บทที่ 35

ในปัจจุบัน พวกมนุษย์ทั้งหมดได้เข้าสู่การตีสอนในระดับที่แตกต่างกัน  ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ไม่มีผิดว่า “เราออกไปพร้อมกับมนุษย์เคียงข้างกัน”  นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอนที่สุด ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้อย่างเต็มที่  ผลก็คืองานส่วนที่พวกเขาได้ทำไปแล้วจึงไม่ได้จำเป็น  พระเจ้าได้ตรัสว่า “เรากลับสนับสนุนและจัดเตรียมให้พวกเขาโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของพวกเขาเสียมากกว่า  เพราะพวกมนุษย์เป็นตัวละครศูนย์กลางของแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของเรา เราจึงให้การนำมากขึ้นแก่บรรดาผู้ที่ได้รับเลือกให้เล่นบทบาทของ ‘มนุษย์’ เพื่อที่พวกเขาอาจเล่นบทบาทนั้นอย่างสุดหัวใจและสุดความสามารถของพวกเขา” ตลอดจน “อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์มโนธรรมของพวกเขาโดยตรง แต่เรากลับนำทางพวกเขาต่อไปอย่างทรหดอดทนและอย่างเป็นระบบเสียมากกว่า  จะว่าไปแล้ว พวกมนุษย์อ่อนแอ และไม่สามารถทำงานใดๆ ได้”  พระดำริของพระเจ้าเป็นดังนี้คือ ต่อให้พระองค์ทรงทำลายพวกมนุษย์เหล่านี้ทั้งหมดจนสิ้นซากในที่สุด พระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกก็จะยังคงดำเนินต่อไปโดยสอดคล้องกับแผนการดั้งเดิมของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจที่ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นดี  ดังที่เปโตรได้พูดไว้ “ต่อให้พระเจ้าได้กำลังทรงเล่นกับมนุษย์ราวกับว่าพวกเขาเป็นของเล่น มนุษย์จะมีเรื่องร้องทุกข์อันใด?  พวกเขาจะมีสิทธิอันใด?”  ในปัจจุบัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงสัมฤทธิ์ผลกับมนุษยชาติหรือ?  พวกมนุษย์สามารถมีทรรศนะเช่นนี้ได้หรือ?  เหตุใดเปโตร ผู้ซึ่งได้ดำรงชีวิตเมื่อหลายพันปีที่แล้ว จึงได้สามารถพูดสิ่งนี้ได้ ขณะที่ “พวกเปโตร” ของวันนี้ ผู้ซึ่งดำรงชีวิตในยุคที่ทันสมัยไฮเทคนี้ ไม่สามารถพูดได้?  เราไม่สามารถพูดอย่างมั่นใจได้ว่าประวัติศาสตร์กำลังก้าวหน้าหรือถอยหลัง และยังไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามที่ว่าวิทยาศาสตร์กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าหรือข้างหลังกันแน่  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำในมนุษยชาติได้หมายใจที่จะทำให้พวกเขาอยู่ในด้านบวกและเปิดโอกาสให้ชีวิตของพวกเขาบรรลุวุฒิภาวะ  ผู้คนไม่สามารถจับใจความการนี้ได้หรือ?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เจ้าอยู่ในด้านลบนั้นเป็นความอ่อนแอของเจ้า เป็นจุดเปราะบางที่สำคัญต่อชีวิตซึ่งซาตานจะโจมตี  เจ้ามองเห็นการนี้ชัดเจนหรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงได้ตรัสเช่นนี้?  “เราอ้อนวอนต่อมวลมนุษย์อย่างจริงจังตั้งใจและจริงใจทั้งสิ้น  พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เราขอได้อย่างแท้จริงหรือ?”  พระวจนะเหล่านี้หมายความถึงสิ่งใด?  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสถามคำถามนี้?  มันแสดงให้เห็นว่ามนุษยชาติมีด้านลบมากมายเกินไป และปัจจัยด้านลบเพียงปัจจัยเดียวก็เพียงพอที่จะเป็นเหตุให้พวกมนุษย์สะดุด  เจ้าควรจะมองดูให้เห็นว่าสิ่งใดที่การยังคงอยู่ในด้านลบจะนำพามาน่าจะดีกว่า  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้มนุษยชาติมีความเพียบพร้อม  พระวจนะเหล่านี้พึงประสงค์คำอธิบายเพิ่มเติมใดๆ อีกหรือไม่?  ไม่—ดังที่เรามองเห็น ไม่มีความจำเป็น!  อาจกล่าวได้ว่าพวกมนุษย์ได้ถูกซาตานครอบงำ แต่จะดีกว่ามากที่จะพูดว่าพวกมนุษย์ได้ถูกด้านลบครอบงำ  นี่คือการสำแดงหนึ่งของมวลมนุษย์ เป็นรยางค์หนึ่งของเนื้อหนังของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ผู้คนทั้งหมดตกลงสู่ด้านลบโดยไม่รู้สึกตัว และตกลงสู่การตีสอนเป็นอันดับต่อไป  นี่คือกับดักที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ และเป็นเวลานี้นี่เองที่พวกมนุษย์ทนทุกข์มากที่สุด  เพราะผู้คนติดอยู่ในด้านลบ มันจึงลำบากยากเย็นที่พวกเขาจะรอดพ้นจากการตีสอน  ทุกวันนี้สิ่งต่างๆ ไม่เป็นเช่นนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยนหรือ?  แต่พวกมนุษย์สามารถเพิกเฉยต่อพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ทุกวันนี้ ซาตานกำลังอาละวาดอย่างสุดขั้ว  เหตุใดเราไม่ใช้โอกาสนี้เพื่ออวดจุดมุ่งเน้นของงานของเราและเปิดเผยอานุภาพของเรา?”  ได้อย่างไร?  เราพูดคำเตือนความจำไม่กี่คำ และทันใดนั้น ผู้คนจากคริสตจักรทั้งหลายก็เข้าสู่การตีสอน  นี่เป็นเพราะหลังจากสองเดือนของพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนยังไม่ได้เปลี่ยนสภาพภายในอย่างมีสาระสำคัญ  พวกเขาเพียงแค่วิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้าด้วยจิตใจของพวกเขา ถึงกระนั้นสภาวะของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ เลย  พวกเขายังคงอยู่ในด้านลบ  ในเมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ เมื่อพระเจ้าทรงเอ่ยขึ้นว่าเวลาแห่งการตีสอนมาใกล้แล้ว ผู้คนก็จะทุกข์ใจในทันที โดยคิดว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันได้รับการกำหนดล่วงหน้าโดยพระเจ้าหรือไม่ อีกทั้งฉันไม่รู้ว่าฉันสามารถตั้งมั่นภายใต้การตีสอนนี้ได้หรือไม่  มันยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีกที่จะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงใช้วิธีการใดในการตีสอนผู้คน”  พวกมนุษย์ทั้งหมดกลัวการตีสอน ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเขาเพียงแค่ทนทุกข์ในความเงียบ แต่ก็กลัวด้วยเช่นกันว่าพวกเขาจะไม่สามารถตั้งมั่น  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ ซึ่งไม่มีการตีสอนพุ่งเข้าใส่พวกเขาและไม่มีการทรมานแห่งพระวจนะ พวกมนุษย์ได้เข้าสู่การตีสอนโดยไม่รู้สึกตัว  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงร้อนรนและเสียขวัญ  การนี้เรียกว่า “การเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาได้หว่านไว้” เพราะพวกมนุษย์ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าเลย  อันที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีแนวโน้มที่จะสิ้นเปลืองพระวจนะเพิ่มเติมใดๆ กับผู้คนเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้ทรงรับหนทางที่แตกต่างเพื่อใช้จัดการกับพวกเขา หนทางที่ไม่ใช่การตีสอนที่แท้จริง  มันเป็นเหมือนกับเวลาที่บุคคลผู้หนึ่งจับลูกไก่และยกมันขึ้นมาเพื่อดูว่ามันเป็นตัวเมียหรือตัวผู้ นี่อาจจะไม่ดูเหมือนเรื่องที่สำคัญอันใด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ลูกไก่ตัวเล็กจะตกใจมากเสียจนมันจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวมันเองให้เป็นอิสระ ราวกับหวาดกลัวว่าเจ้าของของมันกำลังจะฆ่าและกินมัน  นี่เป็นเพราะลูกไก่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวมันเอง  เหตุใดใครบางคนจึงจะฆ่าและกินลูกไก่ที่มีน้ำหนักเพียงไม่กี่ออนซ์เท่านั้น?  นั่นจะไม่ไร้สาระหรือ?  มันเป็นเช่นที่พระเจ้าตรัสไว้อย่างไม่มีผิดว่า “เช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงหลีกเลี่ยงเราเนืองๆ?  มันเป็นเพราะเราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงลูกไก่ ซึ่งจะถูกฆ่าทันทีที่พวกมันถูกจับหรือ?”  เพราะฉะนั้น ความทุกข์ของมนุษย์จึงเป็นการอุทิศ “โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว” ทั้งหมด และอาจเรียกมันว่าเป็นราคาที่ไร้ประโยชน์ที่จะจ่าย  เป็นเพราะผู้คนไม่รู้จักตัวพวกเขาเองนั่นเองที่พวกเขารู้สึกกลัว ผลก็คือพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงชีวิตของพวกเขาได้  นี่คือความอ่อนแอของมนุษยชาติ  พระวจนะที่พระเจ้าตรัส “ในที่สุด ให้พวกมนุษย์รู้จักตัวพวกเขาเอง  นี่คือเป้าหมายสุดท้ายของเรา” ล้าสมัยหรือไม่?  ผู้ใดรู้จักตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง?  หากคนเราไม่รู้จักตัวพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วสิ่งใดให้สิทธิที่จะถูกตีสอนแก่พวกเขา?  ยกเรื่องลูกแกะเป็นตัวอย่าง  ลูกแกะจะสามารถถูกฆ่าได้อย่างไรหากลูกแกะไม่ได้เติบโตเป็นแกะเต็มตัว?  มนุษย์จะสามารถชื่นชมต้นไม้ที่ไม่ได้ให้ดอกผลได้อย่างไร?  ทุกคนให้ความสำคัญมากเกินไปกับ “การฉีดวัคซีน”  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนกำลังทำงานแห่งการอดอาหาร และพวกเขาก็กำลังหิว  นี่คือตัวอย่างของการเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาได้หว่านไว้ ของการทำอันตรายตัวพวกเขาเอง และไม่ใช่ความโหดเหี้ยมหรือความไร้มนุษยธรรมของพระเจ้า  หากวันหนึ่งพวกมนุษย์มารู้จักตัวพวกเขาเองและสั่นเทาด้วยความกลัวเบื้องหน้าพระเจ้าโดยฉับพลัน เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงเริ่มตีสอนพวกเขา  ในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกมนุษย์จะเต็มใจอ้าแขนรับความยากลำบาก เชื่อฟังในหัวใจและวาทะ  แต่เกี่ยวกับวันนี้ล่ะ?  ผู้คนทั้งหมดถูกตีสอนโดยที่พวกเขาไม่ยินยอม เหมือนพวกเด็กถูกทำให้ปรุงอาหารสักมื้อ  ในเมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาจะไม่สามารถรู้สึกไม่สบายใจได้อย่างไร?  ทุกคนคิดว่า “โอ เอาละ!  ตราบเท่าที่ฉันกำลังถูกตีสอน ฉันก็น่าจะก้มศีรษะของฉันและสารภาพผิด!  ฉันจะสามารถทำสิ่งใดได้?  ต่อให้ฉันกำลังร้องไห้ ฉันก็ยังคงต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ดังนั้นฉันสามารถทำสิ่งใดได้?  ไม่ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเส้นทางที่ฉันเดินอยู่ในตอนนี้?  โอ เอาเถอะ!  ฉันก็แค่จะโทษโชคร้ายของฉันสำหรับเรื่องนี้!”  ผู้คนไม่ได้คิดเช่นนี้หรอกหรือ?

ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ “มวลมนุษย์มีความประพฤติดี ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านเรา  ทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของเรา ดำเนิน ‘การงาน’ ที่เราได้มอบหมายให้จนเสร็จสิ้น”  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่ถูกตีสอนอย่างเต็มใจ และที่มากกว่านั้น ว่าการตีสอนนี้มาจากพระเจ้า เพราะพวกมนุษย์ทั้งหมดต้องการที่จะดำรงชีวิตในความสบายมากกว่าความโกลาหลและความวุ่นวาย  พระเจ้าได้ตรัสว่า “ผู้ใดไม่กลัวความตาย?  ผู้คนสามารถเอาชีวิตของพวกเขาไปเสี่ยงได้อย่างแท้จริงหรือ?”  นี่ถูกต้องอย่างแน่นอนที่สุด ทุกคนกลัวที่จะตาย ยกเว้นเวลาที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธหรือความสิ้นหวังอย่างแน่นอน  นี่คือธาตุแท้ของมนุษยชาติ และมันก็ลำบากยากเย็นเป็นล้นพ้นที่จะแก้ไข  วันนี้พระเจ้าได้มาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ลำบากนี้อย่างแน่นอน  พวกมนุษย์ทั้งหมดไม่มีพลังอำนาจ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงสถาปนาโรงพยาบาลเฉพาะทางท่ามกลางพวกเขาโดยเฉพาะ ที่ซึ่งพวกเขาอาจได้รับการรักษาให้หายจากโรคนี้  ผู้คนไม่สามารถปลดปล่อยตัวพวกเขาเองให้เป็นอิสระจากบ่วงแห่งโรคภัยไข้เจ็บนี้ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาทั้งหมดกระวนกระวายใจว่าปากของพวกเขาอักเสบและท้องของพวกเขาบวม  เมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณก๊าซในช่องท้องของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความดันมากขึ้น และในที่สุด กระเพาะอาหารของพวกเขาก็แตกออกและพวกเขาทั้งหมดก็ตาย  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงจะได้ทรงรักษาความเจ็บป่วยรุนแรงนี้ของมนุษย์ เพราะทุกคนจะได้ตายไป  นี่ไม่ใช่การรักษาสำหรับสภาพเงื่อนไขของมนุษย์หรือ?  พระเจ้าได้ทรงจงใจมาเพื่อทรงพระราชกิจนี้  เพราะผู้คนกลัวความตายอย่างยิ่ง พระเจ้าพระองค์เองจึงได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจนี้ร่วมกันกับพวกมนุษย์ เพราะพวกเขามีความกล้าหาญน้อยเหลือเกิน พระองค์จึงได้ทรงทำการสาธิตให้พวกเขาดูก่อนสิ่งอื่น  ผู้คนเต็มใจที่จะเชื่อฟังหลังจากที่ได้เห็นตัวอย่างของพระเจ้าก่อนแล้วเท่านั้น  ด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เพราะไม่มีผู้ใดจะสามารถทำงานของเราจนเสร็จสิ้นได้ เราจึงได้ก้าวเท้าเดินไปบนสนามรบด้วยตนเอง เพื่อมีส่วนร่วมในการดิ้นรนต่อสู้แห่งความเป็นและความตายกับซาตาน”  นี่คือการสู้รบชี้ขาด ดังนั้นไม่ปลาตายก็อวนแตก  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน  เพราะวิญญาณจะมีชัยชนะในที่สุด เนื้อหนังจึงต้องถูกความตายเอาไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เจ้าเข้าใจนัยข้างเคียงของการนี้ไหม?  ถึงกระนั้นจงอย่ารู้สึกไวเกินไป  บางทีประโยคข้างต้นอาจจะเรียบง่าย หรือบางทีมันอาจจะซับซ้อน  ไม่ว่าจะทางใด พวกมนุษย์ก็ไม่สามารถหยั่งลึกมันได้—นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน  ในความทุกข์ พวกมนุษย์สามารถยอมรับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้าได้ ซึ่งคนเราอาจเรียกว่าเป็นโชคดีของพวกเขา หรือคนเราอาจเรียกว่าเป็นโชคร้ายของพวกเขา  ถึงกระนั้นเราก็จะยังคงให้คำเตือนความจำว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าถูกต้องไม่ว่าจะอย่างไร—ไม่เหมือนเจตนาของพวกมนุษย์ ซึ่งเป็นเพื่อที่จะวางแผนและจัดการเตรียมการเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเองเสมอ  นี่ควรชัดเจนอย่างยิ่ง จงอย่าตกลงสู่การใคร่ครวญที่ไม่จบสิ้น  นี่ไม่ใช่ความอ่อนแอของพวกมนุษย์อย่างแน่นอนหรือ?  พวกเขาทั้งหมดเป็นเหมือนเช่นนี้ แทนที่จะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้า พวกเขากลับมีความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อตัวพวกเขาเอง  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทรงหวงแหนมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงทำการเรียกร้องต่อพวกเขาเสมอ  ยิ่งผู้คนรักตัวพวกเขาเองมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพึงประสงค์ให้พวกเขารักพระองค์มากขึ้น และข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขาก็ยิ่งเข้มงวดมากขึ้นเท่านั้น  มันเป็นราวกับว่าพระเจ้าได้กำลังทรงหยอกล้อผู้คนโดยเจตนา  หากผู้คนรักพระองค์อย่างแท้จริง ก็ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ทรงยอมรับรู้พวกเขา  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงเกาศีรษะของพวกเขาและตกอยู่ในความคิดลึก  นี่คือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นเพียงแค่การพูดถึงหนึ่งหรือสองสิ่งอย่างสั้นๆ  นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า  เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนรู้ และมันก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง  มันเป็นกิจใหม่ และผู้คนต้องทำงานหนักกับกิจนี้เพื่อทะลวงเข้าไปและสร้างความก้าวหน้าสดใหม่  เจ้าเข้าใจการนี้ไหม?  เจ้าจำเป็นต้องให้เราพูดมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?

เกี่ยวกับยุคต่างๆ ก่อนหน้านั้น พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราไม่เคยได้เลือกบุคคลใดแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดได้ถูกจดหมายเงียบของเราบอกปัด  นี่เป็นเพราะผู้คนในอดีตไม่ได้รับใช้เราเพียงผู้เดียว ดังนั้นเราจึงไม่ได้รักพวกเขาเพียงผู้เดียวเป็นการตอบแทน  พวกเขาได้รับเอา ‘ของขวัญ’ ของซาตาน และจากนั้น ได้หันกลับและได้มอบสิ่งเหล่านั้นให้เรา  นี่ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสีเราหรือ?”  พระวจนะเหล่านี้สามารถอธิบายได้อย่างไร?  มันเป็นดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ของประทานทั้งหมดกำเนิดขึ้นจากซาตาน”  บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะรุ่นก่อนๆ ล้วนได้พึ่งพาของประทานเพื่อทำงานของพวกเขา และเรื่อยลงมาตลอดยุคทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงใช้ของประทานของพวกเขาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  นี่คือสาเหตุที่มีการพูดว่าการรับใช้ของผู้คนทั้งหมดด้วยของประทานนั้นมาจากซาตาน  อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้า “เราใช้กลอุบายของซาตานเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา”  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงเรียกการรับใช้ของผู้คนที่มีของประทานว่าเป็น “ของขวัญจากซาตาน” และเป็นเพราะพวกเขาเป็นของซาตานเท่านั้นนั่นเองที่พระเจ้าทรงเรียกการกระทำนี้ว่า “การใส่ร้ายป้ายสี”  นี่ไม่ใช่การกล่าวหาที่ไม่มีมูลต่อพวกมนุษย์ ในทางตรงกันข้าม มันเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมและมีเหตุผลดี  ด้วยเหตุนี้ “เราก็ไม่ได้เปิดเผยความขยะแขยงของเรา แต่เรากลับได้เปลี่ยนอุบายของพวกเขาให้เป็นการใช้งานของเราเองโดยเพิ่มเติม ‘ของขวัญ’ เหล่านี้ไปที่วัสดุแห่งการบริหารจัดการของเรา  ต่อมา ครั้นพวกมันได้ถูกแปรรูปโดยเครื่องจักร เราย่อมจะเผาสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน”  นี่คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหลือเกินเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  ประเด็นนี้สอดคล้องน้อยที่สุดกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เพราะไม่มีผู้ใดจะคิดว่าพวกที่ครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ไม่ใช่ผู้คนที่มีของประทาน หรือว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ไร้ของประทานซึ่งพระเจ้าทรงรัก  ดังที่สามารถมองเห็นได้ แนวคิดหรือความหวังของวิทเนส ลีและวอท์ชแมน นีทั้งหมดก็ได้กลับกลายเป็นขี้เถ้า และสิ่งเดียวกันก็เป็นจริงกับผู้คนที่มีของประทานของวันนี้  บัดนี้พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจนี้ และพระองค์กำลังค่อยๆ ถอนกลับพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพวกมนุษย์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นสำหรับพระราชกิจของพระองค์  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นอย่างครบบริบูรณ์ ผู้คนเหล่านี้ก็จะกลับสู่ที่ดั้งเดิมของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม เรารบเร้าให้พวกมนุษย์ไม่กระทำการอย่างบ้าบิ่นเพราะวจนะของเรา  เจ้าควรติดตามครรลองธรรมชาติของสิ่งต่างๆ โดยสอดคล้องกับขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อที่จะไม่ทำให้พระราชกิจนั้นหยุดชะงัก  เจ้าเข้าใจประเด็นนี้หรือไม่?  เนื่องจากเหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายและวิธีการของพระราชกิจของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรง “แปรรูป” “ของขวัญ” เหล่านี้ให้เป็น “ผลิตภัณฑ์ที่เสร็จแล้ว” เจตนารมณ์ทั้งหมดของพระองค์ก็จะกลายเป็นเด่นชัด และของขวัญที่ให้การรับใช้แก่พระองค์จะถูกกำจัดสิ้น อย่างไรก็ตาม พระเจ้าจะมีผลิตภัณฑ์ที่เสร็จแล้วให้ชื่นชม  เจ้าเข้าใจการนี้ไหม?  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการคือผลิตภัณฑ์ที่เสร็จแล้ว ไม่ใช่ของขวัญมากมายที่พวกมนุษย์ถวายพระองค์  เฉพาะเมื่อทุกคนได้เข้าประจำที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาแล้วเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงกลับเข้าสู่ตำแหน่งดั้งเดิมของพระองค์แล้ว และพญามารก็เช่นกันได้นั่งในที่นั่งของมันเองแล้ว ตลอดจนเหล่าทูตสวรรค์โดยไม่มีการยกเว้น—เมื่อนั้นเท่านั้นที่รอยยิ้มแห่งความสมดังใจหมายจะปรากฏบนพระพักตร์ของพระเจ้า เพราะเจตนารมณ์ของพระองค์จะได้รับการสนอง เป้าหมายของพระองค์จะได้รับการสัมฤทธิ์ผล  พระเจ้าจะไม่ทรงแสวงหา “ความช่วยเหลือ” จาก “พญามาร” อีกต่อไป เพราะเจตนารมณ์ของพระเจ้าจะได้ถูกเปิดเผยต่อพวกมนุษย์อย่างไม่ปิดบัง และพวกมนุษย์จะไม่มีวันถูกทำให้ถ่ายทอดเจตนารมณ์เหล่านั้นอีก  ณ เวลานี้ ร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของผู้คนจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อมนุษย์ เป็นบั้นปลายสุดท้ายของจิตวิญญาณ ดวงวิญญาณและร่างกาย  มันเป็นบทสรุปของความหมายดั้งเดิมของ “มนุษยชาติ”  นี่ไม่จำเป็นต้องได้รับการค้นคว้าอย่างละเอียด การรู้หนึ่งหรือสองสิ่งเกี่ยวกับมันก็เพียงพอแล้ว  เจ้าเข้าใจไหม?

ก่อนหน้า: บทที่ 33

ถัดไป: บทที่ 36

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger