87. คู่ทำงานไม่ใช่คู่ต่อสู้
ไม่นานหลังจากที่ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันเริ่มฝึกปฏิบัติการให้น้ำผู้มาใหม่ เพราะฉันมีความกระตือรือร้น มุ่งมั่น และเกิดผลในหน้าที่ ฉันจึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ต่อมา ฉันได้เป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ พี่น้องชายหญิงบอกว่า ถึงแม้ฉันจะอายุยังน้อยแต่ก็ค่อนข้างไว้วางใจได้ ฉันแบกรับภาระในหน้าที่ และเป็นคนมีความรับผิดชอบ สิ่งนี้ตอบสนองต่อความหลงตัวเองของฉันเป็นอย่างมาก ในเดือนตุลาคม ปี 2020 ฉันได้เป็นผู้นำคริสตจักร นี่ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถที่ไล่ตามเสาะหาความจริง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำระดับสูงได้จัดแจงให้พี่น้องหญิงโอลิเวียมาทำงานร่วมกับฉัน ขณะที่ฉันแนะนำสถานการณ์ของคริสตจักรกับเธอ ผู้นำได้พูดถึงปัญหาบางอย่างที่มีอยู่ในคริสตจักร เมื่อโอลิเวียได้ยินเรื่องนี้ เธอก็พูดขึ้นว่า “เราต้องหาต้นตอของปัญหาและแก้ไขโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น ก็จะเป็นอุปสรรคต่องานของคริสตจักร” พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกละอายใจ เพราะฉันกังวลว่าโอลิเวียจะดูถูก ที่งานของฉันมีปัญหาเหล่านี้ ในไม่กี่วันต่อมา โอลิเวียได้รู้ว่าพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ในคริสตจักรอย่างไรกันบ้าง จากนั้น ต่อหน้าผู้ร่วมงานหลายคนและบรรดาพี่น้องชายหญิง เธอพูดกับฉันว่า “มัคนายกข่าวประเสริฐและหัวหน้ากลุ่มหลายคนที่ฉันได้พบในสองวันที่ผ่านมาไม่ได้แบกรับภาระ เวลาที่ผู้มาใหม่มีมโนคติอันหลงผิดและความลำบากยากเย็น พวกหัวหน้ากลุ่มก็ไม่รู้วิธีแก้ไข และไม่กระตือรือร้นที่จะวินิจฉัย แต่กลับพัวพันอยู่ในความลำบากยากเย็นแทน แบบนี้พวกเขาจะไม่สามารถให้น้ำผู้มาใหม่ให้ดีได้” เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ฉันรู้สึกต่อต้านเล็กน้อย เพราะมีหัวหน้ากลุ่มหลายคนที่ฉันตั้งใจบ่มเพาะ การที่ได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาแบบนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ทำงานได้ดีเลย ฉันรู้สึกว่าเธออาจเรียกร้องมากเกินไป คิดว่า “เธอเพิ่งมาถึงและยังไม่เข้าใจรายละเอียดเฉพาะของสถานการณ์ แต่กลับเริ่มจับผิดแล้ว เธอต้องการแสดงให้เห็นว่าเธอแบกรับภาระและสามารถมองเห็นปัญหาได้เหรอ? เธอแค่พยายามสร้างความประทับใจเพราะเพิ่งมาใหม่ใช่หรือเปล่า? ถ้าเธอยังคงขุดคุ้ยปัญหาในงานของฉันต่อไป เธอจะไม่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของฉันในสายตาพี่น้องชายหญิงหรอกเหรอ?” ฉันข่มความโกรธเอาไว้และพูดว่า “คุณพูดถูกเรื่องปัญหาเหล่านี้ แต่บรรดาหัวหน้ากลุ่มและมัคนายกข่าวประเสริฐต่างก็เผชิญกับความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นตามจริง ดังนั้น บางครั้งงานติดตามผลจึงทำได้ไม่ดีนัก และเราต้องแสดงความเข้าใจ” พอได้ยินแบบนี้ เธอก็พูดว่า “ความลำบากยากเย็นเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการสามัคคีธรรมความจริง หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาก็จะแบกรับภาระและมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง สิ่งสำคัญคือเราสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้หรือไม่” ฉันยิ่งโกรธมากขึ้นและคิดว่า “เธอกำลังบอกว่า ฉันไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ผ่านการสามัคคีธรรมความจริงเหรอ?” ทรรศนะของฉันที่มีต่อโอลิเวียเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันไม่คิดว่าเธอเป็นคู่ทำงานหรือคนที่จะช่วยเหลือฉันได้อีกต่อไป แต่กลับมองว่าเธอเป็นคู่ต่อสู้แทน ฉันคิดว่า “ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเธอจะขึ้นมาเป็นผู้นำในการทำงานแทนฉัน ฉันเป็นผู้นำ ส่วนเธอแค่มาที่นี่เพื่อร่วมงานกับฉัน แต่เธอกลับเก่งกว่าในทุกด้าน และทำให้ฉันอับอายอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ฉันจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีก? แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดกับฉันยังไง?” หลังจากนั้น ฉันก็ไม่อยากทำงานร่วมกับเธออีกเลย และไม่อยากคุยกับเธอด้วย
ครั้งหนึ่ง ในการประชุมผู้ร่วมงาน เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เผยว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานจริง โอลิเวียทบทวนและแบ่งปันความเข้าใจตัวเองของเธอ บอกว่าเธออยู่ในคริสตจักรมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นเพราะเธอยังไม่ได้ทำงานจริงอะไรเลย ความลำบากยากเย็นของผู้มาใหม่จึงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที เธอพูดว่าสิ่งนี้ทำให้พวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นเรื่อยมา และไม่รู้วิธีการปฏิบัติความจริง ซึ่งส่งผลให้การเติบโตในชีวิตของพวกเขาล่าช้า ถึงแม้โอลิเวียจะหารือถึงการรู้จักตัวเธอเอง แต่สำหรับฉัน นั่นฟังดูเหมือนเธอกำลังเปิดโปงฉันว่าไม่ได้ทำงานจริง ฉันเริ่มคาดเดาว่าเธอหมายถึงอะไร “เธอกำลังพูดถึงปัญหาเหล่านี้ เพื่อจงใจให้ทุกคนรู้ถึงปัญหาในงานของฉันใช่ไหม? พี่น้องชายหญิงเคยมีความประทับใจที่ดีต่อฉันมาก่อน แต่ตอนนี้เธอมาเปิดโปงฉันแบบนี้ เหมือนเธอจงใจจะทำลายภาพลักษณ์ของฉันไม่ใช่หรือไง? แล้วตอนนี้พวกเขาจะคิดกับฉันยังไง?” ในตอนนั้น ฉันรู้สึกต่อต้านอย่างมากและอยากจะเดินออกไป แต่ฉันรู้สึกว่าเป็นการไม่สมเหตุสมผลที่จะทำอย่างนั้น จึงพยายามอดทนจนจบการประชุม เย็นวันนั้น โอลิเวียมาหารือกับฉันเรื่องผู้ที่แบกรับภาระที่เราจะสามารถบ่มเพาะให้เป็นหัวหน้าทีมให้น้ำผู้มาใหม่ได้ หลังจากที่เธอถามฉันถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกต่อต้านมากและคิดว่า “ยังเหลือใครที่เหมาะสมอีกบ้างล่ะ? คนดีๆ เธอก็ปฏิเสธไปหมดแล้วนี่ เธอพูดถึงปัญหาที่เกิดในคริสตจักรของเราอย่างเปิดเผย ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ยังพูดต่อหน้าพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรอื่นด้วย ตอนนี้ คริสตจักรอื่นก็รู้กันแล้วว่าฉันไม่ได้ทำงานจริง ทำไมก่อนจะพูดอะไรเธอไม่คิดถึงใจของฉันเลย? ฉันว่าเธอกำลังจงใจโจมตีฉัน!” ฉันพูดเสียงเข้มว่า “ตั้งแต่คุณมา ก็ไม่มีใครแบกรับภาระเลย!” เธอตอบฉันเสียงเบาว่า “คุณจะบอกว่าฉันไม่ควรอยู่ที่นี่เหรอ?” ฉันรู้ตัวว่าหุนหันพลันแล่นเกินไป และไม่ควรพูดไปแบบนั้น จึงตอบกลับไปทันทีว่า “เปล่า” เราทั้งคู่เงียบกันไปสักพักก่อนจะหารือเรื่องงานต่อ ต่อมา พอคิดถึงสิ่งที่พูดกับเธอ ฉันก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ข้อเท็จจริงที่ว่าโอลิเวียค้นพบปัญหาในงานของเรานั้น แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถแบกรับภาระ แล้วทำไมฉันถึงพูดกับเธอแบบนั้น? ฉันอยากจะขอโทษเธอหลังจากที่การหารือจบลง แต่พอยุ่งอยู่กับงาน ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไป
ต่อมา เมื่อฉันเห็นผู้นำระดับสูงปรึกษาโอลิเวียในทุกเรื่อง ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก “ฉันก็เป็นผู้นำเหมือนกัน แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดกับฉันยังไง? พวกเขาจะพูดหรือเปล่าว่าฉันเป็นผู้นำที่ไร้ประโยชน์ และเป็นส่วนเกิน?” ฉันรู้สึกว่าโอลิเวียกำลังแย่งความโดดเด่นไป และฉันก็ริษยาเธอ ฉันคิดว่า “ถ้าเธอไม่ได้มาที่นี่ ผู้นำคงจะหารืองานกับฉัน” ฉันยังคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตอนนี้โอลิเวียกุมงานทั้งหมดไว้แล้ว เธอเชื่อในพระเจ้ามานานกว่าและเข้าใจความจริงมากกว่าฉัน เธอยังชี้ให้เห็นปัญหาในงานของฉันต่อหน้าพี่น้องชายหญิงอีกด้วย ฉันจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่น้องชายหญิงมองฉันยังไง พอคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกได้ถึงวิกฤต ฉันกังวลว่าโอลิเวียจะแย่งตำแหน่งของฉันไป ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งไม่พอใจ และมีความอยากจะเอาคืนเธอ “ในเมื่อเธอไม่สนใจความรู้สึกของฉัน งั้นฉันก็จะไม่ทำให้เรื่องง่ายสำหรับเธออีกต่อไป” ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเรากำลังหารืองานกัน หลังจากโอลิเวียแสดงความคิดเห็นแล้ว เธอก็ขอคำแนะนำจากฉัน ฉันเมินเฉย และจับผิดการจัดแจงงานของเธอ พูดว่าอันนี้ไม่ได้ผลหรอก อันนั้นก็ไม่ได้ผลหรอก เพื่อตั้งใจทำให้เธอยุ่งยาก ครั้งหนึ่ง ขณะที่เรากำลังหารือเกี่ยวกับงานที่โอลิเวียเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ในตอนนั้น ฉันเข้าใจวิธีแก้ปัญหาอย่างชัดเจน แต่ฉันไม่อยากให้คำแนะนำใดๆ ฉันถึงกับคิดว่า “ให้การจัดแจงของเธอล้มเหลวจะดีกว่า แบบนั้นทุกคนจะได้รู้ว่าเธอจัดการอะไรไม่ได้ และผู้นำจะได้เห็นว่าการเอาแต่คุยกับเธอแทนที่จะเป็นฉันนั้นผิด” หลังจากนั้น เธอให้ข้อเสนอแนะหลายอย่าง ซึ่งถูกฉันปฏิเสธหมด พอฉันเห็นว่าเธอไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร และต้องการคำแนะนำบางอย่างจากฉัน ฉันก็แอบดีใจว่า “งานแบบนี้เธอยังจัดการให้เรียบร้อยไม่ได้เลย แล้วยังจะกล้าชี้นิ้วตำหนิงานของฉันอีก” ผู้นำเห็นว่าพฤติกรรมของฉันไม่ถูกต้อง และเตือนว่า ฉันต้องทำงานร่วมกับโอลิเวียอย่างกลมเกลียว ไม่อย่างนั้น งานของคริสตจักรก็จะล่าช้า หลังจากได้ยินคำพูดของผู้นำ ลึกๆ แล้วฉันรู้สึกผิดนิดหน่อย เมื่องานของเราติดขัด ฉันกลับไม่แบกรับภาระเพื่อแก้ไข แต่กลับยืนอยู่เฉยๆ และเยาะเย้ย ฉันไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรเลย หลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันปรับทัศนคติของตัวเองและเข้าร่วมการหารือ แต่เนื่องจากความล่าช้าก่อนหน้านี้ การจัดแจงงานจึงดำเนินไปอย่างล่าช้ามาก
คืนหนึ่ง ผู้นำมาชี้ให้ฉันเห็นปัญหาของตัวเอง เธอพูดว่า “ความอยากมีชื่อเสียงและสถานะของคุณนั้นแรงกล้าเกินไป คุณกำลังแก่งแย่งชื่อเสียงกับโอลิเวีย เวลาหารือเรื่องงาน คุณไม่ยอมรับความคิดเห็นใดๆ ที่เธอเสนอ คุณปฏิเสธทุกอย่าง โอลิเวียรู้สึกว่าถูกคุณจำกัด และเธอไม่รู้ว่าจะร่วมมือกับคุณยังไง คุณจำเป็นต้องทบทวนตัวเองบ้างนะ” หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้นำพูด ฉันก็รู้สึกเสียใจและแค้นอย่างมาก “ทำไมโอลิเวียถึงไปรายงานปัญหาของฉันลับหลัง? ถ้าเธอต้องการจะช่วยฉันจริงๆ เธอน่าจะบอกฉันตรงๆ ตอนนี้ก็ผู้นำรู้ปัญหาของฉันแล้ว และอาจจะปลดฉันออกจากตำแหน่งก็ได้” ทันทีที่คิดได้แบบนี้ ฉันก็เปิดใจกับผู้นำถึงสภาวะของฉัน ฉันถึงขั้นเสนอว่าจะยอมรับผิดชอบและลาออก เพื่อไม่ให้การทำงานของคริสตจักรล่าช้าไปมากกว่านี้ ขณะที่ฉันพูดเรื่องลาออก หัวใจฉันแทบแตกสลาย รู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียหน้าที่ของตัวเอง ผู้นำสามัคคีธรรมกับฉันและพูดว่า “เวลามีปัญหา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราจำเป็นต้องแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเราเอง การที่โอลิเวียสามารถมองเห็นปัญหาในงาน แสดงว่าเธอแบกรับภาระได้ สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรหรอกเหรอ? คุณปฏิบัติต่อเรื่องนี้ให้ถูกต้องไม่ได้เหรอ? คุณริษยาเธอและกลัวว่าเธอจะเหนือกว่าคุณอยู่ตลอด นี่แสดงให้เห็นว่าความอยากมีสถานะของคุณแรงกล้าเกินไป” หลังจากการสามัคคีธรรมของผู้นำ ฉันตระหนักได้ว่าความอยากมีชื่อเสียงและสถานะของฉันนั้นแรงกล้าเกินไปจริงๆ ฉันจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขสภาวะของตัวเอง ฉันไม่สามารถจมอยู่กับความรู้สึกคิดลบและการต่อต้านได้อีกต่อไป
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฉันแสดงออกมา พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ศัตรูของพระคริสต์คิดว่าผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงพวกเขากำลังทำให้พวกเขาลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงแข่งขันและวิวาทกับผู้ใดก็ตามที่เปิดโปงพวกเขา ด้วยเหตุที่ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันใจดีกับคนที่ตัดแต่งตน และจะไม่ยอมผ่อนปรนหรืออดทนกับใครก็ตามที่ทำเช่นนั้น และยิ่งจะไม่รู้สึกขอบคุณหรือสรรเสริญใครก็ตามที่ทำเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าใครตัดแต่งพวกเขา ทำให้พวกเขาเสียศักดิ์ศรีและเสียหน้า พวกเขาก็จะเก็บงำความเกลียดชังที่มีต่อคนคนนี้เอาไว้ในหัวใจ และต้องการที่จะหาโอกาสแก้แค้น พวกเขาเกลียดชังผู้อื่นเหลือเกินแล้ว! พวกเขาคิดเช่นนี้และจะพูดต่อหน้าผู้อื่นอย่างเปิดเผยว่า ‘วันนี้เธอตัดแต่งฉัน ดีละ ตอนนี้ความบาดหมางระหว่างพวกเรายากจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เธอไปตามทางของเธอ และฉันจะไปตามทางของฉัน แต่ฉันสาบานว่าฉันจะแก้แค้น! หากเธอสารภาพความผิดที่เธอทำกับฉัน ก้มหัวคำนับฉัน หรือคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันก็จะอภัยให้เธอ มิฉะนั้นแล้วฉันจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป!’ ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่เคยมองว่าการที่ใครบางคนใจดีตัดแต่งพวกเขาหรือให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจนั้นคือการมาถึงของความรักและความรอดจากพระเจ้า แต่กลับเห็นว่านี่คือเครื่องหมายของการดูหมิ่นเหยียดหยาม และเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาถูกทำให้อับอายอย่างที่สุด นี่แสดงให้เห็นว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และอุปนิสัยของพวกเขาก็เป็นอุปนิสัยที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) พระเจ้าเผยว่า เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกตัดแต่ง พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับเท่านั้น แต่ยังเริ่มเกลียดชังคนที่ตัดแต่งพวกเขาและอยากจะเอาคืนด้วย ฉันเห็นว่าศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริง พวกเขารังเกียจความจริง และเกลียดชังความจริง เมื่อก่อนเวลาเห็นคำว่า “แก้แค้น” ฉันคิดว่าวิธีการนี้ชั่วร้าย ฉันไม่เชื่อว่าตัวเองจะสำแดงความชั่วร้ายและทำอะไรประเภทนี้ได้ มีเพียงศัตรูของพระคริสต์และผู้คนที่ชั่วเท่านั้นที่จะแก้แค้นคนอื่น แต่เมื่อฉันนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของตัวเอง นั่นเหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่เหรอ? เมื่อโอลิเวียชี้ให้เห็นปัญหาในงานของฉันต่อหน้าผู้ร่วมงานและพี่น้องชายหญิง ฉันรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของฉันเสียหาย ฉันจึงเริ่มมีอคติและต่อต้านเธอ ระหว่างการประชุมครั้งหนึ่ง โอลิเวียตระหนักว่าเธอไม่ได้ทำงานจริงตามพระวจนะของพระเจ้า แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเธอกำลังจงใจเปิดโปงปัญหาในงานของฉันโดยการหารือถึงการรู้จักตัวเธอเอง อคติของฉันที่มีต่อเธอก็เลยยิ่งเพิ่มขึ้น ฉันถึงขั้นโจมตีเธอ โดยพูดว่าไม่มีใครแบกรับภาระตั้งแต่เธอมา เมื่อฉันเห็นว่าผู้นำหารืองานกับเธออยู่เสมอ ฉันก็รู้สึกว่าถูกแย่งความโดดเด่นไป เพื่อเอาคืนเธอ ฉันจึงไม่ให้ข้อเสนอแนะใดๆ ตอนที่เราหารืองานกัน และพอโอลิเวียออกความเห็นและข้อเสนอแนะ ฉันก็คอยจับผิดและปฏิเสธเธอ ทำให้งานไม่สามารถเดินหน้าไปได้ ฉันมองพี่น้องหญิงของฉันเป็นคู่แข่ง เพื่อรักษาชื่อเสียงและสถานะ ฉันถึงขั้นโจมตีและเอาคืนเธอ อุปนิสัยที่ฉันเปิดเผยออกมาเหมือนกับของศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้ ฉันยังคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เธอกำลังชี้ให้เห็นปัญหาจริงในงานของฉัน ถ้าฉันได้แสวงหาความจริงเพื่อทบทวนตัวเองและพลิกความเบี่ยงเบนให้กลับมาตรง เช่นนั้น ปัญหาคงได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเรา แต่ฉันไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับสิ่งนั้น แต่ยังคิดเอาคืนพี่น้องหญิงของฉันอีกด้วย ฉันไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเลย!
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มอีกสองบทตอน ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจแก่นแท้และผลสืบเนื่องของพฤติกรรมนี้ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งในธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ก็คือความชั่วช้า คำว่า ‘ความชั่วช้า’ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขามีท่าทีที่เลวทรามเป็นพิเศษในเรื่องของความจริง—ไม่เพียงไม่นบนอบความจริงและไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น แต่ถึงกับกล่าวโทษคนที่ตัดแต่งพวกเขาอีกด้วย นั่นคืออุปนิสัยที่ชั่วช้าในตัวศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์นึกไปว่าคนที่ยอมรับการตัดแต่งนั้นถูกรังแกได้ง่าย และคนที่ตัดแต่งผู้อื่นอยู่เสมอก็คือคนที่อยากหยอกล้อและกลั่นแกล้งผู้คนตลอดเวลา ดังนั้นศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะแข็งขืนกับใครก็ตามที่ตัดแต่งพวกเขา และจะหาเรื่องคนคนนั้น ใครก็ตามที่หยิบยกข้อบกพร่องหรือความเสื่อมทรามในตัวศัตรูของพระคริสต์ขึ้นมา หรือสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือบอกให้พวกเขาทำความรู้จักตัวเอง พวกเขาย่อมคิดไปว่าคนคนนั้นกำลังหาเรื่องและไม่ชอบหน้าตน พวกเขาเกลียดชังคนคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ และจะแก้แค้น จะทำให้อีกฝ่ายลำบาก… ผู้คนจำพวกใดที่มีอุปนิสัยชั่วช้าเช่นนี้? คนชั่ว ที่จริงแล้วศัตรูของพระคริสต์คือคนชั่ว เพราะฉะนั้นจึงมีแต่คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่มีอุปนิสัยชั่วช้าเช่นนี้ เมื่อคนชั่วช้าพบเจอการเตือนสติ กล่าวหา สอน หรือช่วยเหลือด้วยเจตนาอันดีไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม ท่าทีของพวกเขาย่อมไม่ใช่การขอบคุณหรือยอมรับอย่างถ่อมใจ แต่กลับเดือดดาลเพราะอับอาย รู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังอย่างที่สุด และถึงกับลงมือตอบโต้อีกด้วย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) “ศัตรูของพระคริสต์คำนึงถึงสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองว่าสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงหลอกลวง เจ้าเล่ห์ และเลวร้ายเท่านั้น แต่ยังโหดเหี้ยมอย่างยิ่งอีกด้วย พวกเขาทำเช่นใดเมื่อสังเกตพบว่าสถานะของพวกเขามีความเสี่ยง หรือเมื่อพวกเขาสูญเสียที่ทางของตนในหัวใจของผู้คน สูญเสียการสนับสนุนและความรักใคร่เอ็นดูจากผู้คนเหล่านี้ เมื่อผู้คนไม่ให้ความเคารพเทิดทูนและยกย่องพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาได้รับความอัปยศ? พวกเขาย่อมไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันใด ทันทีที่พวกเขาสูญเสียสถานะของตน พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ทุกสิ่งที่พวกเขาทำล้วนสุกเอาเผากิน และพวกเขาก็ไม่สนใจที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น แต่นี่ไม่ใช่การสำแดงที่แย่ที่สุด อะไรคือการสำแดงที่แย่ที่สุด? ทันทีที่ผู้คนเหล่านี้สูญเสียสถานะของตน และไม่มีใครเคารพยกย่องพวกเขา ไม่มีใครยอมหลงผิดตามการชักพาของพวกเขา ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา และการแก้แค้นก็เผยตัวออกมา พวกเขาไม่เพียงไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังไม่มีความนบนอบแม้แต่น้อยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของพวกเขาก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกลียดชังพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร ผู้นำและคนทำงาน พวกเขาปรารถนาอย่างยิ่งให้งานของคริสตจักรประสบปัญหาหรือหยุดนิ่ง พวกเขาอยากหัวเราะเยาะคริสตจักร และหัวเราะเยาะพี่น้องชายหญิง พวกเขายังเกลียดชังใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาโจมตีและเย้ยหยันใครก็ตามที่จงรักภักดีในหน้าที่ของตนและเต็มใจยอมลำบาก นี่คืออุปนิสัยในตัวศัตรูของพระคริสต์—นี่โหดเหี้ยมใช่หรือไม่? ผู้คนเหล่านี้เป็นคนชั่วอย่างชัดเจน ศัตรูของพระคริสต์เป็นคนชั่วโดยแก่นแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สอง)) เมื่อเห็นคำอย่าง “ชั่วร้าย” และ “ผู้คนที่ชั่ว” ฉันรู้สึกทั้งหวาดกลัวและทุกข์ใจ ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคำเหล่านี้จะสามารถนำมาใช้กับฉันได้ ภาพลักษณ์ของฉันถูกทำลายเพราะโอลิเวียชี้ให้เห็นปัญหาในงานของฉัน ฉันโจมตีและเอาคืนเธอ ตั้งใจทำให้เธออับอายตอนที่หารืองาน และจับผิดการจัดแจงงานของเธอ ฉันถึงกับไม่อธิบายทั้งที่รู้วิธีแก้ปัญหาที่เธอประสบในงานของเธอ เพราะฉันต้องการให้เธออับอายและหัวเราะเยาะเธอ พอผู้นำเปิดโปงและตัดแต่ง ฉันไม่เพียงแต่ไม่ทบทวนตัวเอง แต่ยังเกลียดชังเธอที่รายงานปัญหาของฉันด้วย ฉันคิดลบและต่อต้าน เอาความโกรธไประบายลงที่หน้าที่ ถึงขั้นอยากลาออกและเลิกทำหน้าที่ สิ่งที่ฉันสำแดงออกมานั้นเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ เป็นอุปนิสัยอันชั่วร้าย! สิ่งที่ฉันเชื่อคือ “ฉันจะไม่โจมตีเว้นแต่ฉันจะถูกโจมตี” และ “หากเธอร้ายกับฉัน ฉันก็จะทำไม่ดีกับเธอ” เมื่อใครก็ตามกระทบต่อผลประโยชน์และภาพลักษณ์ของฉัน ฉันก็จะเกลียดชัง โจมตี และเอาคืนพวกเขา ฉันนึกถึงครั้งหนึ่งก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า ตอนที่ฉันมีความขัดแย้งกับเพื่อนคนหนึ่ง และเธอว่าร้ายฉันให้คนอื่นฟัง ฉันโกรธมาก และคิดว่า “หากเธอร้ายกับฉัน ฉันก็จะทำไม่ดีกับเธอ” ฉันแอบพูดกับคนคนเดียวกันนั้นว่า “คุณจะโง่ไปถึงไหน? ทำไมต้องดีกับเธอขนาดนั้น? ไม่รู้เหรอว่าเธอว่าร้ายคุณลับหลัง!” ฉันคิดว่าถ้าหลังจากโดนกลั่นแกล้งแล้วฉันไม่ตอบโต้ ฉันก็เป็นคนอ่อนแอ การใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้ ทำให้ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและชั่วร้าย บิดเบือนความคิดตัวเอง และทำให้ฉันไม่สามารถแยกแยะดีชั่วได้ เมื่อตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายมาก ถ้าฉันไม่จัดการกับความชั่วร้ายในตัวฉัน ฉันก็จะทำชั่วมากขึ้น แล้วจากนั้น ฉันก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป! ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ผ่านการพิพากษาและการเผยในพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์เห็นว่าความเป็นมนุษย์ของตัวเองนั้นต่ำมาก และข้าพระองค์ก็ชั่วร้ายมาก ข้าพระองค์ต้องการกลับใจและปฏิบัติความจริงเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขอพระองค์ทรงนำด้วยเถิด”
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อมีใครสักคนใช้เวลากำกับดูแลหรือเฝ้าสังเกตเจ้าอยู่บ้าง หรือทำความเข้าใจเจ้าอย่างลึกซึ้ง พยายามเปิดใจคุยกับเจ้าและค้นหาว่าสภาวะของเจ้าในช่วงนี้เป็นเช่นใด แม้ท่าทีของพวกเขาจะแข็งกร้าวขึ้นบ้างในบางครั้ง และพวกเขาก็ตัดแต่ง บ่มวินัย และว่ากล่าวเจ้าบ้าง ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะพวกเขามีท่าทีที่ละเอียดรอบคอบและรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าไม่ควรมีความคิดหรือมีอารมณ์ที่เป็นลบในเรื่องนี้ หากเจ้าสามารถยอมรับได้เมื่อผู้อื่นกำกับดูแล เฝ้าสังเกต และพยายามเข้าใจเจ้า นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าในหัวใจของเจ้า เจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับการที่ผู้คนกำกับดูแล เฝ้าสังเกต และพยายามทำความเข้าใจเจ้า—หากเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับทั้งหมดนี้—เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้หรือไม่? การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้านั้นละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้องแม่นยำกว่ายามที่ผู้คนพยายามเข้าใจเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้าก็เจาะจง เข้มงวด และลงลึกยิ่งกว่า ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับการกำกับดูแลจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ คำกล่าวอ้างของเจ้าที่ว่าเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ? การที่เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการตรวจสอบของพระเจ้าได้นั้น เจ้าต้องยอมรับการกำกับดูแลจากพระนิเวศของพระเจ้า ผู้นำและคนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงเสียก่อน” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)) “ไม่ว่าเจ้าจะมีปัญหาอันใดหรือเผยความเสื่อมทรามอันใดออกมา เจ้าก็ควรทบทวนและทำความรู้จักตนเองอยู่เสมอภายใต้ความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือขอให้พี่น้องชายหญิงชี้ให้เจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้า มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด การค้นพบปัญหาแต่เนิ่นๆ แล้วแก้ปัญหาเสียก็คือผลสัมฤทธิ์ของการทบทวนตนเอง และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าจะทำได้ เจ้าต้องไม่รอจนพระเจ้าทรงเผยและกำจัดเจ้าไปเสียก่อนแล้วค่อยสำนึกผิด เพราะถึงจะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว!” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่หนึ่ง)) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง ฉันจึงตระหนักได้ว่า ที่พี่น้องชายหญิงได้ให้การกำกับดูแลและการชี้แนะแก่ฉัน เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาจริงจังและรับผิดชอบต่องานเท่านั้น ฉันควรยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะยอมรับและเชื่อฟัง สิ่งนี้เท่านั้นที่ถือเป็นการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและการมีหัวใจที่ยำเกรงพระองค์ เมื่อพี่น้องหญิงค้นพบปัญหาของฉันและชี้ให้ฉันเห็น สิ่งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนฉัน ประสบการณ์ชีวิตของฉันยังตื้นเขินเกินไป ผู้มาใหม่มีปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา แต่ฉันไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ และหลายครั้ง ฉันเพียงแค่จัดการงานให้เสร็จสิ้นแล้วก็ปล่อยไป โดยไม่ได้ติดตามผลหรือให้ความช่วยเหลือในภายหลัง งานจึงไม่เกิดผลใดๆ เลย ฉันจับความเข้าใจในหลักธรรมของการจัดสรรบุคลากรไม่ได้ การเลือกคนที่ไม่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง โอลิเวียเข้าใจความจริงบางส่วนและสามารถมองเห็นบางเรื่องได้ชัดเจน หากเราร่วมมือกันในงานของคริสตจักร ไม่เพียงแต่จะดีต่องาน แต่ฉันยังจะได้เรียนรู้จากเธอและพัฒนาตนเองด้วย ตอนนั้นเองที่ฉันเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้เราร่วมมือกันในหน้าที่ แทนที่จะทำหน้าที่คนเดียว เพราะผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมีข้อบกพร่องมากมาย เราจำเป็นต้องกำกับดูแลกัน แนะนำกัน และช่วยเหลือกัน ด้วยหนทางนี้เท่านั้นจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกผิดอย่างมาก ฉันไม่สามารถใช้ชีวิตเพียงเพื่อชื่อเสียงและสถานะได้อีกต่อไป ฉันต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางตัวตนของฉัน ยอมรับการกำกับดูแลและการชี้แนะจากผู้อื่น ร่วมมือกับพี่น้องหญิงของฉัน แสวงหาความจริงและแก้ปัญหาในงานร่วมกัน และปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกควร
หลังจากนั้น ฉันก็ถูกส่งไปยังคริสตจักรอีกแห่งเพื่อทำหน้าที่ เมื่อแยกจากโอลิเวีย ฉันรู้สึกเสียใจในหลายๆ เรื่อง ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ บอกว่า จากนี้ไป ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างถูกควร และมุ่งเน้นที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง ครั้งหนึ่ง ฉันขอให้พี่น้องหญิงเอสเธอร์ ซึ่งรับผิดชอบงานให้น้ำ มาอธิบายว่าการชุมนุมของผู้มาใหม่เป็นอย่างไรบ้าง เอสเธอร์ให้คำแนะนำว่า “คุณมักจะไปร่วมการชุมนุมอื่น และไม่ค่อยเข้าร่วมการชุมนุมของผู้มาใหม่ ทำให้ดูเหมือนว่าผู้นำขาดงาน พี่น้องชายหญิงไม่มีใครรู้จักคุณเลย คุณจึงติดตามงานหรือแก้ไขสภาวะและความลำบากยากเย็นของพวกเขาได้ยาก” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉันก็รู้สึกตกตะลึงและหน้าแดงมาก คิดว่า “เธอเรียกฉันว่าเป็นผู้นำที่ขาดงานได้ยังไง? เธอพูดแบบนี้หมายความว่าฉันไม่ได้ทำงานจริงและไร้ประโยชน์ใช่ไหม? เธอพูดแรงเกินไปแล้ว! ไม่ใช่ว่าฉันไม่ทำงาน ฉันกำลังติดตามงานอื่นอยู่ ในเมื่อเธอดูแลกลุ่มนี้ เธอก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบสิ ไม่ใช่อะไรก็เป็นฉันที่ต้องทำทั้งหมด ถ้าผู้นำระดับสูงได้ยินคำพูดของเธอเข้า พวกเขาจะไม่คิดว่าฉันไม่ได้ทำงานจริงหรอกเหรอ? แบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันต้องหาจุดที่งานของเธอเบี่ยงเบนเพื่อพูดถึงบ้าง” พอคิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่าสภาวะของฉันไม่ถูกต้อง พี่น้องหญิงชี้ให้เห็นปัญหาในงานของฉัน แต่แทนที่ฉันจะยอมรับและทบทวนดู กลับคิดว่าเธอพูดแรงเกินไป และต้องการหาปัญหาในงานของเธอเพื่อโต้กลับ ฉันปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงและพยายามจะเอาคืนอีกแล้ว ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า เอสเธอร์ชี้ให้เห็นปัญหาในงานของข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์กลับต่อต้านอยู่ในใจ ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะยอมรับ เชื่อฟัง และทบทวนตัวเอง” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็คิดทบทวน และตระหนักได้ว่าฉันมีปัญหาจริง ฉันพึ่งพาเอสเธอร์อย่างมาก รู้สึกว่าเมื่อมีเธอรับผิดชอบให้น้ำผู้มาใหม่แล้ว ฉันก็สามารถผ่อนคลายได้ จึงปล่อยมือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันแทบไม่เคยรู้สภาวะและความลำบากยากเย็นจริงของผู้มาใหม่เลย ฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง สิ่งนี้เป็นการสำแดงออกอย่างแท้จริงถึงการไม่ได้ทำงานจริง หลังจากนั้น ฉันก็พูดกับเอสเธอร์ว่า “ฉันไม่เคยตระหนักว่ามีปัญหานี้มาก่อน แต่ฉันอยากจะแก้ไข” ต่อมา ฉันเริ่มเข้าถึงผู้มาใหม่และเข้าร่วมการชุมนุมของพวกเขา พร้อมกับสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขสภาวะของพวกเขา เมื่อทำหน้าที่ด้วยหนทางนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจมาก
ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันตระหนักได้ว่า การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และการเรียนรู้ที่จะยอมรับการกำกับดูแล การชี้แนะ และการตัดแต่งจากพี่น้องชายหญิง ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้สำเร็จอย่างแท้จริง ขอบคุณพระเจ้า!