บทที่ 119
พวกเจ้าทั้งหมดควรจับใจความเจตนาของเรา และพวกเจ้าทั้งหมดควรที่จะเข้าใจอารมณ์ของเรา ตอนนี้เป็นเวลาที่จะตระเตรียมการหวนคืนสู่ศิโยน เราไม่มีจิตใจที่จะทำสิ่งใดเลยนอกจากการนี้ เราเพียงหวังที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันกับพวกเจ้าอีกครั้งในวันหนึ่งเร็วๆ นี้ และใช้ทุกนาทีและทุกวินาทีร่วมกับพวกเจ้าในศิโยน เราเกลียดโลก เราเกลียดเนื้อหนัง และเรายิ่งเกลียดมนุษย์ทุกคนบนแผ่นดินโลกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เราไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกเขา เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นปีศาจ ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของธรรมชาติมนุษย์เพียงน้อยนิด เราไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลก เราเกลียดสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งมวล เราเกลียดทั้งหมดที่มีเนื้อหนังและโลหิต หมดทั้งแผ่นดินโลกส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปด้วยซากศพ เราต้องการหวนคืนสู่ศิโยนทันที เพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นสาบของซากศพทั้งหมดจากแผ่นดินโลกและเติมแผ่นดินโลกทั้งมวลด้วยเสียงการสรรเสริญสำหรับเรา เราจะหวนคืนสู่ศิโยน เราจะหลุดพ้นจากเนื้อหนังและแผ่นดินโลก และไม่มีใครเลยที่อาจขวางทางเรา มือของเราที่เข่นฆ่ามนุษย์นั้นไร้อารมณ์! ตั้งแต่บัดนี้ไป ไม่มีใครเลยที่อาจพูดถึงการก่อสร้างคริสตจักร หากใครก็ตามพูด เราจะไม่ยกโทษให้พวกเขา (นี่เป็นเพราะตอนนี้เป็นเวลาที่จะเป็นพยานต่อบรรดาบุตรหัวปีของเรา และเป็นเวลาจะสร้างราชอาณาจักร ใครก็ตามที่พูดถึงการก่อสร้างคริสตจักรกำลังทึ้งทำลายการก่อสร้างราชอาณาจักรและกำลังทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงัก) ทั้งหมดนั้นพร้อมแล้ว ทั้งหมดได้ถูกตระเตรียมแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ก็เพื่อให้บรรดาบุตรหัวปีได้รับการยกย่องและการเป็นพยาน เมื่อการนั้นเกิดขึ้น โดยไม่มีความล่าช้าสักชั่วขณะและโดยไม่พิจารณารูปแบบ เราจะหวนคืนสู่ศิโยนทันที—สถานที่ที่พวกเจ้ายึดถือไว้ในใจของพวกเจ้า ทั้งคืนและวัน จงอย่ามองดูเพียงว่าโลกปัจจุบันดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นและคงที่สม่ำเสมออย่างไรเท่านั้น งานนี้ทั้งหมดคืองานแห่งการหวนคืนสู่ศิโยน ดังนั้นตอนนี้จงอย่าใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อวันแห่งการหวนคืนสู่ศิโยนมาถึง ทั้งหมดจะครบบริบูรณ์ ใครเล่าไม่ปรารถนาที่จะหวนคืนสู่ศิโยน? ใครเล่าไม่ปรารถนาให้พระบิดาและบรรดาบุตรกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งในไม่ช้า? ไม่สำคัญว่าความยินดีทั้งหลายบนแผ่นดินโลกน่าชื่นชมอย่างไร สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเกาะเกี่ยวเนื้อหนังของพวกเราได้ พวกเราจะอยู่เหนือเนื้อหนังของพวกเราและหวนคืนสู่ศิโยนพร้อมกัน ใครเล่ากล้าขัดขวางการนี้? ใครเล่ากล้าวางอุปสรรคกีดขวางทั้งหลาย? เราจะไม่ยกโทษให้พวกเขาอย่างแน่นอน! เราจะกวาดสิ่งสะดุดทั้งหมดออกไป (นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่าเราไม่สามารถหวนคืนสู่ศิโยนได้ทันที เรากำลังดำเนินงานการชำระให้สะอาดนี้ให้เสร็จสิ้น และในเวลาเดียวกันเรากำลังเป็นพยานต่อบรรดาบุตรหัวปีของเรา งานสองงานนี้กำลังก้าวหน้าไปในเวลาเดียวกัน เมื่องานการชำระให้สะอาดครบบริบูรณ์ นั่นจะเป็นเวลาสำหรับเราที่จะเปิดเผยบรรดาบุตรหัวปี “สิ่งสะดุด” คือพวกคนปรนนิบัติจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราพูดว่างานสองงานนี้กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน) เราจะให้บรรดาบุตรหัวปีของเราย่ำเท้าไปกับเราโดยตลอดทั่วทั้งจักรวาลและไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก ข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำและทุกสรรพสิ่ง ใครเล่ากล้ายับยั้งการนี้? ใครเล่ากล้าขัดขวางการนี้? มือของเราไม่ปล่อยมนุษย์คนใดไปง่ายๆ เราบันดาลโทสะต่อทุกคนและสาปแช่งทุกคน ทั้งนี้ โดยมีข้อยกเว้นสำหรับบรรดาบุตรหัวปีของเรา ในแผ่นดินทั้งหมด ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่รับพรของเราไว้ ทุกคนประสบกับคำสาปแช่งของเรา นับตั้งแต่การสร้างโลก เราไม่ได้อวยพรใครเลย แม้กระทั่งเมื่อเราได้ให้พร พรเหล่านั้นก็เป็นแค่คำพูด ไม่เคยเป็นความเป็นจริง ด้วยเหตุที่เราเกลียดชังซาตานอย่างที่สุด เราจะไม่มีวันอวยพรมัน มีเพียงลงโทษมันเท่านั้น มีเพียงในตอนสุดท้ายเท่านั้น หลังจากที่เราได้พิชิตซาตานอย่างถ้วนทั่วและชัยชนะอันครบบริบูรณ์เป็นของเราแล้ว เราจึงจะให้พรทางวัตถุแก่พวกคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีทั้งหมด และยอมให้พวกเขาได้รับความชื่นบานยินดีในการสรรเสริญเรา ด้วยเหตุที่งานทั้งหมดของเราจะได้สำเร็จลุล่วงแล้ว
ที่จริงแล้ว เวลาของเราอยู่ไม่ไกล แผนการบริหารจัดการหกพันปีกำลังเข้าใกล้ความครบถ้วนบริบูรณ์ต่อหน้าต่อตาของเจ้า (นั่นอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าจริงๆ นั่นไม่ใช่การบอกเหตุล่วงหน้าบางอย่าง เจ้าสามารถเห็นการนี้ได้จากอารมณ์ของเรา) เราจะพาบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับบ้านไปสู่ศิโยนทันที ผู้คนบางคนพูดว่า “เมื่อนั่นเป็นไปเพียงเพื่อบรรดาบุตรหัวปีเท่านั้น เหตุใดนั่นจึงใช้เวลาหกพันปี? และเหตุใดจึงมีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ถูกสร้างขึ้น?” เราได้พูดก่อนหน้านี้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเรานั้นล้ำค่า บรรดาบุตรหัวปีของเราจะไม่สามารถเป็นมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำได้อย่างไรเล่า? เราจะระดมกำลังทั้งหมดเพื่อรับใช้เรา และที่มากกว่านั้นคือ เราจะเปิดเผยฤทธานุภาพของเรา เพื่อที่มนุษย์ทุกคนจะสามารถเห็นได้ว่าในหมดทั้งสากลพิภพ ไม่มีวัตถุใดแม้สักสิ่งที่ไม่อยู่ในมือของพวกเรา ไม่มีบุคคลแม้สักคนที่ไม่อยู่ในการรับใช้ของพวกเรา และไม่มีสิ่งของแม้สักสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความสำเร็จลุล่วงของพวกเรา เราจะสัมฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับเราแล้ว ไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับเวลา ถึงแม้ว่าเราหมายที่จะทำให้แผนการและงานของเราเสร็จสมบูรณ์ในหกพันปี แต่สำหรับเราแล้วทั้งหมดนั้นได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระแล้ว ต่อให้น้อยกว่าหกพันปี ตราบเท่าที่ในทรรศนะของเรานั้น เวลานั้นได้มาถึงแล้ว ใครเล่าจะกล้าเปล่งถ้อยคำแห่งการต่อต้าน? ใครเล่าจะกล้ายืนหยัดและตัดสินตามอำเภอใจ? งานของเรา เราทำด้วยตัวเราเอง เวลาของเรา เราจัดการเตรียมการด้วยตัวเราเอง ไม่มีบุคคลใดเลย เรื่องใดเลย และไม่มีสิ่งใดเลยกล้ากระทำโดยจงใจ เราจะทำให้ทั้งหมดติดตามเรา สำหรับเราแล้ว ไม่มีถูกหรือผิด หากเราพูดว่าบางสิ่งถูก แน่นอนว่าสิ่งนั้นถูก หากเราพูดว่าบางสิ่งผิด นั่นก็เป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน เจ้าต้องไม่ประเมินวัดเราด้วยมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์อยู่เสมอ! เราพูดว่าบรรดาบุตรหัวปีกับเราได้รับการอวยพรร่วมกัน—ใครเล่ากล้าปฏิเสธที่จะนบนอบ? เราจะทำลายเจ้าเสียตรงนั้นเลย! เจ้าปฏิเสธที่จะนบนอบ! เจ้าเป็นกบฏ! เราเพียงปราศจากความปรานีสำหรับมวลมนุษย์คนใด และความเกลียดชังของเราก็ได้ไปถึงขีดจำกัดของมันแล้ว เราก็เพียงไม่สามารถยอมผ่อนปรนได้อีกแล้ว เท่าที่เราเป็นกังวลนั้นก็คือ หมดทั้งสากลพิภพต้องถูกทลายสิ้นในทันที—เมื่อนั้นเท่านั้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราจึงจะได้รับการทำให้ลุล่วง เมื่อนั้นเท่านั้นแผนการบริหารจัดการของเราจึงจะได้รับการทำให้เสร็จสมบูรณ์ และเมื่อนั้นเท่านั้นความเกลียดชังในหัวใจของเราจึงจะถูกปัดเป่าให้หมดไป ตอนนี้ เราใส่ใจเฉพาะเรื่องการเป็นพยานต่อบรรดาบุตรหัวปีของเราเท่านั้น เราจะวางกิจธุระอื่นๆ ลงไว้ก่อน เราจะทำสิ่งสำคัญทั้งหลายเสียก่อน แล้วเราจึงจะทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นอันดับรอง เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายของงานของเรา ซึ่งไม่ควรมีใครฝ่าฝืน ทุกคนต้องทำตามที่เราพูด มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการที่พวกเขาจะกลายเป็นเป้าของคำสาปแช่งของเรา
มาในบัดนี้ที่งานของเราได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เราสามารถหยุดพักได้ ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่ทำงานอีก แต่จะสั่งให้บรรดาบุตรหัวปีของเราทำทั้งหมดที่เราต้องการให้เสร็จสิ้น เพราะบรรดาบุตรหัวปีของเราคือเรา บรรดาบุตรหัวปีของเราคือภาวะบุคคลของเรา นี่ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย จงอย่าใช้มโนคติที่หลงผิดทั้งหลายมาทำการตัดสิน การได้เห็นบรรดาบุตรหัวปีก็คือการได้เห็นเรา ด้วยเหตุที่พวกเราเป็นหนึ่งเดียวและอย่างเดียวกัน ใครก็ตามที่แยกพวกเรากำลังต้านทานเราด้วยเหตุนี้ และเราจะไม่ยกโทษให้พวกเขา ในวจนะของเรา มีความล้ำลึกทั้งหลายที่มนุษย์ไม่สามารถจับใจความได้ มีเพียงบรรดาผู้ที่เรารักเท่านั้นที่สามารถแสดงออกถึงเราได้ และไม่มีคนอื่นใด การนี้ได้ถูกเรากำหนดพิจารณา และไม่มีใครเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ วจนะของเรามั่งคั่ง ครอบคลุม และไม่สามารถหยั่งลึกได้ ทั้งหมดควรสละความพยายามอย่างมากต่อวจนะของเรา พยายามที่จะไตร่ตรองวจนะเหล่านั้น และไม่ละเว้นแม้เพียงสักคำหรือสักประโยค—มิฉะนั้นแล้ว ผู้คนจะตรากตรำภายใต้ความผิดพลาด และวจนะของเราก็จะถูกเข้าใจกันไปผิดๆ เราได้พูดว่าอุปนิสัยของเราไม่ยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง ซึ่งหมายความว่าบรรดาบุตรหัวปีของเราที่ได้รับการเป็นพยานไม่สามารถถูกต่อต้านได้ บรรดาบุตรหัวปีของเราเป็นตัวแทนทุกแง่มุมของอุปนิสัยของเรา ดังนั้นเมื่อแตรศักดิ์สิทธิ์ถูกเป่า นั่นคือเวลาที่เราเริ่มต้นการเป็นพยานต่อบรรดาบุตรหัวปี และด้วยเหตุนี้หลังจากนี้ไปแตรศักดิ์สิทธิ์จะเป็นการประกาศแสดงอันค่อยเป็นค่อยไปถึงอุปนิสัยของเราต่อผองชน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อบรรดาบุตรหัวปีได้รับการเปิดเผย นั่นจะเป็นเวลาที่อุปนิสัยของเราได้รับการเปิดเผย ใครเล่าสามารถหยั่งลึกการนี้ได้? เราพูดว่าแม้กระทั่งภายในความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้เปิดเผย ยังคงมีความล้ำลึกทั้งหลายอยู่ซึงผู้คนไม่สามารถคลายปมยุ่งเหยิงได้ ใครเล่าท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้พยายามขบคิดจริงๆ ถึงความหมายที่แท้จริงของวจนะเหล่านี้? อุปนิสัยของเราคือบุคลิกภาพของบุคคลหนึ่ง ตามที่พวกเจ้าได้จินตนาการ อย่างนั้นหรือ? การคิดเช่นนั้นเป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวง! ในวันนี้ ใครก็ตามที่มองเห็นบรรดาบุตรหัวปีของเราย่อมเป็นวัตถุหนึ่งแห่งการอวยพร และพวกเขาย่อมเห็นอุปนิสัยของเรา—การนี้จริงแท้อย่างแน่นอนที่สุด บรรดาบุตรหัวปีของเราเป็นตัวแทนทั้งหมดของเรา พวกเขาคือภาวะบุคคลของเรา โดยไม่ต้องกังขาเลย ไม่มีใครเลยที่อาจมีข้อกังขาอันใดเกี่ยวกับการนี้! ผู้ที่เชื่อฟังได้รับการอวยพรด้วยพระคุณ และผู้ที่เป็นกบฏถูกสาปแช่ง นี่คือสิ่งที่เราบัญชา และไม่มีบุคคลใดเลยที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้!