พระวจนะว่าด้วยการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทราม

บทตัดตอน 49

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายของมนุษย์ไม่ได้ประกอบด้วยสิ่งใดเลยนอกจากสิ่งชั่วร้ายและไร้เหตุผลทั้งหลาย  ที่ร้ายแรงที่สุดในสิ่งเหล่านั้นคืออุปนิสัยอันโอหังของมนุษย์และสิ่งทั้งหลายที่ถูกเผยออกมาจากอุปนิสัยอันโอหังนั้น นั่นก็คือ ความคิดว่าตัวเองถูกและการให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นพิเศษ การเชื่อว่าคนคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ การไม่เต็มใจที่จะนบนอบใครเลย  การยืนกรานที่จะมีอำนาจยื่นคำขาดอยู่เป็นนิตย์ การอวดตนในทุกเรื่อง การแสวงหาคำยกยอและคำสรรเสริญในการกระทำของตน ความอยากมีผู้อื่นรายล้อมรอบตัวเองตลอดเวลาและยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเสมอ เก็บงำความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีทั้งหลายไว้เป็นนิจสิน อีกทั้งต้องการมงกุฎและบำเหน็จอยู่เสมอ และครองอำนาจในฐานะกษัตริย์—ประเด็นปัญหาเหล่านี้อยู่ในประเภทของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามร้ายแรง  ที่เหลือก็เป็นเพียงปัญหาธรรมดา  ตัวอย่างเช่น การมีทัศนะที่ผิดพลาด การคิดอย่างไร้เหตุผล ความคดโกง และความหลอกลวง ความริษยา ความเห็นแก่ตัว การชอบโต้เถียง และการกระทำโดยปราศจากหลักธรรมและอื่นๆ ล้วนเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พบได้บ่อยที่สุด  มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลายประเภทที่รวมอยู่ในอุปนิสัยของซาตาน แต่ประเภทที่เห็นได้ชัดที่สุดและโดดเด่นที่สุดคืออุปนิสัยอันโอหัง  ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ย่อมหมิ่นเหม่ที่จะขัดขืนพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ปัญหานี้รุนแรงเพียงใด?  ผู้คนที่มีอุปนิสัยอันโอหังไม่เพียงเชื่อว่าคนอื่นๆ อยู่ต่ำกว่าพวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นวางท่ายโสต่อพระเจ้า และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขารู้สึกเสมอว่า พวกเขามีความจริงและคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เหลือเกิน  นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยอันโอหัง และนั่นมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข  ความรู้สึกว่าคนคนหนึ่งดีกว่าคนอื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว  ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยอันโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบพระเจ้า อธิปไตยของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนี้รู้สึกเอนเอียงที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจและควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ  บุคคลประเภทนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักพระเจ้าหรือการนบนอบพระองค์  ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่โอหังมากจนถึงขนาดสูญเสียเหตุผลของตนไป ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา และถึงขั้นยกย่องและเป็นคำพยานให้ตนเอง  ผู้คนประเภทนี้ขัดขืนพระเจ้ามากที่สุด และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  หากผู้คนปรารถนาที่จะไปถึงจุดที่พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาต้องแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของตนเสียก่อน  ยิ่งเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนบนอบพระองค์ และได้มาซึ่งความจริงและรู้จักพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่ได้รับความจริงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

บทตัดตอน 50

อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ อย่างเช่น ความโอหัง ความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และการไม่เชื่อฟัง เป็นโรคดื้อด้านชนิดหนึ่ง  สิ่งเหล่านี้เปรียบดั่งเนื้อร้ายที่เติบโตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์และไม่สามารถแก้ไขได้โดยปราศจากการทนทุกข์บ้าง  ต่างจากความเจ็บป่วยชั่วคราวซึ่งสามารถหายไปภายในไม่กี่วัน โรคดื้อด้านนี้หาใช่ความทุกข์ร้อนอันเล็กน้อยเลยและจำต้องใช้แนวทางอันน่าครั่นคร้ามกับมัน  อย่างไรเสีย มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่พวกเจ้าต้องรับรู้—ไม่มีปัญหาใดที่ไร้ทางแก้  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะค่อยๆ ลดน้อยลงเมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เติบโตในชีวิต และเมื่อความเข้าใจรวมถึงประสบการณ์ต่อความจริงของเจ้าหยั่งลึกยิ่งขึ้น  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายต้องลดน้อยลงถึงขอบข่ายใดก่อนที่อาจจะถือได้ว่าอุปนิสัยเหล่านั้นถูกชำระให้บริสุทธิ์?  ก็เมื่อเจ้าไม่ถูกบีบบังคับโดยอุปนิสัยเหล่านั้นอีกต่อไป และสามารถหยั่งรู้และละทิ้งอุปนิสัยเหล่านั้นได้อย่างไรเล่า  แม้อุปนิสัยเหล่านั้นอาจแสดงออกเป็นครั้งคราว เจ้าก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนและปฏิบัติความจริงได้ตามปกติ และคงไว้ซึ่งความมีมโนธรรม  อีกทั้งยังมีความรับผิดชอบ และตัวเจ้าไม่ถูกอุปนิสัยเหล่านั้นบีบบังคับ  ณ จุดนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาสำหรับเจ้าอีกต่อไป และเจ้าได้เอาชนะและผงาดอยู่เหนืออุปนิสัยเหล่านั้นแล้ว  นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการเติบโตในชีวิต โดยที่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่ปกติ เจ้าไม่ถูกบีบบังคับหรือพันธนาการด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอีกต่อไป  คนบางคน ไม่ว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมามากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น  ผลลัพธ์คือ แม้หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่อุปนิสัยของพวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขาคิดว่า “เมื่อใดก็ตามที่ฉันทำอะไรสักอย่าง ฉันก็เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง เช่นนั้น หากฉันละเว้นจากการทำสิ่งใดๆ ฉันก็จะได้ไม่เผยสิ่งเหล่านั้นออกมา  นั่นก็แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่หรือ?”  นี่ไม่เหมือนกับการอดอาหารเพราะกลัวจะสำลักหรอกหรือ?  แล้วผลลัพธ์ของการนี้จะเป็นเช่นใดกัน?  นี่ก็มีแต่นำไปสู่การหิวโหยปางตายเท่านั้นเอง  หากคนคนหนึ่งได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาและไม่ทำการแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น นั่นก็เทียบเสมอกับการไม่ยอมรับความจริงและตายตกคาที่  อะไรเล่าที่จะเป็นผลสืบเนื่องของการเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เจ้ากำลังจะขุดหลุมฝังตัวเอง  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือศัตรูของความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  อุปนิสัยเหล่านั้นขัดขวางการปฏิบัติแห่งความจริง  ประสบการณ์ที่มีต่อพระราชกิจของพระเจ้า และความนบนอบของเจ้าที่มีต่อพระองค์  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าจะไม่บรรลุความรอดของพระเจ้าในวาระสุดท้าย  นั่นไม่เท่ากับการขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ?  อุปนิสัยเยี่ยงซาตานจะขัดขวางไม่ให้เจ้ายอมรับและปฏิบัติความจริง  เจ้าไม่สามารถหลีกหนีอุปนิสัยเหล่านี้ได้ และเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน  หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะอุปนิสัยเหล่านี้ได้ พวกมันจะทำการควบคุมเจ้า  แต่หากเจ้าสามารถเอาชนะพวกมันได้ เจ้าก็จะไม่ถูกบีบบังคับโดยอุปนิสัยเหล่านี้อีกต่อไป และเจ้าจะเป็นอิสระ  บางครั้งบางครา อุปนิสัยอันเสื่อมทรามจะยังคงผุดออกมาในหัวใจเจ้าและแสดงออกให้เห็น ก่อให้เกิดความคิดและแนวคิดอันผิดพลาด รวมถึงการคิดชั่วภายในตัวเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกหลงลำพองในตนเอง รู้สึกสูงส่ง หรือมีอิทธิฤทธิ์ มันจะเผยความคิดจำพวกนั้นออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าปฏิบัติตน มือและเท้าของเจ้าจะไม่ถูกอุปนิสัยเหล่านั้นพันธนาการไว้อีกต่อไป และหัวใจของเจ้าจะไม่ถูกควบคุมโดยอุปนิสัยเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว  เจ้าจะเอ่ยว่า “ความตั้งใจของฉันคือการคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า การทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเพื่อลุล่วงหน้าที่ของฉัน รวมถึงการจงรักภักดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  แม้ว่าฉันยังคงเผยอุปนิสัยประเภทนี้อยู่เป็นครั้งคราว นั่นก็ไม่มีอิทธิพลเหนือตัวฉันเลยแม้แต่น้อย”  นี่ก็เพียงพอแล้ว  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้จะได้รับการแก้ไขโดยแก่นแท้  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์นั้นคลุมเคลือและจับต้องได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่แหละคือสัมพันธ์กับชีวิตจริงของสิ่งนี้  บางคนกล่าวว่า “แม้ฉันเข้าใจความจริงสักเล็กน้อยแล้ว ฉันก็ยังคงมีความคิดและแนวคิดอันเสื่อมทราม และฉันยังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ฉันควรทำอย่างไรดี?”  หากเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีความคิดและแนวคิดอันผิดพลาด หรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น  นี่คือหลักการที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการปฏิบัติ และเจ้าคงจะไม่ลืมสิ่งนี้หรอกใช่หรือไม่?  นอกเหนือจากนี้ เจ้าควรที่จะรู้ไว้ว่า เมื่อเจ้ามีความคิดและแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง เจ้าควรปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น  เจ้าไม่สามารถถูกบีบบังคับและพันธนาการด้วยความคิดเหล่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปฏิบัติตามความคิดเหล่านั้นเลย  ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความจริงสักเล็กน้อย นี่ควรจะเป็นสิ่งที่ทำสำเร็จได้โดยง่าย  หากเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าจะต้องใช้ความพยายามในการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านี้  เจ้าไม่สามารถพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอีกแล้ว โปรดบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด!  ข้าพระองค์ไม่สามารถควบคุมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้”  หากเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่ผู้หนึ่งที่แสวงหาความจริง  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคิดลบและนิ่งเฉย และเจ้าได้ยอมแพ้ต่อตนเองแล้ว—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เตรียมโลงศพและจัดเตรียมงานศพของตนเองไว้ด้วยเลยเถิด  บอกเราหน่อยว่า คนประเภทใดกันที่อธิษฐานเช่นนั้น?  มีเพียงคนไร้ค่าเท่านั้นที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าในลักษณะดังกล่าว  คนที่รักความจริงไม่มีวันที่จะเอ่ยคำเช่นนั้นออกมา  หากเจ้าเป็นคนหนึ่งที่รักความจริง เจ้าควรจะเลือกเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าควรมีความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติ  หากเจ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติเมื่อปัญหาธรรมดาๆ เหล่านี้เกิดขึ้นกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ไร้ประโยชน์เกินไป  การแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามคือความพยายามชั่วชีวิต หาใช่สิ่งที่สามารถทำสำเร็จได้ภายในไม่กี่ปี  ทำไมเจ้าถึงเก็บจินตนาการเกี่ยวกับการไปถึงความจริงและชีวิตเอาไว้ล่ะ?  นั่นไม่ใช่การโฉดเขลาและขาดความรู้หรอกหรือ?

ในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยชีวิต การบีบบังคับของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นต้นเหตุของความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทุกคน  เมื่อผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเล็กน้อย หรือเผยอุปนิสัยนั้นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อพวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอุปนิสัยนั้นได้ พวกเขาก็ประณามตนเอง ตัดสินใจว่าพวกเขานั้นจบเห่และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว  นี่คือความสับสนและความเข้าใจผิดซึ่งมีอยู่ในผู้คนส่วนใหญ่  ขณะนี้ บางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ตระหนักแล้วว่า ตราบเท่าที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเกิดอยู่ภายในคนคนหนึ่ง พวกเขาก็สามารถเผยอุปนิสัยเหล่านั้นออกมาได้บ่อยๆ กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและขัดขวางการปฏิบัติความจริงของตนเอง และหากพวกเขาไม่สามารถคิดทบทวนตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้นั้น พวกเขาก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเหมาะสม  ดังนั้นแล้ว คนเหล่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในลักษณะคิดลบและพอเป็นพิธีอยู่เสมอ ควรที่จะคิดทบทวนตัวเองและขุดเอาต้นเหตุแท้จริงของปัญหาของตนออกมาเพื่อแก้ไขอย่างจริงจัง  อย่างไรก็ตาม บางคนมีความเข้าใจที่บิดเบือน และพวกเขาคิดว่า “ผู้คนเหล่านั้นที่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนควรหยุดและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์เสียก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองต่อไป” นี่เป็นทัศนะที่สมเหตุสมผลหรือไม่?  สิ่งนี้คือการคิดฝันของมนุษย์ และไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง  ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับผู้คนส่วนมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ออกมาขณะปฏิบัติหน้าที่ ตราบเท่าที่พวกเขาแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเหล่านั้น พวกเขาสามารถ ลดจำนวนของการเผยความเสื่อมทรามลงทีละน้อยและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเหมาะสมในท้ายที่สุด  นี่คือกระบวนการของการประสบกับพระราชกิจของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้นๆ และหยั่งรู้และชำแหละวิเคราะห์อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน นี่คือกระบวนการการต่อสู้กับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้า และนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประสบการณ์ชีวิตของเจ้า  ขณะประสบกับพระราชกิจของพระเจ้าและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเอง เจ้าใช้ความจริงทั้งหลายที่ตนเองเข้าใจสู้กับอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเอง แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองในท้ายที่สุด และมีชัยชนะเหนือซาตาน สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัยด้วยประการฉะนี้  กระบวนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองคือการแสวงหาและยอมรับความจริงเพื่อแทนที่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ คำพูดและคำสอน และเพื่อแทนที่ปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิตทางโลก ความคิดนอกรีตและความคิดอันไม่ถูกต้องทั้งหลายที่มาจากซาตาน ค่อยๆ แทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยความจริงและวาจาของพระเจ้า  นี่คือกระบวนการของการได้รับความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเอง  หากเจ้าต้องการที่จะรู้ว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดแล้ว เจ้าจำเป็นต้องมองให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มีความจริงกี่ประการแล้วที่เจ้าเข้าใจ มีความจริงกี่ประการแล้วที่เจ้านำไปปฏิบัติ และเจ้าสามารถใช้ชีวิตบนความจริงได้กี่ประการแล้ว  เจ้าจะต้องมองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากี่ประการได้รับการแทนที่ด้วยความจริงที่เจ้าได้ทำความเข้าใจและได้รับแล้ว และความจริงเหล่านี้สามารถควบคุมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้าได้ถึงขอบข่ายใด  นั่นคือ ถึงขอบข่ายใดที่ความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจสามารถชี้นำความคิด เจตนา และชีวิตประจำวันและการปฏิบัติของเจ้า  เจ้าควรมองให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเจ้า เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายของเจ้าที่มีอำนาจเหนือกว่า หรือเป็นความจริงทั้งหลายที่เจ้าเข้าใจที่ชนะและชี้นำเจ้า นี่คือมาตรฐานที่ใช้วัดวุฒิภาวะและการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า

บทตัดตอน 51

จะเป็นอย่างไร หากใครบางคนแก้ตัวจนเป็นนิสัยเมื่อเผชิญหน้ากับการตำหนิและการตัดแต่ง?  นี่เป็นอุปนิสัยที่โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และหัวแข็งมากประเภทหนึ่ง  คนโอหังและหัวแข็งนั้นยากที่จะยอมรับความจริง  พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้เมื่อพวกเขาได้ยินบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมุมมอง ความคิดเห็น และความคิดของตน  พวกเขาไม่สนใจว่าสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวนั้นถูกหรือผิด หรือใครเป็นคนกล่าว หรือบริบทที่ถูกกล่าวถึง หรือคำกล่าวนั้นสัมพันธ์กับความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนเองหรือไม่  พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งเร่งด่วนสำหรับพวกเขาคือการตอบสนองความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างแรก  นี่ไม่ใช่ความหัวแข็งหรอกหรือ?  การเป็นคนหัวแข็งจะนำความสูญเสียใดมาสู่ผู้คนในท้ายที่สุด?  เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะได้รับความจริง  การไม่ยอมรับความจริงมีสาเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  และจุดจบสุดท้ายคือพวกเขาไม่สามารถบรรลุความจริงได้โดยง่ายดาย  สิ่งใดก็ตามที่ถูกเปิดเผยจากแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์โดยธรรมชาตินั้นต่อต้านความจริงและไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย ไม่มีสิ่งใดที่สอดคล้องหรือเข้าใกล้ความจริง  ฉะนั้นเพื่อสัมฤทธิ์ความรอด  คนเราต้องยอมรับและปฏิบัติความจริง  หากคนเราไม่สามารถยอมรับความจริงและต้องการกระทำการตามความชอบของตนเองอยู่เสมอ บุคคลผู้นั้นก็ไม่สามารถบรรลุความรอดได้  หากเจ้าต้องการติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ก่อนอื่นเจ้าต้องหลีกเลี่ยงการวู่วามเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ  จงสงบสติอารมณ์เสียก่อนและนิ่งเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในหัวใจของเจ้า จงอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์  จงอย่าหัวแข็ง จงนบนอบเสียก่อน  ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพบหนทางแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้นได้  หากเจ้าสามารถพากเพียรที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม เจ้าก็สามารถอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์ และเผชิญหน้าสิ่งที่บังเกิดแก่เจ้าด้วยทัศนคติที่นบนอบ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่สำคัญว่ามีการเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมามากมายเพียงใด หรือเจ้าเคยทำการฝ่าฝืนสิ่งใดมาก่อนหน้านี้—สิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้ตราบที่เจ้าแสวงหาความจริง  ไม่ว่าบททดสอบใดจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะสามารถตั้งมั่น  ตราบใดที่เจ้ามีวิธีคิดที่ถูกต้อง สามารถยอมรับความจริง และนบนอบต่อพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ ตราบนั้นเจ้าก็สามารถอย่างเต็มที่ที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ  แม้ว่าเจ้าอาจเป็นกบฏและต้านทานบ้างในบางครั้ง และบางคราวก็สำแดงเหตุผลเพื่อแก้ตัวและไม่สามารถนบนอบได้ แต่หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพลิกสภาวะที่เป็นกบฏของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถยอมรับความจริง  เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว จงคิดทบทวนว่าเหตุใดความเป็นกบฏและการต้านทานเช่นนั้นจึงเกิดขึ้นในตัวเจ้า  จงหาเหตุผล จากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าในแง่มุมนั้นก็จะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  หลังจากฟื้นฟูจากการสะดุดล้มเช่นนั้นหลายครั้งเข้า จนกระทั่งเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะถูกปลดเปลื้องไปทีละน้อย  และแล้วความจริงก็จะเป็นใหญ่ในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าจะไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติความจริงอีกต่อไป  เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง  ระหว่างช่วงเวลานี้ เจ้าจะมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและการเปิดโปงเพื่อการปฏิบัติความจริงและการนบนอบต่อพระเจ้า  เมื่อสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าในภายหลัง เจ้าจะรู้วิธีปฏิบัติในหนทางที่นบนอบต่อพระเจ้า และรู้ว่าพฤติกรรมประเภทใดที่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า  เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แจ่มชัดในหัวใจของเจ้า เจ้าจะยังไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงความจริงได้อีกหรือ?  หากเจ้าถูกขอให้แบ่งปันคำพยานเชิงประสบการณ์ทั้งหลายของเจ้า เจ้าจะไม่รู้สึกว่านั่นเป็นปัญหาเพราะเจ้าจะมีประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่างและรู้หลักธรรมแห่งการปฏิบัติ  ไม่ว่าเจ้าพูดคุยเช่นไร ก็จะเป็นเรื่องจริง และไม่ว่าเจ้ากล่าวอะไร ก็จะสัมพันธ์กับชีวิตจริง  และหากเจ้าถูกขอให้เสวนาคำพูดและคำสอน เจ้าจะไม่เต็มใจทำ—เจ้าจะรังเกียจสิ่งนี้ในหัวใจ  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือ?  ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถได้รับประสบการณ์ความจริงด้วยความพยายามไม่เกินสองสามปี จากนั้นก็เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แม้พวกเขาต้องการเช่นนั้นก็ตาม  นี่เป็นเพราะผู้คนที่ไม่รักความจริงมีความเป็นกบฏมากเกินไป  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติความจริงในบางเรื่อง  พวกเขามักหาข้อแก้ตัวให้ตนเอง  และมีปัญหาต่างๆ ของตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้นจึงยากมากสำหรับพวกเขาที่จะนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ  แม้พวกเขาอาจจะอธิษฐานและแสวงหา และเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงก็ตาม แต่เมื่อสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา  เมื่อพวกเขาเผชิญกับความยากลำบากทั้งหลาย ความสับสนเลอะเลือนของพวกเขาจะผุดขึ้นมา และอุปนิสัยที่เป็นกบฏของพวกเขาก็เผยออกมา ทำให้จิตใจของพวกเขาขุ่นมัวมาก  อุปนิสัยที่เป็นกบฏของพวกเขาต้องรุนแรงขนาดไหน!  หากส่วนที่เล็กกว่าในหัวใจของพวกเขาสับสนเลอะเลือน และส่วนที่ใหญ่กว่าต้องการนบนอบต่อพระเจ้า การปฏิบัติความจริงจะมอบความยากลำบากที่น้อยลงให้กับพวกเขา  บางทีพวกเขาสามารถอธิษฐานชั่วขณะหนึ่ง หรืออาจมีใครบางคนสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา ตราบที่พวกเขาเข้าใจความจริงในขณะนั้น ก็จะนำไปปฏิบัติได้ง่ายดายขึ้น  หากความสับสนเลอะเลือนของพวกเขาใหญ่มากจนยึดครองหัวใจส่วนที่ใหญ่กว่าของพวกเขา  ซึ่งมีความเป็นกบฏเป็นเรื่องหลักและการนบนอบเป็นเรื่องรอง  ก็จะไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ เพราะพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  และผู้ที่ไม่รักความจริงเลยนั้นก็จะมีความเป็นกบฏอย่างเหลือล้นหรือโดยสิ้นเชิง สับสนเลอะเลือนโดยสมบูรณ์  ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกเลอะเลือนซึ่งจะไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้เลย ดังนั้นไม่ว่าจะใช้พลังงานไปกับพวกเขามากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด  ผู้คนที่รักความจริงมีแรงผลักดันที่แข็งแกร่งไปสู่ความจริง  หากนั่นเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าหรือเป็นส่วนใหญ่ของสิ่งที่ผลักดันพวกเขา และความจริงถูกสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้อย่างแน่นอน  การรักความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย การมีความเต็มใจเพียงเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ใครรักความจริงขึ้นมาได้  พวกเขาต้องไปให้ถึงจุดที่เมื่อเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาสามารถเพียรพยายามและอดทนต่อความยากลำบาก และยอมลำบากเพื่อนำความจริงไปปฏิบัติ  นั่นคือบุคคลคนหนึ่งที่รักความจริง  บุคคลคนหนึ่งที่รักความจริงสามารถยืนหยัดในการไล่ตามเสาะหาของตนเอง ไม่ว่าพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมามากมายเพียงใด หรือพวกเขากระทำการฝ่าฝืนมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง และยอมรับความจริงได้  หลังผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาสองหรือสามปี ความพยายามของพวกเขาจะส่งผล และความยากลำบากธรรมดาจะไม่กีดกั้นขัดขวางพวกเขา  หากพวกเขาเผชิญกับความยากลำบากที่มีนัยสำคัญ ถึงแม้พวกเขาจะล้มเหลวก็เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  ตราบใดที่พวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกติ นั่นยังมีความหวัง  เมื่อพวกเขาได้มารู้จักพระเจ้าและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า แม้ความท้าทายที่มีนัยสำคัญก็แก้ไขได้โดยง่ายดายสำหรับพวกเขา ไม่มีความท้าทายใดเป็นปัญหาสำหรับพวกเขา  ตราบใดที่ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและสามัคคีธรรมถึงความจริงมากขึ้น และไม่ว่าความยากลำบากใดบังเกิดกับพวกเขา หากพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า และพึ่งพาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการแก้ไขประเด็นปัญหา  ก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจความจริงและนำไปปฏิบัติ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะเริ่มค่อยๆ ถูกทิ้งไป  พวกเขาทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไปทีละน้อยด้วยการปฏิบัติความจริงแต่ละครั้ง และยิ่งมีการปฏิบัติตามความจริงมากขึ้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็จะยิ่งถูกทิ้งมากขึ้นด้วย  นี่เป็นกฎธรรมชาติ  หากผู้คนเห็นว่าพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพยายามแก้ไขอุปนิสัยนี้ด้วยการพึ่งพาการยับยั้งชั่งใจตนเองและความอดทน พวกเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่?  นั่นจะไม่ง่ายเลย  หากพวกเขาสามารถแก้ไขด้วยหนทางนั้น เช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าจะต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  คนเราต้องพึ่งพาการอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ พึ่งพาการแสวงหาความจริงและรู้จักตนเองโดยการทบทวนตนเอง และพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำงาน  นั่นคือสิ่งที่สามารถค่อยๆ แก้ไขได้  หากผู้คนไม่ร่วมมือ ไม่รู้ว่าจะคิดทบทวนตนเองอย่างไร ไม่สามารถยอมรับความจริง ไม่ตระหนักรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ขาดพร่องการกลับใจ และไม่เกลียดชังเนื้อหนังและซาตาน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะไม่ถูกทิ้งไปเอง  จุดนี้เป็นจุดที่พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์น่าอัศจรรย์ที่สุด ตราบใดที่ผู้คนกระหายความจริงและไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนเอง พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งและนำทางพวกเขา  ผู้คนจะเข้าใจความจริงและสามารถรู้จักตัวเองได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่รู้ตัว และตรงจุดนี้ พวกเขาจะเริ่มรักความจริงและโหยหาความจริง  พวกเขาจะสามารถเกลียดชังธรรมชาติและอุปนิสัยของซาตานจากหัวใจของตนเอง ซึ่งทำให้พวกเขากบฏต่อเนื้อหนังได้ง่ายขึ้น และทำให้พวกเขารู้สึกง่ายขึ้นที่จะปฏิบัติความจริง  ตรงจุดนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงทีละน้อย และพวกเขาจะไม่มีความเป็นกบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาจะสามารถนบนอบต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์โดยไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดก็ตาม  นี่คือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยการดำเนินชีวิตของพวกเขาโดยสมบูรณ์

บทตัดตอน 52

ผู้คนบางคนไม่เคยแสวงหาความจริงในขณะปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาเลย  พวกเขาแค่ทำไปตามที่พวกเขาพอใจ กระทำการตามความคิดฝันของพวกเขาเอง และทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่นตลอดเวลา พวกเขาไม่เดินบนเส้นทางของการปฏิบัติความจริงอย่างชัดเจน  การ “ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเมื่อเผชิญปัญหา เจ้ากระทำการตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม ไร้กระบวนการของการคิดอ่านหรือการค้นหาใดๆ  คำพูดของผู้อื่นไม่สามารถสัมผัสหัวใจของเจ้าหรือเปลี่ยนความคิดของเจ้าได้  เจ้าไม่อาจยอมรับได้ด้วยซ้ำเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับเจ้า เจ้ายึดติดอยู่กับความคิดเห็นของตัวเอง ไม่รับฟังเมื่อผู้อื่นพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าเชื่อว่าตัวเองถูกและยึดถือแนวคิดของตัวเจ้าเอง  ต่อให้การคิดอ่านของเจ้าถูกต้อง เจ้าก็ควรพิจารณาความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย  และหากเจ้าไม่พิจารณาเลย นี่ก็คือการคิดว่าตนชอบธรรมเสมอเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  สำหรับผู้คนที่คิดว่าตนชอบธรรมเสมอและเอาแต่ใจอย่างที่สุดนั้น การยอมรับความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย  หากเจ้าทำผิดและผู้อื่นวิจารณ์เจ้าว่า “คุณไม่ได้ทำสิ่งนั้นตามความจริง!” เจ้าย่อมตอบว่า “ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่ดี” และจากนั้นเจ้าก็หาเหตุผลบางประการมาทำให้พวกเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง  หากพวกเขาตำหนิเจ้าว่า “การที่คุณทำตัวเช่นนี้เป็นการขัดขวาง และนั่นจะสร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักร” นอกจากไม่รับฟังแล้ว เจ้ายังจะเอาแต่คิดหาข้อแก้ตัวว่า “ฉันคิดว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง ดังนั้นฉันจะทำเช่นนี้”  นี่คืออุปนิสัยอะไร?  (ความโอหัง)  นี่คือความโอหัง  ธรรมชาติที่โอหังทำให้เจ้าเอาแต่ใจ  หากเจ้ามีธรรมชาติที่โอหัง เจ้าจะประพฤติตนตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น ไม่ใส่ใจคำพูดของผู้ใดเลย  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้ามีแนวคิดและแผนการของเจ้าเอง  ก่อนที่จะกำหนดพิจารณาว่าจะทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงและอย่างน้อยเจ้าควรสามัคคีธรรมกับทุกคนถึงสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยขอให้ทุกคนบอกเจ้าว่าความคิดทั้งหลายของเจ้าถูกต้องและเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่ และขอให้ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้ายให้กับเจ้า  นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ประการแรก เจ้าสามารถฉายส่องความสว่างไปยังทรรศนะทั้งหลายของเจ้าและแสวงหาความจริง—นี่คือขั้นตอนแรกของการปฏิบัติเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ขั้นตอนที่สองเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอื่นออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น?  ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมกัน  ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  นั่นย่อมเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ปฏิเสธตัวเจ้าเอง และสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นทั้งหลายของตนเอง เจ้าก็ควรอธิษฐาน  แสวงหาความจริงจากพระเจ้า แล้วจากนั้นจงมองหาหลักพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า—กำหนดพิจารณาวิธีปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือการฝึกฝนปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดและถูกต้องแม่นยำที่สุด  เวลาที่ผู้คนแสวงหาความจริงและชูปัญหาให้ทุกคนสามัคคีธรรมร่วมกันและแสวงหาร่วมกัน นั่นคือเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งไว้ให้  พระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนตามหลักธรรมทั้งหลาย—พระองค์ทอดพระเนตรท่าทีของเจ้า  หากเจ้ายังคงดื้อดึงทำตามความเห็นของตนโดยไม่คำนึงว่าทัศนะของเจ้าว่าถูกหรือผิด พระเจ้าจะซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้าและเพิกเฉยต่อเจ้า พระองค์จะทรงทำให้เจ้าอับจนหนทาง เผยตัวเจ้าออกมา และเปิดโปงสภาวะที่อัปลักษณ์ของเจ้า  หากในทางกลับกัน ท่าทีของเจ้าถูกต้อง ทั้งไม่ยืนกรานในหนทางของเจ้าเอง หรือไม่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายชอบธรรมเสมอ หรือไม่ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น แต่เป็นท่าทีของการแสวงหาและของการยอมรับความจริง หากเจ้าสามัคคีธรรมกับทุกคน เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มทรงพระราชกิจในหมู่พวกเจ้า และบางทีพระองค์อาจจะทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจด้วยคำพูดของใครบางคน  บางครั้ง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า พระองค์ทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจเงื่อนปมของเรื่องด้วยคำพูดหรือวลีเพียงไม่กี่คำ หรือด้วยการประทานแนวคิดหนึ่งให้กับเจ้า  เจ้าตระหนักในทันทีนั้นว่า สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังยึดติดนั้นผิดพลาด และในทันทีเดียวกันนั้น เจ้าก็เข้าใจหนทางในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด  เมื่อได้มาถึงระดับเช่นนี้แล้ว เจ้าได้หลีกเลี่ยงการทำความชั่วและในเวลาเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการแบกรับผลสืบเนื่องจากความผิดพลาดสำเร็จแล้วมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การคุ้มครองของพระเจ้าหรือ?  (ใช่)  จะสัมฤทธิ์สิ่งเช่นนั้นอย่างไร?  การนี้จะบรรลุได้เมื่อเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อเจ้าแสวงหาความจริงด้วยหัวใจแห่งการนบนอบ  ทันทีที่เจ้าได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และกำหนดหลักธรรมของการปฏิบัติแล้ว การฝึกฝนปฏิบัติของเจ้าย่อมจะตรงตามความจริง และเจ้าจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้  การที่เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงในลักษณะดังกล่าวขึ้นอยู่กับอะไรเป็นสำคัญ?  โดยพื้นฐานแล้ว นั่นขึ้นอยู่กับการมีความตั้งใจและท่าทีที่ถูกต้องของเจ้า  นี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง  ยามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์เจตนารมณ์และท่าทีทั้งหลายของผู้คน และพระองค์ตัดสินพระทัยตามปัจจัยเหล่านี้ว่าจะประทานความรู้แจ้งหรือทรงนำพวกเขาหรือไม่  หากผู้คนสามารถเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าและมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาจะรู้วิธีการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง  พวกเจ้าสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  บ่อยครั้งที่ผู้คนปรารถนาจะหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว และต้องการปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรม  แต่การนี้ขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้คนที่มีต่อความจริง และขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบต่อพระเจ้าหรือไม่  หากเจ้าสามารถปล่อยมือจากเจตนารมณ์ส่วนตนของเจ้าและมีกรอบความคิดของการนบนอบต่อพระเจ้า การอธิษฐานและการแสวงหาจากพระเจ้าอย่างจริงใจ เจ้าก็จะใช้เวลาไม่นานในการได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการบางอย่างเพื่อทำให้เจ้าเข้าใจว่าหลักธรรมแห่งความจริงคืออะไรและประเด็นสำคัญของความจริงอยู่ตรงไหน  เมื่อเจ้าอธิษฐานและแสวงหาจากพระเจ้า ตราบที่เจ้ามีกรอบความคิดที่ถูกต้องและเจ้ามีความจริงใจ พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งให้แก่เจ้า  สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือหากผู้คนไม่ได้กำลังแสวงหาความจริงอย่างแท้จริง ได้แต่เพียงทำไปตามขั้นตอนและพิธีการเพื่อให้คนอื่นเห็น  ในกรณีนั้น พวกเขาจะไม่สามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า  หากท่าทีของเจ้าคือการยืนกรานอย่างดื้อรั้น ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธคำแนะนำทั้งหลายของคนอื่น ไม่แสวงหาความจริง มีเพียงความเชื่อในตนเอง และทำตามอำเภอใจเจ้าเท่านั้น—หากนี่คือท่าทีของเจ้าโดยไม่สนใจว่าพระเจ้าทรงทำหรือทรงขอสิ่งใด เช่นนั้นแล้ว ปฏิกิริยาของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พระเจ้าจะไม่ใส่พระทัยเจ้า พระองค์จะกันเจ้าออกไป  เจ้าไม่เอาแต่ใจหรอกหรือ?  เจ้าไม่โอหังหรือ?  เจ้าไม่คิดอยู่เสมอหรือว่าเจ้าถูกต้อง?  หากเจ้าปราศจากการนบนอบ หากเจ้าไม่เคยแสวงหา หากหัวใจของเจ้าปิดสนิทและต้านทานพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ใส่พระทัยเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ใส่พระทัยเจ้า?  เพราะหากหัวใจของเจ้าปิดสนิทกับพระเจ้า เจ้าจะยอมรับความรู้แจ้งจากพระเจ้าได้หรือ?  ยามที่พระเจ้าทรงติเตียนเจ้า เจ้าจะรู้สึกได้หรือไม่?  เมื่อผู้คนดื้อแพ่ง เมื่อธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาและความเดรัจฉานระเบิดออกมา พวกเขาย่อมไม่รู้สึกในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำย่อมไร้ประโยชน์อันใด—ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงทำพระราชกิจที่เปล่าประโยชน์  หากเจ้ามีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์อย่างดื้อรั้นเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงทำคือซ่อนพระองค์จากเจ้าต่อไป พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งที่เกินความจำเป็น  เมื่อเจ้าเป็นปฏิปักษ์อย่างดื้อรั้นและปิดสนิทเช่นนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใดในตัวเจ้าโดยการบังคับ หรือบังคับอะไรเจ้า พระองค์ไม่มีทางพยายามดลใจและประทานความรู้แจ้งให้เจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า—พระเจ้าไม่ทรงกระทำในหนทางนี้  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงกระทำในหนทางนี้?  โดยส่วนใหญ่ เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงเห็นอุปนิสัยบางอย่างในตัวเจ้า ได้ทรงเห็นความเดรัจฉานที่รังเกียจความจริงและไม่ยินยอมใช้เหตุผลแล้ว  และเจ้าคิดหรือว่าผู้คนจะสามารถควบคุมสัตว์ร้ายเมื่อความเดรัจฉานระเบิดออกมาได้?  การแผดเสียงหรือการกรีดร้องใส่มันทำอะไรได้?  การให้เหตุผลหรือการให้ความชูใจมันมีประโยชน์อันใดหรือไม่?  ผู้คนกล้าที่จะเข้าใกล้มันหรือไม่?  นี่คือวิธีที่ดีในการอธิบายเรื่องนี้  กล่าวคือ มันไม่ยอมใช้เหตุผล  เมื่อความเดรัจฉานของเจ้าปะทุขึ้นมา และเจ้าไม่ยินยอมใช้เหตุผล พระเจ้าทรงทำเช่นใด?  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้า  พระเจ้ายังต้องตรัสอะไรกับเจ้าอีกในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมใช้เหตุผล?  การตรัสใดๆ ต่อไปย่อมไร้ประโยชน์  และเมื่อพระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้า เจ้าได้รับพรหรือเจ้าทนทุกข์?  เจ้าได้รับประโยชน์บางอย่างหรือทนทุกข์จากการสูญเสีย?  เจ้าจะทนทุกข์กับการสูญเสียอย่างไม่ต้องสงสัย  และใครทำให้เป็นเช่นนี้?  (พวกเราทำให้เป็นเช่นนี้)  เจ้าทำให้เป็นเช่นนี้  ไม่มีใครบังคับเจ้าให้ปฎิบัติตนเช่นนี้ และเจ้าก็ยังรู้สึกเสียใจ  เจ้าไม่ได้นำการนี้มาสู่ตัวเองหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้า เจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้ มีความมืดมิดในหัวใจเจ้า และชีวิตของเจ้าจะเป็นอันตราย—เจ้านำสิ่งนี้มาสู่ตนเอง เจ้าก็สมควรต้องเป็นเช่นนี้

เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องหนึ่ง หากผู้คนเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป และยืนกรานแนวคิดทั้งหลายของตนเองโดยไม่แสวงหาความจริง ย่อมเป็นอันตรายมาก  พระเจ้าจะทรงรังเกียจเดียดฉันท์คนเหล่านี้และจะทรงกันพวกเขาออกไป  ผลที่ตามมาของการนี้จะเป็นอย่างไร?  สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าพวกเขามีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่แสวงหาความจริงเหล่านั้นสามารถได้มาซึ่งความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผลที่ตามมาคือการได้รับพรจากพระเจ้า  ท่าทีที่แตกต่างกันของการแสวงหาและไม่แสวงหาความจริงสามารถนำมาซึ่งสภาวะที่แตกต่างกันในตัวเจ้าสองสภาวะ และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันสองประการ  ผลลัพธ์แบบไหนที่พวกเจ้าเลือก?  (ข้าพระองค์อยากได้มาซึ่งความรู้แจ้งจากพระเจ้ามากกว่า)  หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า และได้รับพระคุณจากพระเจ้า พวกเขาต้องมีท่าทีแบบไหน?  พวกเขาต้องมีท่าทีแห่งการแสวงหาและการนบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง  ไม่ว่าพวกเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือจัดการกับประเด็นปัญหาเฉพาะบางอย่างที่พวกเจ้าเผชิญหน้าอยู่ พวกเจ้าต้องมีท่าทีแห่งการแสวงหาและการนบนอบ ด้วยท่าทีประเภทนี้ อาจพูดได้ว่าเจ้ามีบางสิ่งที่เป็นหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  การสามารถที่จะแสวงหาและนบนอบความจริงคือเส้นทางสู่การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หากเจ้าขาดพร่องท่าทีแห่งการแสวงหาและการนบนอบ  และเจ้ากลับเกาะติดอยู่กับตัวเอง เป็นปฏิปักษ์อย่างดื้อดึง และเจ้าไม่ยอมรับความจริง และรังเกียจความจริง เช่นนั้นเจ้าย่อมกระทำความชั่วมากเป็นธรรมดา  เจ้าไม่อาจควบคุมตนเองไม่ให้ทำได้!  หากผู้คนไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานี้เลย ผลสืบเนื่องที่ตามมาในท้ายที่สุดย่อมจะเป็นว่า ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์กี่สถานการณ์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงกำหนดบทเรียนให้พวกเขากี่บทเรียน พวกเขาก็ยังคงจะไม่เข้าใจความจริง และในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะยังคงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  หากผู้คนไม่มีความจริงความเป็นจริง พวกเขาย่อมจะไม่สามารถติดตามหนทางแห่งพระเจ้าได้ และหากพวกเขาไม่สามารถติดตามหนทางแห่งพระเจ้าได้เลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่ใช่ผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้  ผู้คนพร่ำพูดเกี่ยวกับการต้องการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของตนและติดตามพระเจ้า  สิ่งทั้งหลายเรียบง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างมากมายในชีวิตของผู้คน!  ไม่ง่ายเลยที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราให้ดีเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและสัมฤทธิ์ความยำเกรงพระเจ้าและการหลีกเลี่ยงความชั่ว  แต่เราจะบอกพวกเจ้าถึงหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ กล่าวคือ หากเจ้ามีท่าทีแห่งการแสวงหาและการนบนอบ เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า การนี้จะคุ้มครองเจ้า  เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่เพื่อให้เจ้าได้รับการอารักขา  เป้าหมายคือการทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและมีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และบรรลุความรอดจากพระเจ้า—นี่คือเป้าหมายสูงสุด  หากเจ้ามีท่าทีนี้ในทั้งหมดที่เจ้าได้รับประสบการณ์ เจ้าจะไม่รู้สึกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและคำขวัญอีกต่อไป จะไม่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามทั้งกายและใจมากอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ก่อนที่เจ้าจะตระหนัก เจ้าจะมาเข้าใจความจริงหลายประการ  หากเจ้าพยายามได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ เจ้าจะมั่นใจได้ว่าจะได้รับบำเหน็จรางวัล  ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าอายุเท่าใด เจ้ามีการศึกษาเพียงใด เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว หรือเจ้าปฏิบัติหน้าที่ใด  ตราบเท่าที่เจ้ามีท่าทีของการแสวงหาและการนบนอบ ตราบเท่าที่เจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุดแล้วมั่นใจได้เลยว่าเจ้าย่อมจะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่มีท่าทีแห่งการแสวงหาและการนบนอบในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ อีกทั้งเจ้าย่อมจะไม่สามารถเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงได้  คนที่ไม่เคยเข้าใจความจริงและไม่เคยสามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงเหล่านั้นคิดว่า “อะไรคือความจริงและอะไรคือคำสอน?  อะไรคือความเป็นจริงความจริงและอะไรคือการไม่มีความเป็นจริงความจริง?  ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจเล่า?”  บ่อยครั้งที่พวกเขาฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง พวกเขาตื่นเช้าและเข้านอนดึกเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ฟังมากขึ้น เรียนรู้มากขึ้น และเขียนมากขึ้น  พวกเขาจดบันทึกสิ่งเจริญใจทั้งหลายที่ตนได้ยินลงในสมุดบันทึก จนเต็มไปหลายเล่ม  พวกเขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากมาย แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยเข้าใจความจริงเลย  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้สึกว่าความจริงนั้นลึกซึ้งเกินไป  หลังจากการรับฟังมาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนบางส่วน แต่ทำไมพวกเขายังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้?  ทำไมพวกเขากลายเป็นสับสนเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ?  พวกเขาถือว่าการเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้นเข้าใจได้ยากมาก และรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้บรรลุได้ยากมาก  อันที่จริง พวกเขาเข้าใจผิดแล้ว  การเชื่อในพระเจ้าและการเข้าใจความจริงไม่ใช่เรื่องของการเล่นปริศนาคำศัพท์ ไม่ใช่การสามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนบางประการ แล้วก็จบแค่นั้น—ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย  สิ่งที่การเชื่อในพระเจ้าเน้นย้ำมากที่สุดคือ การปฏิบัติความจริงและการสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมในการปฏิบัติความจริง  มีเพียงการเข้าใจว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร และการรับมือกับเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมคืออะไร คนเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าเข้าใจความจริงและมีการเข้าสู่ความเป็นจริงแล้ว  การสามารถปฏิบัติความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

บทตัดตอน 53

เมื่อผู้คนไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ทำหน้าที่ในลักษณะสุกเอาเผากิน ทำตัวเหมือนพวกที่ชอบเอาใจผู้คน และไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นอุปนิสัยแบบใด?  นี่คือความฉลาดแกมโกง  เป็นอุปนิสัยของซาตาน  แง่มุมที่เด่นชัดที่สุดของปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์คือความฉลาดแกมโกง  ผู้คนคิดว่าหากพวกเขาไม่ฉลาดแกมโกง พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินผู้อื่นและไม่สามารถปกป้องตนเองได้ โดยพวกเขาคิดว่าตนจะต้องฉลาดแกมโกงพอที่จะไม่ทำร้ายหรือล่วงเกินใคร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรักษาตนเองให้ปลอดภัย ปกป้องความเป็นอยู่ของตนเอง และตั้งหลักอย่างมั่นคงท่ามกลางผู้อื่น  ผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลายต่างดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่ล่วงเกินผู้ใด  เจ้าได้มาถึงพระนิเวศของพระเจ้า ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และได้ฟังคำเทศนาของพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติความจริง พูดจาจากหัวใจ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์?  เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอ?  พวกคนที่ชอบเอาใจผู้คนนั้นเอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และไม่ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร  ยามที่พวกเขาเห็นบางคนทำชั่วและสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร พวกเขาก็เพิกเฉยต่อการกระทำนั้น  พวกเขาชอบเอาใจผู้คนและไม่ล่วงเกินผู้ใด  นี่คือไร้ความรับผิดชอบ และคนจำพวกนั้นฉลาดแกมโกงมากเกินไปและไม่น่าไว้ใจ  บางคนมีความสุขที่จะได้ช่วยเหลือผู้อื่น และพลีอุทิศเพื่อเพื่อนของตนเองไม่ว่าด้วยวิถีทางใดก็ตาม เพื่อปกป้องความถือดีและความหยิ่งทะนงของตนเอง และเพื่อรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตน  แต่เมื่อพวกเขาจำเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ความจริง และความยุติธรรม เจตนาดีของพวกเขาก็หายไป เจตนาดีเหล่านี้ได้หายไปโดยสิ้นเชิง  เมื่อพวกเขาควรปฏิบัติความจริง พวกเขากลับไม่ปฏิบัติเลย  เกิดอะไรขึ้น?  เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและความหยิ่งทะนงของตนเอง พวกเขาจะยอมจ่ายไม่ว่าจะราคาใดและสู้ทนไม่ว่าความทุกข์ใด  แต่เมื่อพวกเขาจำเป็นต้องทำงานจริงและรับมือกับเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เพื่อพิทักษ์งานของคริสตจักรและสิ่งที่เป็นบวก และเพื่อปกป้องและจัดเตรียมให้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพราะอะไรพวกเขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะจ่ายราคาใดๆ และสู้ทนความทุกข์ใดอีกต่อไป?  นี่เป็นเรื่องนึกไม่ถึงเลย  อันที่จริงพวกเขามีอุปนิสัยประเภทหนึ่งที่รังเกียจความจริง  เหตุใดเราถึงพูดว่าอุปนิสัยของพวกเขารังเกียจความจริง?  ก็เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับการเป็นพยานให้พระเจ้า การปฏิบัติความจริง การคุ้มครองประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การต่อสู้กับอุบายของซาตาน หรือการปกป้องงานของคริสตจักร พวกเขาก็จะหนีหายและหลบซ่อน และไม่เข้าร่วมกับเรื่องที่ถูกที่ควรใดๆ  ไหนเล่าความเป็นผู้กล้าและจิตวิญญาณที่จะสู้ทนความทุกข์ของพวกเขา?  พวกเขานำสิ่งเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ที่ไหน?  นี่เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่าย  ต่อให้บางคนกล่าวเตือนพวกเขา โดยกล่าวว่าพวกเขาไม่ควรเห็นแก่ตัวและต่ำช้าเช่นนั้น ไม่ควรปกป้องตนเอง และเตือนว่าพวกเขาควรที่จะปกป้องงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก  พวกเขากล่าวกับตนเองว่า “ฉันไม่ทำสิ่งเหล่านั้นหรอก และสิ่งเหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน  การกระทำเช่นนั้นจะดีต่อการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของฉันอย่างไร?” พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาชอบไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น ไม่ทำงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำแม้แต่น้อย  ดังนั้นยามที่พวกเขาเป็นที่ต้องการในงานของคริสตจักร พวกเขาก็แค่เลือกที่จะหนี  นี่หมายความว่า ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวกและไม่สนใจความจริง  นี่คือการสำแดงที่ชัดเจนของการรังเกียจความจริง  มีเพียงบรรดาผู้ที่รักความจริงและมีความเป็นจริงความจริงเท่านั้นที่สามารถขันอาสาเมื่อเป็นที่ต้องการในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและโดยผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร มีเพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอย่างกล้าหาญและผูกพันกับหน้าที่ เพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง นำทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุการนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าได้  มีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นท่าทีของความรับผิดชอบและเป็นการสำแดงของการแสดงความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากพวกเจ้าไม่มีท่าทีเช่นนี้ และไม่เป็นสิ่งใดเลยนอกจากไม่ระมัดระวังในการรับมือกับสิ่งต่างๆ และคิดว่า “ฉันจะทำสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่ของฉัน แต่สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นฉันไม่สนใจหรอก  ถ้าคุณถามอะไรบางอย่างกับฉัน ฉันก็จะตอบคุณ—ถ้าฉันอารมณ์ดีนะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ตอบ  นี่แหละท่าทีของฉัน” เช่นนั้นนี่ก็คืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือ?  การเอาแต่ปกป้องสถานะ ความมีหน้ามีตา และความหยิ่งทะนงของตนเอง และปกป้องสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียว—การปกป้องนี้เป็นเหตุอันชอบธรรมหรือไม่?  เป็นการปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไหม?  ภายใต้เหตุจูงใจที่เห็นแก่ตัวและใจแคบเหล่านี้คืออุปนิสัยที่รังเกียจความจริง  พวกเจ้าส่วนมากมักจะแสดงให้เห็นการสำแดงเหล่านี้ออกมาอยู่บ่อยครั้ง และชั่วขณะที่พวกเจ้าเผชิญกับบางสิ่งที่สัมพันธ์กับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าก็บิดพลิ้วด้วยการกล่าวว่า “ฉันไม่เห็น” หรือ “ฉันไม่รู้” หรือ “ฉันไม่ได้ยิน”  ไม่สำคัญว่าเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ หากเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้ในชั่วขณะที่สำคัญยิ่ง เช่นนั้นคงยากที่จะพูดว่าเจ้าเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ สำหรับเราแล้ว เจ้าเป็นใครบางคนที่สับสนในการเชื่อของตน หรือไม่ก็เป็นผู้ไม่เชื่อ  เจ้าไม่ใช่คนที่รักความจริงอย่างแน่นอน

พวกเจ้าอาจเข้าใจว่าการรังเกียจความจริงนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่เหตุใดเราถึงได้กล่าวว่าการรังเกียจความจริงนั้นคืออุปนิสัยอย่างหนึ่ง?  อุปนิสัยนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการสำแดงชั่วคราวเป็นครั้งคราว และการสำแดงชั่วคราวเป็นบางครั้งก็ไม่เพียงพอที่จะใช้ระบุว่าเป็นปัญหาด้านอุปนิสัย  ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใดก็ตาม อุปนิสัยนั้นจะถูกเผยในตัวพวกเขาบ่อยครั้งหรือถึงขั้นตลอดเวลา และอุปนิสัยนั้นจะถูกเผยเมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นอยู่ในบริบทที่เหมาะเจาะพอดี  ดังนั้นแล้ว เจ้าไม่สามารถอธิบายลักษณะของปัญหาด้านอุปนิสัยตามอำเภอใจบนพื้นฐานของการสำแดงชั่วคราวเป็นวาระได้  เช่นนั้น อุปนิสัยคืออะไร?  อุปนิสัยทั้งหลายนั้นสัมพันธ์กับเจตนารมณ์และแรงจูงใจ อุปนิสัยเหล่านี้สัมพันธ์กับการคิดและมุมมองของบุคคลหนึ่ง  ดูเหมือนเจ้าจะสามารถสำนึกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ครอบงำเจ้าและทำให้เจ้าหวั่นไหว  แต่อุปนิสัยทั้งหลายก็สามารถถูกซ่อนเร้นและปกปิดไว้ และถูกบดบังด้วยปรากฏการณ์ผิวเผิน  กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ ตราบใดที่มีอุปนิสัยหนึ่งอยู่ในตัวเจ้า อุปนิสัยนั้นจะแทรกแซงเจ้า บีบบังคับและควบคุมเจ้า และก่อให้เกิดพฤติกรรมและการสำแดงมากมายในตัวเจ้า—นั่นคืออุปนิสัย  อุปนิสัยที่รังเกียจความจริงมักก่อให้เกิดพฤติกรรม ความคิด มุมมอง และท่าทีใด?  ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของการรังเกียจความจริงที่ผู้คนแสดงให้เห็นก็คือ การขาดความสนใจในสิ่งที่เป็นบวกและความจริง ตลอดจนการไม่สนใจ การมีความซังกะตายในหัวใจ การขาดความอยากที่จะเอื้อมหาความจริง และเมื่อใดก็ตามที่พูดถึงสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง ก็คิดว่าทั้งหมดนี้ดีอยู่แล้ว  เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ  สามัญสำนึกประการหนึ่งที่ผู้คนพูดถึงอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่ดีคือการกินผักและผลไม้ให้มากขึ้น กินอาหารเบาๆ ให้มากขึ้น และกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งลดอาหารทอดให้น้อยลง  นี่เป็นแนวทางเชิงบวกสำหรับสุขภาพและความแข็งแรงสมบูรณ์ของผู้คน  ทุกคนสามารถเข้าใจและยอมรับว่าควรกินอะไรมากขึ้นและควรกินอะไรน้อยลง ดังนั้นการยอมรับนี้อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีหรือในทางปฏิบัติ?  (ทฤษฎี)  การยอมรับทางทฤษฎีนั้นสำแดงออกมาอย่างไร?  ในการรับรู้ขั้นพื้นฐานประเภทหนึ่ง  นั่นคือการคิดว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง และคิดว่าคำกล่าวนี้ดีมากด้วยวิจารณญาณบนพื้นฐานการตัดสินของเจ้า แต่เจ้ามีข้อพิสูจน์ใดที่จะแสดงให้เห็นตามคำกล่าวนี้หรือไม่?  เจ้ามีเหตุผลในการเชื่อหรือไม่?  เจ้าเพียงแค่ยอมรับทัศนะนี้โดยไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง ไม่มีเหตุปัจจัยหรือพื้นฐานใดที่จะพิสูจน์ยืนยันว่าคำกล่าวนี้ถูกหรือผิด และแน่นอนว่าไม่ได้ถอดบทเรียนมาจากความผิดพลาดครั้งก่อนๆ และไม่มีตัวอย่างจากชีวิตจริง—นี่คือการยอมรับทางทฤษฎี  ไม่ว่าเจ้ากำลังยอมรับคำกล่าวนี้ในทางทฤษฎีหรือในทางปฏิบัติ เจ้าก็ต้องยืนยันเสียก่อนว่าคำกล่าวที่ว่า “กินผักให้มากขึ้นและกินเนื้อให้น้อยลง” นั้นถูกต้องและเป็นสิ่งที่เป็นบวก  แล้วอุปนิสัยของการรังเกียจความจริงของเจ้าจะเห็นได้อย่างไร?  ขึ้นอยู่กับวิธีที่เจ้าเข้าหาและประยุกต์ใช้คำกล่าวนี้ในชีวิตของเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นท่าทีของเจ้าต่อคำกล่าวนั้น ไม่ว่าเจ้าได้ยอมรับคำกล่าวนั้นในทางทฤษฎีและในแง่ของคำสอน หรือว่าเจ้าได้ประยุกต์ใช้คำกล่าวดังกล่าวในชีวิตจริงและทำให้เป็นความเป็นจริงของเจ้าหรือไม่  หากเจ้าได้ยอมรับคำกล่าวนี้แค่ในแง่ของคำสอน แต่สิ่งที่เจ้าทำในชีวิตจริงกลับขัดแย้งกับคำกล่าวนี้โดยสิ้นเชิง หรือเจ้าไม่แสดงการประยุกต์ใช้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำกล่าวนี้เลย เจ้ารักคำกล่าวนี้ หรือเจ้ารังเกียจคำกล่าวนี้กันแน่?  ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้ากินอาหารและเห็นผักสีเขียว แล้วคิดว่า “ผักสีเขียวดีต่อสุขภาพแต่รสชาติไม่ดี และเนื้อสัตว์มีรสชาติดีกว่า ดังนั้นฉันจะกินเนื้อสัตว์ก่อน” จากนั้นเจ้าก็กินแต่เนื้อสัตว์และไม่กินผักใบเขียว—นี่แสดงถึงอุปนิสัยประเภทใด?  การไม่ยอมรับคำกล่าวที่ถูกต้อง การรังเกียจสิ่งที่เป็นบวก และเต็มใจที่จะกินตามความชอบทางเนื้อหนังเท่านั้น  คนประเภทที่ตะกละตะกลามและปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสำราญเช่นนี้ได้กลายเป็นคนที่รังเกียจ ต้านทาน และผลักไสสิ่งที่เป็นบวก และเป็นอุปนิสัยประเภทหนึ่ง  บางคนอาจจะยอมรับรู้ว่าคำกล่าวนี้ถูกต้องทีเดียว แต่ตนเองกลับทำไม่ได้ และถึงแม้พวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาก็ยังคงบอกให้ผู้อื่นทำเช่นนั้น และหลังจากที่กล่าวไปมากมาย คำกล่าวนั้นก็กลายเป็นทฤษฎีประเภทหนึ่งสำหรับพวกเขา และไม่ส่งผลอะไรต่อพวกเขาเลย  บุคคลนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการกินผักมากกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและการกินเนื้อสัตว์มากกว่านั้นไม่ดี แต่พวกเขากลับคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ยังไม่พลาดท่า  การกินเนื้อสัตว์เป็นการได้เปรียบและฉันไม่รู้สึกว่าเนื้อสัตว์ไม่ดีต่อสุขภาพ”  ความโลภและความอยากทำให้พวกเขาเลือกวิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้อง และทำให้พวกเขาต่อต้านสามัญสำนึกที่ถูกต้องและวิถีชีวิตที่เหมาะสมอยู่เป็นนิจ  พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทที่ใฝ่หาข้อได้เปรียบและความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนัง แล้วจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาหรือที่จะยอมรับถ้อยแถลงที่ถูกต้องและสิ่งที่เป็นบวก?  นั่นย่อมจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เช่นนั้นวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนหรอกหรือ?  นี่คือการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และเป็นการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างหนึ่ง  สิ่งที่สำแดงออกมาภายนอกคือพฤติกรรมเหล่านี้และท่าทีอย่างหนึ่ง แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว นี่คืออุปนิสัยหนึ่งที่กำลังกำหนดควบคุมพวกเขาอยู่  อุปนิสัยนี้คืออะไร?  นี่คือการรังเกียจความจริง  อุปนิสัยที่รังเกียจความจริงนี้ยากที่จะค้นพบ ไม่มีใครรู้สึกว่าพวกเขารังเกียจความจริง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วและยังคงไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริงก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขารังเกียจความจริง  ผู้คนฟังคำเทศนาและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย และเจตนารมณ์ของพระเจ้าก็คือการให้พวกเขายอมรับพระวจนะของพระองค์ในหัวใจและนำพระวจนะเหล่านี้ไปปฏิบัติและนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงและทำให้ความจริงเป็นชีวิตของพวกเขา  ข้อกำหนดนี้เป็นเรื่องยากที่ผู้คนส่วนใหญ่จะสัมฤทธิ์ได้ และนั่นคือเหตุผลที่พูดว่าผู้คนส่วนใหญ่นั้นมีอุปนิสัยรังเกียจความจริง

เมื่อใครบางคนเข้าใจความจริง การปฏิบัติความจริงก็ไม่ลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขา และครั้นใครบางคนมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาก็สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เป็นการลำบากยากเย็นจริงหรือที่จะแปรความจริงซึ่งคนเราเข้าใจไปเป็นความเป็นจริงที่คนคนนั้นใช้ชีวิตตาม?  เราขอยกตัวอย่างหนึ่งให้กับเจ้า  สมมุติว่าอากาศเย็นและเจ้าก็พยายามจะออกจากบ้านทั้งที่หน้าผากของเจ้ายังมีเหงื่อเกาะ และแม่ของเจ้าก็บอกให้เจ้าเช็ดเหงื่อออกก่อนที่จะออกไปข้างนอก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเป็นหวัด  เจ้ารู้ว่าแม่ของเจ้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ทำตามคำแนะนำของแม่อย่างจริงจัง และเจ้าก็เพิกเฉยต่อคำแนะนำนั้นถึงแม้เจ้ารู้สึกว่าข้อเสนอแนะของแม่นั้นถูกต้อง  เจ้าก็แค่ออกไปข้างนอกทั้งที่มีเหงื่อเกาะหน้าผากเหมือนเดิม และบางคราวเจ้าก็เป็นหวัดหลังจากออกไปข้างนอกในสภาพนี้ แต่เจ้าก็ยังคงขัดต่อคำแนะนำของแม่ในคราวถัดมาที่เจ้าออกจากบ้านอยู่ดี  เจ้ารู้ชัดว่าคำแนะนำของแม่นั้นถูกต้องและมีประโยชน์ต่อเจ้าที่สุด และรู้ว่าเหตุจูงใจและเจตนารมณ์ของแม่ของเจ้านั้นดีต่อตัวเจ้าเองเสมอ แต่เจ้าก็ยังคงไม่ฟังและทำเป็นหูทวนลมใส่คำแนะนำนั้น—นี่ไม่ใช่อุปนิสัยอย่างหนึ่งหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่ได้มีอุปนิสัยนี้ เจ้าจะเลือกทำสิ่งใด?  (ฟัง)  เจ้าคงจะรู้ความสำคัญของคำแนะนำนี้ และเจ้าก็คงจะรู้ผลที่ตามมาและความเจ็บปวดที่เจ้าอาจจะต้องทนทุกข์จากการไม่ฟังคำแนะนำนั้น และเจ้าจะทำความเข้าใจและเข้าใจความหมายของข้อเสนอแนะนี้  เจ้าคงสามารถยึดปฏิบัติต่อคำแนะนำนี้อย่างเคร่งครัดและดำเนินการตามคำแนะนำนั้นเสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงไม่เสี่ยงที่จะเป็นหวัด  นี่แค่ตัวอย่างเดียว  ก็เหมือนการเชื่อในพระเจ้า และการอ่านกับการฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วผู้คนควรปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร?  นี่คือคำถามที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด  หากบุคคลหนึ่งพูดจาสอดคล้องกับความจริงและถูกต้อง ผู้คนก็จะได้ประโยชน์จากการยอมรับคำพูดของพวกเขา  พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และหากผู้คนสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้น พวกเขาก็ไม่เพียงแต่จะได้ประโยชน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็จะได้รับชีวิตด้วย  ผู้คนมากมายไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน และดูถูกพระวจนะของพระเจ้าเสมอ  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ไม่ว่าพระองค์กำลังทรงเตือนสติ ว่ากล่าว เตือนใจ ชูใจ หรือวอนขอผู้คนด้วยพระทัยจริง ไม่ว่าพระองค์ตรัสอย่างไร พระองค์ก็ไม่ทรงสามารถปลุกหัวใจพวกเขาให้ตื่นได้  พวกเขาไม่สามารถที่จะกระทำตามพระวจนะของพระองค์ได้ และหลังจากที่ฟังพระวจนะ พวกเขาก็แค่ทำหูทวนลม  นี่เป็นหนึ่งในอุปนิสัยของมนุษย์—ความดื้อแพ่งและการรังเกียจความจริง  หากเจ้าไม่สามารถทำตามพระวจนะของพระเจ้าได้ในวิธีที่เจ้าเข้าหาสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสบอกเจ้าและทรงบัญชาให้เจ้าทำ เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนี้ได้  ไม่ว่าเจ้ายอมรับรู้หรือกล่าวอาเมนต่อทุกพระวจนะที่พระเจ้าตรัส ไม่ว่าเจ้าสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าโดยวาจาว่าเป็นความจริงอย่างไร นั่นก็ไร้ประโยชน์ เจ้าต้องสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าต้องปฏิบัติและรับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้าและเป็นความเป็นจริงของเจ้า นั่นเท่านั้นที่มีประโยชน์  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนที่มีอุปนิสัยหลอกลวงตั้งปณิธานที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพูดจาด้วยความสัตย์จริง นี่ก็ค่อนข้างง่ายที่พวกเขาจะสัมฤทธิ์ผล แต่สิ่งที่ลำบากยากเย็นที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงก็คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริงและความดื้อแพ่ง  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสอะไร ผู้คนที่มีอุปนิสัยนี้ก็ไม่รับสิ่งนั้นเข้ามาในหัวใจอย่างจริงจัง และไม่ว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีแบบไหน ไม่ว่านั่นเป็นหนึ่งในท่าทีของการตักเตือน การเตือนใจ การเตือนสติ หรือการวอนขอด้วยพระทัยจริง การนำเสนอข้อเท็จจริง หรือการให้เหตุผลในสิ่งต่างๆ นั่นก็ไม่ทำให้หัวใจของพวกเขาสะทกสะท้าน และนี่ก็ยากลำบากที่จะจัดการ  เป็นการยากที่ผู้คนจะตระหนักรู้อุปนิสัยของการรังเกียจความจริง และพวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริงให้เป็นนิจ อีกทั้งทบทวนสภาวะของตัวเองถึงเหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง และถึงเหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจ  หากพวกเขาเข้าใจปัญหานี้อย่างถ้วนทั่ว พวกเขาก็จะรู้ว่าการรังเกียจความจริงหมายถึงอะไร

มีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายในอุปนิสัยของผู้คนที่สำแดงตนเองอยู่ในท่าทีของการที่ไม่ใช่ทั้งวางอำนาจและพินอบพิเทา  พวกเขามีหนทางการคิดและการแสดงตัวตนของตัวเอง และคิดว่านี่คือหนทางที่เหมาะควรที่สุด  ไม่ว่าคนอื่นจะพูดหรือทำอะไร สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีอิทธิพลต่อพวกเขา พวกเขายืนกรานที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่ตัวเองรู้สึกว่าจะทำให้ผู้คนเคารพยกย่องตน โดยเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งซึ่งถูกแล้วที่จะทำ พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง และพวกเขาก็ไร้ซึ่งหลักธรรมความจริงอันใด  นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใดหรือ?  นี่คืออุปนิสัยของความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก และการรังเกียจความจริง  คนที่มีธรรมชาติของซาตานและรังเกียจความจริงนั้นหูหนวกตาบอดต่อพระวจนะและกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำหรือตรัสไปมากเท่าไร  ซาตานไม่เคยปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเฉกเช่นความจริง มันเพิกเฉยต่อพระวจนะเหล่านั้น มันไม่ยอมให้ผู้คนยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง อีกทั้งมันยังชักพาผู้คนให้หลงผิดเพื่อให้พวกเขานบนอบต่อมัน—นี่คือวิธีที่ซาตานขัดขืนพระเจ้า  พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อปลุกมวลมนุษย์ให้ตื่น ช่วยพวกเขาให้รอดและชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ ส่วนซาตานพยายามอย่างที่สุดที่จะก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า วัตถุประสงค์ของซาตานที่ชักพามวลมนุษย์ให้หลงผิดก็คือเพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและก่อให้เกิดภัยพิบัติแก่มวลมนุษย์ และท้ายที่สุดก็กลืนกินและกำจัดมวลมนุษย์จนหมดสิ้นไป  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าประทานอาหารทุกชนิดให้กับมวลมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ยังทรงสร้างพืชผักและเมล็ดพืชทุกชนิด รวมไปถึงแผ่นดินที่เหมาะสมแก่การปลูกสิ่งเหล่านั้น  ตราบที่ผู้คนทำงานหนัก พวกเขาก็จะมีกินมีใช้มากพอ อีกทั้งสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขามีอาหารที่ดีต่อสุขภาพ  แต่ผู้คนไม่รู้จักพอและต้องการที่จะร่ำรวยอยู่เสมอ และพวกเขาก็ยืนกรานในการค้นคว้าวิจัยวิธีการต่างๆ ของการดัดแปลงทางพันธุกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชผล ซึ่งทำลายโภชนาการตามจริงของเมล็ดพืช และเปลี่ยนอาหารธรรมชาติไปเป็นอาหารที่ไม่เป็นธรรมชาติ  หลังจากที่ผู้คนกินสิ่งเหล่านี้ ความเจ็บป่วยทุกชนิดก็อุบัติขึ้นในร่างกายพวกเขา—นี่ไม่ใช่การกระทำของซาตานหรอกหรือ?  ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนถึงจุดหนึ่ง และพวกเขาทั้งหมดได้กลายเป็นซาตานที่มีชีวิตและมารที่มีชีวิต  ในอดีตนั้น ซาตานกับพวกวิญญาณชั่วเท่านั้นที่ขัดขืนพระเจ้า แต่ตอนนี้มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งสิ้นทั้งปวงขัดขืนพระเจ้า  ดังนั้นพวกมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทรามไม่ใช่พวกมารและพวกซาตานหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้เป็นเชื้อสายของซาตานหรอกหรือ?  (พวกเขาเป็น)  นี่คือผลสืบเนื่องที่กอปรขึ้นจากการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามมานับพันปี  เจ้าสามารถรู้และใช้วิจารณญาณแยกแยะอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้อย่างไร?  โดยพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่ซาตานชอบทำ ตลอดจนวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมที่มันใช้ทำสิ่งต่างๆ คนเราสามารถมองเห็นได้ว่ามันไม่เคยชอบสิ่งที่เป็นบวก ว่ามันชอบความชั่ว และว่ามันคิดว่าตัวเองเก่งพอและมีความสามารถที่จะควบคุมทุกสิ่งเสมอ  นี่คือธรรมชาติอันโอหังของซาตาน นั่นคือเหตุผลที่ซาตานปฏิเสธ ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้าอย่างไร้คุณธรรม  ซาตานเป็นตัวแทนและแหล่งที่มาของสิ่งที่เป็นลบทั้งหมดและสิ่งชั่วทั้งหมด  หากเจ้าสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นเจ้าก็มีวิจารณญาณแยกแยะอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่จะยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริง เพราะพวกเขาทั้งหมดมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและพวกเขาล้วนถูกจำกัดบังคับและพันธนาการโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน  ตัวอย่างเช่น คนบางคนตระหนักได้ว่าเป็นการดีที่เป็นบุคคลซื่อสัตย์ และพวกเขารู้สึกอิจฉาริษยาเมื่อเห็นผู้อื่นซื่อสัตย์ พูดความจริง และพูดจาในลักษณะที่เรียบง่ายและเปิดใจ หนำซ้ำหากเจ้าขอให้ตัวพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาก็รู้สึกว่านั่นช่างลำบากยากเย็น พวกเขาไม่สามารถกล่าววาจาที่ซื่อสัตย์และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง  นี่ไม่ใช่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?  พวกเขาพูดสิ่งที่ฟังดูดี แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น  นี่คือการรังเกียจความจริง  พวกที่รังเกียจความจริงนั้นมีช่วงเวลายากลำบากในการยอมรับความจริงและไม่มีทางที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เลย  สภาวะที่เห็นชัดที่สุดของผู้คนที่รังเกียจความจริงก็คือการที่พวกเขาไม่สนใจความจริงและสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาถึงกับผลักไสและเกลียดชังสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมเป็นพิเศษ ในหัวใจพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรักและสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเมินเฉยและไม่แยแสสิ่งเหล่านั้น และก็บ่อยครั้งที่ผู้คนถึงกับดูหมิ่นมาตรฐานและหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อมนุษย์  พวกเขาผลักไสสิ่งที่เป็นบวกและรู้สึกขัดขืน ต่อต้าน และเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยามต่อสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ  นี่คือการสำแดงเบื้องต้นของการรังเกียจความจริง  ในชีวิตคริสตจักรนั้น การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐาน การสามัคคีธรรมถึงความจริง การปฏิบัติหน้าที่ และการแก้ไขปัญหาด้วยความจริง ล้วนเป็นสิ่งซึ่งเป็นบวก สิ่งเหล่านั้นทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่คนบางคนก็ผลักไสสิ่งซึ่งเป็นบวกเหล่านี้  ไม่ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ และไม่แยแสต่อสิ่งเหล่านี้  ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือการที่พวกเขารับเอาท่าทีเหยียดหยามมาใช้กับผู้คนที่เป็นบวก อาทิ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี และบรรดาผู้ที่คุ้มกันพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาพยายามโจมตีและตัดผู้คนเหล่านี้ออกไปตลอดเวลา  หากพวกเขาค้นพบว่าผู้คนเหล่านี้มีข้อบกพร่องหรือเผยความเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็ฉวยคว้าเรื่องนี้มาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และดูเบาผู้คนเหล่านี้เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ  นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  เหตุใดพวกเขาจึงเป็นปรปักษ์ต่อผู้คนที่เป็นบวกมากขนาดนั้น?  เหตุใดพวกเขาจึงรักใคร่และโอนอ่อนผ่อนตามพวกคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และพวกศัตรูของพระคริสต์ และเหตุใดพวกเขาจึงล้อเล่นหยอกเย้ากับผู้คนเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง?  ที่ไหนมีสิ่งชั่วและเป็นลบมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและอิ่มเอม แต่พอพูดถึงสิ่งที่เป็นบวก ก็เริ่มปรากฏการขัดขืนขึ้นในท่าทีของพวกเขา โดยเฉพาะยามที่พวกเขาได้ยินผู้คนสามัคคีธรรมความจริงหรือแก้ปัญหาโดยใช้ความจริง พวกเขารู้สึกรังเกียจและไม่พึงพอใจอยู่ในหัวใจ แล้วพวกเขาก็ระบายข้อข้องใจทั้งหลายของตนออกมา นี่ไม่ใช่อุปนิสัยรังเกียจความจริงหรือ?  นี่ไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ?  มีผู้คนมากมายซึ่งเชื่อในพระเจ้าที่ชอบทำงานเพื่อพระองค์และวิ่งวุ่นหัวหมุนอย่างกระตือรือร้นเพื่อพระองค์ และเมื่อเป็นเรื่องของการนำของประทานและจุดแข็งของพวกเขามาใช้ ปรนเปรอความชอบส่วนตนและการอวดตัว พวกเขาก็มีพลังงานอันไร้ขอบเขต  แต่หากเจ้าขอให้พวกเขาปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง นั่นย่อมทำให้ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงและพวกเขาก็สูญเสียความกระตือรือร้น หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อวดตน พวกเขาก็กลายเป็นซังกะตายและหมดกำลังใจ  เหตุใดพวกเขาจึงมีพลังงานสำหรับการอวดตน?  และเหตุใดเล่าพวกเขาถึงไม่มีพลังงานสำหรับการปฏิบัติความจริง?  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ผู้คนล้วนชอบที่จะทำตัวเองให้โดดเด่น พวกเขาล้วนละโมบความรุ่งโรจน์อันว่างเปล่า  ทุกคนมีพลังงานอย่างไม่รู้จักหมดสิ้นเมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพรและบำเหน็จทั้งหลาย แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงกลายเป็นซังกะตาย เหตุใดพวกเขาจึงท้อแท้เมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติความจริงและการต่อต้านเนื้อหนัง?  เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร?  นี่ย่อมพิสูจน์ว่าหัวใจผู้คนนั้นมีสิ่งปลอมปน พวกเขาเชื่อในพระเจ้าโดยบริบูรณ์เพราะเห็นแก่การได้รับพระพร—พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาทำอย่างนั้นก็เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หากปราศจากพระพรหรือประโยชน์ให้ไล่ตามไขว่คว้า ผู้คนก็กลายเป็นซังกะตายและท้อแท้ อีกทั้งไม่มีความกระตือรือร้น ทั้งหมดนี้มีเหตุมาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่รังเกียจความจริง  เมื่อถูกอุปนิสัยนี้ควบคุม ผู้คนก็ไม่เต็มใจที่จะเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไปตามทางของตัวเองและเลือกเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง—พวกเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะนั้นผิด และกระนั้นก็ยังคงไม่สามารถทนทำโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้หรือละวางสิ่งเหล่านี้ได้ และพวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้โดยเดินไปบนเส้นทางของซาตาน ในกรณีนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังติดตามพระเจ้าแต่กำลังติดตามซาตาน  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นการรับใช้ซาตาน และพวกเขาก็กำลังรับใช้ซาตาน

ง่ายหรือไม่ที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของการรังเกียจความจริง?  การรังเกียจความจริงเป็นลักษณะเฉพาะของความเสื่อมทรามอันลึกล้ำของมวลมนุษยชาติ และเปลี่ยนแปลงยากที่สุด  เพราะการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการยอมรับความจริงเท่านั้น  ใครบางคนที่รังเกียจความจริงไม่สามารถยอมรับความจริงได้โดยง่าย ก็เหมือนกับวิธีที่คนป่วยในระยะสุดท้ายปฏิเสธอาหาร  เป็นเรื่องอันตรายมากและบุคคลที่รังเกียจความจริงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างง่ายดาย ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าก็ตาม  หากใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาแล้วสองสามปีแต่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร และอะไรคือสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อสัมฤทธิ์ความรอดด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่คนตาบอดที่หลงทางหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้นการรังเกียจความจริงทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง  ผู้คนซึ่งสามารถเลือกที่จะยอมรับความจริงและเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องก็คือบรรดาผู้ที่รักความจริง และผู้คนประเภทนี้สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองได้โดยง่าย  หากใครบางคนมีอุปนิสัยของการรังเกียจความจริง แต่ในหัวใจพวกเขายังคงหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาควรเริ่มต้นตรงไหน?  จุดเริ่มต้นใดที่จะทำให้การนี้ง่ายขึ้น?  อะไรคือเส้นทางเดินที่เร็วที่สุด?  (หลังจากเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกและสิ่งที่เป็นหลักธรรมแล้ว พวกเขาควรใช้หลักธรรมและมาตรฐานทั้งหลายเป็นการประเมินวัดของพวกเขาในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และหากมีบางสิ่งขัดกับหลักธรรมและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาก็ควรยึดมั่นอยู่กับหลักธรรมและไม่ทำสิ่งนั้น)  ก่อนอื่นพวกเขาควรจับความเข้าใจหลักธรรมของความจริงแต่ละประการ—นี่สำคัญมาก  แล้วจากนั้นเล่า?  (เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นสภาวะของการรังเกียจความจริง และมีหน้าที่ของพวกเขาและหลักธรรมทั้งหลายมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็ต้องต่อต้านเนื้อหนังและปฏิบัติตามหลักธรรม)  นั่นถูกแล้ว พวกเขาต้องมีเส้นทางหนึ่ง และเป้าหมายกับเส้นทางนั้นควรชัดเจน  ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าแง่มุมใดของอุปนิสัยของตนถูกเผยในบริบทใด ณ เวลาใด และอุปนิสัยนั้นถูกเปิดเผยในหนทางใด  หากพวกเขารู้ทั้งหมดนั้นแล้ว นั่นย่อมจะง่ายที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่หรือ?  เมื่อมองดูในตอนนี้ ความคิดหรือท่าทีสารพัดชนิดของผู้คนนั้น แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของพวกเขา หากปราศจากการครอบงำของอุปนิสัยสารพัด หากปราศจากการถูกอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาท้าทายและทำให้สะดุดติดขัด ก็ง่ายที่ผู้คนจะแก้ไขความคิดที่เข้าใจผิดของตน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าแม่ของเจ้าบอกให้เจ้าเช็ดเหงื่อให้แห้งก่อนออกจากบ้าน  หากเจ้าเป็นลูกที่กตัญญูและเชื่อฟัง เจ้าย่อมสามารถเข้าใจความถูกต้องของคำแนะนำนี้พลางรู้สึกได้ถึงเจตนาที่พากเพียรเอาใจใส่ของแม่เจ้า และรู้ข้อดีของมัน อีกทั้งสามารถรับรู้และยอมรับมันได้อีกด้วย  หากเจ้าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่กำลังแสดงบทบาทและฉุดรั้งเจ้าไว้ นั่นก็จะง่ายสำหรับเจ้าที่จะยอมรับข้อเสนอแนะนี้  แม้คำแนะนำนี้เรียบง่ายธรรมดามากที่จะดำเนินการ และเจ้าก็รู้ว่านั่นถูกต้อง เพราะเจ้าดันทุรังและมีอุปนิสัยที่รังเกียจความจริง นี่จึงสามารถนำทางเจ้าไปสู่การสวนต้านคำแนะนำนั้นโดยตั้งใจ และนี่สามารถทำร้ายความรู้สึกของแม่เจ้าอีกทั้งทำให้แม่เป็นกังวลเกี่ยวกับเจ้าและเป็นทุกข์ นั่นคือผลที่ตามมา  กล่าวสั้นๆ ก็คือ วิธีที่คนเราจัดการกับสิ่งทั้งหลายเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดแก่พวกเขา—วิธีที่คนเราจัดการกับสิ่งที่เป็นบวก รวมถึงวิธีที่คนเราต่อสู้และสู้รบกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างสม่ำเสมอ—นี่เป็นตัวแทนความแน่วแน่ของพวกเขาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  หากเจ้ามีความแน่วแน่นี้และเต็มใจที่จะปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ยอมรับความจริง ทำพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นชีวิตของเจ้า และดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ความแน่วแน่ของเจ้ามากมายเท่าใดในยามที่ไล่ตามเสาะหาความจริง การเปลี่ยนแปลงของเจ้าก็จะมากมายเท่านั้น

โดยหลักแล้วความรอดอ้างอิงถึงอะไร?  ความรอดอ้างอิงถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัยเป็นหลัก  เมื่ออุปนิสัยของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถปลดเปลื้องอิทธิพลของซาตานและได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยเป็นประเด็นปัญหาใหญ่  เมื่ออุปนิสัยของบุคคลเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาก็จะดำเนินชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์ และบรรลุความรอดได้อย่างครบบริบูรณ์  นั่นเป็นไปได้ว่าใครบางคนอาจไม่ได้ดูดีมากนัก ไม่มีของประทาน หรือไม่มีความสามารถพิเศษ พวกเขาอาจพูดจาเงอะงะและไม่ฉะฉานมากนัก หรือไม่ได้แต่งตัวดี และภายนอกนั้น พวกเขาอาจจะดูธรรมดามาก แต่พวกเขาก็สามารถที่จะแสวงหาความจริงเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับตน แทนที่จะกระทำไปตามเจตจำนงของตัวเองหรือวางอุบายเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง และเมื่อพระเจ้าทรงบัญชาพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์และสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขา  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับบุคคลประเภทนี้?  แม้โดยภายนอกแล้ว พวกเขาไม่ดึงดูดความสนใจหรือมีรูปลักษณ์ที่ตรึงใจ แต่พวกเขาก็มีหัวใจที่ยำเกรงและนบนอบต่อพระเจ้า และจุดแข็งของพวกเขาก็ถูกเผยออกมาในการนี้  เมื่อผู้คนเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะพูดว่า “บุคคลผู้นี้มีอุปนิสัยที่มั่นคง และเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาอย่างเงียบๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยไม่มีการสะเพร่าหรือทำบางสิ่งที่โง่เขลาหรือเบาปัญญา  พวกเขามีท่าทีที่จริงจังและรับผิดชอบ พวกเขาใส่ใจในหน้าที่และสามารถอุทิศตนอย่างเต็มที่ให้กับการลุล่วงหน้าที่โดยสัตย์ซื่อ”  บุคคลผู้นี้มีความยับยั้งชั่งใจในวิธีที่พวกเขาพูดและกระทำ พวกเขามีการใช้เหตุผลที่ปกติ และโดยพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาดำเนินชีวิตตามกับอุปนิสัยที่พวกเขาแสดงให้เห็นนั้น พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  หากพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า การกระทำทั้งหลายของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมแสวงหาหลักธรรมและไม่บุ่มบ่ามทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  นี่คือผลลัพธ์ในท้ายที่สุดซึ่งสัมฤทธิ์ได้โดยการปฏิบัติความจริงและการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย  วาทะของพวกเขาผ่านการประเมินและถูกต้องแม่นยำ พวกเขาไม่พูดพล่อย พวกเขาปฏิบัติตนในหนทางที่ให้ความมั่นใจและเชื่อใจได้ และพวกเขาก็มีความเป็นจริงทั้งหลายของการนบนอบพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  การสำแดงทั้งหมดนี้สามารถมองเห็นได้ในตัวบุคคลผู้นี้  นี่คือบุคคลที่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว และมีอุปนิสัยซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  สิ่งเหล่านี้ปลอมแปลงไม่ได้  อุปนิสัยของบุคคลหนึ่งก็คือชีวิตของพวกเขา อุปนิสัยใดก็ตามที่บุคคลหนึ่งมี นั่นจะเป็นพฤติกรรมของพวกเขา  พฤติกรรมและการสำแดงของผู้คนถูกควบคุมโดยอุปนิสัยของพวกเขา และสิ่งที่ผู้คนแสดงออกอย่างสม่ำเสมอคือการเผยอุปนิสัยของตนออกมา ไม่ใช่บุคลิกภาพของพวกเขา  การสามารถตระหนักถึงปัญหาทางอุปนิสัยและการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสารพัดออกมา แล้วจากนั้นก็แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นโดยการแสวงหาความจริง คือสิ่งที่เป็นรากฐานที่สุดที่คนเราต้องสัมฤทธิ์ในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย

บทตัดตอน 54

ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่หรือศึกษาวิชาชีพใด ยิ่งเจ้าศึกษา เจ้าก็ควรที่จะยิ่งเชี่ยวชาญและเพียรพยายามทำให้สมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ  บางคนไม่มีมโนธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญ  พวกเขาต้องการให้ผู้อื่นชี้นำและช่วยเหลือพวกเขาเสมอ  ถึงขนาดขอร้องผู้อื่นให้สอนตนอย่างใกล้ชิดและทำสิ่งทั้งหลายให้ตนโดยไม่ใช้ความพยายามของตนเองเลย  พวกเขาพึ่งพาผู้อื่นอยู่เป็นนิจและไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากผู้อื่น  เมื่อทำเช่นนั้นพวกเขาก็เป็นขยะ ใช่หรือไม่?  ไม่ว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่ เจ้าจำเป็นต้องทุ่มเทหัวใจให้กับการศึกษาสิ่งต่างๆ  หากเจ้าไม่มีความรู้ทางวิชาชีพ เช่นนั้นแล้วก็จงศึกษาหาความรู้ทางวิชาชีพ  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วก็จงแสวงหาความจริง  หากเจ้าเข้าใจความจริงและมีความรู้ทางวิชาชีพ เจ้าก็จะสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นในขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนและได้ผลลัพธ์  นี่คือคนที่มีพรสวรรค์อันแท้จริงและมีความรู้จริง  หากขณะปฏิบัติหน้าที่ เจ้าไม่ศึกษาความรู้ทางวิชาชีพเลย ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วการลงแรงของเจ้าก็จะไม่ได้มาตรฐาน แบบนั้นเจ้าจะพูดถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไร?  การที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีนั้น เจ้าต้องศึกษาหาความรู้มากมายอันเป็นประโยชน์ และเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริงทั้งหลาย  เจ้าต้องไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หยุดแสวงหา และไม่หยุดพัฒนาจุดอ่อนของตนเองด้วยการเรียนรู้จากผู้อื่นเป็นอันขาด  ไม่ว่าจุดแข็งของผู้อื่นคืออะไร หรือพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าในทางใด เจ้าก็ต้องเรียนรู้จากพวกเขา  และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าควรเรียนรู้จากผู้ที่เข้าใจความจริงดีกว่าเจ้า  เมื่อปฏิบัติหน้าที่ในหนทางนี้เป็นเวลาหลายปี เจ้าก็จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะได้มาตรฐานเช่นกัน  เจ้าจะกลายเป็นผู้ที่มีความจริงและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ครองความเป็นจริงความจริง  การนี้สัมฤทธิ์ได้ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะบรรลุผลดังกล่าวโดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร?  นี่คือการยกชูของพระเจ้า  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและพอใจที่จะลงแรงเท่านั้น ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด?  ในทางหนึ่ง เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ  ในอีกทางหนึ่ง เจ้าจะไม่มีคำพยานจากประสบการณ์และจะไม่ได้รับความจริง  เมื่อไร้ผลตามที่กล่าวมานี้ เจ้าจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้อย่างไร?  นี่ย่อมจะเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นคนเราจึงไม่อาจได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าด้วยการพอใจกับการลงแรงอย่างแน่นอน  การคิดว่าเจ้าจะสามารถได้รับรางวัลและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เพียงเพราะการลงแรงย่อมเป็นความคิดฝันเฟื่อง!  นั่นเป็นท่าทีแบบใด?  การอยากได้พรโดยการลงแรงเท่านั้นคือการต่อรองกับพระเจ้าอย่างชัดเจน เป็นการพยายามหลอกลวงพระเจ้า  พระเจ้าย่อมไม่เห็นชอบกับคนลงแรงที่เป็นเช่นนี้  อุปนิสัยอะไรที่ครอบงำคนเราเวลาที่พวกเขาสุกเอาเผากินหรือเมื่อพวกเขาหลอกลวงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน?  ความโอหัง ความดื้อแพ่ง และการไม่รักความจริง—พวกเขาย่อมถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้ามีลักษณะดังกล่าวหรือไม่?  (มี)  บ่อยครั้ง เป็นบางโอกาส หรือเฉพาะในบางเรื่อง?  (บ่อยครั้ง)  ท่าทีของพวกเจ้าที่ยอมรับรู้สภาวะดังกล่าวนั้นจริงใจทีเดียว และพวกเจ้าก็มีหัวใจที่ซื่อสัตย์ แต่การยอมรับรู้สภาวะเหล่านั้นอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะดังกล่าว  ดังนั้นต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะเหล่านั้น?  เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความสุกเอาเผากิน เผยให้เห็นอุปนิสัยที่โอหัง หรือมีท่าทีที่ปราศจากความเคารพ เจ้าต้องรีบมาอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้า ทบทวนตนเอง และตระหนักรู้ว่าเจ้าเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาในลักษณะใด  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าต้องเข้าใจว่าอุปนิสัยเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร  จุดประสงค์ของการทำความเข้าใจเรื่องนี้ก็เพื่อที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง  ดังนั้น คนเราควรทำเช่นไรเพื่อให้สัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลง?  คนเราต้องรู้จักแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนผ่านทางการเปิดโปงและการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า—ว่าอุปนิสัยนั้นอัปลักษณ์และร้ายกาจไม่แตกต่างจากอุปนิสัยของซาตานหรือพวกมาร  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถเกลียดชังตนเองและเกลียดชังซาตานได้ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะขัดขืนตนเองและต่อต้านซาตานได้  นี่เป็นหนทางที่คนเราจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  เมื่อคนเราตั้งใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการบ่มวินัยจากพระเจ้าด้วย  จากนั้นพวกเขาก็ต้องมีองค์ประกอบที่เป็นการให้ความร่วมมือในส่วนของตนอย่างแข็งขัน  พวกเขาควรให้ความร่วมมืออย่างไร?  ในยามปฏิบัติหน้าที่ ทันทีที่คนเราคิดว่า “นั่นดีพอแล้ว”  พวกเขาจะต้องแก้ไขความคิดนั้นให้ถูกต้อง  คนเราต้องไม่คิดเช่นนั้น  เมื่อเกิดอุปนิสัยอันโอหัง คนเราต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน รีบพิจารณาตนเอง แสวงหาพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับการพิพากษาและการสั่งสอนของพระองค์  เมื่อทำเช่นนี้คนเราก็จะสามารถกลับใจได้ แล้วสภาวะภายในของพวกเขาก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้คืออะไร?  จุดประสงค์ก็เพื่อให้เจ้ากลับตัวอย่างแท้จริง สามารถปฏิบัติด้วยความจงรักภักดี  นบนอบและยอมรับการตำหนิติเตียนและการบ่มวินัยจากพระเจ้าได้โดยไม่มีเงื่อนไข การทำเช่นนี้ย่อมจะพลิกสภาวะของเจ้ากลับมา เมื่อเจ้าคิดจะสุกเอาเผากินอีก กำลังจะปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของเจ้าด้วยท่าทีที่ปราศจากความเคารพอีกครั้ง  หากเจ้าสามารถกลับตัวได้ในทันใดเพราะการบ่มวินัยและการตำหนิติเตียนของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนแล้วมิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับการเจริญเติบโตในชีวิตของเจ้า?  นี่เป็นเรื่องดี  เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย หัวใจของเจ้าย่อมผ่อนคลาย เปี่ยมไปด้วยความชื่นบาน และไร้ซึ่งความเสียใจ  นั่นคือสันติสุขและความชื่นบานที่แท้จริง

เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ก็เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะขัดขืนและต้านทานพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด  พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจของการช่วยผู้คนให้รอดและทรงแสดงความจริงไว้มากมาย สิ่งสำคัญที่สุดจึงเป็นว่าผู้คนสามารถยอมรับความจริงเหล่านี้หรือไม่  หากคนเรายอมรับความจริงได้ พวกเขาย่อมสามารถได้รับความรอด  หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริง สามารถปฏิเสธและทรยศพระเจ้า พวกเขาก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง—พวกเขาทำได้เพียงรอคอยที่จะถูกทำลายล้างท่ามกลางความวิบัติ  ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีชะตากรรมนี้ได้  ผู้คนต้องเผชิญหน้าข้อเท็จจริงนี้  บางคนกล่าวว่า “ฉันเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาอย่างต่อเนื่อง  และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้  ฉันควรทำอย่างไร?  แท้จริงแล้วฉันเป็นเช่นนี้ใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ชอบฉันหรือ?  พระองค์ทรงรังเกียจฉันหรือ?”  นี่เป็นท่าทีที่เหมาะสมหรือไม่?  เป็นวิธีคิดที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อคนคนหนึ่งมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาจะเผยมันออกมาตามธรรมชาติ  พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมอุปนิสัยเหล่านั้นได้แม้อยากจะทำเช่นนั้นก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่มีหวัง  อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น  ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ พวกเขาสามารถพึ่งพาพระเจ้าและยอมรับนับถือพระองค์ได้หรือไม่ การที่ผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นนิจพิสูจน์ให้เห็นว่า ชีวิตของพวกเขาถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน และว่าแก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้ของซาตาน  ผู้คนควรตระหนักรู้และยอมรับข้อเท็จจริงนี้  มีความแตกต่างระหว่างแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์กับแก่นแท้ของพระเจ้า  พวกเขาควรทำสิ่งใดหลังจากรับรู้ข้อเท็จจริงนี้?  เมื่อผู้คนเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา เมื่อพวกเขาปล่อยใจไปกับความยินดีของเนื้อหนังและอยู่ห่างพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ หรือเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางที่ไม่ลงรอยกับแนวคิดของพวกเขาเอง และคำร้องทุกข์เกิดขึ้นภายในตัวพวกเขา พวกเขาควรทำให้ตัวพวกเขาเองตระหนักรู้ทันทีที่การนี้เป็นปัญหา และเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม นี่คือการกบฏต่อพระเจ้า เป็นการต่อต้านพระเจ้า นี่ไม่สอดคล้องกับความจริง และเป็นที่ชิงชังของพระเจ้า  เมื่อผู้คนตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่ควรพร่ำบ่น หรือคิดลบและเกียจคร้าน และพวกเขายิ่งไม่ควรขัดเคือง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาควรรู้จักตนเองให้ลึกซึ้งขึ้นให้ได้  นอกจากนี้ พวกเขาควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแข็งขันได้ และสามารถยอมรับการตำหนิติเตียนและการบ่มวินัยจากพระเจ้า พวกเขาควรพลิกสภาวะของพวกเขาให้กลับมาดีขึ้นทันที จนกระทั่งพวกเขามีความสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงและพระวจนะของพระเจ้า และสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรม  ในหนทางนี้ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะเป็นปกติยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สภาวะภายในตัวเจ้าก็จะเป็นเช่นกัน  เจ้าจะมีความสามารถที่จะระบุแยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แก่นแท้ของความเสื่อมทราม และสภาวะอันน่าเกลียดต่างๆ ของซาตานโดยมีความชัดเจนที่เพิ่มขึ้น  เจ้าจะไม่เปล่งคำพูดโง่เขลาและไม่ประสาอย่างเช่น “เป็นซาตานนั่นเองที่แทรกแซงฉัน” หรือ “นั่นเป็นแนวคิดที่ซาตานได้ให้ฉัน” อีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าจะมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เกี่ยวกับแก่นแท้ที่ต้านทานพระเจ้าของมนุษย์ รวมทั้งแก่นแท้ของซาตาน  เจ้าจะมีหนทางที่ถูกต้องมากขึ้นในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้จะไม่จำกัดควบคุมเจ้า  เจ้าจะไม่อ่อนแอหรือสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้าและในความรอดของพระองค์เนื่องจากเจ้าได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมาเล็กน้อย หรือได้ฝ่าฝืน หรือได้ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างสุกเอาเผากิน หรือเพราะเจ้ามักจะอยู่ในสภาวะที่คิดลบและนิ่งเฉย  เจ้าจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาวะเช่นนั้น แต่จะเผชิญหน้าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองอย่างถูกต้อง และสามารถมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นปกติ เมื่อคนเราเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หากพวกเขาสามารถทบทวนตนเอง มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แสวงหาความจริง แยกแยะและชำแหละแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน จนถึงจุดที่พวกเขาไม่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนควบคุมและบีบคั้นอีกต่อไป แต่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางสู่ความรอดแล้ว  จากนั้นด้วยการปฏิบัติและประสบการณ์เช่นนี้ คนเราย่อมจะสามารถสลัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งและหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมมาดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยแล้วมิใช่หรือ?  นี่คือเส้นทางของการปฏิบัติและการได้รับความจริง รวมทั้งเส้นทางสู่ความรอด  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามหยั่งรากลึกอยู่ในตัวมนุษย์ แก่นแท้และธรรมชาติของซาตานจึงควบคุมความคิด พฤติกรรม และจิตใจของผู้คน  อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไร้ความหมายต่อหน้าความจริง ต่อหน้าพระราชกิจของพระเจ้า และต่อหน้าความรอดของพระเจ้า ทั้งหมดนี้จึงไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคอันใด  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไร หรือเผชิญความยากลำบากอันใด หรือไม่ว่าข้อจำกัดของพวกเขาจะเป็นอะไร ก็มีเส้นทางให้เลือกเดิน มีวิธีการให้ใช้แก้ไขสิ่งเหล่านั้น และมีความจริงที่สัมพันธ์กันไว้แก้ไขเรื่องเหล่านั้น  ในหนทางนี้ย่อมมีความหวังในความรอดของผู้คนมิใช่หรือ?  ใช่แล้ว ย่อมมีความหวังในความรอดของผู้คน

บทตัดตอน 55

ไม่ว่าคนเรากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือกำลังเรียนรู้ความรู้ทางวิชาชีพ เขาต้องขยันและมารับมือกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม  อย่าเข้าหาสิ่งเหล่านี้อย่างขอไปทีหรือเพียงแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี  จุดประสงค์ของการศึกษาความรู้ทางวิชาชีพคือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี และคนเราต้องทุ่มความพยายามให้กับการนี้—นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนควรให้ความร่วมมือ  หากบุคคลหนึ่งไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี อีกทั้งหาเหตุผลและข้อแก้ตัวอยู่เสมอเพื่อที่จะไม่ศึกษาความรู้ทางวิชาชีพ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้กำลังสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ และพวกเขาไม่ต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีเพื่อตอบแทนความรักของพระองค์  นี่ไม่ใช่บุคคลที่ขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลหรอกหรือ?  บุคคลที่มีบุคลิกลักษณะดังกล่าวไม่สร้างความเดือดร้อนหรอกหรือ?  การบริหารจัดการพวกเขาไม่ลำบากยากเย็นสุดขั้วหรอกหรือ?  ถึงแม้คนเรากำลังศึกษาวิชาชีพ พวกเขาต้องแสวงหาความจริงและทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงด้วย  คนเราต้องไม่อยู่เลยพ้นขอบเขตนี้และต้องไม่เลอะเลือนเฉกเช่นผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกผู้ไม่มีความเชื่อมีท่าทีต่อการงานเช่นไรหรือ?  พวกเขามากมายแค่ลอยชายผ่านวัน และสิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาไปเปล่าๆ จับแพะชนแกะให้รอดไปในแต่ละวันเพียงเพื่อค่าจ้างรายวันของพวกเขา และทำสิ่งทั้งหลายด้วยหนทางขอไปทีเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้  พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพหรือการกระทำที่มีพื้นฐานอยู่บนมโนธรรม และพวกเขาขาดพร่องท่าทีจริงจังและรับผิดชอบ  พวกเขาไม่พูดว่า “การนี้ถูกไว้วางใจมอบหมายให้กับฉัน  ดังนั้นฉันต้องรับผิดชอบจนกว่าจะทำเสร็จ  ฉันต้องรับมือเรื่องนี้ให้ดี และแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้”  พวกเขาขาดพร่องมโนธรรมนี้  ยิ่งไปกว่านั้น พวกผู้ไม่มีความเชื่อมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่าง  เมื่อพวกเขาสอนความรู้ทางวิชาชีพหรือทักษะสักชิ้นหนึ่งให้กับผู้คนอื่น พวกเขาคิดว่า “เมื่อนักเรียนรู้ทุกสิ่งที่ครูรู้ ครูจะสูญเสียหนทางดำรงชีพของตน หากฉันสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันรู้ให้กับผู้อื่น เมื่อนั้นจะไม่มีใครเทิดทูนฉันหรือเลื่อมใสฉันอีกต่อไป และฉันจะสูญเสียสถานะความเป็นครูทั้งหมดของฉันไป  จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้  ฉันไม่สามารถสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเขา  ฉันรู้ว่า ฉันต้องเก็บงำบางสิ่งไว้  ฉันจะสอนพวกเขาเพียงแปดสิบเปอร์เซนต์ของสิ่งที่ฉันรู้และเก็บที่เหลือไว้กับตัวเอง นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่แสดงว่าทักษะของฉันเหนือกว่าทักษะของผู้อื่น”  นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกไหนหรือ?  มันคือการหลอกลวง  เมื่อสอนผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น หรือแบ่งปันบางสิ่งที่เจ้าศึกษามาให้กับผู้อื่น พวกเจ้าควรมีท่าทีอย่างไร?  (ฉันควรใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีและไม่เก็บงำสิ่งใดไว้)  คนเราไม่เก็บงำสิ่งใดไว้ได้อย่างไร?  หากพวกเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่เก็บงำอะไรไว้ตราบที่เป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มา และฉันไม่มีปัญหาที่จะบอกเล่าสิ่งเหล่านั้นให้กับพวกคุณทุกคน  ถึงอย่างไร ฉันก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกคุณ และฉันสามารถจับใจความสิ่งที่ยกระดับกว่านี้ได้อีก”—นั่นยังคงเป็นการเก็บงำและค่อนข้างเป็นการคิดคำนวณ  หรือหากเจ้าพูดว่า “ฉันจะสอนเรื่องพื้นฐานทั้งหมดที่ฉันได้เรียนรู้มาให้กับพวกคุณ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่  ฉันยังคงมีความรู้ที่สูงกว่า และต่อให้พวกคุณเรียนรู้ทั้งหมดนี้แล้ว พวกคุณก็ยังคงไม่ก้าวหน้าเท่าฉัน”—นั่นยังเป็นการเก็บงำบางสิ่งบางอย่างเอาไว้  หากบุคคลหนึ่งเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป พวกเขาจะปราศจากพระพรจากพระเจ้า  ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าต้องช่วยสนับสนุนสิ่งที่สำคัญและเป็นแก่นสารมากที่สุดที่เจ้าจับความเข้าใจได้ให้กับพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นและแตกฉานในสิ่งเหล่านั้น—นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุพระพรของพระเจ้าและพระองค์จะประทานสิ่งทั้งหลายให้พวกเจ้ามากขึ้นเสียด้วยซ้ำ  ดังคำกล่าวที่ว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”  จงอุทิศความสามารถพิเศษและของประทานทั้งหมดของเจ้าให้กับพระเจ้า แสดงความสามารถพิเศษและพรสวรรค์ทั้งหมดให้เห็นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในหน้าที่ของตน  หากเจ้าช่วยสนับสนุนด้วยของประทานและความสามารถพิเศษทั้งหมดของเจ้า สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่ทำหน้าที่นั้น และเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร  จงอย่าเพียงเล่าบางสิ่งที่ง่ายให้ทุกคนฟังแล้วก็คิดว่าเจ้าทำได้ดีพอควรแล้ว หรือคิดว่าเจ้าไม่ได้เก็บงำบางสิ่งไว้—จะเป็นเช่นนี้ไม่ได้  เจ้าเพียงสอนทฤษฏีเล็กน้อยหรือสอนสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจตามตัวอักษรได้ แต่แก่นสารหลักและประเด็นสำคัญทั้งหลายนั้นอยู่เลยพ้นการจับความเข้าใจของผู้เริ่มต้น เจ้าให้แต่เพียงภาพรวมเท่านั้น โดยไม่มีการแจกแจงหรือการลงรายละเอียด พลางยังคงคิดกับตัวเจ้าเองว่า “เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันได้บอกคุณแล้ว และฉันไม่ได้ตั้งใจหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดไว้เลย  หากคุณไม่เข้าใจ นั่นก็เป็นเพราะขีดความสามารถของคุณนั้นต่ำเกินไป ดังนั้นอย่ามาโทษฉัน  พวกเราก็แค่จะต้องเห็นวิธีที่พระเจ้าทรงนำทางคุณในตอนนี้”  ความสุขุมรอบคอบเช่นนั้นบรรจุไปด้วยเล่ห์ลวงใช่หรือไม่?  มันไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและต่ำช้าหรอกหรือ?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถสอนทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจของเจ้าและทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจให้แก่ผู้คน?  เหตุใดเจ้ากลับเก็บกักความรู้เอาไว้?  นี่คือปัญหาหนึ่งตรงความตั้งใจของเจ้าและอุปนิสัยของเจ้า  ในตอนแรกเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับแง่มุมเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความรู้เชิงวิชาชีพ พวกเขาสามารถเพียงจับใจความความหมายตามตัวอักษรของแง่มุมนั้น โดยต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการปฏิบัติก่อนที่จะจับความเข้าใจในประเด็นและแก่นสารหลักได้  หากเจ้าแตกฉานในประเด็นที่ละเอียดอ่อนกว่าเหล่านี้แล้ว เจ้าควรบอกผู้อื่นโดยตรง จงอย่าให้พวกเขาใช้เส้นทางอ้อมและใช้เวลามากเหลือเกินในการคลำทางสะเปะสะปะ  นี่เป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าจะไม่เก็บกักสิ่งใดและไม่เห็นแก่ตัวต่อเมื่อเจ้าบอกเล่าสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็นประเด็นและแก่นสารหลักให้กับพวกเขา  เมื่อพวกเจ้าสอนทักษะทั้งหลายให้กับผู้อื่น สัมพันธ์สนิทกับพวกเขาเกี่ยวกับอาชีพของเจ้า หรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขแง่มุมที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดี ซึ่งในกรณีเช่นนี้ พวกเจ้าไม่ใช่ใครบางคนครองสภาวะความเป็นมนุษย์ หรือมโนธรรมและเหตุผล หรือผู้ปฏิบัติความจริง  เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายของเจ้า และไปถึงจุดที่เจ้าปลอดจากสิ่งจูงใจที่เห็นแก่ตัว และพิจารณาเพียงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ในหนทางนี้ เจ้าจะได้พบความเป็นจริงความจริง  มันน่าเหน็ดเหนื่อยเกินไปหากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและดำรงชีวิตตามอุปนิสัยของซาตานเฉกเช่นพวกผู้ไม่มีความเชื่อ  ในกลุ่มผู้ไม่มีความเชื่อมีการแข่งขันกันดาษดื่น  การแตกฉานแก่นแท้ของทักษะหรือวิชาชีพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และทันทีที่ใครอื่นบางคนค้นพบเรื่องนี้และแตกฉานด้วยตัวเอง ความเป็นอยู่ของเจ้าจะตกอยู่ในความเสี่ยง  เพื่อคุ้มครองความเป็นอยู่ ผู้คนถูกขับเคลื่อนให้ปฏิบัติตนในหนทางนี้—พวกเขาต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา  สิ่งที่พวกเขาแตกฉานคือสกุลเงินที่มีค่าที่สุดสำหรับพวกเขา คือความเป็นอยู่ของพวกเขา เป็นต้นทุนของพวกเขา เป็นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขา และพวกเขาต้องไม่ให้คนอื่นเข้ามาครอบครอง  แต่เจ้าเชื่อในพระเจ้า—หากเจ้าคิดในหนทางนี้และกระทำในหนทางนี้ในพระนิเวศของพระเจ้า ก็ไม่มีอะไรจำแนกเจ้าจากผู้ไม่มีความเชื่อได้  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง และยังคงดำรงชีวิตตามปรัชญาทั้งหลายของซาตาน เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่ใช่ใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้ามีสิ่งจูงใจที่เห็นแก่ตัวและหากเจ้าใจแคบในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เสมอ เจ้าก็จะไม่ได้รับพระพรของพระเจ้า

หลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า แล้วเจ้าได้คิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นหรือไม่?  หลักธรรมที่เจ้าพูดและกระทำ ทัศนะของเจ้าต่อสิ่งทั้งหลาย หลักธรรมและเป้าหมายการประพฤติปฏิบัติของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  หากเจ้ายังคงไม่แตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่ง เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงระลึกถึงความเชื่อของเจ้าที่มีต่อพระองค์  พระองค์จะตรัสว่าเจ้ายังคงเป็นผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งและเจ้ายังคงเดินอยู่บนเส้นทางของผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่ง  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติปฏิบัติของเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง ใช้ความจริงแก้ไขปัญหาทั้งหลาย แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเปิดเผยออกมา และแก้ไขความคิด ทัศนะและการปฏิบัติที่ผิดพลาดทั้งหลายของเจ้า  ในแง่หนึ่ง เจ้าต้องค้นพบปัญหาทั้งหลายผ่านการคิดทบทวนตนเองและการตรวจสอบตนเอง  ในอีกแง่หนึ่ง เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาด้วย และเมื่อเจ้าค้นพบอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้าต้องรีบแก้ไขโดยทันที ขัดขืนเนื้อหนังและละทิ้งเจตจำนงของตัวเจ้าเอง  ทันทีที่เจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าได้ เจ้าก็จะไม่ปฏิบัติตนโดยมีพื้นฐานจากอุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้นอีก และเจ้าจะสามารถปล่อยมือจากความตั้งใจกับผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง และปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้  นี่คือความเป็นจริงความจริงที่ผู้ติดตามพระเจ้าโดยแท้ต้องมี  หากเจ้าสามารถทบทวนตนเอง รู้จักตัวเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายในหนทางนี้ เมื่อนั้นเจ้าก็คือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การเชื่อในพระเจ้าพึงต้องใช้การให้ความร่วมมือเช่นนี้ และการที่สามารถปฏิบัติในหนทางนี้ได้ย่อมได้รับการทรงอวยพรจากพระเจ้ามากที่สุด  ทำไมเราถึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะเจ้ากำลังกระทำเพื่องานของคริสตจักร เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  และเพื่อประโยชน์ของพี่น้องชายหญิง และในเวลาเดียวกัน เจ้าก็กำลังปฏิบัติความจริง  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นความประพฤติที่ดีงาม และเจ้ากำลังเป็นพยานให้พระเจ้าด้วยการปฏิบัติความจริงในหนทางนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ หากเจ้าไม่แตกต่างจากผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่ง หากเจ้ากระทำไปตามหลักธรรมของพวกผู้ไม่มีความเชื่อในการรับมือกับสิ่งทั้งหลาย และตามวิธีการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา นี่คือการเป็นพยานหรือไม่?  (ไม่)  การกระทำนี้นำผลสืบเนื่องอันใดมาให้?  (นี่หลู่เกียรติพระเจ้า)  นี่เป็นการหลู่เกียรติพระเจ้า!  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่านี่หลู่เกียรติพระเจ้า  (เพราะพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเรา ทรงแสดงความจริงไว้ตั้งมากมาย ทรงนำพวกเราเป็นการส่วนพระองค์ ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเรา ทรงให้น้ำพวกเรา แต่พวกเราก็ยังไม่ยอมรับหรือปฏิบัติความจริง และพวกเรายังคงดำรงชีวิตบนพื้นฐานของสิ่งเยี่ยงซาตาน และไม่เป็นพยานต่อหน้าซาตาน  นี่ย่อมหลู่เกียรติพระเจ้า)  (หากผู้เชื่อในพระเจ้าได้ยินพระองค์สามัคคีธรรมความจริงและเส้นทางของการปฏิบัติมาตั้งมากมาย กระนั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติตน พวกเขายังคงดำรงชีวิตไปตามปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขายังคงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและการเห็นแก่ตัว พวกเขายิ่งเลวร้ายและชั่วกว่าพวกผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก)  พวกเจ้าทุกคนคงเข้าใจเรื่องนี้มาบ้างแล้ว  ผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ชื่นชมทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ แต่พวกเขายังคงติดตามซาตาน  ไม่ว่าสิ่งใดหรือสภาพแวดล้อมที่ลำบากยากเย็นใดตกมาถึงพวกเขา พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถรับฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือนบนอบต่อพระเจ้าได้ พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และพวกเขาไม่ตั้งมั่นในคำพยานของตน  นี่ไม่เป็นการทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่เป็นการทรยศพระเจ้าโดยแท้จริง  เมื่อพระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีเจ้า เจ้าไม่รับฟังพระสุรเสียงเรียกหรือพระวจนะของพระองค์  แต่กลับติดตามกระแสนิยมของผู้ไม่มีความเชื่อ ใส่ใจกับซาตาน ติดตามซาตาน และปฏิบัติไปตามตรรกะ หลักการและวิธีการของซาตานในการดำเนินชีวิต  นี่คือการทรยศพระเจ้า การทรยศพระเจ้าก็คือการหมิ่นประมาทและหลู่เกียรติ้พระเจ้ามิใช่หรือ?  ลองพิจารณาอาดัมกับเอวาในสวนเอเดน—พระเจ้าตรัสว่า “ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” (ปฐมกาล 2:17)  พระวจนะเหล่านี้เป็นของผู้ใด?  (พระวจนะของพระเจ้า)  พระวจนะเหล่านี้ใช่พระวจนะธรรมดาหรือ?  (ไม่ใช่)  พระวจนะเหล่านี้คืออะไร?  พระวจนะเหล่านี้คือความจริง เป็นสิ่งที่ผู้คนควรยึดปฏิบัติตาม และเป็นหนทางที่ผู้คนควรปฏิบัติ  พระเจ้าตรัสบอกพวกมนุษย์ว่าจะปฏิบัติต่อผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วอย่างไร  หลักธรรมของการปฏิบัติก็คือห้ามกินและพระองค์ตรัสบอกผลสืบเนื่องต่อพวกมนุษย์—พวกเขาจะตายแน่ในวันที่พวกเขากินมันเข้าไป  มนุษย์ได้รับการบอกเล่าถึงหลักธรรมของการปฏิบัติและสิ่งที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้ว พวกเขาได้เข้าใจหรือไม่?  (พวกเขาเข้าใจ)  ในข้อเท็จจริง พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่ต่อมาพวกเขาได้ยินงูพูดว่า “พระเจ้าตรัสว่าในวันที่พวกเจ้ากินผลของต้นไม้นั่นเข้าไป พวกเจ้าจะตายแน่ แต่เจ้าจะไม่ตายแน่  เจ้าสามารถลองดูได้”  และหลังจากซาตานพูดจบ พวกเขาใส่ใจคำพูดของมันแล้วพวกเขาก็กินผลไม้จากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว  นี่เป็นการทรยศพระเจ้า  พวกเขาไม่เลือกที่จะใส่ใจพระวจนะและการปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์  พวกเขาไม่ทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ แต่กลับเชื่อและยอมรับคำพูดของซาตาน ทั้งยังกระทำตามคำพูดเหล่านั้นด้วย  อะไรคือผลลัพธ์ของการนี้?  ธรรมชาติของพฤติกรรมและแนวทางของพวกเขาคือการทรยศและหลู่เกียรติพระเจ้าและผลลัพธ์ก็คือการที่พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและเสื่อมลง  ผู้คนในเวลานี้ก็เหมือนกับอาดัมและเอวา  พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติตาม แม้จะเข้าใจความจริงแต่ก็ไม่ปฏิบัติ  ธรรมชาติเช่นนี้ก็เหมือนอาดัมกับเอวาที่ไม่ใส่ใจพระวจนะหรือพระบัญญัติของพระเจ้า—นี่คือการทรยศและหลู่เกียรติพระเจ้า  เมื่อผู้คนทรยศและหลู่เกียรติพระเจ้า ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนี้คือพวกเขายังคงถูกทำให้เสื่อมทราม ถูกควบคุมโดยซาตานและถูกควบคุมโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานต่อไป  เพราะฉะนั้น พวกเขาจะไม่มีทางหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน หรือหลบหนีจากการล่อลวง การทดลอง การโจมตี การบงการและการกลืนกินของซาตานได้  หากเจ้าไม่สามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ชีวิตของเจ้าจะเจ็บปวดและเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง จะไม่มีสันติสุขหรือความชื่นบานในชีวิต  เจ้าจะรู้สึกว่าทุกสิ่งนั้นกลวงเปล่าและเจ้าอาจถึงขั้นต้องการแสวงหาความตายเพื่อยุติทั้งหมดนั้นเสีย  นี่เป็นภาวะอันน่าสมเพชของพวกที่ดำเนินชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน

บทตัดตอน 56

เมื่อคนบางคนทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเกรงกลัวเสมอกับการทำบางสิ่งผิดไปกับการถูกเผย และกลัวถูกกำจัดออกไป ดังนั้นบ่อยครั้งที่พวกเขาพูดกับผู้อื่นว่า “คุณไม่ควรมาเป็นผู้นำ  ทันทีที่มีบางสิ่งผิดพลาด คุณจะถูกกำจัดออกไป และจะไม่มีการหันหลังกลับ!”  ถ้อยแถลงนี้ไม่ใช่เหตุผลวิบัติหรอกหรือ?  “ไม่มีการหันหลังกลับ” หมายความว่าอะไร?  ผู้นำและคนทำงานประเภทใดที่ถูกกำจัดออกไป?  พวกเขาล้วนเป็นปัจเจกบุคคลที่ชั่วร้ายซึ่งเกะกะระรานก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรทั้งที่มีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หากใครบางคนเพียงแต่ทำความผิดเพราะวุฒิภาวะของพวกเขาน้อย หรือเพราะพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ หรือเพราะพวกเขาขาดประสบการณ์ ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริงและกลับใจอย่างถ่องแท้ พระนิเวศของพระเจ้าจะกำจัดพวกเขาออกไปหรือไม่?  ต่อให้บุคคลนั้นไม่สามารถทำงานจริงใดได้ พวกเขาก็เพียงแค่จะถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่เท่านั้นเอง  ดังนั้นผู้คนที่พูดสิ่งเหล่านั้นไม่ได้กำลังบิดเบือนข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดหรอกหรือ?  เหล่าผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าได้รับการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็ตามที่ต้องการบทบาทเหล่านี้ก็สามารถมีได้  พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อเหล่าผู้นำและคนทำงานบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง มีเพียงพวกผู้นำเทียมเท็จเท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริงเอาเสียเลย และพวกศัตรูของพระคริสต์ซึ่งไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ อีกทั้งผู้ที่ดึงดันไม่ยอมกลับใจ ก็จะถูกกำจัดออกไป  บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริง ผู้ซึ่งยอมรับการถูกตัดแต่ง และผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริง จะไม่ถูกกำจัดออกไป  พวกที่แพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดว่า “การเป็นผู้นำนั้นเสี่ยงเกินไป” นั้นมีเจตนาและเป้าหมาย  พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะชักพาผู้คนให้หลงผิด หยุดยั้งไม่ให้ผู้อื่นกลายเป็นผู้นำ และแสวงประโยชน์จากโอกาสที่ได้จากการนี้  นี่ไม่ใช่การมีสิ่งจูงใจแอบแฝงหรอกหรือ?  หากเจ้าวิตกกังวลเรื่องการถูกกำจัดออกไป เจ้าก็ควรระมัดระวัง อธิษฐานถึงพระเจ้าและกลับใจต่อพระองค์ รวมทั้งยอมรับความจริงเพื่อให้เจ้าสามารถแก้ไขความผิดพลาดของเจ้าให้ถูกต้อง  แล้วการนี้จะไม่แก้ไขปัญหาหรอกหรือ?  หากใครบางคนทำความผิดพลาด และเมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง พวกเขาไม่ยอมรับความจริง และไม่มีความตั้งใจในการกลับใจอย่างถ่องแท้ และพวกเขายังคงสุกเอาเผากินต่อไป รวมทั้งเกะกะระราน พวกเขาก็ควรถูกกำจัดออกไป  เมื่อคนบางคนทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็กลายเป็นก๋ากั่นและฮึกเหิม พวกเขาพูดและปฏิบัติตนโดยไม่มีความตะขิดตะขวงใจใดๆ เลย และต้องการที่จะหลอกลวงทุกคน  พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวในการใช้ความจริงแก้ไขปัญหา แต่พวกเขายังตามล่าและโดดเดี่ยวบรรดาผู้ที่รายงานปัญหาให้กับเบื้องบน  เมื่อเบื้องบนพบประเด็นปัญหานี้และให้พวกเขารับผิดชอบ พวกเขาก็กลายเป็นขลาดกลัวมาก โดยดื้อดึงไม่ยอมรับรู้สิ่งที่พวกเขาทำลงไป  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาไม่ยอมรับรู้สิ่งนั้น พวกเขาก็สามารถรอดพ้นจากเรื่องนี้ได้ และพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ติดตามเรื่องนี้  การนี้เรียบง่ายขนาดนั้นจริงหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะพิสูจน์ยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน และจากนั้นก็รับมือกับเรื่องนี้บนพื้นฐานของหลักธรรมทั้งหลาย ผู้ใดก็ตามที่รับผิดชอบจะไม่สามารถหลบหนีไปได้  เมื่อผู้คนไม่แสวงหาความจริงในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ และกระทำไปอย่างวู่วามตามอำเภอใจ และเป็นไปตามความอยากชั่ววูบของตนเองโดยอาศัยการอ้างเหตุผลลวงและการเสแสร้ง และยืนกรานไม่ยอมรับรู้ความผิดพลาดของตนเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดผิดพลาดขึ้นมา นี่เป็นปัญหาประเภทใด?  นี่เป็นท่าทีที่ถูกต้องหรือไม่?  การรับเอาการอ้างเหตุผลลวงและการเสแสร้ง รวมทั้งการดื้อดึงไม่ยอมรับรู้การกระทำของตัวเองมาใช้นั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่?  ท่าทีนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  มีการนบนอบที่จริงแท้อยู่ในการนี้หรือไม่?  พวกเขาเกรงกลัวการทำความผิดพลาด รวมทั้งการถูกเปิดโปงและถูกรายงาน พวกเขาว่ากลัวพระนิเวศของพระเจ้าจะถือเป็นความผิดของพวกเขา และพวกเขาก็เกรงกลัวการถูกพิพากษา การกล่าวโทษและการกำจัดออกไป  ความเกรงกลัวนี้มีปัญหาหรือไม่?  ความเกรงกลัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก ความเกรงกลัวนี้มาจากที่ไหนหรือ?  (อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขา)  นั่นถูกต้อง  ดังนั้นอะไรกันแน่ที่อยู่ภายในความเกรงกลัวนี้?  พวกเรามาชำแหละกันเถิด  เหตุใดพวกเขาจึงกลัวเล่า?  ความเกรงกลัวของพวกเขามาจากความห่วงกังวลว่า ทันทีที่สิ่งต่างๆ ถูกเปิดโปง พวกเขาจะถูกปลดออกและถูกแทนที่ สูญเสียสถานะและการทำมาหากินของพวกเขา  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงอาศัยการโกหกและการอ้างเหตุผลลวง รวมทั้งการดื้อดึงไม่ยอมรับรู้การกระทำของตน  บนพื้นฐานของท่าทีนี้ ไม่ว่าพวกเขาเป็นคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาเป็นคนโอหังและคิดว่าตนเองถูกหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาเป็นคนหลอกลวงหรือไม่ ย่อมถูกเผยออกมาตรงนี้  พวกเขาไม่ใช่มารร้ายหรอกหรือ?  สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้แสดงธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขาออกมาให้เห็น  เวลาใดที่ผู้คนถูกเผยออกมามากที่สุด?  เมื่อสิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้นกับพวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความประพฤติผิดทั้งหลายของพวกเขาถูกเผยออกมา จงดูว่าอะไรคือท่าทีของพวกเขา—ชั่วขณะเหล่านี้เผยพวกเขาได้มากที่สุด  ความใจแคบ ความหลอกลวง เล่ห์เหลี่ยม และการดื้อดึงไม่ยอมรับรู้ความผิดพลาดของพวกเขา และอื่นๆ—อุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านี้ทั้งหมดระเบิดออกมาในคราวเดียว  นี่ไม่ใช่เวลาที่ง่ายที่สุดที่จะหยั่งรู้ผู้คนหรอกหรือ?  คนบางคนไม่เชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงครองพระนิเวศของพระองค์ และว่าความจริงครองความเป็นใหญ่ที่นั่น  พวกเขาเชื่อว่าไม่สำคัญว่าบุคคลผู้หนึ่งปฏิบัติหน้าที่ใด หากมีปัญหาเกิดขึ้นในหน้าที่นั้น พระนิเวศของพระเจ้าจะรับมือกับบุคคลผู้นั้นทันที โดยปลดพวกเขาออกจากสิทธิที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้น โยกย้ายพวกเขาออกไป หรือแม้กระทั่งให้พวกเขาออกจากคริสตจักร  นั่นใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปจริงๆ หรือ?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อทุกคนตามหลักธรรมความจริง  พระเจ้าทรงชอบธรรมในการปฏิบัติต่อทุกคน  พระองค์ไม่ทรงมองเพียงว่าบุคคลผู้หนึ่งประพฤติตัวอย่างไรในครั้งเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงดูที่แก่นแท้ธรรมชาติของบุคคล ความตั้งใจของพวกเขา ท่าทีของพวกเขา และพระองค์ทรงพิจารณาเป็นพิเศษว่าบุคคลผู้หนึ่งสามารถทบทวนตนเองได้หรือไม่เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด ว่าพวกเขาสำนึกผิดหรือไม่ และพวกเขาสามารถเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาบนพื้นฐานของพระวจนะของพระองค์จนถึงขั้นที่พวกเขาเข้าใจความจริง เกลียดตนเอง และกลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่  หากใครบางคนขาดท่าทีที่ถูกต้องนี้และพวกเขาถูกปลอมปนด้วยเจตนารมณ์ส่วนตนโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาเต็มไปด้วยกลอุบายฉลาดแกมโกงและการเปิดเผยของอุปนิสัยเสื่อมทราม และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็อาศัยการเสแสร้ง การอ้างเหตุผลลวง และการให้เหตุผลเข้าข้างตนเอง กับการดื้อดึงไม่ยอมรับรู้การกระทำของตนเอง เช่นนั้นแล้วบุคคลดังกล่าวก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลยและได้ถูกเผยโดยสมบูรณ์  ผู้คนที่ไม่ถูกต้อง และผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยแม้แต่น้อยเป็นพวกผู้ไม่เชื่อในแก่นแท้ และสามารถถูกกำจัดออกไปได้เท่านั้น  พวกผู้ไม่เชื่อซึ่งทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานจะไม่ถูกเปิดเผยและกำจัดออกไปได้อย่างไร?  ผู้ไม่เชื่อถูกเปิดเผยเร็วที่สุดในบรรดาทั้งหมดไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ใด เพราะอุปนิสัยเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมานั้นมากเกินคณนาและเห็นได้ชัดเจนเหลือเกิน  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริงเอาเสียเลย และกระทำการอย่างวู่วามและตามอำเภอใจ  สุดท้ายแล้วเมื่อพวกเขาถูกกำจัดออกไปและสูญเสียโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาไป พวกเขาก็เริ่มวิตกกังวลคิดไปว่า “ฉันจบเห่แล้ว  หากฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน ฉันก็ไม่สามารถถูกช่วยให้รอด  ฉันควรทำอย่างไรดี?”  ในความเป็นจริงนั้น ฟ้าจะเหลือทางออกไว้ให้มนุษย์เสมอ  มีเส้นทางสุดท้ายอยู่หนึ่งเส้นทางซึ่งก็คือการกลับใจอย่างถ่องแท้ รวมทั้งการรีบเผยแผ่ข่าวประเสริฐและได้รับผู้คน ชดเชยให้กับความผิดของพวกเขาด้วยการทำความดี  หากพวกเขาไม่ใช้เส้นทางนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็จบเห่อย่างแท้จริง  หากพวกเขามีเหตุผลอยู่บ้างและรู้ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถพิเศษอันใด พวกเขาควรเตรียมตนเองให้พร้อมสรรพไปด้วยความจริงและฝึกฝนที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างถูกต้องเหมาะสม—นี่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน  นี่สามารถทำได้ทั้งหมดทั้งสิ้น  หากใครบางคนยอมรับรู้ว่าพวกเขาถูกกำจัดออกไปเพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับความจริงและไม่มีหัวใจแห่งการสำนึกผิดแม้แต่น้อย และกลับทิ้งตัวเองให้ท้อแท้สิ้นหวังแทน นั่นไม่ใช่โง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรอกหรือ?  จงบอกเราที หากบุคคลหนึ่งทำผิดพลาดไป แต่พวกเขาสามารถมีความเข้าใจแท้จริงและเต็มใจที่จะกลับใจ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะให้โอกาสพวกเขาไม่ใช่หรือ?  ขณะที่แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดลง มีหน้าที่ที่จำเป็นต้องปฏิบัติมากมายเหลือเกิน  แต่หากเจ้าไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล และไม่ใส่ใจในงานที่ถูกควรของเจ้า หากเจ้าได้รับโอกาสให้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่รู้จักถนอมความล้ำค่าของโอกาสนั้น ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย ปล่อยให้เวลาที่ดีที่สุดผ่านเจ้าไป เช่นนั้นแล้วเจ้าจะถูกเปิดเผย  หากเจ้าสุกเอาเผากินตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าไม่นบนอบเลยเมื่อเผชิญหน้าการถูกตัดแต่ง พระนิเวศของพระเจ้าจะยังคงใช้เจ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือ?  ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงเป็นใหญ่ หาใช่ซาตานไม่  พระเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ขาดในทุกสิ่ง  พระองค์คือผู้ที่กำลังทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์คือผู้ครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  เจ้าไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ว่าสิ่งใดถูกและผิด เจ้าแค่จำเป็นต้องรับฟังและนบนอบเท่านั้น  เมื่อเผชิญหน้าการถูกตัดแต่ง เจ้าต้องยอมรับความจริงและสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของเจ้า  หากเจ้าทำเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ปลดเจ้าจากสิทธิของเจ้าในการที่จะปฏิบัติหน้าที่  หากเจ้ากลัวอยู่เสมอว่าจะถูกกำจัดออกไป มีข้ออ้างอยู่เสมอ สร้างความชอบธรรมให้ตนเองอยู่เสมอ นั่นคือปัญหา  หากเจ้าปล่อยให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้าไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ว่าเจ้าไม่สนใจเหตุผล เจ้าก็ย่อมเดือดร้อน  คริสตจักรมีภาระผูกพันที่จะต้องรับมือกับเจ้า  หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและกลัวการถูกเปิดเผยและกำจัดออกไปอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วความกลัวของเจ้านี้ก็ปนเปื้อนไปด้วยเจตนาของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ปนเปื้อนไปด้วยความระแวง ความระแวดระวัง และความเข้าใจผิด  ไม่มีสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ที่เป็นท่าทีที่บุคคลหนึ่งควรมี  เจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการแก้ไขความกลัวของตน รวมทั้งความเข้าใจผิดที่เจ้ามีในพระเจ้า  ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของบุคคลหนึ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เมื่อสิ่งทั้งหลายกำลังไปได้ดีสำหรับบุคคลหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่เข้าใจพระองค์ผิดอย่างแน่นอน  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าดี ว่าพระเจ้าทรงมีเกียรติ ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก ว่าพระเจ้าทรงถูกต้องในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาก็คิดว่า “ดูเหมือนพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมมากสักเท่าไร อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเรื่องนี้”  นี่ไม่ใช่ความเข้าใจผิดหรอกหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างไรเล่า?  อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดนี้?  อะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าเกิดมีความคิดเห็นและความเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมขึ้นมา?  เจ้าสามารถพูดให้แน่ใจทีได้ไหมว่านั่นคืออะไร?  ประโยคไหน?  เรื่องใด?  สถานการณ์ใด?  จงพูดออกมาเพื่อให้ทุกคนสามารถช่วยกันหาคำตอบและดูว่าเจ้ามีอะไรเป็นข้อสนับสนุนหรือไม่  และเมื่อบุคคลหนึ่งเข้าใจพระเจ้าผิดหรือเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติอันหลงผิดของตน ท่าทีใดที่พวกเขาควรมี?  (ท่าทีของการแสวงหาความจริงและการนบนอบ)  พวกเขาจำเป็นต้องนบนอบก่อนเป็นอันดับแรกและพิจารณาว่า “ฉันไม่เข้าใจ แต่ฉันจะนบนอบเพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำ และไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์ควรวิเคราะห์  ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่สามารถกังขาในพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ เพราะพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง”  นี่ไม่ใช่ท่าทีที่บุคคลหนึ่งควรมีหรอกหรือ?  ด้วยท่าทีนี้ ความเข้าใจผิดของเจ้ายังคงจะเป็นปัญหาหรือไม่?  (ย่อมจะไม่)  นั่นย่อมจะไม่ส่งผลหรือรบกวนการปฏิบัติงานในหน้าที่ของเจ้า  พวกเจ้าคิดว่าใครที่สามารถมีความจงรักภักดี—บุคคลที่เก็บงำหรือคนที่ไม่เก็บงำความเข้าใจผิดเอาไว้ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตน?  (บุคคลที่ไม่เก็บงำความเข้าใจผิดเอาไว้ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมสามารถมีความจงรักภักดี)  ดังนั้นก่อนอื่นเลยก็คือ เจ้าต้องมีท่าทีที่นบนอบ  ที่มากกว่านั้นก็คือ อย่างน้อยเจ้าต้องเชื่อว่าพระเจ้าคือความจริง ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  เหล่านี้คือภาวะเบื้องต้นที่กำหนดว่าเจ้าสามารถจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่  หากเจ้าผ่านเงื่อนไขเบื้องต้นทั้งสองนี้ ความเข้าใจผิดทั้งหลายในหัวใจของเจ้าจะสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ของเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  ความเข้าใจผิดเหล่านั้นไม่สามารถส่งผล  นี่หมายความว่าเจ้าจะไม่นำพาความเข้าใจผิดเหล่านี้เข้าสู่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ก่อนอื่นเจ้าควรแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้นจากจุดเริ่มต้น ต้องมั่นใจให้ได้ว่าความเข้าใจผิดเหล่านั้นคงอยู่ในสภาวะตัวอ่อนของพวกมันเท่านั้น  สิ่งใดที่เจ้าควรทำเป็นอันดับต่อไป?  จงแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้นที่รากเหง้า  เจ้าควรแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้นอย่างไร?  จงอ่านบทตัดตอนต่างๆ ของพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กับทุกคน  จากนั้นจงสามัคคีธรรมว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกระทำการในหนทางนี้ สิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และผลที่สามารถสัมฤทธิ์ได้จากพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้คืออะไร  จงสามัคคีธรรมเรื่องราวเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน จากนั้นเจ้าก็จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าและสามารถที่จะนบนอบได้  หากเจ้าไม่แก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและนำพามโนคติอันหลงผิดสู่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าโดยพูดว่า “ในเรื่องนี้ พระเจ้าทำไม่ถูกต้อง และฉันจะไม่นบนอบ  ฉันจะโต้แย้งเรื่องนี้ ฉันจะถกหาข้อสรุปสิ่งต่างๆ กับพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันไม่เชื่อว่านี่เป็นการกระทำของพระเจ้า”—นี่เป็นอุปนิสัยเช่นไร?  นี่คือแบบฉบับอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  คำพูดดังกล่าวไม่ควรถูกเปล่งออกมาโดยเหล่ามนุษย์ นี่ไม่ใช่ท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  หากเจ้าสามารถต่อต้านพระเจ้าในหนทางนี้ได้ เจ้ามีค่าคู่ควรแก่การปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่?  เจ้าไม่มี  เพราะเจ้าเป็นมารร้าย และเจ้าขาดพร่องความเป็นมนุษย์ เจ้าไม่มีค่าคู่ควรแก่การปฏิบัติหน้าที่  หากบุคคลหนึ่งมีเหตุผลอยู่บ้างและเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นในตัวพวกเขา พวกเขาจะอธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาก็จะแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าด้วย และไม่ช้าไม่นาน พวกเขาก็จะมองเห็นเรื่องนั้นอย่างชัดเจน  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรทำ

ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจหรือเรียนรู้ที่จะยอมรับ  ตราบใดที่พวกเขามีหัวใจที่นบนอบ ประเด็นปัญหาเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไข และพวกเขาจะพบคำตอบต่อประเด็นปัญหาเหล่านี้อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  ต่อให้ ณ ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่สามารถได้มาซึ่งผลลัพธ์ แต่พวกเขาก็จะมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ไปเองหลังผ่านประสบการณ์มาหลายปี  หากยามที่เผชิญหน้ากับปัญหาทั้งหลาย คนเราไม่เคยสามารถคิดหาทางแก้ได้เลย และตั้งตนคัดค้านเหล่าผู้นำและคนทำงาน หรือโต้แย้งกับพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นคนคนหนึ่งที่มีเหตุผลเช่นนั้นหรือ?  เพื่อที่จะติดตามพระเจ้า อย่างน้อยคนเราก็ควรมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติและความเชื่อพื้นฐาน ถึงตอนนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนบนอบต่อพระเจ้า  หากเจ้าต่อต้านพระเจ้าและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์เสมอ และหลังจากนั้นเจ้าก็ไม่แสวงหาความจริงหรือมีหัวใจที่กลับใจ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะปฏิบัติหน้าที่หรือติดตามพระเจ้า และเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะยอมรับพระบัญชาของพระองค์  หากเจ้าไม่มีความเชื่อที่ถ่องแท้ แต่เจ้ายังคงปฏิบัติหน้าที่และติดตามพระเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับที่ยืนอันมั่นคง และแน่นอนว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป  นี่ไม่ใช่การก่อความเดือดร้อนให้ตัวเองเท่านั้นหรอกหรือ?  นี่เรียกว่าการทำให้ตัวเองอับอาย  เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ท่าทีที่ผู้คนควรมีก็คือนบนอบเป็นอันดับแรก และเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  จงอย่าวางใจในสายตาและการตัดสินของตนเอง—หากเจ้าวางใจในการตัดสินและสายตาของตนเองเสมอ นั่นส่อเค้าความเดือดร้อน  เจ้าไม่ใช่พระเจ้า เจ้าไม่มีความจริง  เจ้าเป็นบุคคลที่มีอุปนิสัยเสื่อมทราม เจ้าสามารถทำความผิดพลาด และเจ้ายังคงไม่เข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง พระเจ้าทรงกล่าวโทษเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า แต่เจ้าต้องแสวงหาความจริง  พระเจ้าประทานโอกาสและเวลาให้เจ้าแสวงหา และพระองค์กำลังทรงรอคอย  กำลังทรงรอคอยอะไรหรือ?  กำลังทรงรอคอยให้เจ้าแสวงหาความจริงในช่วงระหว่างเวลานี้  ทันทีที่เจ้าเข้าใจและนบนอบ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดี และพระเจ้าจะไม่ทรงจดจำการนี้และไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า  อย่างไรก็ตามที หากเจ้ายังคงกระทำความผิดพลาดเดิมๆ ต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นอย่างแท้จริง และอยู่นอกเหนือการไถ่

บทตัดตอน 57

บัดนี้พวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเปิดเผยออกมาได้บ้างแล้ว  เมื่อพวกเจ้าสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าตนเองยังคงหมิ่นเหม่ที่จะเปิดเผยสิ่งเสื่อมทรามอันใดออกมาเป็นประจำ และยังคงมีแนวโน้มจะทำสิ่งที่ขัดแย้งกับความจริง การชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ก็จะง่ายดาย  เหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ในหลายๆ เรื่อง?  เพราะพวกเขาถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนซึ่งตีกรอบและก่อกวนพวกเขาในทุกเรื่อง ควบคุมตลอดเวลาและในทุกด้าน  เวลาที่ทุกสิ่งดำเนินไปได้ด้วยดี และพวกเขาไม่ได้สะดุดหรือกลายเป็นคนคิดลบ ผู้คนบางคนจะรู้สึกเสมอว่าตนเองมีวุฒิภาวะ และไม่คิดอะไรเมื่อพวกเขาเห็นคนชั่ว เห็นผู้นำเทียมเท็จ หรือเห็นศัตรูของพระคริสต์ถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป  พวกเขาจะพูดโอ้อวดต่อหน้าทุกคนด้วยซ้ำไปว่า “คนอื่นไม่ว่าใครก็สามารถสะดุดล้มได้ แต่ไม่ใช่ฉัน  คนอื่นไม่ว่าใครอาจไม่รักพระเจ้า แต่ฉันรัก”  พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนในทุกสถานการณ์หรือทุกรูปการณ์แวดล้อม  แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไร?  ถึงวันหนึ่งที่พวกเขาถูกทดสอบและพวกเขาจะพร่ำบ่นพึมพำเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การล้มเหลว ไม่ใช่การสะดุดหรอกหรือ?  ไม่มีสิ่งใดเปิดเผยผู้คนได้มากกว่าเวลาที่พวกเขาถูกทดสอบ  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจมนุษย์ และผู้คนต้องไม่คุยโวไม่ว่าในเวลาใด  ไม่ว่าพวกเขาจะคุยโวเรื่องใด นั่นคือจุดที่พวกเขาจะสะดุดเข้าสักวันในไม่ช้าก็เร็ว  เมื่อพวกเขาเห็นผู้อื่นสะดุดและล้มเหลวในรูปการณ์แวดล้อมใดรูปการณ์แวดล้อมหนึ่ง พวกเขาไม่คิดอะไร และอาจถึงขนาดคิดว่าตนเองทำผิดไม่เป็น คิดว่าพวกเขาสามารถตั้งมั่น—แต่พวกเขากลับลงเอยด้วยการสะดุดและล้มเหลวในรูปการณ์แวดล้อมเดียวกันนั้นเช่นกัน  เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?  เป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจแก่นแท้ธรรมชาติของตนได้อย่างถี่ถ้วน ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับปัญหาของแก่นแท้ธรรมชาติของตนนั้นยังไม่ลึกซึ้งพอ ดังนั้นการนำความจริงไปสู่การปฏิบัติจึงเหนื่อยยากยิ่งสำหรับพวกเขา  ตัวอย่างเช่น คนบางคนหลอกลวงมาก และไม่ซื่อสัตย์ในคำพูดและความประพฤติของตน แต่หากเจ้าถามพวกเขาว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาร้ายแรงที่สุดในด้านใด พวกเขาย่อมจะบอกว่า “ฉันหลอกลวงบ้างเล็กน้อย”  พวกเขาย่อมจะพูดเพียงว่าพวกเขาหลอกลวงบ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาจะไม่พูดว่าธรรมชาติของตนเองนั้นหลอกลวง และพวกเขาจะไม่พูดว่าตนเป็นคนหลอกลวง  ความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น และพวกเขาไม่ได้มองสภาวะอันเสื่อมทรามนั้นอย่างจริงจังและอย่างถี่ถ้วนอย่างที่ผู้อื่นมอง  จากมุมมองของผู้อื่น บุคคลผู้นี้หลอกลวงและคดโกงยิ่งนัก และมีเล่ห์เพทุบายในทุกสิ่งที่พวกเขาพูด และคำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่เคยซื่อสัตย์—แต่คนคนนั้นก็ไม่สามารถรู้จักตัวเองได้อย่างลึกซึ้งขนาดนั้น  ความรู้ที่พวกเขาบังเอิญมีเป็นเพียงความรู้แค่ผิวเผิน  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดและกระทำการ พวกเขาจะเปิดเผยธรรมชาติบางส่วนของพวกเขาออกมา แต่ทว่าพวกเขาไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้  พวกเขาเชื่อว่าการที่พวกเขากระทำการเช่นนั้นไม่ใช่การเปิดเผยความเสื่อมทราม พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้นำความจริงไปปฏิบัติแล้ว—แต่สำหรับผู้สังเกตการณ์ทั้งหลาย บุคคลผู้นี้คดโกงและหลอกลวงมากทีเดียว คำพูดกับการกระทำของพวกเขาไม่ซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก  นั่นกล่าวได้ว่า ผู้คนมีความเข้าใจธรรมชาติของตัวเองอย่างตื้นเขินมาก และมีความคลาดเคลื่อนอันใหญ่หลวงระหว่างการนี้กับพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดโปงผู้คน  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปง แต่เป็นเพราะมนุษย์ขาดพร่องความเข้าใจที่ลุ่มลึกเพียงพอเกี่ยวกับธรรมชาติของตนเอง  ผู้คนไม่มีความเข้าใจพื้นฐานหรือความเข้าใจที่เป็นแก่นแท้เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมุ่งสนใจและอุทิศเรี่ยวแรงของพวกเขาให้กับการทำความรู้จักการกระทำและการเผยทางภายนอกของตน  ต่อให้ใครบางคนสามารถพูดเกี่ยวกับการรู้จักตัวเองได้บ้างเป็นครั้งคราว นั่นก็จะไม่ลึกซึ้งมากนัก  ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่าตนคือบุคคลบางจำพวกหรือมีธรรมชาติบางอย่างเพราะตนได้ทำบางสิ่งหรือเปิดเผยบางอย่างออกมา  พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษย์ แต่สิ่งที่ผู้คนเข้าใจก็คือวิธีทำสิ่งทั้งหลายและวิธีการพูดของตนมีข้อตำหนิและมีข้อบกพร่อง ด้วยเหตุนี้ การนำความจริงไปปฏิบัติจึงเป็นกิจที่ค่อนข้างเหนื่อยยากสำหรับพวกเขา  ผู้คนคิดว่าความผิดพลาดของพวกเขาเป็นเพียงการสำแดงชั่วขณะที่เปิดเผยออกมาโดยไม่ทันระวังแทนที่จะเป็นการเปิดเผยธรรมชาติของตนออกมา  เมื่อผู้คนคิดในหนทางนี้ก็ยากมากที่พวกเขาจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และยากมากที่พวกเขาจะเข้าใจและนำความจริงไปปฏิบัติ  เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักความจริงและไม่กระหายความจริง เมื่อนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขาจึงเพียงปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างสุกเอาเผากินเท่านั้น  ผู้คนไม่ได้มองว่าธรรมชาติของตนนั้นแย่มาก และเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้แย่ถึงขนาดที่พวกเขาควรถูกทำลายหรือถูกลงโทษ  กระนั้น ตามมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ผู้คนถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเกินไป พวกเขายังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความรอด เพราะพวกเขามีเพียงวิธีการบางอย่างที่ภายนอกดูเหมือนไม่ได้ละเมิดความจริง และที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงและไม่นบนอบต่อพระเจ้า

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการประพฤติปฏิบัติของผู้คนไม่ได้แสดงนัยถึงความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติของพวกเขา  เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็คือ โดยพื้นฐานแล้วความเปลี่ยนแปลงในการประพฤติปฏิบัติของผู้คนไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขาได้ และยิ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนธรรมชาติของพวกเขา  มีเพียงเมื่อผู้คนเข้าใจความจริง รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตนเอง และสามารถนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้น การปฏิบัติของพวกเขาจึงจะลุ่มลึกเพียงพอ และจะเป็นบางสิ่งนอกเหนือจากการยึดติดกับข้อบังคับต่างๆ ชุดหนึ่ง  วิธีปฏิบัติความจริงของผู้คนในวันนี้ยังคงไม่ได้มาตรฐาน และไม่สามารถสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ความจริงกำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วน  ผู้คนปฏิบัติตามความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และเพียงเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะและรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะบางอย่างเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้บ้าง ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ในทุกรูปการณ์แวดล้อมและทุกสถานการณ์  ในบางโอกาส เมื่อบุคคลหนึ่งมีความสุขและสภาวะของพวกเขาดี หรือเมื่อพวกเขากำลังสามัคคีธรรมกับผู้อื่นและมีเส้นทางปฏิบัติอยู่ในหัวใจของตน พวกเขาก็สามารถทำบางสิ่งที่สอดคล้องกับความจริงได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว  แต่เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนที่คิดลบและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาได้รับอิทธิพลจากผู้คนเหล่านี้ ภายในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมสูญเสียเส้นทางของตนเองและไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้  นี่แสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของพวกเขาน้อยเกินไป และพวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  มีปัจเจกบุคคลบางคนที่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ หากพวกเขาได้รับการชี้แนะและนำทางโดยผู้คนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาถูกผู้นำเทียมเท็จหรือศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและก่อกวน ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถปฏิบัติความจริงเท่านั้น พวกเขายังหมิ่นเหม่ที่จะถูกชักพาให้หลงผิดในการทำตามผู้คนเหล่านั้นอีกด้วย  ผู้คนเช่นนี้ยังคงมีความเสี่ยงมิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นนี้ ด้วยวุฒิภาวะประเภทนี้ย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริงในทุกเรื่องและทุกสถานการณ์ได้  ต่อให้พวกเขาปฏิบัติความจริง นั่นก็จะเป็นเฉพาะเวลาที่พวกเขาอารมณ์ดีหรือถูกผู้อื่นชี้แนะเท่านั้น เมื่อไม่มีคนที่ดีคอยนำทางพวกเขา ก็ย่อมจะมีบางเวลาที่พวกเขาสามารถทำสิ่งที่ละเมิดความจริง และเบี่ยงเบนไปจากพระวจนะของพระเจ้าได้  แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  เป็นเพราะเจ้าเพิ่งรู้จักสภาวะของเจ้าเพียงไม่กี่สภาวะ และเจ้าไม่รู้จักแก่นแท้ธรรมชาติของตัวเอง และเจ้ายังไม่มีวุฒิภาวะที่จะขัดขืนเนื้อหนังและหันมาปฏิบัติความจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจึงไม่มีอำนาจควบคุมสิ่งที่เจ้าจะทำในอนาคต และไม่สามารถรับประกันว่าเจ้าจะสามารถตั้งมั่นในรูปการณ์แวดล้อมหรือบททดสอบใดๆ  มีหลายครั้งที่เจ้าอยู่ในสภาวะหนึ่งและเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และดูเหมือนว่าเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ทว่าในรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างออกไป เจ้ากลับไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ  บางครั้งเจ้าสามารถปฏิบัติความจริง และบางครั้งเจ้ากลับไม่สามารถ  ชั่วขณะหนึ่งเจ้าเข้าใจ และชั่วขณะถัดไปเจ้างุนงงสับสน  ตอนนี้เจ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งใดที่ไม่ดี แต่บางทีในอีกสักครู่เจ้าอาจจะทำ  การนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งเสื่อมทรามยังคงดำรงอยู่ในตัวเจ้า และหากเจ้าไม่สามารถรู้จักตนเองได้อย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ย่อมจะแก้ไขไม่ได้โดยง่าย  หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเองได้อย่างถ้วนทั่ว และในท้ายที่สุด เจ้าก็สามารถทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการต้านทานพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อยู่ในอันตราย  หากเจ้าสามารถเข้าใจธรรมชาติของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งและเกลียดชังมัน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถควบคุมตัวเอง ขัดขืนตัวเอง และนำความจริงไปปฏิบัติได้

ผู้คนทุกวันนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ความจริงเป็นอันดับแรก พวกเขามุ่งเน้นแต่การทำความเข้าใจ การกล่าววาจาและคำสอนเท่านั้น พวกเขาคิดว่านั่นเพียงพอแล้วที่จะสนองความต้องการทางจิตใจของตนและทำให้ไม่รู้สึกไม่สบายใจหรือเกิดความคิดลบ  ไม่ว่าการสามัคคีธรรมถึงความจริงจะช่วยเจ้าในเวลานั้นมากเพียงใดก็ตาม เจ้ากลับไม่นำความจริงไปปฏิบัติในภายหลัง—ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ปัญหาคือเจ้าให้ความสนใจแต่กับการทำความเข้าใจหรือการฟังความจริงเท่านั้น แต่เจ้าไม่มุ่งเน้นการนำความจริงไปปฏิบัติ  พวกเจ้าคนใดเคยสรุปหรือไม่ว่าควรนำองค์ประกอบของความจริงไปปฏิบัติอย่างไร หรือองค์ประกอบของความจริงนั้นเชื่อมโยงกับสภาวะต่างๆ กี่สภาวะ?  ไม่มี!  เจ้าจะสามารถสรุปเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?  เจ้าต้องมีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองเพื่อที่จะสรุปสิ่งเหล่านี้ การสามัคคีธรรมถึงคำพูดและคำสอนเพียงเล็กน้อยย่อมไม่มีประโยชน์  นี่คือเรื่องที่ยากเย็นที่สุดของมนุษย์—การไม่สนใจในการปฏิบัติความจริง  การที่คนคนหนึ่งจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  บางคนเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ส่วนคนอื่นเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพื่อที่จะเล่าให้คนอื่นฟังและเพื่ออวดตน ไม่ใช่เพื่อปฏิบัติความจริงและเปลี่ยนแปลงตนเอง  ผู้คนที่ให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้ย่อมพบว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยาก  นี่คือความยากลำบากอีกเรื่องหนึ่งของมนุษย์  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันมีความสามารถที่จะนำความจริงบางประการไปปฏิบัติได้แล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่สามารถปฏิบัติความจริงใดได้โดยสิ้นเชิง  ในรูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง ฉันสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับความจริงได้ ซึ่งหมายความว่าฉันนับเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติและครองความจริง”  หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนหรือตอนที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก สภาวะของเจ้าได้เปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย  ในอดีตนั้น เจ้าไม่เข้าใจสิ่งใดเลย อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความจริง หรือสิ่งใดคืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ตอนนี้เจ้าได้รู้สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นบ้างแล้ว และเจ้าพอจะมีหนทางที่ดีอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของเจ้าที่มีการเปลี่ยนแปลง นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่แท้จริงของเจ้า เพราะเจ้าไม่สามารถนำความจริงที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งซึ่งเกี่ยวพันกับธรรมชาติของเจ้ามาปฏิบัติได้  เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตของเจ้า เจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วจริงๆ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความเป็นมนุษย์ของเจ้าเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยแล้ว เจ้ายังห่างไกลมาก  กล่าวคือเจ้ายังไม่ได้ประสบความสำเร็จในการนำความจริงไปปฏิบัติ  บางครั้งผู้คนอยู่ในสภาวะที่พวกเขาไม่ได้คิดลบ และพวกเขามีแรงกำลัง แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีเส้นทางที่จะรู้และปฏิบัติความจริง และพวกเขาไม่สนใจที่จะค้นหาให้พบวิธีปฏิบัติความจริง  เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  บางครั้งเจ้าก็จับทางไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจึงเพียงทำตามข้อบังคับและคิดว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง แล้วผลก็คือเจ้ายังไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากของตน  เจ้ารู้สึกอยู่ในหัวใจของเจ้าว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงและแสดงความจงรักภักดีของเจ้า และเจ้านึกสงสัยว่าเหตุใดปัญหาทั้งหลายยังคงปรากฏอยู่  นี่เป็นเพราะเจ้ากระทำด้วยเจตนาดี และใช้ความพยายามส่วนตัวของเจ้า—เจ้าไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่กระทำการตามข้อกำหนดของความจริง หรือปฏิบัติตามหลักธรรม  ผลก็คือเจ้ามักรู้สึกด้อยกว่ามาตรฐานของพระเจ้าเป็นอย่างมากอยู่ตลอดเวลา หัวใจของเจ้ารู้สึกกระวนกระวาย และเจ้ากลายเป็นคนคิดลบโดยไม่รู้ตัว  ความอยากได้อยากมีและความพยายามส่วนตัวของปัจเจกบุคคลย่อมห่างไกลจากข้อกำหนดของความจริง และมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน  วิธีการภายนอกของผู้คนไม่สามารถแทนที่ความจริงได้ และพวกเขาไม่ได้ดำเนินการตามความปรารถนาของพระเจ้าอย่างเต็มที่ ในขณะที่ความจริงคือการแสดงออกที่แท้จริงซึ่งเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้คนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐบางคนคิดว่า “ฉันต้องทนทุกข์อย่างมากและแลกมาด้วยความยากลำบาก ฉันยุ่งอยู่กับการประกาศข่าวประเสริฐทั้งวัน  พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริง?”  เช่นนั้นเราขอถามเจ้าว่า เจ้ามีความจริงอยู่ในหัวใจของเจ้ามากมายเพียงใด?  เวลาที่เจ้าประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าทำเรื่องที่สอดคล้องกับความจริงมากมายแค่ไหน?  เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าพูดเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเพียงกำลังทำสิ่งต่างๆ หรือกำลังปฏิบัติความจริงกันแน่ เพราะเจ้าเพียงเน้นที่จะใช้การกระทำของเจ้าทำให้พระเจ้าพอพระทัยและได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า และเจ้าไม่ได้ใช้มาตรฐานของ “การทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์เพื่อให้ทุกสิ่งสอดคล้องกับความจริง” มาประเมินวัดตนเอง  หากเจ้าพูดว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง อุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในระหว่างนี้?  ความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้าเติบโตขึ้นมากเพียงใด?  ด้วยการประเมินวัดตนเองเช่นนี้  หัวใจของเจ้าจะกระจ่างชัดว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่

บทตัดตอน 58

พวกเจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย?  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยกับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมนั้นแตกต่างกันในแก่นแท้ และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยกับการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติก็แตกต่างกันเช่นกัน—ทั้งหมดนั้นแตกต่างกันในแก่นแท้  ผู้คนส่วนใหญ่วางการเน้นย้ำพิเศษไปที่พฤติกรรมในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผลลัพธ์ของการนั้นก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา  หลังจากที่พวกเขาได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เลิกสูบ เลิกดื่ม และเลิกขับเคี่ยวกับผู้อื่น เลือกที่จะใช้ความอดทนเมื่อพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสีย  พวกเขาก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมบางอย่าง  บางคนรู้สึกว่าทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เข้าใจความจริงจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และพวกเขามีความชื่นชมอันแท้จริงอยู่ในหัวใจของตน ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกแรงกล้าเป็นพิเศษ และไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่สามารถละทิ้งหรือทนทุกข์ได้  กระนั้นก็ตาม หลังจากที่เชื่อมาแปด สิบ หรือแม้กระทั่งยี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย พวกเขาจึงจบลงตรงการไถลย้อนกลับไปสู่หนทางเก่า ความโอหังและความทะนงตนของพวกเขายิ่งประกาศแจ้งออกมามากขึ้น พวกเขาเริ่มแข่งขันกันเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ พวกเขาละโมบในเงินทองของคริสตจักร พวกเขาอิจฉาผู้ที่ได้ประโยชน์จากพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขากลายเป็นปรสิตและเห็บหมัดในพระนิเวศของพระเจ้า และบางคนก็ถูกเปิดเผยและกำจัดออกไปในฐานะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ด้วยซ้ำ  และข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์อะไรหรือ?  การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในพฤติกรรมนั้นไม่มีความยั่งยืน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในอุปนิสัยชีวิตของผู้คนแล้วไซร้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา  นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมทั้งหลายมีแหล่งที่มาอยู่ในความเร่าร้อน และเมื่อเข้าคู่กับพระราชกิจบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลานั้น จึงกลายเป็นง่ายสุดขั้วที่พวกเขาจะเกิดความรู้สึกอันแรงกล้า หรือไม่ก็มีความตั้งใจที่ดี่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ  ในขณะที่พวกผู้ไม่มีความเชื่อพูดกันว่า “การทำความประพฤติที่ดีงามหนึ่งอย่างนั้นง่าย สิ่งที่ยากก็คือ การทำความประพฤติที่ดีงามไปตลอดชีวิต”  เพราะเหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถทำความดีไปตลอดชีวิตของตนได้?  เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ผู้คนย่อมเลว เห็นแก่ตัว และเสื่อมทราม  พฤติกรรมของคนเราถูกชี้นำโดยธรรมชาติของตน ไม่ว่าธรรมชาติของคนเราเป็นเช่นไร พฤติกรรมที่คนเราเปิดเผยออกมาก็เป็นเช่นนั้น และมีเพียงสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาตามธรรมชาติเท่านั้นที่แสดงถึงธรรมชาติของคนเรา  สิ่งทั้งหลายซึ่งจอมปลอมไม่สามารถอยู่ได้ยืนยาว  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นไม่ใช่การประดับประดามนุษย์ด้วยพฤติกรรมที่ดีงาม—จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อแปลงสภาพอุปนิสัยของผู้คน เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเกิดใหม่ไปเป็นคนใหม่  การพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงมนุษย์ของพระเจ้าล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจสัมฤทธิ์การนบนอบและการจงรักภักดีต่อพระเจ้าโดยบริบูรณ์ และมานมัสการพระองค์อย่างเป็นปกติ  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้า  การมีพฤติกรรมดีมิได้มีความหมายเดียวกับการนบนอบต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะมีความหมายเท่ากับการเข้ากันได้กับพระคริสต์  การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในพฤติกรรมนั้นมีพื้นฐานอยู่บนคำสอน และเกิดมาจากความรู้สึกเร่าร้อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรืออยู่บนความจริง นับประสาอะไรที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้ว่ามีหลายคราที่บางสิ่งที่ผู้คนทำนั้นได้รับความรู้แจ้งหรือการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ก็มิใช่การเปิดเผยชีวิตของพวกเขา  พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลาย และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  ไม่ว่าพฤติกรรมของบุคคลหนึ่งจะดีงามเพียงใด ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขานบนอบพระเจ้า หรือพิสูจน์ว่าพวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ  การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตและไม่สามารถนับได้ว่าเป็นการเปิดเผยของชีวิต  ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าเห็นผู้คนบางคนสามารถทำบางสิ่งเพื่อคริสตจักรระหว่างช่วงเวลาแห่งความร้อนแรงของพวกเขา กระทั่งสามารถละทิ้งบางสิ่งได้ จงอย่าสรรเสริญหรือเยินยอพวกเขา จงอย่ากล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ครองความเป็นจริงความจริงหรือเป็นผู้คนที่รักพระเจ้า  การกล่าวเช่นนั้นผิดอย่างมาก เป็นการชักนำไปในทางที่ผิดและเป็นอันตรายต่อพวกเขา  แต่ก็เช่นกัน จงอย่าทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาอับเฉา จงนำพวกเขาไปสู่ความจริงและสู่เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาชีวิต  บรรดาผู้ที่เร่าร้อนบ่อยครั้งมักมีความอยากที่จะก้าวหน้าและมีความมุ่งมั่น  พวกเขาส่วนมากถวิลหาความจริงและเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรเอาไว้แล้ว  ผู้คนซึ่งมีหัวใจไฟแรงที่เต็มใจสละเพื่อพระเจ้าโดยส่วนใหญ่คือผู้เชื่อที่จริงใจในพระเจ้า  พวกที่ไม่จริงใจในการสละเพื่อพระเจ้าและไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนย่อมไม่ใช่ผู้เชื่อที่จริงใจในพระเจ้า  พวกที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความเชื่อของตนและกลายเป็นคิดลบได้อย่างง่ายดายโดยส่วนใหญ่ไม่สามารถยืนหยัดได้  เมื่อเผชิญหน้ากับความลำบากยากเย็นเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ล่าถอย และเมื่อเผชิญกับการข่มเหงและความทุกข์ลำบาก พวกเขาก็เผ่นหนีและประกาศตัดความเชื่อของตน  มีเพียงบรรดาผู้ที่มีความเชื่อและมีความเร่าร้อนอย่างใหญ่หลวงเท่านั้นที่สามารถพากเพียรเป็นเวลายาวนาน แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาทั้งหลายและเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  แต่พวกที่มีความเชื่อเพียงน้อยนิดและขาดความเร่าร้อนกลับคิดว่าการติดตามพระเจ้าไปจนวาระสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องยาก

หากบุคคลหนึ่งมีพฤติกรรมที่ดีงามมากมาย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครองความเป็นจริงความจริง  มีเพียงปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมเท่านั้น เจ้าจึงสามารถครองความเป็นจริงความจริงได้  มีเพียงการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถครองความเป็นจริงความจริงได้  ผู้คนบางคนมีใจกระตือรือร้น สามารถกล่าวคำสอน ทำตามข้อบังคับ และทำความดีมากมาย แต่สามารถพูดถึงพวกเขาได้เพียงว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่เล็กน้อย  ผู้ที่สามารถกล่าวคำสอนและทำตามข้อบังคับอยู่เสมอไม่จำเป็นต้องสามารถปฏิบัติความจริง  แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะถูกต้องและฟังดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับแก่นแท้ของความจริง  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครบางคนจะสามารถกล่าวคำสอนได้มากเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจคำสอนมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้  นักทฤษฎีทางศาสนาทุกคนสามารถอธิบายพระคัมภีร์ได้ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ล้มเพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงไว้  ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของพวกเขานั้นแตกต่างไป กล่าวคือ พวกเขาได้เข้าใจความจริงแล้ว พวกเขากำลังหยั่งรู้ประเด็นปัญหาทั้งหมด พวกเขารู้วิธีที่จะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า วิธีที่จะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และวิธีที่จะปฏิบัติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขาเข้าใจธรรมชาติของความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา  เมื่อแนวคิดและมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองได้รับการเปิดเผย พวกเขาสามารถหยั่งรู้และขัดขืนเนื้อหนังได้  นี่คือวิธีที่การเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยถูกสำแดงออกมา  การสำแดงหลักของผู้คนที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแล้วก็คือการที่พวกเขาเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนแล้ว และเมื่อดำเนินการสิ่งทั้งหลาย พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติด้วยความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นและพวกเขาไม่เปิดเผยความเสื่อมทรามบ่อยครั้งอย่างที่เป็นมา  โดยทั่วไป บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้แปลงสภาพไปแล้วนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผลและหยั่งรู้เป็นพิเศษ และเนื่องจากการเข้าใจความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่เผยความชอบคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอหรือความโอหังมากอย่างแต่ก่อน  พวกเขาสามารถมองทะลุและหยั่งรู้ความเสื่อมทรามมากมายที่ถูกเปิดเผยไปแล้ว ดังนั้นในตัวพวกเขาจึงไม่เกิดความโอหัง  พวกเขาสามารถมีการจับความเข้าใจที่ผ่านการประเมินวัดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นที่ทางที่พวกเขาควรอยู่ และสิ่งทั้งหลายซึ่งมีเหตุผลที่พวกเขาควรทำ เกี่ยวกับวิธีรับผิดชอบต่อหน้าที่ เกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะไม่พูด และเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะทำกับผู้คนแบบใด  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วจึงค่อนข้างมีเหตุผล และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริง  เนื่องจากพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจึงสามารถกล่าวและมองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างสอดคล้องกับความจริง และพวกเขามีหลักธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคล เหตุการณ์ หรือเรื่องราวใดๆ และพวกเขาทั้งหมดมีทัศนะของพวกเขาเองและสามารถค้ำจุนหลักธรรมความจริงทั้งหลายได้  อุปนิสัยของพวกเขาจะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างมั่นคง พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา และไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาก็เข้าใจวิธีทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและวิธีที่จะประพฤติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นไม่มุ่งเน้นสิ่งซึ่งจะทำภายนอกเพื่อให้ผู้อื่นคิดดีกับพวกเขา พวกเขาได้รับความชัดเจนภายในเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  เพราะฉะนั้น จากภายนอกแล้ว พวกเขาอาจไม่ดูเหมือนว่ามีใจกระตือรือร้นมากนักหรือได้ทำสิ่งใดที่สำคัญ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีความหมาย มีคุณค่า และให้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยย่อมครองความเป็นจริงความจริงเป็นอันมากอย่างแน่นอน และการนี้สามารถยืนยันได้โดยมุมมองเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและหลักธรรมแห่งการกระทำของพวกเขา  แน่นอนที่สุดว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับความจริงนั้นยังไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตแต่อย่างใด  อันที่จริงแล้วจะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้อย่างไร?  มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ พวกเขาทั้งหมดต้านทานพระเจ้า และพวกเขาทั้งหมดมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้า  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดโดยทำให้ผู้ที่มีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้าและผู้ที่สามารถต้านทานพระเจ้ากลายเป็นผู้ที่สามารถนบนอบและยำเกรงพระเจ้า  นี่คือความหมายของการเป็นใครบางคนที่อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะเสื่อมทรามเช่นไรหรือมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และยอมรับบททดสอบและกระบวนการถลุงต่างๆ พวกเขาย่อมจะเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง และในเวลาเดียวกันพวกเขาจะสามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของตนเองได้อย่างชัดเจน  เมื่อพวกเขารู้จักตัวเองอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะสามารถเกลียดตนเองและซาตานได้ และพวกเขาจะเต็มใจขัดขืนซาตาน และนบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์  ทันทีที่บุคคลหนึ่งมีความมุ่งมั่นนี้ พวกเขาย่อมจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง  หากผู้คนมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า หากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพระวจนะของพระเจ้าหยั่งรากในตัวพวกเขา และได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขาและเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ของพวกเขา หากพวกเขาดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และได้เปลี่ยนแปลงและกลายเป็นคนใหม่อย่างสมบูรณ์—เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมนับเป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำรงชีวิตของพวกเขา  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยไม่ได้หมายถึงการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่และมากประสบการณ์ และไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยภายนอกทั้งหลายของผู้คนนั้นสุภาพอ่อนโยนขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเคยโอหัง แต่มาบัดนี้สามารถสัมพันธ์สนิทได้อย่างมีเหตุมีผล หรือว่าพวกเขาเคยไม่ฟังใครเลย แต่มาบัดนี้สามารถรับฟังผู้อื่นได้นิดหน่อย การเปลี่ยนแปลงภายนอกเช่นนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการแปลงสภาพในอุปนิสัย  แน่นอนว่าการแปลงสภาพทั้งหลายในอุปนิสัยย่อมรวมถึงการสำแดงทั้งหลายดังกล่าว แต่วัตถุดิบที่สำคัญยิ่งยวดก็คือการที่ชีวิตของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงภายในแล้ว  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าและความจริงได้หยั่งรากอยู่ในตัวพวกเขา เป็นใหญ่อยู่ในตัวพวกเขา และกลายเป็นชีวิตของพวกเขาไปแล้ว  ทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน  พวกเขาสามารถมองทะลุสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกและในหมู่มวลมนุษย์ วิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม วิธีที่พญานาคใหญ่สีแดงต้านทานพระเจ้า และแก่นแท้ของพญานาคใหญ่สีแดงได้  พวกเขาสามารถเกลียดชังพญานาคใหญ่สีแดงและซาตานอยู่ในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาสามารถหันไปหาและติดตามพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์  นี่หมายความว่าอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และพระเจ้าทรงได้พวกเขาไว้แล้ว  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตเป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นผิวเผิน  เฉพาะผู้ที่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตแล้วเท่านั้นที่ได้รับความจริง และพวกเขาเท่านั้นที่ได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า

เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง  มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวเองเพื่อพระเจ้า นั่นเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพร และเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่นก็ยังคงเป็นไปเพื่อที่จะได้รับบำเหน็จรางวัลอยู่ดี  โดยสรุปแล้ว ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพร ได้รับรางวัล และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในสังคม ผู้คนทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ทำหน้าที่เพื่อที่จะได้รับพร  เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถสู้ทนความทุกข์มากมายได้ ไม่มีหลักฐานถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว  ผู้คนที่มีอุปนิสัยซึ่งเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นแตกต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่า ความหมายมาจากการดำรงชีวิตตามความจริง ว่าพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ก็คือการนบนอบพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าคือความรับผิดชอบที่เป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผลอย่างเพียบพร้อม ว่ามีเพียงผู้คนที่ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้นที่เหมาะจะได้ชื่อว่ามนุษย์—และหากพวกเขาไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าและชดใช้คืนความรักของพระองค์ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์  พวกเขารู้สึกว่าการดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองของคนเรานั้นว่างเปล่าและไร้สิ้นซึ่งความหมาย ว่าผู้คนควรดำรงชีวิตอยู่เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และดำรงชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่มีความหมาย เพื่อที่แม้แต่ยามที่เป็นเวลาตายของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจและไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อยนิด และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า  ในการเปรียบเทียบสองสถานการณ์เหล่านี้ที่แตกต่างกัน คนเราสามารถมองเห็นได้ว่าสถานการณ์หลังคือสถานการณ์ของผู้คนซึ่งอุปนิสัยของพวกเขาได้แปลงสภาพไปแล้ว  หากอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของบุคคลหนึ่งได้แปลงสภาพไปแล้ว แน่นอนว่า ทรรศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิตก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยเช่นกัน  บัดนี้ด้วยการมีค่านิยมที่แตกต่างไป พวกเขาจะไม่มีวันดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอีกแล้ว และพวกเขาก็จะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์แห่งการได้รับพระพรอีกแล้ว  บุคคลเช่นนั้นจะมีความสามารถที่จะกล่าวว่า “การรู้จักพระเจ้าช่างคุ้มค่านัก  หากฉันตายหลังจากการได้รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นก็คงยอดเยี่ยมไปเลย!  หากฉันสามารถรู้จักพระเจ้า และนบนอบต่อพระเจ้า และฉันสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่เปี่ยมความหมาย เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า และฉันก็จะไม่ตายไปด้วยความเสียดายอันใด ฉันจะไม่มีคำพร่ำบ่นร้องทุกข์เลย”  ทรรศนะต่อชีวิตของบุคคลนี้ได้แปลงสภาพไปแล้ว  เหตุผลหลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเราก็คือ เพราะคนเราครองความเป็นจริงความจริง คนเราได้รับความจริง และได้มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ทัศนะต่อชีวิตของคนเราจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง และค่านิยมทั้งหลายของคนเราจึงแตกต่างไปจากเมื่อก่อน  การแปลงสภาพนั้นเริ่มต้นจากภายในหัวใจของคนเรา และจากภายในชีวิตของคนเรา นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างแน่นอน  ผู้เชื่อใหม่บางคนทิ้งโลกฆราวาสไว้เบื้องหลัง หลังจากพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระเจ้า  เมื่อพวกเขาเผชิญผู้ไม่มีความเชื่อในเวลาต่อมา ผู้เชื่อเหล่านี้ก็มีสิ่งที่จะพูดน้อยนิด และพวกเขาไม่ค่อยติดต่อกับญาติพี่น้องและเพื่อนผู้ไม่มีความเชื่อของพวกเขา  พวกผู้ไม่มีความเชื่อพูดว่า “บุคคลนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว”  แล้วบรรดาผู้เชื่อก็คิดว่า “อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันได้แปลงสภาพไปแล้ว พวกผู้ไม่มีความเชื่อเหล่านี้กำลังพูดว่าฉันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว”  อันที่จริงแล้ว อุปนิสัยของบุคคลเช่นนี้ได้แปลงสภาพไปแล้วกระนั้นหรือ?  สิ่งที่เขาสำแดงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายนอก  ไม่ได้แปลงสภาพเลย  สิ่งที่พวกเขาสำแดงนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงภายนอกทั้งหลาย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจริงในชีวิตของพวกเขา และธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขายังคงฝังรากอยู่ภายในหัวใจพวกเขา โดยไม่ถูกแตะต้องอย่างสิ้นเชิง  บางครั้ง ผู้คนถูกความร้อนรุ่มเข้ายึดกุมเพราะพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกบางอย่างเกิดขึ้น และพวกเขาอาจจะทำความประพฤติดีสักสองสามอย่าง  อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่แบบเดียวกับการสัมฤทธิ์การแปลงสภาพอุปนิสัย  หากเจ้าไม่ครองความจริงและทรรศนะของเจ้าที่มีต่อสรรพสิ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป กระทั่งถึงจุดที่ไม่แตกต่างจากทรรศนะของผู้ไม่มีความเชื่อ และหากทรรศนะต่อชีวิตและค่านิยมของพวกเจ้าไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปด้วย และหากเจ้าไม่มีแม้แต่หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า—ซึ่งเป็นสิ่งน้อยที่สุดที่เจ้าควรครอง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใกล้เคียงกับการได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเลย  เพื่อสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยสำเร็จลุล่วง สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความเข้าใจในพระเจ้าและมีความเข้าใจในพระองค์อย่างแท้จริง  ยกเปโตรเป็นตัวอย่าง  เมื่อพระเจ้าทรงต้องการส่งมอบเปโตรให้กับซาตาน เขากล่าวว่า “ถึงแม้พระองค์ทรงส่งมอบข้าพเจ้าให้กับซาตาน พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้า  พระองค์คือผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพเจ้าจะไม่สรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำได้อย่างไร?  แต่หากข้าพเจ้าสามารถรู้จักพระองค์ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตายไม่ยิ่งดีกว่าหรือ?”  เขารู้สึกว่าในชีวิตของผู้คน การรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลังจากรู้จักพระเจ้าแล้ว ความตายแบบไหนก็ดีทั้งนั้น และหนทางใดที่พระเจ้าทรงรับมือล้วนดีทั้งนั้น  เขารู้สึกว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุด หากเขาไม่ได้มาซึ่งความจริง เขาคงไม่มีวันพึงพอใจได้ และก็จะไม่พร่ำบ่นต่อพระเจ้าเช่นกัน  เพียงแต่เขาคงเกลียดชังข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  ดูจากจิตวิญญาณของเปโตร การไล่ตามเสาะหาเพื่อให้รู้จักพระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจของเขาแสดงให้เห็นว่าทัศนะเกี่ยวกับชีวิตและคุณค่าของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  ความถวิลหาอย่างลึกซึ้งที่จะรู้จักพระเจ้าพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้รู้จักพระเจ้าไปแล้วอย่างแท้จริง  ดังนั้น จากถ้อยแถลงนี้ คนเราจึงสามารถมองเห็นว่าอุปนิสัยของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาเป็นบุคคลที่ได้แปลงสภาพอุปนิสัย  ที่ปลายทางสุดท้ายแห่งประสบการณ์ของเขา พระเจ้าตรัสว่าเขาเป็นคนคนนั้นที่รู้จักพระเจ้ามากที่สุด เขาเป็นคนคนนั้นที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากปราศจากความจริง อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนคนหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าถึงความเป็นจริงความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเจ้าได้

ก่อนหน้า: พระวจนะว่าด้วยการรู้จักตนเอง

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการมีประสบการณ์กับความล้มเหลว การล้มลง บททดสอบ และกระบวนการถลุง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger