ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กับผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงค้นหาในระหว่างที่พระองค์ทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลก และมีหลายคนที่พระเจ้าได้ทรงใช้ทำพระราชกิจของพระองค์มาตลอดหลายยุคหลายสมัย  กระนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงมีที่หยุดพักอันเหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุที่พระเจ้าทรงสลับสับเปลี่ยนที่ประทับท่ามกลางผู้คนที่แตกต่างกันเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  โดยรวมแล้ว พระราชกิจของพระองค์ดำเนินการโดยผ่านทางผู้คนนั่นเอง  กล่าวคือ ตลอดเวลาหลายปีมานี้ พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยหยุด แต่ได้ดำเนินต่อเนื่องเพื่อให้เดินหน้าต่อไปในตัวผู้คนตลอดมาจนถึงทุกวันนี้  แม้ว่าพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมามากมายยิ่งนักและได้ทรงพระราชกิจมามากมายยิ่งนัก แต่มนุษย์ยังคงไม่รู้จักพระเจ้า ทั้งหมดนั้นก็เพราะพระเจ้าไม่เคยทรงปรากฏต่อมนุษย์และเพราะพระองค์ไม่ทรงมีรูปสัณฐานที่จับต้องได้อีกด้วย  และดังนั้นพระเจ้าจึงต้องทรงทำพระราชกิจนี้ให้ครบบริบูรณ์—พระราชกิจแห่งการทำให้มนุษย์ทั้งหมดรู้ถึงนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายปลายทางนี้ พระเจ้าต้องเผยพระวิญญาณของพระองค์ต่อมนุษยชาติในแบบที่จับต้องได้และทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางพวกเขา  นั่นคือ มีเพียงเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเข้าครองรูปสัณฐานทางกายภาพ มีเนื้อหนังและกระดูก และเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างที่มองเห็นกันได้ โดยทรงดำเนินชีวิตไปด้วยกันกับพวกเขาเท่านั้น ซึ่งบางครั้งทรงแสดงพระองค์เองและบางครั้งก็ทรงซ่อนพระองค์เอง เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถเข้าใจพระองค์ได้อย่างล้ำลึกยิ่งขึ้น  หากพระเจ้าทรงดำรงอยู่แต่ในเนื้อหนังเท่านั้น พระองค์ก็คงไม่สามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างครบถ้วน  และหลังจากที่ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังมาระยะหนึ่งโดยทรงทำให้พันธกิจซึ่งจำเป็นต้องทำในเนื้อหนังลุล่วงแล้ว พระเจ้าจะทรงจากเนื้อหนังไปและทรงพระราชกิจในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณในภาพลักษณ์ของเนื้อหนัง เหมือนดั่งที่พระเยซูได้ทรงทำเช่นนั้นหลังจากที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจไประยะหนึ่งแล้วในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และได้ทรงทำให้พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์จำเป็นต้องทรงทำให้เสร็จสมบูรณ์นั้นเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว  พวกเจ้าอาจจำบทตอนนี้จาก “เส้นทาง… (5)” ได้ ความว่า “เราจำที่พระบิดาของเราตรัสกับเราได้ว่า ‘บนแผ่นดินโลกนั้น จงแสวงหาเพียงการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าและทำให้พระบัญชาของพระองค์เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น  ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เจ้าต้องกังวล’”  เจ้าเห็นอะไรในบทตอนนี้บ้าง?  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์เพียงภายในเทวสภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระวิญญาณแห่งสวรรค์ได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทำ  เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์เพียงตรัสไปทั่วดินแดนเท่านั้น เพื่อเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์โดยวิธีการอันแตกต่างกันและจากมุมมองอันแตกต่างกัน  พระองค์ทรงถือว่าการหล่อเลี้ยงมนุษย์และการสอนมนุษย์เป็นเป้าหมายและหลักการสำคัญในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และไม่สนพระทัยสิ่งทั้งหลาย เช่น สัมพันธภาพระหว่างบุคคล หรือรายละเอียดทั้งหลายในชีวิตของผู้คน  พันธกิจหลักของพระองค์คือการตรัสเพื่อพระวิญญาณ  กล่าวคือ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์และปลดปล่อยความจริงเท่านั้น  พระองค์ไม่ทรงนำพระองค์เองไปเกี่ยวข้องกับงานของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ไม่ทรงมีส่วนในงานของสภาวะความเป็นมนุษย์  มนุษย์ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงมีส่วนในงานของมนุษย์  ในช่วงหลายปีนับตั้งแต่พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกนี้เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจนั้นโดยผ่านทางผู้คนเสมอมา  อย่างไรก็ดี ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้—เป็นแต่เพียงบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งานเท่านั้น  ในขณะเดียวกัน พระเจ้าของวันนี้สามารถตรัสโดยตรงจากมุมมองของเทวสภาพ เปล่งพระสุรเสียงของพระวิญญาณออกมาและทรงพระราชกิจในนามของพระวิญญาณ  ในทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยก็เป็นตัวอย่างของการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพระราชกิจภายในกายเนื้อหนัง—ดังนั้นเหตุใดจึงไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าพระเจ้า?  ทว่าพระเจ้าของวันนี้ก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรงในเนื้อหนังเช่นกัน และพระเยซูก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังด้วย ทั้งสองพระองค์นั้นเรียกว่าพระเจ้า  ดังนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่าง?  ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยล้วนสามารถคิดและใช้เหตุผลตามปกติ  พวกเขาทั้งหมดเข้าใจหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์  พวกเขามีแนวคิดของมนุษย์ปกติ และมีสรรพสิ่งทั้งมวลที่ผู้คนปกติควรมี  พวกเขาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์พิเศษและปัญญาโดยกำเนิด  ในการทรงพระราชกิจกับผู้คนเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ทั้งหลายของพวกเขา ซึ่งเป็นของประทานที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำพรสวรรค์ของพวกเขามาใช้ ทรงใช้จุดแข็งทั้งหลายของพวกเขามารับใช้พระเจ้า  กระนั้นก็ตาม แก่นแท้ของพระเจ้านั้นปราศจากแนวคิดหรือความคิด ไม่เจือปนด้วยเจตนาของมนุษย์ และถึงกับขาดจากสิ่งที่มนุษย์ปกติมี  กล่าวคือ พระองค์ถึงขนาดไม่ทรงคุ้นเคยกับหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์  เมื่อพระเจ้าของยุคนี้เสด็จมายังแผ่นดินโลกก็ย่อมเป็นเช่นนี้  พระราชกิจของพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ไม่มีเจตนาของมนุษย์หรือความคิดของมนุษย์เจือปน แต่กลับเป็นการสำแดงเจตนารมณ์ของพระวิญญาณโดยตรง และพระองค์ทรงพระราชกิจในนามของพระเจ้าโดยตรง  นี่หมายความว่าพระวิญญาณตรัสโดยตรง กล่าวคือ เทวสภาพทำงานโดยตรง ปราศจากเจตนาของมนุษย์ผสมอยู่แม้แต่น้อย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำให้เทวสภาพเป็นรูปร่างขึ้นโดยตรง ปราศจากความคิดหรือแนวคิดทั้งหลายของมนุษย์ และไม่มีความเข้าใจในหลักการแห่งการประพฤติของมนุษย์  หากมีเพียงเทวสภาพเท่านั้นที่ทำงาน (ซึ่งหมายความว่าหากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจ) ก็คงจะไม่มีทางที่พระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการดำเนินการบนแผ่นดินโลก  ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์จึงต้องทรงมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยให้พระองค์ทรงใช้ทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ร่วมกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในเทวสภาพ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทรงใช้งานของมนุษย์มาค้ำจุนพระราชกิจในเทวสภาพของพระองค์  หาไม่แล้ว มนุษย์คงจะไม่มีทางมีส่วนร่วมโดยตรงในพระราชกิจของพระเจ้า  กรณีของพระเยซูและบรรดาสาวกของพระองค์ก็เป็นเช่นนี้  ช่วงระหว่างเวลาของพระองค์บนโลก พระเยซูได้ทรงยกเลิกธรรมบัญญัติเก่าๆ และได้สถาปนาพระบัญญัติใหม่ขึ้นมา  พระองค์ยังได้ตรัสพระวจนะมากมายอีกด้วย  พระราชกิจทั้งหมดนี้ได้กระทำเสร็จสิ้นในเทวสภาพ  คนอื่นเช่น เปโตร เปาโล และยอห์น ล้วนฝากผลงานที่ตามมาในภายหลังของพวกเขาเอาไว้บนรากฐานแห่งพระวจนะทั้งหลายของพระเยซู  กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในยุคนั้น อันเป็นการเริ่มต้นยุคพระคุณ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคใหม่ ทรงยกเลิกยุคเก่า และยังได้ทำให้พระวจนะที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” ลุล่วงเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ต้องปฏิบัติงานของมนุษย์บนรากฐานที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้า  ทันทีที่พระเยซูได้ตรัสทั้งหมดที่พระองค์จำเป็นต้องตรัสและได้เสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงจากมนุษย์ไป  หลังจากนี้ผู้คนทั้งหมดจึงได้ทำงานตามหลักธรรมที่แสดงไว้ในพระวจนะของพระองค์ และได้ปฏิบัติตามความจริงทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัสไว้  ผู้คนทั้งหมดนี้ได้ทำงานเพื่อพระเยซู  หากพระเยซูทรงพระราชกิจเพียงลำพัง ไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ตรัสพระวจนะไปมากมายเท่าใด ผู้คนก็คงไม่มีวิถีทางที่จะมีส่วนร่วมในพระวจนะของพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงพระราชกิจในเทวสภาพและสามารถตรัสได้เพียงพระวจนะแห่งเทวสภาพเท่านั้น และพระองค์คงไม่สามารถอธิบายสิ่งทั้งหลายจนถึงขั้นที่ผู้คนปกติสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้  และดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงให้บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะที่ได้ตามมาหลังพระองค์เสริมพระราชกิจของพระองค์  นี่คือหลักธรรมว่าด้วยวิธีที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจของพระองค์—เป็นการใช้เนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อที่จะทำให้พระราชกิจแห่งเทวสภาพเสร็จสมบูรณ์ และจากนั้นจึงใช้ผู้คนไม่กี่คนหรือบางทีอาจมากกว่านั้นที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้ามาเสริมพระราชกิจของพระองค์  นั่นคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ทำงานแห่งการเป็นผู้เลี้ยงและการให้น้ำในสภาวะความเป็นมนุษย์ เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง

หากเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพเท่านั้น และไม่มีผู้คนที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์มาทำงานร่วมกับพระองค์ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็คงจะไม่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้าได้  พระเจ้าจะต้องทรงใช้ผู้คนปกติที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์มาทำให้พระราชกิจนี้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อสอดส่องดูแลและเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักรทั้งหลายเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลถึงระดับที่กระบวนการทางความคิดความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งก็คือสมองของเขา สามารถที่จะจินตนาการได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ “แปล” พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติภายในเทวสภาพของพระองค์เพื่อให้พระราชกิจสามารถเปิดกว้าง—ทรงใช้พวกเขาแปลงภาษาของพระเจ้าให้เป็นภาษาของมนุษย์เพื่อที่ผู้คนจะสามารถจับใจความและเข้าใจพระราชกิจได้  หากพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครเข้าใจภาษาแห่งเทวสภาพของพระเจ้า เพราะผู้คนที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนส่วนน้อย และความสามารถในการจับใจความของมนุษย์ก็อ่อนด้อย  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกวิธีการนี้เท่านั้นเมื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์  หากมีเพียงพระราชกิจในเทวสภาพเท่านั้น มนุษย์คงจะไม่มีทางรู้หรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาของพระเจ้า  มนุษย์สามารถเข้าใจภาษานี้ได้เฉพาะเมื่อผ่านทางการทำงานของผู้คนที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ ผู้ซึ่งชี้แจงพระวจนะของพระองค์ให้ชัดเจนเท่านั้น  อย่างไรก็ดี หากมีเพียงผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่ทำงานภายในความเป็นมนุษย์ ก็คงจะเพียงดำรงรักษาชีวิตปกติของมนุษย์ได้เท่านั้น คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้  พระราชกิจของพระเจ้าคงจะไม่มีจุดเริ่มต้นใหม่ คงจะมีเพียงบทเพลงเก่าๆ เดิมๆ คำพูดจำเจเก่าๆ แบบเดิมเท่านั้น  มีเพียงโดยผ่านทางบุคคลที่เป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้น บุคคลที่พูดทั้งหมดที่จำเป็นต้องพูดและทำทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำในระหว่างช่วงเวลาของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนย่อมทำงานและได้รับประสบการณ์ตามพระวจนะของพระองค์ มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้น อุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเฉพาะในหนทางนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเลื่อนไหลไปกับยุคสมัยได้  พระองค์ผู้ซึ่งทำงานอยู่ภายในเทวสภาพคือตัวแทนของพระเจ้า ส่วนบรรดาผู้ที่ทำงานอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์คือผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน  กล่าวคือ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงแตกต่างในแก่นแท้จากผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์สามารถทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพได้ ในขณะที่ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานไม่สามารถทำได้  เมื่อแรกเริ่มแต่ละยุคนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองและทรงเริ่มต้นยุคใหม่เพื่อนำมนุษย์เข้าสู่การเริ่มต้นใหม่  เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว นี่จึงมีความหมายว่าพระราชกิจของพระเจ้าภายในเทวสภาพของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว  หลังจากนั้นประชากรทั้งหมดก็ติดตามการนำของผู้ที่พระเจ้าทรงช่วงใช้เพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา  ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ นี่จึงเป็นช่วงระยะที่พระเจ้าทรงนำมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และประทานจุดเริ่มต้นใหม่แก่ผู้คนด้วย—ซึ่งถึงเวลานั้นพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังย่อมสรุปปิดตัว

พระเจ้าไม่ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์มีความเพียบพร้อม อีกทั้งไม่ใช่เพื่อทำงานของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  พระองค์เสด็จมาเพียงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเท่านั้น  สิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติไม่ใช่อย่างที่ผู้คนจินตนาการ  มนุษย์ให้นิยาม “สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ” ว่าเป็นการมีภรรยาหรือสามี และบรรดาบุตรธิดา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าคนเราเป็นบุคคลปกติคนหนึ่ง อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่ทรงมองสภาวะดังกล่าวในลักษณะนี้  พระองค์ทรงมองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติว่าเป็นการมีความคิดอย่างมนุษย์ปกติ มีชีวิตมนุษย์ที่ปกติ และถือกำเนิดจากผู้คนปกติ  แต่ความเป็นปกติของพระองค์ไม่รวมถึงการมีภรรยาหรือสามีและลูกๆ ในลักษณะที่มนุษย์กล่าวถึงความเป็นปกติ  นั่นคือ สำหรับมนุษย์แล้ว สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าตรัสถึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ย่อมจะมองว่าไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ แทบจะไร้ความรู้สึก และดูเหมือนไร้ซึ่งความต้องการทางเนื้อหนัง ดั่งเช่นพระเยซูที่ทรงมีเพียงลักษณะภายนอกของบุคคลปกติคนหนึ่งและทรงรับเอารูปลักษณ์ของบุคคลปกติคนหนึ่งมาใช้เท่านั้น แต่ในแก่นแท้แล้วไม่ได้ทรงมีครบทุกสิ่งที่บุคคลปกติคนหนึ่งควรมี  จากการนี้อาจมองได้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ครอบคลุมสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติทั้งหมด แต่ครอบคลุมเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้คนควรมี เพื่อที่จะสนับสนุนกิจวัตรในชีวิตมนุษย์ปกติและคงไว้ซึ่งพลังในการใช้เหตุผลอย่างมนุษย์ปกติเท่านั้น  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มนุษย์มองว่าเป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ  และว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรมี  อย่างไรก็ดี มีบรรดาผู้ที่ยังคงยืนยันว่า จะสามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงมีภรรยา บุตรธิดา และครอบครัวเท่านั้น พวกเขากล่าวว่าหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ พระองค์ก็ไม่ใช่บุคคลปกติคนหนึ่ง  ถ้าเช่นนั้นแล้วเราขอถามเจ้าว่า “พระเจ้าทรงมีภรรยาหรือ?  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงมีสามี?  พระเจ้าสามารถมีลูกๆ ได้หรือ?”  เหล่านี้ไม่ใช่ความคิดที่ไม่ถูกต้องหรอกหรือ?  กระนั้นก็ตามพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถถือกำเนิดจากรอยแยกระหว่างก้อนหินหรือร่วงหล่นจากฟ้าได้  พระองค์สามารถเพียงถือกำเนิดในครอบครัวมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น  นั่นคือสาเหตุที่พระองค์ทรงมีบิดามารดาและบรรดาพี่น้องหญิง  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรมี  กรณีของพระเยซูก็เป็นเช่นนั้น พระเยซูมีพระบิดาและพระมารดา มีบรรดาพี่น้องหญิงชาย และทั้งหมดนี้เป็นปกติ  แต่หากพระองค์ทรงมีภรรยาและบรรดาบุตรธิดาแล้วไซร้ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ก็ย่อมจะไม่ใช่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าได้ตั้งพระทัยให้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมี  หากเป็นดังนี้ พระองค์ก็คงจะไม่สามารถทรงพระราชกิจในนามของเทวสภาพได้  เป็นเพราะพระองค์ไม่ทรงมีภรรยาหรือลูกๆ แต่ทว่าถือกำเนิดจากผู้คนปกติในครอบครัวปกตินั่นเอง พระองค์จึงได้สามารถทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพ  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ สิ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาว่าเป็นบุคคลปกติก็คือบุคคลที่ถือกำเนิดในครอบครัวปกติ  มีเพียงบุคคลเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานของพระเจ้า  ในทางกลับกัน หากบุคคลคนนั้นมีภรรยา ลูกๆ หรือสามี บุคคลคนนั้นย่อมจะไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาจะมีเพียงสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติซึ่งมนุษย์กำหนดให้มีเท่านั้น แต่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  สิ่งที่พระเจ้าเห็นสมควรและสิ่งที่ผู้คนเข้าใจนั้นมักจะแตกต่างกันอย่างมหาศาล ห่างกันหลายโยชน์  ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้ามีหลายอย่างที่แตกต่างและขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเป็นอันมาก  คนเราอาจพูดได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระยะนี้ทั้งหมดประกอบด้วยเทวสภาพที่ลงมือทำงานเอง โดยมีสภาวะความเป็นมนุษย์คอยเล่นบทสนับสนุน  เนื่องจากพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เอง แทนที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์ลงมือทำพระราชกิจนั้น พระองค์จึงประสูติเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เองในเนื้อหนัง (ในสภาวะบุคคลปกติที่ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์คนหนึ่ง) เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงใช้การประสูติเป็นมนุษย์นี้นำเสนอยุคใหม่แก่มวลมนุษย์ เพื่อบอกเล่าแก่มวลมนุษย์ถึงขั้นตอนถัดไปในพระราชกิจของพระองค์ และเพื่อขอให้ผู้คนปฏิบัติตามเส้นทางที่พระวจนะของพระองค์อธิบายไว้  แล้วพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าก็ได้สรุปปิดตัวลงในลักษณะดังกล่าว พระองค์กำลังจะทรงจากมวลมนุษย์ไป ไม่สถิตในเนื้อหนังของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติอีกต่อไป แต่กลับจะทรงผละจากมนุษย์เพื่อเริ่มทรงพระราชกิจอีกส่วนหนึ่งของพระองค์  จากนั้น ด้วยการใช้ผู้คนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ พระองค์ก็จะดำเนินพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกต่อไปท่ามกลางผู้คนกลุ่มนี้ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเท่านั้น

พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่สามารถประทับอยู่กับมนุษย์ได้ตลอดไปเพราะพระเจ้ามีพระราชกิจอื่นอีกมากมายที่ต้องทรงทำ  พระองค์ไม่สามารถผูกติดอยู่กับเนื้อหนังได้ พระองค์ต้องทรงปลดเปลื้องเนื้อหนังเพื่อทำพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำ แม้ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจนั้นในภาพลักษณ์ของเนื้อหนังก็ตาม  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงรอจนกระทั่งพระองค์ทรงเข้าถึงรูปสัณฐานที่บุคคลปกติคนหนึ่งควรมีก่อนที่จะสิ้นพระชนม์และจากมวลมนุษย์ไป  ไม่สำคัญว่าเนื้อหนังของพระองค์นั้นมีอายุเท่าใด เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น พระองค์ย่อมเสด็จจากมนุษย์ไป  ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอายุสำหรับพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับยุคสมัยของพระองค์ตามอายุขัยของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์สิ้นสุดพระชนม์ชีพของพระองค์ในเนื้อหนังตามขั้นตอนทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์  อาจมีบรรดาผู้ที่รู้สึกว่าในการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น พระเจ้าจะต้องทรงชราภาพจนถึงจุดหนึ่ง จะต้องเจริญพระชนม์เป็นผู้ใหญ่ เข้าสู่วัยชรา แล้วจึงทรงจากไปเมื่อกายนั้นหยุดทำงานเท่านั้น  นี่คือจินตนาการของมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจในลักษณะนั้น  พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรต้องทรงทำเท่านั้น และไม่ใช่เพื่อดำรงชีวิตของมนุษย์ปกติคนหนึ่งที่ถือกำเนิดจากพ่อแม่ เติบโตขึ้น สร้างครอบครัว และเริ่มต้นอาชีพการงาน มีและเลี้ยงดูลูกๆ หรือผ่านประสบการณ์กับการขึ้นลงของชีวิต—ซึ่งเป็นกิจกรรมทั้งหมดของมนุษย์ปกติคนหนึ่ง  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก นี่คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่มีเนื้อหนังด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่ทรงดำรงชีวิตของบุคคลปกติคนหนึ่ง  พระองค์เพียงเสด็จมาเพื่อสำเร็จลุล่วงส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เท่านั้น  หลังจากนั้นพระองค์จะทรงจากมวลมนุษย์ไป  เมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ทรงทำให้สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเนื้อหนังมีความเพียบพร้อม  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ณ เวลาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว เทวสภาพจะไปทำงานเองโดยตรง  ครั้นแล้ว หลังจากที่ทรงทำทุกสิ่งที่พระองค์จำเป็นต้องทรงทำและหลังจากที่ทรงทำให้พันธกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่แล้ว พระราชกิจแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าในช่วงระยะนี้ย่อมเสร็จสิ้น ซึ่ง ณ จุดนี้พระชนม์ชีพของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ย่อมจบสิ้นลงเช่นกัน ไม่ว่ากายฝ่ายเนื้อหนังของพระองค์จะมีชีวิตยืนยาวหรือไม่ก็ตาม  กล่าวคือ ไม่ว่าร่างกายฝ่ายเนื้อหนังจะเข้าถึงช่วงระยะใดของชีวิตก็ตาม ไม่ว่ากายนั้นจะมีชีวิตบนแผ่นดินโลกนานเพียงใดก็ตาม ทุกสิ่งถูกกำหนดตัดสินตามพระราชกิจของพระวิญญาณ  หาได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มนุษย์พิจารณาว่าเป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติไม่  จงดูพระเยซูเป็นตัวอย่าง  พระองค์ได้ทรงพระชนม์ในเนื้อหนังเป็นเวลาสามสิบสามปีครึ่ง  ในด้านอายุขัยของกายมนุษย์นั้น พระองค์ไม่ควรสิ้นพระชนม์ ณ พระชันษานั้น และพระองค์ไม่ควรทรงจากไป  แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าใส่พระทัย  เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น ณ เวลานั้นร่างกายนั้นก็ถูกรับไป อันตรธานไปพร้อมกับพระวิญญาณ  นี่คือหลักธรรมที่พระเจ้าใช้ทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง  และดังนั้นหากพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้ว สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ไม่ได้มีความสำคัญอันดับแรก  กล่าวย้ำอีกครั้งว่า พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลกไม่ใช่เพื่อมาดำรงชีวิตของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง  พระองค์ไม่ทรงทำให้ชีวิตมนุษย์ปกติมั่นคงเป็นปึกแผ่นเสียก่อนแล้วจึงเริ่มทรงพระราชกิจ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่พระองค์ประสูติในครอบครัวมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ย่อมสามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ พระราชกิจซึ่งไม่ด่างพร้อยด้วยเจตนาของมนุษย์ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง แน่นอนว่าไม่รับเอาแนวทางทั้งหลายของสังคมมาใช้หรือเกี่ยวข้องกับความคิดหรือมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์  นี่คือพระราชกิจซึ่งพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ตั้งพระทัยที่จะทำ และยังเป็นนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์อีกด้วย  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องทำให้เสร็จสิ้นในเนื้อหนังเป็นสำคัญ โดยไม่ได้ก้าวผ่านกระบวนการเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ และในส่วนของประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์ปกติคนหนึ่งนั้น พระองค์ไม่ทรงมีประสบการณ์เหล่านั้น  พระราชกิจที่เนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าจำเป็นต้องทำย่อมไม่รวมถึงประสบการณ์ของมนุษย์ปกติ  ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสำเร็จลุล่วงพระราชกิจซึ่งพระองค์จำเป็นต้องทรงสำเร็จลุล่วงในเนื้อหนัง  ที่เหลือนั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระองค์ พระองค์ไม่ทรงก้าวผ่านกระบวนการเล็กๆ น้อยๆ มากมายขนาดนั้น  ทันทีที่พระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็สิ้นสุดลงเช่นกัน  การทำให้ช่วงระยะนี้เสร็จสิ้นหมายความว่าพระราชกิจที่พระองค์จำเป็นต้องทรงทำในเนื้อหนังได้สรุปปิดตัวแล้ว และพันธกิจแห่งเนื้อหนังของพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์  แต่พระองค์ไม่สามารถทรงพระราชกิจต่อไปในเนื้อหนังได้อย่างไม่มีกำหนด  พระองค์ต้องย้ายไปทรงพระราชกิจยังสถานที่อีกแห่ง สถานที่ซึ่งอยู่นอกเหนือเนื้อหนัง  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้น พระราชกิจของพระองค์จึงจะสามารถเสร็จสิ้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และก้าวหน้าไปสู่ประสิทธิผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พระเจ้าทรงพระราชกิจตามแผนการดั้งเดิมของพระองค์  พระราชกิจใดที่พระองค์จำเป็นต้องทรงทำและพระราชกิจใดที่พระองค์ได้ทรงสรุปปิดตัวไปแล้วนั้น พระองค์ทรงรู้อย่างชัดเจนเหมือนรู้จักฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์  พระเจ้าทรงนำบุคคลทุกคนให้เดินไปบนเส้นทางซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว  ไม่มีใครสามารถหลบหนีการนี้ไปได้  มีเพียงบรรดาผู้ที่ติดตามการทรงนำแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่การหยุดพักได้  อาจเป็นได้ว่าในพระราชกิจระยะต่อมา จะไม่ใช่พระเจ้าที่จะตรัสในเนื้อหนังเพื่อทรงนำมนุษย์ แต่เป็นพระวิญญาณหนึ่งซึ่งมีรูปสัณฐานอันจับต้องได้ที่จะทรงชี้นำชีวิตของมนุษย์  เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถสัมผัสพระเจ้าได้อย่างเป็นรูปธรรม เฝ้ามองพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่คือพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะสำเร็จลุล่วง และเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงวางแผนการมานานแล้ว  จากการนี้ พวกเจ้าทั้งหมดควรจะมองเห็นเส้นทางที่พวกเจ้าควรใช้!

ก่อนหน้า: เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล

ถัดไป: ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger