ข) อันตรายและผลที่เกิดกับผู้คนจากการใช้อำนาจของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

นับแต่มวลมนุษย์สร้างศาสตร์ต่างๆ ทางด้านสังคมขึ้นมา จิตใจของมนุษย์ก็ถูกศาสตร์และความรู้จับจอง  จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ ไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะให้มนุษย์นมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว  ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์  เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจของเขา โลกภายในของมนุษย์ก็มืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า  ภายหลังบรรดานักสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองมากมายได้ก้าวออกมาแสดงทฤษฎีต่างๆ ทางสังคมศาสตร์ ทฤษฎีเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ และทฤษฎีอื่นๆ ซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา เพื่อใช้เติมลงไปในหัวใจและจิตใจของมวลมนุษย์ให้เต็ม และเช่นนี้เอง ผู้คนที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงลดน้อยลงทุกที และบรรดาผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการกลับมีจำนวนมากขึ้นตลอดเวลา  ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับงานของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในยุคแห่งพันธสัญญาเดิมราวกับเป็นนิทานปรัมปราและตำนานมากขึ้นทุกที  ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนไม่แยแสพระเกียรติภูมิและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่สนใจหลักความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่และมีอำนาจครอบครองสรรพสิ่งทั้งมวล  ความอยู่รอดของมวลมนุษย์และชะตากรรมของประเทศต่างๆ และชนชาติต่างๆ ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป และมนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ในโลกอันกลวงเปล่า ใส่ใจเพียงเรื่องการกิน การดื่ม และการวิ่งไล่ตามความหรรษายินดี… มีผู้คนน้อยนิดที่คิดได้เองในการที่จะเสาะแสวงว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติงานของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด หรือมองดูว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและเป็นประธานเหนือบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร  และเช่นนี้เอง อารยธรรมของมนุษย์จึงกลายเป็นว่าสามารถสอดรับกับความปรารถนาของมนุษย์ได้น้อยลงทุกที โดยที่มนุษย์มิได้รู้ตัวเลย และมิหนำซ้ำยังมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่า พวกเขามีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกแบบนี้น้อยกว่าบรรดาผู้ที่ตายจากไปแล้วเสียอีก  แม้แต่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่เคยมีอารยธรรมสูงส่งก็ยังออกมาแสดงความคับข้องใจดังกล่าว  ด้วยความที่ปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าบรรดานักปกครองและนักสังคมศาสตร์ จะขบคิดกันจนสมองแทบแตกอย่างไร ในอันที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์เอาไว้ ก็เป็นการไร้ประโยชน์  ไม่มีใครสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของมนุษย์ได้ เพราะไม่มีใครสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่มีทฤษฎีเชิงสังคมข้อไหนที่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความว่างเปล่าที่เขากำลังทนทรมาน  ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ยังคงมีบาปและคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการสำรวจค้นคว้าและอุทิศทุ่มเทอย่างไร้สติของมนุษย์ ทำได้แค่เพียงนำไปสู่ความเศร้าหมองที่มากขึ้นเท่านั้น และทำได้เพียงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาเท่านั้น โดยไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอนาคตของมวลมนุษย์อย่างไร หรือจะเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอย่างไร  มนุษย์ถึงขั้นมาหวาดกลัวต่อวิชาและความรู้ และยิ่งจะหวาดกลัวความรู้สึกที่ว่างเปล่า  ในโลกใบนี้ เจ้าไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมของมนุษยชาติได้โดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องคำนึงว่า เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีหรือในประเทศที่ปราศจากสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง เจ้าก็ไม่สามารถหลีกหนีความต้องการที่จะค้นคว้าเปิดเผยชะตากรรม ความล้ำลึก และบั้นปลายของมวลมนุษย์ได้  นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถหลีกหนีไปได้จากสำนึกอันว้าวุ่นสับสนแห่งความว่างเปล่า  ปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ได้ถูกนักสังคมศาสตร์เรียกว่าปรากฏการณ์ทางสังคม แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถออกมาแสดงตนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว  ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้  มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาคเท่านั้น สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา  มีเพียงยามที่มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้าและความรอดของพระองค์แล้วเท่านั้น ที่ความต้องการต่างๆ ความโหยหาที่จะค้นคว้าเปิดเผย และความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะสามารถได้รับการแก้ไข  หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความเสื่อมถอย ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า

บางที ณ ปัจจุบันนี้ ประเทศของเจ้าอาจกำลังรุ่งเรือง แต่หากเจ้าปล่อยให้ประชาชนของเจ้าหันเหไกลห่างไปจากพระเจ้า เมื่อนั้น ประเทศของเจ้าอาจพบว่า ตัวเองได้สูญเสียพรจากพระเจ้าไปมากขึ้นทุกที  อารยธรรมของประเทศของเจ้าจะถูกเหยียบย่ำทำลายอยู่ใต้ฝ่าเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า ผู้คนก็จะลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้า และสาปแช่งฟ้า  และเมื่อเป็นเช่นนั้น ชะตากรรมของประเทศนั้นก็จะพินาศย่อยยับ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พระเจ้าจะทรงเพิ่มจำนวนประเทศที่มีอำนาจเพื่อถ่วงดุลประเทศที่พระเจ้าสาปแช่ง และอาจทรงถึงขั้นกวาดล้างพวกนั้นออกไปจากแผ่นดินโลกเลยก็เป็นได้  ความรุ่งเรืองและความล่มสลายของประเทศหรือชนชาติหนึ่งนั้น กล่าวได้จริงๆ ว่า ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ปกครองทั้งหลายนมัสการพระเจ้าหรือไม่  และพวกเขานำประชาชนของพวกเขาให้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าหรือไม่  และยังไม่เพียงเท่านั้น ในยุคสมัยสุดท้ายนี้ ด้วยเหตุที่ผู้คนซึ่งแสวงหาและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นหายากมากขึ้นทุกที พระเจ้าจึงประทานความโปรดปรานพิเศษให้แก่ประเทศต่างๆ ที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ  พระองค์ทรงรวบรวมประเทศเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างค่ายที่ค่อนข้างเที่ยงธรรมของโลกขึ้นมา ในขณะที่บรรดาประเทศที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และพวกที่ไม่นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ กลับกลายเป็นปฏิปักษ์กับค่ายอันเที่ยงธรรมนี้  ด้วยวิธีนี้ พระเจ้าไม่เพียงมีสถานที่สำหรับสถิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ แต่ยังทรงได้รับประเทศต่างๆ ที่สามารถใช้สิทธิอำนาจได้อย่างเที่ยงธรรม ช่วยให้บทลงโทษและข้อจำกัดต่างๆ ถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศเหล่านั้นที่ต่อต้านพระองค์  แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงไม่มีประชาชนเดินหน้าเข้ามานมัสการพระเจ้าเพิ่มอีก เพราะมนุษย์ได้หันเหห่างจากพระองค์จนไกลเกินไปแล้ว และมนุษย์ได้ลืมเลือนพระเจ้าไปนานเกินไป  ที่ยังหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินโลกมีเพียงประเทศต่างๆ ที่ใช้ความเที่ยงธรรมและต่อต้านความอยุติธรรมเท่านั้น  แต่นี่ก็ยังห่างไกลความปรารถนาของพระเจ้า ด้วยความที่ไม่มีผู้ปกครองของประเทศไหนที่จะอนุญาตให้พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือประชาชนของพวกเขา และไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะรวบรวมผู้คนของตนเข้าด้วยกันเพื่อมานมัสการพระเจ้า  พระเจ้าทรงสูญเสียสถานที่อันเป็นสิทธิ์ของพระองค์ในหัวใจของทุกประเทศ ชนชาติ พรรครัฐบาล  และแม้แต่ในหัวใจของบุคคลทุกคน  แม้จะมีกลุ่มอำนาจที่เที่ยงธรรมอยู่บนโลกนี้ แต่การปกครองซึ่งพระเจ้าไม่ทรงมีที่สถิตอยู่ในหัวใจของมนุษย์นั้นช่างเปราะบาง  เมื่อปราศจากพรจากพระเจ้า เวทีการเมืองก็จะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และกลับกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะทานทนการโจมตีแม้สักครั้งได้  สำหรับมวลมนุษย์แล้ว ความเป็นอยู่ที่ปราศจากพรจากพระเจ้านั้น เป็นเสมือนความเป็นอยู่ที่ปราศจากดวงอาทิตย์  ไม่ว่านักปกครองทั้งหลายจะมีส่วนร่วมแบ่งปันต่อประชาชนของตัวเองกันอย่างใส่ใจแข็งขันเช่นไร ไม่ว่ามนุษยชาติจะจัดประชุมเพื่อหารือกันอย่างเที่ยงธรรมสักกี่ครั้ง ไม่มีอะไรสักอย่างในนี้ที่จะมาย้อนกระแสหรือมาปรับเปลี่ยนชะตากรรมของมวลมนุษย์  มนุษย์เชื่อว่า ในประเทศหนึ่งซึ่งมีประชาชนที่มีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่มสวมใส่ โดยมีพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขนั้น เป็นประเทศที่ดี และเป็นประเทศที่มีสภาวะผู้นำที่ดีประเทศหนึ่ง  แต่พระเจ้ามิได้ทรงดำริเช่นนั้น  พระองค์เชื่อว่า ประเทศหนึ่งซึ่งไม่มีใครนมัสการพระองค์เลยนั้น คือประเทศที่พระองค์จะต้องทำลายล้างให้สิ้นซาก  วิธีคิดของมนุษย์นั้นขัดแย้งกับวิธีคิดของพระเจ้ามากเกินไป  ดังนั้น หากผู้นำของประเทศหนึ่งไม่นมัสการพระเจ้า เมื่อนั้น ชะตากรรมของประเทศนี้ก็จะเป็นชะตากรรมที่น่าเวทนา และประเทศนั้นก็จะไร้แล้วซึ่งจุดหมายปลายทาง

พระเจ้าไม่ได้มีส่วนในทางการเมืองของมนุษย์ กระนั้นชะตากรรมของประเทศหรือชนชาติหนึ่งก็ยังถูกควบคุมโดยพระเจ้า  พระเจ้าทรงควบคุมโลกนี้และจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น  ชะตากรรมของมนุษย์และแผนการของพระเจ้าเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น และไม่มีมนุษย์ ประเทศ หรือชนชาติใดที่ได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระเจ้า  หากมนุษย์ปรารถนาจะรู้ชะตากรรมของเขา เขาจะต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์  พระเจ้าจะทรงทำให้ผู้คนที่ติดตามและนมัสการพระองค์มีความเจริญรุ่งเรือง และจะทรงนำความเสื่อมและการสาบสูญไปสู่ผู้คนที่ต่อต้านและปฏิเสธพระองค์

ลองระลึกถึงฉากเหตุการณ์หนึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คราที่พระเจ้าทรงก่อให้เกิดการทำลายล้างเมืองโสโดม และลองนึกถึงการที่ภรรยาของโลทกลายไปเป็นเสาเกลือได้อย่างไรเช่นกัน  ลองรำลึกย้อนไปว่าประชาชนของเมืองนีนะเวห์ ได้กลับใจจากบาปของพวกเขาด้วยการใส่ชุดผ้ากระสอบและเข้าไปอยู่ในกองเถ้าอย่างไร และลองระลึกย้อนไปว่า อะไรที่ตามมาหลังจากที่ชาวยิวได้ตอกตรึงพระเยซูเข้ากับกางเขนเมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา  พวกยิวได้ถูกขับออกจากประเทศอิสราเอล และหลบหนีไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีมากมายที่ถูกฆ่า และชนชาติยิวทั้งชาติก็ตกอยู่ภายใต้ความเจ็บปวดจากความย่อยยับของประเทศของพวกเขาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน  พวกนั้นได้ตอกตรึงพระเจ้าเข้ากับกางเขน—กระทำผิดในบาปที่ชั่วช้ารุนแรงที่สุด—และยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พวกเขาจำต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำ และจำต้องแบกรับผลสืบเนื่องทั้งหมดที่มาจากการกระทำของพวกเขา  พวกนั้นกล่าวโทษพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า และดังนั้น พวกเขาจึงมีเพียงชะตากรรมเดียว นั่นคือ ถูกลงโทษโดยพระเจ้า  นี่คือผลสืบเนื่องอันขมขื่นที่ตามมา และเป็นความวิบัติที่ผู้ปกครองทั้งหลายของพวกเขานำพามาสู่ประเทศและชนชาติของพวกเขาเอง

มาวันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาสู่โลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  จุดแรกที่พระองค์ทรงเริ่มงานก็คือ แบบอย่างของกลุ่มผู้ปกครองจอมเผด็จการ นั่นคือ ประเทศจีน ป้อมปราการอันเด็ดเดี่ยวแข็งขันในความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าทรงได้ผู้คนมากลุ่มหนึ่งด้วยพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพของพระองค์  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระองค์ทรงถูกตามล่าโดยพรรครัฐบาลของจีนในทุกวิถีทาง และตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่มีสถานที่ให้พระศิระของพระองค์ทรงเอนพัก ไม่สามารถหาที่พำนักกำบังกาย  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงทรงพระราชกิจที่พระองค์ทรงเจตนาที่จะทำต่อไป พระองค์ดำรัสพระสุรเสียงของพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกถึงมหิทธานุภาพของพระเจ้า  ในประเทศจีน ประเทศหนึ่งซึ่งถือพระเจ้าเป็นศัตรู พระเจ้ากลับไม่เคยหยุดทรงพระราชกิจของพระองค์  กลับกลายเป็นว่า มีประชาชนจำนวนมากขึ้นได้ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ อันเนื่องมาจากการที่พระเจ้าทรงช่วยสมาชิกของมวลมนุษย์ทุกคนให้รอดจนถึงขอบข่ายที่เป็นไปได้มากที่สุด  พวกเราเชื่อใจว่า ไม่มีประเทศหรือพลังอำนาจใดสามารถมาขวางทางในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์  คนเหล่านั้นที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนและทำให้แผนการของพระเจ้าเสียหาย จะต้องถูกพระเจ้าทรงลงโทษในท้ายที่สุด  เขาผู้ซึ่งขัดขืนพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกส่งไปลงนรก ประเทศใดที่ขัดขืนพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกทำลาย ชนชาติใดก็ตามที่ลุกขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกกวาดล้างออกไปจากแผ่นดินโลกและถึงกาลดับสูญ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณและประวัติศาสตร์ซึ่งกินเวลาหลายพันปีได้ปิดตายความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และทัศนะทางจิตใจของเขาอย่างแน่นหนาจนทำให้ไม่มีอะไรซึมแทรกผ่านสิ่งเหล่านั้นได้และทำให้สิ่งเหล่านั้นมิอาจย่อยสลายได้[1]  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในนรกขุมที่สิบแปด ที่ซึ่งอาจไม่เคยได้พบเห็นความสว่างเลย ราวกับว่าพวกเขาได้ถูกพระเจ้าทรงเนรเทศไปอยู่ในคุกใต้ดิน  การคิดแบบศักดินาได้กดขี่ผู้คนมากเสียจนพวกเขาแทบไม่สามารถหายใจได้และกำลังหายใจไม่ออก  พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้สักหยดที่จะต้านทาน ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือสู้ทนและสู้ทนในความเงียบ… วันแล้ววันเล่า และปีแล้วปีเล่า ไม่เคยมีผู้ใดเลยที่กล้าจะต่อสู้ดิ้นรนและลุกยืนขึ้นเพื่อความชอบธรรมและความยุติธรรม ผู้คนก็แค่ดำรงวิถีชีวิตซึ่งแย่กว่าวิถีชีวิตของสัตว์ อยู่ภายใต้เรื่องเคราะห์ร้ายทั้งหลายและการทารุณกรรมของจริยธรรมแนวศักดินา  พวกเขาไม่เคยคิดที่จะแสวงหาจนพบพระเจ้าเพื่อชื่นชมความสุขในโลกมนุษย์  ราวกับว่าผู้คนได้ถูกทุบตีจนถึงจุดที่พวกเขาเป็นเหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง เหี่ยวเฉา แห้งกรอบ และเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล  ผู้คนได้สูญสิ้นความทรงจำของพวกเขานานมาแล้ว พวกเขาดำรงชีวิตอย่างอับจนหนทางในนรกซึ่งเรียกกันว่าโลกมนุษย์ โดยรอคอยการมาถึงของวันสุดท้ายเพื่อที่พวกเขาอาจพินาศไปด้วยกันกับนรกนี้ ราวกับว่าวันสุดท้ายที่พวกเขาโหยหานั้นคือวันที่มนุษย์จะชื่นชมสันติสุขอันสงบ  จริยธรรมแนวศักดินาทั้งหลายได้นำชีวิตของมนุษย์ไปสู่ “แดนคนตาย” โดยทำให้พลังในการต้านทานของมนุษย์ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก  การกดขี่ทุกชนิดผลักมนุษย์ให้ตกลงไปสู่แดนคนตายลึกลงไปอีกทีละขั้นๆ ห่างไกลพระเจ้าออกไปทุกที จนกระทั่งวันนี้เขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพระเจ้าโดยสิ้นเชิงและร้อนรนที่จะหลีกเลี่ยงพระองค์เมื่อเขากับพระเจ้ามาพบกัน  มนุษย์ไม่ใส่ใจพระองค์และทิ้งให้พระองค์ทรงยืนอยู่ตามลำพังทางฟากหนึ่ง ราวกับว่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักพระองค์ ไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อน… ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้แอบขโมยมนุษย์ไปจากการสถิตของพระเจ้า และได้จัดส่งเขาไปยังกษัตริย์ของพวกมารและหน่อเนื้อเชื้อไขของมัน  สี่หนังสือห้าคัมภีร์[ก]ได้นำความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ไปสู่อีกยุคแห่งการกบฏ อันเป็นเหตุให้เขายิ่งให้การยกย่องสรรเสริญแก่พวกที่ได้รวบรวมหนังสือ/คัมภีร์ที่เป็นเอกสารหลักฐานทั้งหลายมากขึ้นไปอีก และผลก็คือมโนคติที่หลงผิดของเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายิ่งซ้ำร้ายเข้าไปใหญ่  กษัตริย์ของพวกมารได้ขับไล่พระเจ้าจากหัวใจของมนุษย์อย่างเลือดเย็นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว และจากนั้นตัวมันเองก็เข้าจับจองหัวใจนั้นด้วยความรื่นเริงยินดีในความมีชัย  นับตั้งแต่เวลานั้น มนุษย์ได้กลายมามีดวงจิตที่เลวและอัปลักษณ์ และมีโฉมหน้าของกษัตริย์ของพวกมาร  หัวอกของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังพระเจ้า และความมุ่งร้ายอาฆาตของกษัตริย์ของพวกมารก็ได้แพร่กระจายไปภายในตัวมนุษย์วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งเขาได้ถูกบริโภคจนถึงที่สุด  มนุษย์ไม่ได้มีอิสรภาพอีกต่อไปแม้แต่น้อย และไม่ได้มีหนทางที่จะหลุดพ้นเป็นอิสระจากบางสิ่งที่มนุษย์เกี่ยวข้องจนแกะไม่ออกของกษัตริย์ของพวกมาร  เขาไม่ได้มีทางเลือกนอกจากจะถูกจับเป็นเชลยคาที่ ยอมจำนนและล้มลงนบนอบต่อหน้ามัน  นานมาแล้ว เมื่อหัวใจและดวงจิตของมนุษย์ยังคงอยู่ในวัยทารก กษัตริย์ของพวกมารได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ของเนื้อร้ายแห่งการเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงไว้ในนั้น โดยสอนเหตุผลวิบัติมากมายให้แก่เขา อาทิ “จงศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จงตระหนักถึงนโยบายสี่ทันสมัย และไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก”  ไม่เพียงแค่นั้น มันยังโห่ร้องในทุกโอกาสเหมาะว่า  “ขอให้พวกเราจงพึ่งพาแรงงานในการตรากตรำทำกินของพวกเราเพื่อสร้างถิ่นฐานอันสวยงาม” โดยขอให้แต่ละบุคคลตระเตรียมตั้งแต่วัยเด็กเพื่อทำการปรนนิบัติอันสัตย์ซื่อต่อประเทศของพวกเขา  มนุษย์ซึ่งไม่รู้ตัวได้ถูกนำไปอยู่ต่อหน้ามัน โดยที่มันแอบอ้างสิทธิ์เหนือความน่าเชื่อถือทั้งหมด (หมายถึงความน่าเชื่อถือที่เป็นของพระเจ้าสำหรับการถือครองมวลมนุษย์ทั้งปวงไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์) ไว้กับตัวมันเองอย่างไม่ลังเลใจ  มันไม่เคยมีสำนึกถึงความละอายใจอันใดเลย  ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ฉวยเอาประชากรของพระเจ้าไปอย่างไร้ยางอายและได้ลากพวกเขากลับไปอยู่ในบ้านของมัน ที่ซึ่งมันได้กระโจนขึ้นไปอยู่บนโต๊ะเหมือนกับหนูตัวหนึ่ง และได้ให้มนุษย์เคารพบูชามันในฐานะพระเจ้า  ช่างเป็นผู้ร้ายยิ่งนัก!  มันร้องตะโกนสิ่งทั้งหลายที่น่าตกตะลึงเป็นที่อื้อฉาว อาทิ  “ไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก  ลมนั้นมาจากการแปลงสภาพตามกฎธรรมชาติ โดยที่ฝนนั้นมาตอนที่ไอน้ำซึ่งพบกับอุณหภูมิเย็นกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำที่ตกลงสู่แผ่นดินโลก แผ่นดินไหวคือการสั่นสะเทือนของพื้นผิวของแผ่นดินโลกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ภัยแล้งก็เป็นเพราะความแห้งในอากาศที่มีเหตุมาจากการรบกวนทางพลังงานนิวเคลียร์บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์  เหล่านี้คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  ในทั้งหมดนี้มีการกระทำของพระเจ้าอยู่ที่ไหนตรงเล่า?”  มีแม้กระทั่งพวกที่โห่ร้องถ้อยแถลงดังต่อไปนี้ ถ้อยแถลงที่ไม่ควรได้รับการเปล่งเสียงออกมา นั่นคือ  “มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากพวกลิงในสมัยโบราณ และโลกทุกวันนี้ก็มาจากการสืบทอดของสังคมดึกดำบรรพ์ที่เริ่มตั้งแต่ประมาณกัปกัลป์มาแล้ว  การที่ประเทศหนึ่งจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยหรือไม่นั้นอยู่ในมือของผู้คนของประเทศนั้นทั้งสิ้น”  หลังฉากนั้น มันทำให้มนุษย์แขวนมันไว้บนผนัง หรือไม่ก็วางมันบนโต๊ะเพื่อกราบไหว้และให้ของถวายแก่มัน  ในเวลาเดียวกันกับที่มันร้องตะโกนว่า “ไม่มีพระเจ้า” มันก็ตั้งตัวมันเองเป็นพระเจ้า โดยผลักพระเจ้าออกจากเขตแดนของแผ่นดินโลกอย่างหยาบคายไร้มารยาท พลางก็ยืนในที่ของพระเจ้าและเข้ารับบทบาทเป็นกษัตริย์ของพวกมาร  ช่างหลงออกนอกเหตุผลโดยสิ้นเชิง!  มันทำให้คนเราเกลียดชังมันเข้ากระดูกดำ  ดูเหมือนว่าพระเจ้ากับมันเป็นศัตรูคู่สาบานกัน และทั้งสองก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้  มันออกอุบายเพื่อไล่พระเจ้าออกไปในขณะที่มันตระเวนไปทั่วโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย[2] มันช่างเป็นกษัตริย์ของพวกมารชัดๆ!  การดำรงอยู่ของมันเป็นที่ทนยอมรับได้อย่างไรเล่า?  มันจะไม่หยุดพักจนกว่ามันจะได้สร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับพระราชกิจของพระเจ้าและทิ้งพระราชกิจทั้งหมดไว้ในความโกลาหลโดยสมบูรณ์[3] ราวกับว่ามันต้องการที่จะต่อต้านพระเจ้าไปจนกว่าจะหาไม่ จนกว่าปลาจะตายหรือไม่ก็แหจะขาด โดยจงใจตั้งตัวมันเองต่อต้านพระเจ้าและกดดันใกล้เข้ามาทุกที  ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของมันที่ได้ถูกถอดหน้ากากออกอย่างหมดเปลือกนานมาแล้ว บัดนี้มันบอบช้ำและสะบักสะบอม[4]และอยู่ในภาวะที่น่าเสียใจ ทว่ามันก็จะยังคงไม่ลดละความเกลียดชังของมันที่มีต่อพระเจ้า ราวกับว่า มันจะบรรเทาความเกลียดชังที่กักขังไว้ในหัวใจของมันได้ก็โดยการสวาปามกลืนพระเจ้าเข้าไปแบบเต็มปากเต็มคำเท่านั้น  พวกเราสามารถทนยอมรับมันได้อย่างไร ศัตรูตัวนี้ของพระเจ้า!  การถอนรากถอนโคนและการกำจัดมันให้สิ้นซากเท่านั้นที่จะนำความปรารถนาของชีวิตของพวกเราไปสู่การผลิดอกออกผลได้  มันสามารถได้รับอนุญาตให้อาละวาดเพ่นพ่านต่อไปได้อย่างไรกัน?  มันได้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจนถึงระดับที่มนุษย์ไม่รู้จักสวรรค์สุริยัน และได้กลายเป็นตายซากและไร้ความรู้สึก  มนุษย์ได้สูญเสียเหตุผลของมนุษย์ปกติไปแล้ว  เหตุใดเล่าจึงไม่มอบถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดของพวกเราเพื่อทำลายมันและเผามันให้ไหม้จนหมดสิ้นเพื่อกำจัดทิ้งความกังวลทั้งหมดเกี่ยวกับอนาคต และเปิดโอกาสให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ไปถึงความตระการตาอันไม่เคยมีมาก่อนได้เร็วขึ้น?  บรรดาวายร้ายแก๊งนี้ได้มาสู่โลกของพวกมนุษย์และได้ลดทอนโลกมนุษย์ไปสู่ความสับสนอลหม่าน  พวกมันได้นำมนุษยชาติทั้งปวงไปสู่ขอบหน้าผา โดยแอบวางแผนที่จะผลักพวกเขาลงไปให้กระแทกแหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อที่ในเวลาต่อมาพวกมันอาจสวาปามซากศพของพวกเขา พวกมันหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะทำลายแผนของพระเจ้าและเข้าสู่การจับคู่แข่งขันกับพระองค์ โดยเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว[5]  นั่นไม่ง่ายดายเลยสักวิถีทาง!  จะว่าไป กางเขนก็ได้ถูกตระเตรียมไว้แล้วให้กับกษัตริย์ของพวกมารผู้มีความผิดฐานก่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด  พระเจ้าไม่ทรงเป็นของกางเขน  พระองค์ได้ทรงโยนมันทิ้งไปข้างๆ ให้แก่มารแล้ว  บัดนี้พระเจ้าได้ทรงผงาดขึ้นมีชัยชนะมานานแล้ว และไม่ทรงรู้สึกเศร้าโศกในเรื่องบาปทั้งหลายของมวลมนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่กลับจะทรงนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวงแทน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)

เชิงอรรถ:

1. “มิอาจย่อยสลายได้” ในที่นี้มีเจตนาให้เป็นคำเสียดสี โดยหมายความว่า ผู้คนแข็งขืนอยู่ในความรู้ วัฒนธรรม และทัศนะทางจิตวิญญาณของพวกเขา

2. “ตระเวนไปทั่วโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย” บ่งชี้ว่ามารนั้นคลุ้มคลั่งและวิ่งพล่าน

3. “ความโกลาหลโดยสมบูรณ์” อ้างอิงถึงการที่พฤติกรรมรุนแรงของมารนั้นมิอาจที่จะทนดูได้เพียงใด

4. “บอบช้ำและสะบักสะบอม” อ้างอิงถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของกษัตริย์ของพวกมาร

5. “เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว” หมายถึงการวางเงินทั้งหมดของคนเราในการเดิมพันครั้งเดียว ด้วยความหวังว่า สุดท้ายแล้วก็จะชนะ  นี่คือคำอุปมาสำหรับกลอุบายอันมุ่งร้ายและสามานย์ของมาร  สำนวนนี้ใช้ในทางเย้ยหยัน

ก. สี่หนังสือห้าคัมภีร์เป็นหนังสือที่เชื่อถือได้อย่างเป็นทางการของลัทธิขงจื๊อในประเทศจีน


หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด  แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน  มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน  มนุษย์ที่เราเฝ้ามองคือสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่งในเครื่องแต่งกายของมนุษย์ เขาเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง และไม่สำคัญว่าเขาพยายามทำตัวให้ดูเหมือนน่าเวทนาต่อหน้าต่อตาของเราเพียงใด เราจะไม่มีวันเมตตาเขา ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่มีการจับความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างขาวกับดำ ในความแตกต่างระหว่างความจริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  สำนึกรับรู้ของมนุษย์ด้านชายิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะได้รับพร สภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาต่ำศักดิ์ยิ่งนัก กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีอธิปไตยของกษัตริย์  เขาจะสามารถเป็นกษัตริย์ของใครได้ ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนั้น?  เขาที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นจะสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่มีความละอายใจจริงๆ!  เขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ทะนงตนคนหนึ่ง!  สำหรับพวกเจ้าที่ปรารถนาจะได้รับพร เราขอแนะนำให้เจ้าหากระจกเงาบานหนึ่งแล้วมองดูภาพสะท้อนอันน่าเกลียดของเจ้าเองเสียก่อน—เจ้ามีสิ่งจำเป็นในการเป็นกษัตริย์หรือไม่?  เจ้ามีหน้าตาเหมือนผู้หนึ่งซึ่งสามารถได้รับพรหรือไม่?  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเลยแม้แต่น้อยและเจ้ายังไม่ได้นำความจริงใดๆ มาปฏิบัติเลย กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาที่จะมีวันพรุ่งนี้ที่น่าอัศจรรย์อยู่อีก  เจ้ากำลังหลอกตัวเอง!  มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง  เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และได้รับการสอนใน “สถาบันอุดมศึกษา” การคิดอ่านที่ล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาที่น่าดูหมิ่นของการติดต่อเจรจาทางโลก การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—ทั้งหมดนี้ได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง  ผลก็คือ มนุษย์ออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจนบนอบพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้อำนาจของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน  แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม  มนุษย์ที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร?  มนุษย์ที่เสื่อมศีลธรรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากศัตรูของเรา  มนุษย์คือพวกคนทำชั่วที่ต่อต้านและไม่เชื่อฟังเรา  มนุษย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากลูกหลานของมารร้ายที่ถูกเราสาปแช่ง  มนุษย์เป็นเพียงพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่ทรยศเรา  มนุษย์เป็นเพียงสิ่งที่มารทิ้งเอาไว้ มารที่ถูกเราผลักไสเมื่อนานมาแล้วและเป็นศัตรูที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ของเรานับแต่นั้นมา  เพราะท้องฟ้าเหนือมวลมนุษย์ทั้งมวลนั้นขุ่นมัวและมืด ปราศจากร่องรอยของความชัดเจนแม้แต่เพียงเล็กน้อย และโลกมนุษย์ก็ถลำเข้าสู่ความมืดมิด จนผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นั้นไม่สามารถเห็นแม้กระทั่งมือของเขาที่ยืดจนสุดต่อหน้าของเขาหรือเห็นดวงอาทิตย์เมื่อเขาผงกหัวขึ้น  ถนนใต้ฝ่าเท้าของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยโคลนและมีหลุมอยู่ทุกที่ คดเคี้ยวไปมา ทั้งแผ่นดินเกลื่อนไปด้วยซากศพ  มุมมืดทั้งหลายเต็มไปด้วยซากคนตาย และในมุมที่เยือกเย็นและอยู่ใต้เงาทั้งหลาย ปีศาจหลายฝูงได้เข้าไปอยู่อาศัยแล้ว  และทุกแห่งในโลกของพวกมนุษย์บรรดาปีศาจมาแล้วก็ไปเป็นโขยง  ลูกหลานของเหล่าสัตว์เดียรัจฉานทุกรูปแบบ ซึ่งปกคลุมไปด้วยความโสโครก ติดพันอยู่ในการสู้รบที่ดุเดือด ซึ่งเสียงของมันนั้นก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อหัวใจ  ในช่วงเวลาเช่นนั้น ในโลกเช่นนั้น “สวรรค์ของโลกมนุษย์” เช่นนั้น คนเราไปที่ไหนเพื่อค้นหาความสุขทั้งหลายของชีวิต?  คนเราสามารถไปที่ไหนได้เพื่อค้นหาบั้นปลายของชีวิตของเขา?  มวลมนุษย์ ซึ่งนานมาแล้วได้ถูกเหยียบย่ำภายใต้ฝ่าเท้าของซาตาน ตั้งแต่แรกได้เป็นผู้แสดงที่สวมใส่รูปลักษณ์ของซาตาน—ยิ่งไปกว่านั้น มวลมนุษย์คือร่างทรงของซาตาน และทำหน้าที่เป็นหลักฐานซึ่งเป็นพยานให้แก่ซาตานอย่างกึกก้องและชัดเจน  เผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนั้น กลุ่มคนชั้นต่ำเสื่อมโทรมเช่นนั้น เชื้อสายเช่นนั้นของตระกูลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้ สามารถเป็นพยานต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  สง่าราศีของเรามาจากที่ใดเล่า?  คนเราสามารถเริ่มพูดถึงคำพยานของเราได้ที่ใดเล่า?  เพราะศัตรูซึ่งต่อต้านเราหลังจากได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามแล้ว ได้ครอบครองมวลมนุษย์แล้ว—มวลมนุษย์ซึ่งเราได้สร้างขึ้นนานมาแล้วและซึ่งถูกเติมด้วยสง่าราศีของเราและการใช้ชีวิตของเรา—และได้ทำให้พวกเขาแปดเปื้อน  มันได้ฉกฉวยสง่าราศีของเราไป และทั้งหมดที่มันได้รดใส่มนุษย์ก็คือพิษที่เจือปนอย่างมากมายด้วยความน่าเกลียดของซาตาน และน้ำผลไม้จากผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว  ในปฐมกาล เราได้สร้างมวลมนุษย์ นั่นคือ เราได้สร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ คืออาดัม  เขาได้รับมอบทั้งรูปสัณฐานและรูปลักษณ์ ปริ่มด้วยเรี่ยวแรง ปริ่มด้วยพลังชีวิต และยิ่งไปกว่านั้น ได้อยู่ด้วยกันกับสง่าราศีของเรา  นั่นเป็นวันอันรุ่งโรจน์เมื่อเราได้สร้างมนุษย์  หลังจากนั้น เอวาก็ได้ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายของอาดัม และเธอก็เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เช่นกัน และดังนั้นผู้คนที่เราได้สร้างขึ้นจึงถูกเติมด้วยลมหายใจของเราและปริ่มด้วยสง่าราศีของเรา  แต่เดิมนั้น อาดัมถือกำเนิดมาจากมือของเราและเป็นตัวแทนของฉายาของเรา  ด้วยเหตุนี้ ความหมายดั้งเดิมของ “อาดัม” ก็คือสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่เราสร้าง ชุ่มฉ่ำไปด้วยพลังชีวิตของเรา ชุ่มฉ่ำไปด้วยสง่าราศีของเรา มีรูปสัณฐานและภาพลักษณ์ มีวิญญาณและลมหายใจ  เขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างขึ้นเพียงสิ่งเดียว ซึ่งมีจิตวิญญาณ ที่มีความสามารถในการเป็นตัวแทนเรา ในการแบกรับฉายาของเรา และได้รับลมหายใจของเรา  ในปฐมกาล เอวาเป็นมนุษย์คนที่สองที่ได้รับมอบลมหายใจผู้ซึ่งเราได้กำหนดการสร้างไว้ ดังนั้นความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ที่จะดำเนินสง่าราศีของเราต่อไป ถูกเติมด้วยพลังชีวิตของเราและยิ่งไปกว่านั้นคือได้รับมอบสง่าราศีของเรา เอวามาจากอาดัม ดังนั้นเธอจึงมีฉายาของเราด้วยเช่นกัน เพราะเธอเป็นมนุษย์คนที่สองที่ถูกสร้างขึ้นในฉายาของเรา  ความหมายดั้งเดิมของ “เอวา” ก็คือมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ มีจิตวิญญาณ เนื้อหนัง และกระดูก คำพยานที่สองของเรา รวมทั้งฉายาที่สองของเราท่ามกลางมวลมนุษย์  พวกเขาคือบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เป็นสมบัติอันบริสุทธิ์และล้ำค่าของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่ได้รับมอบจิตวิญญาณตั้งแต่แรก อย่างไรก็ดี มารร้ายได้เหยียบย่ำและได้จับลูกหลานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์เป็นเชลย ผลักโลกมนุษย์จมดิ่งสู่ความมืดมิด และทำให้มันเป็นไปเพื่อที่ว่าลูกหลานจะไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของเราอีกต่อไป  ที่น่าสะอิดสะเอียนมากยิ่งกว่าก็คือว่า แม้ในขณะที่มารร้ายทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและเหยียบย่ำพวกเขา มันกำลังกระชากสง่าราศีของเรา คำพยานของเรา พลังชีวิตที่เราได้มอบให้พวกเขา ลมหายใจและชีวิตที่เราได้เป่าเข้าไปในพวกเขา สง่าราศีทั้งหมดของเราในโลกมนุษย์ และโลหิตของหัวใจทั้งหมดที่เราได้ใช้กับมวลมนุษย์อย่างโหดร้าย  มนุษยชาติไม่ได้อยู่ในความสว่างอีกต่อไป ผู้คนได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มอบให้พวกเขา และพวกเขาได้ละทิ้งสง่าราศีที่เราได้ให้ไว้  พวกเขาสามารถรับรู้ว่าเราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างทั้งมวลได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถเชื่อต่อไปในการดำรงอยู่ของเราในสวรรค์ได้อย่างไร?  พวกเขาสามารถค้นพบการสำแดงต่างๆ ของสง่าราศีของเราบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวเหล่านี้สามารถรับพระเจ้าซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาเองเคยยำเกรงในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสร้างพวกเขาได้อย่างไร?  บรรดาหลานชายและหลานสาวที่น่าสงสารเหล่านี้ได้ “มอบ” สง่าราศี ฉายา และคำพยานซึ่งเราได้ให้แก่อาดัมและเอวา รวมทั้งชีวิตซึ่งเราได้ให้แก่มวลมนุษย์และซึ่งพวกเขาพึ่งพาเพื่อที่จะดำรงอยู่ ให้กับมารร้ายอย่างมีน้ำใจ และพวกเขาไม่ใส่ใจในการปรากฏของมารร้ายอย่างที่สุด และมอบสง่าราศีของเราทั้งหมดให้กับมัน  นี่ไม่ใช่แหล่งที่มาที่แท้จริงของชื่อ “คนชั้นต่ำ” หรอกหรือ?  มวลมนุษย์เช่นนั้น บรรดาปีศาจชั่วร้ายเช่นนั้น บรรดาซากศพเดินได้เช่นนั้น บรรดาร่างจำแลงของซาตานเช่นนั้น เหล่าศัตรูเช่นนั้นของเราจะสามารถครองสง่าราศีของเราได้อย่างไร?  เราจะกลับเข้าครองสง่าราศีของเรา กลับเข้าครองคำพยานของเราซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์ และทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเราและซึ่งเราได้มอบให้มวลมนุษย์นานมาแล้ว—เราจะพิชิตมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ดี เจ้าควรรู้ว่าพวกมนุษย์ที่เราได้สร้างนั้นเป็นพวกคนบริสุทธิ์ซึ่งได้รับฉายาของเราและสง่าราศีของเรา  พวกเขาไม่ได้เป็นของซาตาน และพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การเหยียบย่ำของมัน แต่เป็นเพียงการสำแดงอย่างหนึ่งของเรา ซึ่งปราศจากร่องรอยของพิษของซาตานแม้แต่เพียงเล็กน้อย  และดังนั้น เราแจ้งต่อมนุษยชาติว่าเราต้องการเพียงสิ่งซึ่งถูกสร้างด้วยมือของเรา บรรดาคนบริสุทธิ์ที่เรารักและซึ่งไม่ได้เป็นของแก่นแท้อื่นใด  ยิ่งไปกว่านั้น เราจะมีความพอใจในตัวพวกเขาและพิจารณาพวกเขาว่าเป็นสง่าราศีของเรา  อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่มวลมนุษย์ซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว ซึ่งเป็นของซาตานในวันนี้ และซึ่งไม่ใช่สรรพสิ่งดั้งเดิมที่เราสร้างอีกต่อไป  เพราะเราเจตนาที่จะกลับเข้าครองสง่าราศีของเราซึ่งมีอยู่ในโลกมนุษย์ เราจะพิชิตบรรดาผู้รอดชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงสง่าราศีของเราในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้  เราถือว่าคำพยานของเราเท่านั้นเป็นการตกผลึกของตัวเราเอง เป็นวัตถุแห่งความชื่นชมยินดีของเรา  นี่คือเจตจำนงของเรา

ต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีในประวัติศาสตร์เพื่อให้มวลมนุษย์มาถึงที่ที่ดำรงอยู่ในวันนี้ กระนั้นมวลมนุษย์ที่เราสร้างขึ้นในปฐมกาลก็จมดิ่งอยู่กับความเสื่อมถอยมานานแล้ว  มนุษยชาติไม่ใช่มนุษยชาติที่เราพึงปรารถนาอีกต่อไป และด้วยเหตุนี้ ในสายตาของเรา ผู้คนจึงไม่สมควรได้ชื่อว่ามวลมนุษย์อีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเป็นเศษสวะของมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานจับเป็นเชลย เป็นซากศพเดินได้ที่เน่าเปื่อยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของซาตาน และเป็นสิ่งที่ซาตานใช้สวมใส่  ผู้คนไม่ไว้ใจการดำรงอยู่ของเรา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ต้อนรับการมาของเรา  มวลมนุษย์เพียงแค่ตอบสนองต่อคำร้องขอต่างๆ ของเราอย่างไม่เต็มใจ ยอมตามคำขอเหล่านั้นอย่างเป็นการชั่วคราว และไม่แบ่งปันความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าต่างๆ ของชีวิตกับเราอย่างจริงใจ  เนื่องจากผู้คนเห็นว่าเรานั้นไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ พวกเขาจึงมอบรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจให้เรา ท่าทีของพวกเขาเป็นแบบที่พยายามเริ่มมีสัมพันธภาพกับผู้ที่มีอำนาจ เพราะผู้คนไม่มีความรู้เรื่องงานของเรา และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจตจำนงของเรา ณ ปัจจุบัน  เราจะซื่อสัตย์กับพวกเจ้า กล่าวคือ เมื่อวันนั้นมาถึง ความทุกข์ของใครก็ตามที่นมัสการเราจะแบกรับง่ายกว่าของพวกเจ้า  อันที่จริงแล้ว ระดับของความเชื่อในเราของเจ้าไม่เกินระดับของความเชื่อของโยบ—แม้แต่ความเชื่อของพวกฟาริสีชาวยิวยังเหนือกว่าความเชื่อของพวกเจ้า—และดังนั้น หากวันแห่งไฟลงมา ความทุกข์ของพวกเจ้าจะรุนแรงกว่าความทุกข์ของพวกฟาริสีเมื่อถูกพระเยซูทรงว่ากล่าว รุนแรงกว่าความทุกข์ของผู้นำ 250 คนที่ได้ต่อต้านโมเสส และรุนแรงกว่าความทุกข์ของโสโดมภายใต้เปลวไฟที่แผดเผาของการทำลายล้างของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

พวกที่เป็นมารร้ายล้วนดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง  โดยหลักแล้วทรรศนะชีวิตและคำคมทั้งหลายของพวกเขามาจากคติพจน์ของซาตาน อาทิ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “มนุษย์ยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัติ เหมือนนกยอมตายเพื่ออาหาร” และตรรกะวิบัติอื่นๆ ในทำนองนี้  คำกล่าวทั้งหมดนี้ของพวกราชามาร พวกผู้ยิ่งใหญ่ และนักปรัชญาทั้งหลายได้กลายมาเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ไปแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดส่วนใหญ่ของขงจื๊อผู้ซึ่งชาวจีนกล่าวขวัญว่าเป็น “ปราชญ์” นั้น ได้กลายมาเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ทั้งยังมีสุภาษิตที่มีชื่อเสียงของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า และคติพจน์อมตะของพวกบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงหลากหลายที่ถูกยกมาอ้างบ่อยครั้งอีกเช่นกัน  เหล่านี้ล้วนเป็นบทสรุปปรัชญาทั้งหลายของซาตานและธรรมชาติของซาตาน  สิ่งเหล่านี้ยังเป็นการแสดงตัวอย่างและคำอธิบายที่ดีที่สุดของธรรมชาติของซาตาน  พิษเหล่านี้ที่ถูกซึมซาบเข้าสู่หัวใจของมนุษย์ล้วนมาจากซาตาน และไม่ได้มาจากพระเจ้าแม้แต่น้อย  คำพูดฝ่ายผีปีศาจเช่นนั้นอยู่ในการต่อต้านพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงเช่นกัน  มันชัดเจนอย่างสมบูรณ์ว่า ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งหลายนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และสิ่งทั้งปวงที่เป็นลบซึ่งทำให้มนุษย์ถูกพิษนั้นมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถหยั่งรู้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และหยั่งรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นของใคร โดยดูที่ทรรศนะและค่านิยมที่พวกเขามีต่อชีวิต  ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่  คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ไปแล้ว  “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นคำกล่าวของซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีและถูกปลูกฝังไว้ในตัวทุกคน และนี่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีคำปรัชญาอื่นๆ สำหรับการติดต่อเจรจาทางโลกที่เป็นเช่นนี้ด้วย  ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมของแต่ละชนชาติมาอบรมสั่งสอน ชักพาให้หลงผิด และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้าง และถูกนรกที่ไร้พรมแดนนี้กลืนกิน และสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์

นอกเหนือจากการใช้ผลการค้นหาและข้อสรุปนานาทางวิทยาศาสตร์มาชักพาให้มนุษย์หลงผิดแล้ว ซาตานยังใช้วิทยาศาสตร์เป็นวิถีทางในการดำเนินการทำลายล้างแบบเมามัน และการแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์อีกด้วย  มันทำการนี้ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า หากมนุษย์ดำเนินการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่นนั้นแล้วสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตและคุณภาพของชีวิตของมนุษย์ย่อมจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า จุดประสงค์ของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์นั้นก็เพื่อจัดสนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุที่เพิ่มขึ้นรายวันของผู้คน รวมทั้งความต้องการที่จำเป็นของพวกเขาที่จะทำให้คุณภาพของชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นี่คือพื้นฐานทางทฤษฎีของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของซาตาน  อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์ได้นำสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์เล่า?  สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเรา—และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวง—ไม่ได้สกปรกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ?  อากาศที่มนุษย์หายใจไม่ได้ถูกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ?  น้ำที่พวกเราดื่มไม่ได้มีมลพิษไปแล้วหรอกหรือ?  อาหารที่พวกเรากินยังคงมาจากเกษตรอินทรีย์และเป็นธรรมชาติอยู่หรือ?  ธัญพืชและผักส่วนใหญ่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เจริญเติบโตด้วยปุ๋ย และบางชนิดก็เป็นสายพันธุ์ที่ใช้วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมา  ผักและผลไม้ที่เรากินนั้นไม่เป็นธรรมชาติอีกต่อไป  แม้กระทั่งไข่ธรรมชาติก็พบได้ไม่ง่ายอีกต่อไป  และไข่ก็ไม่มีรสชาติเหมือนที่เคยมีอีกต่อไป เมื่อได้ถูกแปรรูปโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ของซาตานไปแล้ว  เมื่อมองดูที่ภาพใหญ่ บรรยากาศทั้งสิ้นได้ถูกทำลายและทำให้เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ ป่าไม้ แม่น้ำ มหาสมุทร และทุกสิ่งที่อยู่เหนือและใต้ผืนดินทั้งหมดได้ถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ สรุปรวบรัดได้ว่า สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งมวล สิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบแก่มวลมนุษย์ได้ถูกทำลายและถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์  แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับสิ่งที่พวกเขาหวังอยู่ตลอดเวลาในด้านคุณภาพของชีวิตที่พวกเขาแสวงหา สนองทั้งความอยากได้อยากมีของพวกเขาและเนื้อหนังของพวกเขา สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่นั้นโดยสาระสำคัญแล้วได้ถูกทำลายและทำให้ย่อยยับโดย “ผลสัมฤทธิ์” อันหลากหลายซึ่งวิทยาศาสตร์นำพามา  บัดนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์อีกแล้วที่จะหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสักเฮือกหนึ่ง  นี่ไม่ใช่ความโศกเศร้าของมวลมนุษย์หรอกหรือ?  มีความสุขใดหลงเหลือให้มนุษย์พูดถึงบ้างไหม ในเมื่อพวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แบบนี้?  พื้นที่และสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่นี้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม  น้ำที่ผู้คนดื่ม อากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป อาหารอันหลากหลายที่ผู้คนกิน รวมทั้งพืชและสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งภูเขา ทะเลสาบ และมหาสมุทร—ทุกส่วนของสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตนี้ พระเจ้าได้ทรงมอบแก่มนุษย์ มันเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติการโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติซึ่งปูไว้โดยพระเจ้า  หากไม่มีวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็จะยังคงปฏิบัติตามวิธีการทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา พวกเขาจะสามารถชื่นชมทุกสิ่งที่สะอาดหมดจดและเป็นธรรมชาติ และพวกเขาย่อมจะเป็นสุข  อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ทั้งหมดนี้ได้ถูกซาตานทำลายและทำให้ย่อยยับไปแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยโดยรากฐานของมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป  แต่ก็ไม่มีใครสามารถระลึกรู้ได้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้หรือการนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีผู้คนอีกมากที่เข้าหาวิทยาศาสตร์และเข้าใจมันโดยผ่านทางแนวคิดที่ซาตานปลูกฝังในตัวพวกเขา  นี่ไม่น่ารังเกียจหรือน่าเวทนาอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ?  ด้วยการที่ตอนนี้ซาตานได้เข้าครองพื้นที่ซึ่งผู้คนดำรงอยู่แล้ว รวมถึงสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขา และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอยู่ในสภาวะนี้แล้ว และด้วยการที่มวลมนุษย์ยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ มีความต้องการที่จำเป็นอันใดหรือไม่เล่าที่พระเจ้าจะต้องทำลายผู้คนเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง?  หากผู้คนยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ พวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใดเล่า?  (พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคน)  พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างไรเล่า?  นอกเหนือจากการค้นหาอันละโมบของผู้คนที่มีต่อชื่อเสียงและผลตอบแทนแล้ว พวกเขายังดำเนินการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องและดำดิ่งลึกเข้าไปในการค้นคว้าวิจัย แล้วยังกระทำการอย่างไม่หยุดหย่อนในหนทางที่สนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือผลสืบเนื่องสำหรับมนุษย์?  อันดับแรกเลยก็คือความสมดุลของระบบนิเวศถูกทำลายลง และเมื่อการนี้เกิดขึ้น ร่างกายของผู้คน อวัยวะภายในของพวกเขาก็ถูกปนเปื้อนและได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมดุลนี้ และโรคติดต่อและโรคระบาดนานาสารพัดก็แพร่กระจายไปทั่วโลก  ไม่จริงหรือไรว่านี่คือสถานการณ์ที่มนุษย์ไม่มีการควบคุมได้เลย?  มาถึงตอนนี้ที่พวกเจ้าเข้าใจการนี้แล้ว หากมวลมนุษย์ไม่ติดตามพระเจ้า แต่ติดตามซาตานในหนทางนี้อยู่เสมอ—โดยใช้ความรู้เพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองมั่งคั่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสำรวจอนาคตของชีวิตมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อน ใช้วิธีการชนิดนี้เพื่อดำรงชีวิตต่อไป—เจ้าสามารถระลึกรู้ได้หรือไม่ว่าการนี้จะจบลงอย่างไรสำหรับมวลมนุษย์?  มวลมนุษย์จะสูญสิ้นไปตามธรรมชาติ กล่าวคือ มวลมนุษย์ย่อมเดินหน้าเข้าหาความย่อยยับทีละก้าว เข้าหาการทำลายตนเอง!  นี่ไม่ใช่การนำความพินาศมาสู่ตนเองหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่ผลสืบเนื่องของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ?  ตอนนี้ดูราวกับว่าวิทยาศาสตร์เป็นยาปรุงอันวิเศษชนิดหนึ่งที่ซาตานได้ตระเตรียมให้กับมนุษย์ เพื่อที่เมื่อพวกเจ้าพยายามที่จะหยั่งรู้สิ่งทั้งหลาย พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นอยู่ในหมอกหนาทึบ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเขม้นมองเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน และไม่สำคัญว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ดี ซาตานใช้นามของวิทยาศาสตร์เพื่อยั่วน้ำลายเจ้าและจูงจมูกเจ้า ให้ตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไป ไปสู่หุบเหวลึกและความตาย  และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอันที่จริงแล้ว ความย่อยยับของมนุษย์นั้นเกิดจากน้ำมือของซาตาน—ซาตานคือตัวการ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงควบคุมชะตากรรมของทุกชนชาติและผู้คนทุกคน

ผู้ที่ยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้าต้องถูกลงโทษ

ก่อนหน้า: ก) การที่ซาตานชักพาให้มวลมนุษย์หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม คือรากเหง้าของความมืดและความชั่วในโลก

ถัดไป: ค) วิธีที่พระเจ้าทรงนำบทอวสานมาสู่ยุคมืดภายใต้การปกครองของซาตานในยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger