บทที่ 104

ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนอกตัวเราจะล้มหายตายจากไปสู่ความไม่มีตัวตน ในขณะที่ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดภายในตัวเราจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างจากเราและเข้าสู่สง่าราศีกับเรา เข้าสู่ภูเขาศิโยนของเรา เข้าสู่สถานที่พำนักของเรา และดำรงอยู่ร่วมกันกับเราไปตลอดกาล  เราได้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาเมื่อตอนเริ่มแรก และเราจะทำงานของเราให้เสร็จสมบูรณ์เมื่อตอนสิ้นสุด  เราจะดำรงอยู่และปกครองในฐานะกษัตริย์ไปตลอดกาลเช่นกัน  ในระหว่างช่วงเวลาคั่นกลาง เรายังนำทางและบัญชาจักรวาลทั้งสิ้นเช่นกัน  ไม่มีใครเลยที่สามารถนำเอาสิทธิอำนาจของเราไปได้ เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองหนึ่งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น เรามีพลังที่จะส่งต่อสิทธิอำนาจของเราไปยังบรรดาบุตรหัวปีของเราเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกครองเคียงข้างกับเราได้  สิ่งเหล่านี้จะดำรงอยู่ไปตลอดกาล และไม่มีวันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้  นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา  (ไม่ว่าเราจะหารือเรื่องประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราตรงไหนก็ตาม เรากำลังหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรของเราและสิ่งที่จะดำรงอยู่ไปตลอดกาลและไม่มีวันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้)  ทุกคนต้องเชื่อโดยสุดหัวใจ และต้องเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของเราในบรรดาผู้ที่เรารัก  ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถทำให้นามของเราอดสูได้ ผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนั้นต้องออกจากที่นี่ไป!  ไม่ใช่ว่าเราไร้ปรานี แต่ว่าเจ้านั้นไม่ชอบธรรม  หากเจ้าฝ่าฝืนการตีสอนของเรา เช่นนั้นแล้วเราก็จะจัดการกับเจ้าและทำให้เจ้าพินาศไปชั่วนิรันดร์  (แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้มุ่งตรงไปที่ผู้คนซึ่งไม่ใช่บรรดาบุตรหัวปีของเรา)  ขยะเช่นนั้นไม่เป็นที่ต้อนรับในบ้านของเรา ดังนั้นจงรีบออกไปจากที่นี่เสีย!  จงอย่าคอยแม้สักหนึ่งนาที หรือแม้แต่สักหนึ่งวินาที!  เจ้าต้องทำสิ่งที่เรากล่าว มิฉะนั้นแล้วเราจะทำลายเจ้าด้วยวจนะคำเดียว  เจ้าไม่ควรที่จะลังเลอยู่อีก และไม่ควรพยายามหลอกลวงอีกต่อไป  เมื่ออยู่เบื้องหน้าเรา เจ้ากุเรื่องไร้สาระ และโกหกใส่หน้าเรา  จงรีบจากไปเสีย!  เวลาที่เรามีให้กับสิ่งเหล่านั้นมีขีดจำกัด  (เมื่อถึงเวลาที่จะต้องปรนนิบัติ ผู้คนเหล่านี้จะปรนนิบัติ และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจากไป พวกเขาก็จะจากไป  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยสติปัญญา ไม่เคยผิดเวลาเลยสักหนึ่งนาทีหรือแม้แต่หนึ่งวินาที ไม่เคยเลยแม้แต่น้อย  การกระทำของเราทั้งหมดนั้นชอบธรรมและถูกต้องแม่นยำอย่างครบบริบูรณ์)  อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงบรรดาบุตรหัวปีของเรา เรายอมผ่อนปรนให้อย่างนับอนันต์ และความรักของเราที่มีให้พวกเจ้านั้นชั่วนิรันดร์ ทำให้พวกเจ้าสามารถชื่นชมพรอันดีและชีวิตอันเป็นนิรันดร์กับเราได้ตลอดกาล  ในระหว่างนี้ พวกเจ้าจะไม่มีวันทนฝ่าความล้มเหลวใดๆ หรือต้องก้าวผ่านการพิพากษาของเรา  (นี่หมายถึงตอนที่พวกเจ้าเริ่มที่จะชื่นชมพร)  นี่คือพรอันนับอนันต์และสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับบรรดาบุตรหัวปีของเราตอนที่เราได้สร้างโลกขึ้นมา  พวกเจ้าควรเห็นความชอบธรรมของเราในที่นั้น กล่าวคือ  เรารักบรรดาผู้ที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้า และเกลียดชังคนที่เราทอดทิ้งและกำจัดออกไปแล้ว ตลอดกาลและตลอดไป

ในฐานะบรรดาบุตรหัวปีของเรา พวกเจ้าควรยึดมั่นในหน้าที่ของพวกเจ้าเองและตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งของพวกเจ้าเอง  จงเป็นผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก ที่ถูกรับไว้เบื้องหน้าเราและยอมรับการตรวจสอบส่วนตัวของเรา เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตตามฉายาอันเปี่ยมสง่าราศีของเราได้ และเพื่อที่ความสว่างแห่งสง่าราศีของเราจะสามารถสาดแสงจับตาบนใบหน้าของพวกเจ้า เพื่อที่ปากของพวกเจ้าจะสามารถเผยแผ่ถ้อยคำของเราได้ เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถปกครองราชอาณาจักรของเราได้ และเพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถปกครองประชากรของเราได้  ในที่นี้เราเอ่ยถึง “ผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก” ตลอดจนถ้อยคำ อาทิ “ถูกรับไว้”  “ผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก” คืออะไร?  ตามมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดถึงผลไม้ซึ่งสุกแต่แรกเหล่านี้ว่าเป็นผู้คนชุดแรกที่ถูกรับไว้ หรือผู้ชนะทั้งหลาย หรือผู้คนที่เป็นบรรดาบุตรหัวปี  เหล่านี้ล้วนเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องและเป็นการตีความวจนะของเราที่ผิดพลาด  ผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก คือผู้คนที่ได้รับวิวรณ์จากเราและผู้ที่เราได้ให้สิทธิอำนาจไว้แล้ว  คำที่ว่า “สุกแต่แรก” หมายถึงการอยู่ในความครอบครองของเรา และหมายถึงการถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าและถูกคัดสรรโดยเรา  “สุกแต่แรก” ไม่ได้หมายถึง “อันดับแรกในชุดลำดับ”  “ผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก” ไม่ใช่สิ่งของทั้งหลายที่ตามนุษย์มองเห็นได้  เหล่านี้ที่เรียกกันว่า “ผลไม้” นั้น หมายถึงสิ่งต่างๆ ที่คายสุคนธรส (นี่คือความหมายเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง) กล่าวคือ มันหมายถึงผู้คนที่สามารถใช้ชีวิตตามเรา สำแดงเรา และมีชีวิตอยู่กับเราไปตลอดกาล  เมื่อเราพูดถึง “ผลไม้” เรากำลังหมายถึงบุตรหัวปีและประชากรของเราทั้งหมด ในขณะที่  “ผลไม้ซึ่งสุกแต่แรก” หมายถึงบรรดาบุตรหัวปีที่จะปกครองเคียงข้างเราในฐานะกษัตริย์ทั้งหลาย  ดังนั้น  “สุกแต่แรก” จึงควรได้รับการอธิบายว่าเป็นการถือสิทธิอำนาจ นั่นคือความหมายที่แท้จริงของมัน  “การถูกรับไว้” ไม่ได้หมายถึงการถูกนำไปจากที่ต่ำต้อยไปสู่ที่สูงส่ง ดังที่ผู้คนอาจจินตนาการ นั่นเป็นมโนคติที่ผิดมโหฬาร  “การถูกรับไว้” หมายถึงการลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วตามด้วยการคัดสรรของเรา  มันมุ่งตรงไปที่ทุกคนที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรไว้  บรรดาผู้ที่ถูกรับไว้ทั้งหมดคือผู้คนที่ได้รับสถานะของบรรดาบุตรหัวปีหรือบรรดาบุตร หรือผู้ที่เป็นประชากรของพระเจ้า  การนี้เข้ากันไม่ได้มากที่สุดกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน บรรดาผู้ที่จะมีส่วนแบ่งในบ้านของเราในอนาคตก็คือผู้ที่ได้ถูกรับไว้เบื้องหน้าเราทั้งหมด  นี่เป็นจริง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และมิอาจปฏิเสธได้อย่างแน่นอน  มันเป็นการตีโต้ซาตาน  ผู้ใดก็ตามที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าจะถูกรับไว้เบื้องหน้าเรา

คนเราอธิบาย “แตรศักดิ์สิทธิ์” อย่างไร?  ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้คืออะไร?  เหตุใดจึงพูดกันว่ามันศักดิ์สิทธิ์และพูดกันว่ามันถูกเป่าแล้ว?  การนี้ควรอธิบายจากขั้นตอนต่างๆ ของงานของเราและเป็นที่เข้าใจจากวิธีการซึ่งเราใช้ทำงาน  เวลาที่การพิพากษาของเราได้รับการประกาศอย่างเปิดเผยก็คือตอนที่อุปนิสัยของเราได้รับการเปิดเผยแก่ชนชาติและกลุ่มชนทั้งหมด  นั่นคือเวลาที่แตรศักดิ์สิทธิ์ถูกทำให้ส่งเสียง  กล่าวคือ บ่อยครั้งที่เรากล่าวว่าอุปนิสัยของเรานั้นศักดิ์สิทธิ์และมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ ซึ่งก็คือเหตุผลที่ “ศักดิ์สิทธิ์” ถูกใช้เพื่อพรรณนา “แตร”  จากการนี้นี่เองจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า “แตร” หมายถึงอุปนิสัยของเราและเป็นตัวแทนสิ่งที่เราเป็นและมี  ยังสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่าการพิพากษาของเรานั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการทุกวัน ความโกรธของเรานั้นกำลังได้รับการปล่อยทุกวัน และคำสาปแช่งของเราเกิดขึ้นกับทุกๆ สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยของเราเป็นประจำทุกวัน  เช่นนั้นแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่า เวลาที่การพิพากษาของเราเริ่มขึ้นนั้นคือเวลาที่แตรศักดิ์สิทธิ์ถูกทำให้ส่งเสียง และมันยังคงส่งเสียงต่อไปทุกวัน โดยไม่หยุดชะงักสักชั่วขณะและโดยไม่หยุดลงแม้สักหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาที  แต่นี้ต่อไป แตรศักดิ์สิทธิ์จะส่งเสียงดังขึ้นและดังขึ้น เคียงข้างไปกับความวิบัติใหญ่หลวงที่กำลังตกมาถึงแบบค่อยเป็นค่อยไป  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พร้อมไปกับวิวรณ์แห่งการพิพากษาอันชอบธรรมของเรา อุปนิสัยของเราจะได้รับการประกาศต่อสาธารณะมากขึ้นทุกที และสิ่งที่เราเป็นและมีจะถูกเพิ่มเข้าไปในบรรดาบุตรหัวปีของเรามากขึ้นทุกที  นี่คือวิธีการที่เราจะทำงานในอนาคต กล่าวคือ  ในด้านหนึ่งคือการค้ำชูและการช่วยบรรดาผู้ที่เรารักให้รอด ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็คือการใช้วจนะของเราเพื่อเปิดโปงพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เราดูหมิ่น  จงจำไว้เถิด!  นี่คือวิธีการของงานของเรา ขั้นตอนทั้งหลายของงานของเรา ซึ่งเป็นจริงอย่างแน่นอน  เราได้วางแผนการนี้มาตลอดตั้งแต่การสร้างโลก และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการนี้ได้

ยังคงมีหลายส่วนของวจนะของเราที่ยากที่ผู้คนจะเข้าใจ ดังนั้นเราจึงได้ปรับปรุงลีลาการพูดและวิธีการซึ่งเราใช้เพื่อเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายให้ดีขึ้นไปอีก  กล่าวคือ ลีลาการพูดของเรากำลังเปลี่ยนแปลงและกำลังดีขึ้นทุกวัน โดยมีรูปแบบและวิธีการใหม่ๆ ทุกวัน  เหล่านี้คือขั้นตอนต่างทั้งหลายของงานของเรา และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงขั้นตอนเหล่านั้นได้  ผู้คนสามารถเพียงพูดและปฏิบัติตนโดยสอดคล้องสิ่งที่เรากล่าว  นี่คือความจริงอย่างแน่นอน  เราได้ทำการจัดการเตรียมการอันเหมาะสมทั้งในตัวตนของเราและเนื้อหนังของเรา  ภายในทุกการกระทำและทุกกิจการของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรามีด้านหนึ่งของสติปัญญาของเทวสภาพของเราอยู่  (เนื่องจากมวลมนุษย์ไม่มีสติปัญญาอันใดเลยทั้งสิ้น การกล่าวว่าบรรดาบุตรหัวปีมีสติปัญญาของเราจึงอ้างอิงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีอุปนิสัยแห่งพระเจ้าของเราในตัวพวกเขา)  เมื่อบรรดาบุตรหัวปีทำสิ่งโง่เขลาต่างๆ ก็เป็นเพราะพวกเจ้ายังคงมีองค์ประกอบของมนุษย์ภายในตัวพวกเจ้า  ดังนั้นพวกเจ้าต้องกำจัดความโง่เขลาของมนุษย์เช่นนั้นออกไป และทำสิ่งที่เรารักและปฏิเสธสิ่งที่เราเกลียดชัง  ผู้ใดก็ตามที่มาจากเราต้องกลับมาอยู่ภายในเรา และผู้ใดก็ตามที่ถือกำเนิดจากเราต้องกลับมาอยู่ภายในสง่าราศีของเรา  พวกที่เราเกลียดชังต้องถูกละทิ้งและถูกตัดออกจากเรา ทีละคน  เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายของงานของเรา เป็นการบริหารจัดการของเราและเป็นแผนการแห่งการสร้างหกพันปีของเรา  พวกที่เราละทิ้งทั้งหมดควรนบนอบและจากเราไปอย่างเชื่อฟัง  เพราะพรที่เราได้มอบให้พวกเขา บรรดาผู้ที่เรารักทั้งหมดจึงควรสรรเสริญเราเพื่อที่นามของเราจะสามารถรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นไป และเพื่อที่ความสว่างอันรุ่งโรจน์จะสามารถถูกเพิ่มเข้าในโฉมหน้ามนุษย์อันเปี่ยมสง่าราศีของเรา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเต็มไปด้วยสติปัญญาของเราในสง่าราศีของเรา และถวายเกียรติแด่นามของเรามากยิ่งขึ้นไปในความสว่างอันรุ่งโรจน์นั่นเอง!

ก่อนหน้า: บทที่ 103

ถัดไป: บทที่ 105

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger