การยกระดับขีดความสามารถเป็นไปเพื่อการรับความรอดของพระเจ้าไว้

การยกระดับขีดความสามารถของผู้คนหมายถึงการพึงต้องให้พวกเจ้าปรับปรุงความสามารถในการจับใจความของเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และรู้ว่าจะปฏิบัติต่อพระวจนะของพระองค์อย่างไร  นี่คือข้อพึงประสงค์ที่พื้นฐานที่สุดในบรรดาทั้งหมด  หากเจ้าปฏิบัติตามเราโดยปราศจากความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังปนเปยุ่งเหยิงในความเชื่อของเจ้าอยู่หรอกหรือ?  ไม่สำคัญว่าเราจะเปล่งถ้อยคำมากมายเพียงใด หากคำพูดเหล่านั้นอยู่เกินเอื้อมของพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจคำพูดเหล่านั้นได้ทีเดียวนักไม่สำคัญว่าเราจะกล่าวอะไร เช่นนั้นแล้วนี่ก็หมายความว่าพวกเจ้ามีขีดความสามารถในระดับที่ต่ำ  หากไร้ซึ่งความสามารถในการจับใจความแล้ว พวกเจ้าจะไม่เข้าใจสิ่งใดที่เรากล่าวเลย ซึ่งทำให้ยากยิ่งต่อการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พึงปรารถนา มีมากมายที่เราไม่สามารถกล่าวกับพวกเจ้าได้โดยตรง และผลลัพธ์ตามเจตนานั้นก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ จึงทำให้เกิดความจำเป็นต้องมีงานเพิ่มเติม  เนื่องจากความสามารถในการจับใจความของพวกเจ้า ความสามารถในการมองเห็นสิ่งทั้งหลาย และมาตรฐานที่พวกเจ้าใช้ในการใช้ชีวิตนั้นขาดตกบกพร่องเกินไป จึงจำเป็นต้องมีการปฏิบัติงาน “ยกระดับขีดความสามารถ” ในตัวพวกเจ้า  การนี้มิอาจเลี่ยงได้และไม่มีทางเลือก  ผลลัพธ์บางอย่างจะสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยหนทางนี้เท่านั้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว วจนะทั้งหมดที่เรากล่าวไปก็จะเสียเปล่า  และถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะไม่เป็นที่จดจำเป็นประวัติศาสตร์ในฐานะคนบาปหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะไม่กลายเป็นคนหนักแผ่นดินหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้ถึงงานที่กำลังกระทำในตัวพวกเจ้าและสิ่งที่กำหนดจากตัวพวกเจ้าหรือไร?  พวกเจ้าควรที่จะรู้ถึงขีดความสามารถของตัวพวกเจ้าเอง กล่าวคือ นั่นไม่ตอบสนองข้อพึงประสงค์ของเราเลยโดยสิ้นเชิง  แล้วนี่ไม่ได้ทำให้งานของเราล่าช้าลงหรอกหรือ?  จากพื้นฐานขีดความสามารถปัจจุบันของพวกเจ้าและสภาวะปัจจุบันของบุคลิกลักษณะของพวกเจ้า ไม่มีใครสักคนในพวกเจ้าซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นพยานต่อเรา อีกทั้งไม่มีพวกเจ้าคนใดที่มีความสามารถไปถึงงานแห่งการแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของงานในอนาคตของเรา  พวกเจ้าไม่รู้สึกละอายใจอยู่ลึกๆ หรอกหรือ?  หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของเราได้อย่างไร?  เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าให้เต็มที่  อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า—การทำเช่นนั้นไม่ได้มีคุณค่าใดๆ  เจ้าควรรู้ถึงสิ่งที่เจ้าควรที่จะเตรียมให้พร้อมสรรพ  อย่าคิดว่าตัวเจ้าเองเก่งไปหมดทุกเรื่อง—หนทางยังอีกยาวไกลนักสำหรับเจ้า!  จะมีสิ่งใดให้พูดอีกหากเจ้าไม่มีแม้กระทั่งสามัญสำนึกขั้นต่ำสุดของความเป็นมนุษย์?  ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เป็นความสูญเปล่าหรอกหรือ?  และในเรื่องความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถที่เราพึงประสงค์นั้น ไม่มีพวกเจ้าแม้แต่คนเดียวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน  การค้นหาใครสักคนที่เหมาะสมสำหรับใช้งานเป็นสิ่งที่ยากเย็นเต็มที  พวกเจ้าเชื่อว่าตัวพวกเจ้าเองสามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเพื่อเราได้ และสามารถได้รับความไว้วางใจในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นจากเราได้ แต่อันที่จริงแล้ว พวกเจ้าไม่รู้กระทั่งวิธีการเข้าสู่บทเรียนมากมายที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าด้วยซ้ำ—แล้วจะเป็นไปได้ที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าสู่ความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้อย่างไร?  การเข้าสู่ความจริงของพวกเจ้าควรใช้แนวทางแบบลำดับชั้นและค่อยเป็นค่อยไป  นั่นต้องไม่วุ่นวายโกลาหล—นั่นไม่เป็นการดีเลย  เริ่มต้นด้วยการเข้าสู่จุดซึ่งตื้นเขินที่สุดจริงๆ เสียก่อน กล่าวคือ อ่านวจนะเหล่านี้ทีละบรรทัดจนกว่าเจ้าจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจและความชัดแจ้ง  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า จงอย่าเพียงแค่อ่านผ่านๆ เสมือนการขี่ม้าชมสวน และอย่าเพียงทำอย่างพอเป็นพิธี  เจ้ายังสามารถอ่านหนังสืออ้างอิงบางประเภทเป็นประจำได้เช่นกัน (เช่น หนังสือเกี่ยวกับหลักไวยากรณ์หรือสำนวนโวหาร) เพื่อปรับปรุงความรู้ของเจ้า  อย่าอ่านหนังสืออย่างเช่นนิยายรักเพ้อฝัน อัตชีวประวัติของผู้คนที่ยอดเยี่ยม หรือหนังสือที่เกี่ยวกับสังคมศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใด และก่อให้เกิดเพียงโทษเท่านั้น  เจ้าต้องเชี่ยวชาญในทุกสิ่งที่เจ้าควรเข้าสู่และเข้าใจ  จุดประสงค์ของการยกระดับขีดความสามารถของผู้คนก็คือ การให้ความตระหนักแก่พวกเขาเกี่ยวกับแก่นสาร อัตลักษณ์ สถานะ และคุณค่าของพวกเขาเอง  เจ้าควรเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริงในการเชื่อในพระเจ้า และว่าเป็นที่ยอมรับหรือไม่สำหรับผู้คนในการที่จะไม่ยกระดับขีดความสามารถของพวกเขา  ที่สำคัญยิ่งยวดก็คือเจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองมีความรู้อยู่เสมอ เจ้าต้องไม่โยนสิ่งนี้ทิ้งไป!  พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องมีการยกระดับขีดความสามารถของผู้คน ขีดความสามารถของผู้คนนั้นควรได้รับการยกระดับอย่างไร และแง่มุมใดบ้างที่ควรเข้าสู่  เจ้าต้องเข้าใจนัยสำคัญของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เหตุผลที่งานนี้ต้องถูกทำให้เสร็จสิ้น และส่วนที่มนุษย์ควรแสดงบทบาท  ตัวอย่างเช่น ในการที่จะกลายมามีความรู้ได้นั้น พวกเจ้าควรเข้าใจว่าควรศึกษาแง่มุมใด และคนเราควรเข้าสู่แง่มุมเหล่านี้อย่างไร  พวกเจ้าทุกคนควรรู้ว่าเป้าหมายของการกลายมามีความรู้คืออะไร  เป้าหมายนี้ไม่ใช่การเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและการเข้าสู่ความจริงหรอกหรือ?  อะไรหรือที่แพร่หลายยอมรับกันอยู่ทั่วคริสตจักรทั้งหลายในวันนี้?  การให้ผู้คนหาความรู้ด้วยตัวพวกเขาเองทำให้พวกเขาลืมความชื่นชมพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่ทำสิ่งใดเลยตลอดทั้งวันนอกเหนือจากการรับความรู้  หากเจ้าพึงประสงค์ให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาก็จะจัดการดูแลเพียงการจัดบ้านของพวกเขาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย การทำอาหาร หรือการซื้อเครื่องครัวทั้งหลายเท่านั้น  สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขามุ่งความสนใจ  พวกเขาจะไม่ตระหนักรู้แม้กระทั่งวิธีการใช้ชีวิตปกติธรรมดาของคริสตจักร  หากเจ้าพบตัวเจ้าเองอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันเหล่านั้น การปฏิบัติของเจ้านั้นได้หลงผิดไปเสียแล้ว  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงได้รับการขอให้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ?  แค่การเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งที่ได้รับการขอจากเจ้าได้  การเข้าสู่ชีวิตยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในขณะเดียวกัน เหตุผลของการทำงานนั้นคือการแก้ไขความลำบากยากเย็นที่ผู้คนเผชิญในประสบการณ์ของพวกเขา  การยกระดับขีดความสามารถของเจ้าทำให้เจ้าได้รับความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และแก่นสารของมนุษย์ ซึ่งมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้คนสามารถเติบโตและอุปนิสัยของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เจ้าอาจรู้วิธีแต่งตัวและการทำให้ตัวเจ้าเองดูดี เจ้าอาจมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและเฉลียวฉลาด แต่กระนั้นในที่สุดแล้ว พอถึงวันที่เจ้าจะไปทำงาน เจ้าก็ไม่สามารถทำได้  ดังนั้น เจ้าควรตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ควรทำไปด้วยในขณะที่กำลังยกระดับขีดความสามารถของเจ้า  เป้าหมายก็คือการเปลี่ยนแปลงเจ้า การยกระดับขีดความสามารถของเจ้านั้นเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติม  จะไม่มีประโยชน์อันใดหากความสามารถของเจ้าไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น และหากอุปนิสัยของเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นก็จะยิ่งแย่เข้าไปอีก  ทั้งสองสิ่งนี้ไม่สามารถละเว้นไปได้  การมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้เป็นคำพยานที่กังวานก้อง—สิ่งที่พึงกำหนดจากเจ้าไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น

ผู้คนจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายและมีพยานทั้งหลายให้พูดถึงได้ ก็ต่อเมื่อขีดความสามารถของพวกเขาได้รับการยกระดับจนถึงขอบเขตที่พวกเขาสามารถบรรลุสำนึกรับรู้และวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ปกติและมีการเข้าสู่ชีวิต  เมื่อถึงวันที่เจ้าจะเป็นพยาน เจ้าต้องกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในชีวิตมนุษย์ของเจ้า และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน  การผสมผสานของสองแง่มุมเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นคำพยานที่แท้จริงของเจ้าและผลเก็บเกี่ยวของเจ้า  ไม่เพียงพอหากความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงที่ภายนอก แต่เจ้าไม่มีความเข้าใจใดๆ ภายในเลย อีกทั้งก็จะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เช่นกันหากเจ้ามีความเข้าใจและมีความจริงภายใน แต่เจ้าลงท้ายด้วยการละเลยการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ปกติของเจ้า  งานที่ปฏิบัติกับเจ้าในวันนี้ไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นการแสดงให้เห็น แต่เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงเจ้า  ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือจดจ่อกับการเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเอง  การเขียนและการฟังทุกวันโดยที่ปราศจากสิ่งอื่นใดในชีวิตของเจ้านั้นจะไม่เกิดประโยชน์เลย เจ้าควรมีการเข้าสู่ในทุกแง่มุม  เจ้าควรมีชีวิตปกติในแบบวิสุทธิชน  พี่สาวน้องสาวมากมายแต่งกายราวสาวรุ่นและพี่ชายน้องชายทั้งหลายแต่งกายประหนึ่งพวกผู้ดีมีสกุลหรือพวกคนใหญ่คนโต ไร้ซึ่งจริยวัตรของวิสุทธิชนอย่างถึงที่สุด  การยกระดับขีดความสามารถของบุคคลหนึ่งนั้นก็เรื่องหนึ่ง—การนี้สัมฤทธิ์ได้โดยเหตุการณ์พาไป  การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าก็คืออีกเรื่องหนึ่ง—การนี้คือสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ  หากขีดความสามารถของเจ้าได้รับการยกระดับแล้ว แต่ลงเอยด้วยการไม่ได้ถูกเจ้านำไปใช้เพราะเจ้าไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะไม่ได้เสียความพยายามในการเรียนรู้ของเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  ทั้งสองแง่มุมนี้ต้องผสมผสานกัน  เหตุใดจึงยกเรื่องความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมาเมื่อกำลังหารือกันถึงสิ่งที่พึงกำหนดจากเจ้า?  นี่ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ผลลัพธ์ของงานที่จะมาถึงหรอกหรือ?  หลังจากที่เจ้าได้ได้รับการพิชิตแล้ว เจ้าต้องสามารถเป็นคำพยานจากประสบการณ์ของเจ้าเองได้  จะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยหากรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้ามีลักษณะของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แต่เจ้าจบลงตรงที่ไร้ความสามารถที่จะกลั่นประสบการณ์ของเจ้าออกเป็นคำพูดได้  ในขณะที่กำลังมีชีวิตปกติฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรสัมฤทธิ์ความเป็นมนุษย์ที่ปกติด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายแง่มุมในการนี้จะถึงจุดที่เรียนรู้ได้โดยเหตุการณ์พาไป  เจ้าคิดว่าการกวาดพื้นก็พึงต้องใช้การฝึกฝนที่เฉพาะเจาะจงใดๆ อย่างนั้นหรือ?  ที่แย่กว่านั้นคือการใช้เวลาเป็นชั่วโมงฝึกการถือตะเกียบตอนที่กำลังกินอาหาร!  ความเป็นมนุษย์ที่ปกติรวมแง่มุมใดไว้บ้างหรือ?  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก สำนึกรับรู้ มโนธรรม และบุคลิกลักษณะ  หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความปกติในแต่ละด้านเหล่านี้ ความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะขึ้นถึงระดับมาตรฐาน  เจ้าควรมีสภาพเสมือนในความเป็นมนุษย์ปกติ เจ้าควรดูละม้ายผู้เชื่อในพระเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องสัมฤทธิ์ผลมากจนเกินไปหรือมีส่วนข้องเกี่ยวในการทูต เจ้าแค่ต้องเป็นมนุษย์ปกติที่มีสำนึกรับรู้ของบุคคลปกติ เพื่อให้สามารถมองเห็นทะลุสิ่งทั้งหลายได้ และอย่างน้อยก็ดูเหมือนมนุษย์ปกติคนหนึ่ง  นั่นก็จะเพียงพอแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พึงกำหนดจากเจ้าในวันนี้อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของเจ้า นี่ไม่ใช่กรณีของการบังคับให้ทำอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย  จะไม่มีการพูดคำที่ไร้ประโยชน์หรือการทำงานที่ไร้ประโยชน์ที่ดำเนินการกับเจ้า  ความน่าเกลียดทั้งหมดที่แสดงออกหรือเผยออกมาในชีวิตของเจ้าต้องถูกกำจัดทิ้งไป  พวกเจ้าได้ถูกทำให้เสื่อมทรามโดยซาตานและปริ่มไปด้วยพิษของซาตาน  ทั้งหมดที่ขอจากเจ้าคือการกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนี้ออกไป  เจ้าไม่ได้กำลังถูกขอให้กลายมาเป็นบุคคลสำคัญในตำแหน่งสูง หรือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง  นั่นไม่มีประโยชน์อันใดเลย  งานที่ปฏิบัติในตัวพวกเจ้าคำนึงถึงสิ่งที่มีอยู่โดยเนื้อแท้ในตัวพวกเจ้า  สิ่งที่เราขอจากผู้คนนั้นได้รับการนิยามภายในขีดจำกัด  หากพวกเจ้าปฏิบัติในหนทางและน้ำเสียงซึ่งผู้มีภูมิปัญญาพูด นี่ก็จะไม่ได้ประโยชน์  พวกเจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะทำสิ่งนั้นได้  จากขีดความสามารถของพวกเจ้า อย่างน้อยเจ้าควรสามารถพูดด้วยสติปัญญาและไหวพริบ และอธิบายสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่ชัดเจนและจับใจความได้  นั่นคือทั้งหมดที่ต้องมีเพื่อให้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ที่ต้องการ  อย่างน้อยที่สุด หากเจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและสำนึกรับรู้ นั่นก็จะเพียงพอแล้ว  สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปลดทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้าต้องปลดทิ้งความน่าเกลียดที่สำแดงอยู่ในตัวเจ้า  เจ้าจะสามารถพูดถึงสำนึกรับรู้สูงสุดและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกสูงสุดได้อย่างไรหากเจ้าไม่ปลดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป?  ผู้คนมากมายนั้น เมื่อเห็นว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป ก็ขาดพร่องความถ่อมใจหรือความอดทนใดๆ และพวกเขาอาจไม่มีความรักหรือจริยวัตรอย่างวิสุทธิชนใดๆ ด้วยเช่นกัน  ผู้คนเช่นนั้นช่างไร้สาระยิ่งนัก!  พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ปกติแม้เพียงสักเสี้ยวหรือไม่?  พวกเขามีคำพยานใดที่จะกล่าวถึงหรือไม่?  พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอย่างถึงที่สุด  แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขบางแง่มุมในการปฏิบัติของผู้คนที่บิดเบือนไป ตัวอย่างเช่น ชีวิตฝ่ายวิญญาณอันเข้มงวดก่อนหน้านี้ของพวกเขา และรูปลักษณ์ที่มึนชาและโง่ทึ่มของพวกเขา—ทั้งหมดนี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลงไม่ได้หมายถึงการปล่อยให้เจ้ากลายมาเป็นเหลวแหลกหรือปล่อยตัวไปในเนื้อหนังและพูดอะไรต่ออะไรไปตามที่เจ้าต้องการ  เจ้าต้องไม่พูดพล่อยๆ  การใช้วาทะและการวางตัวของมนุษย์ปกติคนหนึ่งคือการพูดจาอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กัน  พูดว่า “ใช่” เมื่อเจ้าหมายความว่า “ใช่” และ “ไม่” เมื่อเจ้าหมายความว่า “ไม่”  จงยึดติดกับข้อเท็จจริงและพูดอย่างเหมาะสม  ไม่หลอกลวง ไม่โกหก  ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับขีดจำกัดที่บุคคลปกติสามารถไปถึงได้ในด้านที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  หากไม่เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงได้

ก่อนหน้า: จงรับใช้เหมือนที่คนอิสราเอลทำ

ถัดไป: นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger