ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)

เหนือสิ่งอื่นใด ผลลัพธ์ที่เจตนาของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยคือ เพื่อให้เนื้อหนังของมนุษย์ไม่กบฏอีกต่อไป นั่นคือ เพื่อให้จิตใจของมนุษย์ได้รับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อให้หัวใจของมนุษย์นบนอบพระเจ้าอย่างหมดจด และเพื่อให้มนุษย์ทะเยอทะยานที่จะอยู่เพื่อพระเจ้า  ผู้คนยังไม่นับว่าถูกพิชิตเมื่ออารมณ์หรือเนื้อหนังของพวกเขาเปลี่ยนแปลง  เมื่อความคิดของมนุษย์ ความมีสติรู้ตัวของมนุษย์ และสำนึกรับรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อท่าทีทางใจทั้งหมดของเจ้าเปลี่ยนแปลง—นั่นจะเป็นเวลาที่เจ้าได้ถูกพระเจ้าพิชิตแล้ว  เมื่อเจ้าได้ตกลงใจที่จะนบนอบและนำวิธีการคิดแบบใหม่มาใช้แล้ว เมื่อเจ้าไม่นำมโนคติอันหลงผิดหรือเจตนาของเจ้าเองมาอยู่ที่พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอีกต่อไป และเมื่อสมองของเจ้าสามารถคิดได้อย่างเป็นปกติ—กล่าวคือ เมื่อเจ้าสามารถใช้ความพยายามทำเพื่อพระเจ้าด้วยทั้งหมดทั้งหัวใจของเจ้า—เมื่อนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลประเภทที่ถูกพิชิตอย่างครบถ้วนแล้ว  ในศาสนา ผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากมายตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาเอง และแบกทุกข์ของตน พวกเขายังแม้แต่ทนทุกข์และสู้ทนต่อไปเมื่ออยู่บนปากเหวแห่งความตาย!  บางคนยังคงกำลังอดอาหารในตอนเช้าของวันที่พวกเขาตาย  ทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธไม่ให้ตัวเองได้รับอาหารและเสื้อผ้าดีๆ และมุ่งเน้นที่ความทุกข์เท่านั้น  พวกเขาสามารถอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาได้และกบฏต่อเนื้อหนังของพวกเขา  จิตใจที่พวกเขามีให้กับการสู้ทนความทุกข์ช่างน่ายกย่อง  แต่ความคิดของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทัศนคติทางใจของพวกเขา และโดยแท้จริงแล้ว ธรรมชาติเก่าๆ ของพวกเขา ยังไม่ได้ถูกตัดแต่งเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง  ภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นภาพแบบดั้งเดิมที่มีพระเจ้าที่คลุมเครือ  ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าของพวกเขามาจากความกระตือรือร้นและบุคลิกลักษณะที่ดีของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทั้งไม่เข้าใจพระองค์หรือรู้เจตนารมณ์ของพระองค์  พวกเขาเพียงทำงานและทนทุกข์อย่างหูหนวกตาบอดเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาไม่ให้คุณค่าใดๆ กับการหยั่งรู้เลย ใส่ใจวิธีการทำให้แน่ใจว่าการรับใช้ของพวกเขาทำให้เจตนารมณ์ของพระเจ้าลุล่วงจริงๆ เพียงเล็กน้อย  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่ใช่พระเจ้าในพระฉายาเนื้อแท้ภายในของพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้จินตนาการ พระเจ้าผู้ที่พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินหรือตำนานเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านในงานเขียนเท่านั้น  แล้วพวกเขาก็ใช้จินตนาการอันกว้างไกลและความเคร่งศาสนาของพวกเขาในการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติ  การรับใช้ของพวกเขาคลาดเคลื่อนเกินไป จนกระทั่งไม่มีพวกเขาคนใดที่มีความสามารถที่จะรับใช้โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติเลย  ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีทนทุกข์อย่างไรก็ตาม มุมมองแต่เดิมของพวกเขาเกี่ยวกับการรับใช้และภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน กระบวนการถลุง และการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า อีกทั้งไม่มีใครคนใดเคยนำพวกเขาโดยใช้ความจริง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอด  พวกเขาเพียงรู้จักพระองค์โดยผ่านทางตำนานและคำบอกเล่าเท่านั้น  ดังนั้น การรับใช้ของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากกว่าการปิดตารับใช้ไปอย่างไร้แบบแผน ราวกับคนตาบอดที่รับใช้บิดาของเขาเอง  ถึงที่สุดแล้ว การรับใช้เช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดได้บ้าง?  และผู้ใดจะเห็นชอบกับการรับใช้เช่นนั้น?  การรับใช้ของพวกเขายังคงเหมือนเดิมตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด พวกเขาได้รับเพียงบทเรียนที่มนุษย์สร้างขึ้น และอิงการรับใช้ของพวกเขาบนความเป็นธรรมชาติของพวกเขาและความชอบของพวกเขาเองเท่านั้น  สิ่งนี้จะสามารถให้รางวัลใด?  แม้กระทั่งเปโตร ผู้ซึ่งได้มองเห็นพระเยซู ก็ยังไม่รู้วิธีการรับใช้ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เขาเพียงมารู้ถึงการนี้ในท้ายที่สุดในวัยชราของเขา  นี่บอกอะไรเกี่ยวกับผู้คนตาบอดที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการตัดแต่งแม้แต่น้อย และผู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดนำพวกเขา?  การรับใช้ของผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าในวันนี้ไม่เหมือนกับของผู้คนที่ตาบอดเหล่านี้หรือ?  ผู้คนทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ยังไม่ได้รับการตัดแต่ง และผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกพิชิตอย่างไม่ครบบริบูรณ์หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นมีประโยชน์อันใดกัน?  หากความคิดของเจ้า ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับชีวิต และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใดๆ และเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยอดเยี่ยมในการรับใช้ของเจ้า!  หากปราศจากนิมิตและความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่ถูกพิชิต  แล้ววิธีการติดตามพระเจ้าของเจ้าก็จะเหมือนกับผู้ที่ทนทุกข์และอดอาหาร นั่นคือ มีคุณค่าเพียงน้อยนิด!  เป็นที่แน่แท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีคำพยานเพียงน้อยนิด เราจึงพูดว่าการรับใช้ของพวกเขาไร้ประโยชน์!  ผู้คนเหล่านั้นทนทุกข์และใช้เวลาอยู่ในคุกตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาอดกลั้น รักใคร่เสมอมา และพวกเขาแบกกางเขนเสมอมา พวกเขาถูกเยาะเย้ยถากถางและถูกปฏิเสธจากโลก พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากทุกอย่าง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังจนถึงที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ถูกพิชิต และไม่สามารถเสนอคำพยานใดๆ ต่อการถูกพิชิตได้  พวกเขาได้ทนทุกข์มากมาย แต่ภายใน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าเลย  ความคิดเก่าๆ มโนคติอันหลงผิดเก่าๆ การปฏิบัติทางศาสนา ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และแนวความคิดในแบบมนุษย์ของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่เคยได้รับการตัดแต่ง  ไม่มีเค้าของความรู้ใหม่ๆ ในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย  ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไม่มีแม้สักเสี้ยวที่แท้จริงหรือถูกต้องแม่นยำ  พวกเขาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิด  นี่คือการรับใช้พระเจ้าหรือ?  ไม่ว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากความรู้นั้นยังคงเหมือนเดิมในวันนี้และเจ้ายังคงใช้มโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าเองเป็นพื้นฐานความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ หากเจ้ายังไม่มีความรู้ใหม่ๆ ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และหากเจ้ายังล้มเหลวที่จะรู้จักพระฉายาและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า หากความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงถูกนำด้วยความคิดตามระบบศักดินาและที่เป็นไสยศาสตร์ และยังคงเกิดขึ้นจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกพิชิต  วจนะมากมายทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าบัดนี้ มุ่งหมายเพื่อให้เจ้ารู้ เพื่อให้ความรู้นี้นำทางเจ้าสู่ความรู้ใหม่กว่าที่ถูกต้องแม่นยำ  วจนะเหล่านี้ยังมุ่งหมายที่จะตัดแต่งมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ และความรู้เก่าๆ ในตัวเจ้าออกไปด้วยเช่นกัน เพื่อที่เจ้าอาจมีความรู้ใหม่ๆ ได้  หากเจ้ากินและดื่มวจนะของเราจริงๆ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก  ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งการนบนอบ เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็จะพลิกกลับ  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับการตีสอนซ้ำๆ ได้ วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป  ตราบเท่าที่วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าถูกแทนที่อย่างถ้วนทั่วด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ การปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องเช่นกัน  ด้วยวิธีนี้ การรับใช้ของเจ้าจะตรงเป้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หากเจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้า ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดมากมายที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเป็นธรรมชาติของเจ้าจะค่อยๆ ลดลง  สิ่งนี้และเป็นเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นผลที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงพิชิตผู้คน มันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้คน  หากในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ทั้งหมดที่เจ้ารู้คือการอยู่เหนือร่างกายของเจ้าและการสู้ทนและการทนทุกข์ และเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก หรือยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าทำไปเพื่อใคร แล้วการปฏิบัติเช่นนั้นจะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

จงทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าไม่ใช่การขอให้พวกเจ้ายึดเนื้อหนังของพวกเจ้าอยู่ในความเป็นทาส หรือหยุดไม่ให้สมองของพวกเจ้าคิดความคิดตามอำเภอใจ  นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพระราชกิจ อีกทั้งไม่ใช่พระราชกิจที่จำเป็นต้องกระทำในขณะนี้  ในขณะนี้ พวกเจ้าต้องมีความรู้จากแง่มุมที่เป็นบวก เพื่อที่เจ้าอาจเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเองได้  การกระทำที่จำเป็นที่สุดคือ เจ้าต้องเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้า หมายความว่าให้เตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริงและนิมิตของปัจจุบันอย่างครบถ้วน และจากนั้นจึงเดินหน้านำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติ  นี่คือความรับผิดชอบของพวกเจ้า  เราไม่ได้กำลังขอให้พวกเจ้าแสวงหาและได้รับความกระจ่างที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก  ณ ขณะนี้พวกเจ้าเพียงไม่มีวุฒิภาวะสำหรับสิ่งนั้น  สิ่งที่กำหนดจากพวกเจ้าคือการทำทุกอย่างที่พวกเจ้าสามารถทำได้เพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าต้องเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าและรู้จักธรรมชาติของพวกเจ้า เนื้อแท้ของพวกเจ้า และชีวิตเก่าๆ เช่นนั้นของพวกเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้การปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนในอดีตเหล่านั้น และการกระทำในแบบมนุษย์ที่เจ้าทำเหล่านั้น  เพื่อเปลี่ยนแปลง เจ้าต้องเริ่มต้นโดยการเปลี่ยนความคิดของเจ้า  อันดับแรก จงแทนที่ความคิดเก่าๆ ของพวกเจ้าด้วยความคิดใหม่ และให้ความคิดใหม่ของพวกเจ้าควบคุมถ้อยคำและการกระทำของพวกเจ้าและชีวิตของพวกเจ้า  นี่คือสิ่งที่ขอจากพวกเจ้าแต่ละคนในวันนี้  จงอย่าปฏิบัติอย่างหูหนวกตาบอด หรือปฏิบัติตามอย่างหูหนวกตาบอด  เจ้าควรมีพื้นฐานและเป้าหมาย  จงอย่าหลอกตัวเจ้าเอง  พวกเจ้าควรรู้ว่าความเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้าเป็นไปเพื่อสิ่งใดกันแน่ ความเชื่อนั้นควรให้อะไร และพวกเจ้าควรเข้าสู่อะไรในตอนนี้  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าต้องทราบทั้งหมดนี้

สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าสู่ในตอนนี้คือการยกระดับชีวิตของพวกเจ้าและยกระดับขีดความสามารถของพวกเจ้า  นอกจากนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมุมมองเก่าๆ เหล่านั้นจากอดีตของพวกเจ้า เปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเจ้า และเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้า  ทั้งชีวิตของพวกเจ้าจำเป็นต้องเริ่มใหม่  เมื่อความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับกิจการของพระเจ้าเปลี่ยนแปลง เมื่อเจ้ามีความรู้ใหม่เกี่ยวกับความจริงที่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส และเมื่อความรู้ภายในตัวเจ้าได้รับการยกระดับขึ้น เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าจะหันไปสู่สิ่งที่ดีกว่า  สรรพสิ่งทั้งปวงที่ผู้คนทำและพูดในตอนนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริง  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมีเพื่อชีวิตของพวกเขาและสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาควรมี  นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้คนในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย การเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนควรได้รับประสบการณ์ และเป็นผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาถูกพิชิต  เมื่อเจ้าได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเจ้า นำทัศนคติทางใจใหม่มาใช้ ล้มล้างมโนคติอันหลงผิดและเจตนาของเจ้า และการใช้เหตุผลตามหลักตรรกะในอดีตของเจ้า ละทิ้งสิ่งที่หยั่งรากลึกภายในตัวเจ้า และได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า เมื่อนั้นคำพยานที่เจ้าให้จะได้รับการยกระดับขึ้น และการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งปวงของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง  ทั้งหมดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุด เป็นจริงมากที่สุด และเป็นรากฐานของสิ่งต่างๆ มากที่สุด—สิ่งที่ผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจได้ในอดีต และสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถพยายามทำความเข้าใจได้  สิ่งเหล่านั้นคือพระราชกิจที่แท้จริงของพระวิญญาณ  ในอดีตเจ้าเข้าใจพระคัมภีร์อย่างไรกันแน่?  ให้การนี้อยู่ภายใต้การเปรียบเทียบในวันนี้แล้วเจ้าจะรู้  ในอดีต ในจิตใจเจ้ายกระดับโมเสส เปโตร เปาโล หรือคำกล่าวและมุมมองในพระคัมภีร์ทั้งหมด และนำมาไว้บนแท่น  ในตอนนี้ หากเจ้าได้รับคำขอให้นำพระคัมภีร์ไว้บนแท่น เจ้าจะทำเช่นนั้นหรือไม่?  เจ้าจะมองเห็นว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยบันทึกมากมายที่มนุษย์เขียนขึ้น และว่าพระคัมภีร์เป็นเพียงการบรรยายของมนุษย์ถึงพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า  พระคัมภีร์คือหนังสือประวัติศาสตร์  นี่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระคัมภีร์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือ?  หากเจ้าดูลำดับพงศ์ของพระเยซูตามที่ระบุในพระกิตติคุณมัทธิวในวันนี้ เจ้าจะพูดว่า “ลำดับพงศ์ของพระเยซูหรือ?  ไร้สาระ!  นี่คือลำดับพงศ์ของโยเซฟ ไม่ใช่ของพระเยซู  พระเยซูและโยเซฟนั้นไม่มีสัมพันธภาพระหว่างกัน”  เมื่อเจ้าดูที่พระคัมภีร์ในตอนนี้ ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระคัมภีร์นั้นแตกต่างออกไป ซึ่งหมายความว่ามุมมองของเจ้าได้เปลี่ยนแปลง และเจ้านำความรู้มายังพระคัมภีร์ในระดับที่สูงกว่านักปราชญ์อาวุโสในวงการศาสนา  หากมีบางคนพูดว่ามีอะไรบางอย่างในลำดับพงศ์นี้ เจ้าจะตอบว่า “มีอะไรในลำดับพงศ์นี้?  อธิบายมาสิ  พระเยซูและโยเซฟไม่เกี่ยวข้องกัน  เธอไม่รู้เรื่องนั้นหรือ?  พระเยซูจะทรงมีลำดับพงศ์ได้หรือ?  พระเยซูจะทรงมีบรรพบุรุษได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงเป็นพงศ์พันธุ์ของมนุษย์ได้อย่างไร?  เนื้อหนังของพระองค์ประสูติจากมารีย์ พระวิญญาณของพระองค์คือพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่วิญญาณของมนุษย์  พระเยซูทรงเป็นพระบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงสามารถมีลำดับพงศ์ไปได้หรือ?  ขณะที่ประทับอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นสมาชิกของมวลมนุษย์ แล้วพระองค์จะทรงสามารถมีลำดับพงศ์ได้อย่างไร?”  เมื่อเจ้าวิเคราะห์ลำดับพงศ์และอธิบายความจริงภายในอย่างชัดเจน เล่าสู่กันฟังถึงสิ่งที่เจ้าได้เข้าใจ บุคคลผู้นั้นจะพูดอะไรไม่ออก บางคนจะอ้างอิงพระคัมภีร์และถามเจ้าว่า “พระเยซูทรงมีลำดับพงศ์ พระเจ้าของเธอในวันนี้ทรงมีลำดับพงศ์หรือไม่?”  จากนั้นเจ้าจะบอกพวกเขาถึงความรู้ที่เจ้ามี ซึ่งเป็นความรู้ที่จริงที่สุดจากทั้งหมด และด้วยวิธีนี้ ความรู้ที่เจ้ามีจะสัมฤทธิ์ผล  ในความเป็นจริงแล้ว พระเยซูไม่ทรงมีความสัมพันธ์อันใดกับโยเซฟ และยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับอับราฮัม พระองค์เพียงประสูติในอิสราเอลเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นคนอิสราเอลหรือพงศ์พันธุ์ของคนอิสราเอล  การที่ได้ประสูติในอิสราเอลไม่ได้จำเป็นต้องหมายความว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งคนอิสราเอลเท่านั้น  พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจการประสูติเป็นมนุษย์เพียงเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาล  พระองค์เพียงทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ในประเทศอิสราเอลก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลาย  อย่างไรก็ตาม ผู้คนพิจารณาว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอล และยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนวางพระองค์ไว้ท่ามกลางคนอิสราเอลและท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของดาวิด  พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อสิ้นสุดยุค พระนามของพระยาห์เวห์จะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลายในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย  การที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ในยูเดียไม่ได้บ่งชี้ว่าพระเจ้าทรงรักแต่ชาวยิวเท่านั้น  นั่นเกิดขึ้นเพียงเพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระราชกิจเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ได้ในอิสราเอลเท่านั้น (เพราะคนอิสราเอลคือประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร)  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ได้พบได้ท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลายเช่นกันหรือ?  พระราชกิจได้ขยายไปสู่ชนต่างชาติทั้งหลายหลังจากที่พระเยซูทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจในยูเดีย  (คนอิสราเอลเรียกประชาชาติทั้งหมดยกเว้นอิสราเอลว่า “ชนต่างชาติทั้งหลาย”)  อันที่จริงแล้ว มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในชนต่างชาติเหล่านั้นเช่นเดียวกัน เพียงแค่ว่า ณ ขณะนั้นยังไม่มีการปฏิบัติพระราชกิจในที่นั้นเท่านั้น  ผู้คนให้ความสำคัญเช่นนั้นกับอิสราเอลเพราะพระราชกิจสองช่วงระยะแรกเกิดขึ้นในอิสราเอล ในขณะที่ไม่มีการปฏิบัติพระราชกิจในชนต่างชาติทั้งหลาย  พระราชกิจท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลายเพิ่งจะเริ่มต้นในวันนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากนัก  หากเจ้าสามารถเข้าใจทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน หากเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจและพิจารณาสิ่งนี้ได้อย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระเจ้าในวันนี้และในอดีต และความรู้ใหม่นี้จะสูงกว่าความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่เหล่าธรรมิกชนทั้งหมดตลอดทั้งประวัติศาสตร์มี  หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจในวันนี้ และได้ยินถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระเจ้าในวันนี้ แต่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการไล่ตามเสาะหาของเจ้ายังคงเป็นเหมือนกับที่เป็นมาตลอด และไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยอะไรใหม่ๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดนี้ แต่ในท้ายที่สุดแล้วยังไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อของเจ้าจะไม่เหมือนกับของพวกที่เพียงเสาะแสวงที่จะกินขนมปังของพวกเขาให้อิ่มท้องหรอกหรือ?  ในกรณีนั้น พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ ในตัวเจ้า  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่จะต้องถูกกำจัดออกไปหรอกหรือ?

เมื่อพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดมาถึงบทอวสาน เป็นสิ่งจำเป็นที่พวกเจ้าทั้งหมดต้องเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ ไม่ใช่แค่คนอิสราเอลเท่านั้น  หากเจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น หรือว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ในชนชาติอื่นนอกอิสราเอล เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้รับความรู้ใดๆ ในระหว่างการดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย และเจ้าไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าเพียงตระหนักว่าพระเจ้าได้เสด็จจากอิสราเอลมาประเทศจีน และทรงถูกบังคับให้เป็นพระเจ้าของเจ้า  หากเจ้ายังคงมองดูสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ เช่นนั้นแล้วงานของเราก็ไร้ผลในตัวเจ้า และเจ้ายังไม่ได้เข้าใจสักหนึ่งสิ่งที่เราได้กล่าวไป  หากในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าเขียนลำดับพงศ์อื่นให้กับเราเหมือนกับที่มัทธิวทำ หาบรรพบุรุษที่เหมาะสมให้กับเรา ค้นหาต้นตระกูลที่ถูกต้องของเรา—จนพระเจ้ามีลำดับพงศ์สองลำดับสำหรับการประสูติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระองค์—แล้วนั่นจะไม่เป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรือ?  เจ้าผู้ “มีความตั้งใจดี” ผู้พบลำดับพงศ์ของเรานี้จะไม่กลายเป็นผู้ที่แบ่งแยกพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้ามีความสามารถที่จะรับภาระบาปนี้ได้หรือ?  หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดนี้แล้ว หากเจ้ายังคงไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง หากเจ้ายังคงคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น เจ้าจะไม่เป็นผู้ที่ต้านทานพระเจ้าอย่างเปิดเผยหรือ?  วัตถุประสงค์ของการพิชิตเจ้าในวันนี้คือเพื่อให้เจ้ายอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า และทรงยังเป็นพระเจ้าของผู้อื่นด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของทุกคนที่รักพระองค์ และพระเจ้าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวง  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลและพระเจ้าของคนอียิปต์  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของคนอังกฤษและพระเจ้าของคนอเมริกัน  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นแค่พระเจ้าของอาดัมและเอวา แต่ทรงเป็นพระเจ้าของพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของพวกเขาด้วย  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และทุกสิ่งบนแผ่นดินโลก  ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลหรือคนต่างชาติ ทั้งหมดต่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าหนึ่งองค์  พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจในอิสราเอลเป็นเวลาหลายพันปีและประสูติในยูเดียเท่านั้น แต่วันนี้พระองค์เสด็จลงมาในประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขมวดม้วนอยู่  หากการประสูติในยูเดียทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นกษัตริย์ของพวกยิว เช่นนั้นแล้วการเสด็จลงมาท่ามกลางพวกเจ้าทุกคนในวันนี้ไม่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าทุกคนหรือ?  พระองค์ทรงนำคนอิสราเอลและประสูติในยูเดีย และพระองค์ยังประสูติในดินแดนคนต่างชาติด้วยเช่นกัน  พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ไม่ได้กระทำเพื่อทั้งมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นหรอกหรือ?  พระองค์ทรงรักคนอิสราเอลร้อยเท่า และเกลียดคนต่างชาติพันเท่าหรือ?  นั่นไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของเจ้าหรือ?  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่เคยทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แต่เพียงแค่ว่าพวกเจ้าไม่ยอมรับพระองค์  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า แต่เพียงแค่ว่าพวกเจ้าปฏิเสธพระองค์  มีใครท่ามกลางสิ่งทรงสร้างที่ไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ้าง?  เป้าหมายในการพิชิตพวกเจ้าในวันนี้ไม่ใช่การทำให้พวกเจ้ายอมรับว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้าของพวกเจ้าหรือ?  หากพวกเจ้ายังคงยึดมั่นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และยังคงยึดมั่นว่าวงศ์วานของดาวิดในอิสราเอลคือที่มาของการประสูติของพระเจ้า และไม่มีชนชาติอื่นใดนอกเหนือจากอิสราเอลที่มีคุณสมบัติที่จะ “สร้าง” พระเจ้า และยิ่งไม่มีครอบครัวคนต่างชาติใดๆ ที่มีความสามารถที่จะได้รับพระราชกิจของพระยาห์เวห์ด้วยตัวเอง—หากเจ้ายังคงคิดเช่นนั้น นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นผู้ต่อต้านที่หัวแข็งหรือ?  จงอย่ายึดติดกับอิสราเอลเสมอไป  พระเจ้าประทับอยู่ที่นี่ ท่ามกลางพวกเจ้าในวันนี้  อีกทั้งเจ้าไม่ควรคอยมองขึ้นไปบนสวรรค์  จงหยุดร่ำร้องหาพระเจ้าของเจ้าในสวรรค์!  พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางพวกเจ้าแล้ว แล้วพระองค์จะประทับอยู่ในสวรรค์ไปได้อย่างไร?  เจ้ายังไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานมากนัก แต่เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดมากมายเกี่ยวกับพระองค์ จนถึงจุดที่เจ้ากล้าที่จะไม่หยุดคิดสักเสี้ยววินาทีว่าพระเจ้าของคนอิสราเอลจะทรงยอมลดเกียรติมาเพื่อประทานพระคุณให้กับพวกเจ้าด้วยการสถิตของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้ายิ่งไม่กล้าที่จะคิดว่าพวกเจ้าจะสามารถมองเห็นพระเจ้าทรงปรากฏพระองค์เองไปได้อย่างไรเนื่องจากพวกเจ้าช่างโสมมเกินทน  พวกเจ้าไม่เคยคิดว่าพระเจ้าจะสามารถเสด็จลงมาในแผ่นดินของคนต่างชาติด้วยพระองค์เองไปได้อย่างไร  พระองค์ควรเสด็จลงมาบนภูเขาซีนายหรือภูเขามะกอกเทศ และปรากฏต่อคนอิสราเอล  คนต่างชาติทั้งหมด  (นั่นคือ ผู้คนนอกอิสราเอล)  ไม่ใช่วัตถุที่พระองค์ทรงเกลียดหรือ?  พระองค์จะสามารถปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเขาด้วยพระองค์เองไปได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้คือมโนคติอันหลงผิดที่หยั่งรากลึกซึ่งพวกเจ้าได้พัฒนาให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายปี  จุดประสงค์ของการพิชิตพวกเจ้าในวันนี้คือเพื่อทลายมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ของพวกเจ้าให้หมดไป  ดังนั้น พวกเจ้าจงแลดูการทรงปรากฏพระองค์เองของพระเจ้าท่ามกลางพวกเจ้า ไม่ใช่บนภูเขาซีนายหรือภูเขามะกอกเทศ แต่ท่ามกลางผู้คนที่พระองค์ไม่เคยทรงนำทางมาก่อน  หลังจากที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจสองช่วงระยะในอิสราเอลแล้ว คนอิสราเอลและคนต่างชาติทั้งหมดเฉกเช่นเดียวกันต่างมาเก็บงำมโนคติอันหลงผิดว่าแม้ว่าจะเป็นจริงที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์เต็มพระทัยที่จะเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าของคนต่างชาติ  คนอิสราเอลมีความเชื่อดังนี้ว่า  พระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าของพวกเราเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้าคนต่างชาติ และเพราะพวกเจ้าไม่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์—พระเจ้าของพวกเรา—จึงทรงเกลียดพวกเจ้า  ผู้คนชาวยิวเหล่านั้นยังมีความเชื่อดังนี้ว่า  องค์พระเยซูเจ้าทรงรับภาพของพวกเรา ผู้คนชาวยิว และทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงถือเครื่องหมายของผู้คนชาวยิว  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจท่ามกลางพวกเรา  พระฉายาของพระเจ้าและภาพของพวกเราคล้ายกัน ภาพของพวกเราใกล้เคียงกับพระฉายาของพระเจ้า  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเราชาวยิว คนต่างชาติไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น  องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อพวกเราชาวยิว  คนอิสราเอลและผู้คนชาวยิวเกิดมโนคติอันหลงผิดทั้งหมดเหล่านี้โดยมีพื้นฐานมาจากพระราชกิจสองช่วงระยะเหล่านั้นเท่านั้น  พวกเขากล่าวอ้างอย่างใช้อำนาจว่าพระเจ้าทรงเป็นของพวกเขาเอง ไม่ยอมให้พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติเช่นกัน  ดังนี้แล้ว พระเจ้าจึงทรงกลายเป็นช่องว่างในหัวใจของคนต่างชาติ  นี่เป็นเพราะว่าทุกคนได้มาเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเป็นพระเจ้าของคนต่างชาติ และพระองค์พอพระทัยเพียงคนอิสราเอล—ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร—และผู้คนชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวกที่ติดตามพระองค์เท่านั้น  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระราชกิจที่พระยาห์เวห์และพระเยซูทรงปฏิบัติเป็นไปเพื่อการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง?  ขณะนี้เจ้ายอมรับหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าทั้งหมดที่เกิดนอกอิสราเอล?  พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ท่ามกลางพวกเจ้าในวันนี้หรือ?  นี่ไม่สามารถเป็นความฝันไปได้ ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าไม่ยอมรับความเป็นจริงนี้หรือ?  พวกเจ้ากล้าที่จะไม่เชื่อหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่ว่าพวกเจ้าจะมองเห็นอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ท่ามกลางพวกเจ้าหรือ?  พวกเจ้ายังคงกลัวที่จะเชื่อคำพูดเหล่านี้อยู่อีกหรือ?  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้คนที่ถูกพิชิตทั้งหมดและผู้ที่ปรารถนาจะเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าทั้งหมดไม่ได้เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือ?  พวกเจ้าทุกคนที่เป็นผู้ติดตามในวันนี้ไม่ใช่ประชากรที่ได้รับเลือกนอกอิสราเอลหรือ?  สถานะของพวกเจ้าไม่เหมือนกับคนอิสราเอลหรือ?  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรตระหนักหรือ?  นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพระราชกิจการพิชิตพวกเจ้าหรือ?  เนื่องจากพวกเจ้าสามารถมองเห็นพระเจ้า พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าตลอดไป ตั้งแต่เริ่มต้นและต่อไปในอนาคต  พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเจ้า ตราบเท่าที่พวกเจ้าทุกคนเต็มใจที่จะติดตามพระองค์ และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จงรักภักดีและนบนอบของพระองค์

ไม่ว่าผู้คนจะทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม โดยทั่วไปแล้วพวกเขาได้นบนอบในการติดตามพระองค์จนกระทั่งถึงวันนี้  พวกเขาจะไม่สำนึกผิดอย่างหมดจดจนกว่าจะถึงบทอวสาน เมื่อพระราชกิจช่วงระยะนี้สรุปปิดตัวลง  เวลานั้นคือเวลาที่ผู้คนจะถูกพิชิตอย่างแท้จริง  ณ ตอนนี้ พวกเขาเพียงอยู่ระหว่างการถูกพิชิตเท่านั้น  ชั่วขณะที่พระราชกิจเสร็จสิ้นลง พวกเขาจะถูกพิชิตอย่างครบบริบูรณ์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้น!  ต่อให้ทุกคนจะถูกโน้มน้าวให้เชื่อ นั่นก็ไม่ได้หมายความพวกเขาได้ถูกพิชิตอย่างสมบูรณ์แล้ว  นี่เป็นเพราะว่า ในขณะนี้ ผู้คนได้มองเห็นเพียงพระวจนะเท่านั้นและไม่ใช่เหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริง และพวกเขายังคงไม่แน่ใจ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม  นั่นเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงจะถูกพิชิตอย่างสมบูรณ์ ก็ด้วยเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงเหตุการณ์สุดท้ายซึ่งพระวจนะกลายเป็นความเป็นจริงเท่านั้น  ในตอนนี้ ผู้คนเหล่านี้ถูกพิชิตเพราะพวกเขาได้ยินความล้ำลึกมากมายที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่ภายในพวกเขาแต่ละคนนั้น พวกเขายังคงเฝ้ามองและรอคอยเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงบางอย่างที่จะทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นทุกพระวจนะของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมาได้  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะถูกโน้มน้าวให้เชื่ออย่างสมบูรณ์  เมื่อทุกคนได้เห็นความเป็นจริงที่เป็นข้อเท็จจริงและได้เป็นจริงเหล่านี้ในท้ายที่สุด และความเป็นจริงเหล่านี้ได้ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะแสดงความมั่นใจอันแรงกล้าในหัวใจของพวกเขา คำพูดของพวกเขา และดวงตาของพวกเขา และถูกโน้มน้าวให้เชื่ออย่างหมดจดจากก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา  เช่นนั้นคือธรรมชาติของมนุษย์:  พวกเจ้าต้องมองเห็นพระวจนะทั้งหมดกลายเป็นจริง พวกเจ้าต้องมองเห็นเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงเกิดขึ้น และมองเห็นความวิบัติบังเกิดกับผู้คนบางคน และแล้วพวกเจ้าจึงจะถูกโน้มน้าวให้เชื่ออย่างหมดจดจากเบื้องลึกภายใน  พวกเจ้ามีใจหมกมุ่นอยู่กับการมองเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์เช่นเดียวกับชาวยิว  แต่พวกเจ้ายังคงล้มเหลวต่อไปที่จะมองเห็นว่ามีหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และมองเห็นว่าความเป็นจริงกำลังเกิดขึ้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดตาพวกเจ้าให้กว้างอย่างยิ่ง  ไม่ว่าจะเป็นใครบางคนที่ลงมาจากท้องฟ้า หรือเสาเมฆที่พูดคุยกับพวกเจ้า หรือการที่เราแสดงการไล่ผีกับหนึ่งในพวกเจ้า หรือสุรเสียงของเราที่เปล่งเสียงสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าร้องท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องการเห็นเหตุการณ์ประเภทนี้เสมอมาและจะต้องการเห็นตลอดไป  คนเราสามารถพูดได้ว่า ในการเชื่อในพระเจ้า ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าคือการได้มองเห็นพระเจ้าเสด็จมาและแสดงหมายสำคัญให้พวกเจ้าเห็นด้วยพระองค์เอง  เมื่อนั้นแล้วพวกเจ้าถึงจะพึงพอใจ  ในการพิชิตผู้คนเช่นพวกเจ้า เราต้องปฏิบัติงานที่คล้ายกับการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และนอกจากนั้น ก็แสดงให้เจ้าเห็นหมายสำคัญบางประเภท  เมื่อนั้นแล้วหัวใจของพวกเจ้าจึงจะถูกพิชิตโดยครบบริบูรณ์

ก่อนหน้า: ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

ถัดไป: ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger