การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

หลังจากทำหน้าที่ของตน มีคนมากมายที่รู้สึกว่าตนบกพร่องอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจึงต้องให้ตนเองฟังคำเทศนาให้มากขึ้นอยู่เสมอ และเรียกร้องให้บรรดาผู้นำและคนทำงานจัดการชุมนุมมากขึ้น ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถมอบการเข้าสู่ชีวิตและการเติบโตในชีวิตให้แก่พวกเขาได้  หากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมหรือการเทศนาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนว่างเปล่าและอ้างว้าง เหมือนพวกเขาไม่มีอะไรเลย  ในหัวใจของพวกเขาเหมือนมีเพียงการชุมนุมและการเทศนาเป็นประจำทุกวันเท่านั้นที่จะมอบการเข้าสู่ชีวิตให้แก่พวกเขา หรือเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางวิญญาณได้  แต่ในความเป็นจริง ความคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง  ผู้ที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าต้องทำหน้าที่ของตน—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถได้รับประสบการณ์ชีวิต  หากเจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้าไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนเอง เช่นนั้นแล้วความจริงใจในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ใด?  ผู้ที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจก็คือผู้ที่มีความเชื่อ  ผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่กล้าอุทิศชีวิตของตนให้พระเจ้า และเต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละให้พระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้ย่อมมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปพร้อมกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาได้รับความรู้แจ้ง ได้รับการทรงนำ และได้รับการบ่มวินัยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิต  ดังนั้น การเข้าสู่ชีวิตจึงเริ่มด้วยการทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

หากผู้คนประมาทในการทำหน้าที่ของตน หรือเลอะเลือนอยู่เสมอ พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นท่าทีแบบใด?  นี่เป็นการสุกเอาเผากินไม่ใช่หรือ?  นี่คือท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อหน้าที่ของตนเองกระนั้นหรือ?  นี่เป็นปัญหาด้านขีดความสามารถหรืออุปนิสัย?  พวกเจ้าทุกคนควรชัดเจนในเรื่องนี้  เหตุใดเวลาทำหน้าที่ของตน ผู้คนจึงเอาแต่ทำอย่างสุกเอาเผากิน?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่อุทิศตนเวลาพวกเขาทำสิ่งต่างๆ เพื่อพระเจ้า?  พวกเขามีสำนึกหรือมโนธรรมบ้างหรือไม่?  หากเจ้ามีมโนธรรมและสำนึกอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้าย่อมจะใส่หัวใจของเจ้าลงไปในสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นอีกเล็กน้อย รวมทั้งใส่เจตนาที่ดี ความรับผิดชอบ และความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย และเจ้าจะสามารถทุ่มเทความพยายามได้มากขึ้น  เมื่อเจ้าสามารถทุ่มเทความพยายามได้มากขึ้น ผลลัพธ์ของหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติก็จะดีขึ้น ผลลัพธ์ของเจ้าจะดีขึ้น และนี่ก็จะทำให้คนอื่นพอใจ ทั้งยังทำให้พระเจ้าพอพระทัย  เจ้าต้องใส่ใจในการทำหน้าที่!  เจ้าไม่อาจใจลอยราวกับว่าเจ้ากำลังทำงานในสังคมโลกและเพียงทำเงินตามเวลาที่เจ้าใช้ทำงาน  หากเจ้ามีทัศนคติแบบนั้น เจ้าก็มีปัญหาแล้ว  เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำหน้าที่ของตนเองได้ดี  นี่คือความเป็นมนุษย์แบบใดกัน?  ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมมีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาไม่มี  หากเจ้าพูดว่าเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ ต้องการนำความจริงไปปฏิบัติ และต้องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีความอุตสาหะในหน้าที่ของเจ้าให้มากขึ้น และทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้กับหน้าที่มากขึ้น  เจ้าพูดว่าเจ้ามีมโนธรรม แต่เจ้าไม่เคยใส่ใจทำหน้าที่ของตัวเองเลย  มโนธรรมของเจ้ากำลังให้ผลหรือไม่?  เจ้าต้องทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้ถูกที่  พวกเจ้าควรคิดถึงสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ—พวกเจ้าต้องเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้  การเอาแต่สุกเอาเผากินเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นเรื่องที่ห้ามขาด  หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอระหว่างทำหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน  หากเจ้าต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความอุทิศตน ก่อนอื่นเจ้าต้องแก้ปัญหาเรื่องการสุกเอาเผากินของเจ้าก่อน  เจ้าควรลงมือแก้ไขสถานการณ์ให้ถูกต้องทันทีที่เจ้าสังเกตเห็น  หากเจ้าเลอะเลือน ไม่เคยสามารถสังเกตเห็นปัญหา สักแต่สุกเอาเผากินอยู่เสมอ และทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีได้  ดังนั้น เจ้าต้องทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่อยู่เสมอ  โอกาสให้ผู้คนทำหน้าที่ของตนนั้นยากที่จะได้มา!  เมื่อพระเจ้าทรงให้โอกาสพวกเขา ทว่าพวกเขากลับไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ เช่นนั้นแล้ว โอกาสนั้นก็สูญไป—และต่อให้ในเวลาต่อมาพวกเขาปรารถนาที่จะพบเจอโอกาสเช่นนั้น นั่นก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีก  พระราชกิจของพระเจ้าไม่รอใครเลย อีกทั้งโอกาสทั้งหลายในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราก็ไม่รอใครเช่นกัน  ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฉันยังคงอยากปฏิบัติหน้าที่นั้น  ฉันจึงควรลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”  การมีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่เจ้าต้องชัดเจนว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร และเจ้าต้องเพียรพยายามที่จะบรรลุความจริง  มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ดี  หากคนเราไม่เข้าใจความจริง แม้แต่การออกแรงทำงานของพวกเขาก็จะไม่ได้มาตรฐาน  ยิ่งเจ้าเข้าใจความจริงชัดเจนมากขึ้นเท่าไร เจ้าก็ยิ่งมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนมากเท่านั้น  หากเจ้าสามารถมองเห็นเรื่องนี้ตามที่เป็นจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเพียรพยายามเพื่อบรรลุความจริง และเจ้าย่อมมีความหวังที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  ในปัจจุบันโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่มีไม่มาก ดังนั้นเจ้าต้องคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ในยามที่เจ้าทำได้  เวลาเผชิญหน้าที่ก็คือเวลาที่เจ้าต้องทุ่มเทตนเองโดยแท้ นั่นคือเวลาที่เจ้าต้องมอบถวายตนเอง สละตนเองเพื่อพระเจ้าและเป็นเวลาที่เจ้าพึงต้องยอมลำบาก  จงอย่าสงวนสิ่งใดไว้ อย่าเก็บงำกลอุบายใดๆ อย่าเหลือทางหนีทีไล่หรือหาทางออกให้ตนเอง  หากเจ้าหาทางหนีทีไล่ เอาแต่คอยคำนวณ หรือกะล่อนและอู้งาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำได้แย่  สมมุติเจ้าพูดว่า “ไม่มีผู้ใดได้เห็นฉันกะล่อนและอู้งาน  เยี่ยมจริงเลย!”  นี่คือการคิดแบบไหนกัน?  เจ้าคิดว่าเจ้าปิดหูปิดตาผู้คน และปิดพระเนตรพระกรรณพระเจ้าด้วยแล้วกระนั้นหรือ?  แต่อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วหรือไม่?  พระองค์ทรงรู้  ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้ใดก็ตามที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้ามาระยะหนึ่งย่อมจะรู้ถึงความเสื่อมทรามและความต่ำช้าของเจ้า และแม้ว่าพวกเขาอาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่พวกเขาก็จะประเมินเจ้าในหัวใจของตนไว้แล้ว  มีผู้คนมากมายที่ถูกเผยและถูกกำจัดออกไปเพราะมีผู้อื่นเป็นจำนวนมากมายเหลือเกินเข้าใจพวกเขา  เมื่อทุกคนมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขา ทุกคนก็เปิดโปงตัวตนของผู้คนเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไรและไล่พวกเขาออกไป  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ผู้คนก็ควรทำหน้าที่ของตนให้ดีอย่างสุดความสามารถของตน พวกเขาควรใช้มโนธรรมของตนทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เจ้าอาจมีข้อบกพร่อง แต่หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล เจ้าก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป  หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าดี เจ้าจะไม่ถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน หากเจ้ายังคงไม่คิดทบทวนหรือพยายามรู้จักตนเอง และเจ้าเพิกเฉยต่อกิจที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้า หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหมดความอดทนกับเจ้าแล้วจริงๆ พวกเขาก็จะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  นั่นเป็นเพราะทุกคนมองเห็นเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งและเจ้าสูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของตนไปแล้ว  หากไม่มีผู้ใดเชื่อใจเจ้า พระเจ้าจะเชื่อพระทัยเจ้าได้หรือ?  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์ว่า พระองค์เชื่อพระทัยบุคคลเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด  หากใครคนหนึ่งเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ จงอย่ามอบหมายงานให้เขาไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมใด  หากเจ้าไม่รู้ว่าบุคคลคนหนึ่งเป็นเช่นไร หรือเพียงแค่ได้ยินคนอื่นพูดว่าบุคคลคนนี้ทำสิ่งที่เขาทำได้ดี แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้แน่ใจเต็มร้อย เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่เจ้าทำได้ก็คือมอบหมายงานเล็กๆ ให้เขาจัดการก่อน—งานที่ไม่สำคัญ  หากเขาทำงานเล็กๆ สองสามงานออกมาใช้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถไว้วางใจมอบหมายงานปกติให้เขาได้  และต่อเมื่อเขาทำงานนั้นได้สำเร็จเท่านั้น เจ้าจึงจะไว้วางใจมอบหมายงานสำคัญให้เขา  หากเขาทำงานปกติทั่วไปผิดพลาด เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ก็ไว้วางใจไม่ได้  ไม่ว่างานงานหนึ่งจะใหญ่หรือเล็กก็ไม่สามารถมอบหมายให้เขาทำได้  หากเจ้าสังเกตเห็นบุคคลคนหนึ่งที่ใจดีและมีความรับผิดชอบ ไม่เคยสุกเอาเผากินเท่านั้น ปฏิบัติต่องานต่างๆ ที่คนอื่นมอบหมายให้เขาทำราวกับว่าเป็นงานของตนเอง พิจารณาทุกด้านของงาน คำนึงถึงความต้องการของเจ้า พิจารณาทุกแง่ทุกมุม เป็นคนละเอียดถี่ถ้วนและจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น ทำให้เจ้าพอใจกับงานของเขาเป็นพิเศษ—เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือบุคคลประเภทที่เชื่อถือได้  ผู้คนที่ไว้วางใจได้คือผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ และผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ย่อมมีมโนธรรมและเหตุผล และพวกเขาก็ควรจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ง่ายมากๆ เพราะพวกเขาถือว่าหน้าที่ของตนคือภาระผูกพันของตน  ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี และพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตนไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใด  ผู้อื่นต้องเป็นกังวลถึงพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาและเฝ้าถามถึงความก้าวหน้าของพวกเขาอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายอาจยุ่งเหยิงได้ในขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และสิ่งทั้งหลายอาจผิดพลาดขณะปฏิบัติกิจหนึ่งๆ ได้ ซึ่งย่อมมีปัญหามากจนไม่คุ้มค่า  กล่าวสั้นๆ คือผู้คนจำเป็นต้องตรวจสอบตนเองอยู่เสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่นี้ได้มาตรฐานแล้วหรือยัง?  ฉันใส่หัวใจของฉันลงไปในหน้าที่แล้วหรือ?  หรือฉันสักแต่ทำแค่พอเอาหน้ารอด?”  หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย  อย่างน้อยที่สุด นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ และผู้คนจะไม่สามารถเชื่อใจเจ้าได้  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือหากเจ้าแค่ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างขอไปที และหากเจ้าหลอกลวงพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง!  อะไรคือผลสืบเนื่องของการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ?  ทุกคนมองออกว่าเจ้าเจตนาฝ่าฝืน ว่าเจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเท่านั้น เจ้าเอาแต่สุกเอาเผากินเท่านั้น และเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด—ซึ่งหมายความว่าเจ้าไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์!  หากนี่สำแดงอยู่ในตัวเจ้าโดยตลอด หากเจ้าหลีกเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ทำความผิดพลาดเล็กน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่กลับใจตั้งแต่ต้นจนจบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนชั่ว เป็นผู้ไม่เชื่อ และควรถูกเอาออกไป  ผลสืบเนื่องเช่นนี้เลวร้ายนัก—เจ้าจะถูกเผยจนหมดสิ้นและถูกกำจัดออกไปในฐานะผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว

หน้าที่ใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติย่อมเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะค่อนข้างเป็นเวลาหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จืดชืดน่าเบื่อหรือมีชีวิตชีวา เจ้าย่อมต้องบรรลุการเข้าสู่ชีวิตเสมอ  หน้าที่ทั้งหลายที่ผู้คนบางคนปฏิบัตินั้นค่อนข้างจำเจ พวกเขาทำสิ่งเดิมทุกวัน  อย่างไรก็ตาม ตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่ สภาวะที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมานั้นไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด  บางคราว เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่ดี ผู้คนขยันกว่าเล็กน้อยและทำงานได้ดีกว่า  ส่วนในเวลาอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็ปลุกปั่นความประสงค์ร้ายภายในตัวพวกเขาขึ้นมา เป็นเหตุให้พวกเขามีทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในสภาวะที่แย่และอารมณ์ที่ไม่ดี นี่ส่งผลลัพธ์ในตัวพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาไปในลักษณะสุกเอาเผากิน สภาวะภายในของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ สภาวะเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา  ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิบัติตนไปบนพื้นฐานของอารมณ์ของเจ้านั้นย่อมผิดเสมอ  อย่างเช่น เจ้าทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในยามที่เจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ดี และแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี—นี่เป็นหนทางที่มีหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายหรือ?  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในลักษณะที่ได้มาตรฐานกระนั้นหรือ?  ไม่ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผู้คนต้องรู้จักอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตีกรอบและแกว่งไกวไปมาด้วยอารมณ์ทั้งหลายของพวกเขา  ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะสุกเอาเผากินหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่  ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น  ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีหลังถูกตัดแต่ง—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ  หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และเกาะติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย  หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน  ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน  ผู้คนที่กระทำการตามหลักธรรมย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง  เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็สามารถทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือก่อให้เกิดการรบกวนระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา—ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์  ทุกวันที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่คือหนึ่งวันที่ข้าพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์  โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!”  บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ไม่ถูกอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกบีบคั้น และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้  ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง  การใช้ชีวิตในหนทางนี้จะทำให้บุคคลหนึ่งสบายใจหรือไม่?  เจ้าจำเป็นที่จะต้องกังวลว่าพระเจ้าจะทรงมองเจ้าเช่นไรหรือไม่?  พวกเจ้าคิดว่าตนเองจำเป็นต้องทำตัวอย่างไรจึงจะรู้สึกสบายใจ? (ไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจำกัดโดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด และให้ความสำคัญกับหน้าที่ของตนก่อน  นี่เป็นทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้)  ถูกต้อง นี่คือเคล็ดลับที่จะทำให้สบายใจ  พวกเจ้าทุกคนเชี่ยวชาญในเคล็ดลับนี้หรือยัง?  หากใครคนหนึ่งพูดกับเจ้าด้วยท่าทีที่ไม่ดี และเจตนาที่จะเมินเฉยต่อเจ้าหรือจงใจจับผิดเจ้า เจ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์เหมือนว่าเจ้ามีมีดบิดอยู่ภายใน  เจ้าจะเบื่ออาหาร และย่อมจะส่งผลไปถึงการนอนของเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เจ้าย่อมจะอารมณ์ไม่ดี และหัวใจของเจ้าก็จะบอบช้ำ  ณ จุดนี้ เจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าอาจจะพูดว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นฉันจะงดเว้นการทำหน้าที่ไปสักสองวันแล้วกัน” หรือ “ฉันจะยังทำหน้าที่อยู่ แต่ถ้าฉันทำแบบไม่จริงจังและทำให้พอให้ผ่านๆ ไปย่อมไม่เป็นไร  ทุกคนมีช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ดังนั้นถ้าฉันอารมณ์ไม่ดี พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงเรียกร้องจากฉันมากเกินไปใช่หรือไม่?  วันนี้ฉันจะงดเว้นการทำหน้าที่สักนิดก็แล้วกัน  ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ฉันจะทำงานให้ดีเลย  พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์มานานหกพันปี ดังนั้นถ้าฉันทำช้าไปสักหนึ่งวัน พระองค์จะสนพระทัยจริงหรือ?”  คนประเภทใดที่ยอมให้สิ่งเล็กๆ ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของพวกเขา และจากนั้นก็ยังต้องปล่อยให้อารมณ์ส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของพวกเขา?  นี่คือพื้นอารมณ์ที่ไม่รู้จักโตและไม่มีอนาคตไม่ใช่หรือ?  เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะฮึดฮัด ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่มีความแน่วแน่ และลืมคำสาบานของตน  นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  เป็นปัญหาของการดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่ใช่หรือ?  อาจมีบางคนที่ปกติไม่ทำตัวเช่นนี้ แต่เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะละทิ้งงานของตน  สิ่งต่างๆ เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไปแล้ว  มีบางคนที่เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี ก็จะรับอิทธิพลจากภายนอกเข้ามาบ้าง พวกเขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ของตน และไม่สามารถกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้าได้  ควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?  ปัญหาเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขกระนั้นหรือ?  บางคนพูดว่า “ปัญหาเหล่านี้แก้ไขไม่ได้หรอก  ตอนนี้ฉันยังไม่อยากทำสิ่งนี้ ฉันจะปล่อยไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน  ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็อารมณ์ไม่ดีและฉันไม่อยากให้ใครมาคุยด้วยทั้งนั้น  ปล่อยให้ฉันเป็นทุกข์สักนิดหนึ่งเถอะ”  แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ทำหน้าที่ของตนเองที่นี่ แต่ก็อยู่เพียงร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่จิตใจ  ไม่รู้แน่ว่าหัวใจของพวกเขาลอยไปอยู่ที่ใด  พวกเขาไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง พวกเขาไม่มานะพยายาม และพวกเขาอ่อนแอ  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอารมณ์ดีขึ้น พวกเขาก็เริ่มกระตือรือร้นอีกครั้ง พวกเขาสามารถทนความทุกข์ยากและทุกข์ทนกับความเหนื่อยล้าได้อีกครั้ง และพวกเขาก็ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกิน  ทั้งหมดนี้ไม่ผิดปกติไปหน่อยหรือ?  เหตุใดความรู้สึกและสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลายเช่นนั้นจึงมีอิทธิพลเหนือผู้คน?  พวกเจ้าเคยค้นหาเหตุผลดูหรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ก่อปัญหาให้พวกเจ้าอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ?  พวกเจ้าไม่ได้ติดอยู่ในสภาวะเหล่านี้บ่อยๆ หรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเจ้าล้วนเผชิญหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  ถ้าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะเป็นเด็กอยู่เสมอ  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนพูดบางอย่างโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเจ้า บางอย่างที่มีบางส่วนพูดถึงเจ้าโดยตรง หรือหากพวกเขาพูดถึงเจ้าโดยอ้อม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง  หากเจ้าพูดกับใครบางคนและพวกเขาไม่สนใจเจ้า หรือว่าสีหน้าของพวกเขาไม่เป็นมิตร เจ้าย่อมจะไม่สบายใจ  หากมีสักวันที่หน้าที่ของเจ้าไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ เจ้าย่อมจะไม่สบายใจ  หากเจ้าฝันร้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลางไม่ดี เจ้าก็จะไม่สบายใจ  หากเจ้าได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้า เจ้าก็จะไม่สบายใจ เจ้าจะอารมณ์ไม่ดี และเจ้าจะไม่สามารถทำจิตใจให้ร่าเริงได้  หากเจ้าเห็นใครคนอื่นทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดี และพวกเขาได้รับการชื่นชมและได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำ นั่นก็จะทำให้เจ้าไม่สบายใจ และส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้าเช่นกัน...  สิ่งที่สามารถมีอิทธิพลต่อเจ้าได้ทั้งใหญ่และเล็กนี้ ล้วนสามารถทำให้เจ้าติดอยู่ในความคิดที่เป็นลบ ทำให้เจ้าหดหู่ และมีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของเจ้า  ผู้คนที่ประพฤติตนเช่นนี้มีปัญหาอันใด?  (อุปนิสัยของพวกเขาไม่มั่นคง)  อุปนิสัยที่ไม่มั่นคงเป็นด้านหนึ่งของปัญหา  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาขาดวุฒิภาวะและเหมือนเด็ก และพวกเขาไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก  ในส่วนของการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาทนทุกข์เสมอกับข้อจำกัดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง  หากพวกเขาไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ และหากพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  อะไรทำให้พวกเขาถูกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ตีกรอบ?  เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรจริงและอะไรเท็จ และเพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครถูกและใครผิด  นี่ส่งผลให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ไม่มีพื้นที่ให้เดินหน้าหรือถอยหลัง  นั่นคือผลที่ตามมา  ผู้เชื่อใหม่อยู่ในสภาวะนี้เป็นส่วนใหญ่  เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถแยกแยะผู้คนได้ ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายไปเองตามธรรมชาติ  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา  บุคคลประเภทนี้จะไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางด้านผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภทได้ตลอดกาล  ผู้คนที่มักจะทนทุกข์กับข้อจำกัดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ สำแดงสภาวะเช่นไรให้เห็น?  พวกเขาคิดลบได้ง่าย และเมื่อพวกเขาประสบภาวะชะงักงันหรือเผชิญความยากลำบาก พวกเขาย่อมสะดุด  สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของพวกเขาและความสามารถที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา  ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมถูกผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภทบีบบังคับได้โดยง่าย  การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเชื่องช้ามาก และไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีความก้าวหน้าที่มองเห็นได้  พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อไม่มากก็น้อย  ทั้งหมดนี้คือผลจากการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นคือเหตุผล  กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม ไม่ว่าขีดความสามารถหรืออายุของเจ้าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าไม่รักความจริงหรือไม่แสวงหาความจริงในสรรพสิ่ง ตราบนั้นเจ้าก็จะถูกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภทบีบบังคับเอาได้โดยง่าย  เจ้าจะไม่รู้ว่าควรลงมืออย่างไรจึงจะเหมาะสม อีกทั้งเจ้าจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงหรือทำตัวให้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายได้อย่างไร  ต่อให้เจ้ากระทำการตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดี เจ้าก็จะไม่รู้อยู่ดีว่าเจ้าทำตัวสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่  ไม่ว่าคนประเภทนี้จะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนเองได้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร อีกทั้งไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีคำพยานให้พูดถึง  พวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง

ตอนนี้ ผู้คนแข็งขันในการทำหน้าที่ของตน  พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตน สละตนเองเพื่อพระเจ้า ละทิ้งสิ่งต่างๆ เพื่อพระองค์ และถวายตัวพวกเขาเองให้แก่พระองค์อีกด้วย  ถึงกับมีบางคนที่สาบานไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่าพวกเขาจะถวายทั้งชีวิตของตนให้แก่พระเจ้า และจะสละตนเพื่อพระองค์  พวกเขามีสิ่งทั้งหมดนี้ แต่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากบุคคลหนึ่งไม่มีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้ว ด้วยผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ อันซับซ้อนทุกรูปแบบ ก็จะค่อนข้างยากที่พวกเขาจะรักษาใจให้มั่นคงหรือจัดการแก้ไขปัญหา  พวกเขาไม่สามารถหาทิศทางได้พบ อีกทั้งไม่สามารถหาเส้นทางได้ และพวกเขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถหลุดจากสภาวะที่คิดลบของตนเองได้  พวกเขาเข้าไปพัวพันกับผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภท ถูกทั้งหมดนั้นบีบบังคับ ควบคุม และพันธนาการเอาไว้ และพวกเขาไม่รู้จักหนทางปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด  ตอนนี้เราจะบอกพวกเจ้าถึงหลักธรรมข้อหนึ่งในการปฏิบัติว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือบททดสอบ หรือว่าเจ้ากำลังถูกตัดแต่ง และไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ก่อนอื่นเจ้าควรวางสิ่งเหล่านี้และมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างขะมักเขม้น แสวงหาความจริง และปรับเปลี่ยนสภาวะของเจ้า  นี่ควรได้รับการแก้ไขเสียก่อน  เจ้าควรพูดว่า “ไม่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตเพียงใด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี  ตราบเท่าที่ฉันมีลมหายใจ ฉันจะไม่ล้มเลิกหน้าที่ของตนเอง”  ดังนั้นเจ้าจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีได้อย่างไร?  เจ้าจะทำแค่ขอไปที หรือทำแบบกายอยู่ แต่จิตใจล่องลอยไปไม่ได้—หัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเจ้าต้องมุ่งไปที่หน้าที่ของเจ้า  ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าจะใหญ่โตขนาดไหน เจ้าก็ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นลงก่อนและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาวิธีทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เพื่อที่ว่าการทำหน้าที่นั้นจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย  เจ้าควรพยายามคิดว่า “กับสิ่งนี้ที่ฉันได้เผชิญในวันนี้ ฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร?  ก่อนหน้านี้ ฉันลงมือทำอย่างสุกเอาเผากิน ดังนั้นวันนี้ฉันต้องเปลี่ยนวิธีการของตัวเองและพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะได้ไม่มีอะไรให้ใครมาจับผิด  กุญแจสำคัญก็คือฉันต้องไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง  ฉันต้องทำให้พระเจ้าสบายพระทัย เพื่อที่ว่าเมื่อพระองค์ทรงเห็นฉันทำหน้าที่ของตนเอง พระองค์จะได้ทรงทราบว่าฉันไม่เพียงเชื่อฟังและนบนอบเท่านั้น แต่ยังอุทิศตนอีกด้วย”  หากเจ้านำสิ่งนี้ไปปฏิบัติและมานะพยายามไปในทิศทางนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะสามารถทำให้การทำหน้าที่ของเจ้าล่าช้า หรือส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลในหน้าที่ของเจ้าได้  เมื่อเจ้าอธิษฐาน แสวงหาความจริง และพยายามทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จะสามารถเข้าใจและแก้ไขเรื่องอารมณ์ของเนื้อหนังได้ง่าย แต่บุคคลหนึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้นอกเสียจากว่าพวกเขาจะยอมรับความจริง  ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความจริง ปัญหาใดๆ ก็สามารถแก้ไขได้  ความหมองหม่น ความหดหู่ใจ ความวิตกกังวล ความแคลงใจ และความคิดลบในหัวใจของเจ้าล้วนสามารถได้รับการแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง  อารมณ์ของเจ้าจะดีขึ้นอย่างช้าๆ และเจ้าจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง  หากเจ้าประสบความยากลำบากอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงและนบนอบ  เมื่อบุคคลหนึ่งเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นการทดสอบวุฒิภาวะของพวกเขาและเปิดเผยตัวตนของพวกเขา เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่

เพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าในลักษณะที่ได้มาตรฐาน ก่อนอื่นเจ้าต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสมเสียก่อน  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเผยตัวออกมา เจ้าต้องปรับเปลี่ยนสภาวะของตนเองด้วย  เมื่อเจ้าสามารถปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้อง เมื่อเจ้าสลัดหลุดจากข้อจำกัดและอิทธิพลของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกประเภทแล้ว เมื่อเจ้านบนอบพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี  เคล็ดลับในการทำสิ่งนี้ก็คือการให้ความสำคัญแก่หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าเป็นอันดับแรกเสมอ  ในกระบวนการทำหน้าที่ของเจ้านั้น เจ้าต้องสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า “ฉันมีท่าทีแบบสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่?  สิ่งใดรบกวนใจฉันและทำให้ฉันสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตน?  ฉันกำลังทำหน้าที่ด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของตัวเองหรือเปล่า?  การทำแบบนี้จะทำให้พระเจ้าทรงเชื่อใจฉันหรือไม่?  หัวใจของฉันนบนอบพระเจ้าโดยบริบูรณ์หรือยัง?  การทำหน้าที่ของฉันแบบนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือเปล่า?  การทำหน้าที่ของฉันแบบนี้จะสัมฤทธิ์ผลที่ดีที่สุดหรือไม่?”  เจ้าควรทบทวนคำถามเหล่านี้บ่อยๆ  เมื่อเจ้าพบปัญหา เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน และค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหาเหล่านั้น  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ดี เจ้าจะมีสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจของเจ้า  หากเกิดปัญหาอยู่เนืองๆ ในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตน ปัญหาเหล่านั้นส่วนใหญ่ย่อมเกิดขึ้นเพราะเจตนาของเจ้ามีปัญหา—นี่เป็นปัญหาของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของบุคคลหนึ่งเผยตัวออกมา พวกเขาย่อมจะมีปัญหาในหัวใจของตนและสภาวะของพวกเขาย่อมจะไม่ปกติ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของพวกเขาโดยตรง  ปัญหาที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของคนเราเป็นปัญหาที่ใหญ่และร้ายแรง สามารถมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าโดยตรงได้  ตัวอย่างเช่น บางคนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อความวิบัติบังเกิดแก่ครอบครัวของพวกเขา  บางคนคิดลบเมื่อพวกเขาประสบความยากลำบากในหน้าที่ของตน ไม่มีผู้ใดมองเห็นความลำบากนั้นหรือชื่นชมพวกเขา  บางคนไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี สุกเอาเผากินอยู่เสมอ และพร่ำบ่นพระเจ้าเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง  บางคนก็ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองเพราะพวกเขาคิดหาทางหนีอยู่เสมอ  ปัญหาเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลโดยตรงต่อความสัมพันธ์ตามปกติกับพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ทั้งหมดล้วนเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ว่าพวกเขาออกอุบายเพื่อตนเองและคำนึงถึงตนเองเสมอ ซึ่งขัดขวางไม่ให้พวกเขาคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือนบนอบต่อแผนการของพระเจ้า  นี่สร้างอารมณ์เชิงลบทุกประเภท  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเช่นนี้เอง  เมื่อปัญหาเล็กๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอ พวกเขาระบายความคับข้องใจระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขากบฏและต่อต้านพระเจ้า พวกเขาอยากจะละทิ้งงานของตนเองและทรยศพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลสืบเนื่องนานัปการที่เกิดจากข้อจำกัดของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  บุคคลที่รักความจริงสามารถละมือจากชีวิต อนาคต และโชคชะตาของตนเองได้ พวกเขาต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาและได้มาซึ่งความจริงเท่านั้น  พวกเขาคิดว่ามีเวลาไม่มากพอ พวกเขากลัวว่าจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี และกลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อม ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งทุกสิ่งได้  วิธีคิดของพวกเขามีเพียงนบนอบและหันเข้าหาพระเจ้า  พวกเขาไม่ท้อถอยกับความยากลำบากใดๆ และหากพวกเขารู้สึกในเชิงลบหรืออ่อนแอ พวกเขาก็จะแก้ไขความรู้สึกนั้นไปตามปกติโดยอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักสองสามบทตอน  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเดือดร้อน และไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนได้โดยสมบูรณ์  ต่อให้พวกเขามีสติคิดได้ชั่วคราวและสามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในภายหลังอยู่ดี ดังนั้นจึงยากมากที่จะรับมือบุคคลประเภทนี้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเอาเสียเลย แต่พวกเขาไม่ให้ค่าหรือยอมรับความจริงในหัวใจของพวกเขาต่างหาก  สุดท้ายแล้วนี่ทำให้พวกเขาไม่สามารถวางเจตจำนง ความเห็นแก่ตัว อนาคต โชคชะตา และบั้นปลายของตนเองได้ ซึ่งหลังจากนั้นย่อมจะผุดขึ้นมารบกวนพวกเขาเสมอ  หากบุคคลหนึ่งสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ และพวกเขาจะมีการเข้าสู่ชีวิตและวุฒิภาวะ พวกเขาจะไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกต่อไป  เมื่อบุคคลมีวุฒิภาวะ พวกเขาก็จะเติบโตขึ้นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น สามารถแยกแยะผู้คนทุกประเภทได้มากขึ้น และจะไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ มาจำกัดพวกเขาได้  สิ่งใดก็ตามที่ใครๆ พูดหรือทำย่อมจะไม่กระทบพวกเขา  พวกเขาจะไม่ถูกกองกำลังอันชั่วของซาตานแทรกแซง หรือถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดหรือรบกวน  หากนี่เกิดขึ้น วุฒิภาวะของบุคคลหนึ่งย่อมจะค่อยๆ เติบโตขึ้นมิใช่หรือ?  ยิ่งบุคคลหนึ่งเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่าไร ชีวิตของพวกเขาก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของตนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยง่าย  เมื่อเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตและชีวิตของเจ้าก็ค่อยๆ เติบโต สภาวะของเจ้าจะเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยรบกวนและจำกัดเจ้าจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าอีกต่อไป  เจ้าจะไม่มีความยากลำบากในการทำหน้าที่ของเจ้าอีกเลย และความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้นทุกที  เมื่อเจ้ารู้วิธีที่จะพึ่งพาพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้วิธีแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้จุดยืนของตัวเจ้าเอง เมื่อเจ้ารู้ว่าเจ้าควรและไม่ควรทำสิ่งใด และเรื่องใดที่พึงต้องหรือไม่พึงต้องให้เจ้ารับผิดชอบ สภาวะของเจ้าย่อมจะเป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ มิใช่หรือ?  การใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมจะไม่ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยใช่หรือไม่?  ไม่เพียงเจ้าจะไม่เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกผ่อนคลายและเป็นสุขเป็นพิเศษอีกด้วย  ผลที่ตามมาคือหัวใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยความสว่างมิใช่หรือ?  วิธีคิดของเจ้าจะเป็นปกติ การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมาจะลดน้อยลง และเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้ ใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้  เมื่อผู้คนเห็นทัศนคติทางจิตใจของเจ้า พวกเขาก็จะคิดว่าในตัวเจ้ามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  พวกเขาจะเต็มใจสามัคคีธรรมกับเจ้า จะรู้สึกถึงสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจของพวกเขา และจะได้รับประโยชน์เช่นกัน  เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าเติบโต คำพูดและการกระทำของเจ้าจะถูกต้องเหมาะสมและมีหลักธรรมมากขึ้น  เมื่อเจ้าเห็นผู้คนที่อ่อนแอและคิดลบ เจ้าจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาได้อย่างแท้จริง—ไม่ใช่บีบบังคับหรือสั่งสอนพวกเขา แต่ใช้ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของตัวเจ้าเองช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้พวกเขา  ในหนทางนี้ เจ้าจะไม่เอาแต่มานะพยายามในพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจะเป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถแบกรับภาระ และสามารถทำสิ่งที่มีความหมายได้มากขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าย่อมโปรดคนแบบนี้มิใช่หรือ?  หากเจ้าคือคนที่พระเจ้าโปรด ทุกคนก็จะชอบเจ้าด้วยมิใช่หรือ?  (พวกเขาย่อมจะชอบ)  เหตุใดบุคคลประเภทนี้จึงทำให้พระเจ้าพอพระทัย?  เพราะพวกเขาสามารถทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พวกเขาไม่หลงคำป้อยอ พวกเขาสนใจเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาสามารถช่วยเหลือและชี้นำผู้อื่นด้วยการพูดถึงประสบการณ์จริงของตน  พวกเขาสามารถช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาใดๆ ได้ และเมื่องานของคริสตจักรเกิดความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถนำทางไปข้างหน้า แก้ไขปัญหาอย่างแข็งขันได้  นี่คือความหมายของการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างอุทิศตน  พวกเขาสามารถช่วยให้พี่น้องชายหญิงแก้ไขปัญหาของตนได้ ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขามีการเข้าสู่ชีวิต  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้มากมายพิสูจน์ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริง ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  เนื่องจากพวกเขามีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจึงสามารถนำผู้อื่นเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ด้วย  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงหรือไม่มีประสบการณ์จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถนำผู้อื่นเข้าสู่การสถิตของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  หากตัวเจ้าเองไม่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถนำผู้อื่นเข้าสู่การสถิตของพระองค์ได้  หากเจ้าเอาแต่มานะพยายามเวลาที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า โดยไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเลย และไม่เต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  ผู้ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ได้หรือ?  พวกเขาจะสามารถทนฝ่าการทดสอบของพระเจ้าได้หรือ?  พวกเขาจะสามารถตั้งมั่นท่ามกลางบททดสอบได้หรือ?  (ไม่ พวกเขาทำไม่ได้)  บุคคลประเภทนี้จะเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้าได้หรือ?  พวกเขาเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ได้หรือ?  (ไม่ พวกเขาทำไม่ได้)  บุคคลประเภทใดที่เป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าไม่ได้?  พวกเขาเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขายังคงดำรงอยู่ภายนอกพระวจนะของพระเจ้า  คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีการเข้าสู่ชีวิตเลย ไม่สามารถกล่าวคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขา และยิ่งไม่สามารถเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้แก่ผู้ใดได้สำเร็จ—พวกเขาไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าพยานของพระเจ้า  ดังนั้น คนที่มีวุฒิภาวะน้อยและไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ย่อมจะไม่มีวันเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้  ความนัยที่ไม่ได้กล่าวออกมาก็คือคนประเภทนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  หากเจ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และไม่ใช่พยานของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระองค์จะทรงรับรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระองค์หรือไม่?  พระองค์จะไม่ทรงรับรู้  พระเจ้าได้ประทานโอกาสให้เจ้าทำหน้าที่ของตน และเจ้าก็เต็มใจที่จะทำหน้าที่นั้น แต่ด้วยพฤติกรรมของเจ้า พระองค์จึงทรงเห็นว่าเจ้าไม่อาจเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ได้แม้จะเชื่อในพระองค์มานานแล้วก็ตาม  ไม่เพียงเจ้าไม่มีความรู้ที่แท้จริงจากประสบการณ์เท่านั้น  เจ้ายังใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและการคิดฝันของตนเองอีกด้วย เจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง และเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  หากพระองค์ประทานบททดสอบแก่เจ้า เจ้าย่อมไม่อาจสู้ทนได้ หากพระองค์ทรงตัดแต่งเจ้า เจ้าก็จะไม่อาจทนรับได้ หากพระองค์ทรงพิพากษาและตีสอนเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมละทิ้งงานของตนเองและเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา และพระองค์ก็จะทรงดำริว่า “คนคนนี้ก็เหมือนเสือที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง!  ไม่ว่าเราจะไปทำงานของเราหรือพูดในที่ใดก็ตาม บุคคลประเภทนี้ก็ไม่คู่ควรที่จะติดตาม ไม่คู่ควรที่จะอยู่กับเรา”  เหตุใดพระองค์จึงจะตรัสเช่นนี้?  เพราะบุคคลประเภทนี้ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้  พวกเขาไม่มีประสบการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาจะเข้ากับพระองค์ได้หรือไม่?  หากพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเขาจะสามารถตระหนักรู้เจตนารมณ์เหล่านั้นได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่?  เป็นเรื่องที่พูดยาก และทั้งหมดนี้ล้วนไม่สามารถระบุได้  ดังนั้นหากบุคคลประเภทนี้อยู่กับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมีข้อคลางแคลงใจเกี่ยวกับพระองค์ในทุกเรื่อง  และพวกเขาจะไม่ทำความเข้าใจพระองค์ ซึ่งจากนั้นก็จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เรื่องพร่ำบ่น และความเห็นทุกรูปแบบที่ใช้ตัดสินพระเจ้าในทุกโอกาส  สุดท้ายนี่ย่อมจะทำให้เกิดการทรยศ  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงต้องการคนที่ทรยศพระองค์?  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้พวกเขากลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์?  เป็นไปไม่ได้  หากเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงยอมรับให้เจ้าเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระองค์ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตเสียก่อน  เจ้าต้องเริ่มด้วยการรู้จักตนเอง สามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า สัมฤทธิ์ความสามารถที่จะยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามข้อกำหนดของพระเจ้า—นั่นคือเรื่องแรก  การมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตนั้นเป็นไปเพื่อให้เจ้าทำหน้าที่ของตนให้ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของเรื่องทั้งหมดนี้  เจ้าควรเริ่มไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตจากการทำหน้าที่ของตน และเจ้าก็ควรเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงทีละนิดจากการเข้าสู่ชีวิต จนถึงจุดที่เจ้ามีวุฒิภาวะ จนถึงจุดที่ชีวิตของเจ้าค่อยๆ เติบโตและเจ้ามีประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติกับความจริง  จากนั้นเจ้าควรแตกฉานในหลักธรรมทุกประการของการปฏิบัติ เพื่อที่เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าโดยไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ จำกัดหรือรบกวน  ในหนทางนี้ เจ้าจะค่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  เจ้าจะไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ หรือเรื่องแบบใดรบกวน และเจ้าจะมีประสบการณ์กับความจริง  เมื่อประสบการณ์ของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น  เจ้าจะสามารถเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้มากขึ้น และเมื่อเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้มากขึ้น เจ้าก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนที่มีประโยชน์  เมื่อเจ้ากลายเป็นคนที่มีประโยชน์ เจ้าก็จะสามารถทำหน้าที่ของตนในลักษณะที่ได้มาตรฐานในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าจะสามารถยืนอยู่ในจุดยืนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าจะสามารถตั้งมั่น  มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานซึ่งพระเจ้าทรงเห็นชอบ  และแล้วเจ้าย่อมจะคู่ควรกับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า

กุญแจสำคัญของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงคือสิ่งใด?  เจ้าต้องเรียนรู้การปฏิบัติความจริงและการรับมือเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรม  มีประโยชน์อันใดที่จะให้คำปฏิญาณและแสดงปณิธานของเจ้าอยู่เสมอ?  หากเจ้าให้คำปฏิญาณและแสดงปณิธานของเจ้าอยู่เสมอ แต่ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและเป็นจริงที่สุดคือการสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตในระหว่างที่ทำหน้าที่ของเจ้า ผ่านทางการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า และเพื่อกลับตัวกลับใจจากท่าทีผิดๆ ที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของตน การมีการเข้าสู่ชีวิตหมายความว่ากระไร?  การมีการเข้าสู่ชีวิตหมายความว่าเจ้ามีประสบการณ์กับความจริง มีความรู้เกี่ยวกับความจริง และสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าหรือไม่?  โดยมากแล้วเจ้ายังคงติดอยู่กับคำสอนมิใช่หรือ?  เจ้าหยุดยั้งอยู่กับคำสอน ไร้ซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหรือประสบการณ์กับความจริงอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่สามารถมีประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า  โดยมากแล้วความเข้าใจของเจ้าย่อมเป็นไปตามการรับรู้  เจ้าจึงไม่ชัดเจน รู้สึกเหมือนว่าสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งนั้นถูกทั้งคู่ เมื่อพระเจ้าตรัสสิ่งหนึ่ง ก็เหมือนว่านั่นคือความจริงสำหรับเจ้า แล้วพอพระองค์ตรัสอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็เป็นความจริงเช่นกัน  เจ้ารู้สึกเหมือนว่าพระวจนะทุกคำของพระเจ้าคือความจริง และเจ้าก็กล่าวอาเมนต่อพระวจนะ สรรเสริญพระวจนะ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตนได้เทียบเคียงพระวจนะ  เวลาที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้ายังคงสับสน และเจ้าไม่รู้ว่าควรใช้ความจริงข้อใดแก้ปัญหาของเจ้า  พวกเจ้าส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะนี้มิใช่หรือ?  แม้เจ้าจะเข้าใจคำสอนเป็นอันมากและสามารถกล่าวคำสอนได้มาก แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้คำสอนในชีวิตจริงของตน  เจ้ายังคงไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง ไม่รู้วิธีนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตจริงของเจ้า และไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของเจ้าอย่างไร  นี่เป็นเพราะวุฒิภาวะของเจ้ามีน้อยเกินไป  เมื่อพวกเจ้ารู้วิธีผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติตามพระวจนะ และนำพระวจนะไปใช้ในชีวิตจริงของพวกเจ้า เมื่อเจ้ารู้วิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาหลังจากที่มีบางสิ่งบังเกิดแก่เจ้าแล้ว เมื่อนั้นชีวิตของพวกเจ้าจึงจะเติบโต  การรู้วิธีปฏิบัติความจริงคือเครื่องหมายว่าชีวิตของเจ้ากำลังเติบโต  สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถแก้ปัญหาด้วยความจริง เมื่อเจ้าพอจะรู้จักพระเจ้าอยู่บ้าง เมื่อเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระองค์ พระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ มหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์ ผ่านทางการแบ่งปันความเข้าใจอันแท้จริงที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งาน  หากเจ้าเข้าใจมากและสามารถกล่าวคำสอนได้ตลอดทั้งวัน แต่เจ้าไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเจ้าเองหรือไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เช่นนั้นแล้วนั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงวาจาและคำสอนเท่านั้น  ต่อให้เจ้ากล่าวคำสอนบางอย่างได้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็เป็นเพียงความรู้ตามการรับรู้เท่านั้น ยังไม่สัมฤทธิ์ความมีเหตุผล  แม้ผู้คนจะมีความเจริญใจหลังจากที่ฟังเจ้า มีความรู้สึกเหมือนเจ้า และความรู้ของเจ้าก็ถึงกับสัมฤทธิ์ผลบางอย่างในตัวพวกเขาได้ แต่เจ้าก็ไม่สามารถกล่าวคำสอนได้ชัดแจ้งพอ และไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นไปได้  นี่ย่อมพิสูจน์ว่าคำสอนที่เจ้าพูดถึงนั้นเป็นเพียงความรู้ที่เกิดจากการรับรู้เท่านั้น เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าคำสอนเหล่านั้นคือความเป็นจริงความจริง และยิ่งพูดไม่ได้ว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  แล้วเจ้าแก้ปัญหาของการกล่าวตามวาทะและคำสอนอย่างไร?  นี่พึงต้องให้เจ้าคิดทบทวนความเสื่อมทรามนานาชนิดที่ถูกเปิดเผยให้เห็นในตัวเจ้าระหว่างที่เจ้าทำหน้าที่ของตน คิดทบทวนบ่อเกิดของทุกปัญหาที่เจ้าพบเจอ แล้วจากนั้นก็แสวงหาความจริง ใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็นอย่างถ้วนทั่ว  ไม่ว่าสิ่งที่เผยให้เห็นในตัวเจ้าจะเป็นความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ หรือความบิดเบี้ยวและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ หรือความสุกเอาเผากินและการโกหกพระเจ้า เจ้าก็ต้องคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จนกว่าเจ้าจะมองเห็นทั้งหมดนี้อย่างชัดแจ้ง  ในหนทางนี้เจ้าจึงจะรู้ว่ามีปัญหาอันใดบ้างระหว่างที่เจ้าทำหน้าที่ของตน และเจ้าอยู่ห่างไกลจากการสัมฤทธิ์ความรอดเพียงใด  เฉพาะเมื่อเจ้ามองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างชัดเจนเท่านั้น เจ้าจึงจะรู้ได้ว่าความยากลำบากและอุปสรรคในการทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ที่ใด  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของมันได้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าไม่รับผิดชอบการทำหน้าที่ของเจ้า กลับกระทำการอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ ก่อให้เกิดความเสียหายในงานของเจ้า แต่เจ้าก็ใส่ใจแต่หน้าตาของตนเอง ดังนั้นเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยถึงสภาวะและความยากลำบากของเจ้า หรือชำแหละตนเองและทำความรู้จักตัวเจ้าเอง กลับมองหาข้อแก้ตัวอยู่เสมอให้กับการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน  เจ้าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและทบทวนตนเองโดยกล่าวว่า “โอ พระเจ้า หากข้าพระองค์พูดจาเช่นนั้น ก็เป็นไปเพื่อปกป้องหน้าตาของตนเองเท่านั้น  นั่นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์ที่พูดจาออกมา  ข้าพระองค์ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น  ข้าพระองค์ต้องเปิดเผย ตีแผ่ตนเอง และกล่าวตามความคิดที่แท้จริงในหัวใจของตนออกมาดังๆ  ข้าพระองค์ยอมที่จะทนทุกข์กับความละอายใจและการเสียหน้ามากกว่าที่จะสนองความไม่เป็นแก่นสารของตน  ข้าพระองค์ต้องการที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น”  ด้วยการทำดังนี้ ด้วยการขบถต่อตนเองและกล่าวตามความคิดที่แท้จริงในหัวใจของเจ้าออกมาดังๆ เจ้าก็กำลังเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ได้กำลังกระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเองหรือปกป้องหน้าตาของตน  เจ้าสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ สามารถปฏิบัติความจริงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจ  และลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างครบถ้วน  ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น เจ้ากำลังค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าก็ย่อมพอพระทัย  นี่คือหนทางดำรงชีวิตที่ยุติธรรมและมีเกียรติ คู่ควรที่จะได้รับการกล่าวถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์  นี่ช่างวิเศษนัก!  การปฏิบัติในหนทางนี้ออกจะยากสักหน่อย แต่หากความมานะพยายามและการปฏิบัติของเจ้ามุ่งไปในทิศทางนี้ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าล้มเหลวสักครั้งหรือสองครั้ง เจ้าย่อมจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน  และสำหรับเจ้าแล้วความสำเร็จหมายความว่าอะไร?  นั่นหมายความว่าเมื่อเจ้าปฏิบัติตามความจริง เจ้ามีความสามารถที่จะใช้ขั้นตอนนั้นซึ่งปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตาน ขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้เจ้าขบถต่อตนเอง  นี่หมายความว่าเจ้าย่อมสามารถละวางความไม่เป็นแก่นสารและเกียรติยศ เลิกแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และเลิกทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวและควรถูกดูหมิ่น  เมื่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าย่อมแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเจ้าคือคนที่รักความจริง โหยหาความจริง โหยหาความยุติธรรมและความสว่าง  นี่เป็นผลจากการที่เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้  และเจ้าก็ทำให้ซาตานอับอายไปพร้อมกันอีกด้วย  ซาตานทำให้เจ้าเสื่อมทราม มันทำให้เจ้าคิดแต่จะเอาตัวรอด มันทำให้เจ้าเห็นแก่ตัว ทำให้เจ้าคิดถึงเกียรติยศของตัวเจ้าเอง  แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดจากซาตานนี้ไม่สามารถพันธนาการเจ้าไว้ได้อีกต่อไป เจ้าเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ถูกความไม่เป็นแก่นสาร เกียรติยศ หรือผลประโยชน์ส่วนตัวควบคุมเอาไว้อีกต่อไป และเจ้าก็ปฏิบัติความจริง ดังนั้น ซาตานจึงถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างสิ้นเชิง และไม่อาจทำอะไรได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมมีชัยมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าได้ชัย เจ้าย่อมตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว ย่อมมีสันติสุข ความชื่นบาน และความรู้สึกเบาสบายอยู่ในหัวใจของเจ้า  หากเจ้ามักจะรู้สึกถึงการกล่าวหาในชีวิตของเจ้า หากหัวใจของเจ้าไม่อาจพบความสงบ หากเจ้าไร้ซึ่งสันติสุขหรือความชื่นบาน และมักจะถูกความวิตกกังวลและความกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ สารพัดชนิดรุมเร้า นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นเพียงว่าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง ไม่ตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้า  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยของซาตาน ก็มีแนวโน้มที่เจ้ามักจะปฏิบัติความจริงไม่ได้ ทรยศความจริง เห็นแก่ตัวและเลวทราม เจ้าเอาแต่รักษาภาพลักษณ์ของเจ้า ชื่อและสถานะของเจ้า รวมถึงผลประโยชน์ของเจ้า  การใช้ชีวิตเพื่อตนเองอยู่เสมอนำความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงมาให้เจ้า  เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว มีเรื่องพัวพัน มีโซ่ตรวน มีความคลางแคลงใจ และความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่มากมายเสียจนเจ้าไม่มีสันติสุขหรือความชื่นบานแม้แต่น้อย  การใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังอันเสื่อมทรามคือการทนทุกข์อย่างเหลือล้น  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นแตกต่างออกไป  ยิ่งพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็ยิ่งเป็นอิสระและมีเสรี ยิ่งพวกเขาปฏิบัติความจริง พวกเขาก็ยิ่งมีสันติสุขและความชื่นบาน  เมื่อพวกเขาได้มาซึ่งความจริง พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์ ชื่นชมพรจากพระเจ้า และไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด

ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีชีวิตอยู่ในสภาวะใดเป็นส่วนใหญ่?  โดยมากแล้วพวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นบวกหรือสภาวะที่เป็นลบ?  (พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบกันโดยมาก)  การที่ใครบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบตลอดเวลาจะยืนหยัดในการทำหน้าที่ของตนโดยไม่ยอมแพ้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย!  พวกเจ้าทุกคนมักจะคิดลบ แต่กลับไม่รู้ว่าจะแก้ไขเรื่องนี้กันอย่างไร  บางครั้งการที่เจ้าจะแก้ไขสภาวะที่คิดลบของตนย่อมใช้ความมานะพยายามอย่างมาก และเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ เจ้าก็กลับไปคิดลบอีก  เจ้าเกลือกกลิ้งอยู่ในสภาวะที่คิดลบของเจ้าเสมอ และต่อให้เจ้าอยากจะหยัดยืนขึ้นมา เจ้าก็ไม่สามารถทำได้ พวกเจ้าไม่สามารถทำหน้าที่อันใดได้ดี และพวกเจ้าก็ไร้ความสามารถเสียจนไม่มีผู้ใดช่วยพวกเจ้าได้  การใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่น่าเหน็ดเหนื่อยหรอกหรือ?  (น่าเหนื่อย)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะจัดการปัญหาเรื่องความคิดลบให้หมดไปอย่างไร?  แน่นอนที่สุดว่าพวกเจ้าต้องเข้าใจความจริงบางประการ  จำนวนคำสอนที่พวกเจ้าสามารถพูดถึงได้จะไม่แก้ปัญหาให้พวกเจ้า  ทันทีที่คนคนหนึ่งเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง และทันทีที่พวกเขาแก้ไขความคิดลบหรือความยากลำบากใดๆ ที่พวกตนเผชิญอยู่ได้แล้ว เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ก็จะไม่หนักหนาสำหรับพวกเขาถึงเพียงนั้น  คนเราจะเป็นอิสระและมีเสรีได้ก็ด้วยการได้มาซึ่งความจริงเท่านั้น  ตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าทุกคนขาดมากที่สุดก็คือความจริง แต่การได้มาซึ่งความจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน  พวกเจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริง และสามารถมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนได้อย่างชัดเจน  นี่พึงต้องใช้เวลา และเพื่อที่จะเข้าใจความจริง พวกเจ้าก็ต้องแสวงหาความจริง  พวกเจ้าทุกคนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของการใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเจ้ามีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง  แล้วหลังจากที่พวกเจ้าเข้าใจความจริง เมื่อพวกเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและทำตามหลักธรรมความจริงได้ พวกเจ้าเคยผ่านประสบการณ์กับสันติและความสุขที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามีประสบการณ์เช่นนั้นอยู่หลายครั้งหรือไม่?  หากมีประสบการณ์เหล่านี้มากมายหลายครั้งจริง นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงโดยบริบูรณ์  เจ้าจะรู้สึกว่าดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างและในการสถิตของพระเจ้า  หากเจ้าได้ชื่นชมความรู้แจ้งจากพระเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว เจ้าย่อมจะยินดีมาก  หากเจ้าพึ่งพาพระเจ้าเป็นครั้งคราว แทนที่จะพึ่งพาผู้คน และพระเจ้าก็ประทานความสว่างแก่เจ้าอยู่บ้าง ประทานหนทางข้างหน้าที่เจ้าไม่ได้นึกถึง และเรื่องราวนั้นๆ ก็ได้รับการจัดการแก้ไข เจ้าย่อมจะยินดีมาก  การมีประสบการณ์เล็กน้อยเหล่านี้อยู่เนืองๆ ย่อมไม่เพียงพอ เจ้ายังคงต้องทุ่มเทพยายามเข้าสู่ความจริงต่อไป  ในด้านหนึ่ง พวกเจ้าต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับนิมิต มีความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้าให้ชัดแจ้งที่สุด และรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในหนทางนี้เมื่อพวกเจ้าเผชิญความยากลำบากอีกครั้งยามที่พวกเจ้าทำหน้าที่ของตน อย่างน้อยที่สุดนั่นก็จะไม่ทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิด และจะไม่ทำให้เกิดความเป็นกบฏ  นี่คือด้านหนึ่งของสิ่งต่างๆ  นอกเหนือจากนี้แล้ว เจ้าต้องทุ่มเทพยายามที่จะเข้าสู่ชีวิต  ต้องมีการสรุปความจริงที่ต้องปฏิบัติและเข้าสู่ เช่น การมารู้จักตนเอง การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ การเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้า จะพึ่งพาพระเจ้าอย่างไร จะทำหน้าที่ของเจ้าอย่างอุทิศตนอย่างไร จะแยกแยะผู้คนสารพัดประเภทอย่างไร เจ้าควรปฏิบัติต่อซาตานอย่างไร เจ้าควรที่จะมีปัญญาข้อใด และอื่นๆ  ด้วยการเข้าสู่และมีประสบการณ์กับความจริงในแง่มุมต่างๆ นี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และกลายเป็นคนที่เพียบพร้อมได้  ดังนั้นในตอนนี้พวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงไปกี่แง่มุมแล้ว?  มีความเป็นจริงความจริงในแง่มุมใดที่พวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่?  พวกเจ้าต้องคอยติดตามดูข้อเท็จจริงนี้อยู่ในหัวใจของพวกเจ้า  เมื่อพวกเจ้าเข้าสู่ความจริงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติไปมากมายหลายข้อ เมื่อนั้นชีวิตของพวกเจ้าย่อมจะเติบโตแล้ว และพวกเจ้าย่อมจะมีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง  เมื่อวุฒิภาวะของพวกเจ้าเติบโตจนถึงระดับหนึ่ง เมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่เส้นทางที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และพวกเจ้าก็จะมีวุฒิภาวะอันแท้จริง  นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเร่งรัดได้—พวกเจ้าไม่สามารถกินช้างทั้งตัวได้ในคำเดียว  ตอนนี้สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่พวกเจ้าจำเป็นต้องแก้ไขคือเรื่องใด?  คือเรื่องที่ว่าพวกเจ้าต้องทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดี และมีการเข้าสู่ชีวิตในระหว่างที่พวกเจ้าทำหน้าที่  นี่คือกุญแจสำคัญ  เจ้าจะเอาแต่ใช้ความพยายามเท่านั้นไม่ได้—เจ้าต้องทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ด้วย  พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะให้เจ้าขายการลงแรงของตนในยามที่เจ้าทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่พระองค์ทรงต้องการให้เจ้ามอบถวายความจริงใจให้พระองค์  ยามที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องมีการเข้าสู่ชีวิต  เฉพาะเมื่อเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต เจ้าจึงจะมีชีวิต เฉพาะเมื่อเจ้ามีชีวิตแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะเติบโตได้ และผู้ที่มีชีวิตเท่านั้นที่จะมีความจริง

10 สิงหาคม ค.ศ. 2015

ก่อนหน้า: การที่จะได้รับความจริง คนเราต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายรอบตัว

ถัดไป: โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถสลัดโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทิ้งได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger