ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (3)

เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อมีส่วนร่วมในการก่อสร้างหรือการเคลื่อนไหวอันใด แต่เพื่อทำพันธกิจของพระองค์ให้ลุล่วง  แต่ละครั้งที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ มันเป็นไปเพียงเพื่อทำให้พระราชกิจช่วงระยะหนึ่งสำเร็จลุล่วงและเพื่อเปิดตัวยุคใหม่  บัดนี้ยุคราชอาณาจักรได้มาถึงแล้ว เช่นเดียวกับที่การฝึกฝนแห่งราชอาณาจักรได้มาถึง  พระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ใช่งานของมนุษย์ และนั่นไม่ใช่เพื่อปรับปรุงมนุษย์ให้ถึงระดับใดโดยเฉพาะ แต่เป็นเพียงเพื่อทำให้ส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าครบบริบูรณ์เท่านั้น  สิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่ใช่งานของมนุษย์ สิ่งนั้นไม่ใช่เพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ระดับที่แน่นอนระดับหนึ่งในการปรับปรุงมนุษย์ก่อนที่จะจากแผ่นดินโลกไป นั่นเป็นไปเพื่อทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงและทำพระราชกิจที่พระองค์ควรทรงต้องทำให้แล้วเสร็จ ซึ่งก็คือการทำการจัดการเตรียมการอันถูกต้องเหมาะสมเพื่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จนได้รับพระสิริด้วยการนั้น  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นไม่เหมือนกับงานของผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน  เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์สนพระทัยเกี่ยวกับเรื่องการทำพันธกิจของพระองค์ให้ลุล่วงเท่านั้น  สำหรับเรื่องอื่นทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวพันกับพันธกิจของพระองค์นั้น พระองค์แทบจะไม่ได้ทรงเข้าไปมีส่วนร่วมเลย แม้แต่ในขอบข่ายแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  พระองค์เพียงแค่ทรงดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรต้องทำเท่านั้น และที่น้อยที่สุดก็คือการที่พระองค์ทรงเป็นห่วงงานที่มนุษย์ควรจะทำ  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นพระราชกิจที่เกี่ยวกับยุคที่พระองค์ประทับอยู่และเกี่ยวกับพันธกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำให้ลุล่วงเท่านั้น ราวกับว่าเรื่องอื่นทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนือข่ายความรับผิดชอบของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงประดับพระองค์เองให้พร้อมด้วยความรู้พื้นฐานที่มากขึ้นเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในฐานะที่เป็นผู้หนึ่งท่ามกลางมวลมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเรียนรู้ทักษะทางสังคมมากขึ้น อีกทั้งไม่ทรงเตรียมพระองค์เองให้พร้อมด้วยสิ่งอื่นใดที่มนุษย์เข้าใจ  พระองค์ไม่ทรงกังวลเลยเกี่ยวกับทั้งหมดที่มนุษย์ควรที่จะครอง และพระองค์แค่ทรงพระราชกิจที่เป็นหน้าที่ของพระองค์เท่านั้น  และดังนั้น ตามที่มนุษย์มองเห็น พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงขาดตกบกพร่องในมากมายหลายสิ่ง จนถึงขั้นที่พระองค์ไม่แม้แต่จะใส่พระทัยในหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ควรจะมี และพระองค์ไม่ทรงมีความเข้าใจเรื่องทั้งหลายดังกล่าวเลย  สิ่งทั้งหลายเช่นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวิถีชีวิต ตลอดจนหลักธรรมที่ควบคุมดูแลการประพฤติปฏิบัติส่วนตัวและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นปรากฏว่าไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับพระองค์เลย  แต่เจ้าแค่ไม่สามารถสำนึกถึงเบาะแสของความผิดปกติแม้แต่นิดเดียวจากพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์  กล่าวได้ว่า สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์เพียงแค่ธำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตของพระองค์ในฐานะบุคคลปกติคนหนึ่ง และธำรงไว้ซึ่งการมีเหตุผลตามปกติของพระมัตถลุงค์ของพระองค์เท่านั้น โดยมอบความสามารถให้พระองค์ทรงแยกแยะระหว่างถูกและผิดได้  อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ทรงได้รับการประดับให้พร้อมไปด้วยสิ่งอื่นใด ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ (สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง) เท่านั้นควรจะครอง  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อทำพันธกิจของพระองค์เองให้ลุล่วงเท่านั้น  พระราชกิจของพระองค์ได้รับการชี้นำไปยังยุคหนึ่งทั้งยุค ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ไปยังทั่วทั้งจักรวาล  นี่คือทิศทางของพระราชกิจของพระองค์และหลักธรรมที่พระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ  ไม่มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนการนี้ได้ และมนุษย์ไม่มีทางที่จะกลายมาเป็นเกี่ยวข้องในการนี้  แต่ละครั้งที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงนำพาพระราชกิจของยุคนั้นมากับพระองค์ และไม่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะดำเนินพระชนม์ชีพอยู่เคียงข้างมนุษย์เป็นเวลายี่สิบ สามสิบ สี่สิบ หรือแม้กระทั่งเจ็ดสิบ หรือแปดสิบปี เพื่อที่ว่าเขาอาจจะมีความเข้าใจและได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในตัวพระองค์ดีขึ้น  ไม่มีความจำเป็นสำหรับการนั้นเลย!  การทำดังนั้นคงจะไม่มีทางที่จะทำให้ความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันคงจะเพียงแค่เพิ่มมโนคติอันหลงผิดของเขา และทำให้มโนคติอันหลงผิดและความคิดของเขากลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่แข็งตายโดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เท่านั้นเอง  ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องเข้าใจอย่างแน่ชัด ว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือสิ่งใด  แน่ใจหรือว่าพวกเจ้าไม่สามารถล้มเหลวที่จะได้เข้าใจคำพูดที่เราพูดกับพวกเจ้าว่า “ที่เรามานั้นไม่ใช่เพื่อได้รับประสบการณ์กับชีวิตของมนุษย์ปกติคนหนึ่ง”?  พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือกับคำพูดที่ว่า “พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกไม่ใช่เพื่อดำเนินพระชนม์ชีพแบบมนุษย์ปกติ”?  พวกเจ้าไม่เข้าใจจุดประสงค์ในการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้า อีกทั้งพวกเจ้าไม่รู้ความหมายของ “พระเจ้าจะทรงสามารถมายังแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์ที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?”  พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพียงเพื่อทำพระราชกิจของพระองค์ให้ครบบริบูรณ์เท่านั้น และดังนั้นพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกนั้นจึงมีระยะเวลาอันสั้น  พระองค์ไม่ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์ที่จะทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าบ่มเพาะร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของพระองค์ให้เป็นมนุษย์ชั้นเลิศผู้ซึ่งจะนำทางคริสตจักร  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก นั่นคือพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่รู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์และกำหนดบังคับคุณลักษณะของสิ่งทั้งหลายให้กับพระองค์  แต่พวกเจ้าทั้งหมดควรตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็น “พระวจนะที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ไม่ใช่ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังที่ได้รับการบ่มเพาะโดยพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อเข้ารับบทบาทของพระเจ้าชั่วขณะหนึ่ง  พระเจ้าพระองค์เองไม่ได้ทรงเป็นผลผลิตของการเพาะปลูก แต่เป็นพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และวันนี้ พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการท่ามกลางพวกเจ้าทั้งหมด  พวกเจ้าทั้งหมดรู้และยอมรับว่าการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าคือข้อเท็จจริงที่เป็นจริง กระนั้นพวกเจ้าก็ยังทำตัวราวกับว่าพวกเจ้าเข้าใจความจริงนี้  จากพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไปจนถึงนัยสำคัญและแก่นแท้แห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ พวกเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้แม้แต่น้อย และเอาแต่ท่องจำพระวจนะอย่างฉะฉานตามผู้อื่น  เจ้าเชื่อหรือว่าพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์จะทรงเป็นอย่างที่เจ้าจินตนาการ?

พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อนำทางยุคและทำให้พระราชกิจใหม่เริ่มดำเนินไปเท่านั้น  พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจประเด็นนี้  นี่แตกต่างอย่างมากจากหน้าที่ของมนุษย์ และสองอย่างนี้ไม่อาจเอ่ยรวมกันได้  มนุษย์จำเป็นต้องได้รับการบ่มเพาะและการทำให้เพียบพร้อมผ่านช่วงเวลาที่ยาวนาน ก่อนที่เขาจะสามารถถูกใช้ให้ดำเนินงานได้ และสภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทซึ่งเป็นที่ต้องการนั้น ก็คือประเภทที่มีอันดับสูงเป็นพิเศษ  มนุษย์ไม่เพียงแค่ต้องมีความสามารถที่จะค้ำชูสำนึกรับรู้ถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้น แต่เขาต้องเข้าใจหลักธรรมและกฎเกณฑ์เพิ่มไปอีกมากมายที่ควบคุมดูแลการประพฤติปฏิบัติของเขาโดยสัมพันธ์กับผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องมุ่งมั่นที่จะศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีกเกี่ยวกับความรู้ทางปัญญาและทางจริยธรรมของมนุษย์  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้รับการประดับให้มีพร้อม  อย่างไรก็ตาม การนี้ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้เป็นตัวแทนของมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่งานของมนุษย์ ตรงกันข้าม นั่นเป็นการแสดงออกโดยตรงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และเป็นการดำเนินงานพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรทำโดยตรง  (โดยธรรมชาติแล้วนั้น พระราชกิจของพระองค์ได้รับการดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่อย่างไม่ตั้งใจหรือไร้แบบแผน และนั่นเริ่มต้นก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่จะทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วง)  พระองค์ไม่ทรงเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของมนุษย์หรืองานของมนุษย์ กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นไม่ได้รับการประดับให้มีสิ่งอันใดเหล่านี้ (ถึงแม้ว่านี่ไม่กระทบต่อพระราชกิจของพระองค์)  พระองค์เพียงแต่ทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น ไม่ว่าพระองค์ทรงมีสถานะใดก็ตาม พระองค์แค่ทรงทะยานไปข้างหน้ากับพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำ  ไม่ว่ามนุษย์รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์ และไม่ว่าความคิดเห็นของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์นั้นเป็นอย่างไร พระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิง  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ไม่มีใครเลยที่เคยรู้อย่างแน่ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด แต่พระองค์แค่ทรงทะยานไปข้างหน้าในพระราชกิจของพระองค์  ไม่มีสิ่งใดจากการนี้ที่เคยขัดขวางพระองค์ในการดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำ  ดังนั้น พระองค์มิได้ทรงสารภาพหรือกล่าวประกาศถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์เองเป็นอันดับแรก และแค่ทรงทำให้มนุษย์ติดตามพระองค์เท่านั้น  โดยธรรมชาติแล้วนี่ไม่ใช่แค่การถ่อมพระทัยของพระเจ้า แต่ยังเป็นวิธีที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงสามารถเพียงทรงพระราชกิจในหนทางนี้เท่านั้น เพราะมนุษย์ไม่มีทางที่จะจำพระองค์ได้ด้วยตาเปล่า  และต่อให้มนุษย์จำพระองค์ได้ เขาก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะช่วยในพระราชกิจของพระองค์ได้  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์มิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะให้มนุษย์มารู้จักเนื้อหนังของพระองค์ การนั้นเป็นไปเพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์และทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วง  ด้วยเหตุผลนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงให้ความสำคัญกับการทำให้พระอัตลักษณ์ของพระองค์เป็นที่เปิดเผย  เมื่อพระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงควรจะทำครบบริบูรณ์แล้วนั้น พระอัตลักษณ์และสถานะทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ก็ได้กลายเป็นที่ชัดเจนต่อมนุษย์ไปเอง  พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นทรงนิ่งเงียบและไม่เคยทรงทำการกล่าวประกาศอันใด  พระองค์ไม่ใส่พระทัยทั้งกับมนุษย์และกับวิธีที่มนุษย์กำลังเดินหน้าต่อไปในการติดตามพระองค์ แต่แค่ทรงทะยานไปข้างหน้าในการทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงและการดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำ  ไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่จะยืนขวางทางพระราชกิจของพระองค์ได้  เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจก็จะถูกสรุปปิดตัวและนำพาไปถึงปลายทางอย่างไม่มีพลาด และไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่จะบอกบทเป็นอย่างอื่นได้  มีเพียงหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จไปจากมนุษย์เมื่อพระราชกิจของพระองค์ได้ครบบริบูรณ์แล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะเข้าใจพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ แม้ว่ายังคงไม่ชัดเจนทั้งสิ้นก็ตาม  และมนุษย์จะต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเข้าใจครบถ้วนถึงพระเจตนาซึ่งพระองค์ทรงมีในตอนแรกที่เริ่มดำเนินพระราชกิจของพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  ส่วนหนึ่งประกอบด้วยพระราชกิจที่ทำโดยเนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าพระองค์เอง และพระวจนะที่กล่าวโดยเนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าพระองค์เอง  ครั้นพันธกิจของเนื้อหนังของพระองค์ถูกทำให้ลุล่วงโดยครบบริบูรณ์แล้ว อีกส่วนหนึ่งของพระราชกิจยังคงจะต้องได้รับการดำเนินการโดยบรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน  เป็นเวลานี้นี่เองที่มนุษย์ควรทำหน้าที่รับผิดชอบของเขาให้ลุล่วง เพราะพระเจ้าได้ทรงเปิดหนทางไว้แล้ว และมนุษย์ก็จำเป็นที่จะต้องเดินบนหนทางนี้ด้วยตัวเขาเอง  กล่าวคือ พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ทรงดำเนินการพระราชกิจส่วนหนึ่ง และต่อมาพระวิญญาณบริสุทธิ์กับบรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานก็จะทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จ  ดังนั้น มนุษย์ควรรู้ว่า พระราชกิจที่โดยหลักแล้วได้รับการดำเนินการโดยพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงระยะนี้นั้นจะพ่วงท้ายมาด้วยสิ่งใด และเขาต้องเข้าใจอย่างแน่ชัด ว่านัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือสิ่งใด และพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำคือสิ่งใด และต้องไม่สร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าไปตามข้อเรียกร้องที่ทำกับมนุษย์  มีความผิดพลาดของมนุษย์ มโนคติที่หลงผิดของเขา และที่ยิ่งมากกว่านั้นก็คือ การไม่เชื่อฟังของเขาอยู่ในการนี้

พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่ด้วยเจตนารมณ์ที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รู้จักเนื้อหนังของพระองค์ หรือเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์จำแนกความต่างระหว่างเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับเนื้อหนังของมนุษย์ อีกทั้งพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อฝึกฝนพลังอำนาจแห่งการหยั่งรู้ของมนุษย์ และนับประสาอะไรที่พระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยเจตนารมณ์ที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์นมัสการเนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า เพื่อที่จะได้รับพระสิริที่ยิ่งใหญ่โดยการนั้น  ไม่มีสิ่งใดจากสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการบังเกิดเป็นมนุษย์  อีกทั้งพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะกล่าวโทษมนุษย์ อีกทั้งไม่ได้ทรงจงใจที่จะเปิดเผยมนุษย์ อีกทั้งไม่ได้จะทำให้สิ่งทั้งหลายลำบากยากเย็นสำหรับเขา  ไม่มีสิ่งใดจากสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นเป็นรูปแบบหนึ่งของงานที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นของพระองค์และการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ขึ้นของพระองค์ที่พระองค์ทรงกระทำดังที่พระองค์ทรงทำ และไม่ใช่ด้วยเหตุผลทั้งหลายที่มนุษย์จินตนาการ  พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกตามที่พระราชกิจของพระองค์พึงประสงค์เท่านั้น และตามที่จำเป็นเท่านั้น  พระองค์มิได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์ที่จะทอดพระเนตรเยี่ยมชมทั่วไป แต่เพื่อดำเนินงานที่พระองค์ควรจะทรงทำ  เหตุใดอื่นเล่าที่พระองค์จะทรงเข้ารับภาระหนักเช่นนั้นและรับความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเพื่อดำเนินการพระราชกิจนี้?  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อพระองค์ต้องทรงบังเกิดเท่านั้น และพร้อมด้วยนัยสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เสมอ  หากเป็นเพียงเพื่อประโยชน์แห่งการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองดูพระองค์ และเพื่อขยายขอบเขตประสบการณ์ของพวกเขาให้กว้างขึ้น เช่นนั้นแล้ว แน่นอนที่สุดเลยว่า พระองค์คงจะไม่มีวันทรงมาอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างง่ายๆ เช่นนั้น  พระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของพระองค์และพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นของพระองค์ และเพื่อที่พระองค์อาจจะทรงได้รับมวลมนุษย์มากยิ่งขึ้น  พระองค์เสด็จมาเพื่อเป็นตัวแทนของยุค พระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ซาตานปราชัย และพระองค์ทรงสวมใส่พระองค์เองในเนื้อหนังเพื่อที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงนำเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดทั้งมวลในการดำรงชีวิตของพวกเขา  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์ และนั่นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งทั้งจักรวาล  หากพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แค่เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้มารู้จักเนื้อหนังของพระองค์และเพื่อเปิดตาของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระองค์จึงจะไม่ทรงเดินทางไปยังทุกชนชาติเล่า?  นี่จะไม่เป็นเรื่องที่ง่ายมากเหลือเกินหรอกหรือ?  แต่พระองค์ก็มิได้ทรงทำเช่นนั้น กลับทรงเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งหลักและเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ควรจะทรงทำแทน  แค่เนื้อหนังนี้เท่านั้นที่มีนัยสำคัญอย่างมาก  พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของยุคหนึ่งทั้งยุค และยังทรงดำเนินงานของยุคหนึ่งทั้งยุคให้เสร็จสิ้นอีกด้วย พระองค์ทั้งทรงนำพายุคก่อนหน้าไปสู่ปลายทางและนำยุคใหม่เข้ามา  ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า และทั้งหมดนี้คือนัยสำคัญของงานช่วงระยะหนึ่งที่พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อดำเนินการ  เมื่อพระเยซูเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์เพียงตรัสพระวจนะบางคำและดำเนินพระราชกิจบางอย่างให้เสร็จสิ้นเท่านั้น พระองค์มิได้ทรงให้พระองค์เองเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ และพระองค์เสด็จจากไปทันทีที่พระองค์ได้ทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์แล้ว  วันนี้ เมื่อเราได้พูดและส่งต่อวจนะของเราต่อพวกเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว และเมื่อพวกเจ้าได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว งานในขั้นตอนนี้ของเราก็จะได้สรุปปิดตัวลงแล้ว ไม่สำคัญว่าชีวิตของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร  ต้องมีผู้คนบางคนในอนาคตที่สานต่องานของเราในขั้นตอนนี้และสานต่องานบนแผ่นดินโลกที่สอดคล้องกับวจนะเหล่านี้ต่อไป ในเวลานั้น งานของมนุษย์และการก่อสร้างของมนุษย์จะเริ่มต้นขึ้น  แต่ในปัจจุบัน พระเจ้าเพียงแค่ทรงพระราชกิจของพระองค์เพื่อทำให้พันธกิจของพระองค์ลุล่วงและเพื่อทำให้พระราชกิจของพระองค์ขั้นตอนหนึ่งครบบริบูรณ์เท่านั้น  พระเจ้าทรงพระราชกิจในลักษณะที่ไม่เหมือนกับการทำงานของมนุษย์  มนุษย์ชอบการจับกลุ่มชุมนุมและการประชุมสภา และให้ความสำคัญกับพิธีการ ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจมากที่สุดพอดีก็คือ การจับกลุ่มชุมนุมและการประชุมสภาของมนุษย์  พระเจ้าทรงสนทนาและตรัสกับมนุษย์อย่างไม่มีพิธีรีตรอง นี่คือพระราชกิจของพระเจ้า ซึ่งมีเสรีภาพเป็นพิเศษและยังให้อิสระแก่พวกเจ้าอีกด้วย  อย่างไรก็ตาม เรารังเกียจการจับกลุ่มชุมนุมกับพวกเจ้าอย่างที่สุด และเราไร้ความสามารถที่จะกลายมาเป็นคุ้นชินกับชีวิตที่เป็นระบบระเบียบเคร่งครัดเสียเหลือเกินอย่างชีวิตของพวกเจ้า  เรารังเกียจกฎเกณฑ์ทั้งหลายมากที่สุด กฎเกณฑ์เหล่านั้นจำกัดบังคับมนุษย์จนถึงจุดที่ทำให้เขากลัวที่จะขยับเคลื่อนไหว กลัวที่จะพูด และกลัวที่จะขับร้อง ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปข้างหน้าตรงมาที่เจ้า  เรารังเกียจลักษณะในการจับกลุ่มชุมนุมของพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด  และเรารังเกียจการจับกลุ่มชุมนุมขนาดใหญ่อย่างที่สุด  เราแค่ปฏิเสธที่จะจับกลุ่มชุมนุมกับพวกเจ้าในหนทางนี้ เพราะลักษณะการใช้ชีวิตเช่นนี้ทำให้คนเรารู้สึกถูกตีตรวน และพวกเจ้าถือปฏิบัติพิธีการที่มากเกินไปและกฎเกณฑ์ที่มากเกินไป  หากพวกเจ้าได้รับอนุญาตให้นำทาง พวกเจ้าคงจะนำทางผู้คนทั้งหมดเข้าไปในแดนครอบครองของกฎเกณฑ์ทั้งหลาย และพวกเขาคงจะไม่มีหนทางที่จะปัดกฎเกณฑ์เหล่านี้ทิ้งไปภายใต้การเป็นผู้นำของพวกเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น บรรยากาศแห่งศาสนาก็คงจะกลายเป็นคร่ำเคร่งขึ้นทุกทีเท่านั้นเอง และการปฏิบัติทั้งหลายของมนุษย์ก็คงจะมีแต่แพร่ลามเรื่อยไปเท่านั้น  ผู้คนบางคนเอาแต่คุยและพูดไปเรื่อยๆ ในยามที่พวกเขาจับกลุ่มชุมนุมกัน และพวกเขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า และบางคนสามารถทำการประกาศต่อเนื่องเป็นเวลาสิบกว่าวันโดยไม่มีการหยุด  เหล่านี้ล้วนถือว่าเป็นการจับกลุ่มชุมนุมขนาดใหญ่และเป็นการนัดพบกันของมนุษย์ เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับชีวิตแห่งการกินและการดื่ม แห่งความชื่นชมยินดี หรือแห่งจิตวิญญาณที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเลย  เหล่านี้ล้วนเป็นการนัดพบกันทั้งสิ้น!  การนัดพบผู้ร่วมงานของพวกเจ้า ตลอดจนการจับกลุ่มชุมนุมขนาดใหญ่และเล็ก ล้วนเป็นที่น่าชิงชังสำหรับเรา และเราไม่เคยรู้สึกสนใจในสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใดเลย  นี่คือหลักธรรมที่เราใช้ทำงาน กล่าวคือ เราไม่เต็มใจที่จะประกาศในช่วงระหว่างการจับกลุ่มชุมนุม อีกทั้งเราไม่ปรารถนาที่จะกล่าวประกาศสิ่งใดในการรวมกลุ่มสาธารณะขนาดใหญ่ และนับประสาอะไรที่จะเปิดประชุมกับพวกเจ้าทั้งหมดในการประชุมพิเศษเป็นเวลาสองสามวัน  เราไม่พบว่ามันน่าเห็นด้วยกับการที่พวกเจ้าทั้งหมดควรจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยในการชุมนุม เราเกลียดการเห็นพวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในขอบเขตของพิธีการอันใดที่ถูกกำหนดไว้ และที่มากไปกว่านั้น เราปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในพิธีการเช่นนั้นของพวกเจ้า  ยิ่งพวกเจ้าทำการนี้มากเท่าใด เราก็ยิ่งพบว่ามันน่าชิงชังมากขึ้นเท่านั้น  เราไม่มีความสนใจในพิธีการและกฎเกณฑ์เหล่านี้ของพวกเจ้าแม้แต่น้อย ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีเพียงใด เราพบว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนน่าชิงชัง  ไม่ใช่ว่าการจัดการเตรียมการของพวกเจ้าไม่เหมาะสมหรือว่าพวกเจ้าต่ำต้อยเกินไป แต่เป็นตรงที่ว่า เรารังเกียจลักษณะการดำรงชีวิตของพวกเจ้า และที่มากไปกว่านั้นก็คือ เราไร้ความสามารถที่จะกลายเป็นคุ้นชินกับมัน  พวกเจ้าไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวในงานที่เราปรารถนาจะทำ  เมื่อย้อนกลับไปตอนที่พระเยซูได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ หลังจากได้ให้การเทศนาในสถานที่บางแห่งแล้ว พระองค์ก็จะทรงนำบรรดาสาวกของพระองค์ออกไปจากเมืองนั้นและตรัสกับพวกเขาเกี่ยวกับหนทางซึ่งเป็นหน้าที่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเข้าใจ  พระองค์ทรงพระราชกิจในลักษณะเช่นนี้บ่อยครั้ง  พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลชนนั้นมีน้อยและนานๆ จะมีสักครั้ง  ตามที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเจ้าขอจากพระองค์นั้น พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ไม่ควรทรงมีพระชนม์ชีพแบบมนุษย์ปกติ พระองค์ต้องทรงดำเนินงานของพระองค์ และไม่ว่าพระองค์กำลังทรงนั่ง ทรงยืน หรือทรงพระดำเนิน พระองค์ก็ต้องตรัส  พระองค์ต้องทรงพระราชกิจตลอดเวลา และไม่มีวันทรงสามารถหยุด “การปฏิบัติการ” ได้ มิฉะนั้นพระองค์คงจะทรงละเลยหน้าที่ของพระองค์  ข้อเรียกร้องเหล่านี้ของมนุษย์เหมาะควรกับสำนึกรับรู้แบบมนุษย์หรือไม่?  ความสัตย์สุจริตของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?  พวกเจ้าไม่ขอมากเกินไปหรอกหรือ?  เราจำเป็นต้องให้เจ้ามาตรวจดูเราในขณะที่เราทำงานหรือ?  เราจำเป็นต้องให้เจ้ามากำกับดูแลในขณะที่เราทำให้พันธกิจของเราลุล่วงหรือ?  เรารู้ดีว่าเราควรจะทำงานใดและเราควรจะทำมันเมื่อใด ไม่มีความจำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาสอดแทรก  บางทีพวกเจ้าอาจดูเหมือนว่าเรามิได้ทำไปมากนัก แต่ถึงเวลานั้นงานของเราก็อยู่ที่ปลายทางแล้ว  จงดูพระวจนะของพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งสี่เป็นตัวอย่าง พระวจนะเหล่านั้นมิได้ถูกจำกัดด้วยหรอกหรือ?  ณ เวลานั้น เมื่อพระเยซูได้เข้าสู่ธรรมศาลาและได้ประกาศคำเทศนา พระองค์ได้ทรงทำเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาทีเป็นอย่างมาก และเมื่อพระองค์ตรัสเสร็จ พระองค์ได้ทรงนำบรรดาสาวกของพระองค์ลงเรือและออกเดินทางไปโดยไม่มีคำอธิบายอันใด  อย่างมากที่สุดนั้น พวกที่อยู่ภายในธรรมศาลาก็ได้เสวนาการนี้กันในหมู่พวกเขาเอง แต่พระเยซูมิได้ทรงมีส่วนร่วมในการนั้นเลย  พระเจ้าทรงพระราชกิจเฉพาะที่พระองค์ควรจะทรงทำเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดมากเกินหรือเหนือไปกว่าการนี้  บัดนี้ หลายคนต้องการให้เราพูดมากขึ้นและสนทนาให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละหลายชั่วโมง  ตามที่พวกเจ้าเห็นนั้น พระเจ้าทรงหยุดเป็นพระเจ้าเว้นแต่ว่าพระองค์จะตรัส และพระองค์ผู้ตรัสเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า  พวกเจ้าตาบอดทั้งนั้น!  พวกเดียรัจฉานทั้งนั้น!  พวกเจ้าล้วนเป็นสิ่งซึ่งรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ไม่มีสำนึกรับรู้เอาเสียเลย!  พวกเจ้ามีมโนคติที่หลงผิดมากเกินไป!  ข้อเรียกร้องของพวกเจ้านั้นมากเกินไป!  พวกเจ้าไม่มีความเป็นมนุษย์!  พวกเจ้าไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น!  พวกเจ้าเชื่อว่าพวกโฆษกและพวกนักกล่าวสุนทรพจน์ทั้งหมดนั้นคือพระเจ้า และว่าผู้ใดก็ตามที่เต็มใจจัดหาคำพูดให้พวกเจ้าคือบิดาของพวกเจ้า  จงบอกเรามาที พวกเจ้าทั้งหมดที่มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่รูปร่างดีกับรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา ยังคงมีสำนึกรับรู้แม้เพียงสักนิดหรือไม่?  พวกเจ้ายังไม่รู้จักสวรรค์สุริยัน!  พวกเจ้าแต่ละคนเป็นเหมือนข้าราชการที่โลภและเสื่อมทราม ดังนั้นเจ้าจะสามารถเลิกประพฤติโง่เง่าไร้เหตุผลได้อย่างไรกัน?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะระหว่างถูกกับผิดได้อย่างไร?  เราได้มอบให้กับพวกเจ้าตั้งมากมาย แต่มีกี่คนท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้ให้คุณค่ากับมัน?  ผู้ใดเล่าได้ครอบครองมันอย่างเต็มที่บ้าง?  พวกเจ้าไม่รู้ว่าเป็นใครที่ได้เปิดหนทางที่พวกเจ้าใช้เดินในวันนี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงยังคงสร้างข้อเรียกร้องกับเราต่อไป สร้างข้อเรียกร้องที่ไร้สาระน่าขันและไร้เหตุผลเหล่านี้กับเรา  พวกเจ้าไม่รู้สึกตะขิดตะขวงจนหน้าตาแดงก่ำหรอกหรือ?  เรายังพูดไม่มากพอหรือ?  เรายังทำไม่มากพอหรือไร?  ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าสามารถทะนุถนอมวจนะของเราเหมือนสมบัติล้ำค่าได้อย่างแท้จริงบ้าง?  พวกเจ้าประจบเราเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา แต่โกหกและฉ้อโกงเมื่อไม่ได้อยู่!  การกระทำของพวกเจ้าน่าดูหมิ่นเหลือเกิน และการกระทำเหล่านั้นขบถต่อเรา!  เรารู้ว่า ที่พวกเจ้าขอให้เราพูดและทำงานนั้นไม่ใช่เพื่อเหตุผลอื่นใดมากไปกว่าเพื่อให้ความรื่นเริงแก่สายตาของพวกเจ้า และขยายขอบเขตประสบการณ์ของพวกเจ้าให้กว้างขึ้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งการแปลงสภาพชีวิตของพวกเจ้า  เราได้พูดกับพวกเจ้าไปมากมายยิ่งนักแล้ว  ชีวิตของพวกเจ้าควรได้เปลี่ยนแปลงมานานแล้ว ดังนั้น เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงยังคงทรุดกลับไปสู่สภาวะเดิมของพวกเจ้าอยู่ร่ำไปแม้กระทั่งตอนนี้?  จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า วจนะของเราได้ถูกปล้นไปจากพวกเจ้าและพวกเจ้าไม่ได้รับวจนะเหล่านั้น?  ขอบอกความจริงเลยว่า เราไม่ปรารถนาที่จะพูดกับพวกเสื่อมถอยเหมือนพวกเจ้าอีกเลย—มันคงจะสูญเปล่า!  เราไม่ปรารถนาที่จะทำงานที่ไร้ประโยชน์ให้มากนัก!  พวกเจ้าเพียงปรารถนาที่จะขยายขอบเขตประสบการณ์ของพวกเจ้าให้กว้างขึ้นหรือไม่ก็เพื่อให้ความรื่นเริงแก่สายตาของพวกเจ้าเท่านั้นเอง และไม่ใช่เพื่อให้ได้รับชีวิต!  พวกเจ้าล้วนกำลังหลอกลวงตัวพวกเจ้าเอง!  เราขอถามพวกเจ้า พวกเจ้าได้นำสิ่งที่เราได้พูดกับพวกเจ้าต่อหน้าไปปฏิบัติมากเพียงใด?  ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือเล่นกลเพื่อหลอกลวงผู้อื่น!  เรารังเกียจพวกเหล่านั้นท่ามกลางพวกเจ้าที่ชื่นชมกับการมองดูในฐานะผู้ชม และเราพบว่าความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้านั้นน่าชิงชังอย่างดิ่งลึก  หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อไล่ตามเสาะหาหนทางที่แท้จริงหรือกระหายความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็คือวัตถุเป้าหมายแห่งความรังเกียจของเรา!  เรารู้ว่าพวกเจ้าฟังเราพูดเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้า หรือไม่ก็เพื่อลุล่วงความโลภมากอยากมีของพวกเจ้าไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง  พวกเจ้าไม่มีความคิดที่จะแสวงหาการดำรงอยู่ของความจริง หรือที่จะท่องสำรวจร่องครรลองที่ถูกต้องเพื่อการเข้าสู่ชีวิต ข้อเรียกร้องเหล่านี้แค่ไม่มีอยู่จริงท่ามกลางพวกเจ้า  ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนของเล่นให้พวกเจ้าศึกษาและเลื่อมใส  พวกเจ้ามีความมุ่งมาดปรารถนาน้อยเกินไปสำหรับการไล่ตามเสาะหาชีวิต แต่มีความอยากมากมายที่จะอยากรู้อยากเห็น!  การอธิบายหนทางแห่งชีวิตแก่ผู้คนเช่นนั้นเป็นประหนึ่งการพูดคุยกับอากาศธาตุ เราก็อาจไม่พูดเสียเลยด้วยเช่นกัน!  เราขอบอกพวกเจ้าว่า  หากพวกเจ้าแค่จ้องแต่เติมเต็มช่องว่างภายในหัวใจของพวกเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็จงอย่ามาหาเราเป็นดีที่สุด!  เจ้าควรให้ความสำคัญกับการได้มาซึ่งชีวิต!  จงอย่าหลอกตัวเอง!  ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าไม่ควรใช้ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้ามาเป็นพื้นฐานในการไล่ตามเสาะหาชีวิตของพวกเจ้า หรือใช้มันเป็นข้ออ้างในการขอให้เราพูดกับพวกเจ้า  เหล่านี้ล้วนเป็นเพทุบายที่พวกเจ้ามีความชำนาญอย่างสูง!  เราถามเจ้าอีกครั้งว่า  พวกเจ้าได้เข้าสู่สิ่งที่เราขอให้พวกเจ้าเข้าสู่อย่างแท้จริงแล้วมากเพียงใด?  พวกเจ้าได้จับความเข้าใจทั้งหมดที่เราได้พูดกับพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าได้บริหารจัดการเพื่อนำทั้งหมดที่เราได้พูดกับเจ้าไปปฏิบัติแล้วหรือยัง?

พระราชกิจของทุกยุคริเริ่มโดยพระเจ้าพระองค์เอง แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจในหนทางใด พระองค์ก็มิได้เสด็จมาเพื่อเริ่มต้นการ เคลื่อนไหวหรือเพื่อจัดการประชุมพิเศษ หรือเพื่อสถาปนาองค์กรแบบใดก็ตามในนามของพวกเจ้า  พระองค์เสด็จมาเพื่อดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงควรจะทำเท่านั้น  พระราชกิจของพระองค์ไม่ทนทุกข์กับการจำกัดควบคุมของมนุษย์คนใด  พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ไม่ว่าพระองค์จะทรงปรารถนาอย่างไร ไม่สำคัญว่ามนุษย์จะคิดหรือรู้สิ่งใดเกี่ยวกับมัน พระองค์ทรงกังวลกับการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น  ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบัน ได้มีพระราชกิจมาแล้วสามช่วงระยะ จากพระยาห์เวห์ถึงพระเยซู และจากยุคธรรมบัญญัติถึงยุคพระคุณ พระเจ้าไม่เคยทรงเรียกให้มีการประชุมพิเศษสำหรับมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยทรงรวมพลมวลมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อที่จะเรียกให้มีการประชุมพิเศษสำหรับการทำงานระดับโลก และยืดขยายแดนครอบครองในพระราชกิจของพระองค์ออกไปด้วยผลจากการนั้น  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำคือการดำเนินพระราชกิจริเริ่มของยุคหนึ่งทั้งยุคในเวลาที่เหมาะสมและในสถานที่ที่เหมาะสม ด้วยการนั้นจึงเป็นการนำยุคนั้นเข้ามาและนำทางเผ่าพันธุ์มนุษย์ในวิธีที่พวกเขาจะดำรงชีวิต  การประชุมพิเศษคือการจับกลุ่มชุมนุมของมนุษย์ การรวมตัวกันของผู้คนเพื่อเฉลิมฉลองวันหยุดคืองานของมนุษย์  พระเจ้าไม่ทรงถือปฏิบัติวันหยุด และที่มากกว่านั้นก็คือ ทรงพบว่าวันหยุดเหล่านั้นน่าชิงชัง พระองค์ไม่ทรงเรียกให้มีการประชุมพิเศษ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงพบว่าการประชุมเหล่านั้นน่าชิงชัง  บัดนี้ เจ้าควรเข้าใจอย่างแน่ชัดว่า อะไรคือพระราชกิจที่ทรงทำโดยพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์!

ก่อนหน้า: ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (2)

ถัดไป: ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger