บทนำ

พระวจนะส่วนนี้ของพระเจ้าประกอบด้วยทั้งหมดสี่ส่วน ซึ่งทั้งหมดได้รับการแสดงออกโดยพระคริสต์ในระหว่างเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 ถึงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2010  ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากการบันทึกคำเทศนาและการสามัคคีธรรมของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงเดินทางไปท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย  พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้มีการดัดแปลงในทางใดๆ อีกทั้งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยพระคริสต์ในภายหลัง  ส่วนที่เหลือได้รับการเขียนขึ้นโดยพระคริสต์ด้วยพระองค์เอง (เมื่อพระคริสต์ทรงเขียน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นในการนั่งเขียนคราวเดียว โดยไม่ทรงหยุดคิดหรือทรงทำการแก้ไขใดๆ และพระวจนะของพระองค์เป็นการแสดงออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด—การนี้อยู่เหนือการคลางแคลงสงสัยทั้งหมด)  แทนที่จะแยกถ้อยดำรัสสองประเภทนี้ออกจากกัน พวกเราได้นำเสนอถ้อยดำรัสเหล่านี้ร่วมกันโดยใช้ลำดับแต่ดั้งเดิมที่ถ้อยดำรัสเหล่านี้ได้รับการแสดงออก การนี้ทำให้เราสามารถมองเห็นขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าจากทั้งหมดทั้งมวลของถ้อยดำรัสของพระองค์ และเข้าใจว่าพระองค์ทรงพระราชกิจอย่างไรในแต่ละระยะ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระเจ้า

แปดบทแรกของ “พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 1”—ซึ่งรวมเรียกว่า “เส้นทาง”—คือส่วนเล็กๆ ของพระวจนะที่พระคริสต์ตรัสขณะที่พระองค์ประทับยืนอยู่บนจุดที่เสมอกันกับมนุษย์  ถึงแม้พระวจนะเหล่านี้จะราบเรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่พระวจนะเหล่านี้ก็เปี่ยมไปด้วยความรักและความสนพระทัยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์  ก่อนการตรัสนี้ พระเจ้าตรัสจากมุมมองของสวรรค์ชั้นที่สามมาก่อน ซึ่งทำให้เกิดระยะห่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพระองค์และมนุษย์ และทำให้ผู้คนกลัวที่จะเข้าหาพระเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับการขอให้พระองค์ทรงจัดเตรียมชีวิตของพวกเขา  ดังนั้น ใน “เส้นทาง” พระเจ้าจึงตรัสต่อมนุษย์ในฐานะผู้ที่เสมอกัน และชี้ให้เห็นถึงทิศทางของหนทางนั้น ดังนั้นจึงฟื้นฟูสัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้าให้กลับไปยังสภาวะดั้งเดิมของมัน ผู้คนไม่สงสัยอีกต่อไปว่าพระเจ้ายังคงกำลังทรงใช้วิธีการตรัสหรือไม่ และไม่ถูกหลอกหลอนจากความหวาดกลัวการทดลองของการเสียชีวิตอีกต่อไป  พระเจ้าเสด็จลงมายังแผ่นดินโลกมาจากสวรรค์ชั้นที่สาม ผู้คนมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระองค์จากบึงไฟและกำมะถัน พวกเขาทิ้งอสุรกายในชื่อของ “คนปรนนิบัติ” และเป็นเหมือนกับลูกวัวเกิดใหม่ พวกเขายอมรับการบัพติศมาของพระวจนะของพระเจ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระเจ้าสามารถตรัสกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด และทรงปฏิบัติพระราชกิจในการจัดหาชีวิตให้แก่พวกเขาได้มากขึ้น  จุดประสงค์ของการที่พระเจ้าทรงถ่อมใจพระองค์เองในฐานะบุคคลหนึ่งคือเพื่อให้พระองค์เข้าใกล้ผู้คนได้มากขึ้น ซึ่งลดระยะห่างระหว่างพวกเขาและพระองค์ลง ทำให้พระองค์ทรงสามารถได้รับการระลึกได้และความไว้วางใจของผู้คน และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมั่นใจอย่างแรงกล้าที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตและติดตามพระเจ้าในผู้คน  สามารถสรุปแปดบทของ “เส้นทาง” ได้ว่าเป็นกุญแจที่พระเจ้าทรงใช้เปิดประตูสู่หัวใจของผู้คน และกุญแจเหล่านั้นรวมกันก่อให้เกิดยาเคลือบน้ำตาลที่พระองค์ประทานให้แก่มนุษย์  ผู้คนจะสามารถให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการสอนและการตำหนิของพระเจ้าได้ด้วยการที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เท่านั้น  สามารถพูดได้ว่าหลังจากการนี้เท่านั้นพระเจ้าจึงทรงเริ่มต้นพระราชกิจการจัดหาชีวิตและการแสดงออกถึงความจริงในพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบันนี้ในขณะที่พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ผู้เชื่อควรที่จะยึดถือทัศนคติแบบใด” และ “ว่าด้วยขั้นตอนทั้งหลายในพระราชกิจของพระเจ้า”… วิธีการดังกล่าวไม่ได้แสดงถึงพระปรีชาญาณของพระองค์และเจตนารมณ์ที่จริงจังจริงใจของพระองค์หรอกหรือ?  นี่คือจุดเริ่มต้นของการจัดเตรียมชีวิตของพระคริสต์นั่นเอง ดังนั้น ความจริงจึงตื้นเขินกว่าส่วนต่อจากนั้นเล็กน้อย  หลักการที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้นั้นง่ายมาก กล่าวคือ พระเจ้าทรงพระราชกิจตามความต้องการที่จำเป็นของมวลมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงกระทำการหรือตรัสอย่างมืดบอด มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจความจำเป็นของมวลมนุษย์อย่างสุดใจ และไม่มีบุคคลอื่นใดที่มีความรักและความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเพื่อมนุษย์

ในถ้อยดำรัสหนึ่งถึงสิบใน “งานและการเข้าสู่” พระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่ระยะใหม่  เพราะเหตุนั้น ถ้อยดำรัสเหล่านี้จึงได้รับการวางไว้ที่จุดเริ่มต้น  ต่อจากนั้น “พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 2” ก็ได้เกิดขึ้น  ในช่วงระหว่างระยะนี้เอง พระเจ้าได้ทรงมีข้อพึงประสงค์ที่ละเอียดมากขึ้นกับผู้ติดตามของพระองค์ ข้อพึงประสงค์ที่รวมถึงความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คน สิ่งที่พึงประสงค์จากขีดความสามารถของพวกเขา เป็นต้น  เพราะผู้คนเหล่านี้ตกลงใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้าและไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงเริ่มต้นปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะสมาชิกของครอบครัวของพระองค์เองอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน โดยทรงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงภายในของพระราชกิจของพระเจ้านับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงวันนี้ ซึ่งเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลังพระคัมภีร์ และทรงสอนพวกเขาเกี่ยวกับนัยสำคัญที่แท้จริงของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า  ถ้อยดำรัสของพระเจ้าในส่วนนี้ให้ผู้คนมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระราชกิจของพระองค์ และทำให้พวกเขาสามารถซึ้งคุณค่าว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับจากความรอดของพระเจ้านั้นล้ำเลิศกว่าสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะและอัครทูตเคยได้รับตลอดหลายยุคในอดีต  จากทุกๆ บรรทัดของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถล่วงรู้ทุกๆ เสี้ยวของพระปรีชาญาณของพระองค์ อีกทั้งความรักและความกังวลอย่างถี่ถ้วนที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์  นอกเหนือจากการแสดงออกถึงพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยมโนคติที่หลงผิดและความคิดที่ไม่ถูกต้องก่อนหน้าของมนุษย์ และสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนไม่เคยจินตนาการมาก่อนทีละอย่างๆ อีกทั้งเส้นทางที่ผู้คนต้องเดินในอนาคตอย่างเปิดเผย  บางที นี่คือ “ความรัก” แคบๆ ที่มนุษย์มีความสามารถที่จะได้ประสบการณ์นั่นเอง!  จะว่าไปแล้ว พระเจ้าได้ทรงให้ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการแก่ผู้คนแล้ว และได้ทรงให้สิ่งที่พวกเขาขอกับพวกเขาแล้ว โดยไม่หน่วงเหนี่ยวหรือขอสิ่งใดเป็นการตอบแทน

บทพิเศษหลายบทในส่วนนี้กล่าวถึงพระคัมภีร์  พระคัมภีร์ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนยังปฏิบัติต่อพระคัมภีร์เหมือนกับพระเจ้าจนถึงขอบเขตที่พระคัมภีร์ได้มาแทนที่พระเจ้าในยุคสุดท้าย ซึ่งทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจ  ดังนั้น เมื่อมีเวลา พระเจ้าจึงทรงรู้สึกจำเป็นต้องชี้แจงเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังและต้นกำเนิดของพระคัมภีร์ หากพระองค์ไม่ทรงกระทำเช่นนี้แล้ว พระคัมภีร์คงจะแทนที่พระเจ้าในหัวใจของผู้คนต่อไป และผู้คนคงจะใช้พระวจนะในพระคัมภีร์เพื่อวัดและกล่าวโทษกิจการของพระเจ้า  โดยการอธิบายถึงแก่นแท้ การจัดโครงสร้าง และข้อตำหนิของพระคัมภีร์นั้น พระเจ้าไม่ได้กำลังทรงปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระคัมภีร์แต่อย่างใด อีกทั้งพระองค์ไม่ได้กำลังทรงกล่าวโทษพระคัมภีร์ แต่พระองค์กำลังทรงให้การพรรณนาที่เหมาะสมเข้าทีที่ฟื้นฟูภาพลักษณ์แต่ดั้งเดิมของพระคัมภีร์ กล่าวถึงความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนที่ผู้คนมีต่อพระคัมภีร์ และให้พวกเขามีทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ เพื่อที่พวกเขาจะไม่นมัสการพระคัมภีร์อีกต่อไป และไม่หลงทางอีกต่อไป กล่าวคือ เพื่อที่พวกเขาจะไม่เข้าใจผิดว่าความเชื่อในพระคัมภีร์แบบไม่ลืมหูลืมตาของพวกเขาเป็นความเชื่อในพระเจ้าและการนมัสการพระเจ้า กลัวแม้กระทั่งการเผชิญหน้ากับภูมิหลังและความล้มเหลวที่แท้จริงของพระคัมภีร์อีกต่อไป  เมื่อผู้คนมีความเข้าใจที่ไม่มีสิ่งเจือปนเกี่ยวกับพระคัมภีร์ พวกเขาก็สามารถปัดความเข้าใจนั้นทิ้งไปโดยไม่มีความเสียดาย และยอมรับพระวจนะใหม่ของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ  นี่คือเป้าหมายของพระเจ้าในหลายบทเหล่านี้  ความจริงที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะบอกผู้คนในที่นี้คือ ไม่มีทฤษฎีหรือข้อเท็จจริงใดที่สามารถมาแทนที่พระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของวันนี้ได้ และว่าไม่มีสิ่งใดสามารถมายืนเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้  หากผู้คนไม่สามารถหลีกหนีจากกับดักของพระคัมภีร์ได้ พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  หากพวกเขาปรารถนาที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อันดับแรกพวกเขาต้องชำระหัวใจของพวกเขาให้สะอาดจากสิ่งใดก็ตามที่อาจแทนที่พระองค์ เมื่อนั้นพวกเขาจะเป็นที่น่าพึงพอพระทัยสำหรับพระเจ้า  ถึงแม้ว่าในที่นี้พระเจ้าทรงอธิบายเกี่ยวกับพระคัมภีร์เท่านั้น อย่าลืมว่ามีสิ่งที่คลาดเคลื่อนอื่นๆ มากมายที่ผู้คนนมัสการอย่างจริงแท้นอกเหนือจากพระคัมภีร์ด้วย สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่นมัสการคือสิ่งที่มาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง  พระเจ้าแค่ทรงใช้พระคัมภีร์เป็นตัวอย่างเพื่อทรงเตือนผู้คนว่าอย่าเดินผิดทาง และอย่าทำจนสุดขั้วอีกครั้งและตกเป็นเหยื่อของความงุนงงสับสนในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับพระวจนะของพระองค์

พระวจนะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มนุษย์เปลี่ยนจากตื้นเขินเป็นลุ่มลึก  หัวข้อของถ้อยดำรัสของพระองค์ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พฤติกรรมภายนอกและการกระทำของผู้คนไปจนถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา จากจุดที่พระเจ้าทรงมุ่งหอกคำพูดของพระองค์ที่ส่วนที่ลึกที่สุดของจิตวิญญาณของผู้คน กล่าวคือ ธรรมชาติของพวกเขา  ในช่วงระหว่างช่วงเวลาที่มีการแสดงออกถึง “พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 3” ถ้อยดำรัสของพระเจ้าเน้นถึงแก่นแท้และอัตลักษณ์ของมนุษย์และการเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร—ความจริงที่ลึกซึ้งที่สุดและคำถามที่สำคัญเหล่านี้เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  แน่นอนว่า เมื่อคิดย้อนกลับไปที่ความจริงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มนุษย์ใน “พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 1” เนื้อหาของ “พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 3” เมื่อเปรียบเทียบแล้วลุ่มลึกอย่างเหลือเชื่อ  พระวจนะในส่วนนี้กล่าวถึงเส้นทางในอนาคตของผู้คน และกล่าวว่าพวกเขาสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างไร และยังกล่าวถึงบั้นปลายในอนาคตของมวลมนุษย์ และพระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักร่วมกันอย่างไร  (สามารถพูดได้ว่า จนถึงตอนนี้ เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าได้ทรงแสดงออกกับผู้คนเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขา พันธกิจของพวกเขา และบั้นปลายของพวกเขาที่เข้าใจง่ายที่สุด)  พระเจ้าทรงมีความหวังว่าผู้คนที่อ่านพระวจนะเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่ได้แยกตัวเองออกจากมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของมนุษย์แล้ว ผู้ซึ่งมีความสามารถที่จะเข้าใจทุกๆ พระวจนะของพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงหวังว่าบรรดาผู้คนทั้งหมดที่อ่านพระวจนะเหล่านี้สามารถยอมรับพระวจนะของพระองค์ว่าเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างเล่นๆ หรือป้อยอพระองค์  หากผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านี้ด้วยท่าทีของการตรวจสอบหรือพินิจพิเคราะห์พระเจ้า เช่นนั้นแล้วถ้อยดำรัสเหล่านี้ก็จะเป็นเหมือนหนังสือที่ปิดตาย ยากที่พวกเขาจะเข้าใจ  มีเพียงบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่ตกลงใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้า และผู้ที่ปราศจากเสี้ยวความสงสัยต่อพระองค์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะยอมรับพระวจนะเหล่านี้

“พระวจนะของพระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปในคริสตจักรต่างๆ 4” คือถ้อยดำรัสของพระเจ้าอีกหมวดหมู่หนึ่งที่ต่อมาจาก “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล”  ส่วนนี้รวมถึงคำเตือนสติ การสอน และการเปิดเผยของพระเจ้าต่อผู้คนในนิกายคริสเตียน เช่น “ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว” “พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน”  นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อพึงประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงที่สุดที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ เช่น “ตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า” “การตักเตือนสามประการ” “การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก”  ได้มีการกล่าวถึงหลายแง่มุม เช่น การเปิดเผยและการพิพากษาสำหรับผู้คนทุกประเภท และพระวจนะเกี่ยวกับวิธีการที่จะรู้จักพระเจ้า  สามารถกล่าวได้ว่าส่วนนี้คือแกนกลางของการพิพากษามวลมนุษย์ของพระองค์  ส่วนที่ลืมไม่ได้มากที่สุดของถ้อยดำรัสของพระเจ้าในส่วนนี้คือ เมื่อพระเจ้ากำลังจะทรงปิดม่านการทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงตีแผ่สิ่งที่อยู่ภายในไขกระดูกของกระดูกของผู้คน นั่นคือ การทรยศ  จุดมุ่งหมายของพระองค์คือ เพื่อให้ผู้คนรู้ถึงข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ในท้ายที่สุด และฝังข้อเท็จจริงเหล่านี้ไว้ให้มั่นในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของพวกเขา กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เป็นผู้ติดตามของพระเจ้ามานานเพียงใด—ธรรมชาติของเจ้ายังคงเป็นการทรยศพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การทรยศพระเจ้าอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ เพราะผู้คนไม่สามารถที่จะบรรลุการเติบโตเต็มที่โดยสิ้นเชิงในชีวิตของพวกเขา และในอุปนิสัยของพวกเขาสามารถมีได้เพียงการเปลี่ยนแปลงโดยเปรียบเทียบเท่านั้น  ถึงแม้ว่าสองบทนี้ “การทรยศ (1)” และ “การทรยศ (2)” จะตีแสกหน้าผู้คน แต่สองบทนี้ก็เป็นคำเตือนที่สัตย์ซื่อและเมตตาที่สุดที่พระเจ้าทรงมีให้กับผู้คน  อย่างน้อยที่สุด เมื่อผู้คนอิ่มเอมใจและหยิ่งทะนงตน หลังจากที่อ่านสองบทนี้แล้ว การทำชั่วของพวกเขาเองจะอยู่ภายใต้การควบคุม และพวกเขาจะสงบลง  โดยผ่านทางสองบทนี้ พระเจ้าทรงเตือนความจำผู้คนทั้งหมดว่าไม่สำคัญว่าชีวิตของเจ้าจะเติบโตเต็มที่เพียงใด ประสบการณ์ของเจ้าจะลึกซึ้งเพียงใด ความมั่นใจของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเจ้าเกิดที่ใดและกำลังจะไปที่ใด ธรรมชาติในการทรยศพระเจ้าของเจ้าหมิ่นเหม่ที่จะเผยตัวมันออกมาได้ในทุกที่และทุกเวลา  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะบอกทุกๆ บุคคลคือสิ่งนี้: การทรยศพระเจ้าเป็นธรรมชาติโดยกำเนิดของทุกๆ บุคคล  แน่นอนว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าในการแสดงออกถึงสองบทนี้ไม่ใช่เพื่อหาข้ออ้างที่จะกำจัดมวลมนุษย์หรือกล่าวโทษมวลมนุษย์ แต่เพื่อทำให้ผู้คนไหวตัวรับรู้มากขึ้นถึงธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทุกเวลาเพื่อรับการทรงนำทางของพระองค์ ซึ่งจะหยุดพวกเขาไม่ให้สูญเสียการสถิตของพระเจ้าและย่างเท้าลงบนวิถีที่ไม่มีทางหวนกลับ  สองบทนี้คือออดเตือนสำหรับบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้า  หวังว่าผู้คนจะเข้าใจเจตนารมณ์ที่จริงจังจริงใจของพระเจ้า จะว่าไปแล้ว พระวจนะเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้—ดังนั้นแล้ว มนุษย์มีความต้องการที่จำเป็นใดที่จะต่อรองว่าพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระวจนะเหล่านี้เมื่อใดและอย่างไร?  หากพระเจ้าทรงเก็บพระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดไว้กับพระองค์เองและรอจนกระทั่งถึงเวลาที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่พระองค์จะดำรัสพระวจนะเหล่านี้ เมื่อนั้นจะไม่สายเกินไปหรือ?  เวลาที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นเวลาใด?

พระเจ้าทรงใช้หลายวิธีการและหลายมุมมองในสี่ส่วนเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น บางครั้งพระองค์ทรงใช้การเหน็บแนม และบางครั้งพระองค์ทรงใช้วิธีการการจัดเตรียมและการสอนโดยตรง บางครั้งพระองค์ทรงใช้ตัวอย่าง และบางครั้งพระองค์ทรงใช้การว่ากล่าวอย่างกระด้าง  โดยรวมแล้ว มีวิธีการที่แตกต่างทุกประเภท ซึ่งมีเป้าหมายคือเพื่อจัดหาตามสภาวะและความชื่นชอบที่หลากหลายของผู้คน  มุมมองที่พระองค์ทรงใช้ในการตรัสเปลี่ยนแปลงไปตามวิธีการที่แตกต่างและเนื้อหาของถ้อยดำรัสของพระองค์  ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงใช้คำว่า “เรา” นั่นคือ พระองค์ตรัสต่อผู้คนจากมุมมองของพระเจ้าพระองค์เอง  บางครั้งพระองค์ตรัสจากบุคคที่สาม โดยตรัสว่า “พระเจ้า” ทรงเป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ และมีบางครั้งที่พระองค์ตรัสจากมุมมองของมนุษย์  ไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสจากมุมมองใด แก่นแท้ของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงแสดงออกก็คือแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง—ทั้งหมดคือความจริง และคือสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมี

ก่อนหน้า: บทที่ 46

ถัดไป: เส้นทาง… (1)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger