บทที่ 100
เราเกลียดพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าและไม่ได้ถูกเลือกสรรโดยเรา ดังนั้นเราจึงต้องไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปจากบ้านของเราทีละคน ด้วยเหตุนั้นก็จะทำให้วิหารของเราบริสุทธิ์และไร้มลทิน ทำให้บ้านของเราใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย ทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราสามารถเผยแพร่ไปทั่วได้ตลอดกาล และผู้คนที่บริสุทธิ์ของเราก็จะสามารถกลายเป็นบรรดาผู้เป็นที่รักของเรา ฉากเหตุการณ์แบบนี้ บ้านแบบนี้ ราชอาณาจักรแบบนี้คือเป้าหมายของเราและที่พำนักของเรา นี่คือพื้นฐานของการสร้างทุกสรรพสิ่งของเรา ไม่มีผู้ใดที่อาจทำให้สิ่งนั้นโยกคลอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ จะมีแต่เพียงตัวเราเองเท่านั้นกับบรรดาบุตรอันเป็นที่รักของเราที่ดำรงชีวิตร่วมกันภายในนั้น และจะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เหยียบย่ำไว้ใต้เท้าเขาได้ และจะไม่มีสิ่งใดได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ และนับประสาอะไรที่จะมีสิ่งใดที่ไม่น่ายินดีได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นได้ ทั้งหมดจะเป็นการสรรเสริญและการแซ่ซ้อง และทั้งหมดจะเป็นฉากเหตุการณ์ที่มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้ เราพึงปรารถนาเพียงแค่ว่าพวกเจ้ามอบถวายกำลังทั้งหมดที่เจ้ามีให้แก่เราด้วยสุดหัวใจและจิตใจของเจ้า และด้วยสุดความสามารถของพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครบางคนผู้ซึ่งทำการปรนนิบัติเราหรือใครบางคนผู้ซึ่งได้รับพร เจ้าควรทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่เจ้าวัดได้ให้กับราชอาณาจักรของเรา นี่คือภาระผูกพันที่ผู้คนซึ่งถูกสร้างทั้งปวงควรรับไว้ และต้องถูกกระทำและดำเนินการในหนทางนี้ เราจะระดมทุกสรรพสิ่งเพื่อทำการปรนนิบัติในการทำให้ความงดงามแห่งราชอาณาจักรของเราใหม่ตลอดเวลา และเพื่อบ้านของเราจะได้ถูกทำให้ปรองดองและรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เยาะเย้ยท้าทายเรา และผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนั้นจะต้องทนทุกข์กับการพิพากษาและถูกสาปแช่ง บัดนี้การสาปแช่งของเราเริ่มตกลงสู่ทุกชนชาติและทุกกลุ่มชนแล้ว และการสาปแช่งของเราถึงกับรุนแรงยิ่งกว่าการพิพากษาของเราด้วยซ้ำ บัดนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มต้นกล่าวโทษผู้คนทั้งปวงแล้ว ดังนั้นเองจึงกล่าวได้ว่าเป็นเวลาของการสาปแช่ง นี่เป็นเพราะตอนนี้คือยุคสุดท้าย และไม่ใช่เวลาของการสร้างโลก ด้วยว่ายุคทั้งหลายได้ถูกสับเปลี่ยน จังหวะก้าวของงานของเราก็แตกต่างไปอย่างมากในตอนนี้ เพราะความต้องการที่จำเป็นของงานของเรา ผู้คนที่เราจำเป็นต้องมีก็แตกต่างด้วยเช่นกัน พวกที่ควรถูกทอดทิ้งก็จะถูกทอดทิ้ง พวกที่ควรถูกตัดขาดก็จะถูกตัดขาด พวกที่ควรถูกฆ่าก็จะถูกฆ่า และพวกที่ควรถูกทิ้งไว้ต้องถูกทิ้งไว้ การนี้คือแนวโน้มที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ซึ่งเป็นเอกเทศจากเจตจำนงของมนุษย์ และไม่มีผู้ใดอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ นั่นต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! เราละทิ้งพวกที่เราต้องการจะละทิ้ง และขับพวกที่เราต้องการที่จะขับออกไป จะต้องไม่มีผู้ใดกระทำการตามอำเภอใจ เราทิ้งพวกที่เราพึงปรารถนาจะทิ้งและเรารักบรรดาผู้ที่เราพึงปรารถนาจะรัก การนี้ต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! เราไม่กระทำการด้วยอารมณ์ กับเรานั้นย่อมมีแต่ความชอบธรรม การพิพากษา และความโกรธเคืองเท่านั้น—ไม่มีอารมณ์เลยแต่อย่างใด ไม่มีร่องรอยของมนุษย์ในเราแม้แต่น้อย ด้วยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เอง สภาวะบุคคลของพระเจ้า เพราะผู้คนทั้งหมดมองเห็นแง่มุมของเราที่เป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราและพวกเขายังไม่ได้เห็นแง่มุมที่เป็นเทวสภาพของเรา พวกเขาเลอะเลือนและมืดบอดอย่างแท้จริง!
พวกเจ้าต้องรักษาสิ่งที่เราบอกแก่พวกเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้า พวกเจ้าต้องเข้าใจหัวใจของเราโดยผ่านทางวจนะของเราและแสดงความคำนึงถึงภาระของเรา เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะมารู้จักความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเราและเห็นสภาวะบุคคลของเรา ด้วยว่าวจนะของเราคือวจนะแห่งปัญญา และไม่มีผู้ใดสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมหรือธรรมบัญญัติที่อยู่เบื้องหลังวจนะของเราได้ ผู้คนคิดว่าเราปฏิบัติการเล่ห์ลวงและการโกงและพวกเขาไม่รู้จักเราโดยผ่านทางวจนะของเรา แต่ตรงกันข้าม พวกเขาหมิ่นประมาทเรา พวกเขาตาบอดและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก! พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้แม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ทุกประโยคที่เราเปล่งออกไปมีสิทธิอำนาจและการพิพากษา และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะของเราได้ ทันทีที่วจนะของเราถูกส่งออกไป แน่นอนว่าสิ่งทั้งหลายก็ได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงโดยสอดคล้องกับวจนะของเรา นี่คืออุปนิสัยของเรา วจนะของเราคือสิทธิอำนาจและใครก็ตามที่แก้ไขวจนะเหล่านี้ก็ล่วงเกินต่อการตีสอนของเรา และเราต้องซัดกระหน่ำพวกเขาจนคว่ำลง ในกรณีที่รุนแรงพวกเขานำพาความล่มสลายมาสู่ชีวิตของพวกเขาเองและพวกเขาก็ไปสู่แดนคนตาย หรือไปสู่บาดาลลึก นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราใช้จัดการกับมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมันได้—นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา จงจำการนี้ไว้! ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ล่วงเกินต่อประกาศกฤษฎีกาของเรา สิ่งทั้งหลายต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! ในอดีต เราเมตตาพวกเจ้ามากเกินไปและเจ้าเผชิญกับวจนะของเราเท่านั้น วจนะที่เรากล่าวเกี่ยวกับการซัดกระหน่ำผู้คนจนคว่ำลงไปยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่นับจากวันนี้ไป ความวิบัติทั้งหมด (ความวิบัติเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา) จะมาถึงทีละอย่างทีละอย่างเพื่อลงโทษพวกคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่คล้อยตามเจตจำนงของเรา ต้องมีการกำเนิดขึ้นของข้อเท็จจริงทั้งหลาย—หาไม่แล้วผู้คนก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นความโกรธของเรา แต่คงจะพาตัวเองให้กระทำชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือขั้นตอนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นวิธีที่เราใช้กระทำขั้นตอนถัดไปของงานของเรา เรากล่าวการนี้ต่อพวกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำการล่วงเกินและการทนทุกข์กับความพินาศไปตลอดกาล นั่นกล่าวได้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงยกเว้นบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่ในที่ที่เหมาะสมของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของเรา และเราจะตีสอนพวกเขาทีละคน เราจะไม่ปล่อยให้แม้กระทั่งพวกเขาคนหนึ่งคนใดรอดไปได้ เพียงแค่พวกเจ้ากล้ากระทำชั่วอีกครั้ง! เพียงแค่พวกเจ้ากล้าเป็นกบฏอีกครั้ง! เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าเราชอบธรรมต่อคนทั้งปวง ว่าเราไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ความรู้สึก และการนี้ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของเราต้องไม่ถูกล่วงเกิน นี่คือสภาวะบุคคลของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ ผู้คนทั้งปวงได้ยินวจนะของเราและผู้คนทั้งปวงเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ผู้คนทั้งปวงต้องเชื่อฟังเราอย่างครบบริบูรณ์และอย่างที่สุด—นี่คือประกาศกฤษฎีการบริหารของเรา ผู้คนทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาลและที่สุดปลายแผ่นดินโลกควรสรรเสริญและถวายเกียรติแด่เรา ด้วยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เพราะเราเป็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะและถ้อยคำของเรา วาทะและท่าทางของเราได้ ด้วยว่าเหล่านี้เป็นเรื่องสำหรับเราเพียงผู้เดียว และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เราได้ครองจากช่วงเวลาโบราณกาลที่สุด และจะดำรงอยู่ไปตลอดกาล
ผู้คนเก็บงำเจตนาไว้เพื่อทดสอบเรา และพวกเขาต้องการพบเจอบางสิ่งภายในวจนะของเราซึ่งพวกเขาสามารถใช้ต่อต้านเราได้ เพื่อที่จะใส่ร้ายป้ายสีเรา เราต้องถูกเจ้าใส่ร้ายป้ายสีหรือ? เราต้องถูกตัดสินอย่างไม่ตั้งใจหรือ? กิจธุระของเราต้องได้รับการหารืออย่างไม่ตั้งใจหรือ? เจ้าคือพวกที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งใดดีสำหรับเจ้าจริงๆ! เจ้าไม่รู้จักเราเลยสักนิด! ภูเขาศิโยนคืออะไร? ที่พำนักของเราคืออะไร? แผ่นดินอันดีแห่งดินแดนคานาอันคืออะไร? พื้นฐานของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างคืออะไร? เหตุใดเราจึงได้กล่าววจนะเหล่านี้อยู่เรื่อยในช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมานี้? ภูเขาศิโยน ที่พำนักของเรา แผ่นดินอันดีแห่งดินแดนคานาอัน พื้นฐานของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง—เหล่านี้คือทั้งหมดที่ถูกกล่าวถึงซึ่งอ้างอิงถึงสภาวะบุคคลของเรา (อ้างอิงถึงร่างกาย) ผู้คนทั้งปวงต่างคิดว่าเหล่านี้คือสถานที่ทั้งหลายที่ดำรงอยู่ทางกายภาพ สภาวะบุคคลของเราคือภูเขาศิโยน นั่นเป็นที่พำนักของเรา ใครก็ตามที่ได้เข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณจะปีนภูเขาศิโยนและจะเข้าสู่ที่พำนักของเรา เราสร้างทุกสรรพสิ่งภายในสภาวะบุคคลของเรา นั่นก็คือ ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างภายในร่างกาย เหตุนี้มันจึงเป็นพื้นฐาน เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเจ้าจะกลับคืนสู่ร่างกายร่วมกับเราเล่า? มีความหมายดั้งเดิมอยู่ภายในนั้น ดังเช่นตำแหน่ง “พระเจ้า” คำนามเหล่านี้ไม่มีความหมายอยู่ภายในและไม่มีความหมายในตัวของมันเอง แต่ตรงกันข้ามคำนามเหล่านี้คือชื่อที่แตกต่างกันซึ่งเราได้มอบให้กับสถานที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจงอย่าให้ความสนใจมากเกินไปนักกับความหมายตามตัวอักษรของคำนามเหล่านี้ แต่จงมุ่งเน้นไปที่การฟังวจนะของเราเท่านั้น เจ้าต้องมองเห็นวจนะเหล่านั้นในหนทางนี้ และเช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถจับความเข้าใจเจตจำนงของเราได้ เหตุใดเราจึงเตือนความจำพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีปัญญาอยู่ในวจนะของเราเล่า? พวกเจ้ากี่มากน้อยกันที่ได้พยายามขบคิดความหมายเบื้องหลังของการนี้ให้ออก? พวกเจ้าทั้งหมดกำลังวิเคราะห์อย่างมืดบอดและไร้เหตุผล!
ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจส่วนใหญ่ของสิ่งทั้งหลายที่เราได้กล่าวในอดีต เจ้ายังคงอยู่ในสภาวะของความสงสัยและไม่สามารถทำให้หัวใจของเราพึงพอใจได้ เวลาใดก็ตามที่เจ้าสามารถกลายเป็นมั่นใจเกี่ยวกับทุกๆ ประโยคที่เราเปล่งออกมา นั่นก็จะเป็นชั่วขณะที่ชีวิตของเจ้าเป็นผู้ใหญ่ สำหรับเราแล้ว หนึ่งวันก็เท่ากับหนึ่งพันปีและหนึ่งพันปีก็เท่ากับหนึ่งวัน พวกเจ้านึกคิดเกี่ยวกับเวลาที่เรากล่าวถึงนั้นอย่างไร? เจ้าจะอธิบายได้อย่างไร? เจ้าตีความการนั้นผิดแล้ว! และยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่กังวลสนใจในการนี้กับเรา ปรารถนาที่จะพบเจอบางสิ่งเพื่อใช้ต่อต้านเรา—เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งใดดีสำหรับเจ้า! จงเอาใจใส่ เพราะมิเช่นนั้นแล้วเราจะบดขยี้เจ้าจนคว่ำลงไป! เมื่อวันนั้นมาถึงเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำให้ชัดเจน พวกเจ้าก็จะเข้าใจอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรายังคงไม่บอกพวกเจ้าในตอนนี้ (ตอนนี้คือเวลาที่จะตีแผ่ผู้คน ทุกคนต้องเอาใจใส่และระมัดระวังเพื่อจะได้สามารถทำให้สมดังเจตจำนงของเรา) เราจะตีแผ่ผู้คนทั้งปวงโดยผ่านทางวจนะของเรา และรูปสัณฐานดั้งเดิมของพวกเขาจะถูกเปิดเผยเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจริงแท้หรือไม่ หากใครบางคนเป็นโสเภณีหรือหญิงที่ชั่วร้าย เราก็ต้องตีแผ่พวกเขา เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าเราทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่ต้องยกนิ้วแม้แต่นิ้วเดียวและว่าเราใช้วจนะของเราเท่านั้นเพื่อตีแผ่ผู้คน เราไม่กลัวการปลอมตัว ทันทีที่วจนะของเราถูกเปล่งออกไป เจ้าต้องเปิดเผยรูปสัณฐานดั้งเดิมของเจ้า และไม่สำคัญว่าเจ้าจะปลอมตัวได้ดีเพียงใด เราก็จะมองเห็นทะลุมันได้อย่างแน่นอน นี่คือหลักธรรมแห่งกิจการของเรา—การใช้ถ้อยคำเพียงอย่างเดียวเท่านั้นและไม่ใช้กำลังใดๆ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผู้คนพากันกระวนกระวายเกี่ยวกับว่าวจนะของเราจะถูกทำให้ลุล่วงหรือไม่ และพวกเขากลายเป็นกระวนกระวายเพื่อประโยชน์ต่อเราและกังวลเพื่อเรา แต่ความพยายามเหล่านี้ไม่จำเป็นเลยอย่างแท้จริง มันคือราคาที่ไม่จำเป็นต้องจ่าย เจ้ากังวลเกี่ยวกับเรา แต่ชีวิตของเจ้าเองเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง? แล้วชะตาลิขิตของเจ้าเองเล่า? จงถามตัวเจ้าเองอยู่บ่อยๆ และจงอย่าสะเพร่า ผู้คนทั้งหมดควรพิจารณาวจนะของเราและ—โดยผ่านทางกิจการของเราและวจนะของเรา—มองเห็นสภาวะบุคคลของเรา มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเรา รู้จักความทรงมหิทธิฤทธิ์ของเรา รู้จักปัญญาของเรา และรู้ถึงวิถีทางและวิธีการที่เราได้สร้างทุกสรรพสิ่ง และด้วยผลจากการนั้นจึงให้การสรรเสริญเราอย่างไม่สิ้นสุด เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงมองเห็นว่าเราวางมือแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไว้บนผู้ใดบ้าง เราทำงานกับผู้ใด เราต้องการทำสิ่งใดและเราต้องการให้สิ่งใดครบบริบูรณ์ นี่คือบางสิ่งที่ทุกๆ บุคคลต้องสัมฤทธิ์ ด้วยว่านี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เราจะทำให้สิ่งที่เรากล่าวสำเร็จลุล่วง ไม่ควรมีผู้ใดวิเคราะห์วจนะของเราอย่างไม่ตั้งใจ ทุกคนต้องเห็นหลักธรรมเบื้องหลังกิจการของเราโดยผ่านทางวจนะของเรา และรู้ว่าความโกรธเคืองของเราคืออะไร การสาปแช่งของเราคืออะไร และการพิพากษาของเราคืออะไรจากวจนะของเรา สิ่งเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับวจนะของเราและคือสิ่งทั้งหลายที่ทุกๆ บุคคลควรได้เห็นภายในทุกๆ วจนะของเรา