มนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า

ปัจจุบันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่สามารถยึดมั่นกับหน้าที่ของตนในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้โดยไม่ทำความชั่ว แต่พวกเขาอุทิศหรือไม่?  พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนในหนทางที่เป็นไปตามมาตรฐานได้หรือไม่?  พวกเขายังคงห่างไกลอยู่มากนัก  การที่ผู้คนสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่นั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของความเป็นมนุษย์  ดังนั้นพวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร?  พวกเขาต้องมีสิ่งใดบ้างเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี?  ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ใดหรือทำสิ่งใดก็ตาม ผู้คนต้องมีความละเอียดถี่ถ้วนและเอาจริงเอาจัง และลุล่วงความรับผิดชอบของตน เมื่อนั้นเท่านั้นหัวใจของพวกเขาจึงจะรู้สึกมั่นคงและมีสันติสุข  การที่คนเราลุล่วงความรับผิดชอบของตนนั้นหมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงการขยันหมั่นเพียร การมอบหมดทั้งหัวใจให้กับความรับผิดชอบของเจ้า และการทำทุกสิ่งที่เจ้าพึงทำ  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้นำคนหนึ่งของคริสตจักรมอบหมายให้เจ้าทำหน้าที่อย่างหนึ่ง และสามัคคีธรรมหลักธรรมที่เรียบง่ายของหน้าที่นั้นให้เจ้าฟัง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก—เจ้าควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดี?  (พึ่งพามโนธรรมของพวกเรา)  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องพึ่งพามโนธรรมของเจ้าในการทำหน้าที่นั้น  “จงพึ่งพามโนธรรมของเจ้า”—เจ้าจะสามารถนำคำพูดเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดผลได้อย่างไร?  เจ้าจะนำคำพูดเหล่านี้ไปใช้อย่างไร?  (โดยคิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ทำสิ่งใดที่จะนำความอับอายมาสู่พระเจ้า)  นี่เป็นแง่มุมหนึ่ง  นอกจากนั้น เมื่อเจ้าทำบางสิ่ง เจ้าต้องไตร่ตรองสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยประเมินวัดสิ่งนั้นตามหลักธรรมความจริง  หากหัวใจของเจ้าไม่รู้สึกมีสันติสุขหลังจากทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว และเจ้ารู้สึกราวกับว่ายังคงมีปัญหากับสิ่งนั้น และหลังจากที่สิ่งนั้นได้รับการตรวจสอบ ก็ค้นพบว่ามีปัญหาจริงๆ ณ จุดนี้เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องแก้ไขเรื่องนี้และแก้ปัญหาโดยเร็ว  นี่คือท่าทีประเภทใด?  (นี่คือความละเอียดถี่ถ้วนและความใส่ใจในรายละเอียด)  นี่คือความละเอียดถี่ถ้วนและความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งเป็นท่าทีที่เอาจริงเอาจังและเข้มงวด  การทำหน้าที่ของเจ้าต้องอยู่บนพื้นฐานของท่าทีที่เอาจริงเอาจังและรับผิดชอบ โดยกล่าวว่า “ฉันได้รับมอบหมายงานนี้มา ดังนั้นฉันต้องทำสิ่งใดก็ตามที่ฉันสามารถทำได้เพื่อที่จะทำงานนี้ให้ดีภายในขอบเขตของสิ่งที่ฉันสามารถรู้และสัมฤทธิ์ได้  ฉันไม่อาจทำผิดพลาดได้”  เจ้าไม่สามารถมีกรอบความคิดที่ว่า “ใกล้เคียงพอก็คือดีพอแล้ว”  หากเจ้ามีหนทางของการคิดที่สุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การทำตัวสุกเอาเผากินเกิดจากอะไร?  นั่นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้ามิใช่หรือ?  การทำตัวสุกเอาเผากินเป็นการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การทำตัวเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้คนถูกบีบบังคับโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  การนี้ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่พวกเขาได้รับในหน้าที่ของตน ถึงขั้นที่เป็นเหตุให้พวกเขาทำให้งานของตนเสียหาย และส่งผลต่องานของคริสตจักร  ผลที่ตามมานี้ร้ายแรงมาก  หากเจ้าทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  นี่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ของเจ้า  เฉพาะผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือความเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทำตัวสุกเอาเผากินอย่างต่อเนื่อง  พวกเจ้าคิดว่าผู้คนที่ทำตัวสุกเอาเผากินตลอดเวลาน่าเชื่อถือหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง!  ใครบางคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินนั้นเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบ และใครบางคนที่ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์—พวกเขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ  ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ใด คนที่ไม่น่าไว้วางใจก็ทำอย่างสุกเอาเผากิน เพราะลักษณะนิสัยของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน พวกเขาไม่รักความจริง และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน  พระเจ้าสามารถไว้วางพระทัยมอบหมายสิ่งใดให้กับคนที่ไม่น่าไว้วางใจได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  เนื่องจากพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกในหัวใจของผู้คน พระองค์จึงไม่ทรงใช้ประโยชน์ให้ผู้คนที่หลอกลวงทำหน้าที่อย่างแน่นอน พระเจ้าทรงอวยพรให้เฉพาะคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้น และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจในตัวของบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์และรักความจริงเท่านั้น  เมื่อใดก็ตามที่คนหลอกลวงคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่ นั่นย่อมเป็นการจัดการเตรียมการที่มนุษย์เป็นคนทำ และเป็นความผิดพลาดของมนุษย์  บรรดาผู้ที่ชอบทำตัวสุกเอาเผากินนั้นไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่ พวกเขาไม่น่าไว้วางใจ และไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  ดังนั้น บรรดาผู้ที่ชอบทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินก็จะไม่มีวันได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า และไม่มีวันที่พระองค์จะทรงใช้พวกเขา  บรรดาผู้ที่ชอบทำตัวสุกเอาเผากินล้วนแต่เป็นคนหลอกลวง เต็มไปด้วยเหตุจูงใจที่ชั่วร้าย  และขาดมโนธรรมและสำนึกโดยสิ้นเชิง  พวกเขากระทำการโดยปราศจากหลักธรรมหรือขีดจำกัดขั้นต่ำ พวกเขากระทำการบนพื้นฐานของการเลือกชอบของตนเองเท่านั้น และสามารถทำสิ่งที่ไม่ดีได้สารพัด  พวกเขาใช้อารมณ์เป็นพื้นฐานของการกระทำทั้งหมด กล่าวคือ หากพวกเขาอารมณ์ดี และยินดีพอใจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะทำได้ดีขึ้นเล็กน้อย  หากพวกเขาอารมณ์ไม่ดี และไม่ยินดีพอใจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะทำอย่างสุกเอาเผากิน  หากพวกเขาโมโห เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็อาจจะเอาแต่ใจและบุ่มบ่าม และทำให้เรื่องสำคัญล่าช้า  พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลย  พวกเขาเพียงแค่ปล่อยให้วันเวลาผ่านไป โดยนั่งทอดธุระและรอคอยความตาย  ดังนั้น ไม่ว่าผู้คนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินจะถูกเตือนสติอย่างไร นั่นก็ไม่มีประโยชน์ และไร้ประโยชน์ที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมแก้ไขหนทางของตนแม้ว่าจะได้รับการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาไร้หัวใจ พวกเขาได้แต่ถูกเอาตัวออกไปเท่านั้น นั่นเป็นวิธีการดำเนินการที่เหมาะควรที่สุด  ผู้คนที่ไร้หัวใจไม่มีขีดจำกัดขั้นต่ำในการกระทำของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดสามารถควบคุมพวกเขาได้  ผู้คนเช่นนี้สามารถจัดการเรื่องทั้งหลายบนพื้นฐานของมโนธรรมได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะเหตุใดจึงทำไม่ได้?  (พวกเขาไม่มีมาตรฐานของมโนธรรม และพวกเขาก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ หรือขีดจำกัดขั้นต่ำ)  นั่นถูกต้องแล้ว  พวกเขาไม่มีมาตรฐานของมโนธรรม พวกเขากระทำการบนพื้นฐานของการเลือกชอบของตน โดยทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ โดยใช้อารมณ์ของพวกเขาเป็นพื้นฐาน  ผลลัพธ์ที่พวกเขาได้รับในหน้าที่ของตนนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเขา หากพวกเขาอารมณ์ดี ผลลัพธ์ก็ย่อมดี แต่หากพวกเขาอารมณ์ไม่ดี ผลลัพธ์ก็ย่อมไม่ดี  การที่คนเราทำหน้าที่ของตนในหนทางนี้มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเป็นไปตามมาตรฐานได้หรือไม่?  พวกเขาทำหน้าที่ของตนโดยใช้อารมณ์เป็นพื้นฐาน ไม่ใช่หลักธรรมความจริง ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นเรื่องยากลำบากมากที่พวกเขาจะนำความจริงไปปฏิบัติ และยากลำบากมากที่พวกเขาจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตนบนพื้นฐานของการเลือกชอบทางเนื้อหนังนั้นไม่มีการนำความจริงไปปฏิบัติเลย

สิ่งใดก็ตามที่ผู้คนทำล้วนเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงและการนำความจริงไปปฏิบัติ สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความจริงล้วนเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของผู้คน และท่าทีที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย  ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผู้คนทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ปราศจากหลักธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านั้น  แต่หลายครั้ง ผู้คนก็ไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจหลักธรรมเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ปรารถนาที่จะเข้าใจหลักธรรมด้วย  แม้ว่าพวกเขาอาจจะรู้เกี่ยวกับหลักธรรมบ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ปรารถนาที่จะทำให้ดีขึ้น  มาตรฐานนี้ไม่ได้อยู่ในหัวใจของพวกเขา และข้อกำหนดนี้ก็ไม่ได้อยู่ในนั้นเช่นกัน  ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายให้ดี และเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่เป็นไปตามความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย  กุญแจสำคัญที่บ่งบอกว่าผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมาตรฐานได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่  หากผู้คนไม่รักสิ่งที่เป็นบวก ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะยอมรับความจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบากมาก—แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็แค่กำลังออกแรงทำงานเท่านั้น  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ และเจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในหลักธรรมได้หรือไม่ หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนบนพื้นฐานของมโนธรรมของตน อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลในระดับกลางๆ  เฉพาะการนี้เท่านั้นที่เป็นที่ยอมรับ  หากตอนนั้นเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถลุล่วงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์และปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามีอะไรบ้าง?  (ให้ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลัง)  ควรเข้าใจ “การมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา” ว่าอย่างไร?  หากผู้คนอุทิศสุดจิตสุดใจของตนในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมกำลังมอบหัวใจทั้งหมดของตน  หากพวกเขาใช้ทุกอณูของพละกำลังที่พวกเขามีในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมกำลังมอบพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา  การมอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้าเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  การนี้ไม่ใช่เรื่องที่สัมฤทธิ์ได้ง่ายหากปราศจากมโนธรรมและสำนึก  หากคนคนหนึ่งไม่มีหัวใจ หากพวกเขาขาดสติปัญญาและไม่มีความสามารถในการใคร่ครวญ และเมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา หากพวกเขาไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงอย่างไร และไม่มีหนทางหรือวิธีการที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้ว หากใครบางคนมีหัวใจ พวกเขาจะสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนได้หรือไม่?  (ได้)  หากคนคนหนึ่งมีหัวใจ แต่พวกเขาไม่ใช้หัวใจในการทำหน้าที่ของตน กลับคิดถึงแต่เส้นทางที่เลวทรามและคดโกง และใช้หัวใจทำสิ่งที่ไม่ถูกควร เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนให้กับหน้าที่ของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สมมติว่าพวกเขามีประสบการณ์กับการถูกตัดแต่ง และเรียนรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และพวกเขาก็สาบานกับพระเจ้าว่าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ และมีความแน่วแน่ที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นหรือการทดลอง หัวใจของพวกเขาก็สั่นคลอน พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างไม่เต็มใจ หรือมีความคิดลบเกิดขึ้นในตัวพวกเขา แล้วพวกเขาก็วิ่งหนีไป—ณ เวลานี้ พวกเขาสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเจ้าเพิ่งกล่าวว่าหากใครบางคนมีหัวใจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถมอบหัวใจทั้งหมดของตนให้ได้  ถ้อยแถลงนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าไม่ควรพึ่งพาแรงดลใจหรือความคิดฝันของตน นับประสาอะไรกับความปรารถนาอันแรงกล้าของเจ้า เจ้าไม่ควรดำเนินการโดยใช้ความรู้สึกของตนเป็นพื้นฐาน และไม่ทำตามแนวคิดของมนุษย์—แต่เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาและปฏิบัติความจริงอย่างต่อเนื่องมากกว่า  การพึ่งพาความมีใจกระตือรือร้นและความรู้สึก หรือความปรารถนาอันแรงกล้าและแรงดลใจชั่วครั้งชั่วคราวนั้น ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะทำหน้าที่ของตนให้ดีได้  นั่นก็เหมือนอย่างตอนที่ทุกคนอายุยังน้อยมาก พวกเขาต้องการที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตนหลังจากที่พวกเขาเติบโตขึ้น  เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น และถึงเวลาที่เจ้าต้องทำความปรารถนานั้นให้ลุล่วง มีความลำบากยากเย็นใดบ้างที่อาจขัดขวางไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้น?  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่แท้จริง สำหรับทุกคน ความเป็นจริงก็คือความลำบากยากเย็นของพวกเขานั้นใหญ่หลวงกว่าความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าเรียนจบจากวิทยาลัยและเริ่มหาเงิน เจ้าก็คิดว่า “ในเมื่อฉันหาเงินได้แล้วตอนนี้ ฉันต้องซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้พ่อกับแม่ใส่ก่อน แล้วก็ซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพให้พวกท่าน และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันจะต้องแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพวกท่าน  ฉันจะมอบเงินของฉันให้พวกท่านใช้จ่าย เพื่อให้พวกท่านสามารถใช้ชีวิตผ่านแต่ละวันไปได้อย่างมีความสุข”  แต่หลังจากที่เจ้าได้รับค่าจ้างและทำบัญชีของตนแล้ว หลังจากหักค่าเช่า ค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ นานัปการของตนไปแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรเหลือเลย และเจ้ายังจำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ตนเองใส่ด้วย  เมื่อเจ้าใช้จ่ายเงินของเจ้าไปหมดแล้ว เจ้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเจ้าได้ละเมิดสัญญาที่เจ้าให้ไว้ว่าเจ้าจะหาเงินมาเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของเจ้าเมื่อเจ้าเติบโตขึ้น  เจ้าคิดว่า “ฉันกำลังอกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉัน เดือนหน้าฉันต้องเก็บออมเงินไว้บ้าง”  แล้วเมื่อเดือนต่อมามาถึง และเงินที่เจ้าหามาก็ยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่า “ยังมีเวลาเหลือเฟือที่ฉันจะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ของฉัน”  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าก็ค่อยๆ พบคู่ครอง เริ่มสร้างครอบครัว และมีลูก แล้วเงินก็ตึงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ  บนพื้นฐานของสถานการณ์และสภาพการณ์ในชีวิตของเจ้า ความปรารถนาที่เจ้าจะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตนก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นจริงได้ยากลำบากมาก เพราะเจ้ายังต้องเกื้อหนุนครอบครัวของตนและหาเลี้ยงชีพ และให้การศึกษาแก่ลูกๆ ของตนด้วย เพื่อที่จะมีชีวิตรอด เจ้ายังต้องเข้าสังคมกับพวกเผด็จการและเจ้าหน้าที่ที่เสื่อมทรามในท้องถิ่นด้วย ซึ่งทำให้เจ้าทุกข์ตรม  แม้ว่าเจ้าจะต้องการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตน นั่นก็ไร้ประโยชน์ ความลำบากยากเย็นนานัปการในชีวิตจริงประดังประเดใส่เจ้า และความปรารถนาที่เจ้าจะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตนก็ถูกบดขยี้จนละเอียดด้วยความเป็นจริงอย่างช้าๆ  ดังนั้น เจตนาของเจ้าที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณนั้นเป็นสิ่งที่รักษาไว้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วความปรารถนาของเจ้าที่จะกตัญญูต่อบิดามารดาของตนตอนที่เจ้าอายุน้อยนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องจอมปลอม?  (เรื่องจริง)  ณ เวลานั้น ความปรารถนาของเจ้าเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไร้เดียงสา เหลวไหล และโง่เขลา นั่นเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้  ตัวตนจริงๆ ของเจ้าเป็นแบบใด?  สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเผยและสำแดงในชีวิตจริงของเจ้าคือความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเจ้าและท่าทีจริงๆ ที่เจ้ามีในการปฏิบัติต่อคนที่เจ้ารัก  เจ้าผัดวันประกันพรุ่งในการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาของตนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโดยไม่รู้ตัว เจ้าก็สูญสิ้นการรับรู้มโนธรรมของตน การตำหนิตนเอง และสำนึกในความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน  แล้วเจ้าก็คิดว่า “ทุกคนก็เป็นเช่นนี้  ฉันไม่ได้กำลังทำอะไรที่แย่ไปกว่าคนอื่นเลย และนอกจากนั้นฉันยังมีความลำบากยากเย็นจริงๆ ด้วย!”  ข้ออ้าง ข้อโต้แย้ง และข้อแก้ตัวของเจ้าแต่ละข้อ—สิ่งเหล่านี้คืออะไร?  สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  ไม่ว่าความเป็นจริงจะยากลำบากเพียงใดสำหรับเจ้า ไม่ว่าความเป็นจริงนี้จะให้สำนึกและข้ออ้างแก่เจ้ามากมายเพียงใดเพื่อที่เจ้าจะได้หลบเลี่ยงความรับผิดชอบที่เจ้าพึงมี และไม่ว่าข้อโต้แย้งและข้ออ้างของเจ้าจะหนักแน่นเพียงใด ในท้ายที่สุดสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสำแดงออกมาก็คือตัวตนที่แท้จริงและสมบูรณ์ของเจ้า  ดังนั้นเจ้าจะสามารถทำความมุ่งมาดปรารถนาที่เป็นบวกให้ลุล่วงได้อย่างไร?  ในชีวิตจริง ก่อนที่จะเข้าใจหรือได้รับความจริง สิ่งที่ผู้คนสำแดงออกมาคืออะไร?  สิ่งเหล่านี้ยุติธรรมและเป็นบวกหรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าการกระทำของเจ้าจะดีเพียงใดหรือแนวคิดของเจ้าดูเหมือนจะถูกต้องเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และไม่เป็นไปตามความจริง  ดังนั้น หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาหรือเข้าใจความจริง ย่อมจะเป็นเรื่องยากมากที่เจ้าจะปฏิบัติความจริง และเช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตามก็ย่อมจะเป็นการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าตนดีเพียงใด ยิ่งใหญ่เพียงใด ซื่อตรงเพียงใด สิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำบนรากฐานนี้ก็ไม่อาจมีทางเป็นไปตามความจริงได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (ข้าพระองค์เข้าใจเล็กน้อย)  พวกเจ้าเข้าใจอะไร?  (ผู้คนล้วนต้องการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควร แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แม้ว่าพวกเขาจะปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของตนตามมโนธรรมของตน พวกเขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จลุล่วงได้  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงต้องแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี)  คนอื่น เจ้าเข้าใจอะไรอีกบ้าง?  (สิ่งทั้งหลายที่คนคนหนึ่งทำเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริงนั้นไม่ใช่การปฏิบัติความจริง ไม่ว่าผู้คนจะเห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไรก็ตาม  ต่อให้ผู้คนคิดว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีมาก การกระทำเหล่านี้ก็ไม่มีทางเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ ดังนั้นข้าพระองค์จึงเห็นแล้วว่าการเข้าใจความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก)  กล่าวได้ดีมาก!  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าล้วนมีความก้าวหน้าไปบ้างแล้วในคราวนี้  การได้รับความจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้คนต้องจ่ายราคามากมายเพื่อการนี้  นอกจากการขัดขืนเนื้อหนังและการแสวงหาและปฏิบัติความจริงแล้ว ผู้คนยังต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดและการถลุงมากมายอีกด้วย และพวกเขาก็ต้องมีประสบการณ์กับการข่มเหงและการทารุณอันโหดร้ายด้วยฝีมือของซาตาน—ตราบใดที่พวกเขายังไม่ตาย พวกเขาก็ยังคงต้องทนทุกข์มากมายนัก—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้และได้รับความจริง  คนเราสามารถกล่าวได้ว่าการได้รับความจริงเป็นกระบวนการของการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน และด้วยเหตุนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  เจ้าอาจยอมรับว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยอมรับความจริงด้วย แต่เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะออกมาขัดขวางและรบกวนเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเวลานั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน?  (พวกเขาโต้แย้งและมองหาข้อแก้ตัว  พวกเขาเผยความเห็นแก่ตัวออกมาและคำนึงถึงศักดิ์ศรีและความถือดีของตนเอง)  นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับอุปนิสัยของผู้คน  บางคนไม่พูดหรือเผยสิ่งใดออกมาเลย แต่เมื่อเจ้ามองดูอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความเป็นกบฏอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ความเป็นกบฏนั้นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังโต้แย้งหรือมองหาข้อแก้ตัว การนี้ล้วนทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ ความหยิ่งยโส สถานะ และความถือดีของตนเอง เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เจตนาหรือวัตถุประสงค์บางอย่าง  หากคนคนหนึ่งมีอุปนิสัยที่เป็นกบฏประเภทนี้อยู่ภายในตัวพวกเขา เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยนี้ย่อมจะก่อให้เกิดสภาวะที่เสื่อมทรามสารพัดซึ่งไม่เป็นมิตรและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  ความเป็นกบฏคืออะไร?  อธิบายง่ายๆ ก็คือเมื่อมีความรู้สึกคัดค้านอยู่ภายในหัวใจของใครบางคน เมื่อพวกเขาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า โดยกล่าวว่า “เพราะเหตุใดพระวจนะที่พระองค์ตรัสจึงแตกต่างจากสิ่งที่ข้าพระองค์คิด?  เพราะเหตุใดข้าพระองค์จึงไม่ชอบพระวจนะเหล่านั้น?  ข้าพระองค์ไม่ชอบพระวจนะเหล่านั้น ดังนั้นข้าพระองค์จึงไม่สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ และข้าพระองค์ก็ไม่เต็มใจที่จะฟังพระองค์ตรัส”  พวกเขาตั้งหัวใจของตนให้ต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่เชื่อฟัง จนถึงขั้นที่พวกเขาต่อต้านความเป็นจริง พวกเขาต่อต้านทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำและข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีสำหรับพวกเขา  นี่คือจุดที่ผู้คนเป็นกบฏ และเป็นความลำบากยากเย็นที่ใหญ่หลวงที่สุดที่ผู้คนมีในการยอมรับและปฏิบัติความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะกำลังมองหาข้อแก้ตัวหรือมองหาข้อโต้แย้งหรือเงื่อนไขที่ไม่มีอคตินานัปการ ในกรณีใดก็ตาม นี่คืออุปนิสัยที่เป็นกบฏที่ดำรงอยู่ภายในตัวเจ้าซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า  หากเจ้าสามารถแก้ไขอุปนิสัยที่เป็นกบฏนี้ได้ และพลิกสภาวะประเภทนี้กลับได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าก็กล่าวว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฉันแล้ว และฉันไม่เข้าใจความจริง และฉันก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร  ทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้ก็คือการอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะค้นพบเส้นทางของการปฏิบัติ หรือแสวงหาจากคนที่เข้าใจความจริง  หากฉันเรียนรู้วิธีปฏิบัติในหนทางที่เป็นไปตามความจริง ที่พระเจ้าโปรด และทำให้พระองค์พอพระทัย เช่นนั้นแล้วฉันย่อมจะปฏิบัติอย่างนั้น”  การมีกรอบความคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง นี่คือใครบางคนที่รักความจริง  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงในหนทางนี้ โดยพยายามทำให้ดีขึ้นแม้จะมีความพลาดพลั้งนานาชนิด โดยไม่กลายเป็นคนคิดลบหรือท้อถอย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้และได้รับความรอดจากพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบโยบครั้งแรก โดยใช้ความเข้าใจของเขาในเวลานั้นเป็นพื้นฐาน โยบสามารถรู้เจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วโยบสำแดงสิ่งใดออกมา?  เขานบนอบ หรือเขากบฏ ขัดขืน และพร่ำบ่น?  (เขานบนอบ)  จากภายในถึงภายนอกของตัวเขา เขาอยู่ในสภาวะประเภทใด?  เขาเคยเผยความไม่เต็มใจหรือการไม่ยอมรับแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดหรือไม่?  เขาไม่เคยทำเช่นนั้น  แม้ว่าคนเราจะสามารถมองเห็นได้เพียงคำอธิบายที่เรียบง่ายในบันทึกของพระคัมภีร์ แต่คนเราก็ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าโยบเคยเผยสภาวะที่เป็นกบฏแต่อย่างใด  จากพระวจนะเหล่านี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้หรือไม่ว่าโยบเข้าใจความจริงมากมาย?  (ไม่ได้)  ในความเป็นจริง ในเวลานั้นโยบเข้าใจความจริงประการใดบ้าง?  พระเจ้าได้ตรัสถึงความจริงแห่งการนบนอบหรือไม่?  พระองค์ได้ตรัสว่าผู้คนไม่ควรกบฏต่อพระองค์อย่างไรหรือไม่?  พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงสิ่งเหล่านี้เลย  สภาวะของโยบเป็นเช่นไร?  ถึงแม้ในเวลานั้นเขาไม่ได้มีรากฐานเป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างในปัจจุบัน แต่พฤติกรรมของเขาและทุกสิ่งที่เขาทำก็เอื้ออำนวยให้ผู้คนมองเห็นความคิดและสภาวะภายในหัวใจของเขา  นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นและรู้สึกได้มิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “พวกเราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัวใจของตน”  เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้น แต่เจ้าควรมองเห็นการกระทำภายนอกของเขาได้  เมื่อเขาเผชิญกับบททดสอบ เขาแสดงการกระทำของคนคนหนึ่งที่ไม่มีการกบฏโดยสิ้นเชิงและนบนอบพระเจ้าโดยสมบูรณ์ อย่างการที่เขาฉีกเสื้อผ้าของตนและการหมอบราบของตัวเขาเอง  การหมอบราบของเขามาจากภายในหัวใจของตน และสอดรับกับความคิดทั้งหมดของเขาและทุกสิ่งที่เขาต้องการแสดงออกในเวลานั้นอย่างสมบูรณ์  นี่แสดงให้เห็นถึงการไล่ตามเสาะหาของเขาและท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้า  แล้วท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร?  เขามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงกระทำกับเขา?  ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการยอมรับและนบนอบ โดยไม่มีการคัดค้านและการไม่เห็นด้วย  บางคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณกล่าวด้วยความสงสัยว่า “ในโลกนี้จะมีคนเช่นนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ใช่ธรรมิกชนหรอกหรือ?  นี่ต้องเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา”  ความเป็นจริงก็คือแท้จริงแล้วมีคนที่เหมือนกับโยบ แต่โยบมีคนเดียวเท่านั้น และเราเกรงว่าไม่มีวันที่จะมีโยบอีกคนหนึ่งขึ้นมา  สภาวะของโยบเป็นสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกว่า “ไม่เห็นแก่ตัวและปราศจากความอยากได้อยากมี”  เมื่อบททดสอบของพระเจ้าเกิดขึ้นกับเขา เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่เขากลับแสดงท่าทีที่เขามีต่อพระเจ้าด้วยการกระทำของตน  การหมอบราบของเขาเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อบททดสอบเกิดขึ้นกับเขา เขากำลังยอมรับและนบนอบอย่างแท้จริง และเขาก็ไม่ขัดขืนเลย  เขาไม่ได้ทำการแสดงตบตาและไม่ได้เล่นละคร เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อให้คนอื่นเห็น เขาทำเช่นนี้เพื่อให้พระเจ้าทรงเห็น  แล้วโยบบรรลุการนบนอบประเภทนี้ได้อย่างไร?  เขาไม่สามารถบรรลุการนบนอบประเภทนี้ได้โดยมีประสบการณ์กับบททดสอบเพียงครั้งเดียวและเข้าใจการนบนอบ  สมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาล้วนมีอุปนิสัยที่เป็นกบฏ  ผู้คนเห็นแก่ตัว และพวกเขาล้วนกบฏต่อพระเจ้า  นี่คือธรรมชาติที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนจึงมีธรรมชาติเช่นนี้  แต่โยบสามารถนบนอบพระเจ้าได้ถึงระดับนี้ในชั่วข้ามคืนหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  เขาต้องไล่ตามเสาะหา และยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการไล่ตามเสาะหา และมีเส้นทางที่ถูกต้อง  ในขณะเดียวกัน เขายังต้องได้รับการทรงนำของพระเจ้า และมีพระเจ้าทรงดูแลและคุ้มครองเขาด้วย  นั่นเป็นเพราะโยบเสาะแสวงที่จะเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น เสาะแสวงที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น โยบจึงสามารถได้รับพระคุณ ความกรุณา และพรจากพระเจ้า จากนั้นเขาจึงได้เห็นพระหัตถ์และการทรงนำของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ได้รับการดูแลจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  เมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงสามารถเติบโตได้  พวกเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงให้บททดสอบเช่นนั้นแก่โยบตอนที่เขาอายุยี่สิบปี?  (เขาไม่มีวุฒิภาวะในตอนนั้น)  เวลานั้นยังมาไม่ถึง  เหตุใดเขาจึงไม่ได้รับบททดสอบที่ใหญ่หลวงเช่นนั้นตอนที่เขาอายุสี่สิบปี?  เวลานั้นก็ยังคงมาไม่ถึง  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทดสอบเขาตอนที่เขาอายุเจ็ดสิบแล้วเท่านั้น?  (เวลาของพระเจ้ามาถึงแล้ว)  นั่นถูกต้องแล้ว เวลานั้นมาถึงแล้ว  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนจำเป็นต้องรอจนกระทั่งพวกเจ้าอายุเจ็ดสิบหรือไม่?  (ไม่จำเป็น)  เหตุใดจึงไม่จำเป็น?  (ปัจจุบันนี้ พวกเราสามารถฟังพระวจนะของพระเจ้าได้ด้วยหูของพวกเราเอง  พระเจ้าทรงอธิบายเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระองค์ให้พวกเราฟังอย่างชัดเจนมาก)  พระราชกิจในยุคสมัยนั้นและพระราชกิจในยุคสมัยนี้แตกต่างกัน  ในยุคสมัยนั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับมนุษย์ และมนุษย์ก็ไม่เข้าใจความจริง พระเจ้าเพียงทรงพระราชกิจบางอย่างที่เรียบง่ายและเป็นตัวแทนเท่านั้น  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็เพียงแต่เก็บรักษาพระวจนะของพระเจ้าที่ถ่ายทอดผ่านมาทางผู้เผยพระวจนะไว้เท่านั้น และบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าก็ได้รับพรจากพระองค์  บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงก็เลอะเลือน อย่างมากพวกเขาก็เก็บรักษาเครื่องบูชาไว้และอธิษฐาน และนั่นก็ยังดี  ในเวลานั้น เพื่อนของโยบก็เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเช่นกันมิใช่หรือ?  การเชื่อของพวกเขาด้อยกว่าการเชื่อของโยบมากนักมิใช่หรือ?  พวกเขาและโยบอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน แต่โยบแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากมิใช่หรือ?  (เขาดีกว่า)  เหตุใดจึงมีความแตกต่างกันมากถึงเพียงนั้น?  (นั่นเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของผู้คนและการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา)  นั่นถูกต้องแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาของผู้คน  เจ้าหว่านสิ่งใด เจ้าย่อมได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น  หากเจ้าไม่ปลูกอะไรเลย เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าย่อมจะไม่ได้เก็บเกี่ยวผลใดๆ  ผู้คนที่เลอะเลือนไม่กี่คนนั้นไม่ไล่ตามเสาะหา พวกเขาก็เหมือนกับผู้ไม่เชื่อในคริสตจักรในปัจจุบัน  พวกเขาเพียงแต่รักษาข้อบังคับ และชอบนำเอาข้อบังคับมาปรับใช้กับทุกสิ่ง  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาก็คิดว่าตนถูกต้องเสมอ ตนเข้าใจทุกสิ่ง  เมื่อบททดสอบเกิดขึ้นกับโยบ พวกเขาก็บอกโยบว่า “ท่านควรจะสารภาพโดยเร็ว ดูเถิด การลงโทษของพระเจ้ามาถึงแล้ว”  ท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อพวกเขา?  พระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตมาจนอายุปูนนี้ แล้วพวกเจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นการกระทำของเราหรือท่าทีที่เรามีต่อผู้คนได้อย่างชัดเจน ตลอดจนไม่เห็นแบบแผนการกระทำของเรา  พวกเจ้าช่างเลอะเลือนจริงๆ โยบมองเห็นอย่างชัดเจน”  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงปรากฏแก่โยบ แต่ไม่ทรงปรากฏแก่พวกเขา เพราะพวกเขาไม่คู่ควร  พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่หลบเลี่ยงความชั่ว ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงปรากฏแก่พวกเขา

ตอนนี้ ทุกคนต้องการเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  แล้วหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วนั้นหมายถึงอะไร?  กล่าวได้ว่าการนี้เกี่ยวข้องกับการแสวงหาที่จะนบนอบพระเจ้า และการนบนอบพระองค์อย่างครบบริบูรณ์และโดยสิ้นเชิง  การนี้เกี่ยวข้องกับการกลัวและยำเกรงพระเจ้าอย่างจริงแท้ โดยปราศจากองค์ประกอบของการหลอกลวง การต้านทาน หรือการกบฏ  นั่นคือการมีหัวใจที่บริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ และจงรักภักดีและนบนอบพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ความจงรักภักดีและการนบนอบนี้ต้องเป็นไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงบางส่วน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรือสถานที่ หรือว่าคนเราอายุเท่าใด  นี่คือหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  ในกระบวนการไล่ตามเสาะหาเช่นนี้ เจ้าจะค่อยๆ มารู้จักพระเจ้าและผ่านประสบการณ์กับกิจการของพระองค์ เจ้าจะรู้สึกถึงความห่วงใยและการคุ้มครองของพระองค์ สำนึกรับรู้ถึงคุณภาพความจริงแห่งการดำรงอยู่ของพระองค์ และรู้สึกถึงอธิปไตยของพระองค์  ในท้ายที่สุด เจ้าจะรู้สึกจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเจ้าเลย  เจ้าจะมีประสบการณ์ตรงประเภทนี้  หากเจ้าไม่ดำเนินตามหนทางของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีวันได้รับความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  ผู้คนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงปรากฏพร้อมทุกแห่งหนและทรงมหิทธานุภาพ”  เจ้ายอมรับเรื่องนี้ในหัวใจของตนโดยสมบูรณ์ แต่เจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ แล้วเจ้าจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  ตลอดหลายปีนี้ที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้ทำอะไรมาบ้าง?  เจ้าเข้าร่วมการชุมนุมและฟังการเทศนาอยู่บ่อยๆ และเจ้าทำหน้าที่ของตนอยู่เป็นนิตย์ เจ้าได้วิ่งบนถนนหนทางหลายสาย และได้ชนะใจบางคนในการประกาศข่าวประเสริฐ  แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง?  เจ้าไม่เข้าใจความจริงเลย!  เจ้ามองไม่เห็นอะไรโดยสิ้นเชิงเลยหรือ?  เจ้ารู้ชัดเจนว่านี่คือหนทางที่แท้จริง แต่เจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ถึงแม้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมการชุมนุม ฟังการเทศนา และดำรงชีวิตคริสตจักร แต่เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  เจ้าช่างน่าเวทนาเหลือเกิน!  นี่คือสภาวะของผู้ไม่เชื่อ ราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าเป็นคนที่เกาะเอาผลประโยชน์ เป็นคนออกแรงทำงาน  เจ้าอาจกล่าวว่า “ข้าพระองค์กำลังทำหน้าที่ของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ต้องทรงยอมรับข้าพระองค์!”  แล้วพระเจ้าก็จะตรัสว่า “เราไม่ได้อยู่ในหัวใจของเจ้าเลย และเจ้าก็ไม่ได้ยอมรับความจริงประการใดเลย  เจ้าเป็นคนทำชั่ว  จงไปจากเราเสียเถิด!”  เหล่านี้คือความคิดในส่วนลึกที่สุดของพระเจ้า  เจ้าไม่รักความจริง เจ้าไม่มีความรู้ซึ้งว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และเจ้าก็ไม่มีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์  เจ้าไม่สามารถดึงประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงใดๆ ออกมาเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต  ดังนั้นเจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้  เจ้ายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน โดยทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการ ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเจ้ากับผู้ไม่มีความเชื่อ  เจ้าแทบไม่อาจขบถต่อความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยนั่น รวมทั้งความหยุมหยิมอันน่าดูหมิ่นที่ตนมีได้เลย และเจ้าก็พบว่าการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความเป็นกบฏของเจ้านั้นเป็นเรื่องยาก  ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพการณ์ต่างๆ ให้แก่เจ้า เจ้าก็ไม่เรียนรู้บทเรียนของตน และเจ้าก็ไม่เก็บเกี่ยวผลที่ชัดเจนหลังจากมีประสบการณ์มาหลายปี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลายี่สิบปี สามสิบปี หรือแม้กระทั่งนานกว่านั้น หากความเป็นกบฏ ความรู้สึกคัดค้าน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขหรือชำระให้บริสุทธิ์แต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเป็นมารแก่ชราที่ไม่ถูกแตะต้อง และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  นี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นผู้ไม่เชื่อ และจะถูกกำจัดออกไปอย่างง่ายดาย

บางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฟังการเทศนามาหลายครั้ง และเข้าใจคำสอนมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตนได้รับหนทางที่แท้จริงแล้ว ได้รับพระเจ้าแล้ว และพวกเขาก็คิดว่าตนได้รับชีวิตแล้ว แต่ในเรื่องธรรมดาสามัญ พวกเขาก็ยังคงเพียรพยายามเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์อยู่ดี  ถึงขั้นที่พวกเขาทำร้ายและกีดกันผู้อื่นออกไป โดยเปิดโปงความอัปลักษณ์ที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นของตนอย่างครบถ้วน  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับหรือปฏิบัติความจริงได้เลย?  พวกเขาแค่รู้ว่าจะกล่าวคำพูดและคำสอนบางประการอย่างไร และพวกเขาก็คิดผิดว่าตนได้รับชีวิตแล้ว  นี่เป็นสภาวะที่น่าเวทนาของมนุษย์มิใช่หรือ?  พวกเขาไม่สามารถละวางแม้กระทั่งผลประโยชน์ของตนเอง และพวกเขาก็ไม่สามารถทนทุกข์เล็กน้อยเช่นนี้ได้ แล้วพวกเขาจะสามารถทนทุกข์อะไรได้?  ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาเห็นว่าผลประโยชน์และความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตนเองนั้นมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  พวกเขาเป็นไปในหนทางนี้ตอนที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน แต่พวกเขายังคงรู้สึกว่าตนเป็นคนดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว โดยทำหน้าที่ของตนมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาคิดว่าตนทนทุกข์มาบ้างแล้ว และคุณูปการของพวกเขาก็มีนัยสำคัญ พวกเขาเหนือกว่าคนอื่นในทุกทาง—โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนเหล่านี้ที่ฟังการเทศนามาหลายปีมักรู้สึกว่าตนเหนือกว่า และพวกเขาก็คิดผิดว่าตนได้รับพระเจ้าแล้ว  คำสัตย์สาบานที่พวกเขาสาบานและความมุ่งมั่นที่พวกเขาแสดงออกนั้นเหมือนกันทุกประการกับตอนที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก  ทั้งความมุ่งมั่นและคำสัตย์สาบานของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ความมีใจกระตือรือร้นหรือความแน่วแน่ของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเช่นกัน  พละกำลังที่พวกเขาสละเพื่อพระเจ้านั้นยังคงยิ่งใหญ่ แต่ก็มีสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย กล่าวคืออุปนิสัยที่โอหัง เป็นกบฏ หลอกลวง และดื้อแพ่งของพวกเขานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  ดังนั้นเราจึงสงสัยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้คนเหล่านี้ทำอะไรกันอยู่?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนตั้งแต่เช้าจรดค่ำในแต่ละวัน โดยสละเวลาเกือบตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตนได้รับพระเจ้าและหนทางที่แท้จริงแล้ว  นี่คือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงยืนยันความรู้สึกของพวกเขาแล้วใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงต้องการเห็นอะไร?  นี่เป็นประเด็นที่ควรค่าแก่การไตร่ตรองมิใช่หรือ?  หากมีความขัดแย้งที่ชัดเจนระหว่างความรู้สึกของคนคนหนึ่งว่าพวกเขาเป็นคนดีกับหนทางที่พระเจ้าทรงมองพวกเขา ปัญหาอยู่ที่ใคร?  (คนคนนั้น)  นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะพระเจ้าไม่อาจทรงเข้าใจผิดได้  มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์มีนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทว่ามนุษย์กลับตีความมาตรฐานนี้ผิดอยู่เนืองนิตย์ และเข้าใจมาตรฐานนี้ในหนทางที่เอื้อประโยชน์ต่อเขาอยู่เสมอ  บางคนคิดว่า “ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้ามาเกือบตลอดชีวิตของพวกเขา  หากพระเจ้าไม่ทรงให้ความเห็นชอบแก่พวกเขาจริงๆ พวกเขาก็น่าเวทนามากมิใช่หรือ?”  ผู้คนเช่นนี้ควรค่าแก่การเวทนา และการเห็นใจหรือไม่?  หากเจ้ากล่าวว่าพวกเขาไม่ควรค่าแก่การเวทนา ไม่ควรค่าแก่การเห็นใจ นี่ไม่โหดร้ายกับพวกเขาเกินไปหรอกหรือ?  ไม่  เพราะเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  (เพราะพระเจ้าทรงให้โอกาสแก่ผู้คนมามากพอแล้ว  พวกเขาเองไม่ไล่ตามเสาะหา และตุ่มพองที่เท้าของพวกเขาก็เป็นความผิดของพวกเขาเอง)  พูดให้ฟังดูดีน้อยลงมาหน่อยก็คือ พวกเขาสมควรได้รับสิ่งนี้ และพวกเขาก็ไม่ควรค่าแก่การเวทนา  หากเรากล่าวถึงคนอื่น พวกเจ้าล้วนคิดว่า “คุณสมควรได้รับสิ่งนี้!  ตุ่มพองที่เท้าของคุณก็เป็นความผิดของคุณเอง  ไม่มีใครกีดกันไม่ให้คุณฟังพระวจนะของพระเจ้า!  พระเจ้าไม่ทรงต้องการคุณ แล้วฉันก็ไม่เห็นใจและไม่เวทนาคุณ  คุณสมควรได้รับสิ่งนี้!”  แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะตรวจสอบมโนธรรมของตนเองและทบทวนความรู้สึกภายในของตนเองหรือไม่?  พวกเจ้าควรคิดอย่างไร?  ด้วยสำนึกและมโนธรรมในบทบาทที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงเป็น และด้วยความคิดและท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี พวกเจ้าควรคิดอย่างมีเหตุผลอย่างไร?  พวกเจ้าควรคิดและปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้สามารถอธิบายต่อพระเจ้าและต่อผู้คนได้อย่างสมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากพูดอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับความรู้สึกของข้าพระองค์เอง  ข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความจริง  นี่ไม่ได้เป็นเพราะพระเจ้าทรงทำอะไรผิด และไม่ได้เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้าไม่สัมฤทธิ์ผล แต่เป็นเพราะข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า  ข้าพระองค์คิดถึงตัวอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าทรงยกมา กล่าวคือ ค่าจ้างของบรรดาผู้ที่เข้าไปในไร่องุ่นก่อนใครและค่าจ้างของบรรดาผู้ที่เข้าไปในไร่องุ่นช้ากว่านั้นเท่ากัน  สำหรับบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าก่อนใครและบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระองค์ช้ากว่านั้น พระเจ้าทรงยุติธรรมและมีเหตุผลอย่างที่สุดในสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเขาทุกคน  หากคนคนหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับความจริงที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้คน นี่ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์มิได้ทรงให้เวลาพวกเขามากพอ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่หวงแหนหรือยอมรับความจริงมากกว่า แต่ละครั้งที่ผ่านไป พวกเขาสูญเสียและสูญสิ้นโอกาสที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่พวกเขา  บางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงได้  หลังจากมีประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และสามารถได้รับการช่วยให้รอด  สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำทั้งหมดนี้ชอบธรรม  นี่คือความรู้สึกบางประการของข้าพระองค์หลังจากได้ฟังการสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  ดีมาก!  ก่อนอื่นขอให้พวกเราพูดถึงประเด็นปัญหานี้จากมุมมองของมนุษย์  หากพระเจ้าไม่ได้ประสูติเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เช่นนั้นแล้วทุกคนที่เชื่อพระเจ้าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?  พวกเขาย่อมจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานโดยสิ้นเชิง ในกระแสคลื่นแห่งความเลวร้าย และท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเทียบเท่ากับการใช้ชีวิตอยู่ในคุกของหมู่มาร การใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำของเหล่าปีศาจ หรือการใช้ชีวิตอยู่ในถังย้อมผ้าขนาดใหญ่  หากใครบางคนไม่เชื่อในพระเจ้า ตามธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมจะทำสิ่งใดก็ตามที่ตนพึงปรารถนา โดยทำสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่ว  ความเสื่อมทรามของพวกเขาทวีความลึกซึ้งไปกว่าที่เคย และพวกเขาก็เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ไร้เหตุผลมากยิ่งขึ้น และในท้ายที่สุด พวกเขาก็กลายเป็นปีศาจที่มีชีวิต  จากคำพูดและความประพฤติของพวกเขานั้นดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ แต่วิธีคิดและอุปนิสัยทั้งปวงของพวกเขาได้กลายเป็นวิธีคิดและอุปนิสัยของปีศาจที่มีชีวิตไปแล้ว  จุดจบของผู้คนเช่นนี้เป็นอย่างไร?  พวกเขาพบจุดจบเดียวกันกับซาตานมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาถูกซาตานจับเป็นเชลยโดยสมบูรณ์แล้ว  พวกเขาเป็นพันธมิตรของซาตาน กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและคนรับใช้ของซาตาน และขัดขืนพระเจ้าเช่นเดียวกันกับซาตาน  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่เหลือช่องว่างให้หลบหลีกอีกต่อไป และสุดท้ายจุดจบของพวกเขาก็คือการถูกลงโทษและถูกทำลาย  นี่คือการพูดเกี่ยวกับมนุษย์  หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด  เจ้าอาจเป็นอิสระมากในโลกนี้ สามารถทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงปรารถนา และปฏิบัติตนอย่างไรก็ตามที่เจ้าต้องการ เจ้าอาจไม่จำเป็นต้องถูกควบคุมด้วยมโนธรรมและสำนึก และไม่จำเป็นต้องยอมรับหรือปฏิบัติความจริง นับประสาอะไรกับการยอมรับการตัดแต่งและบ่มวินัย  เจ้าเพียงใช้ชีวิตตามความชอบส่วนตนของตัวเจ้าเอง โดยการทำตามกระแสนิยมของโลกนี้ จนกระทั่งเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คือไม่มีสำนึกและไม่มีการรับรู้มโนธรรม  เจ้าเสื่อมถอยลงอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นปีศาจที่มีชีวิต เป็นซาตานที่มีชีวิต เป็นปีศาจที่มีชีวิตทั้งภายในและภายนอก เจ้าไม่จำเป็นต้องอำพรางตัวหรือห่อหุ้มตัวเอง—เจ้าเป็นซาตานตัวจริง เป็นปีศาจ  นี่คือผลลัพธ์จากการที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องถูกทำลายด้วยมหันตภัย  สมมติว่าใครบางคนเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เคยยอมรับความจริงได้เลย ไม่เคยรู้จักตนเองได้เลย และไม่กลับใจอย่างแท้จริง พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย มโนธรรมและสำนึกของพวกเขายังไม่ฟื้นคืนมา และหนทางชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับหนทางชีวิตของผู้ไม่มีความเชื่อ  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาและตีสอนผู้คนอย่างไร และไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขาก็ไม่เอาใจใส่การนั้นเลย  ผู้คนเช่นนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นคนเลวที่แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าได้ประทานโอกาสมากมายเพื่อให้ได้รับความจริงและความรอด และผู้คนก็เชื่อมาหลายปีแล้วโดยไม่ได้เอาใจใส่เจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย พวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าความเพลิดเพลินทางเนื้อหนังเช่นเคย โดยการกิน ดื่ม และสำเริงสำราญ  พวกเขาไม่มีมโนธรรม ไม่มีองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ที่เป็นบวก พวกเขาได้เลยไปจากจุดที่จะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว เลยไปจากจุดที่จะหันหลังกลับ  พระเจ้าทรงละวางพวกเขา และไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงจุดจบของพวกเขา  ณ จุดนี้ ชีวิตแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็สิ้นสุดลง เส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จบลง  จุดจบของพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้ว—นี่คือจุดจบของพวกเขา  เมื่อใครบางคนมีจุดจบเช่นนี้ พวกเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรในหัวใจของตน?  หัวใจของพวกเขาคงจะเจ็บปวดเล็กน้อย พวกเขาคงจะว้าวุ่นใจและโศกเศร้าอย่างแท้จริง โดยรู้สึกว่าตนถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง ราวกับว่าพวกเขาอยู่ในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ไม่สามารถคว้าฟางเส้นสุดท้ายของพวกเขาไว้ได้ เคราะห์ร้ายที่สุดและไร้ทางช่วยเหลืออย่างสิ้นเชิง  เมื่อเจ้ายังไม่ได้จมลงไปจนถึงระดับนั้น เจ้าย่อมไม่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดประเภทนั้นได้ แต่ทันทีที่เจ้าไปถึงจุดนั้น เจ้าก็ไม่อาจหันหลังกลับได้  ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยผู้คนให้รอด นี่คือวิธีที่ผู้คนเดินไปสู่ชะตากรรมประเภทนี้ และจุดจบประเภทนี้ในที่สุด  แต่การที่ผู้คนมีชะตากรรมและจุดจบประเภทนี้ทำให้พระเจ้าทรงสูญเสียสิ่งใดหรือไม่?  หากผู้คนที่พระองค์ทรงสร้างนั้นถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากพวกเขาไม่ยอมรับความรอดจากพระองค์เลย และเดินไปสู่ถนนแห่งการทำลายล้าง พระเจ้าทรงสูญเสียสิ่งใดหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  พระเจ้าจะทรงเลิกเป็นพระเจ้าเพราะว่าหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ถูกทำลายหรือไม่?  พระองค์จะทรงสูญเสียอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ในฐานะพระเจ้า และสูญเสียแก่นแท้ของพระองค์ในฐานะพระเจ้าหรือไม่?  เรื่องนี้จะทำให้ความจริงที่ว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  (ไม่)  เรื่องนี้จะไม่ทำเช่นนั้น  นี่หมายความว่าอย่างไร?  ไม่ว่าผู้คนจะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่ พระเจ้าก็ไม่ทรงสูญเสียสิ่งใด  นี่คือแง่มุมหนึ่งของสิ่งทั้งหลาย  ต่อให้ผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและพระเจ้าก็ไม่ทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าก็ไม่ทรงสูญเสียสิ่งใดเลย  ซาตานยังคงเป็นซาตาน และพระเจ้าก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้า  ผู้ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงยังคงเป็นพระเจ้า พระเจ้ายังคงทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และพระองค์ก็ยังคงทรงเป็นผู้ครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง  ชะตากรรมของมวลมนุษย์ ชะตากรรมของซาตานและชะตากรรมของสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สถานะ ความมีเอกลักษณ์ พระอุปนิสัย และแก่นแท้ของพระเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะไม่ด่างพร้อย และพระราชกิจของพระองค์จะไม่ประสบความสูญเสียใดๆ  พระเจ้ายังคงทรงเป็นพระเจ้า  เรื่องนี้เอื้ออำนวยให้ผู้คนเข้าใจข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า ไม่ว่ามวลมนุษย์จะมีจำนวนมากเพียงใด ในสายพระเนตรของพระเจ้านั่นเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น  นั่นไม่นับเป็นกำลังบังคับประเภทใดและไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใดๆ ต่อพระเจ้า  ไม่ว่ามวลมนุษย์จะติดตามเส้นทางใด พวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ไม่ว่ามวลมนุษย์จะเผชิญกับจุดจบใด ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าหรือยอมรับการดำรงอยู่หรืออธิปไตยของพระองค์หรือไม่ เรื่องเหล่านั้นไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์หรือสถานะที่เป็นเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ และไม่สามารถส่งผลกระทบต่อแก่นแท้ของพระเจ้าได้  นี่คือข้อเท็จจริงที่ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  แต่มีบางสิ่งที่ผู้คนอาจยังไม่เข้าใจชัดเจนหรือยังไม่เคยมีประสบการณ์  หากพระเจ้าทรงละทิ้งคนคนหนึ่งท่ามกลางมวลมนุษย์ และพระองค์ก็ไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด เช่นนั้นแล้วจุดจบสุดท้ายของพวกเขาก็จะเป็นการถูกทำลาย และนั่นไม่สามารถย้อนกลับได้  ในจักรวาลทั้งหมดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายจะใหญ่โตเพียงใด ไม่ว่าจะมีวัตถุในท้องฟ้ามากเพียงใด มีชีวิตกี่ชีวิตก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้ และชะตากรรมของจักรวาลและสรรพสิ่งก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว  ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตไปจนถึงดาวเคราะห์ สิ่งใดก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้ ไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับการที่สิ่งใดจะสามารถควบคุมแนวคิดที่พระเจ้าทรงมีได้  นี่คือข้อเท็จจริง  บางคนเชื่อว่า “ข้าพระองค์ไม่เชื่อในพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ใช่พระเจ้า”  “มีคนไม่กี่คนที่เชื่อในพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ใช่พระเจ้า”  นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่จะกล่าวหรือไม่?  (ไม่)  คนอื่นๆ กล่าวว่า “มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่เชื่อในพระองค์ ดังนั้นอำนาจของพระองค์ในการครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งปวงและมวลมนุษย์จึงยิ่งใหญ่เพียงเท่านี้ และขยายขอบเขตออกไปเพียงเท่านี้”  ความจริงเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนที่มีทัศนะเช่นนี้ช่างไม่รู้ความและโง่เขลาเหลือเกิน!

เราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่าหากพระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์คงจะมุ่งหน้าสู่การถูกทำลายล้าง  แต่อัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย นับประสาอะไรกับแก่นแท้ของพระองค์  เจ้ามองเห็นข้อเท็จจริงประการนี้ชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่ามวลมนุษย์จะยอมรับความจริงหรือสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่ก็ตาม พระเจ้าก็ยังทรงเป็นพระเจ้า—สถานะ อัตลักษณ์ และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง  แต่มีความผันแปรสูงมากเมื่อพูดถึงชะตากรรมของมวลมนุษย์  ใครเป็นผู้ควบคุมความผันแปรนั้น?  ผู้คนเองใช่หรือไม่?  ประเทศใช่หรือไม่?  ผู้ปกครองใช่หรือไม่?  กำลังบังคับใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  ผู้ที่ควบคุมชะตากรรมของเจ้าและชะตากรรมของมวลมนุษย์ก็คือพระเจ้า—สรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ดังนั้น เจ้าต้องมองเห็นข้อเท็จจริงประการนี้อย่างชัดเจน นั่นก็คือด้วยการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และการช่วยเจ้าให้รอด พระเจ้ากำลังทรงแสดงพระคุณแก่เจ้า นี่เป็นการช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่เป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?  เพราะการที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นไม่ใช่ธรรมบัญญัติที่ผ่อนผันไม่ได้ และไม่ใช่กระแสนิยมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ใช่ความจำเป็น  พระเจ้าทรงเลือกที่จะกระทำการนี้อย่างเสรี  หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด จะเป็นการดีหรือไม่?  แน่นอนว่าพระองค์ไม่ต้องทรงช่วยเจ้าให้รอดก็ได้ใช่หรือไม่?  ในช่วงเริ่มต้น พระเจ้าอาจทรงลิขิตเจ้าไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่หากตอนนี้พระองค์ไม่ทรงต้องการเลือกเจ้า และพระองค์ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถได้รับพระคุณนี้  แล้วเจ้าควรทำเช่นไร?  เจ้าต้องปฏิบัติให้ดี และพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ที่จะใช้การกระทำ หัวใจ และความเชื่อที่แท้จริงของเจ้าในการดลพระทัยพระเจ้าและได้รับพระคุณจากพระองค์  เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างแน่นอน  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวประเสริฐในสมัยก่อน มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่ง—เธอทำสิ่งใด?  (ลูกสาวของเธอถูกปีศาจสิง ดังนั้นเธอจึงขอให้องค์พระเยซูเจ้าทรงช่วยเธอ  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การเอาอาหารของลูกโยนให้กับสุนัขก็ไม่สมควร”  หญิงนั้นก็ทูลว่า “สุนัขนั้นย่อมกินเศษที่ตกจากโต๊ะนายของมัน”  องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าหญิงนั้นมีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ และทรงทำให้ความปรารถนาของเธอลุล่วง)  องค์พระเยซูเจ้าทรงเห็นชอบกับสิ่งใดในตัวเธอ?  (ความเชื่อของเธอ)  แท้จริงแล้วความเชื่อของเธอเป็นอย่างไร?  พวกเราควรเข้าใจความเชื่อของเธออย่างไร?  (เธอยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า)  องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าเธอเป็นสุนัข แล้วเพราะเหตุใดเธอจึงไม่เสียใจ?  พวกเจ้าไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนมากนัก  ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ เหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเห็นชอบกับความเชื่อของคนคนนี้?  พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเต็มใจที่จะเป็นสุนัข และพระองค์ก็ไม่ทรงเห็นชอบกับการที่เธอเต็มใจที่จะกินเศษอาหาร—เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง  แล้วองค์พระเยซูเจ้าทรงเห็นชอบกับสิ่งใด?  พระองค์ทรงเห็นชอบกับการที่เธอไม่ใส่ใจว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติต่อเธอในฐานะที่เธอเป็นสุนัข คน หรือมาร—พระองค์ทรงปฏิบัติต่อเธออย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ  สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เธอปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระเจ้า โดยเชื่ออย่างมั่นคงว่าพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้า และนี่คือความจริงและข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เธอยอมรับในหัวใจของเธอ  นั่นเพียงพอแล้ว  ไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะช่วยเธอให้รอดหรือไม่ ไม่ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อเธอในฐานะใครบางคนที่ได้กินอาหารกับพระองค์ หรือสาวก หรือผู้ติดตาม หรือปฏิบัติต่อเธอในฐานะสุนัข เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญสำหรับเธอ  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่าเธอยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าในหัวใจของเธอนั้นเพียงพอแล้ว—นั่นคือความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ  พวกเจ้ามีความเชื่อประเภทนี้หรือไม่?  หากวันหนึ่งเรากล่าวว่าพวกเจ้าล้วนเป็นสุนัขเฝ้าพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะเต็มใจยอมรับเรื่องนี้หรือไม่?  หากเรากล่าวว่าเจ้าเป็นที่รักตัวน้อยของพระนิเวศของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า และทูตสวรรค์ เจ้าย่อมจะพบว่าเรื่องนี้น่าพึงพอใจไม่น้อย แต่หากเรากล่าวว่าเจ้าเป็นสุนัข เจ้าย่อมจะไม่มีความสุข  เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสุข?  เพราะเจ้ามีทัศนะว่าตัวเจ้าเองสำคัญมาก  เจ้าคิดว่า “ข้าพระองค์ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงเรียกข้าพระองค์ว่าสุนัขได้อย่างไร?  ข้าพระองค์ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งใด พระองค์ก็ควรจะทรงมีความยุติธรรมและมีเหตุผล  พวกเราทั้งสองเท่าเทียมกัน พวกเราเป็นเพื่อนกัน!  ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ ซึ่งแสดงถึงพลังใจ ความรัก และความเชื่ออันยิ่งใหญ่นักในส่วนของข้าพระองค์  พระองค์สามารถตรัสว่าข้าพระองค์เป็นสุนัขได้อย่างไร?  พระองค์ไม่ได้ทรงรักมนุษย์!  พวกเราเป็นเพื่อนกัน พวกเราควรที่จะยืนเสมอกัน  ข้าพระองค์เคารพพระองค์ ข้าพระองค์ยำเกรงพระองค์ และข้าพระองค์เลื่อมใสในพระองค์—พระองค์ก็พึงทรงเคารพข้าพระองค์ และปฏิบัติต่อข้าพระองค์ในฐานะคนคนหนึ่ง  ข้าพระองค์เป็นคนคนหนึ่ง!”  เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีนี้?  (ท่าทีนี้ขาดสำนึก)  เมื่อผู้คนต้องการที่จะยืนเสมอกับพระเจ้าและปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะเพื่อนของพวกเขา การนี้จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนมิใช่หรือ?  เจ้ากล่าวว่า “พระองค์ทรงดูธรรมดา—อันที่จริงข้าพระองค์ดูดีกว่าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ตัวสูงกว่าพระองค์  พระองค์ทรงไอเช่นกันเมื่อพระองค์ทรงเป็นไข้หวัด และพระองค์ก็ทรงเหนื่อยด้วยเมื่อพระองค์ตรัสมาก—ข้าพระองค์สุขภาพดีกว่าพระองค์  พระองค์เพียงแต่ทรงมีความจริง และพระองค์ก็ทรงเข้มแข็งกว่าข้าพระองค์ในแง่นั้น  หากข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และเข้าใจความจริงมากขึ้น เช่นนั้นแล้วข้าพระองค์ย่อมจะไม่ได้แย่ไปกว่าพระองค์มากนัก  ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์ยังมีทักษะที่พระองค์ไม่ทรงมีด้วย!  เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ทรงยิ่งใหญ่ไปกว่าข้าพระองค์มากนัก”  เจ้าคิดอย่างไรกับทัศนคตินี้?  (ทัศนคตินี้ไม่ถูกต้อง)  เจ้าคิดอย่างไรกับวิธีการเปรียบเทียบนี้?  เป็นไปไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบมนุษย์กับพระเจ้า  วิธีการเปรียบเทียบนี้มีความผิดพลาดแบบใดอยู่?  (คนคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่ในฐานะที่ถูกควรของตน และพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า  พวกเขากำลังปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะคนธรรมดา  พวกเขามองเห็นเพียงความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่พวกเขามองไม่เห็นเทวสภาพของพระองค์)  พูดให้เรียบง่ายก็คือ พวกเขาไม่มีทั้งมโนธรรมและสำนึก—พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  นอกจากนั้น ผู้คนยังไม่เคยเห็นกายฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในฐานะมนุษย์ และคิดว่าคนธรรมดาคนนี้ไม่ยิ่งใหญ่และไม่น่าประทับใจ และการรังแกและการหลอกพระองค์เป็นเรื่องง่าย  เรื่องก็เป็นเช่นนั้นเอง  มนุษย์เป็นสิ่งที่เสื่อมทรามเช่นนี้เอง  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะไม่มีทั้งหัวใจที่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ประเด็นที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงก็คือเพื่อให้พวกเขาสามารถนบนอบพระเจ้าได้  ไม่ว่าพระองค์จะทรงกระทำอย่างไร พระองค์จะทรงปรากฏในรูปแบบใด หรือพระองค์จะตรัสกับเจ้าในหนทางใด ที่ทางของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง และความยำเกรงที่เจ้ามีต่อพระองค์ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์ และความเชื่อที่แท้จริงที่เจ้ามีในพระองค์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน  แก่นแท้และสถานะของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง  เจ้าจะจัดการสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าให้ดี เหมาะควร และมีเหตุผล โดยมีมาตรฐาน และการยับยั้งชั่งใจ  แต่หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง การที่เจ้าจะสัมฤทธิ์เรื่องนี้จะยากมาก—ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะทำได้  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะไม่มีวันสามารถมองเห็นแก่นแท้ของพระเจ้า และเทวสภาพของพระองค์  พวกเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นองค์ประกอบของอุปนิสัยของพระองค์หรือการเผยที่แท้จริงของพระองค์  ผู้คนจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้  ต่อให้มีการบอกเล่าสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าฟัง เจ้าจะไม่สามารถมองเห็น และเจ้าก็จะไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้

พวกเราเพิ่งพูดคุยกันว่าจุดจบของผู้คนจะเป็นเช่นไรหากพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  จุดจบนั้นคืออะไร?  (การทำลายล้าง)  แล้วพระเจ้าจะทรงเป็นอย่างไร?  (การนั้นจะไม่มีผลต่อพระเจ้าเลย)  นี่เป็นการพูดจากมุมมองของการที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าจะไม่ทรงได้รับผลกระทบเลย แต่ชะตากรรมและจุดจบของผู้คนจะทุกข์ตรม—ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากจุดจบของผู้คนอย่างโยบและอับราฮัม  หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยใครบางคนให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถูกนับว่าอยู่ท่ามกลางกำลังบังคับของศัตรูของพระองค์ และบรรดาปฏิปักษ์ของพระองค์  จุดจบนี้ร้ายแรงอย่างชัดเจน  ตอนนี้ขอให้พวกเราพูดคุยถึงเรื่องที่ว่าคนคนหนึ่งจะได้รับสิ่งใดจากการที่พระเจ้าทรงต้องการช่วยพวกเขาให้รอด และทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  เหตุใดผู้คนจึงเชื่อในพระเจ้า?  ผู้เชื่อในพระเจ้ากำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด?  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าความพอพระทัยของพระเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใช่หรือไม่?  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าการทำให้ซาตานอับอายและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าใช่หรือไม่?  เหตุผลเหล่านี้ล้วนฟังดูสูงส่งทีเดียว และไกลเกินเอื้อมไปหน่อย  หากตอนนี้เราขอให้เจ้าพูดถึงเจตนาที่เจ้ามีเมื่อตอนที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าตั้งแต่ต้น เจ้าคงจะมีมโนธรรมที่รู้สึกผิดและหน้าแดงในขณะที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าคงจะลำบากใจที่จะพูด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง  แล้วอันที่จริงข้อเท็จจริงคืออะไร?  (ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพราะพวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าพร)  (พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าบั้นปลายที่ดี หรือแหล่งที่มาของการค้ำชูฝ่ายวิญญาณ)  โดยสรุปแล้ว เจตนาเช่นนี้ไม่เหมาะสมนิดหน่อย และไม่น่าอวดใครนัก  แต่หากพวกเขาไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าเป้าหมายนี้ตั้งแต่แรก ผู้คนจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อ หากพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการเชื่อนั้น ใครจะเชื่อในพระเจ้า?  เมื่อพูดถึงการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนคิดว่าหากพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์เล็กน้อยจากการเชื่อนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ควรได้รับสัญญา  สัญญาอะไร?  บางคนกล่าวว่า “สัญญาของพระเจ้าก็คือพวกเราจะได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง—นี่หมายความว่าพวกเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป โดยไม่มีวันตาย  นั่นคือความผาสุกและพรประเภทหนึ่งที่ไม่มีใครเคยได้รับหรือได้ชื่นชมมาก่อนในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา  ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้คนเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะประทานพระคุณ พร และการคุ้มครองบางประการให้พวกเขาในชีวิตนี้”  กล่าวสั้นๆ ก็คือ เมื่อใครบางคนเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า หัวใจของพวกเขานั้นไม่บริสุทธิ์และมีมลทิน  พวกเขามิได้เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์คนหนึ่ง ใช้ชีวิตตามแบบอย่างของคนคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงรักในที่สุด ใช้ชีวิตในหนทางที่ถวายพระเกียรติและเป็นพยานยืนยันให้พระองค์ และไม่ทำให้พระองค์ทรงอับอาย และยังคงเป็นพยานยืนยันให้พระองค์แม้กระทั่งหลังความตาย—ทว่าด้วยหัวใจและวิญญาณทั้งหมดของพวกเขานั้น พวกเขาต้องการที่จะได้รับพร และมีความสุขกับพระคุณและพรจากพระเจ้ามากขึ้นในชีวิตนี้  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถไปถึงโลกที่จะมาถึงได้ เช่นนั้นแล้วที่นั่นพวกเขาย่อมต้องการได้รับพรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยซ้ำไป  เมื่อผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้คือความปรารถนา เจตนา และวัตถุประสงค์ที่พวกเขาพกติดตัวมา พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพรจากราชอาณาจักรแห่งสวรรค์และสัญญาของพระเจ้า  สำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม นี่คือเรื่องที่ถูกทำนองคลองธรรม และพระเจ้าจะไม่ทรงตำหนิผู้คนเพราะเรื่องนี้  เมื่อผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขาล้วนไม่รู้ความ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย  โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับความรู้แจ้งของพระองค์ พวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและนัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้า ตลอดจนข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  ในระหว่างกระบวนการนี้ ผู้คนก็มีความสุขจากการดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า โรคภัยไข้เจ็บของบางคนได้รับการรักษาให้หาย ร่างกายของพวกเขาค่อนข้างแข็งแรง ครอบครัวของพวกเขามีสันติสุข และการแต่งงานของพวกเขาก็มีความสุข—ในหนทางนานัปการ พวกเขาต่างมีความสุขกับพระคุณและพรจากพระเจ้าในระดับที่แตกต่างกันไป  แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง  จากมุมมองของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การมานะพยายามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์  การมานะพยายามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์คืออะไร?  (ความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน และโลหิตจากพระหทัยของพระองค์ที่ทรงสละเพื่อประโยชน์ของพวกเขา)  “โลหิตจากพระหทัยของพระองค์” นั้นมีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมอยู่บ้าง ในขณะที่ “ความคาดหวัง” นั้นค่อนข้างว่างเปล่า  ประโยชน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดและสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดที่พวกเจ้าเคยได้รับจากพระเจ้าคืออะไร?  (การจัดเตรียมความจริง)  (การเข้าใจความจริงบางประการ และการสามารถมองเห็นบางเรื่องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง)  แน่นอนว่าไม่ใช่บรรดาสิ่งที่เรียกว่าพระคุณและพร  สิ่งล้ำค่าที่สุดที่มนุษย์ได้รับจากพระเจ้านั้นคือชีวิต พระวจนะ และความจริงของพระองค์ ตลอดจนเส้นทางที่มนุษย์พึงเดินในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจได้มิใช่หรือ?  โดยสรุปแล้ว ผู้คนได้รับความจริง หนทาง และชีวิตจากพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งล้ำค่าที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดหรอกหรือ?  (สิ่งเหล่านี้ล้ำค่าที่สุด)  พวกเจ้าได้รับสิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง?  (พวกเรายังไม่ได้ได้รับสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง)  การนี้อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นประโยชน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือเป็นจริงเท่ากับการที่ใครบางคนให้เงินเจ้าหนึ่งร้อยดอลลาร์ในยามที่เจ้ายากจน หรือมีใครบางคนให้ขนมปังแก่เจ้าสองก้อนในยามที่เจ้าหิวโหย แต่ความจริง หนทาง และชีวิตที่มาจากพระเจ้านั้นถูกมอบให้อย่างแท้จริงแก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจ  นั่นคือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นคือข้อเท็จจริง  ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินพระวจนะของพระเจ้ามามากเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับและเข้าใจความจริงได้มากเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงมามากเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้าจะได้รับผลลัพธ์มามากเพียงใด ก็มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ นั่นก็คือพระเจ้าทรงประทานความจริง หนทาง และชีวิตให้แต่ละคนและทุกๆ คนอย่างเสรี และการนี้เป็นสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน  พระเจ้าไม่มีวันจะทรงเลือกปฏิบัติดีต่อคนคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่งเพราะว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหรือพวกเขาทนทุกข์มามาก และพระองค์จะไม่มีวันทรงโปรดปรานหรืออวยพรคนคนหนึ่งเพราะว่าพวกเขาเชื่อในพระองค์มาเป็นเวลานานหรือเพราะว่าพวกเขาทนทุกข์มามาก  และพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติต่อใครแตกต่างกันไปเพราะอายุ รูปลักษณ์ เพศ ภูมิหลังของครอบครัวของพวกเขา และเหตุผลอื่นๆ  ทุกคนได้รับสิ่งเดียวกันจากพระเจ้า  พระองค์ไม่ทรงเปิดโอกาสให้ใครได้รับน้อยกว่า หรือให้ใครได้รับมากกว่า  พระเจ้าทรงยุติธรรมและมีเหตุผลกับแต่ละคนและทุกๆ คน  พระองค์ประทานสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมีจริงๆ ให้พวกเขา ในยามที่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับสิ่งนั้น โดยไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาหิวโหย หนาวเหน็บ หรือกระหายน้ำ และพระองค์ก็ทรงตอบสนองความจำเป็นทั้งปวงในหัวใจของมนุษย์  เมื่อพระเจ้าทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งใดต่อผู้คน?  พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้ให้ผู้คน แล้วพระเจ้าทรงมีเหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัวหรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าไม่ทรงมีเหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัวเลย  พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ และมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะแก้ไขความยากลำบากและความลำบากยากเย็นทั้งปวงของผู้คน เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับชีวิตที่แท้จริงจากพระองค์  นี่คือข้อเท็จจริง  แต่พวกเจ้าสามารถพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยข้อเท็จจริงได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยข้อเท็จจริง เช่นนั้นแล้วการพูดเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเจ้าเป็นคนเทียมเท็จอย่างมากและถ้อยแถลงนี้ก็เป็นเพียงคำพูดซ้ำซากเท่านั้น  เราสามารถพูดอย่างนั้นได้หรือไม่?  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พูดจาอย่างซื่อสัตย์ ทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ และไม่หลอกลวง  นัยสำคัญของการที่พระเจ้าตรัสเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้คนสามารถมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริงได้ และไม่ต้องเป็นเหมือนอย่างซาตาน ซึ่งกล่าววาจาเหมือนงูที่เลื้อยไปตามพื้นดิน พูดจาคลุมเครือเป็นนิตย์ และหยุดยั้งผู้อื่นไม่ให้จับความเข้าใจความจริงของเรื่องนี้  นั่นก็คือ พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพื่อที่ผู้คนจะได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ทั้งในคำพูดและความประพฤติ และเป็นคนที่สง่างาม เที่ยงธรรม และเป็นคนดี โดยไม่เก็บงำด้านมืดหรือสิ่งน่าละอายใดๆ ไว้ และมีหัวใจที่ไร้มลทิน  พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพื่อที่ผู้คนจะได้มีภายนอกเหมือนกับที่พวกเขาเป็นอยู่ภายใน โดยกล่าวสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดอยู่ภายในหัวใจของตน ไม่โกงพระเจ้าหรือผู้อื่น ไม่เก็บสิ่งใดไว้ข้างหลัง ด้วยหัวใจที่เหมือนดังดินแดนอันบริสุทธิ์  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ และเป็นวัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการที่ทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ในการที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์ พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาได้รับสิ่งใด?  พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนประเภทใด?  ใครคือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการนี้?  (มนุษย์)  บางคนไม่มีวันจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และพวกเขาก็สงสัยพระเจ้าอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเราซื่อสัตย์ และพูดจากับพระองค์อย่างเรียบง่ายและเปิดเผย เพื่อที่พระองค์จะสามารถค้นพบสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเราได้ แล้วจากนั้นจึงควบคุมและบงการพวกเรา ทำให้พวกเรานบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์โดยสมบูรณ์”  ความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  ความคิดนี้ช่างมืดมนและไร้ยางอายเหลือเกิน และมีเพียงหมู่มารเท่านั้นที่จะคาดเดาเกี่ยวกับพระเจ้าและสงสัยพระองค์ในหนทางนี้  การที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่ปราศจากเหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัว เจตนา และความเอาแต่ใจตนเอง หรือสิ่งเจือปน และไม่มีด้านมืดนั้น อะไรคือนัยสำคัญ?  การนี้เป็นไปเพื่ออำนวยให้ผู้คนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ทีละเล็กละน้อย ใช้ชีวิตในความสว่าง ใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีเสรีภาพมากขึ้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และเปี่ยมล้นด้วยความชื่นบานยินดีและสันติสุข—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพรมากที่สุดยิ่งกว่าใคร  วัตถุประสงค์ของพระเจ้าคือการทำให้ผู้คนเพียบพร้อม และเปิดโอกาสให้พวกเขามีความสุขกับพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพรทั้งหมด  หากเจ้ากลายเป็นคนประเภทนี้ พระเจ้าสามารถทรงได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากเจ้า?  พระเจ้าทรงมีเหตุจูงใจแอบแฝงหรือไม่?  พระองค์ทรงได้ผลประโยชน์ใดๆ จากการนี้หรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้นหากคนคนหนึ่งเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ใครคือผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด?  (คนนั้นเอง)  คนคนหนึ่งสามารถได้รับประโยชน์และผลดีอะไรบ้างจากการนี้?  (หัวใจของพวกเขาจะเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และชีวิตของพวกเขาจะกลายเป็นชีวิตที่ง่ายขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และพวกเขาจะมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับคนอื่น)  มีอะไรอีกบ้าง?  (เมื่อผู้คนประพฤติปฏิบัติตนเองให้สอดคล้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเขาจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย มีสันติสุข และมีความสุข)  ความรู้สึกนี้จริงแท้ทีเดียว  ดังนั้น วัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดคืออะไร?  (เพื่อเปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ เพื่อให้พระองค์ทรงได้รับพวกเขาในท้ายที่สุด)  ผลที่ตามมาจากการได้รับโดยพระเจ้าคืออะไร?  นั่นคือการได้รับบั้นปลายที่น่าอัศจรรย์ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้  แล้วผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุดคือใคร?  (มนุษย์)  มนุษย์คือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด!

ผู้คนได้รับอะไรจากการติดตามพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้?  คนส่วนใหญ่จะกล่าวว่าพวกเขาเก็บเกี่ยวผลได้มากมาย  สำหรับตอนนี้พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดีและผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นเก็บเกี่ยวผลได้มากเพียงใด แม้กระทั่งบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถธรรมดาก็เก็บเกี่ยวผลได้มากมาย  ก่อนอื่น ผู้คนมีวิจารณญาณเกี่ยวกับโลกที่ชั่วและเสื่อมทรามนี้บ้างหรือไม่?  (มี)  เมื่อเจ้าปะปนอยู่กับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อ เจ้าเคยรู้สึกอย่างไร?  แต่ละวัน เจ้ารู้สึกเหนื่อยล้า ขัดเคือง โมโห เศร้าโศก และอัดอั้นตันใจ เจ้าไม่กล้าระบายออกมาเพราะกลัวว่าเจ้าจะบังเอิญไปเจอคนชั่วที่คอยกลั่นแกล้งเจ้า และเจ้าจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นเจ้าจึงต้องกล้ำกลืนความภาคภูมิใจของตนลงไป  นั่นคือการบอกว่า การใช้ชีวิตในโลกที่ไม่มีความเชื่อ ในโลกที่ชั่วนี้ บรรดาผู้ที่เจ้าพบปะนั้นคือหมู่มาร พวกมันกระทำทารุณต่อกัน ดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงปวดร้าวมาก  นี่คือความรู้สึกที่เห็นได้ชัดที่สุด  แล้วหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ความรู้สึกที่เห็นได้ชัดนี้กลายเป็นอย่างไร?  เศษเสี้ยวแห่งมโนธรรมและการรับรู้ทางศีลธรรมนี้ของเจ้ากลายเป็นเช่นไร?  สิ่งนี้ได้กลายเป็นวิจารณญาณที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับยุคสมัยอันเลวร้ายนี้  โดยการทนทุกข์จากการถูกข่มเหงมากมาย เจ้าสามารถมองเห็นโฉมหน้าที่น่าขยะแขยงของกษัตริย์มาร ตลอดจนความมืดมนและความเลวร้ายของยุคสมัยนี้  นี่คือการเก็บเกี่ยวผลมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง เจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลเช่นนั้นได้หรือไม่?  เมื่อก่อนเจ้าเพียงรู้สึกว่า “ผู้คนกำลังแย่ลงเรื่อยๆ ได้อย่างไร?  นึกไม่ถึงเลย”  เดี๋ยวนี้เจ้าจะยังคงกล่าวเช่นนั้นหรือไม่?  ตอนนี้เจ้ามีความรู้และวิจารณญาณบ้างแล้วเกี่ยวกับคนชั่ว และหมู่มารทางโลกที่เลวร้าย  เจ้าจะเต็มใจที่จะพบปะและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าคงจะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน  หากเจ้าถูกขอให้คบค้าสมาคมและคลุกคลีกับพวกเขา เจ้าคงจะอ้าปากค้างแทน พลางกล่าวว่า “ฉันกลัว  ฉันไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้  คนเหล่านั้นล้วนมีธรรมชาติของซาตาน พวกเขาชั่วเหลือเกิน!”  สิ่งใดทำให้เจ้าเปลี่ยนไปมากนัก?  นี่เป็นผลของพระวจนะของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่เป็นเพราะว่าการกล่าวถึงวิธีหยั่งรู้คนชั่ว ยุคสมัยที่เลวร้าย และกระแสนิยมที่เลวร้ายอยู่เสมอนั้นเปิดโอกาสให้เจ้าเรียนรู้ยุคสมัยนี้และมวลมนุษย์มิใช่หรือ?  เจ้ามีความรู้นี้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะคลุกคลีกับผู้คนเหล่านั้น พวกเขาขยะแขยงสำนึกทางศีลธรรมและมโนธรรมภายในตัวเจ้า และเจ้าก็เริ่มมีวิจารณญาณ  เจ้ามองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งทีละเล็กละน้อย เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาคือหมู่มารจากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้า  การอยู่ร่วมกับพวกเขาทำให้หัวใจของเจ้าเจ็บปวดและทำให้เจ้าปั่นป่วนมากจนกระทั่งเจ้าไม่มีหนทางที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของเจ้าก็คือการแยกตัวเจ้าเองออกจากพวกเขาในทันที  เมื่อบางคนเข้าสู่คริสตจักรเป็นครั้งแรกและพบปะกับพี่น้องชายหญิง พวกเขารู้สึกว่า “คนเหล่านี้แตกต่างไปอย่างไร?  พวกเขาล้วนสามารถกล่าวความคิดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดออกมาได้อย่างเรียบง่ายและเปิดเผย ราวกับสมาชิกในครอบครัว  พวกเขาจะไม่ปกป้องตนเองจากคนอื่นเลยได้อย่างไร?  พวกเขาโง่เขลา หรืออะไรกันแน่?  ฉันเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง  ฉันปกป้องตนเองจากทุกคน และฉันไม่กล่าวความคิดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของฉันให้ใครฟัง”  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เข้าใจความจริงเล็กน้อย พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาไม่เริ่มเสาะแสวงที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่กลับอำพรางตนเองอยู่เป็นนิตย์ โกหก และหลอกลวงอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ใช่มารและซาตานหรอกหรือ?  พวกเขาคงจะถูกกำจัดอย่างแน่นอน  “ฉันต้องยอมรับความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์”  จากนั้นพวกเขาก็พยายามเปิดหัวใจของตนกับพี่น้องชายหญิงและกล่าวความคิดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของพวกเขา  เมื่อพวกเขาพูดโกหกเป็นครั้งคราว พวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาก็ละทิ้งการโกหก และปฏิบัติการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  พวกเขาปฏิบัติในหนทางนี้เสมอ แล้วจากนั้นวันหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าการใช้ชีวิตในหนทางนี้ดีจริงๆ นอกจากพวกเขาจะไม่เหนื่อยล้าแล้ว พวกเขายังไม่อัดอั้นตันใจ และพวกเขาก็ไม่มีความเจ็บปวดด้วย  หัวใจของพวกเขาเป็นอิสระและมีเสรีภาพ และพวกเขามีความรู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดีโดยแท้จริง  หลังจากจุดนี้ไป พวกเขาก็สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความคิดและแนวคิดทั้งหมดของตนกับพี่น้องชายหญิงได้อย่างเปิดเผย  “มีเพียงพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่มีสภาพแวดล้อมของความจริง มีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจ และมีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่เป็นดินแดนบริสุทธิ์  มีเพียงในพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่ผู้คนสามารถมีสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้นขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ต่อไป!”  หากเจ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่จากพระเจ้าไป เพราะเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้าคือความรัก และเจ้ามีความสุขกับความรักของพระองค์  ผู้ไม่มีความเชื่อไม่อาจทำความเข้าใจได้เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ในหนทางนี้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าผู้คนเหล่านี้กำลังทำอะไร เหตุใดพวกเขาจึงมีความเชื่อในพระเจ้ามากอย่างนั้น หรือเหตุใดพวกเขาจึงจะยังดึงดันที่จะชุมนุมกันในสภาพการณ์ที่ลำบากยากเย็นเพียงนั้น—แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาถูกเอาตัวออกไปและถูกขับไล่ พวกเขาก็ไม่จากพระเจ้าไป พวกเขายังคงดึงดันที่จะลงแรงของตนในการประกาศข่าวประเสริฐเพื่อตระเตรียมทำความประพฤติดี  ท่ามกลางพวกเขามีบางคนที่อาจจะไม่อาจหาญที่จะจากพระเจ้าไปเพราะความกลัว พวกเขากลัวว่าการจากไปจะทำให้พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขา  เราบอกความจริงกับเจ้าว่า เจ้าสามารถจากไปได้อย่างเรียบง่ายโดยที่เจ้ารู้สึกสบายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษเจ้า  พระเจ้าประทานอิสรภาพให้ผู้คน และประตูสู่พระนิเวศของพระเจ้าก็เปิดอยู่ชั่วนิรันดร์ ใครก็ตามที่ต้องการจากไปนั้นสามารถทำได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ โดยไม่มีข้อจำกัด  แต่หากใครบางคนต้องการกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ได้จากไป นั่นไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายนัก เพราะนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการทรยศพระเจ้า  พวกเขาต้องผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวด โดยต้องถูกสอบสวนว่าพวกเขากลับใจอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ พวกเขาเป็นคนดีหรือไม่  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถได้รับการยอมรับกลับเข้าสู่คริสตจักร  แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ต้องการละทิ้งพระเจ้าและกลับไปสู่ทางโลกนั้น พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยมีข้อจำกัดใดๆ  คริสตจักรมีกฎการปกครองใดที่กล่าวว่ามีคนบางคนไม่ได้รับอนุญาตให้จากไปหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่เคยมีเลย  พระนิเวศของพระเจ้าอนุญาตให้ใครก็ตามออกไปจากคริสตจักรได้ หากคนชั่วออกไปจากคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจะไปส่งพวกเขาด้วยความยินดีด้วยซ้ำ  แต่ก็มีบางคนที่ต้องการแสดงเจตนาดีของตนต่อผู้คนที่ต้องการจากไปอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “คุณจากไปไม่ได้ คุณยังคงมีพรสวรรค์ และขีดความสามารถอยู่บ้าง  คุณยังคงมีอนาคตในคริสตจักร และคุณสามารถได้รับพรอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต”  มีผู้คนซึ่งมีเจตนาดีบางคนที่พยายามโน้มน้าวคนอื่นในหนทางนี้ โดยคิดว่านี่คือความรัก  การขอให้ผู้คนอยู่ต่อเช่นนี้มีประโยชน์บ้างหรือไม่?  เจ้าสามารถทำให้ผู้คนอยู่ต่อได้ แต่เจ้าไม่สามารถทำให้หัวใจของพวกเขาอยู่ต่อได้  บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงไม่สามารถตั้งมั่นได้ในพระนิเวศของพระเจ้า ต่อให้เจ้าบังคับให้พวกเขาอยู่ต่อ พวกเขาก็ไม่ได้เป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วพวกเขาจะสามารถได้รับพรใดเล่า?  หากพวกเขาเป็นคนลงแรงที่จงรักภักดี เช่นนั้นแล้วพรของการมีชีวิตรอดได้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่รักความจริง การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่าย แล้วพวกเขาจะเต็มใจลงแรงหรือไม่?  ดังนั้น แบบแผนของการโน้มน้าวบนพื้นฐานของเจตนาที่ดีเช่นนี้มีผลลัพธ์อยู่บ้างสำหรับคนดี แต่เขลาไปหน่อยเมื่อนำไปใช้กับคนชั่ว  มีหลักธรรมสำหรับการเตือนสติผู้อื่นอยู่  การเตือนสติบรรดาผู้ที่สามารถกลับใจได้นั้นให้ผลลัพธ์อยู่บ้าง ในขณะที่การเตือนสติคนชั่วนั้นไร้ประโยชน์  ยิ่งเจ้าพยายามโน้มน้าวพวกเขามากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งขยะแขยงเจ้ามากเท่านั้น และความอับอายของพวกเขาก็กลายเป็นความโมโห  เรื่องนี้แสดงถึงความเขลา—การเตือนสติคนชั่วเป็นเรื่องเขลาเบาปัญญา  มีบางคนที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานมาก แต่ก็รู้สึกในส่วนลึกในหัวใจของตนว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นได้ให้ความรู้ที่เรียบง่ายและรับรู้ได้เกี่ยวกับความจริงหลายประการ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้รับความจริงอย่างครบถ้วน พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว และได้รับจากพระเจ้ามามากมายแล้วอย่างแท้จริง  แม้ว่าเมื่อเจ้าถูกขอให้พูดเกี่ยวกับความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และคำพยาน เจ้าก็ยังคงไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าเพียงรู้สึกว่าตนกำลังก้าวไปข้างหน้าในทิศทางที่ดีและเป็นบวก และเจ้าไม่ได้กำลังถอยหลังไปในทิศทางที่ไม่ดีหรือเป็นลบ—และเจ้าบอกตนเองอยู่เสมอว่า “ฉันจำเป็นต้องเป็นคนดี ฉันจำเป็นต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ฉันไม่สามารถเป็นคนหลอกลวงได้โดยเด็ดขาด นับประสาอะไรกับการเป็นสาวกของความเลวร้ายที่โอหัง ซึ่งพระเจ้าทรงรังเกียจ  ฉันจำเป็นต้องเป็นใครบางคนที่ทำให้พระเจ้าทรงยินดี”  ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงตักเตือนและยับยั้งตนเองอยู่บ่อยๆ และหลังจากผ่านไปสองสามปี ในที่สุดเจ้าก็คิดว่าตนสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ได้เล็กน้อยแล้ว  เมื่อพูดจากความรู้สึกและประสบการณ์ที่แท้จริงที่สุดของผู้คน มนุษย์ก็คือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากพระราชกิจของพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  จากการเชื่อในพระเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน พวกเจ้าพลาดอะไรไปบ้าง?  เราจะตีแผ่เรื่องนี้ให้เจ้า  เจ้าพลาดการตามใจตนเอง ซึ่งเป็นการทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการ พลาดการใช้ชีวิตอย่างไร้หัวใจ พลาดโอกาสที่จะไปเต้นรำ ร้องเพลง และร่วมงานสังสรรค์ที่ไนต์คลับและบาร์ และเจ้าก็พลาดโอกาสที่จะกินและดื่มจนตนเองโง่เขลาในกระแสคลื่นแห่งความเลวร้าย  เจ้าไม่เคยมีวันเหล่านี้  แต่ที่มากกว่านั้น เจ้าได้รับสิ่งใด?  ผู้คนรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าการเชื่อในพระเจ้าทำให้พวกเขามีความสุขและไร้ความกังวลทีเดียว  การดำรงชีวิตในหนทางนี้ตลอดชีวิตคงจะดีทีเดียว  ส่วนใหญ่สิ่งที่เจ้าได้รับคือความสุข ความชื่นบานยินดี และสันติสุข  สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่แท้จริงมิใช่หรือ?  (สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ที่แท้จริง)  บางคนอาจกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะเหน็ดเหนื่อยนิดหน่อยจากการทำหน้าที่ของฉันในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้กระนั้นฉันก็รู้สึกสบายใจ”  ความสบายใจและสันติสุขนี้ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับสถานะ ชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือวุฒิทางการศึกษาได้

สำหรับผู้เชื่อในพระเจ้า การได้รับความจริงคือการได้รับชีวิต และการได้รับชีวิตก็คือการได้รับประโยชน์ที่แท้จริง  ในเวลาเดียวกันกับที่มนุษย์ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง พระเจ้าทรงได้รับอะไรจากเขาบ้าง?  พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดใดสำหรับมนุษย์?  พระเจ้าทรงต้องการที่จะได้รับสิ่งใดจากมนุษย์?  พระเจ้าทรงมีส่วนร่วมในธุรกรรมใดหรือไม่?  (ไม่)  ในพระดำรัสและการกระทำของพระเจ้า พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่า “เราได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องมอบเงินให้เราเท่านี้”?  พระเจ้าเคยทรงขอเงินจากพวกเจ้าสักสตางค์หรือไม่?  (ไม่เคย)  บางคนที่เคลือบแคลงใจไม่เคยเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานความจริงมากมายเหลือเกินที่สามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ให้แก่มวลมนุษย์อย่างเสรีและไม่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เชื่อในข้อเท็จจริงนี้  พวกเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดบนโลกเป็นธุรกรรม ไม่มีสิ่งที่เป็นของฟรี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าพระวจนะและกิจการทั้งปวงของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ทรงประทานให้มวลมนุษย์โดยเสรี และปราศจากราคาใดๆ  พวกเขาคิดว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นไปในหนทางนี้ นี่คงเป็นกับดักอย่างแน่นอน  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะสงสัยพระเจ้าในหนทางนี้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยใครให้รอดและทรงทำให้ใครเพียบพร้อม นับประสาอะไรกับการไม่รู้ว่าทรงประทานความจริงให้ใคร  แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปอย่างเสรีโดยแท้จริง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงกำหนดให้ผู้คนทำสิ่งใด ตราบใดที่พวกเขาทำสิ่งนั้น พระองค์ก็พอพระทัย และผู้คนก็สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระองค์  ตราบใดที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง และสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ นี่คือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงคาดหวัง และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจากผู้คนขณะที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้าทรงต้องการสิ่งเล็กน้อยนี้ แต่ผู้คนสามารถมอบสิ่งนี้ให้พระองค์ได้หรือไม่?  มีกี่คนที่สามารถปฏิบัติต่อข้อกำหนดนี้ของพระเจ้าในฐานะสิ่งล้ำค่าที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวงเพื่อการตอบแทนพระองค์?  ใครสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้บ้าง?  ไม่มีใครเข้าใจได้ และผู้คนก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับสิ่งล้ำค่าที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง  เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาได้รับสิ่งล้ำค่าที่สุดในบรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง?  พระเจ้าได้ประทานพระชนม์ชีพของพระองค์ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมีให้มนุษย์ เพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตตาม เพื่อให้เขาสามารถรับเอาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและทรงมี และความจริงที่พระองค์ประทานให้มนุษย์ แล้วเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นทิศทางและเป้าหมายชีวิตของเขา เพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ และทำให้พระวจนะของพระองค์กลายเป็นชีวิตของเขา  ในหนทางนี้ ไม่สามารถกล่าวได้หรอกหรือว่าพระเจ้าได้ประทานพระชนม์ชีพของพระองค์แก่มนุษย์โดยปราศจากสิ่งตอบแทนเพื่อที่พระชนม์ชีพของพระองค์จะกลายเป็นชีวิตของเขาได้?  (สามารถกล่าวได้)  ดังนั้นผู้คนได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า?  ความคาดหวังของพระองค์หรือ?  สัญญาของพระองค์หรือ?  หรือสิ่งใดกัน?  สิ่งที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้าไม่ใช่คำพูดที่กลวงเปล่า สิ่งนี้คือพระชนม์ชีพของพระเจ้า!  ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าประทานชีวิตให้ผู้คน ข้อกำหนดเดียวที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็คือให้พวกเขาทำให้พระชนม์ชีพของพระองค์เป็นชีวิตของตน และใช้ชีวิตแบบพระชนม์ชีพของพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นเจ้าใช้ชีวิตตามนี้ พระองค์จึงสมพระทัย นี่คือข้อกำหนดเดียวของพระองค์  ดังนั้น สิ่งที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ แต่ในขณะเดียวกันกับที่พระองค์ประทานสิ่งที่ประเมินค่ามิได้นี้ให้พวกเขา พระองค์กลับไม่ทรงได้รับอะไรเลย  ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือมนุษย์ มนุษย์เก็บเกี่ยวผลผลิตมากที่สุด และมนุษย์ก็คือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด  ในเวลาเดียวกันกับที่ผู้คนยอมรับพระวจนะของพระเจ้าในฐานะชีวิตของตน พวกเขาก็เข้าใจความจริงและมีหลักธรรมและรากฐานในการประพฤติปฏิบัติตน ดังนั้นพวกเขาจึงมีทิศทางสำหรับเส้นทางชีวิตของตน  พวกเขาไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดหรือผูกมัดอีกต่อไป พวกเขาไม่ถูกคนชั่วชักพาให้หลงผิดหรือใช้งานอีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่ถูกกระแสนิยมที่ชั่วทำให้มีมลทินหรือชักพาอีกต่อไป  พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระและมีเสรีภาพระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่มีวันถูกกระทำทารุณโดยกองกำลังแห่งความมืดหรือความชั่วร้ายใดๆ อีกต่อไป  นั่นเป็นการบอกว่า ขณะที่คนคนหนึ่งใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเขาไม่ทนทุกข์กับความเจ็บปวดอีกต่อไป และพวกเขาไม่มีความลำบากยากเย็นเลย พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเสรีภาพและสบายใจ  พวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า พวกเขาไม่กบฏต่อพระองค์ และไม่ต้านทานพระองค์  เมื่อดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์อย่างแท้จริงทั้งภายในและภายนอก พวกเขาก็ใช้ชีวิตในหนทางที่ชอบด้วยเหตุผลอย่างครบบริบูรณ์ พวกเขามีความจริงและความเป็นมนุษย์ และกลายเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การใช้ชื่อว่ามวลมนุษย์  เมื่อเปรียบเทียบการได้รับประโยชน์มากมายเช่นนี้กับสิ่งที่มนุษย์จินตนาการว่าเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์หรือพรที่มนุษย์ปรารถนาจะได้รับ—สิ่งไหนดีกว่า?  ผู้คนจำเป็นต้องมีสิ่งไหนมากที่สุด?  สิ่งไหนสามารถทำให้ผู้คนนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้ ทำให้พวกเขาดำรงชีวิตไปชั่วนิรันดร์ได้ โดยไม่ถูกพระเจ้าทรงทำลายหรือลงโทษ?  ความอยากได้รับพรของเจ้านั้นเป็นเรื่องสำคัญหรือว่าการใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าอย่างแท้จริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญกันแน่?  สิ่งใดสามารถช่วยให้เจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้มากกว่า โดยไม่ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจ ละทิ้ง หรือลงโทษเจ้า?  สิ่งใดสามารถรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้?  โดยการยอมรับความจริงที่มาจากพระเจ้าเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถได้รับชีวิตชั่วกาลนี้  เมื่อเจ้ามีชีวิตเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเจ้าก็ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลา—นี่คือชีวิตนิรันดร์  ความหมายโดยนัยก็คือ หากใครบางคนไม่ได้รับชีวิตที่มาจากพระเจ้า พวกเขาย่อมต้องตาย เพราะชีวิตของมนุษย์ถูกจำกัดด้วยเวลา  ชีวิตที่ถูกจำกัดด้วยเวลายังคงเป็นชีวิตนิรันดร์หรือไม่?  ไม่ใช่  ความอยากได้รับพรของเจ้าสามารถทดแทนการได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าหรือไม่?  ความอยากได้รับพรของใครบางคนสามารถคุ้มครองให้พวกเขาไม่ตายได้หรือไม่?  ไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน

พระเจ้าเสด็จมาเพื่อแสดงความจริงมากมายนัก  ผู้คนได้รับชีวิตจากพระเจ้าและพวกเขาก็ได้รับชีวิตชั่วกาลซึ่งมาจากพระองค์ นั่นคือชีวิตที่เป็นนิรันดร์  พระเจ้าทรงเปลี่ยนไปหรือไม่?  (ไม่)  กล่าวตามทฤษฎีได้ว่า ในที่สุดโครงการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ทำให้ผู้คนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะใช้ชีวิตไปชั่วนิรันดร์โดยไม่ตาย  ในระดับนี้ พระเจ้าทรงลุล่วงพระประสงค์ของพระองค์แล้ว ทรงลุล่วงแผนการบริหารจัดการระยะเวลาหกพันปีของพระองค์แล้ว—นั่นคือพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงแล้ว และดูราวกับว่าพระเจ้าทรงได้รับประโยชน์อยู่บ้างจากพระราชกิจนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครคือผู้ที่จะมีชีวิตไปชั่วนิรันดร์?  ใครคือผู้ที่ได้รับพรมากที่สุด?  (มนุษย์)  มวลมนุษย์นั่นเอง  หากพระเจ้าไม่ทรงได้รับผู้คนเหล่านี้ สถานะของพระองค์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  (ไม่)  สถานะของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง และสิ่งอื่นใดก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน  ในทางตรงกันข้าม ชะตากรรมของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่แตกต่างไปเพียงเล็กน้อย แต่เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก!  อย่างหนึ่งคือการตายชั่วนิรันดร์ อีกอย่างคือการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์  ผู้คนควรเลือกอย่างไหน?  (การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์)  พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะเห็นสิ่งใด?  ความคาดหวังสูงสุดที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์คืออะไร?  เหตุใดพระองค์จึงทรงจ่ายราคาสูงเช่นนี้?  พระเจ้าทรงประทานชีวิตของพระองค์ให้มนุษย์อย่างเสรี โดยปราศจากข้อกำหนดหรือธุรกรรมใดๆ และไม่มีข้อกำหนดใดเพิ่มเติม  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงกำหนดให้ผู้คนทำก็คือการยอมรับพระวจนะของพระองค์เข้าสู่หัวใจของพวกเขาและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ตามข้อกำหนดของพระองค์ และเมื่อนั้นพระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์ผล และพระประสงค์ของพระองค์ก็จะได้รับการตอบสนอง  แต่มนุษย์นั้นมีจิตใจคับแคบ พวกเขาคิดว่าในการตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้และการให้ผู้คนกินและดื่มและเข้าสู่พระวจนะเหล่านี้ ในการทำให้ผู้คนละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนเอง ขัดขืนตนเอง ละวางตนเอง และนมัสการพระองค์อยู่เนืองนิตย์นั้น พระเจ้าอาจจะทรงได้รับผลประโยชน์มากมายทีเดียว  ตามข้อเท็จจริงแล้วเรื่องเป็นเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่ใช่ พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง  พระองค์ประทานความจริงให้มนุษย์อย่างเสรี โดยไม่มีข้อร้องขอ และไม่กำหนดให้ผู้คนตอบแทนพระองค์)  เมื่อมองดูเรื่องราวเหล่านี้แล้ว วลีที่ว่า “พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง” นั้นจริงหรือไม่?  (จริง)  พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่พระองค์เอง  ไม่มีความเห็นแก่พระองค์เองในสิ่งใดๆ ที่พระเจ้าทรงทำ  พระเจ้าเคยทรงทำสิ่งใดเพื่อพระองค์เองเท่านั้นและไม่ใช่เพื่อมนุษย์บ้างหรือไม่?  พระองค์ไม่เคยทรงทำเช่นนั้นเลย  จนถึงปัจจุบัน พระเจ้าไม่เคยทรงทำสิ่งใดในทำนองนั้นเลย ซึ่งผู้คนสามารถรู้ได้ผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา  ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงอำนวยให้ผู้คนได้เข้าใจความจริงและได้รับชีวิตที่มาจากพระองค์ พระองค์ก็ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์ ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมากมายมหาศาลอีกด้วย และทรงจัดเตรียมโอกาสที่พอเหมาะพอควรให้ผู้คนในการทำหน้าที่ของตน เพื่อให้พวกเขาอาจได้มีสภาพการณ์และภาวะที่พอเหมาะพอควรในการมีประสบการณ์และรู้ซึ้งถึงความสัตย์จริงของพระวจนะของพระองค์ และความจริงที่มีอยู่ในพระวจนะเหล่านั้นอย่างเพียงพอ  พระองค์ทรงใช้วิธีการนานาสารพัด อย่างเช่น การตัดแต่ง การบ่มวินัย บททดสอบ การถลุง การกระตุ้นเตือน และการเตือนสติ ตลอดจนชีวิตคริสตจักรและการสามัคคีธรรม การเกื้อหนุน และการช่วยเหลือกันจากพี่น้องชายหญิง เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่เข้าใจพระทัยของพระองค์ผิด และนำพาผู้คนให้ก้าวไปสู่หนทางที่ถูกต้อง  ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้ พระองค์ทรงมีข้อกำหนดเพิ่มเติมใดๆ สำหรับผู้คน ที่เป็นการกำหนดให้พวกเขาทำสิ่งพิเศษให้พระองค์บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  โดยสรุปแล้ว ในเวลาที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ก็ทรงให้โอกาสและพื้นที่แก่พวกเขาอย่างเพียงพอ และทรงจัดเตรียมภาวะและสภาพการณ์นานัปการที่เป็นประโยชน์และสะดวกเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แต่ละคน  ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงชำระแต่ละคนให้บริสุทธิ์ด้วย และในท้ายที่สุด พระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่สามารถทำให้เพียบพร้อมได้กลายเป็นผู้ที่เพียบพร้อม พระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริงกลายเป็นผู้ที่เพียบพร้อม  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าทรงทำ ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะที่พระองค์ตรัสกับผู้คน พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ หรือราคาที่พระองค์ทรงจ่ายนั้น ก็เป็นสิ่งที่ทรงทำอย่างเสรี

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจมากี่ปี ผู้คนจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้มากเพียงใด พวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้มากเพียงใด หรือพวกเขาจะได้รับการจัดเตรียมชีวิตจากพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม ท่ามกลางมวลมนุษย์มีใครสามารถสนทนากับพระเจ้าได้อย่างแท้จริงบ้างหรือไม่?  ตอนนี้จงพักเรื่องการสนทนาไว้ก่อน—ข้อกำหนดนี้สูงเกินไปหน่อยสำหรับพวกเจ้าในขณะนี้—มีใครสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงบ้างหรือไม่?  พวกเราจงอย่าพูดถึงการทำให้พระองค์พอพระทัย—เจ้าสามารถเข้าใจพระทัยของพระองค์ได้หรือไม่?  ไม่มีใครสามารถทำได้  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน และมนุษย์อย่างพวกเราช่างตัวเล็กเหลือเกิน  พระเจ้าทรงอยู่ในสวรรค์ และพวกเราอยู่บนแผ่นดินโลก  หนึ่งในพระดำริของพระเจ้าก็เพียงพอที่จะให้พวกเราไตร่ตรองเป็นเวลาหลายปี—พวกเราจะสามารถเข้าใจพระองค์ได้อย่างไร?  การนี้ไม่ใช่เรื่องที่สัมฤทธิ์ง่าย และการสนทนากับพระองค์ก็ยิ่งไม่อาจสัมฤทธิ์ได้มากกว่า”  แล้วการสัมฤทธิ์การนี้เป็นเรื่องยากลำบากหรือไม่?  มีระดับของความยากลำบากหรือไม่?  ความยากลำบากนั้นมาจากที่ใด?  พระดำริของพระเจ้าอยู่ในพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ ในความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไว้ และในอุปนิสัยของพระองค์  หากใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่สามารถได้รับความจริงและชีวิตที่มาจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีวันทำความเข้าใจพระองค์ได้  หากใครบางคนไม่ทำความเข้าใจพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่มีวันมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อสนทนากับพระองค์ได้ และพวกเขาก็จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  คำว่าสนทนานี้เราหมายถึงอะไร?  นี่คือการตีแผ่หัวใจของคนเรา คือการพูดจากหัวใจ  พวกเจ้ารู้วิธีทำการนี้หรือไม่?  เจ้ารู้วิธีที่จะพูดจากหัวใจกับพ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อนสนิทของตน แต่เจ้าไม่เคยรู้วิธีที่จะพูดจากหัวใจกับพระเจ้า  ปัญหานี้มาจากที่ใด?  (การไม่ทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า)  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้?  (มนุษย์ไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า)  นี่คือสาเหตุหลักประการหนึ่ง  ผู้คนไม่ทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้พระทัยของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์กำลังทรงพระดำริสิ่งใด พระองค์ทรงรักอะไร พระองค์ทรงเกลียดอะไร เหตุใดพระองค์จึงทรงโศกเศร้า หรือเหตุใดพระองค์จึงทรงเศร้าสลด  เจ้าไม่สามารถซาบซึ้งกับสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริงหรือชีวิตจากภายในพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของเจ้ายังคงห่างไกลจากพระเจ้า  เมื่อหัวใจของคนเราห่างไกลจากพระเจ้า นั่นหมายความว่าอย่างไร?  ประการแรก นั่นหมายความว่าผู้คนไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของตน พวกเขายังคงต้องการเป็นเจ้านายของตนเอง  การดำเนินชีวิตไปเช่นนี้นำไปสู่การต้านทานและกบฏต่อพระเจ้าทุกสถานที่และทุกเวลา พวกเขาถึงกับละทิ้งพระเจ้า และไปจากพระองค์  บางคนเผชิญกับความวิบัติและภัยพิบัติและเข้าใจพระเจ้าผิด และพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ พวกเขากล่าวสิ่งทั้งหลายที่ตัดสินและไม่ยอมรับพระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้กำลังต้านทานและทรยศพระเจ้าแล้ว  นี่คือความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์นี้  สำหรับพระเจ้า หากผู้คนใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี?  (ไม่ดี)  เหตุใดการนี้จึงไม่ดี?  (นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ และไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงหวังว่าจะเห็น)  นี่คือแง่มุมหนึ่ง และพระเจ้าไม่ทรงหวังว่าจะเห็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นเช่นนี้  ดังนั้นพระเจ้าจะทรงรู้สึกอย่างไรในพระทัยของพระองค์?  (เสียพระทัยและทรงเจ็บปวด)  ประการแรกคือ พระองค์จะทรงเจ็บปวด  หากเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังกับใครบางคน และเจ้าหวังว่าพวกเขาจะตีแผ่หัวใจของตนกับเจ้า แต่พวกเขากลับห่างเหินจากเจ้าและเข้าใจเจ้าผิด คอยหลบซ่อนและหลีกเลี่ยงเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะคิดอย่างไร?  ต่อให้พวกเขาเปิดหัวใจของตนกับเจ้าและพูดคุยกับเจ้า และสิ่งที่พวกเขากล่าวก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการจะได้ยิน เจ้าจะคิดอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกโดดเดี่ยวมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนแรกเจ้าจะรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ราวกับว่าเจ้าไม่มีคนที่เจ้ารัก ไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีใครที่จะพูดด้วยจากหัวใจ ไม่มีใครให้เชื่อถือหรือพึ่งพา หัวใจของเจ้าจะโดดเดี่ยว  ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้ารู้สึกโดดเดี่ยว เจ้าจะคิดอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกเช่นไร?  หัวใจของเจ้าจะไม่เจ็บปวดหรอกหรือ?  (เจ็บปวด)  หัวใจของเจ้าจะเจ็บปวด  การแก้ไขความเจ็บปวดนี้ง่ายหรือไม่?  สิ่งจำพวกใดสามารถบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้?  เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?  การล้มเลิกความอยากนี้และแสร้งทำเป็นว่าเจ้าไม่อาจเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วในท้ายที่สุดเจ้าจะต้องทำอย่างไร?  ทางเลือกสุดท้ายควรเป็นเช่นไร?  สถานการณ์เช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?  พระเจ้าทรงทำได้สองสิ่ง  มนุษย์อาจมีวิธีการอื่นๆ แต่ทางเลือกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามย่อมแตกต่างจากแนวทางการกระทำของพระเจ้าอย่างแน่นอน  ทางเลือกของมนุษย์จะเป็นเช่นนี้ “หากคุณไม่กระทำตามเจตจำนงของฉัน ฉันจะไม่ใส่ใจคุณเลย  หากคนนี้จะไม่ทำ ฉันก็จะเลือกคนนั้น  หากคนแรกไม่ดี ฉันก็จะเลือกคนที่สอง”  พระเจ้าจะทรงกระทำในหนทางนี้หรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  พระเจ้าไม่ทรงล้มเลิกสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงต้องการทำ  แล้วพระเจ้าจะทรงทำอย่างไร?  นี่เป็นเรื่องที่ประกอบไปด้วยแก่นแท้ของความไม่เห็นแก่พระองค์เองของพระเจ้า  สิ่งหนึ่งก็คือ พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นทั้งหลายของมนุษย์อย่างเสรีต่อไป รวมถึงสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและวิญญาณของพวกเขา ตลอดจนสิ่งจำเป็นที่เป็นสภาพการณ์และสิ่งจำเป็นอื่นๆ นานัปการ  นอกจากนั้น พระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่สอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทำมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา  พวกเจ้าสามารถคิดออกได้หรือไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร?  (การรอคอย)  มีสิ่งใดอีก?  (พระเจ้าจะทรงรอคอยต่อไป และทรงนำพวกเขาต่อไป)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีประสบการณ์ตรง มีกรอบความคิดนี้อยู่บ้าง  นั่นถูกต้องแล้ว พระองค์จะทรงรอคอย  พระเจ้าจะไม่ทรงเลือกวิธีการรองลงมา ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนี การล้มเลิก หรือการบรรเทาความโศกเศร้าของพระองค์  ในเวลาเดียวกันกับที่พระองค์ประทานการจัดเตรียมชีวิตให้มวลมนุษย์อย่างเสรี พระองค์ก็ทรงรอคอยอย่างเสรีเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  พระองค์ทรงทำได้ดีเพียงใด?  หากใช้คำพูดของมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงเหนือความคาดหมายหรอกหรือ?  (พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำได้และทุกสิ่งที่พระองค์พึงทรงทำ)  พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้อย่างเสรี เพื่อให้ผู้คนสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์  พระองค์ไม่ทรงมีข้อกำหนดอื่นใด อย่างน้อยที่สุด อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ไม่ทรงมีข้อกำหนดที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับมนุษย์  ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าประทานทั้งหมดนี้ให้มนุษย์ พระองค์ก็ประทานสิ่งที่ล้ำค่าและมีค่าที่สุดของพระองค์ให้มนุษย์ทีละเล็กละน้อยอย่างเสรี ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงเห็นคุณค่าและหวงแหนเป็นที่สุด  ในขณะที่มนุษย์ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างนี้ พวกเขาก็ได้รับความสุข สันติสุข รากฐานสำหรับการอยู่รอดและการประพฤติปฏิบัติตน และประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ในบรรดาผู้คนเหล่านี้มีใครคิดถึงพระเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเขาเคยคิดถึงสิ่งที่พระองค์กำลังทรงทำและทรงพระดำริบ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยใช่หรือไม่?  ขณะที่ผู้คนได้รับทั้งหมดนี้ ในบรรดาพวกเขามีใครถามตนเองบ้างหรือไม่ว่า “พวกเราได้ถวายสิ่งใดให้พระเจ้าเพื่อตอบแทนสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเราแล้ว?  พระเจ้าทรงได้รับอะไรจากพวกเรา?  เมื่อพวกเราได้รับความชื่นบานยินดีและความสุข พระเจ้าทรงมีความสุขหรือไม่?”  ผู้คนอาจไม่ได้ถามหรือคิดถึงเรื่องนี้กัน  เมื่อผู้คนสามัคคีธรรมกับคนอื่นถึงพระวจนะของพระเจ้า และอิ่มเอิบไปด้วยความสุขและความรื่นเริง ในบรรดาพวกเขามีใครเคยคิดถึงพระเจ้าบ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่คิด พวกเขาไม่เคยคิด และพวกเขาไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร  ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของพวกเขา  ในเวลาเดียวกันกับที่ผู้คนได้รับทั้งหมดนี้จากพระเจ้า พวกเขาคิดว่า “ฉันโชคดีเหลือเกิน!  การได้รับทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันได้รับพรอย่างยิ่ง!  ไม่มีใครได้รับพรเท่าฉันเลย  เรื่องนี้ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ!”  ผู้คนเพียงกล่าวคำขอบคุณหนึ่งคำ พวกเขาแค่มีอารมณ์แห่งความรู้คุณประเภทหนึ่งเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะจริงใจเพียงใด หรือว่าหัวใจของพวกเขาจะมีความกระตือรือร้นเพียงใด หรือว่าพวกเขาคิดว่าตนจะสามารถแบกรับภาระได้ใหญ่หลวงเพียงใด และไม่ว่าพวกเขาจะคิดว่าตนเข้าใจความจริงมากเพียงใดแล้ว หรือว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้าได้ แม้กระทั่งในยามที่พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างมนุษย์ พระองค์ก็ยังทรงโดดเดี่ยว!  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพระองค์ทรงโดดเดี่ยว?  เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานอะไรให้มนุษย์ พระองค์จะทรงทำสิ่งใดกับพวกเขา พระองค์จะทรงปรากฏให้พวกเขาเห็นในรูปแบบใด หรือว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาในลักษณะใด พระเจ้าก็ทรงถูกพวกเขาทิ้งให้อ้างว้าง  เรื่องเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้ว ณ จุดใดสถานการณ์นี้จึงจะเปลี่ยนไป เพื่อให้พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องรอคอยอีกต่อไป และไม่ทรงรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป?  เพื่อการเปลี่ยนแปลงภาวะและสภาวะนี้ ผู้คนจำเป็นต้องทำสิ่งใดและวุฒิภาวะของพวกเขาจำเป็นต้องอยู่ในระดับใด?  การนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งใด?  (การนี้ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของผู้คน)  ที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็ยังคงขึ้นอยู่กับมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  ดังที่เรากล่าวไปแล้วว่า เมื่อมนุษย์สามารถพูดจากหัวใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และเมื่อหัวใจของเขาไม่เหินห่าง เมื่อเขาสามารถสนทนากับพระเจ้าและทำความเข้าใจพระทัยของพระองค์ได้ เมื่อเขารู้ว่าพระองค์กำลังทรงพระดำริอะไรและพระองค์ทรงต้องการทำสิ่งใด พระองค์ทรงชอบอะไรและทรงเกลียดอะไร เหตุใดพระองค์จึงทรงโศกเศร้าและเหตุใดพระองค์จึงทรงยินดี เมื่อนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงโดดเดี่ยว  หากผู้คนสามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะถูกพระเจ้าทรงรับไว้อย่างแท้จริง  นี่คือสัมพันธภาพที่แท้จริงซึ่งพระเจ้าทรงต้องการเห็นระหว่างพระองค์เองกับมนุษย์  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจนิดหน่อย)  พระทัยของพระเจ้านั้นรู้ซึ้งได้หรือไม่?  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง และคำนึงถึงและมีประสบการณ์กับพระวจนะแต่ละคำและความจริงแต่ละประการที่พระองค์ทรงแสดงไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะทำความเข้าใจและเข้าสู่พระทัยของพระเจ้าทีละเล็กละน้อย  ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้าทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้า เจ้าจะรู้วิธีสนองพระทัยของพระองค์  หากใครบางคนไม่สามารถทำความเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถทำให้พระองค์พอพระทัยได้อย่างไร?  นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้  เงื่อนไขเบื้องต้นในการทำให้พระเจ้าพอพระทัยคืออะไร?  (การทำความเข้าใจ)  ความเข้าใจและการทำความเข้าใจมาก่อน จากนั้นเจ้าจึงสามารถพูดถึงความพอพระทัยได้  เรื่องนี้ยากลำบากสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  (ด้วยการทุ่มเทพยายามและการคำนึงถึงอย่างขยันหมั่นเพียร การนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก)  ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ยากลำบาก  ผู้คนสามารถได้ยินพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและเห็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำได้ พวกเขาจึงยอมรับพระวจนะเหล่านี้ในหัวใจของตน และไม่มีใครปฏิเสธพระวจนะเหล่านี้  การนี้ขึ้นอยู่กับหัวใจของผู้คน ตราบเท่าที่พวกเขามีหัวใจสำหรับเรื่องนี้ การสัมฤทธิ์ก็เป็นเรื่องง่าย  หากเจ้าไร้ซึ่งหัวใจ เช่นนั้นแล้วย่อมเป็นความเดือดร้อน  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะได้รับการบอกกล่าวพระวจนะมามากเพียงใด—พระวจนะเหล่านั้นล้วนสูญเปล่า

เราเพิ่งสามัคคีธรรมเรื่องที่ว่ามนุษย์คือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า  นั่นคือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  พวกเจ้ามองเห็นข้อเท็จจริงนี้แล้วหรือยัง?  (พวกเรามองเห็นแล้ว)  บางคนได้ยินและเข้าใจแล้ว และตอนนี้กำลังไตร่ตรองว่า “ดังนั้นฉันก็สามารถได้รับประโยชน์จริงๆ  นี่ไม่ได้เป็นนิทานสำหรับเด็กเท่านั้น ฉันสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์จริงๆ!”  เจ้าสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร?  (การปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้า)  พวกเจ้าคิดว่าใครจำเป็นต้องมีความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงแสดงไว้มากที่สุด?  พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีความจริงเหล่านี้หรือไม่?  (พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องมี มนุษย์จำเป็นต้องมีความจริงเหล่านี้)  มนุษย์นั่นเองที่จำเป็นต้องมีความจริงเหล่านี้มากที่สุด พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องมีความจริงเหล่านี้  พระเจ้าประทานสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีมากที่สุดให้เขาแล้ว  เขาเป็นผู้ที่ได้รับพรมากที่สุดมิใช่หรือ?  (เขาได้รับพรมากที่สุด)  ตอนนี้หากเจ้าต้องเลือกระหว่างโลกทั้งใบกับชีวิตนิรันดร์ เจ้าจะเลือกอย่างไหน?  คนเขลาบางคนจะกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการชีวิตนิรันดร์ เนื่องจากฉันไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกถึงชีวิตนิรันดร์ได้  การไล่ตามเสาะหาชีวิตนิรันดร์ดูเหน็ดเหนื่อยมาก  ฉันต้องการเงินทอง คฤหาสน์ และรถยนต์คันหรู—สิ่งเหล่านั้นคือประโยชน์ที่จับต้องได้!”  ผู้คนเช่นนี้มีอยู่จริงหรือไม่?  เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีอยู่จริง มีคนโง่ทุกประเภทอยู่ข้างนอกนั่น  ไม่ว่าเราพูดอย่างไร พวกเขาก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจงปล่อยพวกเขาไปเถิด  พวกเขาไม่มีพรนี้  พวกเขาได้เลือกทางของตนเองแล้ว  ในท้ายที่สุดเจ้าจะได้รับสิ่งที่ตนเลือก เจ้าต้องรับผิดชอบการเลือกของตนเอง  เจ้าต้องจ่ายราคาสำหรับการเลือกของตนเอง ชีวิตหรือความตายนั้นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เจ้าเลือกแล้ว  หากเจ้าต้องการต้านทานพระเจ้าจนถึงปลายทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมอยู่บนถนนสู่ความตาย  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันจะใช้ชีวิตโดยการเดินตามเส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้ให้ฉันเห็น” เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ตลอดไป—เรื่องนี้จะเป็นจริง  พระวจนะของพระเจ้าจะถูกทำให้ลุล่วงทุกประการและกลายเป็นจริง ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้  บางคนกล่าวว่า “เพราะเหตุใดฉันจึงไม่รู้เรื่องนี้?”  หากเจ้าไม่รู้และเราบอกเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ?  คนอื่นๆ กล่าวว่า “ต่อให้ฉันได้ยินเรื่องนี้แล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นด้วยตาของฉันเอง ดังนั้นฉันก็ยังคงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง”  เช่นนั้นก็ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว  หากใครบางคนไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่เชื่อต่อให้พวกเขามองเห็นด้วยตาตนเองก็ตาม  บรรดาผู้ที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณย่อมไม่รู้ต่อให้พวกเขามองเห็น และพวกเขาก็ไม่เข้าใจ ต่อให้พวกเขาได้ยินก็ตาม  เฉพาะบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและเข้าใจความจริงเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นพระวจนะของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จและลุล่วงในแต่ละวัน  หากเจ้าเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งสำเร็จลุล่วง พระเจ้าเป็นผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระวจนะของพระองค์จะถูกทำให้ลุล่วงทุกประการ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้ามองเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จและลุล่วงในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีความเชื่อในพระองค์  มั่นใจได้ว่าสัญญาและพรที่พระเจ้าทรงมีให้เจ้าจะเหนือกว่าสิ่งทั้งปวงที่เจ้าสามารถขอหรือจินตนาการได้อย่างแน่นอน!

11 ธันวาคม ค.ศ. 2016

ก่อนหน้า: ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์

ถัดไป: อุปนิสัยอันเสื่อมทรามสามารถแก้ไขได้โดยการยอมรับความจริงเท่านั้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger