บทที่ 98
ทุกสรรพสิ่งจะมาสู่พวกเจ้าทุกคน และสิ่งเหล่านั้นจะยอมให้พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับเรามากขึ้นและให้แน่ใจเกี่ยวกับเรามากขึ้น สิ่งเหล่านั้นจะยอมให้เจ้ารู้จักเรา พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว ให้รู้จักเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ให้รู้จักเรา พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ในภายหลัง เราจะออกมาจากเนื้อหนัง หวนคืนสู่ศิโยน ไปยังแผ่นดินที่ดีงามแห่งคานาอัน ซึ่งเป็นที่ประทับของเราและเป็นบั้นปลายของเรา ฐานที่เราได้สร้างทุกสรรพสิ่ง บัดนี้ ไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่เข้าใจความหมายของวจนะที่เรากำลังกล่าวอยู่ ไม่มีแม้เพียงบุคคลเดียวที่สามารถเข้าใจความหมายของวจนะเหล่านี้ได้เลย มีเพียงเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการเปิดเผยต่อพวกเจ้าแล้วเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงกำลังกล่าววจนะเหล่านี้ เรามิได้เป็นของโลก นับประสาอะไรที่เราจะเป็นของจักรวาล เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว เราครอบครองทั้งสากลพิภพในมือของเรา เราเองที่จัดการดูแลสิ่งนั้น และผู้คนสามารถเพียงนบนอบต่อสิทธิอำนาจของเรา กล่าวนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา แซ่ซ้องเราและสรรเสริญเราได้เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ ได้รับการเปิดเผยแก่พวกเจ้า แม้ไม่มีสิ่งใดเลยที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ แต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่อาจหยั่งลึกถึงวิธีกล่าวของเราหรือน้ำเสียงแห่งวจนะของเราได้ เจ้ายังคงไม่เข้าใจว่าแผนการบริหารจัดการของเราทั้งหมดนั้นคือสิ่งใด ดังนั้น เราจะบอกพวกเจ้าในภายหลังถึงสิ่งทั้งปวงที่เจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากล่าวไปแล้ว เพราะสำหรับเรานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างช่างง่ายดายและชัดเจน ขณะที่สำหรับพวกเจ้า สิ่งนั้นช่างลำบากยากเย็นอย่างที่สุด และเจ้าเพียงไม่เข้าใจสิ่งนั้นเลย เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงวิธีการพูดของเรา และเราจะไม่เชื่อมโยงสิ่งทั้งหลายเข้าด้วยกันเมื่อเรากล่าวอีกต่อไป แต่จะทำให้ชัดเจนทีละประการ
การฟื้นคืนจากความตายหมายความว่าอย่างไร? สิ่งนั้นหมายถึงการตายในเนื้อหนังและจากนั้นก็กลับคืนสู่ร่างกายหลังความตายใช่หรือไม่? การฟื้นคืนจากความตายหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ? เราคือพระเจ้าผู้เปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการนี้บ้าง? เจ้าจับใจความการนี้อย่างไร? การฟื้นคืนจากความตายของเราในช่วงระหว่างการจุติลงมาเป็นมนุษย์ครั้งแรกของเราจะสามารถตีความได้ตรงตัวจริงๆ หรือ? กระบวนการนั้นแท้จริงแล้วเป็นเช่นที่ได้พรรณนาไว้ในข้อความเหล่านั้นหรือ? เราได้กล่าวไปแล้วว่า หากเรามิได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาและหากเรามิได้บอกต่อผู้คนอย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความหมายแห่งวจนะของเราได้ ตลอดหลายยุคหลายสมัยไม่ได้มีบุคคลใดเลยแม้ผู้เดียวที่ไม่คิดว่าการฟื้นคืนจากความตายเป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่เวลาแห่งการสร้างโลก ไม่มีผู้ใดเลยที่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการนี้ เราถูกตรึงกางเขนจริงๆ หรือ? และหลังความตาย เราได้ออกมาจากสุสานหรือไม่? การนั้นได้เกิดขึ้นเช่นนี้จริงๆ หรือ? การนี้จะสามารถเป็นจริงได้จริงๆ หรือ? ไม่มีผู้ใดเลยตลอดหลายยุคหลายสมัยที่ได้ใช้ความพยายามต่อการนี้ ไม่มีผู้ใดที่ได้มารู้จักเราจากการนี้ และไม่มีบุคคลใดเลยแม้ผู้เดียวที่ไม่เชื่อการนี้ ทุกคนคิดว่าการนี้เป็นจริง พวกเขาไม่รู้ว่าวจนะทุกวจนะของเรานั้นมีความหมายข้างในอยู่ เช่นนั้นแล้ว แท้จริงแล้วการฟื้นคืนจากความตายคือสิ่งใด? (ในอนาคตอันใกล้ พวกเจ้าจะได้รับประสบการณ์กับการนี้ ดังนั้นเราจึงกำลังบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้ไว้ล่วงหน้า) ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดเต็มใจที่จะตาย สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนต้องการมีชีวิตอยู่ ในมุมมองของเรา ความตายของเนื้อหนังนั้นไม่ใช่ความตายที่แท้จริง เมื่อวิญญาณของเราได้ถูกเรียกคืนจากบุคคลหนึ่ง บุคคลนั้นจึงตาย ด้วยเหตุนี้ เราจึงเรียกขานพวกปีศาจทั้งหมดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม (ซึ่งเป็นพวกที่ไร้ความเชื่อ ทั้งหมดนั้นเป็นผู้ไม่เชื่อ) ว่าคนตาย นับตั้งแต่เวลาแห่งการสร้างโลก เราได้มอบวิญญาณของเราแก่ทุกคนที่เราได้เลือกสรรไว้ อย่างไรก็ตาม หลังจากระยะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเวลาแห่งการสร้างโลก ผู้คนได้ถูกซาตานครอบงำชั่วเวลาหนึ่ง ดังนั้นเราจึงจากมา และผู้คนจึงได้เริ่มทนทุกข์ (ความทุกข์ที่เราได้สู้ทนเมื่อครั้งเราจุติมาเป็นมนุษย์และถูกตรึงกางเขน ดังเช่นที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว) อย่างไรก็ตาม ณ เวลาที่เราได้กำหนดพิจารณาไว้ก่อนแล้ว (เวลาที่การทอดทิ้งผู้คนของเราได้สิ้นสุดลง) เราได้เรียกคืนผู้คนที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้า และเราได้ใส่วิญญาณของเราไว้ในพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่พวกเจ้าได้กลับมามีชีวิตอีก การนี้เรียกว่า “การฟื้นคืนจากความตาย” บัดนี้ พวกที่มีชีวิตอยู่ในวิญญาณของเราอย่างแท้จริงนั้นทั้งหมดมีความเหนือกว่าเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาทั้งปวงมีชีวิตอยู่ในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่ช้า พวกเจ้าทั้งหมดจะปลดทิ้งความคิดของเจ้า มโนคติที่หลงผิดของเจ้า และการพัวพันในแผ่นดินโลกทั้งปวงออกไป แต่นั่นมิใช่การลุกขึ้นจากความตายหลังจากการทนทุกข์อย่างที่ผู้คนจินตนาการ การที่พวกเจ้ากำลังมีชีวิตอยู่ตอนนี้คือสภาพเงื่อนไขเบื้องต้นต่อการมีชีวิตอยู่ในร่างกาย นั่นเป็นเส้นทางที่จำเป็นต่อการเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณ ความเหนือกว่าของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่เรากล่าวถึงหมายความถึงการไม่มีครอบครัว ไม่มีภรรยา ไม่มีลูกหลาน และไม่มีความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์ นั่นคือการมุ่งไปที่การมีชีวิตอยู่ตามฉายาของเราเพียงอย่างเดียว การมุ่งไปที่การเข้าสู่ภายในเราเพียงอย่างเดียว และการไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดภายนอกเรา ทุกหนแห่งที่เจ้าไปคือบ้านของเจ้า นี่คือการอยู่เหนือกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ พวกเจ้าได้เข้าใจวจนะเหล่านี้ของเราผิดไปอย่างยิ่ง ความเข้าใจของเจ้าตื้นเขินเกินไป เราจะปรากฏต่อชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งปวงอย่างแน่นอนได้อย่างไร? ในเนื้อหนังวันนี้ใช่หรือไม่? ไม่ใช่! เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะปรากฏในร่างกายของเราในทุกๆ ชนชาติของจักรวาล เวลาที่บรรดาชาวต่างชาติจำเป็นต้องให้พวกเจ้าเป็นผู้เลี้ยงพวกเขานั้นยังมาไม่ถึง ในเวลานั้น พวกเจ้าจะจำเป็นต้องออกมาจากเนื้อหนังและเข้าสู่ร่างกายเพื่อเป็นผู้เลี้ยงพวกเขา การนี้คือความจริง แต่มิใช่ “การฟื้นคืนจากความตาย” อย่างที่ผู้คนจินตนาการ ณ เวลาที่กำหนด พวกเจ้าจะออกมาจากเนื้อหนังโดยไม่รู้ตัวและเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณและปกครองชนชาติทั้งปวงกับเรา ยังไม่ใช่เวลานั้น เมื่อเราจำเป็นต้องให้พวกเจ้าอยู่ในเนื้อหนัง พวกเจ้าจะต้องอยู่ในเนื้อหนัง (โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของงานของเรา พวกเจ้าต้องมีการคิดในตอนนี้และยังคงต้องมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง เพื่อที่พวกเจ้าควรยังคงทำสิ่งทั้งหลายที่เจ้าจำเป็นต้องทำในเนื้อหนังโดยสอดคล้องกับขั้นตอนทั้งหลายของเรา จงอย่ารออยู่อย่างนิ่งเฉย เพราะนี่จะเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้า) เมื่อเราจำเป็นต้องให้พวกเจ้ากระทำการในร่างกายในฐานะผู้เลี้ยงแห่งคริสตจักร พวกเจ้าจะต้องออกมาจากเนื้อหนัง ปลดทิ้งความคิดของพวกเจ้า และพึ่งพาเราอย่างครบบริบูรณ์เพื่อมีชีวิตอยู่ จงมีความเชื่อในฤทธานุภาพของเราและในปัญญาของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกกระทำโดยเราด้วยตัวเราเอง พวกเจ้าเพียงจำเป็นต้องรอและชื่นชมเท่านั้น พรทั้งปวงจะมาสู่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะมีสิ่งหล่อเลี้ยงที่ไม่รู้จักหมดและไม่สิ้นสุด เมื่อวันนั้นมาถึง พวกเจ้าจะเข้าใจหลักการของวิธีที่เราทำการนี้ เจ้าจะรู้ถึงกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเรา และเจ้าจะเข้าใจวิธีที่เรานำพาบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับสู่ศิโยน จริงๆ แล้วการนี้มิได้ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการไว้เลย แต่นั่นก็มิได้เรียบง่ายอย่างที่พวกเจ้าคิดเช่นกัน
เรารู้ว่าเมื่อเรากล่าวการนี้ พวกเจ้าก็กลายเป็นสามารถจับความเข้าใจถึงจุดประสงค์เบื้องหลังวจนะของเราได้น้อยลงไปอีก และกลับกลายเป็นสับสนมากขึ้นไปอีก เจ้าจะผสมปนเปสิ่งเหล่านั้นเข้ากับสิ่งที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เพื่อที่เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดเลย และนั่นจะดูราวกับไร้ซึ่งทางออก อย่างไรก็ตาม จงอย่ากังวล เราจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากล่าวมีความหมาย เราได้กล่าวว่าเราสามารถทำให้สิ่งที่ดำรงอยู่กลับเป็นไม่มีอยู่ และสามารถสร้างสรรพสิ่งมากมายได้จากที่ไม่มีอยู่ ในจินตนาการของมนุษย์ การจะเข้าสู่ร่างกายจากเนื้อหนังนั้น คนเราต้องได้รับการทำให้ฟื้นคืนจากความตายเสียก่อน ในอดีต เราใช้วิธีนี้และสำแดงปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ของเรา แต่วันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอดีต เราจะนำพวกเจ้าออกจากเนื้อหนังเข้าสู่ร่างกายโดยตรง นี่มิใช่หมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำหรอกหรือ? นี่มิใช่การสำแดงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเราที่ยิ่งใหญ่กว่าหรอกหรือ? เรามีแผนของเรา และเรามีเจตนาของเรา ผู้ใดบ้างที่ไม่อยู่ในมือของเรา? เรารู้จักงานที่เราทำ จะว่าไปแล้ว วิธีการทำงานของเราในวันนี้แตกต่างจากในอดีต เราปรับวิธีการทำงานของเราให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยทั้งหลาย เมื่อเราถูกตรึงกางเขน นั่นคือยุคพระคุณ แต่ตอนนี้คือยุคสุดท้าย จังหวะแห่งงานของเรากำลังเร่งขึ้น ซึ่งมิได้ดำเนินไปในความเร็วระดับเดียวกับที่เป็นในอดีต และนับประสาอะไรที่จังหวะนั้นจะช้ากว่าในอดีต ตรงกันข้าม จังหวะนั้นดำเนินไปรวดเร็วกว่าในอดีตอย่างมาก ไม่มีทางที่จะพรรณนาสิ่งนี้ได้ง่ายๆ และไม่มีความจำเป็นต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนมากมายเหลือเกิน เรามีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ ไม่จริงหรือที่ว่า การกำหนดพิจารณาว่าเจตจำนงของเราจะได้รับการทำให้เสร็จสิ้นได้อย่างไร และว่าเราจะทำให้พวกเจ้ามีความเพียบพร้อมได้อย่างไรนั้น ใช้เพียงแค่วจนะแห่งสิทธิอำนาจหนึ่งวจนะจากเราเท่านั้น? ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากล่าวจะทำเสร็จอย่างแน่นอน ในอดีต เรากล่าวอยู่บ่อยครั้งว่าเราจะทนทุกข์ และเราไม่ยอมให้ผู้คนกล่าวถึงความทุกข์ที่เราได้สู้ทนมาก่อน การกล่าวถึงการนี้เป็นการหมิ่นประมาทเรา นี่เป็นเพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองและสำหรับเรานั้นไม่มีความยากลำบาก เมื่อเจ้ากล่าวถึงความทุกข์นี้ เจ้าก็ทำให้ผู้คนร้องไห้คร่ำครวญ เราได้กล่าวไปแล้วว่า ในอนาคตจะไม่มีเสียงถอนใจและไม่มีน้ำตาอีก การนี้ควรได้รับการอธิบายจากแง่มุมนี้ และจากนั้นความหมายของวจนะของเราจึงจะสามารถเข้าใจได้ ความหมายของ “พวกมนุษย์เพียงไม่สามารถอดทนต่อความทุกข์ได้” คือการที่เราสามารถแยกจากมโนคติที่หลงผิดและความคิดทั้งหมดของมนุษย์ แยกจากอารมณ์ของเนื้อหนัง แยกจากร่องรอยทั้งหมดของการเป็นฝ่ายโลกและเดินออกจากเนื้อหนัง และการที่เราสามารถยังคงยืนหยัดอยู่ได้เมื่อทุกคนกำลังหักล้างเรา นี่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว เราได้กล่าวไปแล้วว่า “บุตรหัวปีทุกคนต้องเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณจากเนื้อหนัง นี่คือเส้นทางที่พวกเขาต้องใช้เพื่อครองราชย์กับเราในฐานะกษัตริย์” ความหมายของประโยคนี้คือ เมื่อเจ้าเผชิญกับสิ่งที่พวกเจ้าได้จินตนาการในอดีต พวกเจ้าจะออกจากเนื้อหนังอย่างเป็นกิจจะลักษณะและจะเข้าสู่ร่างกายเพื่อเริ่มพิพากษาเจ้าชายและกษัตริย์เหล่านั้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พวกเขาจะถูกพิพากษาบนพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่เกิด ณ เวลานี้ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ซับซ้อนอย่างที่พวกเจ้าจินตนาการ—นั่นจะทำเสร็จได้ทันที พวกเจ้าจะไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาจากความตายและพวกเจ้าจะไม่แม้แต่จำเป็นต้องทนทุกข์ (เพราะความทุกข์และความยากลำบากของพวกเจ้าบนแผ่นดินโลกได้มาถึงบทอวสานเรียบร้อยแล้ว และเราได้กล่าวไปเรียบร้อยแล้วว่าเราจะไม่จัดการกับบรรดาบุตรหัวปีของเราอีกต่อไปหลังจากนั้น) บรรดาบุตรหัวปีจะชื่นชมกับพรของพวกเขา เช่นที่ได้รับการกล่าวถึงในข้อเท็จจริงที่ว่า เจ้าจะเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คือความปรานีและพระคุณของเรา? หากคนเราจะสามารถเพียงเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณได้หลังการลุกขึ้นมาจากความตายเท่านั้น นี่น่าจะห่างไกลจากการเปี่ยมปรานีและเปี่ยมพระคุณ ดังนั้น นี่คือการแสดงออกที่ชัดแจ้งที่สุดถึงความปรานีและพระคุณของเรา ยิ่งไปกว่านั้น การนี้เผยถึงการลิขิตไว้ล่วงหน้าของเราและการเลือกสรรประชากรของเรา นี่เพียงพอแล้วที่จะสามารถแสดงให้เห็นว่าประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรานั้นเข้มงวดเพียงใด เราจะเปี่ยมพระคุณต่อผู้ใดก็ตามที่เราปรารถนา และเปี่ยมปรานีต่อผู้ใดก็ตามที่เราปรารถนา จะไม่มีผู้ใดโต้เถียงหรือสู้รบ เราจะตัดสินทั้งหมดนี้เอง
ผู้คนไม่สามารถขบคิดการนั้นออก และพวกเขากดดันตัวพวกเขาเองจนกระทั่งพวกเขาหายใจไม่ออก และกระนั้นก็ดีพวกเขานั่นเองที่ยังคงผูกมัดตัวเอง ความคิดของผู้คนนั้นถูกจำกัดไว้อย่างแท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกำจัดความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ออกไป เพราะฉะนั้น เราจึงต้องออกมาจากเนื้อหนังและเข้าสู่โลกฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อเข้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นเพียงวิธีเดียวในการปกครองกลุ่มชนทั้งปวงและชนชาติทั้งปวง และเพื่อทำให้เจตจำนงของเราลุล่วง นี่อยู่ไม่ไกลเลย พวกเจ้าไม่มีความเชื่อในฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดของเรา และเจ้าไม่รู้ว่าเราคือผู้ใด เจ้าคิดว่าเราเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น และเจ้าไม่สามารถมองเห็นเทวสภาพของเราได้เลย สรรพสิ่งจะครบบริบูรณ์เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการให้สรรพสิ่งเหล่านั้นครบบริบูรณ์ ทั้งหมดที่ใช้คือวจนะหนึ่งจากปากของเรา พวกเจ้าได้ให้ความสนใจเพียงแค่แง่มุมของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราในสิ่งที่เราได้กล่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ และในทุกการเคลื่อนไหวของเรา แต่เจ้าไม่ได้ให้ความสนใจต่อแง่มุมของเทวสภาพของเรา กล่าวคือ เจ้าคิดว่าเรามีความคิดและมโนคติที่หลงผิดเช่นกัน แต่เราได้กล่าวไปแล้วว่าความคิด แนวคิด และความรู้สึกนึกคิดของเรา ทุกการเคลื่อนไหวของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากล่าว เป็นการสำแดงอย่างครบบริบูรณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าได้ลืมทั้งหมดนี้ไปแล้วหรือ? เจ้าทั้งหมดคือผู้คนที่ปนเปยุ่งเหยิง! เจ้าไม่เข้าใจความหมายของวจนะของเรา เราได้ยอมให้พวกเจ้าเห็นถึงแง่มุมของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราจากสิ่งที่เราได้กล่าว (เราได้ยอมให้พวกเจ้าเห็นถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราในชีวิตประจำวันของเรา ในความเป็นจริง เพราะพวกเจ้ายังคงไม่เข้าใจแง่มุมของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราจากสิ่งที่เราได้กล่าวไประหว่างช่วงเวลานี้) แต่กระนั้นเจ้าก็ไม่เข้าใจสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเรา และเจ้าเพียงพยายามที่จะไขว่คว้าบางสิ่งที่สามารถนำมาใช้ต่อต้านเรา และเจ้าดื้อด้านต่อหน้าเรา เจ้าช่างตาบอด! เจ้าช่างไม่รู้เท่าทัน! เจ้าไม่รู้จักเรา! เราได้พูดโดยสูญเปล่ามานานมากแล้ว! พวกเจ้าไม่รู้จักเราเลย และพวกเจ้าเพียงไม่คำนึงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครบบริบูรณ์! จะไม่ให้เราโกรธได้อย่างไร? จะให้เราเปี่ยมปรานีอีกครั้งได้อย่างไร? เราสามารถเพียงตอบโต้ลูกหลานที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ได้ด้วยความโกรธเคืองของเราเท่านั้น เจ้าช่างโอหังบังอาจ เจ้าไม่รู้จักเราเลย! เจ้าคิดว่าเราทำผิด! เราทำผิดได้เช่นนั้นหรือ? เราน่าจะเลือกสรรร่างกายฝ่ายเนื้อหนังใดๆ อย่างสะเพร่าเพื่อที่จะจุติเป็นมนุษย์เช่นนั้นหรือ? สภาวะความเป็นมนุษย์ของเราและเทวสภาพของเราคือสองส่วนที่แยกกันไม่ได้ ซึ่งรวมกันเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครบบริบูรณ์ บัดนี้ พวกเจ้าควรชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในเรื่องได้นี้แล้ว! วจนะของเราได้มาถึงจุดสูงสุดของวจนะเหล่านั้นแล้ว และวจนะของเราไม่สามารถได้รับการอธิบายไปมากกว่านี้ได้อีก!