะสามารถเชื่อฟังได้หรือไม่?  เจ้าไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ฉันชอบการร้องเพลง”  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าไม่ต้องการประกาศข่าวประเสริฐ  นี่คือความหมายอย่างชัดเจนของคำกล่าวนั้น  เจ้าเอาแต่พูดว่า “ฉันชอบร้องเพลง”  หากผู้นำหรือคนทำงานใช้เหตุผลกับเจ้าว่า “ทำไมคุณไม่ฝึกฝนการประกาศข่าวประเสริฐและเตรียมตัวคุณให้พร้อมด้วยความจริงที่มากขึ้นล่ะ?  นี่จะเป็นประโยชน์สำหรับการเติบโตในชีวิตของคุณมากยิ่งขึ้นนะ” เจ้ายังคงยืนยันและกล่าวว่า “ฉันชอบร้องเพลงและฉันชอบเต้นรำ”  เจ้าไม่ต้องการไปประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่สำคัญว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรก็ตาม  เหตุใดเจ้าไม่ต้องการที่จะไป?  (เพราะการขาดพร่องความสนใจ)  เจ้าขาดพร่องความสนใจดังนั้นเจ้าก็เลยไม่ต้องการจะไป—ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ปัญหาคือเจ้าเลือกหน้าที่ของเจ้าตามความชอบและรสนิยมส่วนตัวของเจ้า และเจ้าไม่นบนอบ  เจ้าไม่มีการนบนอบ และนั่นคือปัญหา  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้แสดงการนบนอบอย่างแท้จริงมากนัก  เจ้าควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้เพื่อแสดงการเชื่อฟังที่แท้จริง?  เจ้าสามารถทำอะไรเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  นี่คือเวลาที่เจ้าจำเป็นต้องครุ่นคิดไตร่ตรองและสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมนี้  หากเจ้าปรารถนาที่จะอุทิศตนในทุกสรรพสิ่งเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติเพียงหน้าที่เดียว เจ้าต้องยอมรับพระบัญชาใดๆ ที่พระเจ้าประทานให้กับเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นไปตามรสนิยมของเจ้าและตรงกับความสนใจของเจ้า หรือเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่ชื่นชอบ ไม่เคยทำมาก่อน หรือยากลำบากก็ตาม เจ้ายังควรยอมรับและนบนอบ  เจ้าไม่เพียงต้องยอมรับ แต่เจ้าต้องร่วมมือในเชิงรุก และเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ระหว่างการได้รับประสบการณ์และการเข้าไปสู่  ต่อให้เจ้าทนทุกข์กับความยากลำบาก เหนื่อยล้า อับอาย หรือสังคมไม่ยอมรับ เจ้าก็ยังต้องทุ่มเททำเช่นนั้นอย่างอุทิศตน  ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้น  เจ้าจึงจะสามารถอุทิศตนได้ในทุกสรรพสิ่งและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  เจ้าต้องถือว่านี่เป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องปฏิบัติ ไม่ใช่ในฐานะกิจธุระส่วนตัว  เจ้าควรเข้าใจหน้าที่ต่างๆ อย่างไร?  เป็นสิ่งที่พระผู้สร้าง—พระเจ้า—ประทานให้ใครบางคนทำ หน้าที่ของผู้คนเกิดขึ้นโดยหนทางนี้  พระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้าคือหน้าที่ของเจ้า และการนี้เป็นไปตามธรรมชาติและสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าพึงประสงค์  หากเจ้าเข้าใจชัดเจนว่าหน้าที่นี้คือพระบัญชาของพระเจ้า และนี่เป็นความรักของพระเจ้าและเป็นพรของพระเจ้าที่มาสู่เจ้า เช่นนั้นเจ้าจะสามารถยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า และเจ้าจะสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะสามารถเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ผู้ที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงไม่มีวันสามารถปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาไม่มีวันสามารถปฏิเสธหน้าที่ใดได้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ใดให้เจ้า ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะนำความยากลำบากใดมาให้ เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรยอมรับเอาไว้  นี่คือเส้นทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติความจริงและอุทิศตนให้กับทุกสรรพสิ่งเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  จุดสนใจในที่นี้คืออะไร?  จุดสนใจอยู่ตรงคำว่า “ให้กับทุกสรรพสิ่ง”  “ทุกสรรพสิ่ง” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชอบหรือทำได้ดี นับประสาอะไรกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคุ้นเคย  บางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ดี สิ่งทั้งหลายที่เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ สิ่งทั้งหลายที่เป็นความยากลำบาก หรือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องทนทุกข์  อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า เจ้าก็ต้องยอมรับจากพระองค์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เจ้าต้องยอมรับมาและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี ทำหน้าที่นั้นด้วยการอุทิศตนและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือเส้นทางปฏิบัติ  ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องแสวงหาความจริงอยู่เสมอ และทันทีที่เจ้าแน่ใจว่าการปฏิบัติจำพวกใดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นก็คือหนทางที่เจ้าควรปฏิบัติ  มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะได้ปฏิบัติความจริง และในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้

มีอีกหนึ่งบรรทัดจากบทเพลงนี้ที่ว่า “ฉันเปิดเผยและเที่ยงตรง ปราศจากเล่ห์ลวง ฉันดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง”  ใครเป็นผู้ประทานแนวทางนี้ให้กับมนุษย์?  (พระเจ้า)  หากใครบางคนเปิดเผยและเที่ยงตรง พวกเขาคือบุคคลที่ซื่อสัตย์  พวกเขาเปิดเผยหัวใจและวิญญาณของพวกเขาต่อพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีสิ่งใดให้ปกปิด และไม่ต้องหลบซ่อนจากสิ่งใดเลย  พวกเขาได้ถวายหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าและแสดงให้พระองค์เห็น ซึ่งหมายความว่า พวกเขาได้ถวายตัวตนทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระองค์  แล้วพวกเขายังจะสามารถห่างเหินจากพระเจ้าได้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่สามารถห่างเหินจากพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบต่อพระเจ้า  หากพระเจ้าตรัสว่าพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขายอมรับ  หากพระเจ้าตรัสว่าพวกเขาโอหังและคิดว่าตนเองถูก พวกเขาก็ยอมรับเช่นกัน และพวกเขาไม่เพียงยอมรับสิ่งเหล่านี้และปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเท่านั้น—พวกเขายังสามารถกลับใจ เพียรพยายามไปให้ถึงหลักธรรมความจริง แก้ไขเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขาผิด และแก้ไขข้อผิดพลาดของพวกเขาด้วย  ก่อนพวกเขาจะรู้ตัว พวกเขาได้แก้ไขหนทางที่ผิดพลาดมากมายของพวกเขา และพวกเขาจะลดเล่ห์ลวง การหลอกลวง และสุกเอาเผากินให้น้อยลงเรื่อยๆ  ยิ่งพวกเขาดำรงชีวิตในหนทางนี้นานขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งเปิดเผยและมีเกียรติมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์มากขึ้น  นั่นคือความหมายของการใช้ชีวิตในความสว่าง  สง่าราศีทั้งหมดนี้ไปสู่พระเจ้า!  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง นี่คือการกระทำของพระเจ้า—ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะใช้โอ้อวด  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง พวกเขาเข้าใจความจริงทุกอย่าง พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขารู้จักการแสวงหาและการปฏิบัติความจริงในทุกประเด็นปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และพวกเขาดำรงชีวิตด้วยมโนธรรมและสำนึก  แม้ไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าผู้คนอันชอบธรรม แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขามีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง และอย่างน้อยที่สุด คำพูดและความประพฤติของพวกเขาก็ไม่ขัดแย้งกับพระเจ้า พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา และพวกเขามีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงค่อนข้างปลอดภัยและมั่นคง และไม่สามารถทรยศต่อพระเจ้าได้  แม้พวกเขาไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริงมากนัก แต่พวกเขาสามารถเชื่อฟังและนบนอบ พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และพวกเขาสามารถหลบเลี่ยงความชั่ว  เมื่อพวกเขาได้รับมอบงานหรือหน้าที่ พวกเขาสามารถทำการนั้นด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของพวกเขา และทำการนั้นอย่างสุดความสามารถ  บุคคลประเภทนี้ควรค่าแก่การไว้วางใจ และพระเจ้าทรงมีความเชื่อมั่นในตัวพวกเขา—ผู้คนเช่นนี้ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง  พวกที่ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขายังคงต้องปิดบังหัวใจของพวกเขาจากพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขายังมีความลับทั้งหลายที่ไม่สามารถทูลต่อพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขายังมีเล่ห์กลน่าเคลือบแคลงใดซ่อนเอาไว้หรือไม่?  พวกเขาย่อมไม่มี  หัวใจของพวกเขาเปิดกว้างต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และไม่มีอะไรที่พวกเขายังคงปิดบังหรือซ่อนเร้นให้พ้นจากสายพระเนตร  พวกเขาสามารถเผยความในใจต่อพระเจ้า สามารถสามัคคีธรรมเรื่องใดก็ได้กับพระองค์ และยอมให้พระองค์รับรู้ทุกสิ่ง  ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะไม่ทูลต่อพระเจ้าและไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะไม่แสดงต่อพระองค์  เมื่อผู้คนสามารถบรรลุมาตรฐานนี้ได้ ชีวิตของพวกเขาก็จะง่ายดาย เป็นอิสระและได้รับการปลดปล่อย

บทตัดตอน 37

สิ่งใดคือหลักธรรมหลักที่ใช้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา?  คนเราต้องปฏิบัติตนตามมาตรฐาน หลักธรรม และข้อเรียกร้องของพระนิเวศของพระเจ้า ปฏิบัติตามความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยหัวใจทั้งหมดและเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนโดยการใช้พระวจนะของพระเจ้า ความจริง และการปกป้องงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะที่เป็นหลักธรรม  เช่นนั้นแล้ว โดยทั่วไปแล้วคนเรากระทำการเพื่อตัวเองอย่างไรหรือ?  พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามที่ตนเองพอใจ โดยวางลำดับความสำคัญของการกระทำที่ให้ผลประโยชน์แก่ตนเองไว้เหนือสิ่งอื่นใด  พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามที่ให้ผลประโยชน์แก่ตนเอง กระทำการไปทั้งสิ้นเพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังอันเห็นแก่ตัวของตนเอง และไม่พิจารณาความยุติธรรม มโนธรรม และเหตุผลแม้แต่น้อยนิด สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่อยู่ในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาเพียงทำตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและปฏิบัติตนตามความเลือกชอบของมนุษย์ วางอุบายไปทุกที่ทุกทาง และใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน  นี่คือหนทางดำรงชีวิตประเภทใดหรือ?  เป็นหนทางดำรงชีวิตของซาตาน  เมื่อติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา คนเราควรปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง และอย่างน้อยที่สุดคนเราต้องมีมโนธรรมและสำนึก—และนี่คือขั้นต่ำที่สุด  ผู้คนบางคนพูดว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นฉันจึงอยากทำเรื่องนี้อย่างลวกๆ”  นี่คือหนทางอันมีมโนธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายอย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  ในเวลาที่เจ้าอยากทำอะไรลวกๆ เจ้ารู้สึกตัวถึงเรื่องนี้หรือไม่?  (พวกเรารู้สึกตัว)  มีเวลาไหนบ้างหรือไม่ที่เจ้าไม่รู้สึกตัวถึงเรื่องนี้?  (มี)  เช่นนั้นแล้วเจ้าสามารถตรวจสอบตนเองและตรวจพบสิ่งนี้หลังเกิดเหตุนั้นแล้วได้หรือไม่?  (ได้อยู่บ้าง)  หลังจากที่เจ้าตรวจพบว่าเจ้าทำอะไรลวกๆ ครั้งถัดไปที่เจ้ามีแนวคิดที่คล้ายกันเกี่ยวกับการสุกเอาเผากิน เจ้าจะสามารถกบฏต่อแนวคิดดังกล่าวและแก้ไขแนวคิดดังกล่าวได้หรือไม่?  (เมื่อข้าพระองค์ตระหนักรู้สิ่งนี้ ข้าพระองค์สามารถกบฏต่อแนวคิดเหล่านี้ได้อยู่บ้าง)  ทุกครั้งที่เจ้าขัดขืนความคิดและความปรารถนาของเจ้าเอง จะเกิดสงครามขึ้น และหากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้ามีชัยเหนือกว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดลง เมื่อนั้นเจ้าก็ได้ต่อต้านพระเจ้าอย่างตั้งใจแล้ว และตกอยู่ในอันตราย  สมมติว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าเป็นเวลา 10 ปี และในช่วงสามปีแรกเจ้ามั่วไปเรื่อยๆ และกระตือรือร้นอยู่บ้าง แต่สามปีถัดมาเจ้าตระหนักว่า เวลาที่เชื่อในพระเจ้าคนเราต้องปฏิบัติตามความจริง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และขัดขืนเนื้อหนังของตนเอง  เมื่อนั้น เจ้าจะเริ่มระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามและความมุ่งร้ายของเจ้าเอง รวมทั้งธรรมชาติอันเลวร้ายและโอหังของเจ้าเองทีละน้อย และเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าย่อมรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง—เจ้ารู้จักแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเจ้าเอง  เจ้ารู้สึกว่าการยอมรับความจริงมีความจำเป็นอย่างที่สุด และการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีเพียงในคราวนี้เท่านั้นที่เจ้ารู้สึกจริงๆ ว่าการที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงนั้นค่อนข้างน่าเวทนา  แม้ว่าจะมีสงครามที่ดำเนินไปในหัวใจของคนเราในแต่ละครั้งที่ความเสื่อมทรามของตนถูกเปิดเผย แต่ในสงครามเหล่านี้แต่ละครั้งพวกเขาไม่สามารถเอาชนะความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเองได้ และยังคงปฏิบัติตนตามความเลือกชอบของตนเองอยู่ดี  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาเองรู้ดีไปหมดว่าในหัวใจของตนนั้น อุปนิสัยของซาตานยังคงเป็นสิ่งที่ตัดสินใจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ  การนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ และเป็นการยากมากที่จะกล่าวว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถรับความรอดได้หรือไม่  หากเจ้ามีความแน่วแน่อย่างแท้จริง เจ้าก็ควรนำความจริงที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ และไม่สำคัญว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดขัดขวางเจ้าเมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงเหล่านี้ เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม กล้าดีที่จะสู้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้น และกล้าดีที่จะขัดขืนเนื้อหนังของเจ้า  หากเจ้ามีความเชื่อประเภทนี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  แม้ว่าจะมีบางเวลาที่เจ้าล้มเหลว แต่เจ้าจะไม่กลายเป็นท้อแท้ และจะยังคงมีความสามารถที่จะพึ่งพาการอธิษฐานถึงพระเจ้าและเคารพยกย่องพระองค์เพื่อที่จะมีชัยเหนือซาตานได้  เมื่อต่อสู้เช่นนี้เป็นเวลาหลายปี ช่วงเวลาที่เจ้ามีชัยเหนือเนื้อหนังของเจ้าและปฏิบัติความจริงจะเพิ่มขึ้น และช่วงเวลาที่เจ้าล้มเหลวจะลดลงทีละน้อย และต่อให้เจ้าล้มเหลวเป็นบางครั้งบางคราว เจ้าจะไม่กลายเป็นคิดลบและจะยังอธิษฐานและเคารพยกย่องพระเจ้าอยู่ต่อไป จนกว่าเจ้าจะมีสามารถที่จะนำความจริงไปปฏิบัติได้  การนี้ย่อมจะหมายถึงว่ามีความหวังสำหรับเจ้า ว่าก้อนเมฆได้จากไปแล้วและเจ้าสามารถมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้า  ตราบที่มีช่วงเวลาที่เจ้าประสบความสำเร็จเมื่อเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง การนี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าคือใครบางคนที่มีความแน่วแน่และใครบางคนที่มีความหวังที่จะสามารถรับความรอดได้  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงในที่สุดแล้วก็เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหลังจากที่ผ่านความล้มเหลวมากมายในเวลาที่ปฏิบัติความจริงแล้วเท่านั้น  ไม่สำคัญว่าคนเราจะล้มเหลวกี่ครั้งและไม่สำคัญว่าพวกเขาจะคิดลบเพียงใด ตราบที่พวกเขาสามารถพึ่งพาและเคารพยกย่องพระเจ้า พวกเขาย่อมจะมีเวลาที่จะประสบความสำเร็จอยู่เสมอ  ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่ากี่ครั้ง ตราบที่พวกเขาไม่เลิกล้มไป ย่อมจะมีความหวังสำหรับพวกเขา  เมื่อมาถึงวันที่พวกเขาค้นพบอย่างแท้จริงว่า พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริง ปฏิบัติตนตามหลักธรรม ไม่ย่อหย่อนผ่อนปรนกับซาตานในเรื่องที่สำคัญ—โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน—และไม่ละวางหน้าที่ของตนขณะที่ยังตั้งมั่นในคำพยานของตน เมื่อนั้นย่อมจะมีความหวังที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอนที่สุด

ทุกครั้งที่เจ้าปฏิบัติความจริง เจ้าจะผ่านการสู้รบภายใน  มีพวกเจ้าคนใดบ้างที่ยังไม่เคยได้รับประสบการณ์กับการสู้รบใดๆ ในการที่เจ้าปฏิบัติความจริง?  ไม่มีเลยอย่างแน่นอนที่สุด  โดยพื้นฐานแล้วบุคคลจะไม่สามารถมีการสู้รบครั้งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วและแทบจะไม่เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ  อย่างไรก็ตาม ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมพิเศษและในบริบทบางอย่าง พวกเขาจะยังคงสู้รบเล็กน้อยอยู่ดี  กล่าวได้ว่า ยิ่งคนเราเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสู้รบน้อยลงเท่านั้น และยิ่งคนเราเข้าใจความจริงน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีการสู้รบมากขึ้นเท่านั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เชื่อรายใหม่ๆ การสู้รบทั้งหมดในหัวใจของพวกเขาในแต่ละครั้งที่พวกเขาปฏิบัติความจริงต้องดุดันอย่างที่สุด  เหตุใดเล่าการสู้รบเหล่านั้นจึงดุดัน?  เนื่องเพราะผู้คนไม่เพียงแค่มีความเลือกชอบและตัวเลือกทางเนื้อหนังของตนเองเท่านั้น พวกเขายังมีความลำบากยากเย็นที่เป็นจริงด้วยเช่นกัน นอกเหนือไปจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้อยู่  สำหรับความจริงทุกๆ แง่มุมที่เจ้าเข้าใจ เจ้าต้องสู้รบกับแง่มุมทั้งสี่นี้ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อเจ้า ซึ่งหมายถึงว่าอย่างน้อยที่สุดเจ้าจำเป็นที่จะต้องผ่านพ้นสิ่งกีดขวางสามหรือสี่อย่างนี้ก่อนที่เจ้าจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  พวกเจ้ามีประสบการณ์นี้เกี่ยวกับการสู้รบกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าอย่างต่อเนื่องหรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติความจริงและปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้ามีความสามารถที่จะเอาชนะข้อจำกัดของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าและยืนอยู่ข้างเดียวกับความจริงหรือไม่?  ตัวอย่างเช่น เจ้าร่วมมือกับใครบางคนเพื่อดำเนินงานแห่งการชำระคริสตจักรให้สะอาด แต่พวกเขาสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดไปกว้างไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และพวกเราต้องปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความรักและให้โอกาสผู้คนได้กลับใจ  เจ้ากลายเป็นตระหนักรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับการสามัคคีธรรมของพวกเขา และแม้ว่าถ้อยคำที่พวกเขาพูดดูเหมือนค่อนข้างถูกต้อง แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดเจ้าค้นพบว่า พวกเขากำลังเก็บงำความตั้งใจและเป้าหมาย และไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินผู้ใด รวมทั้งไม่ต้องการดำเนินการจัดการเตรียมการงานจนเสร็จสิ้น  เมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมเช่นนี้ ผู้คนที่มีวุฒิภาวะและการหยั่งรู้น้อยจะถูกพวกเขารบกวน แสดงความรักอย่างบุ่มบ่ามในลักษณะที่ไร้หลักธรรม ไม่ใส่ใจต่อการหยั่งรู้ต่อผู้อื่น และไม่เปิดโปงหรือรายงานพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกคนชั่ว และพวกผู้ไม่เชื่อ  นี่เป็นอุปสรรคต่องานแห่งการชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์  หากไม่สามารถชำระพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกคนชั่ว และพวกผู้ไม่เชื่อออกไปได้อย่างทันท่วงที การนี้จะส่งผลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของพวกเขา และโดยเฉพาะจะขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักรในขณะที่ทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ณ เวลาเช่นนี้ เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเล่า?  เมื่อเจ้าสังเกตเห็นปัญหา เจ้าต้องยืนขึ้นและเปิดโปงบุคคลผู้นี้ เจ้าต้องหยุดพวกเขาและปกป้องงานของคริสตจักร  เจ้าอาจไตร่ตรองว่า “เราเป็นคู่ทำงานกัน  หากฉันเปิดโปงพวกเขาโดยตรงและพวกเขาไม่ยอมรับการนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเราจะไม่มีเรื่องมีราวกันหรอกหรือ?  ไม่ ฉันจะแค่พูดออกมาเฉยๆ ไม่ได้ ฉันจำเป็นที่จะต้องรู้กาลเทศะมากกว่านี้สักหน่อย”  ดังนั้น เจ้าจึงกล่าวคำเตือนใจเรียบง่ายและให้คำเตือนสติบางอย่างกับพวกเขา  หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด พวกเขาไม่ยอมรับการนั้น และยังพร่ำพูดเหตุผลมากมายเพื่อหักล้างเจ้า  หากพวกเขาไม่ยอมรับการนั้น งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะประสบกับความสูญเสีย  เจ้าควรทำอย่างไรเล่า?  เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า โปรดจัดการเตรียมการและจัดวางเรียบเรียงการนี้ด้วยเถิด  โปรดบ่มวินัยพวกเขา—ไม่มีสิ่งใดที่ข้าพระองค์สามารถทำได้”  เจ้าคิดว่าเจ้าไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ และดังนั้นเจ้าจึงปล่อยพวกเขาไปโดยไม่มีการควบคุม  นี่ใช่พฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบหรือไม่?  เจ้าปฏิบัติความจริงหรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รายงานการนี้ไปยังผู้นำและคนทำงานเล่า?  เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่การชุมนุมและปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมและเสวนาเรื่องนี้?  หากเจ้าไม่ทำการนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ติเตียนตัวเองหลังจากนั้นจริงๆ หรอกหรือ?  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นฉันก็จะแค่เพิกเฉยเรื่องนี้  ฉันมีมโนธรรมที่ชัดเจน” เช่นนั้นแล้วเจ้ามีหัวใจประเภทใดกัน?  นี่ใช่หัวใจที่รักอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นหัวใจที่ทำอันตรายต่อผู้อื่น?  หัวใจของเจ้าเป็นหัวใจที่เลวทรามเอามากๆ เนื่องเพราะเมื่อบางสิ่งบางอย่างตกมาถึงเจ้า เจ้ากลัวว่าจะล่วงเกินผู้คนและไม่ยึดมั่นในหลักธรรม  อันที่จริงแล้ว เจ้ารู้ดีทีเดียวว่าบุคคลผู้นี้มีเป้าหมายของตนเองในการปฏิบัติตนในลักษณะนี้ และเจ้าไม่สามารถรับฟังพวกเขาในเรื่องนี้ได้  อย่างไรก็ตาม เจ้าไร้ความสามารถที่จะยึดมั่นในหลักธรรมและหยุดพวกเขาไม่ให้ชักพาผู้อื่นให้หลงผิด และการนี้ในท้ายที่สุดแล้วทำอันตรายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าจะติเตียนตัวเองสักนิดหลังจากการนี้หรือไม่?  (ข้าพระองค์จะติเตียนตัวเอง)  การติเตียนตัวเองช่วยให้เจ้ากอบกู้ความสูญเสียกลับคืนมาได้หรือไม่?  ความสูญเสียเหล่านั้นกอบกู้กลับคืนมาไม่ได้  หลังจากนั้น เจ้าก็ไตร่ตรองอีกครั้งว่า “ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ได้ปฏิบัติความรับผิดชอบของฉันให้สำเร็จลุล่วงแล้ว และพระเจ้าทรงรู้  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ก้นบึ้งของหัวใจของผู้คน”  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดประเภทไหนกัน?  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่หลอกลวงเยี่ยงมารที่เล่นไม่ซื่อกับทั้งมนุษย์และพระเจ้า  เจ้ายังไม่ได้ปฏิบัติความรับผิดชอบของเจ้าให้สำเร็จลุล่วง และยังคงมองหาเหตุผลและข้อแก้ตัวเพื่อปัดความรับผิดชอบเหล่านั้น  การนี้เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและดื้อดึง  บุคคลเยี่ยงนี้มีความจริงใจใดๆ ต่อพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขามีสำนึกของความยุติธรรมหรือไม่?  (พวกเขาไม่มีสำนึกของความยุติธรรม)  นี่คือบุคคลที่ไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อยนิด เป็นบุคคลซึ่งเป็นลูกหลานของซาตาน  เมื่อบางสิ่งบางอย่างตกมาถึงเจ้า เจ้าใช้ชีวิตไปตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก และไม่ปฏิบัติความจริง  เจ้ากลัวว่าจะล่วงเกินผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินพระเจ้า และจะพลีอุทิศแม้กระทั่งผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อปกป้องสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเจ้า  สิ่งใดหรือคือผลสืบเนื่องจากการปฏิบัติตนในลักษณะนี้?  เจ้าจะปกป้องสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเจ้าค่อนข้างดี แต่เจ้าจะล่วงเกินพระเจ้า และพระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์เจ้า และจะทรงโกรธเจ้า  หลังจากใช้ดุลพินิจแล้ว สิ่งใดดีกว่ากันเล่า?  หากเจ้าไม่สามารถบอกได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สับสนวุ่นวายอย่างสิ้นเชิง นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงเลยแม้แต่น้อยนิด  หากเจ้าดำเนินไปเยี่ยงนี้โดยไม่ตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงเลย อันตรายนั้นย่อมใหญ่หลวงโดยแท้ และหากเจ้าไม่สามารถที่จะบรรลุความจริงได้ในที่สุด จะเป็นเจ้านั่นเองที่ได้ประสบทุกข์กับความสูญเสีย  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงในเรื่องนี้ และเจ้าล้มเหลว เจ้าจะมีความสามารถที่จะแสวงหาความจริงในอนาคตได้หรือไม่?  หากเจ้ายังคงไม่สามารถทำได้ นั่นจะไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับการประสบทุกข์กับความสูญเสียอีกต่อไป—เจ้าจะถูกกำจัดออกไปในที่สุด  หากเจ้ามีเจตนาและมุมมองของคนที่ชอบเอาใจผู้คน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่ปฏิบัติความจริงหรือค้ำชูหลักธรรมในทุกๆ เรื่อง และเจ้าจะล้มเหลวและตกต่ำอยู่เสมอ  หากเจ้าไม่ตื่นขึ้นและไม่แสวงหาความจริงเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมเป็นผู้ไม่เชื่อ และเจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริงและชีวิต  เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรทำสิ่งใดเล่า?  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว เจ้าต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องเรียกพระองค์ วิงวอนขอความรอดของพระองค์และขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและเรี่ยวแรงให้กับเจ้าและช่วยให้เจ้าสามารถค้ำชูหลักธรรมได้ ทำสิ่งที่เจ้าควรทำ จัดการกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม ตั้งมั่นในตำแหน่งที่เจ้าควรยืนอยู่ ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และป้องกันไม่ให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเผชิญกับการสูญเสียใดๆ  หากเจ้าสามารถทรยศต่อผลประโยชน์ของตัวเอง ความภาคภูมิใจของเจ้า และทัศนคติว่าด้วยการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนของเจ้าได้ และหากเจ้าทำสิ่งที่เจ้าควรทำด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และมิได้แบ่งแยก เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะทำให้ซาตานปราชัยและได้รับความจริงในแง่มุมนี้แล้ว  หากเจ้าดื้อแพ่งอยู่เสมอในการใช้ชีวิตไปตามปรัชญาของซาตาน ปกป้องสัมพันธภาพของเจ้ากับผู้อื่น ไม่ปฏิบัติความจริงเลย และไม่กล้าที่จะยึดปฏิบัติตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงในเรื่องอื่นๆ ได้หรือ?  เจ้าจะยังคงไม่มีความเชื่อหรือเรี่ยวแรงอยู่ดี  หากเจ้าไม่เคยมีความสามารถที่จะแสวงหาหรือยอมรับความจริงเลย เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้มาซึ่งความจริงกระนั้นหรือ?  (ไม่)  และหากเจ้าไม่สามารถได้มาซึ่งความจริง เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้กระนั้นหรือ?  เจ้าจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  หากเจ้าใช้ชีวิตไปตามปรัชญาของซาตานอยู่เสมอ ไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริงอย่างถึงที่สุด เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้เลย  ควรจะเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้าแล้วว่าการได้มาซึ่งความจริงนั้นเป็นภาวะที่จำเป็นสำหรับความรอด  เช่นนั้นแล้ว เจ้าสามารถได้มาซึ่งความจริงอย่างไรเล่า?  หากเจ้ามีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริง หากเจ้าสามารถใช้ชีวิตตามความจริง และความจริงกลายมาเป็นหลักพื้นฐานของชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะได้รับความจริงและมีชีวิต และดังนั้นเจ้าย่อมจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอด

บทตัดตอน 38

เวลาบางคนขาดแคลนความรู้ทางวิชาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และการที่พวกเขาจะเรียนรู้สิ่งใดก็เป็นเรื่องที่ยากเย็น นั่นเกิดอะไรขึ้น?  นั่นเป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย  ความจริงเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมสำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไป และพวกเขาก็เรียนรู้ไม่ง่ายนัก  คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีข้อบกพร่องที่สาหัสปางตาย พวกเขาไม่เพียงไร้มโนธรรมหรือเหตุผลเท่านั้น แต่ยังไม่มีพื้นที่ในหัวใจสำหรับพระเจ้าอีกด้วย  ดวงตาของพวกเขานั้นไม่มีชีวิตชีวา ไร้แวว และไม่ยินดียินร้าย เหมือนพวกสัตว์ไม่มีผิด  พวกเขารู้จักแต่วิธีดื่ม กิน และรื่นเริงเท่านั้น ไม่ศึกษาเล่าเรียนหรือมีทักษะใดๆ  พวกเขาเรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่ระดับผิวเผินเท่านั้น แล้วก็คิดว่าตนเข้าใจแล้วในขณะที่เพิ่งเรียนรู้ไปเพียงแผ่วผิวเท่านั้น  เมื่อผู้อื่นพยายามอธิบายเพิ่ม พวกเขาก็ไม่ยอมรับฟังโดยเชื่อว่านั่นไม่จำเป็น  พวกเขาไม่รับฟังหรือยอมรับสิ่งใดที่ผู้อื่นพูด และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่อาจสำเร็จลุล่วงในสิ่งใดได้ โดยทั่วไปแล้วจึงไร้ประโยชน์  การมีขีดความสามารถอ่อนด้อยนั้นสาหัสปางตายในตัวมันเอง  หากคนคนหนึ่งมีอุปนิสัยที่ไม่ดี ขาดศีลธรรม ไม่ฟังคำแนะนำ ยอมรับสิ่งที่เป็นบวกไม่ได้ และไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้และโอบรับสิ่งใหม่ๆ บุคคลเช่นนี้ย่อมไร้ประโยชน์!  บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาต้องครองมโนธรรมและเหตุผล รู้จักประมาณความสามารถของตน รู้ข้อบกพร่องของตน และเข้าใจว่าอะไรที่ตนขาดไป อะไรที่ตนจำเป็นต้องปรับปรุง  พวกเขาต้องรู้สึกอยู่เสมอว่าตนกำลังขาดตกบกพร่องอย่างมาก และหากพวกเขาไม่เรียนรู้และยอมรับสิ่งใหม่ๆ พวกเขาก็อาจจะถูกกำจัดออกไป  หากหัวใจของพวกเขาสำนึกถึงวิกฤตที่ประชิดเข้ามา ก็ย่อมทำให้พวกเขามีแรงจูงใจและมีความเต็มใจที่จะเรียนรู้สิ่งทั้งหลาย ในแง่มุมหนึ่ง คนเราควรเตรียมตนให้พร้อมสรรพไปด้วยความจริง และในอีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาควรความรู้ทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ด้วยการปฏิบัติตามหนทางนี้ พวกเขาย่อมก้าวหน้าได้ และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดี  มีเพียงการทำหน้าที่ของตนให้ดีและใช้ชีวิตตามสภาวะเสมือนมนุษย์เท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตคนเรามีคุณค่าได้ ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของตนจึงเป็นสิ่งที่มีความหมายสูงสุด  บางคนมีอุปนิสัยเลว พวกเขาไม่เพียงไม่รู้ความเท่านั้น แต่ยังโอหังอีกด้วย  พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าการแสวงหาในทุกเรื่องและฟังผู้อื่นอยู่ร่ำไปนั้นจะทำให้ผู้อื่นดูถูกตน และทำให้ตนเสียหน้า พวกเขาคิดว่าการประพฤติปฏิบัติตนแบบนี้ไม่มีศักดิ์ศรี  ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม  การเป็นคนโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ไม่เรียนรู้สิ่งใด ล้าหลังและล้าสมัยไปเสียทุกสิ่ง ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจเชิงลึก และไม่มีแนวคิด คือสิ่งที่น่าอับอายอย่างแท้จริง และนี่ก็คือยามที่คนเราสูญเสียความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี  คนบางคนไม่สามารถทำสิ่งใดให้ดีได้ มีความเข้าใจเบื้องต้นในทุกสิ่งที่ตนเรียนรู้ พอใจกับการเข้าใจคำสอนเพียงไม่กี่ข้อ และคิดไปว่าตนนั้นมีความสามารถ  แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงได้ และไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นชิ้นเป็นอัน  หากเจ้าบอกพวกเขาว่าพวกเขานั้นไม่เข้าใจสิ่งใดเลยและไม่ได้ทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง พวกเขาย่อมไม่เชื่อและตั้งหน้าตั้งตาพิสูจน์ข้อโต้แย้งของตน  แต่เมื่อพวกเขาลงมือทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาก็ทำได้ไม่ดี และทำแบบครึ่งๆ กลางๆ  หากคนคนหนึ่งไม่สามารถรับมือกับกิจใดได้ดี คนคนนั้นก็ย่อมไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  ย่อมเป็นคนไม่เอาถ่านมิใช่หรือ?  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปนั้นไม่สามารถรับมือได้แม้แต่กิจที่เรียบง่ายที่สุด  พวกเขาไม่เอาถ่าน และชีวิตของพวกเขาก็ไร้คุณค่า  บางคนกล่าวว่า “ฉันเติบโตในชนบท ไม่มีการศึกษาหรือวิชาความรู้ และขีดความสามารถของฉันก็อ่อนด้อย ไม่เหมือนคนอย่างพวกคุณที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มีการศึกษาและรอบรู้ เพราะอย่างนั้นพวกคุณถึงเก่งไปเสียทุกอย่าง”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ไม่ถูกต้องตรงไหน?  (การที่บุคคลหนึ่งสามารถสัมฤทธิ์สิ่งทั้งหลายได้หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของพวกเขา โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นทุ่มเทเรียนรู้และปรับปรุงตนเองหรือไม่)  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีการศึกษาแค่ไหน หรือพวกเขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมประเภทใด หรือพวกเขามีความสามารถพิเศษมากเพียงใด  แต่พระองค์กลับทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยมีพื้นฐานอยู่บนท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  ท่าทีนี้สัมพันธ์กับอะไรหรือ?  นี่สัมพันธ์กับสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และก็เกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกเขาเช่นกัน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องสามารถรับมือกับความจริงได้อย่างถูกต้อง  หากเจ้ามีท่าทีแห่งความถ่อมใจและการยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ามีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยไปบ้าง พระเจ้าก็ยังจะประทานความรู้แจ้งให้แก่เจ้าและยอมให้เจ้าได้รับบางอย่าง  หากเจ้าเป็นผู้มีขีดความสามารถสูงแต่มักเป็นคนโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ คิดว่าสิ่งใดที่ตนพูดนั้นถูกต้อง และสิ่งใดผู้อื่นพูดนั้นผิด ไม่ว่าผู้อื่นเสนอแนะสิ่งใดให้ก็ปฏิเสธ และถึงกับไม่ยอมรับความจริง ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงไปอย่างไรก็ตาม ก็ขัดขืนอยู่เสมอ แล้วบุคคลเช่นเจ้าจะได้รับการเห็นชอบของพระเจ้าหรือไม่?  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงราชกิจกับบุคคลเช่นเจ้าหรือไม่?  พระองค์จะไม่ทรงทำ  พระเจ้าจะตรัสว่าเจ้ามีอุปนิสัยที่ไม่ดีและไม่คู่ควรที่จะรับความรู้แจ้งของพระองค์ และหากเจ้าไม่กลับใจ แม้แต่สิ่งที่เจ้าเคยมีพระองค์ก็จะทรงพรากไปจากเจ้า  นี่คือสิ่งที่จะถูกเปิดเผย  ผู้คนแบบนี้ใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพช  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีอะไร และไม่เก่งในเรื่องใดเลย แต่ก็ยังคิดว่าตนเองดี และดีกว่าผู้อื่นในทุกด้าน  พวกเขาไม่เคยพูดถึงข้อเสียหรือข้อบกพร่องทั้งหลายของตนต่อหน้าผู้อื่น รวมถึงจุดอ่อนและความคิดลบของตนด้วย  พวกเขาแสร้งทำเป็นรอบรู้อยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นหลงประทับใจ ทำให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเก่งในทุกเรื่อง ไม่มีความอ่อนแอ ไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ไม่จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ใด และไม่จำเป็นต้องเรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่นเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะดีกว่าคนอื่นทุกคนเสมอ  นี่เป็นอุปนิสัยแบบใดกัน?  (ความโอหัง)  เช่นนี้คือความโอหัง  คนแบบนี้ใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพช!  พวกเขามีความสามารถจริงหรือ?  พวกเขาสามารถทำสิ่งทั้งหลาย ให้สำเร็จลุล่วงได้จริงหรือ?  ที่ผ่านมาพวกเขาทำพลาดมาแล้วหลายเรื่อง แต่คนแบบนี้ก็ยังคิดว่าตนสามารถทำสิ่งใดก็ได้  นั่นไม่ไร้เหตุผลมากไปหรอกหรือ?  เมื่อใดที่ผู้คนขาดเหตุผลได้ถึงขนาดนั้น เมื่อนั้นพวกเขาก็เป็นคนที่สับสนว้าวุ่น  ผู้คนเช่นนั้นไม่เรียนรู้หรือไม่ยอมรับสิ่งใหม่ๆ  ภายในใจของพวกเขาแห้งแล้ง คับแคบ และขัดสน และไม่ว่าสถานการณ์ใด พวกเขาก็ไม่อาจขบคิดและจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายหรือเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ รู้เพียงว่าต้องติดหนึบอยู่กับข้อบังคับ กล่าวคำพูดและคำสอน และโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่น  ผลสุดท้ายคือพวกเขาไม่มีความเข้าใจในความจริงใดเลย และไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย กระนั้นก็ยังคงโอหังเหลือเกิน  พวกเขาเป็นเพียงคนหัวทึบสับสนที่ไม่สะทกสะท้านต่อเหตุผลอย่างถึงที่สุด และพวกเขาก็มีแต่ต้องถูกกำจัดออกไปเท่านั้น

เมื่อพวกเจ้าร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ เจ้าสามารถที่จะเปิดใจให้กับความคิดเห็นที่แตกต่างได้หรือไม่?  เจ้าสามารถปล่อยให้ผู้อื่นพูดได้หรือไม่?  (ข้าพระองค์สามารถทำได้เล็กน้อยนิด  ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ข้าพระองค์จะไม่ฟังคำชี้แนะของพี่น้องชายหญิงและยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตัวเอง  มีเพียงในเวลาต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าข้าพระองค์ผิด ข้าพระองค์จึงมองเห็นว่าคำชี้แนะของพวกเขาส่วนใหญ่ถูกต้อง ว่าการแก้ปัญหาที่ทุกคนหารือกันนั้นเหมาะสมจริงๆ และการที่ข้าพระองค์พึ่งพาทัศนะของตัวเองทำให้ข้าพระองค์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน อีกทั้งข้าพระองค์นั้นขาดตกบกพร่อง  หลังจากผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ข้าพระองค์จึงตระหนักว่าการร่วมมืออย่างปรองดองนั้นสำคัญเพียงใด)  และเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดจากการนี้?  หลังจากผ่านประสบการณ์กับการนี้ เจ้าได้รับประโยชน์อยู่บ้างและเข้าใจความจริงใช่หรือไม่?  เจ้าคิดว่ามีคนที่เพียบพร้อมกระนั้นหรือ?  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะแข็งแรงเพียงใด หรือมีศักยภาพและมีความสามารถเพียงใด พวกเขายังคงไม่เพียบพร้อม  ผู้คนต้องระลึกถึงการนี้ นี่คือข้อเท็จจริง  และนี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมีเพื่อที่จะเข้าหาข้อดี รวมถึงจุดแข็งหรือความผิดของพวกเขาได้อย่างถูกต้อง นี่คือความมีเหตุผลที่ผู้คนควรจะครองไว้  ด้วยความมีเหตุผลเช่นนี้ เจ้าจะสามารถรับมือกับจุดแข็งและจุดอ่อนของเจ้าเอง ตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนเหล่านั้นของผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และนี่จะทำให้เจ้าสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างปรองดอง  หากเจ้าเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงและสามารถเข้าสู่แง่มุมนี้ของความเป็นจริงความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเข้ากันได้อย่างปรองดองกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยดึงจุดแข็งของพวกเขามาชดเชยจุดอ่อนใดๆ ที่เจ้ามี  ในหนทางนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใด หรือเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าจะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้นและมีพระพรของพระเจ้าเสมอ  หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้านั้นดีเหลือเกินและคิดว่าคนอื่นนั้นแย่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน และหากเจ้าต้องการที่จะมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็จะเป็นที่น่าลำบากใจ  นี่คือปัญหาทางด้านอุปนิสัย  ผู้คนเช่นนี้ไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกหรอกหรือ?  ลองนึกภาพว่ามีคนมาให้คำแนะนำที่ดีแก่เจ้า แต่เจ้ากลับคิดว่าหากยอมรับคำแนะนำนี้แล้วพวกเขาอาจดูแคลนเจ้า และคิดว่าเจ้าไม่ดีเท่าพวกเขา  ดังนั้น เจ้าก็แค่ตัดสินใจไม่รับฟังพวกเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับพยายามบดบังรัศมีพวกเขาด้วยคำพูดชั้นสูงที่ฟังดูสูงส่งเพื่อให้พวกเขายกย่องเชิดชูเจ้าแทน  หากเจ้ายังปฏิสัมพันธ์กับผู้คนด้วยในหนทางนี้อยู่ร่ำไป เจ้าจะให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างปรองดองได้หรือไม่?  ไม่เพียงแต่เจ้าจะล้มเหลวในการสัมฤทธิ์ความร่วมมืออันปรองดองเท่านั้น แต่ยังจะมีผลสืบเนื่องในทางลบตามมาอีกด้วย  เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็จะล่วงรู้ว่าเจ้าเป็นคนหลอกลวงและฉลาดแกมโกงอย่างมาก เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจหยั่งถึง เจ้าไม่ปฏิบัติความจริง และไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์ ดังนั้นผู้อื่นจึงผลักไสเจ้า  หากทุกคนผลักไสเจ้า นี่หมายถึงเจ้าถูกปฏิเสธมิใช่หรือ?  บอกเราหน่อยเถิดว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนที่ทุกคนปฏิเสธอย่างไร?  พระเจ้าย่อมทรงรังเกียจบุคคลเช่นนี้เหมือนกัน  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงรังเกียจผู้คนแบบนี้เล่า?  แม้ว่าความตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นของจริง แต่วิธีการของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ  อุปนิสัยที่พวกเขาเปิดเผยออกมาและทุกความนึกคิด แนวคิด และเจตนาล้วนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจและทำให้พระองค์ขยะแขยง  เมื่อผู้คนใช้ชั้นเชิงที่น่าดูหมิ่นในคำพูดและการกระทำของตนอยู่เสมอด้วยจุดมุ่งหมายให้ผู้อื่นยกย่องเชิดชูตน พระเจ้าทรงรังเกียจพฤติกรรมนี้

เมื่อผู้คนทำหน้าที่ของตนหรือการงานใดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หัวใจของพวกเขาต้องไร้ราคี กล่าวคือ ต้องบริสุทธิ์เสมือนน้ำสะอาดชามหนึ่ง—ใสสะอาดราวแก้วผลึก ปราศจากราคี  ฉะนั้น ท่าทีประเภทใดหรือที่ถูกต้อง?  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ เจ้าสามารถสามัคคีกับผู้อื่นถึงสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ตลอดจนแนวคิดใดก็ตามที่เจ้าอาจมี  หากมีบางคนกล่าวว่า หนทางที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลายนั้นจะไม่เป็นผล และพวกเขาก็เสนออีกแนวคิดขึ้นมา และหากเจ้ารู้สึกว่านั่นเป็นแนวคิดที่เข้าท่าทีเดียว แล้วเจ้าก็ยอมทิ้งหนทางเดิมของเจ้า และทำสิ่งทั้งหลายไปตามสิ่งที่พวกเขาคิด  จากการทำเช่นนั้น ทุกคนจะเห็นว่าเจ้าสามารถยอมรับข้อเสนอแนะของผู้อื่นได้ เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง กระทำตามหลักธรรมทั้งหลายด้วยความโปร่งใสและชัดเจน  ไม่มีความมืดในหัวใจเจ้า เจ้ากระทำและพูดอย่างจริงใจ โดยพึ่งพาท่าทีแห่งความซื่อสัตย์  เจ้าพูดจาตรงไปตรงมา หากสิ่งใดใช่เจ้าก็ว่าใช่ หากสิ่งใดไม่ใช่เจ้าก็ว่าไม่ใช่  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความลับ เป็นเพียงบุคคลหนึ่งซึ่งโปร่งใสมากเท่านั้น  นั่นไม่ใช่ท่าทีประเภทหนึ่งหรอกหรือ?  นี่เป็นท่าทีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย และเป็นสิ่งที่แสดงถึงอุปนิสัยของคนคนหนึ่ง  ในทางกลับกัน บางคนอาจไม่เคยเปิดใจสัมพันธ์สนิทสิ่งที่ตนคิดกับผู้อื่น  และในทุกสิ่งที่พวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่เคยปรึกษาผู้อื่นเลย แต่กลับปิดใจจากผู้อื่นแทน ราวกับต้องคอยระวังตัวจากผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อ  พวกเขาห่อหุ้มตัวเองไว้อย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้  นี่ไม่ใช่คนที่หลอกลวงหรอกหรือ?  ยกตัวอย่างเช่น พวกเขามีแนวคิดหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าเป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดจึงคิดว่า “ตอนนี้ฉันจะเก็บงำแนวคิดนี้เอาไว้ก่อน ถ้าฉันบอกออกไป พวกคุณก็จะนำไปใช้และแย่งรัศมีไปจากฉัน และนั่นจะไม่ได้การแน่ ฉันจะเก็บงำเอาไว้”  หรือหากมีบางสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเลย พวกเขาก็จะคิดว่า “ฉันจะไม่พูดอะไรออกไปตอนนี้หรอก หากฉันพูดไป และบางคนพูดบางสิ่งที่เหนือกว่า ฉันจะไม่ดูเหมือนคนโง่หรอกหรือ?  ทุกคนจะมองฉันทะลุปรุโปร่ง เห็นความอ่อนแอของฉันในเรื่องนี้  ฉันไม่ควรพูดอะไรออกไปทั้งนั้น”  ไม่ว่าจะเป็นความคิดคำนึงหรือสิ่งจูงใจแฝงใดก็ตาม พวกเขากลัวว่าทุกคนจะมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง  พวกเขาเข้าหาหน้าที่ของตนและผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายด้วยมุมมองและท่าทีประเภทนี้เสมอ  นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ?  อุปนิสัยคดโกง หลอกลวง และชั่วร้าย  โดยผิวเผินดูเหมือนว่าพวกเขาได้พูดทุกอย่างกับผู้อื่นเท่าที่เชื่อว่าตนทำได้แล้ว แต่ลึกลงไปนั้นพวกเขาเก็บงำบางอย่างเอาไว้  อะไรที่พวกเขาเก็บงำเอาไว้?  พวกเขาไม่เคยพูดสิ่งใดที่พาดพิงไปถึงชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนเลย ด้วยคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่เคยพูดกับใครมาก่อนแม้แต่กับพ่อแม่ก็ตาม  พวกเขาไม่เคยพูดสิ่งเหล่านี้  นี่เป็นเรื่องน่าหนักใจ!  เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่พูดสิ่งเหล่านี้พระเจ้าจะไม่ทรงทราบอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนพูดว่าพระเจ้าทรงทราบ แต่พวกเขาจะแน่แก่ใจได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงทราบ?  ผู้คนไม่เคยตระหนักว่า “พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง  ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันคิดอยู่ในใจ ต่อให้ฉันไม่เปิดเผยออกมา พระเจ้าก็ทรงพินิจพิเคราะห์อยู่อย่างไม่เปิดเผย พระเจ้าทรงทราบอย่างแน่นอน ฉันไม่อาจซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้าได้ ดังนั้น ฉันต้องพูดออกมาด้วยการสามัคคีธรรมอย่างเปิดใจกับพี่น้องชายหญิงของฉัน ไม่ว่าความนึกคิดและแนวคิดต่างๆ นั้นจะดีหรือแย่ ฉันก็ต้องพูดสิ่งนั้นตามตรง  ฉันไม่อาจจะคดโกง เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เห็นแก่ตัว หรือน่ารังเกียจได้ ฉันต้องเป็นคนซื่อสัตย์”  หากผู้คนคิดได้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นท่าทีที่ถูกต้อง  แทนที่จะสำรวจค้นหาความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นอันหยุมหยิมของพวกเขาเอง  ผลประโยชน์ หน้าตาของพวกเขาเอง และตำแหน่งแห่งที่หรือจุดยืนที่พวกเขามีในจิตใจของผู้อื่นล้วนมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา  เหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทะนุถนอม  พวกเขาเกาะติดสิ่งเหล่านี้ไว้แน่นหนาและถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตของพวกเขา  และการที่พระเจ้าทรงมีทัศนะหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับรอง ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพิกเฉยต่อการนั้น ในชั่วขณะนี้พวกเขาเพียงพิจารณาว่าพวกเขาเป็นเจ้านายของกลุ่มหรือไม่ ว่าผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาหรือไม่ และคำพูดของพวกเขามีน้ำหนักหรือไม่  ความกังวลอันดับแรกของพวกเขาอยู่ที่การครอบครองตำแหน่งนั้น  เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ผู้คนเกือบจะทั้งหมดมองหาฐานะประเภทนี้ โอกาสเหมาะประเภทนี้  เมื่อพวกเขามีความสามารถพิเศษสูง แน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเป็นจ่าฝูง หากพวกเขามีความสามารถปานกลาง พวกเขาก็จะยังคงต้องการครองตำแหน่งที่สูงกว่าในกลุ่มอยู่ดี และหากพวกเขาครองตำแหน่งที่ต่ำในกลุ่ม มีขีดความสามารถและความสามารถโดยเฉลี่ย พวกเขาก็จะต้องการให้ผู้อื่นเคารพยกย่องพวกเขาเช่นกัน พวกเขาจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นดูแคลนพวกเขา  หน้าตาและศักดิ์ศรีของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขายอมไม่ได้ กล่าวคือ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องยึดเกาะสิ่งเหล่านี้เอาไว้  พวกเขาไม่อาจมีความซื่อสัตย์สุจริตและไม่สามารถได้รับทั้งการรับรู้และการยอมรับจากพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่อาจเสียความเคารพนับถือ สถานะ หรือความเชื่อมั่นที่พวกเขาเพียรพยายามให้ได้มาในหมู่ผู้อื่นไปได้โดยเด็ดขาด—ซึ่งเป็นอุปนิสัยของซาตาน  แต่ผู้คนไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เป็นความเชื่อของพวกเขานั่นเองว่าพวกเขาต้องเกาะติดอยู่กับหน้าตาอันกระจิริดนี้ไปจนถึงปลายทาง  พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่า มีเพียงเมื่อปล่อยมือและละวางสิ่งที่ไร้ประโยชน์และผิวเผินเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนที่แท้จริง  หากคนคนหนึ่งปกป้องสิ่งเหล่านี้ที่ควรละทิ้งไปเสียว่าเป็นชีวิต พวกเขาก็ย่อมสูญเสียชีวิตไปแล้ว  พวกเขาไม่รู้ว่าเสี่ยงที่จะสูญเสียอะไรบ้าง  ดังนั้นแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาจึงยื้อยุดบางสิ่งเอาไว้อยู่เสมอ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง พวกเขาให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอันดับแรก โดยพูดเพียงเพื่อจุดหมายปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อการแก้ต่างอันจอมปลอมให้ตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำเป็นไปเพื่อตัวพวกเขาเอง  พวกเขารีบรุดไปยังสิ่งใดก็ตามที่สาดแสง เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  อันที่จริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย แต่พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะถูกทิ้งไว้หลังฉาก พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะดูแคลนพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เสมอว่าผู้คนอื่นๆ จะพูดว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งอันใดได้ ว่าพวกเขาไม่มีทักษะ  ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายอย่างเช่นหน้าตาและสถานะไปได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายขึ้นและเป็นอิสระขึ้นมาก เจ้าจะก้าวเท้าไปบนเส้นทางของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  แต่สำหรับหลายคนแล้ว นี่ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์  ตัวอย่างเช่นเมื่อมีกล้องปรากฏให้เห็น พวกเขาแย่งกันไปอยู่ด้านหน้า พวกเขาชอบให้มีหน้าของตัวเองติดในกล้อง ยิ่งออกสื่อมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากพอ และจะจ่ายทุกราคาเพื่อโอกาสที่จะได้ออกสื่อ  แล้วทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาชี้นำหรอกหรือ?  เหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา  ดังนั้น เจ้าจึงได้เป็นข่าว—แล้วอย่างไรต่อเล่า?  ผู้คนคิดกับเจ้าอย่างสูงส่ง—แล้วอย่างไรเล่า?  พวกเขาชื่นชูเจ้า—แล้วอย่างไร?  มีสิ่งใดบ้างในการนี้ที่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง?  ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีคุณค่าเลย  เมื่อเจ้าสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้—เมื่อเจ้ากลายเป็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้และไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญอีกต่อไป เมื่อหน้าตา ความถือดี สถานะ และความเลื่อมใสจากผู้คนไม่ได้ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเจ้าอีกต่อไป และยิ่งไม่ได้ควบคุมวิธีที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกทีและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นทุกที

บทตัดตอน 39

บางคนไม่เคยประพฤติตนอย่างถูกควรเมื่อเป็นเรื่องหน้าที่ของตัวเอง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับแสวงหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นและพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เป็นนิตย์  สิ่งนี้ดีหรือไม่?  พวกเขาจะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวได้หรือไม่?  (พวกเขาทำไม่ได้)  ถ้าคนบางคนพูดพ่นทัศนะที่ฟังดูสูงส่ง นั่นคืออุปนิสัยประเภทใด?  (ความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก)  นั่นคือความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก  ธรรมชาติของการกระทำของพวกเขาคืออะไร?  (พวกเขาแสวงหาการสร้างอิสรภาพของตน แสดงตัวตนของตนเอง และตั้งพรรคพวกของตนเองขึ้นมา)  การจัดตั้งพรรคพวกของตนเองขึ้นมาหมายถึงการทำให้คนอื่นเชื่อฟังและทำให้พวกเขาไม่กระทำการตามหลักธรรมความจริง  เจตนาและเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างอิสรภาพของตนและแสดงตัวตนของตนเอง ดังนั้นการกระทำของพวกเขาจึงให้ความรู้สึกของการรบกวนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิ่งต่างๆ อยู่  การรบกวนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิ่งต่างๆ หมายความว่าอย่างไร?  นี่สื่อถึงการก่อให้เกิดการทำลายล้าง มีธรรมชาติของการขัดขวางและการรบกวนอยู่  โดยปกติแล้ว ปัญหาส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ผ่านการสามัคคีธรรมและการพูดคุยเป็นกลุ่ม โดยการตัดสินใจส่วนใหญ่นั้นยึดตามหลักธรรมความจริงที่ทั้งถูกต้องและเที่ยงตรง  อย่างไรก็ตาม คนบางคนต่อต้านฉันทามตินี้อย่างไม่ลดละ พวกเขาไม่เพียงหลีกเลี่ยงการแสวงหาความจริง แต่ยังไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาอธิบายทฤษฎีแปลกๆ เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นและทำให้คนอื่นนับถือพวกเขา  พวกเขาต้องการโต้แย้งการตัดสินใจที่ถูกต้องซึ่งชี้ขาดไปแล้ว และเพื่อหักล้างสิ่งที่ทุกคนได้เลือกไปแล้ว  นี่คือความหมายของการรบกวนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิ่งต่างๆ และก่อให้เกิดการทำลายล้าง ก่อการขัดขวางและการรบกวน  นี่คือแก่นแท้ของการพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง  แล้วพฤติกรรมแบบนี้เป็นประเด็นปัญหาอย่างไร?  ข้อแรก พฤติกรรมเหล่านี้กำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และการขาดการนบนอบโดยสิ้นเชิง  นอกจากนี้ คนดื้อรั้นเหล่านี้ต้องการโดดเด่นและทำให้ผู้อื่นนับถือพวกเขาอยู่เสมอ และผลก็คือ พวกเขาขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร  เมื่อไม่มีความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่งได้ กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่ลดละที่จะพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งเพื่อโอ้อวดตัวเอง โดยไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่การกระทำตามอำเภอใจและไม่ไตร่ตรองหรอกหรือ?  การเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในการที่คนเราจะลุล่วงหน้าที่ของตนให้ดี  การพูดคุยระหว่างคนสองคนทำให้เกิดมุมมองที่รอบด้านและแม่นยำมากกว่ามุมมองที่บุคคลหนึ่งมีต่อสิ่งต่างๆ เสมอ  หากมีบางคนอยากจะประพฤติตนในหนทางที่นอกรีตหรือชอบพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งเพื่อให้ผู้อื่นติดตามตนอยู่เสมอ นี่เป็นสิ่งที่อันตราย ถือเป็นการเดินไปตามเส้นทางของตนเอง  คนเราต้องหารือกับผู้อื่นเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  จงฟังสิ่งที่คนอื่นอยากจะพูดเสียก่อน  หากทัศนะของคนส่วนใหญ่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เจ้าก็ควรยอมรับและเชื่อฟังทัศนะนั้น  ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร จงอย่าพูดพ่นทัศนะที่ฟังดูสูงส่ง  การกระทำดังกล่าวไม่เคยเป็นสิ่งที่ดีในกลุ่มคนใดก็ตาม  เมื่อเจ้าประกาศแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง หากแนวคิดนั้นเป็นไปตามหลักธรรมความจริงและคนส่วนใหญ่เห็นชอบ นั่นอาจถือว่าเป็นที่ยอมรับได้  อย่างไรก็ตาม ถ้าแนวคิดนั้นขัดแย้งกับหลักธรรมความจริงและเป็นภัยต่องานของคริสตจักร เจ้าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้และเผชิญกับผลที่ตามมาจากการกระทำของเจ้า  นอกจากนี้ การพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งถือเป็นปัญหาเชิงอุปนิสัย  การนี้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง และเจ้ากำลังดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าแทน  เมื่อเจ้าพูดพ่นทัศนะที่ฟังดูสูงส่ง เจ้ากำลังพยายามนำผู้อื่น ทำตัวเป็นผู้ออกคำสั่ง และเจ้ายังกำลังพยายามแสดงตัวตนของตัวเอง และตั้งอาณาจักรของเจ้าเอง เจ้าต้องการทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนฟังเจ้า ติดตามเจ้า และเชื่อฟังเจ้า  นี่คือการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าสามารถนำทางให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  เจ้าสามารถนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้หรือไม่?  ตัวเจ้าเองขาดความจริง และสามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อต่อต้านและทรยศพระเจ้าได้—หากเจ้ายังคงต้องการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ไปตามเส้นทางนี้ แล้วเจ้าไม่กลายเป็นหัวหน้าคนบาปไปแล้วหรือ?  เปาโลกลายเป็นหัวหน้าคนบาปและยังคงอดทนกับการลงโทษของพระเจ้า  หากเจ้าเดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็กำลังเดินในเส้นทางของเปาโล และจุดจบสุดท้ายและปลายทางของเจ้าจะไม่แตกต่างไปจากของเขา  เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเชื่อและติดตามพระเจ้าจะต้องไม่พูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง  กลับกัน พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง ยอมรับความจริง และนบนอบทั้งความจริงและพระเจ้า  การทำเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาไม่ได้ไปตามทางของตัวเอง และพวกเขาสามารถติดตามพระเจ้าได้โดยไม่เบี่ยงเบนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้คนร่วมมือกันในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างกลมเกลียวกัน  เรื่องนี้มีความหมาย รวมถึงเป็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง  ในคริสตจักร เป็นไปได้ที่ความรู้แจ้งและการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจมาสู่คนใดคนหนึ่งที่เข้าใจความจริงและมีความสามารถในการทำความเข้าใจ  เจ้าควรจับยึดความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์เอาไว้ ทำตามอย่างใกล้ชิดและให้ความร่วมมืออย่างแนบแน่นกับความรู้แจ้งและความกระจ่างนั้น  เมื่อทำเช่นนี้ เจ้าจะเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งก็คือเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทาง  จงเอาใจใส่เป็นพิเศษว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางและทรงพระราชกิจในตัวของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างไร  เจ้าควรสามัคคีธรรมกับผู้อื่นบ่อยครั้ง โดยเสนอแนะและแสดงทัศนะของเจ้าเอง—นี่คือหน้าที่ของเจ้าและเสรีภาพของเจ้า  แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องหนึ่ง หากเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ให้คำชี้ขาดอันเป็นที่สิ้นสุด ให้ทุกคนทำตามที่เจ้าพูดและทำตามเจตจำนงของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็กำลังละเมิดหลักธรรม  เจ้าควรเลือกให้ถูกต้องตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด แล้วจึงตัดสินใจ  หากข้อเสนอแนะของคนส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง เจ้าก็ควรยึดมั่นในความจริง  การนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  หากเจ้าพูดพ่นทัศนะที่ฟังดูสูงส่งอยู่เป็นนิตย์ พยายามอธิบายทฤษฎีบางอย่างที่ซับซ้อนเพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น และอันที่จริง เจ้ารู้สึกอยู่ในหัวใจของตนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด เช่นนั้นก็จงอย่าดันทุรังให้ตนเองเป็นจุดสนใจ  นี่เป็นหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติหรือไม่?  หน้าที่ของเจ้าคืออะไร?  (ทำทุกอย่างเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ข้าพระองค์พึงทำ และพูดแต่สิ่งที่ข้าพระองค์เข้าใจ  ถ้าข้าพระองค์ไม่มีความเห็นเป็นของตนเอง ข้าพระองค์ก็ควรเรียนรู้ที่จะรับฟังข้อเสนอแนะของคนอื่นๆ ให้มากขึ้น ใช้วิจารณญาณอย่างชาญฉลาด และไปถึงจุดที่ข้าพระองค์สามารถร่วมมือกับทุกคนได้อย่างกลมเกลียวกัน)  ถ้าไม่มีอะไรชัดเจนสำหรับเจ้าและเจ้าไม่มีความเห็น จงเรียนรู้ที่จะฟังและเชื่อฟัง และแสวงหาความจริง  นี่คือหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ นี่เป็นท่าทีที่ประพฤติดี  หากเจ้าไม่มีความเห็นเป็นของตนเองและกลัวที่จะดูโง่เขลา กลัวที่จะไม่สามารถทำให้ตัวเองโดดเด่น และกลัวอับอายขายหน้าอยู่เสมอ—หากเจ้ากลัวว่าจะถูกผู้อื่นดูหมิ่นและกลัวจะไม่มีพื้นที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา และดังนั้นเจ้าจึงพยายามดันทุรังให้ตัวเองตกเป็นจุดสนใจและอยากจะพูดพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอ โดยหยิบยกคำกล่าวอ้างอันไร้สาระบางอย่างที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งเจ้าอยากให้ผู้อื่นยอมรับ—เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?  เจ้ากำลังทำตัวเป็นผู้ทำลายล้าง  เมื่อพวกเจ้าสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกระทำในลักษณะดังกล่าวอยู่เป็นประจำ พวกเจ้าจะต้องกำหนดข้อจำกัดให้กับพวกเขา  แล้วควรกำหนดข้อจำกัดอย่างไร?  เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดปากพวกเขาโดยสิ้นเชิงหรือปิดโอกาสไม่ให้พวกเขาพูด  เจ้าสามารถให้พวกเขาสามัคคีธรรมได้ และพวกเขาไม่ควรถูกกีดกันออก แต่ทุกคนที่อยู่รอบตัวคนเหล่านั้นควรใช้วิจารณญาณ  นี่คือหลักธรรม  ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครบางคนเสนอทัศนคติที่ไม่ถูกต้องซึ่งสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และคนส่วนใหญ่สนับสนุนและเห็นด้วยกับบุคคลนั้น แต่มีคนไม่กี่คนที่มีวิจารณญาณแยกแยะเล็กน้อยที่สามารถตรวจพบได้ว่าทัศนคติของคนเหล่านั้นเจือปนไปด้วยเจตจำนง รวมถึงความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขา เช่นนั้นคนเหล่านี้ควรเปิดโปงบุคคลนั้น และให้พวกเขาทบทวนและรู้จักตนเอง  นี่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง  หากไม่มีใครใช้วิจารณญาณหรือแสดงความเห็นของตน และทุกคนเอาแต่ทำตัวเหมือนคนที่ชอบเอาใจผู้คน ก็จะย่อมมีเหล่าคนที่ประจบสอพลอบุคคลนั้น เห็นพ้องและสนับสนุนพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะเป็นการเติมเชื้อไฟให้ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของคนคนนั้น  แล้วบุคคลนั้นจะเริ่มได้รับอำนาจจริงๆ ในคริสตจักร  เมื่อนั้นเองที่สิ่งนี้กลายเป็นอันตราย เพราะพวกเขาสามารถรวมพรรคพวกที่สนับสนุนตนเอง กลายเป็นกองกำลังของพวกเขาเอง ซึ่งทำสิ่งชั่วร้าย และรบกวนงานของคริสตจักร  ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะเหยียบย่างไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  ทันทีที่พวกเขาเข้าควบคุมคริสตจักร พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และเริ่มก่อตั้งอาณาจักรที่เป็นอิสระของตนเอง

บทตัดตอน 40

เมื่อมีสิ่งใดก็ตามเกิดขึ้น ทุกคนควรอธิษฐานร่วมกันให้มากขึ้นและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ผู้คนไม่ควรยึดถือความคิดของตนเพื่อทำตามอำเภอใจโดยเด็ดขาด  ตราบใดที่ผู้คนมีจิตเดียวและใจเดียวกันในการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ตราบนั้นพวกเขาจะสามารถบรรลุความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาจะสามารถได้รับพระพรจากพระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าอย่างไร?  (“ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้ เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” (มัทธิว 18:19-20))  สิ่งที่ตรัสนี้แสดงให้เห็นประเด็นอะไร?  นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถแยกออกจากพระเจ้าได้ มนุษย์ต้องพึ่งพาพระเจ้า มนุษย์ไม่อาจทำสิ่งใดโดยลำพัง และการไปตามหนทางของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้  การที่เราพูดว่ามนุษย์ไม่อาจทำสิ่งใดโดยลำพังนั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนจะต้องร่วมมือกันด้วยความปรองดอง ทำสิ่งต่างๆ ด้วยใจเดียวและจิตเดียวกัน และมีเป้าหมายร่วมกัน  มีคำพูดที่ว่า “กิ่งไม้ที่มัดรวมกันย่อมหักไม่ได้”  แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนมัดกิ่งไม้ได้อย่างไร?  เจ้าต้องร่วมมือกันด้วยความสามัคคี มีความเห็นพ้องต้องกัน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจ  ถ้าแต่ละคนหลบเร้นความลับของตัวเอง คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตน และไม่มีใครรับผิดชอบงานของคริสตจักร ทุกคนล้วนไม่อยากรับภาระ ไม่มีใครอยากเป็นผู้นำ ทุ่มเทความพยายาม หรือทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อการนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจของพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  เมื่อผู้คนดำเนินชีวิตในสภาวะที่ไม่ถูกต้อง และไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงละทิ้งพวกเขา และพระเจ้าจะไม่ทรงมาสถิต  ผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงจะถือครองงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไรเล่า?  พระเจ้าทรงชิงชังพวกเขา พระพักตร์ของพระองค์จึงถูกซ่อนไว้จากพวกเขา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงถูกปกปิดจากคนเหล่านั้น  เมื่อพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป เจ้าก็สามารถทำตามใจตนเองได้  เมื่อพระองค์ทรงทอดทิ้งเจ้าไปแล้ว เจ้าไม่จบเห่หรือ?  เจ้าจะทำสิ่งใดไม่สำเร็จทั้งสิ้น  เหตุใดผู้ไม่มีความเชื่อจึงทำสิ่งต่างๆ ได้ยากเย็นนัก?  ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาแต่ละคนไม่บอกความรู้สึกนึกคิดของตนเองหรอกหรือ?  พวกเขาไม่บอกความรู้สึกนึกคิดของตนเอง และไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้—ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยความบากบั่นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งเรื่องที่ง่ายที่สุด  นี่คือชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน หากพวกเจ้าทำอย่างผู้ไม่มีความเชื่อ แล้วเจ้าจะแตกต่างไปจากคนเหล่านั้นอย่างไรเล่า?  ไม่มีความแตกต่างใดๆ เลย  ถ้าอำนาจในคริสตจักรถูกใช้โดยผู้ที่ไม่มีความจริง ถ้าถูกใช้โดยผู้ที่เต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน หมายความว่าอันที่จริงแล้วซาตานคือผู้ใช้อำนาจมิใช่หรือ?  หากการกระทำของผู้ที่ใช้อำนาจในคริสตจักรล้วนขัดกับความจริง  เช่นนั้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ย่อมยุติลง และพระเจ้าทรงมอบพวกเขาให้กับซาตาน เมื่ออยู่ในเงื้อมมือของซาตาน ความอัปลักษณ์ทุกรูปแบบ เช่น ความอิจฉาริษยาและความขัดแย้ง เป็นต้น ก็ปรากฏออกมาท่ามกลางผู้คน  ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่าเมื่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยุติลง พระองค์ทรงจากไปแล้ว และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงพระราชกิจอีกต่อไป  หากไร้ซึ่งพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว เพียงแค่คำพูดและคำสอนที่มนุษย์เข้าใจจะมีประโยชน์อันใด?  ไม่มีประโยชน์  เมื่อคนผู้หนึ่งไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว ภายในของพวกเขาก็จะว่างเปล่า ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก เฉกเช่นคนตาย และเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว พวกเขาจะตะลึงงัน  ทุกแรงบันดาลใจ สติปัญญา เชาว์ปัญญา ความหยั่งรู้ และความรู้แจ้งในมวลมนุษยชาติล้วนมาจากพระเจ้า เป็นพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสิ้น  เมื่อคนผู้หนึ่งแสวงหาความจริงในเรื่องใดๆ ก็จะพลันเกิดความเข้าใจและได้รับหนทาง ความกระจ่างนี้มาจากที่ใด?  ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งนั้น  เมื่อผู้คนสามัคคีธรรมความจริงก็เช่นกัน พวกเขาไม่มีความเข้าใจในตอนแรก แต่ในขณะที่พวกเขาสามัคคีธรรม พวกเขาก็เกิดความกระจ่างและสามารถพูดเกี่ยวกับความเข้าใจบางอย่างได้  นี่คือความรู้แจ้งและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ส่วนใหญ่แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเมื่อใด?  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมความจริง เมื่อผู้คนอธิษฐานถึงพระเจ้า และเมื่อผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยใจและจิตที่เป็นหนึ่งเดียวกัน  เหล่านี้คือเวลาที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันในจำนวนคนที่มากหรือน้อย ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวการณ์อย่างไร และไม่ว่าเมื่อใด จงอย่าลืมหนึ่งสิ่งนี้—เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  เจ้าจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เมื่อดำเนินชีวิตในสภาวะนี้

บทตัดตอน 41

ในพระนิเวศของพระเจ้า ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนเป็นหนึ่งเดียวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยไม่แบ่งแยก  พวกเขาทุกคนทำงานมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำหน้าที่ให้ลุล่วง การทำงานที่ตกมาถึงพวกเขา การปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมความจริง การทำตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ และการสนองเจตนารมณ์ของพระองค์  หากเป้าหมายของเจ้าไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งการนี้ แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นั่นก็คือการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  ในพระนิเวศของพระเจ้านั้น การทำหน้าที่ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ในขณะที่การกระทำของผู้ไม่มีความเชื่อถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขากำกับเอาไว้ นี่คือสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างมาก  ผู้ไม่มีความเชื่อเก็บงำกลอุบายของตัวพวกเขาเองเอาไว้ แต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายและแผนการของตัวพวกเขาเอง ทุกคนดำรงชีวิตอยู่เพื่อผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเอง  นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาตะเกียกตะกายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และไม่เต็มใจที่จะวางมือจากสิ่งที่พวกเขาได้รับแม้สักนิ้วเดียว  พวกเขาถูกแบ่งแยก ไม่เป็นหนึ่งเดียว เพราะพวกเขาไม่มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน  ความตั้งใจและธรรมชาติเบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเหมือนกัน  พวกเขาล้วนมุ่งมั่นเพื่อตัวพวกเขาเอง  ไม่มีความจริงปกครองอยู่ในการนั้น สิ่งที่ปกครองอยู่จริงและกำกับดูแลอยู่ในการนั้นก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  พวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตัวเองและไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และดังนั้นพวกเขาจึงร่วงลงสู่บาปลึกลงทุกที  ในพระนิเวศของพระเจ้า หากหลักธรรม วิธีการ แรงจูงใจ และจุดเริ่มต้นของการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้านั้นไม่แตกต่างจากพวกผู้ไม่มีความเชื่อ หากพวกเจ้าก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานบงการ ควบคุมและใช้เป็นของเล่น และหากจุดเริ่มต้นของการกระทำของพวกเจ้าก็คือผลประโยชน์ ความมีหน้ามีตา ความภาคภูมิใจ และสถานะของพวกเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่แตกต่างเลยจากหนทางที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำสิ่งทั้งหลาย  หากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเจ้าก็ควรเปลี่ยนหนทางที่ตนทำสิ่งทั้งหลายเสีย  เจ้าควรละทิ้งผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง รวมทั้งความตั้งใจและความอยากได้อยากมีส่วนตัวของเจ้า  พวกเจ้าควรสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับความจริงเสียก่อนในยามที่ทำสิ่งทั้งหลาย และเข้าใจเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้าก่อนที่เจ้าจะจัดแบ่งแรงงานกันในหมู่พวกเจ้า โดยดูว่าใครเก่งและไม่เก่งในเรื่องใด  เจ้าควรรับทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้และยึดมั่นต่อหน้าที่ของเจ้า  จงอย่าดิ้นรนหรือฉกฉวยสิ่งทั้งหลาย  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะประนีประนอมและยอมผ่อนปรน  หากใครบางคนเพิ่งได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่หรือเพียงแค่ได้เริ่มเรียนรู้ทักษะสำหรับสาขาหนึ่ง แต่ไม่ดีพอที่จะทำบางชิ้นงาน เจ้าก็ต้องไม่บังคับพวกเขา  เจ้าต้องมอบหมายชิ้นงานที่ง่ายกว่าเล็กน้อยให้กับพวกเขา  นี่ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับพวกเขาที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  นั่นเองคือสิ่งที่เป็นการยอมผ่อนปรน อดทน และมีหลักธรรม  นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ปกติควรมี นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนและสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ  หากเจ้ามีทักษะพอใช้ในบางสาขา และได้ทำงานในสาขานั้นมานานกว่าคนส่วนใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรได้รับการมอบหมายงานที่ยากเย็นกว่า  เจ้าควรยอมรับการนี้จากพระเจ้าและนบนอบ  จงอย่าจุกจิกและพร่ำบ่นโดยกล่าวว่า “ทำไมฉันถึงถูกเลือกปฏิบัติอยู่เรื่อย?  พวกเขาให้ชิ้นงานที่ง่ายกว่ากับคนอื่น แล้วก็ให้ชิ้นยากๆ กับฉัน  พวกเขากำลังพยายามทำให้ชีวิตยากเย็นสำหรับฉันหรือ?”  เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า “กำลังพยายามทำชีวิตให้ยากเย็น” สำหรับเจ้า?  การจัดการเตรียมงานทั้งหลายนั้นถูกปรับมาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล บรรดาผู้ที่สามารถกว่าก็ทำมากกว่า  หากเจ้าได้เรียนรู้มามากและพระเจ้าทรงให้เจ้ามามาก เจ้าก็ควรได้รับภาระที่หนักกว่า—ไม่ใช่เพื่อที่จะทำชีวิตให้ยากเย็นสำหรับเจ้า แต่เพราะนั่นเหมาะกับเจ้าพอดี  นั่นเป็นหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นจงอย่าพยายามเลือกเอาแต่ที่ถูกใจ หรือพูดปฏิเสธ หรือพยายามจะออกไปจากหน้าที่นั้น  เหตุใดเล่าเจ้าจึงคิดว่านั่นยากลำบาก?  ข้อเท็จจริงก็คือว่า หากเจ้าทุ่มเทหัวใจลงไปในงานบ้าง เจ้าก็คงดีพอสำหรับชิ้นงานนั้นอย่างแท้จริง  การที่เจ้าคิดว่าการนั้นยากลำบาก ว่านั่นเป็นการปฏิบัติต่อเจ้าด้วยอคติ ว่าเจ้ากำลังถูกจงใจเลือกปฏิบัติ—นั่นคือการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  นั่นเป็นการปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ของเจ้า ไม่ยอมรับจากพระเจ้า  นั่นไม่ใช่การปฏิบัติความจริง  เมื่อเจ้าเลือกเอาแต่ที่ถูกใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า โดยทำอะไรก็ตามที่เบาและง่าย ทำเพียงสิ่งที่ทำให้เจ้าดูดี นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  การที่เจ้าไม่สามารถยอมรับหน้าที่ของเจ้าหรือนบนอบนั้น เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้ายังคงเป็นกบฏต่อพระเจ้า ว่าเจ้ากำลังต่อต้านพระองค์ กำลังปฏิเสธและหลีกเลี่ยงการจัดการเตรียมการและข้อกำหนดของพระองค์  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง  เมื่อเจ้าเริ่มมารู้ว่านี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง เจ้าควรทำสิ่งใดเล่า?  หากเจ้ารู้สึกว่าชิ้นงานทั้งหลายที่ให้กับผู้อื่นนั้นสามารถทำให้เสร็จสิ้นได้โดยง่าย ในขณะที่บรรดาชิ้นงานที่ให้เจ้ามานั้นทำให้เจ้ามีธุระยุ่งอยู่นานและพึงให้เจ้าต้องทุ่มความพยายามในการค้นคว้า และนี่ทำให้เจ้าไม่เป็นสุข การที่เจ้ารู้สึกไม่เป็นสุขนั้นถูกต้องหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ถูก  ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำสิ่งใดเล่าเมื่อเจ้าสำนึกว่านี่ไม่ถูกต้อง?  หากเจ้ารู้สึกคัดค้านและพูดว่า “ทุกครั้งที่พวกเขาจัดสรรงาน พวกเขาให้งานที่ยาก สกปรก และหนักหนาแก่ฉัน และให้งานที่เบา เรียบง่าย และดูดีแก่คนอื่น  พวกเขาคิดว่าฉันเป็นแค่ใครบางคนที่พวกเขาสามารถชี้นิ้วสั่งได้หรือไง?  นี่เป็นหนทางที่ไม่เป็นธรรมในการแจกจ่ายงาน”—หากนั่นเป็นการคิดของเจ้า นั่นก็ผิด  ไม่สำคัญว่าในการแจกจ่ายงานทั้งหลายมีการเบี่ยงเบนใด หรือไม่ว่างานเหล่านั้นถูกแจกจ่ายอย่างสมเหตุผลหรือไม่ พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งใดเล่า?  สิ่งที่พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ก็คือหัวใจของบุคคลหนึ่ง  พระองค์ทรงทอดพระเนตรตรงที่ว่า หัวใจของใครบางคนมีการนบนอบหรือไม่ ว่าพวกเขาสามารถรับทำภาระบางอย่างเพื่อพระเจ้าได้หรือไม่ และว่าพวกเขาคือผู้ที่รักพระเจ้าหรือไม่  ตามที่ประเมินวัดโดยข้อกำหนดของพระเจ้า ข้อแก้ตัวทั้งหลายของเจ้านั้นใช้การไม่ได้ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปไม่ถึงมาตรฐาน และเจ้าก็ขาดความเป็นจริงความจริง  เจ้าไม่มีการนบนอบเลยสักนิด และเจ้าก็พร่ำบ่นในยามที่เจ้าทำงานชิ้นที่เรียกร้องหรือสกปรกไม่กี่อย่าง  อะไรคือปัญหาตรงนี้?  อันดับแรกเลย วิธีคิดของเจ้าผิด  นั่นหมายความว่าอย่างไรหรือ?  นั่นหมายความว่า ท่าทีของเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของเจ้านั้นผิด  หากเจ้ากำลังคิดถึงความภาคภูมิใจและผลประโยชน์ของตัวเองอยู่เสมอ และไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่มีการนบนอบเลยสักนิด เช่นนั้นแล้ว นั่นก็ไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้องที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจและมีหัวใจที่รักพระเจ้า เจ้าจะปฏิบัติเช่นนั้นได้อย่างไรกับชิ้นงานที่สกปรก เรียกร้องหรือยากลำบากทั้งหลาย?  วิธีคิดของเจ้าคงต่างไป  เจ้าคงเลือกที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่ลำบากยากเย็นและแสวงหาภาระหนักๆ มาแบกรับ  เจ้าคงเริ่มทำสิ่งที่ผู้คนอื่นไม่เต็มใจทำ และเจ้าคงทำสิ่งนั้นเพื่อความรักของพระเจ้าและเพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  เจ้าคงทำเช่นนั้นอย่างเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี โดยไม่มีการแย้มเปรยอันใดถึงการพร่ำบ่นทั้งหลาย  ชิ้นงานที่สกปรก เรียกร้อง และลำบากยากเย็นนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้คนเป็นใคร  เจ้าแตกต่างจากผู้คนที่รับทำเพียงชิ้นงานที่เบาและภาพภายนอกดูสูงส่งอย่างไรเล่า?  เจ้าไม่ดีไปกว่าพวกเขามากสักเท่าไรเลย  นี่ไม่ใช่ที่เป็นอยู่หรอกหรือ?  นี่คือวิธีที่เจ้าต้องมองสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นแล้ว สิ่งที่เผยผู้คนมากที่สุดว่าพวกเขาเป็นใครนั้น ก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ผู้คนบางคนพูดแต่เรื่องดีๆ เป็นส่วนใหญ่ โดยกล่าวอ้างว่าพวกเขาเต็มใจที่จะรักและนบนอบพระเจ้า แต่เมื่อพวกเขาบังเอิญมาเจอกับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็หลุดปากคำพร่ำบ่นและคำพูดที่เป็นลบทุกประเภทออกมา  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด  หากใครบางคนเป็นผู้ที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วยามที่พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริง พลางปฏิบัติต่อหน้าที่ของพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อให้หน้าที่นั้นไม่ถูกจัดการเตรียมการอย่างเหมาะสมก็ตาม  พวกเขาจะไม่พร่ำบ่น ต่อให้เผชิญกับชิ้นงานที่หนักหนา สกปรกหรือลำบากยากเย็นก็ตาม และพวกเขาก็สามารถทำชิ้นงานทั้งหลายของพวกเขาได้ดี และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดีด้วยหัวใจที่นบนอบพระเจ้า  พวกเขาจะพบกับความชื่นบานยินดีอันใหญ่หลวงในการทำเช่นนั้น และพระเจ้าจะทรงได้รับการชูพระทัยที่ทอดพระเนตรเห็นการนั้น  นี่คือบุคคลประเภทที่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  หากใครบางคนกลับรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับชิ้นงานที่สกปรก ยากลำบากหรือเรียกร้องมากเกินควร และจะไม่ยอมให้ใครมาวิจารณ์พวกเขา บุคคลเช่นนั้นไม่ใช่ใครบางคนที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ  พวกเขาก็ได้แต่ถูกเผยและกำจัดออกไปเท่านั้นเอง  ในกรณีปกติเมื่อพวกเจ้ามีสภาวะเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถล่วงรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้หรือไม่?  (รู้บ้าง)  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ได้บ้าง เจ้าสามารถพลิกผันปัญหานั้นด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเอง ความเชื่อของเจ้าเอง และวุฒิภาวะของเจ้าเองหรือไม่?  เจ้าจำเป็นต้องพลิกผันท่าทีนี้  เจ้าจำเป็นต้องคิดว่า “ท่าทีนี้ผิด  ไม่ใช่ว่ามีการเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การนบนอบ  การปฏิบัติหน้าที่ของฉันควรเป็นสิ่งที่มีความสุข ถูกทำอย่างเต็มใจและเปรมปรีดิ์  เหตุใดฉันจึงไม่มีความสุข และเหตุใดฉันจึงอารมณ์เสีย?  ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าหน้าที่ของฉันคืออะไร และว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ—เหตุใดฉันจึงแค่นบนอบไม่ได้?  ฉันต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน และเริ่มรู้จักการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ลึกลงไปในหัวใจของฉัน”  จากนั้นขณะที่เจ้าทำเช่นนั้น เจ้าก็ควรอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เคยชินกับการเอาแต่ใจ—ข้าพระองค์จะไม่ฟังผู้ใด  ท่าทีของข้าพระองค์นั้นผิดและข้าพระองค์ไม่มีการนบนอบ  ได้โปรดบ่มวินัยข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์นบนอบ  ข้าพระองค์ไม่ต้องการอารมณ์เสีย  ข้าพระองค์ไม่ต้องการกบฏต่อพระองค์อีกต่อไป  ได้โปรดดลใจข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ดี  ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะดำรงชีวิตอยู่เพื่อซาตาน ข้าพระองค์เต็มใจที่จะดำรงชีวิตอยู่เพื่อความจริงและปฏิบัติความจริง”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ สภาวะภายในตัวเจ้าจะดีขึ้น และเมื่อสภาวะนั้นดีขึ้น เจ้าจะสามารถนบนอบได้  เจ้าจะคิดว่า “นี่ไม่มากเลยจริงๆ  ก็แค่ฉันทำมากกว่าในขณะที่คนอื่นทำน้อยกว่า โดยที่ฉันไม่มีความสนุกสนานในขณะที่พวกเขามี หรือฉันไม่ได้คุยเรื่อยเปื่อยในขณะที่พวกเขาคุย  พระเจ้าได้ทรงให้ภาระพิเศษแก่ฉัน เป็นภาระที่หนัก  นั่นคือความนับถือที่พระองค์ทรงมีให้ฉัน ความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อฉัน และนั่นพิสูจน์ว่าฉันสามารถแบกรับภาระหนักนี้ได้  พระเจ้าทรงดีต่อฉันเหลือเกินและฉันควรนบนอบ”  และท่าทีของเจ้าจะได้เปลี่ยนไปโดยเจ้าไม่ทันตระหนักรู้เลย  เจ้าเคยมีท่าทีที่ไม่ดีในตอนแรกเมื่อเจ้ายอมรับหน้าที่ของเจ้า  เจ้าเคยไม่สามารถนบนอบ แต่เจ้าก็ได้สามารถกลับตัวอย่างทันท่วงทีและยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการบ่มวินัยของพระเจ้าได้ทันท่วงที  เจ้าได้สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างทันท่วงทีพร้อมด้วยท่าทีที่เชื่อฟัง ท่าทีของการยอมรับและการปฏิบัติความจริง จนกระทั่งเจ้าสามารถยอมรับหน้าที่ของเจ้าได้ทั้งหมดทั้งมวลของหน้าที่นั้นจากพระเจ้า และทำหน้าที่นั้นให้ลุล่วงด้วยทั้งหัวใจ  มีกระบวนการหนึ่งแห่งการดิ้นรนอยู่ในการนี้  กระบวนการแห่งการดิ้นรนนั้นคือกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงของเจ้า กระบวนการแห่งการยอมรับความจริงของเจ้า  การให้ผู้คนเต็มใจและเปรมปรีดิ์ และนบนอบสิ่งใดก็ตามที่เข้ามาในหนทางของพวกเขาโดยไม่ตั้งคำถามคงเป็นไปไม่ได้  หากผู้คนทำเช่นนั้นได้ ก็คงหมายความว่าพวกเขาไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพวกเขาก็คงไม่มีความจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด  ผู้คนมีแนวคิด พวกเขามีท่าทีที่ผิดและสภาวะที่คิดลบ  เหล่านี้คือปัญหาจริงทั้งหมด—ปัญหาเหล่านี้มีอยู่  แต่เมื่อสภาวะที่คิดลบหล่านี้ กับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ รวมทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเข้ากำกับและควบคุมพฤติกรรมของเจ้า ความคิดของเจ้า และท่าทีของเจ้า สิ่งที่เจ้าทำ วิธีที่เจ้าปฏิบัติ และเส้นทางที่เจ้าเดินไปเพื่อเลือกก็จะขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริง  เจ้าอาจมีภาวะอารมณ์หรืออยู่ในสภาวะที่เป็นกบฏและคิดลบ แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นในช่วงระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า สิ่งเหล่านี้ก็พร้อมที่จะพลิกกลับ เพราะเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะเจ้าเข้าใจความจริง เพราะเจ้าแสวงหาพระเจ้า และเพราะท่าทีของเจ้าเป็นท่าทีของการนบนอบและการยอมรับความจริง  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะปราศจากความเดือดร้อนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี และเจ้าก็จะสามารถมีชัยเหนือการควบคุมและการบีบคั้นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานที่มีอยู่เหนือตัวเจ้า  ในท้ายที่สุด เจ้าก็จะประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง และลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า และได้รับความจริงและชีวิต กระบวนการแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนให้ลุล่วงและการได้รับความจริงนั้นก็เป็นกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยด้วยเช่นกัน  การที่ผู้คนได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเข้าใจความจริง รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงนั้น ล้วนอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานี่เอง  การที่พวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้งเพื่ออธิษฐาน แสวงหา และจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เพื่อที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านั้น ก็ล้วนเป็นยามที่มีความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั่นเองเช่นกัน เช่นนั้นเอง พวกเขาจึงอาจปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างเป็นปกติ  การที่ผู้คนถูกพระเจ้าบ่มวินัยและดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นล้วนอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา โดยค่อยๆ เรียนรู้ที่จะทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมความจริงทีละเล็กละน้อย และมาปฏิบัติหน้าที่ในหนทางที่ถึงมาตรฐาน  นี่คือความจริงที่กำลังกำกับดูแลและปกครองอยู่ในหัวใจของเจ้า

สำหรับผู้คนบางคน ไม่สำคัญว่า ประเด็นปัญหาใดที่พวกเขาเผชิญเมื่อกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติตนไปตามความคิด มโนคติอันหลงผิด จินตนาการ และความอยากได้อยากมีทั้งหลายของพวกเขาเสมอ  ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขากำลังสนองความอยากได้อยากมีของตัวพวกเขาเอง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขานั้นก็มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือการกระทำของพวกเขา  พวกเขาอาจดูเหมือนกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนเสมอมา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง และไม่ได้ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รับความจริงและชีวิต และพวกเขากลายเป็นพวกคนลงแรงที่สมควรแก่ชื่อนั้น  ดังนั้นอะไรเล่าคือสิ่งที่ผู้คนดังกล่าวพึ่งพาตอนที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา?  พวกเขาไม่ได้กำลังพึ่งพาทั้งความจริงและพระเจ้า  ความจริงน้อยนิดที่พวกเขาเข้าใจจริงๆ ไม่ได้เริ่มต้นอำนาจอธิปไตยในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังพึ่งพาพรสวรรค์และความสามารถพิเศษของพวกเขาเอง พึ่งพาความรู้อันใดก็ตามที่พวกเขาหามาได้ ตลอดจนพลังใจ หรือเจตนาดีทั้งหลายของตัวพวกเขาเอง เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้  และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นไปตามมาตรฐานได้หรือไม่?  เมื่อผู้คนพึ่งพาความเป็นธรรมชาติ มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความเชี่ยวชาญ และการเรียนรู้ของพวกเขาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน แม้นี่อาจดูเหมือนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่และไม่ได้กำลังทำชั่ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง และไม่ได้ทำสิ่งใดที่ยังความพอพระทัยแก่พระเจ้า  ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกด้วย นั่นคือ ในช่วงระหว่างกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และเจตจำนงของเจ้าเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและไม่เคยได้รับการแทนที่ด้วยความจริง และหากการกระทำและความประพฤติของเจ้านั้นไม่เคยทำไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้วบทอวสานสุดท้ายจะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจะกลายเป็นคนลงแรงคนหนึ่ง อันเป็นการลุล่วงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23)  เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงเรียกผู้คนเหล่านี้ผู้ทุ่มเทความพยายามและผู้ลงแรงว่าคนทำชั่ว?  มีประเด็นหนึ่งที่พวกเราสามารถแน่ใจได้ และนั่นก็คือว่า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่หรืองานอะไร แรงจูงใจ แรงกระตุ้น เจตนา และความคิดทั้งหลายของพวกเขาย่อมเกิดจากความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองทั้งสิ้น  และทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์และจุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขาเอง และก็เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของพวกเขาเอง และเพื่อสนองความถือดีของพวกเขา  การพิจารณาและการคิดคำนวณของพวกเขาล้วนมีศูนย์กลางอยู่รอบๆ สิ่งเหล่านี้ ไม่มีความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบพระเจ้า  นี่คือรากเหง้าของปัญหา  ในวันนี้ อะไรคือหนทางสำคัญยิ่งยวดที่พวกเจ้าควรใช้ในการไล่ตามเสาะหา?  พวกเจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง และพวกเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ  หากเจ้าลงมือทำ เจ้าก็จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าทรงขอนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเป็นการเฉพาะ?  ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าต้องทบทวนว่าเจ้ามีความตั้งใจใด เจ้ามีความคิดใด แล้วความตั้งใจและความคิดเหล่านี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่ หากไม่สอดคล้อง ก็ควรละวางเสีย หลังจากนั้นเจ้าควรกระทำการตามหลักธรรมความจริง และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  นี่จะทำให้แน่ใจได้ว่าตัวเจ้านำความจริงไปปฏิบัติ  หากเจ้ามีความตั้งใจและจุดมุ่งหมายของตนเอง และตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งเหล่านั้นละเมิดความจริงและไม่ลงรอยกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ทว่ายังคงไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าและไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ไข เช่นนั้นแล้วนี่ก็อันตราย เป็นการง่ายที่เจ้าจะทำชั่วและทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้า  หากเจ้ากระทำความชั่วหนึ่งหรือสองครั้งและกลับใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังมีหวังที่จะได้รับความรอด  หากเจ้าทำความชั่วไม่เลิก—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนทำความชั่วทุกลักษณะ  หากเจ้ายังคงไม่สามารถกลับใจได้ ณ จุดนี้ เช่นนั้นเจ้าก็เดือดร้อนแล้ว กล่าวคือ พระเจ้าจะทรงโยนเจ้าไว้ข้างหนึ่งหรือทอดทิ้งเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้ามีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป ผู้คนที่กระทำความประพฤติชั่วทุกรูปแบบย่อมจะถูกลงโทษและถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการรู้จักตนเอง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger