ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (6)

แนวปฏิบัติแรกของการไล่ตามเสาะหาความจริง: การปล่อยมือ

I. ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ

ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่อง “การปล่อยมือ” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติข้อหนึ่งของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ส่วนแรกของ “การปล่อยมือ” กล่าวถึงการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบทั้งหมด  พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อนี้กันไปแล้วหลายครั้ง  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความเก็บกดใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  อะไรทำให้ผู้คนรู้สึกเก็บกด?  (พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมว่าผู้คนทำตามใจชอบในหน้าที่ของตน และไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับของคริสตจักร หรือยอมทำตามข้อจำกัดต่างๆ  เนื่องจากพวกเขาเอาแต่ใจและไม่กระทำการตามหลักธรรม พวกเขาจึงไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี เป็นเหตุให้พวกเขามักจะถูกตัดแต่ง  ถ้าพวกเขาไม่ทบทวนการกระทำของตนเองและไม่แก้ปัญหาของตนด้วยการแสวงหาความจริง พวกเขาย่อมจะรู้สึกเก็บกด)  คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงสถานการณ์แบบหนึ่งที่ผู้คนเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบของการเก็บกด ซึ่งโดยมากแล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำตามใจชอบ  สามัคคีธรรมครั้งนั้นส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ผู้คนไม่สามารถทำตามใจชอบ อะไรบ้างที่ผู้คนอยากทำตามใจชอบ และผู้คนที่จมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์ที่เก็บกดนั้นมีพฤติกรรมอะไรที่เหมือนกันบ้าง  จากนั้นพวกเราก็สามัคคีธรรมกันถึงเส้นทางที่คนเราต้องใช้เพื่อแก้ไขภาวะอารมณ์นี้  หลังจากฟังสามัคคีธรรมเหล่านี้เรื่องการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบแล้ว พวกเจ้าสรุปได้บ้างหรือยังว่าสามัคคีธรรมเหล่านี้เผยให้เห็นการสำแดงภาวะอารมณ์เชิงลบของผู้คน หรือบอกเส้นทางที่จะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบแก่ผู้คน?  แนวปฏิบัติเรื่องการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบนี้บ่งชี้เรื่องใด?  หลังจากฟังสามัคคีธรรมเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าเคยคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  (พระเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจว่าแนวปฏิบัตินี้บ่งชี้เรื่องทัศนะที่ผู้คนมีต่อสิ่งต่างๆ)  ถูกต้อง นั่นคือแง่หนึ่ง  ซึ่งเกี่ยวข้องกับทัศนะที่ผู้คนมีต่อสิ่งต่างๆ  ทัศนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทัศนะนานัปการที่คนเรายึดถือเวลาเผชิญหน้าผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ เป็นสำคัญ และบ่งชี้ปัญหาต่างๆ ที่คนเราพบเจอในชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของมนุษย์เป็นสำคัญ  ตัวอย่างในเรื่องนี้ได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น วิธีสลายความเป็นอริ ท่าทีที่คนเราควรมีต่อการสมรส ครอบครัว งาน โอกาสในอนาคต ความเจ็บไข้ได้ป่วย การแก่ การตาย และเรื่องสัพเพเหระในชีวิต  นอกจากนี้ยังพูดเรื่องคนเราควรเผชิญสภาพแวดล้อมของตนอย่างไร ควรเผชิญหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติอย่างไร และอื่นๆ  สามัคคีธรรมครั้งนั้นกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ส่วนปัญหาและเรื่องใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรม ซึ่งล้วนสัมพันธ์กับชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของมนุษย์—ถ้าคนเรามีแนวคิด ทัศนะ และท่าทีที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาย่อมจะค่อนข้างปกติ  ที่ว่า “ปกติ” เราหมายถึงการมีเหตุผลที่ปกติ มีมุมมองและจุดยืนที่ปกติเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ  ผู้ที่มีแนวคิดและทัศนะที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะเข้าใจและเข้าสู่ความจริงได้ง่ายยามที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่หมายความว่ามีแต่ผู้ที่มีแนวคิดที่ปกติ มีทัศนะ มุมมอง และจุดยืนที่ปกติเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งทั้งหลายเท่านั้น ที่จะสามารถบรรลุผลบางอย่างในการไล่ตามเสาะหาความจริงของตน  ถ้ามุมมองและจุดยืนที่คนคนหนึ่งมีต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งแนวคิด ทัศนะ และท่าทีของพวกเขา ล้วนเป็นลบ ไม่เป็นไปตามมโนธรรมและความมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ทั้งยังรุนแรง ดื้อรั้น และไม่บริสุทธิ์—กล่าวสั้นๆ ก็คือ ถ้าทั้งหมดนั้นเป็นลบ เลวร้าย และชวนให้หดหู่ใจ—ถ้าคนที่มีแนวคิดและทัศนะที่เป็นลบเช่นนี้ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้ง่ายหรือไม่?  (ไม่)  ย่อมง่ายพอที่พวกเจ้าจะพูดเช่นนั้นในแง่ทฤษฎี แต่ในความเป็นจริง พวกเจ้าไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง  กล่าวง่ายๆ ก็คือ ในเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันอยู่ ถ้าคนคนหนึ่งมีมุมมองและจุดยืนที่เป็นลบและไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอในชีวิตและบนเส้นทางชีวิตของตน พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การข้าใจความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าพวกเขามัวจมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าพวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพล การครอบงำ และการควบคุมของความคิดและทัศนะที่เกิดจากภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่เสมอ มุมมองและจุดยืนที่พวกเขามีต่อทุกสิ่ง และทัศนะที่พวกเขามีต่อเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตน ย่อมจะเป็นลบมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำว่า “เป็นลบ” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  อันดับแรก พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าย่อมสวนทางกับข้อเท็จจริงและกฎของความเป็นจริง?  นี่ละเมิดกฎธรรมชาติที่มนุษย์ควรคล้อยตาม รวมทั้งข้อเท็จจริงเรื่องอธิปไตยของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถ้าผู้คนมีแนวคิดและทัศนะที่เป็นลบเหล่านี้อยู่กับตัวเวลาฟังและอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถยอมรับและนบนอบพระวจนะของพระองค์ได้อย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าและเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  จงยกตัวอย่างที่แสดงเรื่องนี้ให้เห็นเถิด เราจะได้มองเห็นว่าพวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง  จงหาตัวอย่างที่คนเรารับมือปัญหาใหญ่ๆ เกี่ยวกับชีวิตและการอยู่รอดของตน เช่น ปัญหาในชีวิตสมรส ครอบครัว ลูกๆ หรือความเจ็บไข้ได้ป่วย เกี่ยวกับอนาคตและชะตากรรมของพวกเขา ชีวิตของพวกเขาราบรื่นหรือไม่ คุณค่า สถานะทางสังคม ผลประโยชน์ส่วนตน และอื่นๆ  (ข้าพระองค์จำได้ว่าคราวที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมว่าเมื่อผู้คนเผชิญโรคภัย พวกเขาย่อมจมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบ เช่น ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล และย่อมกลัวตายอย่างมาก  นี่ส่งผลต่อความสามารถของพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและในการใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำตามกฎของความเป็นจริง  ในความเป็นจริงนั้น พระเจ้าทรงลิขิตเรื่องความเป็นและความตายของผู้คน ช่วงเวลาที่พวกเขาล้มป่วย และระดับการทนทุกข์ของพวกเขาเอาไว้หมดแล้ว  ผู้คนจึงควรเผชิญและมีประสบการณ์กับสถานการณ์เหล่านี้ด้วยท่าทีที่ถูกควรและเป็นบวก  พวกเขาควรแสวงหาการรักษาที่จำเป็นกับตน และทำหน้าที่ที่ตนพึงทำ—พวกเขาควรดำรงรักษาสภาวะที่เป็นบวกเอาไว้ และไม่ติดอยู่ในกับดักที่เป็นโรคภัยของตน  แต่เมื่อผู้คนจมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบ พวกเขาย่อมไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงลิขิตชีวิตและความตายของตนไว้ล่วงหน้าแล้ว  พวกเขาเอาแต่รู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว และกระวนกระวายในเรื่องโรคภัยของตน  พวกเขาวิตกกังวลและหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ—ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์ และไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา)  เป็นตัวอย่างที่ดีมาก  นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าผู้คนควรมีทัศนะเช่นใดในเรื่องสำคัญอย่างความเป็นความตายใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเจ้าทุกคนพอจะรู้อะไรในเรื่องนี้อยู่บ้างใช่หรือไม่?  นี่เป็นเรื่องของการเผชิญหน้าความเป็นความตายของตนเอง  เรื่องนี้สัมพันธ์กับปัญหาภายในขอบข่ายความเป็นมนุษย์ที่ปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องเผชิญ  ต่อให้เจ้าเป็นหนุ่มเป็นสาวหรือมีสุขภาพดี และไม่เคยพบเจอหรือมีประสบการณ์กับเรื่องความเป็นความตาย สักวันหนึ่งเจ้าก็จะต้องเผชิญเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้—นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ  ในฐานะคนที่ปกติ ไม่ว่าเจ้าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วยตนเอง หรืออยู่ห่างไกลจากเรื่องนี้ก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือเรื่องสำคัญที่สุดที่เจ้าจะพบเจอในชีวิต  ดังนั้น เมื่อเผชิญความตายซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ผู้คนพึงใคร่ครวญว่าพวกเขาควรรับมือเรื่องนี้อย่างไรมิใช่หรือ?  พวกเขาย่อมจะใช้วิธีการบางอย่างของมนุษย์มารับมือเรื่องนี้มิใช่หรือ?  ผู้คนควรยึดถือทัศนะแบบใด?  นี่เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าผู้คนจมปลักอยู่กับภาวะอารมณ์เชิงลบ พวกเขาย่อมจะคิดว่าอย่างไร?  พวกเราเคยสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว—ถ้าผู้คนใช้ชีวิตตามความคิดอ่านและทัศนะที่เกิดจากภาวะอารมณ์เชิงลบ การกระทำและคำพูดคำจาของพวกเขาจะเป็นไปตามความจริงหรือไม่?  จะสอดคล้องกับการคิดอ่านตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  (ไม่)  ย่อมไม่สอดคล้องกับการคิดอ่านตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และยิ่งไม่เป็นไปตามความจริง  ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์หรือกฎของความเป็นจริง และแน่นอนว่าไม่สอดคล้องกับอธิปไตยของพระเจ้า

การที่พวกเราสามัคคีธรรมกันเรื่องการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ นี้ย่อมมีผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?  พวกเจ้าจะลงมือปฏิบัติและแสดงให้เห็น “การปล่อยมือ” ได้อย่างชัดเจนเพื่อให้มีการคิดอ่านและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เพื่อให้มีความคิด ทัศนคติ และมุมมองซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผลที่ปกติควรมี ได้อย่างไร?  ขั้นตอนหรือเส้นทางปฏิบัติที่แน่ชัดเกี่ยวกับ “การปล่อยมือ” นี้คืออะไร?  ขั้นตอนแรกก็คือการตระหนักรู้ว่ามุมมองที่เจ้ามีในเรื่องต่างๆ ที่เจ้าเผชิญนั้นถูกต้องหรือไม่ และมีภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่ มิใช่หรือ?  นี่คือขั้นตอนแรก  ตัวอย่างเช่น ถ้าดูตามตัวอย่างที่พวกเรายกมาในตอนต้นเรื่องการรับมือโรคภัยและความตาย ก่อนอื่นเจ้าควรชำแหละมุมมองที่เจ้ามีต่อเรื่องดังกล่าวว่ามีภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่ในนั้นบ้างหรือไม่ เป็นต้นว่า เจ้ารู้สึกทุกข์ใจ วิตกกังวล หรือกระวนกระวายในเรื่องเหล่านี้บ้างหรือไม่ และความทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายของเจ้าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เจ้าควรขุดลงไปให้ถึงรากของปัญหาเหล่านี้  ขั้นตอนถัดไปก็คือจงชำแหละต่อไป และเจ้าก็จะพบว่าตัวเจ้าเองยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้  เจ้ายังไม่ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างของมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์  แม้ในยามที่พวกเขาล้มป่วยหรือเผชิญหน้าความตาย ผู้คนก็ไม่ควรติดอยู่ในบ่วงของสิ่งเหล่านี้  แต่พวกเขาควรนบนอบการจัดเตรียมและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  ไม่คร้ามเกรงหรือปราชัยต่อโรคภัยหรือความตาย  พวกเขาไม่ควรหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ และไม่ควรปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ครอบงำชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของตน  ในแง่หนึ่ง พวกเขาพึงทำความเข้าใจและมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแข็งขัน นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระองค์เวลาที่ตนไม่สบาย และสามารถแสวงหาการรักษาได้เมื่อจำเป็น  นั่นคือ พวกเขาควรเผชิญหน้า ทำความเข้าใจ และมีประสบการณ์กับกระบวนการดังกล่าวอย่างแข็งขัน  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็พึงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในหัวใจของตนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และพึงเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  มนุษย์ได้แต่ทำส่วนของตนเท่านั้น ในส่วนที่เหลือพวกเขาควรนบนอบเจตจำนงของสวรรค์  เพราะทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงลิขิตชีวิตและความตายของผู้คนเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว  ต่อให้ผู้คนทำสิ่งที่พวกเขาพึงทำ ผลสุดท้ายของทั้งหมดนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเจตจำนงของพวกเขา ผู้คนไม่ใช่คนกำหนด จริงไหม?  (จริง)  เวลาเผชิญโรคภัย เจ้าควรตรวจสอบหัวใจของตนเสียก่อนและระบุภาวะอารมณ์เชิงลบออกมา  เจ้าควรประเมินความเข้าใจที่ตนมีในเรื่องนี้ รวมทั้งมุมมองที่เจ้ามีในหัวใจ ว่าเจ้าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดหรือพันธนาการของภาวะอารมณ์เชิงลบบ้างหรือไม่ และภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร  เจ้าควรชำแหละเรื่องต่อไปนี้ เช่น เจ้าวิตกกังวลเรื่องอะไร เจ้ากลัวอะไร เจ้ารู้สึกไม่มั่นใจในเรื่องใดบ้าง และอะไรบ้างที่เจ้าปล่อยมือไม่ได้เพราะความเจ็บป่วยของตน จากนั้นจงตรวจสอบสาเหตุของสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เจ้ารู้สึกวิตกกังวล หวาดหวั่น หรือกลัว และค่อยๆ แก้ไขไปทีละอย่าง  ก่อนอื่นเจ้าควรชำแหละและสำรวจว่ามีสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้อยู่ในตัวเจ้าหรือไม่ และถ้ามี ก็จงชำแหละและดูให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ หรือมีองค์ประกอบที่ไม่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่  ถ้าเจ้าพบองค์ประกอบที่ไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าก็ควรแสวงหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้า และค่อยๆ แสวงหาความจริงมาแก้ไข  เจ้าควรเพียรพยายามที่จะไปให้ถึงสภาวะที่เจ้าจะไม่ถูกสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ทำให้เดือดร้อน ส่งผลกระทบ หรือพันธนาการตัวเจ้าเอาไว้ ทำให้มันไม่ส่งผลต่อชีวิตที่ปกติหรืองานหรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือขัดขวางครรลองชีวิตของเจ้า  และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรส่งผลต่อการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระองค์ของเจ้าเป็นอันขาด  สรุปแล้ว เป้าหมายก็คือให้เจ้าสามารถเผชิญปัญหานานาชนิดที่เจ้าพบเจอหรือจะพบเจอได้ด้วยเหตุผล ด้วยความถูกต้อง เป็นกลาง และแน่ชัดในท้ายที่สุด  นี่คือขั้นตอนของการปล่อยมือมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือเส้นทางปฏิบัติที่แน่ชัด  พวกเจ้าสามารถสรุปได้ไหมว่าอะไรคือเส้นทางปฏิบัติที่แน่ชัด?  (ก่อนอื่นคนเราต้องทำความเข้าใจเรื่องที่ตนเผชิญอยู่ และในระหว่างนี้ก็ชำแหละว่าตนเองมีภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่บ้างหรือไม่ จากนั้นก็แสวงหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบ ไม่ปล่อยให้ตนเองเดือดร้อนเพราะภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ และไม่ปล่อยให้ชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้รับผลกระทบ  นอกจากนี้พวกเขาก็ควรเชื่ออีกด้วยว่าเรื่องที่ตนพบเจอนั้นเกิดจากอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า  ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ในที่สุดผู้คนย่อมจะสามารถนบนอบและลงมือปฏิบัติได้ทั้งในเชิงบวกและในเชิงรุก)  จงบอกเราเถิดว่าถ้าผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบ พฤติกรรมในแบบฉบับของพวกเขาทุกครั้งที่เผชิญโรคภัยย่อมเป็นเช่นไร?  เวลาที่เจ้ามีภาวะอารมณ์เชิงลบ เจ้าตระหนักรู้ได้อย่างไร?  (ก่อนอื่นย่อมมีความกลัวเป็นอันมาก และพวกเราก็จะเริ่มมีความคิดตามแต่จะเป็นไป เช่น “นี่เป็นโรคชนิดไหน?  ถ้ารักษาไม่ได้ จะทำให้ฉันทนทุกข์มากมายหรือไม่?  จะทำให้ฉันตายในท้ายที่สุดหรือไม่?  ต่อไปภายหน้าฉันจะยังสามารถทำหน้าที่ของตนได้หรือไม่?”  พวกเราจะคิดเรื่องเหล่านี้ วิตกกังวลถึงเรื่องเหล่านี้ และรู้สึกกลัว  บางคนก็เริ่มสนใจสุขภาพของตนเองมากขึ้น ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของตน คิดไปว่าถ้าพวกเขาจ่ายราคาให้น้อยลง โรคภัยไข้เจ็บของพวกเขาก็อาจจะบรรเทา  ทั้งหมดนี้คือภาวะอารมณ์เชิงลบ)  ภาวะอารมณ์เชิงลบทั้งหลายสามารถสำรวจหาได้สองทาง  ทางหนึ่งนั้นเจ้าควรรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ  เมื่อเจ้าล้มป่วย เจ้าอาจคิดว่า “แย่แล้ว ฉันเป็นโรคนี้ได้อย่างไร?  ติดจากใครมาหรือเปล่า?  หรือเป็นเพราะฉันอ่อนเพลีย?  ถ้าฉันยังทำให้ตัวเองอ่อนเพลียต่อไป โรคนี้จะยิ่งเป็นหนักขึ้นหรือไม่?  จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นหรือไม่?”  นี่ก็ทางหนึ่ง เจ้าสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในความคิดอ่านของเจ้า  แล้วถ้ามองมาจากอีกทาง เมื่อเจ้ามีความคิดอ่านเหล่านี้ ย่อมมีการสำแดงความคิดเหล่านี้ออกมาทางพฤติกรรมของเจ้าอย่างไรบ้าง?  เมื่อผู้คนมีความนึกคิด การกระทำของพวกเขาย่อมจะได้รับอิทธิพลจากความนึกคิดไปด้วย  การกระทำ พฤติกรรม และวิธีการของผู้คนย่อมจะถูกความนึกคิดต่างๆ กำกับไว้ทั้งสิ้น  เมื่อผู้คนมีภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ก็ย่อมเกิดความคิดต่างๆ นานา และเมื่อถูกความคิดเหล่านี้กำกับไว้ ท่าทีหรือวิธีการที่พวกเขาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนย่อมมีการเปลี่ยนแปลง  ตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมา บางครั้งพวกเขาก็จะเริ่มทำหน้าที่ของตนทันทีที่ตื่นนอน  แต่ตอนนี้พอถึงเวลาลุกจากที่นอน พวกเขากลับเริ่มตรึกตรองว่า “เป็นไปได้ไหมที่โรคนี้จะเกิดจากความเหนื่อยล้า?  บางทีฉันควรจะนอนต่ออีกหน่อย  ฉันเคยทนทุกข์มากเกินไปและรู้สึกเหนื่อยล้า  ตอนนี้ฉันต้องมุ่งดูแลร่างกายของตนเองเพื่อไม่ให้อาการหนักขึ้น”  เมื่อมีความนึกคิดที่วิ่งไม่หยุดเหล่านี้คอยกำกับ พวกเขาจึงลงเอยด้วยการตื่นสายกว่าที่เคย  เมื่อถึงเวลากิน พวกเขาก็ครุ่นคิดไปว่า “โรคของฉันอาจเกี่ยวข้องกับการขาดสารอาหาร  ที่ผ่านมาฉันสามารถกินอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันจำต้องเลือกกิน  ฉันควรกินไข่และเนื้อให้มากขึ้น เพื่อให้ได้สารอาหารมากพอและให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น—ทำแบบนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องทนทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บของตนเองอีกต่อไป”  ถ้าเป็นเรื่องการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะดูแลร่างกายของตนอย่างไร  ที่ผ่านมา หลังจากทำงานอย่างต่อเนื่องสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงแล้ว อย่างมากพวกเขาก็จะยืดเส้นยืดสายหรือลุกยืนแล้วขยับเดินไปรอบๆ  แต่ตอนนี้พวกเขาออกกฎให้ตัวเองขยับเดินไปรอบๆ ทุกครึ่งชั่วโมง เพื่อไม่ให้ตัวเองเมื่อยล้าเกินไป  เมื่อใดก็ตามที่สามัคคีธรรมกันในการชุมนุม พวกเขาก็พยายามพูดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ คิดไปว่า “ฉันต้องหัดดูแลร่างกายตัวเอง”  ในอดีต ไม่ว่าใครจะถามอะไรหรือในเวลาใด พวกเขาก็จะตอบอย่างไม่ลังเล  แต่ตอนนี้พวกเขากลับอยากพูดให้น้อยลง เพื่อสงวนพลังงานเอาไว้ และถ้ามีใครถามมากไป พวกเขาก็จะบอกว่า “ฉันต้องพักผ่อนแล้ว”  เจ้าดูเอาเถิด พวกเขากลายเป็นคนที่ห่วงใยร่างกายของตนเป็นพิเศษ ซึ่งต่างไปจากเมื่อก่อน  พวกเขามักจะให้ความสนใจเรื่องการกินอาหารเสริมอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย กินผลไม้และออกกำลังกายเป็นประจำ  พวกเขาคิดว่า “เมื่อก่อนนี้ฉันโง่เกินไปและไม่รู้ความ ฉันไม่รู้วิธีดูแลร่างกายตัวเอง  ฉันกินตามความอยากอาหารของตนและปล่อยให้ตัวเองตะกละตะกลาม  มาตอนนี้ที่ร่างกายของฉันมีปัญหา ถ้าฉันไม่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพของตนเอง ถ้าอาการเจ็บป่วยของฉันเกิดร้ายแรงขึ้นมา และฉันทำหน้าที่ของตนไม่ได้ ฉันจะยังได้รับพรหรือไม่?  ต่อไปภายหน้า ฉันต้องสนใจดูแลร่างกายของตัวเอง และไม่ปล่อยให้มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น”  ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสนใจสุขภาพของตน และไม่อุทิศตนเต็มที่ให้แก่การทำหน้าที่อีกต่อไป  พวกเขาถึงกับเสียใจและรู้สึกไม่พอใจในความทุกข์ที่ตนเคยสู้ทน รวมทั้งราคาที่ตนเคยจ่ายไประหว่างการทำหน้าที่ของตนในอดีต  ความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้ได้รับอิทธิพลและเกิดจากภาวะอารมณ์เชิงลบมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากภาวะอารมณ์เชิงลบ  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้ รวมทั้งภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา จะสามารถช่วยให้พวกเขามีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นและอุทิศตนมากขึ้นให้แก่การทำหน้าที่ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  แล้วผลสุดท้ายย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขาย่อมจะทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินและไม่อุทิศตน  เมื่อพวกเขาทำสิ่งต่างๆ พวกเขาจะสามารถแสวงหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ระหว่างที่ถูกภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้คอยกำกับ พวกเขาก็จะทำทุกสิ่งที่อยากทำ วางมือจากความจริง ไม่ให้ค่าหรือนำความจริงไปปฏิบัติ  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทุกอย่างที่พวกเขานำไปปฏิบัติ จะวนเวียนอยู่รอบความคิดที่เกิดจากภาวะอารมณ์เชิงลบของตนเอง  คนแบบนี้จะสัมฤทธิ์การไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เช่นนั้นแล้ว ความคิดแบบนี้ใช่ความนึกคิดที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ในเมื่อความนึกคิดแบบนี้ไม่ใช่ความคิดที่ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี พวกเจ้าคิดว่าความคิดแบบนี้ผิดตรงไหน?  (ผู้คนไม่มีความเข้าใจในเรื่องอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าเลย  ในความเป็นจริง ความเจ็บป่วยเหล่านี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  และพระเจ้ายังเป็นผู้กำหนดและจัดเตรียมว่าคนคนหนึ่งควรสู้ทนความทุกข์เท่าใดอีกด้วย  อย่างไรก็ดี เมื่อคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบ พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะหันไปใช้กลอุบาย ถูกความคิดอ่านและมุมมองที่คลาดเคลื่อนคอยกำกับเอาไว้  พวกเขาพึ่งพาวิธีการของมนุษย์และชื่นชูร่างกายของตนเอง)  การที่คนคนหนึ่งชื่นชูร่างกายของตนแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  เมื่อคนคนหนึ่งห่วงใยและดูแลร่างกายของตนมากเกินไปให้ร่างกายกินดี มีสุขภาพดี และแข็งแรง นี่จะให้คุณค่าอะไรแก่พวกเขา?  การใช้ชีวิตเช่นนี้จะมีความหมายอันใด?  คุณค่าของชีวิตคนอยู่ตรงไหน?  เพื่อหลงระเริงไปกับความรื่นเริงทางเนื้อหนัง เช่น การกิน ดื่ม และหาความบันเทิงเท่านั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว คุณค่าของชีวิตคนอยู่ตรงไหน?  ช่วยบอกความคิดอ่านของเจ้ามาเถิด  (คือการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งควรสัมฤทธิ์ในชีวิตของตน)  ถูกต้อง  จงบอกเราเถิดว่าถ้าการกระทำและความคิดในแต่ละวันตลอดชีวิตของคนคนหนึ่งมุ่งแต่จะหลีกเลี่ยงโรคภัยและความตาย รักษาร่างกายให้มีสุขภาพดีและปลอดโรค รวมทั้งพากเพียรที่จะมีอายุยืนนาน นี่ใช่คุณค่าที่ชีวิตคนควรมีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่ไม่ใช่คุณค่าที่ชีวิตคนควรมี  ดังนั้น อะไรคือคุณค่าที่ชีวิตคนควรมี?  เมื่อกี้นี้บางคนเพิ่งเอ่ยถึงการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งก็เป็นแง่มุมหนึ่งที่ชัดเจน  มีอะไรอื่นอีกไหม?  จงบอกเราถึงความใฝ่ฝันที่เจ้ามักจะมีขณะอธิษฐานหรือตั้งปณิธานเถิด  (การนบนอบสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดแจงเตรียมการและจัดวางเรียบเรียงไว้ให้พวกเรา)  (การมีบทบาทตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเราให้ดี ลุล่วงภารกิจและความรับผิดชอบของตน)  มีอะไรอื่นอีก?  ในแง่หนึ่ง นี่เป็นเรื่องของการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ในอีกแง่หนึ่ง นี่เป็นเรื่องของการทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถและมีฝีมือที่จะทำได้ให้เต็มที่ อย่างน้อยก็ให้ถึงระดับที่มโนธรรมของเจ้าไม่กล่าวหาเจ้า ตัวเจ้าเองสามารถมีสันติสุขกับมโนธรรมของตน และได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้อื่น  หากคิดไปอีกขั้น ตลอดชีวิตของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาในครอบครัวไหน มีพื้นเพด้านการศึกษา หรือมีขีดความสามารถเช่นใด เจ้าก็ต้องเข้าใจหลักธรรมที่ผู้คนพึงทำความเข้าใจในชีวิตอยู่บ้าง  ตัวอย่างเช่น เส้นทางแบบใดที่ผู้คนควรเดิน พวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร และทำอย่างไรชีวิตจึงจะมีความหมาย—อย่างน้อยเจ้าก็ควรสำรวจคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตบ้าง  ชีวิตนี้ไม่อาจหมดไปอย่างสูญเปล่าได้ และคนเราก็ไม่สามารถมายังโลกนี้อย่างสูญเปล่า  ในอีกแง่หนึ่งนั้น ระหว่างที่เจ้ามีชีวิตอยู่ เจ้าต้องลุล่วงภารกิจของตน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  พวกเราจะไม่พูดถึงการเสร็จสิ้นภารกิจ หน้าที่ หรือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรทำบางสิ่งให้สำเร็จลุล่วง  ตัวอย่างเช่น ในคริสตจักรมีบางคนทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อุทิศกำลังวังชาทั้งชีวิตของตน จ่ายราคามากมาย และได้ผู้คนมามาก  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นไม่ได้หมดไปอย่างสูญเปล่า มีคุณค่าและมีความชูใจ  เมื่อเผชิญโรคภัยไข้เจ็บหรือความตาย เมื่อสรุปชีวิตทั้งหมดของตนออกมาและนึกย้อนไปถึงทุกสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้ เส้นทางที่เดินมา พวกเขาก็พบการปลอบประโลมในหัวใจของตน  พวกเขาไม่รู้สึกถึงคำกล่าวหาหรือความเสียใจ  บางคนทุ่มเทพยายามเต็มที่เวลานำคริสตจักรหรือรับผิดชอบงานด้านใดด้านหนึ่ง  พวกเขาปลดปล่อยศักยภาพของตนออกมาอย่างเต็มที่ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทุ่มเทกำลังวังชาทั้งปวงและจ่ายราคาให้กับงานที่ตนทำ  ด้วยการให้น้ำ การเป็นผู้นำ การเกื้อกูลและเกื้อหนุนของพวกเขา พวกเขาจึงช่วยเหลือผู้คนมากมายที่ตกอยู่ในความอ่อนแอและความคิดลบของตนเองให้กลับมาแข็งแกร่งและตั้งมั่น ไม่ถอนตัว แต่กลับคืนสู่การสถิตของพระเจ้า และในที่สุดก็ถึงขั้นเป็นพยานให้พระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่พวกเขาเป็นผู้นำ พวกเขายังทำงานสำคัญๆ มากมายให้สำเร็จลุล่วง เอาตัวคนชั่วออกไปไม่ใช่น้อย ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้มากมาย และนำของสำคัญที่หายไปกลับคืนมาได้เป็นจำนวนมาก  ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นผู้นำ  เมื่อย้อนมองดูเส้นทางที่พวกเขาเดิน นึกถึงงานที่พวกเขาทำและราคาที่พวกเขาจ่ายตลอดเวลาหลายปี พวกเขาย่อมไม่รู้สึกเสียใจหรือมีข้อกล่าวหาใดๆ  พวกเขาไม่รู้สึกผิดกับการทำสิ่งเหล่านี้และเชื่อว่าตนได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า พวกเขามีความมั่นคงและความชูใจในหัวใจของตน  นั่นเป็นเรื่องที่วิเศษจริงๆ!  ผลที่พวกเขาได้รับย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ความรู้สึกที่มั่นคงและชูใจนี้ การไร้ซึ่งความเสียใจนี้ เป็นผลลัพธ์และผลเก็บเกี่ยวจากการไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เป็นบวกและความจริง  ขอพวกเราจงอย่าวางผู้คนไว้บนมาตรฐานที่สูงนัก  พวกเรามาพิจารณาสถานการณ์ที่คนคนหนึ่งพบเจองานที่ตนควรทำหรือเต็มใจทำในชีวิตของตนกันเถิด  หลังจากที่ค้นพบที่ทางของตนแล้ว พวกเขาก็ตั้งมั่นในที่ของตน รักษาที่ทางของตนไว้ สละทุกหยาดหยดจากหัวใจของตน และวังชาทั้งหมดของตน และสำเร็จเสร็จสิ้นสิ่งที่ตนควรทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์  เมื่อพวกเขามายืนเบื้องหน้าพระเจ้าในที่สุดเพื่อตอบคำถาม พวกเขาย่อมรู้สึกค่อนข้างพอใจ ไม่มีคำกล่าวหาหรือความเสียใจในหัวใจของตน  พวกเขารู้สึกชูใจและรู้สึกว่าพวกเขาได้รับบางอย่าง รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นมีคุณค่า  นี่คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?  ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะมีขนาดเท่าใด จงบอกเราเถิดว่าเป้าหมายนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (สัมพันธ์กับชีวิตจริง)  เป็นเป้าหมายที่เจาะจงหรือไม่?  เจาะจงพอ สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากพอ และอยู่กับความเป็นจริงมากพอ  ดังนั้น เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและสัมฤทธิ์ผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ในท้ายที่สุด เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่ร่างกายของคนคนหนึ่งจะทนทุกข์บ้างและจ่ายราคาบ้าง ต่อให้พวกเขาทำให้ตนเองหมดแรงจนถึงจุดที่พวกเขาป่วยกายก็ตาม?  (คุ้มค่า)  เมื่อคนคนหนึ่งมาที่โลกนี้ ย่อมไม่ใช่เพื่อความสุขสำราญทางเนื้อหนัง หรือเพื่อกิน ดื่ม และสนุกเท่านั้น  คนเราไม่ควรใช้ชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านั้น นั่นไม่ใช่คุณค่าของชีวิตมนุษย์ หรือเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง  คุณค่าของชีวิตมนุษย์และทางเดินที่ถูกต้องนั้นประกอบด้วยการทำสิ่งที่มีคุณค่าให้สำเร็จและทำงานที่มีคุณค่าสักหนึ่งหรือหลายอย่างให้เสร็จสมบูรณ์  นี่ไม่เรียกว่าอาชีพการงาน นี่เรียกว่าเส้นทางที่ถูกต้อง และยังเรียกว่ากิจที่ถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย  จงบอกเราเถิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่คนคนหนึ่งจะจ่ายราคาเพื่อทำงานบางอย่างที่มีคุณค่าให้เสร็จสมบูรณ์ ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีคุณค่า ไล่ตามเสาะหาและเข้าถึงความจริง?  หากว่าแท้จริงแล้วเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาการเข้าใจความจริง ออกเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ลุล่วงหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี และดำรงชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ลังเลที่จะทุ่มกำลังวังชาทั้งหมดของเจ้า จ่ายราคาทั้งหมด รวมทั้งให้เวลาทั้งหมดและชีวิตที่เหลือของเจ้า  ถ้าเจ้ามีประสบการณ์กับโรคภัยบ้างในระหว่างนี้ ก็ย่อมจะไม่สำคัญ และจะไม่ทำให้เจ้าแหลกลาญ  นี่ย่อมเหนือกว่าชีวิตที่มีอิสรภาพอันสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไร บำรุงเลี้ยงร่างกายจนสมบูรณ์และมีสุขภาพดี แล้วก็มีอายุยืนนานในท้ายที่สุดมากนักมิใช่หรือ?  (ใช่)  ตัวเลือกสองทางนี้อย่างไหนเป็นการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่ามากกว่ากัน?  อย่างไหนสามารถชูใจผู้คนและทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเสียใจเมื่อเผชิญหน้าความตายในท้ายที่สุด?  (การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย)  การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  นี่หมายความว่าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะได้รับบางสิ่งและได้รับความชูใจ  แล้วคนที่อิ่มหนำสำราญ ผิวพรรณเป็นสีชมพูตลอดเวลาจวบจนวาระสุดท้ายย่อมเป็นเช่นไร?  พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย ดังนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกอย่างไรตอนตาย?  (รู้สึกเหมือนพวกเขาใช้ชีวิตสูญเปล่า)  สามคำนี้แหลมคมนัก—ใช้ชีวิตสูญเปล่า  “การใช้ชีวิตสูญเปล่า” หมายความว่าอย่างไร?  (ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่าๆ)  การใช้ชีวิตสูญเปล่า ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่าๆ—อะไรคือหลักการพื้นฐานของสองวลีนี้?  (ในวาระสุดท้ายของชีวิต พวกเขาพบว่าตนไม่ได้อะไรไว้เลย)  เช่นนั้นแล้วคนคนหนึ่งควรได้อะไรไว้?  (พวกเขาควรได้มาซึ่งความจริงหรือทำสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายในชีวิตนี้ให้สำเร็จลุล่วง  พวกเขาควรทำสิ่งทั้งหลายที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำนั้นให้ดี  ถ้าพวกเขาทำทั้งหมดนั้นไม่ได้และเอาแต่ใช้ชีวิตเพื่อร่างกายของตน พวกเขาก็จะรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นสูญเปล่าและเสียของ)  เวลาเผชิญหน้าความตาย พวกเขาจะใคร่ครวญสิ่งที่ตนทำมาตลอดชีวิต  พวกเขาจะกล่าวว่า “ฉันเอาแต่คิดถึงการกิน การดื่ม และการสนุกสนานทุกวัน  สุขภาพของฉันก็ดี และฉันไม่ได้มีประสบการณ์เป็นความเจ็บป่วยอะไร  ฉันมีสันติสุขมาทั้งชีวิต  แต่ตอนนี้พอแก่ตัวและใกล้ตาย ตัวฉันจะไปที่ใดหลังจากที่ตายแล้ว?  ฉันจะไปนรกหรือสวรรค์?  พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมปลายทางเช่นใดไว้ให้ฉัน?  บั้นปลายที่ฉันจะไปคือที่ใด?”  พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ  เมื่อสุขสำราญกับความสบายกายมาทั้งชีวิต พวกเขาย่อมไม่มีความตระหนักรู้ใดๆ มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อความตายใกล้เข้ามา พวกเขากลับรู้สึกไม่สบายใจ  และเพราะพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาย่อมจะเริ่มคิดแก้ไขความผิดพลาดมิใช่หรือ?  ถึงตอนนั้นจะยังคงมีเวลาให้แก้ไขความผิดพลาดอยู่อีกหรือ?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่มีแรงวิ่งอีกแล้ว และไม่มีแรงพูด  ต่อให้พวกเขาอยากจ่ายราคาสักนิดหรือสู้ทนความทุกข์ยากสักหน่อย พวกเขาก็มีพละกำลังไม่พอ  ต่อให้พวกเขาอยากออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ร่างกายของพวกเขาก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำเช่นนั้น  นอกจากนั้น พวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงอันใดและไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้แม้แต่น้อย  ไม่มีเวลาให้พวกเขาแก้ไขความผิดพลาดอีกแล้ว  สมมุติว่าพวกเขาอยากฟังเพลงนมัสการบางเพลง  ขณะที่ฟังไป พวกเขาย่อมผล็อยหลับ  สมมุติว่าพวกเขาอยากฟังคำเทศนา  ขณะที่ฟังไป พวกเขาย่อมง่วงงุน  พวกเขาไม่มีกำลังวังชาอีกแล้ว และจดจ่อไม่ได้  พวกเขาครุ่นคิดว่าตนทำอะไรไปบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา และใช้พละกำลังของตนไปในเรื่องใดบ้าง  ตอนนี้พวกเขาอายุมากขึ้นแล้ว และอยากทำงานที่ถูกควรของตน แต่ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของพวกเขาย่อมจะไม่เปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้น  พวกเขาก็เพียงไม่มีกำลังวังชาอีกแล้ว พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ ต่อให้อยากเรียนรู้ก็ตาม และปฏิกิริยาของพวกเขาก็ช้า  มีความจริงมากมายที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ และเมื่อพวกเขาพยายามที่จะสามัคคีธรรมกับผู้อื่น ทุกคนก็ยุ่งและไม่มีเวลาสามัคคีธรรมกับพวกเขา  พวกเขาจึงไม่มีหลักธรรมหรือเส้นทางในสิ่งที่พวกเขาทำ  ท้ายที่สุดแล้วย่อมเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?  ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ  ยิ่งใคร่ครวญ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ  ยิ่งตรึกตรอง เรื่องเสียใจของพวกเขาก็ยิ่งพอกพูน  ในที่สุดพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรอคอยความตาย  ชีวิตของพวกเขาจบสิ้นแล้ว และไม่มีทางที่จะแก้ไขอะไรได้  พวกเขารู้สึกเสียใจหรือไม่?  (รู้สึก)  สายเกินไปแล้ว!  ไม่มีเวลาเหลือแล้ว  เมื่อเผชิญหน้าความตาย พวกเขาจึงตระหนักว่าการสุขสำราญกับชีวิตที่สบายกายนั้นว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง  พวกเขารู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างและอยากหันกลับไปไล่ตามเสาะหาความจริง ลุล่วงหน้าที่ของตน และทำบางสิ่งให้ดี แต่พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์อะไรหรือพากเพียรเพื่อสิ่งใดได้ไม่ว่าจะในแง่ใด  ชีวิตนี้เกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว และลงท้ายด้วยความเสียใจ หอบหิ้วความสำนึกผิดและความไม่สบายใจติดไปด้วย  สุดท้ายแล้วจุดจบของผู้คนแบบนี้เวลาเผชิญหน้าความตายย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขาได้แต่ตายไปพร้อมความเสียใจ ความสำนึกผิด และความไม่สบายใจ  ชีวิตนี้หมดไปอย่างสูญเปล่า!  ร่างกายของพวกเขาไม่ได้สู้ทนความทุกข์ยากอันใด  พวกเขาสุขสำราญแต่กับความสะดวกสบาย ไม่ได้กรำแดดหรือลม หรือเสี่ยงกับอะไร  พวกเขาไม่ได้จ่ายราคาอันใด  พวกเขาดำรงชีวิตด้วยสุขภาพที่ดี แทบไม่มีประสบการณ์เป็นความเจ็บป่วยอะไร ไม่ค่อยเป็นหวัดด้วยซ้ำ  พวกเขาดูแลร่างกายเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ลุล่วงหน้าที่หรือได้ความจริงไปแต่อย่างใด  มีแต่เมื่อถึงเวลาตาย พวกเขาจึงรู้สึกเสียใจ  แล้วถ้าพวกเขารู้สึกเสียใจ ย่อมจะเกิดอะไรขึ้น?  นี่เรียกว่าทนทุกข์เพราะการกระทำของตนเอง!

หากคนคนหนึ่งอยากมีชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความจริง  ก่อนอื่นพวกเขาควรมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต มีความคิดอ่านและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องใหญ่และเล็กต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตและบนเส้นทางชีวิตของตน  พวกเขาควรมองเรื่องทั้งหมดนี้จากมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้องอีกด้วย แทนที่จะรับมือปัญหาต่างๆ ที่ตนพบเจอในครรลองชีวิตหรือในชีวิตประจำวันโดยใช้ความคิดและมุมมองที่สุดโต่งหรือรุนแรง  แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่มองสิ่งเหล่านี้ด้วยมุมมองทางโลกอีกด้วย แต่ควรปล่อยมือจากความคิดและมุมมองที่เป็นลบและไม่ถูกต้องดังกล่าว  ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์เรื่องนี้ เจ้าก็ควรชำแหละ เปิดโปง และตระหนักรู้ความคิดอ่านที่เป็นลบนานัปการที่ผู้คนเก็บงำกันอยู่เสียก่อน จากนั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงและแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ของตนให้ถูกต้อง ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เหล่านี้ มีความคิดอ่านและมุมมองที่ถูกต้องและเป็นบวก รวมทั้งทัศนคติและจุดยืนที่ถูกต้องไว้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  เมื่อทำเช่นนี้ เจ้าก็จะมีมโนธรรมและสำนึกที่จำเป็นต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง  แน่นอนว่าสามารถกล่าวให้แน่ชัดได้ว่าเมื่อคนคนหนึ่งมีมุมมอง ทัศนคติ และจุดยืนที่ถูกต้องในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย นั่นย่อมหมายถึงการมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  ถ้าผู้คนมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติแบบนี้ มีความคิดและมุมมองที่ถูกต้องเหล่านี้ การไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาย่อมง่ายขึ้นมากและไม่ท้าทายเท่าใดนัก  นี่ก็เหมือนเวลาที่คนคนหนึ่งอยากจะไปให้ถึงจุดหมาย—ถ้าพวกเขาใช้เส้นทางที่ถูกต้องและมุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด พวกเขาย่อมจะไปถึงจุดหมายนั้นในท้ายที่สุด  อย่างไรก็ดี ถ้าคนคนหนึ่งมุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับจุดหมายที่ตนตั้งใจไว้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะไปได้เร็วหรือช้าเพียงใด พวกเขาก็มีแต่จะยิ่งออกห่างจากจุดหมายของตนไปเรื่อยๆ  สำนวนนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไร?  “พยายามลงใต้ด้วยการขับรถขึ้นเหนือ”  แท้จริงแล้วนี่ก็เหมือนการที่บางคนเชื่อในพระเจ้าและอยากได้รับความรอด แต่กลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาย่อมไม่มีหนทางที่จะได้รับความรอด  จุดจบของพวกเขาจะเป็นเช่นไรในท้ายที่สุด?  แน่นอนว่าย่อมจะเป็นการถูกลงโทษ  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนคนหนึ่งเป็นมะเร็งและกลัวตาย  เขาไม่ยอมรับความตายและคอยอธิษฐานอยู่เสมอให้พระเจ้าคุ้มครองตนจากความตายและยืดชีวิตของตนไปอีกสองสามปี  แม้พวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดมาได้อีกสองสามปี บรรลุเป้าหมายและมีประสบการณ์เป็นความสุขที่เกิดจากการหลีกเลี่ยงความตายได้ แต่พวกเขาก็หอบหิ้วภาวะอารมณ์เชิงลบที่ทุกข์ใจ วิตกกังวล และกระวนกระวายติดตัวไว้ไม่เว้นวัน  พวกเขารู้สึกโชคดี และเชื่อว่าพระเจ้าทรงดีงามยิ่ง พระองค์ทรงเลอเลิศอย่างแท้จริง  ด้วยความพยายามของพวกเขา การวอนขอซ้ำแล้วซ้ำเล่า การรักตัวเอง และดูแลเอาใจใส่ตัวเอง พวกเขาจึงหลีกหนีความตายมาได้ และในท้ายที่สุดก็มีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนที่พวกเขาปรารถนาโดยแท้  พวกเขาแสดงความขอบคุณการปกปักรักษา พระคุณ ความรัก และความกรุณาของพระเจ้า  พวกเขาขอบคุณพระเจ้าทุกวันและมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เพื่อถวายการสรรเสริญในเรื่องนี้  พวกเขามักจะร่ำไห้ขณะร้องเพลงนมัสการและขณะที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็คิดเรื่องพระเจ้าทรงวิเศษเพียงใดว่า “พระเจ้าทรงควบคุมชีวิตและความตายอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ฉันมีชีวิตอยู่”  ขณะที่ทำหน้าที่ของตนในแต่ละวัน พวกเขามักจะพิจารณาว่าทำอย่างไรจึงจะให้ความสำคัญกับความทุกข์เป็นอันดับแรกและความรื่นเริงหรรษาเป็นอันดับสุดท้าย และทำอย่างไรจึงจะทำได้ดีกว่าผู้อื่นในทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ตนสามารถรักษาชีวิตของตนไว้และหลีกเลี่ยงความตายได้—สุดท้าย พวกเขาก็มีชีวิตอยู่อีกสองสามปี รู้สึกพอใจและมีความสุขมาก  แต่แล้ววันหนึ่งอาการโรคของพวกเขาก็หนักขึ้น และหมอก็แจ้งให้พวกเขารู้เป็นครั้งสุดท้าย โดยบอกให้พวกเขาเตรียมตัวรับวาระสุดท้าย  คราวนี้พวกเขาจึงเผชิญหน้าความตาย พวกเขาจวนเจียนจะตายแล้วจริงๆ  พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  สิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดมาถึงตัวแล้ว สิ่งที่พวกเขาวิตกกังวลมากที่สุดกลายเป็นจริงขึ้นมาในท้ายที่สุดแล้ว  วันที่พวกเขาไม่อยากเห็นและไม่อยากมีประสบการณ์ด้วยมากที่สุดมาถึงแล้ว  หัวใจของพวกเขาตกวูบทันทีและอารมณ์ของพวกเขาก็ตกต่ำถึงขีดสุด  พวกเขาไม่มีแก่ใจที่จะทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป และไม่มีถ้อยคำใดๆ หลงเหลือให้อธิษฐานถึงพระเจ้า  พวกเขาไม่อยากสรรเสริญพระเจ้าหรือฟังพระองค์ตรัสพระวจนะหรือประทานความจริงใดๆ อีกแล้ว  พวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเจ้าคือความรัก ความชอบธรรม ความกรุณา และความใจดีมีเมตตา  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็รู้สึกเสียใจว่า “หลายปีมานี้ฉันลืมกินอาหารดีๆ ให้มากขึ้นและไปหาความสนุกบ้างยามที่ตัวเองมีเวลาว่าง  ตอนนี้ฉันไม่มีโอกาสที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว”  ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาเต็มไปด้วยความคับข้องหมองใจและวาจาคร่ำครวญ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ถ้อยคำพร่ำบ่น ความขุ่นเคือง และการปฏิเสธพระเจ้า  จากนั้น พวกเขาก็จากโลกนี้ไปด้วยความเสียใจ  ก่อนที่พวกเขาจะจากไป หัวใจของพวกเขายังคงมีพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเขายังคงเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าหรือไม่?  (พวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว)  เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้อย่างไร?  นี่เริ่มจากมุมมองที่ไม่ถูกต้องซึ่งพวกเขามีต่อชีวิตและความตายตั้งแต่แรกเริ่มเลยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่เพียงพวกเขาจะมีความคิดอ่านและมุมมองที่ไม่ถูกต้องในตอนแรกเริ่มเท่านั้น แต่ที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือ หลังจากนี้พวกเขายังเห็นคล้อยและทำตามความคิดอ่านและมุมมองของตนในการไล่ตามไขว่คว้าต่อไปอีกด้วย  พวกเขาไม่เคยเลิกรา กลับพุ่งตรงไปข้างหน้าและเร่งวิ่งไปบนเส้นทางที่ผิดโดยไม่เหลียวหลัง  ผลก็คือในที่สุดพวกเขาก็สูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้า—การเดินทางในความเชื่อของพวกเขาจึงสิ้นสุดลงเช่นนี้ และชีวิตของพวกเขาก็พลอยสรุปปิดตัวเช่นนี้ด้วย  พวกเขาได้รับความจริงกันหรือไม่?  พระเจ้าทรงรับพวกเขาไว้หรือไม่?  (ไม่)  เมื่อพวกเขาสิ้นชีวิตในที่สุด มุมมองและท่าทีที่พวกเขายึดถือในเรื่องของความตายเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาตายด้วยความชูใจ เบิกบาน และมีสันติสุข หรือตายด้วยความเสียใจ ไม่เต็มใจ และขมขื่น?  (พวกเขาตายด้วยความไม่เต็มใจและขมขื่น)  พวกเขาไม่ได้อะไรไปเลย  ไม่ได้รับความจริง และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงรับพวกเขาไว้เช่นกัน  ดังนั้น พวกเจ้าคิดว่าคนแบบนี้ได้รับความรอดหรือยัง?  (ยัง)  พวกเขายังไม่ได้รับการช่วยให้รอด  ก่อนตาย พวกเขาวิ่งวุ่นมากมายและสละไปมากมายมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนเหมือนผู้อื่นโดยแท้ ดูภายนอกพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากผู้อื่น  เมื่อพวกเขามีประสบการณ์เป็นโรคภัยและความตาย พวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและยังคงไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน  พวกเขาทำงานต่อไป ในระดับเดียวกับที่เคยทำมาก่อนด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ดี มีบางสิ่งที่ผู้คนพึงเข้าใจและรู้เท่าทันซึ่งก็คือ ความคิดอ่านและมุมมองที่คนคนนี้เก็บงำอยู่นั้นเป็นลบและไม่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าความทุกข์หรือราคาที่พวกเขาจ่ายไประหว่างที่ทำหน้าที่ของตนจะมากน้อยเท่าใด พวกเขาก็มีความคิดอ่านและมุมมองที่ผิดพลาดเหล่านี้อยู่ในการไล่ตามเสาะหาของตน  พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้กำกับเอาไว้อย่างต่อเนื่องและนำภาวะอารมณ์เชิงลบของตนเข้ามาในหน้าที่ เสาะแสวงที่จะถวายการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้พระเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นการมีชีวิตรอด เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตน  เป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อที่จะเข้าใจหรือได้รับความจริง หรือนบนอบทุกสิ่งที่เป็นการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  แท้จริงแล้วเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาตรงข้ามกับเรื่องนี้  พวกเขาอยากใช้ชีวิตตามเจตจำนงและความต้องการของตน ได้สิ่งที่ตนอยากไล่ตามไขว่คว้า  พวกเขาอยากจัดแจงและจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของตนเอง และแม้กระทั่งความเป็นความตายของตนเอง  ดังนั้น เมื่อสุดทางแล้ว จุดจบของพวกเขาจึงกลายเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย  พวกเขาไม่ได้รับความจริง และท้ายที่สุดพวกเขาก็ปฏิเสธพระเจ้าและสูญสิ้นความเชื่อในพระองค์  แม้ในยามที่ความตายใกล้เข้ามา พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าผู้คนควรใช้ชีวิตอย่างไร และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระผู้สร้างอย่างไร  นั่นคือสิ่งที่น่าเวทนาและน่าสลดใจที่สุดในเรื่องของพวกเขา  แม้ในยามใกล้ตาย พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมของพระผู้สร้างทั้งสิ้น  ถ้าพระผู้สร้างทรงต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าถูกโรคร้ายแรงถึงตายคอยรุมเร้า เจ้าก็จะไม่ตาย  ถ้าพระผู้สร้างทรงต้องการให้เจ้าตาย เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ายังหนุ่มยังสาว มีสุขภาพดี และแข็งแรง เมื่อถึงเวลาของเจ้า เจ้าก็ต้องตาย  ทุกสิ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถอยู่เหนือสิ่งนี้ได้  พวกเขาไม่เข้าใจข้อเท็จจริงง่ายๆ แบบนี้—น่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่)  แม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า เข้าชุมนุม ฟังคำเทศนา และทำหน้าที่ของตน แม้พวกเขาจะเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับรู้ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าโชคชะตาของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงความเป็นและความตาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ได้อยู่ภายใต้เจตจำนงของมนุษย์  ไม่มีใครตายเพียงเพราะพวกเขาอยากตาย และไม่มีใครมีชีวิตรอดเพียงเพราะพวกเขาอยากมีชีวิตอยู่และกลัวตาย  พวกเขาไม่เข้าใจข้อเท็จจริงพื้นๆ เช่นนี้ พวกเขาไม่รู้เท่าทันแม้ในยามเผชิญหน้าความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ และพวกเขายังคงไม่รู้ว่าความเป็นความตายของคนคนหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวจะกำหนดเอาเอง แต่ขึ้นอยู่กับการลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง  เรื่องนี้น่าสลดใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น แม้ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ จะดูไม่มีนัยสำคัญในสายตาของผู้คน แต่ก็เกี่ยวพันกับท่าทีที่คนเราใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายภายในขอบข่ายของความเป็นมนุษย์ที่ปกติทั้งสิ้น  ถ้าคนคนหนึ่งสามารถมีท่าทีที่เป็นบวกต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้ว คนคนนั้นย่อมจะมีภาวะอารมณ์เชิงลบค่อนข้างน้อย  อาจกล่าวได้อีกด้วยว่ามโนธรรมและสำนึกของพวกเขาค่อนข้างจะปกติ ทำให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น ลดความยากลำบากและอุปสรรคที่พวกเขาจะพบเจอให้น้อยลง  ถ้าหัวใจของคนเราเต็มไปด้วยภาวะอารมณ์เชิงลบสารพัดชนิด ซึ่งหมายความว่าท่าทีที่พวกเขามีต่อเรื่องที่ท้าทายในชีวิตและความเป็นอยู่ของตนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความคิดต่างๆ ที่เป็นลบ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเผชิญอุปสรรคและความยากลำบากมากขึ้นเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าเจตจำนงของพวกเขาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงไม่เข้มแข็ง ถ้าพวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นมากนัก หรือไม่มีแรงปรารถนาเพื่อพระเจ้ามากมายขนาดนั้น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะพบเจอความยากลำบากและอุปสรรคเป็นอันมากในการไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ถ้าไม่พูดถึงความร้ายแรงของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เพียงอย่างเดียวย่อมจะพันธนาการพวกเขาเอาไว้ ทำให้ทุกย่างก้าวล้วนยากลำบาก  เมื่อบางคนเผชิญหน้าความเกลียดชัง ความโกรธ ความเจ็บปวดสารพัดอย่าง หรือปัญหาอื่นๆ ความคิดต่างๆ ที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นลบ  นั่นคือ โดยทั่วไปแล้ว สถานะของพวกเขาในแทบทุกเรื่องย่อมถูกภาวะอารมณ์เชิงลบครอบงำอยู่เสมอ  ถ้าเจ้าไม่มีความมุ่งมั่นและความมานะบากบั่นซึ่งจำเป็นต่อการแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ต่อการหลุดจากสถานะที่เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบเช่นนี้ การที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่ง และจะไม่ใช่เรื่องง่าย  นี่หมายความว่าก่อนที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงของการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น ผู้คนต้องมีความคิดอ่าน มุมมอง และจุดยืนขั้นพื้นฐานที่สุดที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาแต่ละอย่างที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ที่ปกติเสียก่อน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะเข้าใจและยอมรับความจริงได้ และค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ก่อนที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างเป็นกิจจะลักษณะนั้น เจ้าต้องแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ของเจ้าและผ่านพ้นขั้นตอนนี้ไปเสียก่อน  เมื่อผู้คนผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว เมื่อความคิดอ่านและมุมมองที่พวกเขามีในเรื่องต่างๆ ตลอดจนทัศนคติและจุดยืนที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ล้วนถูกต้อง เมื่อนั้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงย่อมจะง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา

จ. อารมณ์เก็บกด

2. รู้สึกเก็บกดเพราะไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตน

คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมกันถึงสาเหตุประการหนึ่งที่ภาวะอารมณ์เชิงลบของการเก็บกดก่อเกิดในตัวผู้คน  ความเก็บกดเกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบ  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงสาเหตุอีกประการหนึ่งของการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบของการเก็บกด กล่าวคือ ผู้คนมักจะใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เก็บกดนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตนได้  นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  คราวที่แล้วพวกเราพูดคุยกันถึงการที่บางคนมักจะอยากทำตามใจชอบในคริสตจักรหรือในชีวิตประจำวัน ทำตัวเอ้อระเหยและไม่ทำงานที่ถูกควรของตน ดังนั้นเมื่อความอยากได้อยากมีของพวกเขาไม่ได้รับการเติมเต็ม พวกเขาจึงรู้สึกเก็บกด  คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งสำแดงออกมา  ผู้คนเหล่านี้มีพรสวรรค์ จุดแข็ง หรือทักษะและความสามารถบางอย่างในสายงาน หรือเชี่ยวชาญสายงานด้านเทคนิคบางชนิด เป็นต้น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้พรสวรรค์ จุดแข็ง และทักษะในสายงานของตนได้ตามปกติเมื่ออยู่ในคริสตจักร ผลก็คือพวกเขามักจะหม่นหมอง รู้สึกว่าชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่สะดวกสบายและไม่มีความสุข และพวกเขาก็ไร้ซึ่งความเบิกบาน  สรุปแล้ว คำที่อธิบายความรู้สึกนี้ก็คือความเก็บกด  สังคมทางโลกเรียกผู้คนแบบนี้ว่าอย่างไร?  เรียกว่ามืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และผู้ชำนาญเฉพาะด้าน—สรุปแล้ว พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ  ผู้เชี่ยวชาญมีลักษณะอย่างไร?  พวกเขามีหน้าผากสูง มีดวงตาที่สดใส สวมแว่น เชิดหน้า และสาวเท้าเดินอย่างเร่งรีบ จัดการเรื่องต่างๆ ด้วยความเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ  ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาก็คือการถือกระเป๋าใส่แล็ปท็อปไปทุกที่  ดูออกทันทีว่าพวกเขาคือมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค  สรุปว่าผู้คนแบบนี้มีความสามารถในสายงานบางด้านหรือค่อนข้างชำนาญเทคโนโลยีบางอย่าง  พวกเขาได้รับการศึกษาและการสอนสั่งทางด้านวิชาชีพ ผ่านการอบรมและฝึกฝนตามสายงาน หรือบางคนก็อาจไม่ได้รับการสอนและฝึกฝนในสายอาชีพ แต่เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษและขีดความสามารถบางอย่าง  ผู้คนแบบนี้เป็นที่รู้จักในฐานะมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค  เมื่อผู้คนเหล่านี้เข้าร่วมคริสตจักร ก็เป็นอย่างในสังคมไม่มีผิด พวกเขามักจะถือแล็ปท็อปไปทุกที่ และไม่ว่าจะไปทำงานที่ใดก็อยากได้รับการยอมรับว่าเป็นมืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค  พวกเขาสุขสำราญกับการได้ชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญและถึงกับชอบให้มีคำว่า “ศาสตราจารย์” นำหน้าชื่อสกุลของตน เป็นต้น พวกเขาชอบให้มีการปฏิบัติและเรียกหาตนเช่นนี้  อย่างไรก็ดี คริสตจักรเป็นสถานที่ที่พิเศษ และเป็นที่ที่มีงานพิเศษ  แตกต่างจากกลุ่มหรือองค์กรหรือสถาบันใดๆ ในสังคมทางโลก  ปกติแล้วที่นี่เสวนาอะไรกัน?  ความจริง หลักธรรม กฎเกณฑ์ การจัดเตรียมงานต่างๆ  การปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนคำพยานให้พระเจ้า  แน่นอนว่ากล่าวให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นก็คือ ผู้คนต้องปฏิบัติความจริง นบนอบพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง นบนอบการจัดเตรียมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและหลักธรรมที่พระนิเวศแจ้งไว้ และอื่นๆ อีกด้วย  ทันทีที่กฎเกณฑ์ที่ชัดแจ้งเหล่านี้ได้รับการส่งเสริม และผู้คนต้องปฏิบัติและยึดมั่นตามนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมคริสตจักรก็รู้สึกว่าพวกตนไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง  ทักษะที่พวกเขาร่ำเรียนมาหรือความรู้ที่พวกเขามีในสาขาบางอย่างมักจะไม่ได้ใช้ในคริสตจักร  ปกติแล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญหรือได้รับการยกย่องอะไร พวกเขามักจะเป็นผู้ดู  จึงเป็นธรรมดาที่บ่อยครั้งคนเหล่านี้จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำ และไม่ได้ใช้ความสามารถของตน  พวกเขาคิดในใจว่าอย่างไร?  “แล้วกัน นี่เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าพยัคฆ์ลงที่ราบ ย่อมจะถูกสุนัขดูแคลน’ ไม่มีผิด!  สมัยที่ฉันทำงานให้บริษัทนั้นๆ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือของต่างชาติช่างเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์!  ฉันไม่ต้องถือกระเป๋าของตัวเองด้วยซ้ำ มีคนอื่นคอยจัดแจงชีวิตประจำวันและการงานให้ฉันในทุกๆ ด้าน  ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องใดเลย  ฉันคือผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคชั้นครู ดังนั้นฉันจึงเป็นคนสำคัญในบริษัท  การเป็นคนสำคัญหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าถ้าไม่มีฉัน บริษัทก็จะทำงานไม่ได้ ไม่มีทางได้รับคำสั่งซื้อ และลูกจ้างทุกคนในบริษัทก็จะต้องพักงานไประยะหนึ่ง—บริษัทย่อมเสี่ยงที่จะปิดกิจการ ไปไม่รอดถ้าไม่มีฉัน  นั่นคือวันเวลาที่รุ่งโรจน์ เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกจริงๆ ว่ามีคนมองเห็น!”  บัดนี้เมื่อพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขายังคงอยากสุขสำราญกับความรุ่งโรจน์ในระดับเดียวกัน  พวกเขาคิดไปว่า “ด้วยความสามารถของฉัน ก็ควรมีที่ทางให้ฉันได้ฉายแสงในพระนิเวศของพระเจ้าให้มากขึ้นอีก  แล้วทำไมถึงไม่เรียกใช้ฉัน?  ทำไมผู้นำและพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรถึงมองข้ามฉันอยู่เสมอ?  เทียบกับคนอื่นแล้ว ฉันขาดอะไรไป?  ในด้านรูปลักษณ์ ฉันก็หน้าตาดี ในด้านพื้นอารมณ์ ฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าคนอื่น ในด้านความมีหน้ามีตาและเกียรติยศ ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย และในด้านความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ฉันก็มีความเชี่ยวชาญสูงสุด  แล้วทำไมถึงไม่มีใครสนใจฉัน?  ทำไมไม่มีใครรับฟังคำพูดและข้อเสนอแนะของฉัน?  ทำไมฉันถึงไม่ได้รับการต้อนรับอย่างดีในพระนิเวศของพระเจ้า?  เป็นไปได้ไหมว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญอย่างฉัน?  เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันไม่มีที่ให้ใช้ทักษะของตนเองตั้งแต่มาที่นี่?  งานในพระนิเวศของพระเจ้าต้องมีสักด้านหนึ่งที่ต้องการทักษะทางเทคนิคที่ฉันร่ำเรียนมา  ที่นี่ควรเห็นค่าความเชี่ยวชาญของฉัน!  ฉันเป็นมืออาชีพ ฉันควรเป็นผู้นำทีม เป็นผู้ดูแล เป็นผู้นำ—ฉันควรนำคนอื่น  ทำไมฉันถึงเป็นแค่ลูกน้องอยู่เสมอ?  ไม่มีใครสนใจฉัน ไม่มีใครนับถือฉัน  เกิดอะไรขึ้น?  นี่คือการปฏิบัติที่ฉันควรได้รับจริงหรือถ้าหากฉันไม่เข้าใจความจริง?”  พวกเขาถามตัวเองเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่เคยสามารถพบเจอคำตอบ ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในความเก็บกด

เมื่อคณะนักร้องประสานเสียงขึ้นไปขับร้องบนเวที พวกเขาเคยถามเราเรื่องทรงผมอยู่ครั้งหนึ่ง  เราตอบว่า “พี่น้องหญิงสามารถรวบผมทรงหางม้า หรือตัดสั้นเท่าปลายหู หรือยาวประบ่าก็ได้  แน่นอนว่าจะเกล้ามวยต่ำหรือสูงก็ได้เช่นกัน  ส่วนพี่น้องชายสามารถตัดผมเกรียนหรือรองทรงสูง  ไม่จำเป็นต้องมีการจัดทรงหรือใช้เครื่องประดับผม  เพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่าดูดี เรียบร้อย สะอาดตา และเป็นธรรมชาติ  สรุปแล้ว ตราบใดที่พวกเจ้าดูซื่อตรงและมีศักดิ์ศรี ดูเป็นคริสตชนคนหนึ่ง นั่นย่อมดี  สิ่งสำคัญคือการขับร้องและแสดงตามรายการให้ดี”  ถ้อยคำที่เรากล่าวไปนี้ชัดเจนหรือไม่?  เข้าใจง่ายหรือไม่?  (เข้าใจง่าย)  เรื่องทรงผมของทั้งชายและหญิงนั้นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว  หลักธรรมในการเลือกทรงผมมีว่าอย่างไร?  พี่น้องชายสามารถไว้รองทรงสูงหรือตัดเกรียนได้ ส่วนพี่น้องหญิงสามารถไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้  ถ้าไว้ผมยาวก็รวบเป็นทรงหางม้าได้ ถ้าไว้สั้นก็ดูให้แน่ใจว่าไม่สั้นเกินไปก็พอ  นั่นคือหลักธรรมข้อหนึ่ง  หลักธรรมอีกข้อก็คือความสะอาด ความเรียบร้อย รูปลักษณ์ที่ดูดีและมีศักดิ์ศรี รวมทั้งบุคลิกที่ดี  พวกเราไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นคนดังหรือคนที่มีชื่อเสียงในสังคม  พวกเราไม่ได้แสวงหาภาพลักษณ์ที่สวยหรู แค่มีรูปลักษณ์ที่ดูซื่อตรงและมีศักดิ์ศรีก็พอ  สรุปแล้ว คนเราควรดูสะอาด เรียบร้อย ซื่อตรง และมีศักดิ์ศรี  ที่เรากล่าวมานี้ชัดเจนหรือไม่?  หลักธรรมสองข้อนี้ง่ายที่จะเข้าใจและนำไปปฏิบัติหรือไม่?  (ง่าย)  ทันทีที่ผู้คนได้ฟังเช่นนี้ พวกเขาย่อมเข้าใจชัดเจนในหัวใจของตน และไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวซ้ำ  ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายเหลือเกิน  ผ่านไปสิบกว่าวัน พวกเขาก็ส่งวิดีโอมาให้เรา  ระหว่างที่ดูอยู่นั้น เราเห็นพี่น้องหญิงอยู่สามหรือสี่แถว  แถวแรกจัดทรงกันมาทุกคน แต่ละคนก็มีทรงผมและการจัดทรงที่ต่างกันไป  ทุกคนดูแตกต่างกัน ทุกทรงดูแปลกประหลาด และพี่น้องหญิงบางคนที่มีอายุยี่สิบกว่าๆ กลับดูเหมือนมีอายุสามสิบหรือสี่สิบกว่าปี บ้างก็ดูเหมือนหญิงชรา  สรุปแล้ว แต่ละคนมีทรงผมที่แตกต่างกันไป  คนที่ส่งวิดีโอมาให้กล่าวว่า “พวกเราทำผมแตกต่างกันหลายทรงเพื่อให้พระองค์เลือก  พระองค์จะเลือกทรงไหนก็ได้ แล้วพวกเราก็จะทำทรงนั้น  ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเรา!  พอพระองค์เลือกเสร็จ เพียงตรัสบอกพวกเราเท่านั้น พวกเราก็จะทำตามนั้น ไม่มีปัญหา!”  พวกเจ้าคิดว่าเรารู้สึกอย่างไรหลังจากดูวิดีโอนั้นแล้ว?  เรารู้สึกขัดเคืองเล็กน้อย จากนั้นพอพินิจดูให้ดี เราก็เริ่มไม่พอใจ  พอนึกถึงหลักธรรมที่เราอธิบายให้พวกเธอฟัง สุดท้ายเราก็พูดไม่ออก  เราไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  คิดอยู่ว่า “อ้อ ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจภาษามนุษย์”  เราใคร่ครวญถ้อยคำที่เรากล่าวและหลักธรรมที่เราบอกพวกเธอไป ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถจับใจความและทำความเข้าใจได้  เรื่องง่ายแบบนี้ไม่ได้ยากสำหรับผู้คน และผู้คนก็สามารถทำตามได้—แต่ทำไมพวกเธอถึงส่งวิดีโอแบบนั้นมาให้เรา?  หลังจากตรวจสอบดู เราจึงตระหนักว่านี่ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้อธิบายจุดประสงค์ของเราให้ชัดแจ้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเราบอกให้พวกเธอทำทรงผมให้หลากหลาย  พฤติกรรมเช่นนี้มีสาเหตุอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งเป็นเพราะพวกเธอไม่สามารถเข้าใจวจนะของเรา  ส่วนอีกข้อหนึ่งคือทันทีที่ผู้คนสามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ ทันทีที่พวกเขาเข้าใจบางสิ่ง ชำนาญทักษะและเทคนิคบางอย่างแล้ว พวกเขากลับไม่รู้จักที่ทางของตนในจักรวาล  พวกเขาไม่เคารพใครและอยากอวดตนอยู่เสมอ กลายเป็นคนโอหังอย่างที่สุด  ต่อให้พวกเขาเข้าใจวจนะของเรา พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือนำไปปฏิบัติ  พวกเขาไม่ใส่ใจในวจนะของเรา ไม่เห็นว่าวจนะของเราสำคัญ และเอาแต่เมินสิ่งที่เรากล่าว  พวกเขาเพียงแต่ไม่สนใจสิ่งที่เราขอให้ทำหรือสิ่งที่เราต้องการ  เมื่อพวกเขาถามเราเรื่องหลักธรรม ในความเป็นจริง พวกเขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะทำอะไรและจะทำอย่างไร  การที่พวกเขาถามเราเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการของพวกเขาเท่านั้น  การที่พวกเขาถามเช่นนั้นจึงเป็นการล้อเลียนอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากที่พวกเขาล้อเลียนเสร็จแล้ว ไม่ว่าเราจะกล่าวอะไรไป พวกเขาก็ทำตามที่อยากทำในท้ายที่สุด ไม่ได้ทำตามวจนะของเราเลย  พวกเขาเอาแต่ใจอย่างยิ่ง!  พวกเขาคิดอะไรอยู่?  “พระองค์ประเมินพวกเราต่ำไป  พวกเราคือผู้ชำนาญการมืออาชีพ  มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มีอิทธิพลในสังคม  พวกเรามีทักษะและความเชี่ยวชาญเหล่านี้ และไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเราก็สามารถมีชีวิตที่ดีและได้รับความเคารพจากผู้คน  มีแต่ตอนที่มาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเรากลายเป็นคนรับใช้และถูกดูแคลนตลอดเวลา  พวกเรามีทักษะ พวกเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ พวกเราไม่ใช่ผู้คนทั่วไป  พวกเราควรได้รับการนับถือในพระนิเวศของพระเจ้า  พระองค์จะกดความสามารถของพวกเราเอาไว้แบบนี้ไม่ได้  พวกเราใช้ความเชี่ยวชาญของตนในพระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ก็ควรสนับสนุนและคอยหนุนหลังพวกเรา”  นี่หยาบคายและไม่มีเหตุผลมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราก็คิดว่า “อ้อ ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถใช้เหตุผลด้วยได้!”  เมื่อเราบอกหลักธรรมแก่พวกเขา เราถึงกับถามพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “พวกเจ้าเข้าใจหรือยัง?  พวกเจ้าจะจำได้หรือไม่?”  พวกเขาก็รับปากเราซึ่งหน้าโดยตลอด แต่แล้วพอพวกเขาหันหลังกลับ พวกเขาก็คืนคำทันที  พวกเขากล่าวสิ่งที่ฟังดูดีมากว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน อยู่ที่นี่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย”  นั่นใช่สิ่งที่เจ้าเรียกว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ากระนั้นหรือ?  เจ้ากำลังทำให้พระเจ้าพอพระทัยจริงหรือ?  เจ้ากำลังตอบสนองเนื้อหนังของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้าเอง  เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อไล่ตามอาชีพการงานของเจ้า ไม่ใช่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้ามาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าก็เพื่อทำลาย  จงบอกเราเถิดว่าในเรื่องของหลักธรรมที่ผู้คนควรค้ำชูในงานทุกด้านแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้น ใครมีสิทธิ์ชี้ขาด?  เป็นเจ้าหรือว่าพระเจ้า?  (พระเจ้ามีสิทธิ์ชี้ขาด)  คำพูดของเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง?  (พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง)  ทุกสิ่งที่พวกเจ้าพูดคือคำสอนอย่างหนึ่ง  ถ้าคำสอนนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้ว คำสอนนั้นก็กลายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  ในเมื่อพวกเจ้ายอมรับว่าสิ่งที่เราพูดคือความจริง เหตุใดพวกเจ้าจึงยอมรับวจนะของเราไม่ได้?  ทำไมเวลาเรากล่าวกับพวกเจ้า ถึงไม่เกิดผลอะไร?  พวกเจ้ากล่าวเรื่องดีๆ ต่อหน้าเรา แต่พอคล้อยหลังเรา พวกเจ้ากลับไม่ปฏิบัติความจริง  เกิดอะไรขึ้น?  เมื่อมนุษยชาติที่เสื่อมทรามมีความสามารถพิเศษ ความเชี่ยวชาญ หรือแนวคิดขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น พวกเขาก็โอหัง ทะนงตน และไม่ยอมเชื่อฟังใคร  พวกเขาไม่ฟังไม่ว่าใครจะบอกอะไรตน  นี่ไร้เหตุผลเกินไปแล้วมิใช่หรือ?  ถ้าพวกเจ้าคิดว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วทำไมพวกเจ้าถึงให้เราตรวจสอบสิ่งนั้น?  พอเราชี้ให้พวกเจ้าดูข้อเสียและเปิดโปงความผิดพลาดของพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าถึงรับไม่ได้?  พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริง แต่เราสามารถสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเจ้าได้  เรารู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับหลักธรรม มีความถูกต้องเหมาะควรของธรรมิกชน  เรารู้ว่าควรทำเช่นไรจึงจะทำให้ผู้อื่นเจริญใจ  พวกเจ้ารู้หรือ?  ถ้าแม้แต่เรื่องเหล่านี้พวกเจ้าก็ไม่รู้ แล้วทำไมพวกเจ้าถึงยังคงยอมรับความจริงไม่ได้?  ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทำตามที่เราบอก?

บางคนเขียนได้ดีมาก พวกเขามีพรสวรรค์โดยธรรมชาติในการเรียบเรียงภาษาและถ่ายทอดแนวคิด  พวกเขาอาจมีความสามารถทางด้านวรรณกรรมอยู่ระดับหนึ่งอีกด้วย ใช้เทคนิคและลีลาบางอย่างเวลาบรรยายสิ่งต่างๆ  แต่การมีคุณสมบัติเหล่านี้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ?  (ไม่)  นี่เป็นเพียงความรู้ด้านหนึ่งเท่านั้น เป็นพรสวรรค์และความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของคนเรา  นี่หมายความว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษบางอย่าง เจ้าเก่งด้านการเขียนและการใช้ภาษาถ่ายทอดแนวคิด และเจ้ามีพื้นฐานที่ดีในการใช้คำ  การเก่งในเรื่องอย่างนี้ทำให้บางคนคิดว่า “ฉันใช้ปากกาในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันควรทำงานด้านข้อความ”  การมีคนทำงานด้านข้อความมากขึ้นเป็นเรื่องดี พระนิเวศของพระเจ้าก็ต้องการเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการไม่ได้มีเพียงสิ่งที่เจ้าทำได้ดีเยี่ยมและความสามารถระดับมืออาชีพของเจ้าเท่านั้น  ทักษะและความเชี่ยวชาญที่เจ้ามีในสายงานเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับงานที่เจ้าทำอยู่  ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถและทักษะทางวิชาชีพในระดับไหน เจ้าก็ควรปฏิบัติตนตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด สัมฤทธิ์ผลและเป้าหมายตามที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการและกำหนดไว้ให้  พระนิเวศของพระเจ้าวางมาตรฐานที่ตนต้องการและหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกันก็เพื่อผลลัพธ์และเป้าหมายเหล่านี้ ไม่ได้ปล่อยให้เจ้ากระทำการตามความนิยมหรือความชอบส่วนตน  ตัวอย่างเช่น บางคนมีทักษะการเขียนที่ดี เขียนบทภาพยนตร์ด้วยภาษาที่คมคายและวางโครงเรื่องได้อย่างมีชีวิตชีวา  แต่นั่นสัมฤทธิ์ผลที่ต้องการหรือไม่?  บทภาพยนตร์แบบนั้นห่างไกลจากการบรรลุผลซึ่งก็คือการเป็นพยานให้พระเจ้าและใช้การไม่ได้โดยแท้  อย่างไรก็ดี นักเขียนบทเหล่านี้กลับรู้สึกพอใจและมั่นใจในความสามารถของตนที่ใช้ภาษาได้สวย และพวกเขาก็นึกยกย่องตนเอง  พวกเขาไม่เข้าใจว่าบทภาพยนตร์ต้องสัมฤทธิ์ผลในการเป็นพยานให้พระเจ้า เผยแผ่พระวจนะของพระองค์  นี่คือจุดมุ่งหมาย  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดเอาไว้ว่าบทภาพยนตร์ต้องถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าที่อ่านโดยตัวละครเอก รวมทั้งความเข้าใจที่แท้จริงที่ตัวละครเอกได้รับด้วยการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามพระวจนะภายใต้การชี้นำแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  ในแง่หนึ่ง บทภาพยนตร์ต้องทำหน้าที่เป็นคำพยานให้พระเจ้า และในอีกแง่หนึ่งก็ต้องเผยแผ่พระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นที่บทภาพยนตร์จะสัมฤทธิ์ผลที่ต้องการ  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดเหล่านี้อยู่  พวกเจ้าคิดว่านี่ทำให้ผู้คนลำบากกันหรือไม่?  (ไม่)  ไม่เลย นี่คืองานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี นักเขียนบทภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะทำตามนี้  ท่าทีของพวกเขาก็คือ “สิ่งที่ฉันเขียนออกมานั้นสมบูรณ์แบบและเจาะจงมากพออยู่แล้ว  ถ้าคุณขอให้ฉันเพิ่มข้อมูลนั้นๆ เข้าไป ก็จะขัดกับที่ฉันตั้งใจไว้  ฉันไม่ยินดีที่จะทำ และไม่อยากเขียนแบบนั้น”  แม้จะจำใจเพิ่มข้อมูลนี้เข้าไปในภายหลัง แต่ถึงตอนนั้นภาวะอารมณ์ของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว  บางคนบอกว่า “การทำหน้าที่ของพวกเราในพระนิเวศของพระเจ้าทำให้รู้สึกเก็บกดมาก  มีผู้คนคอยตัดแต่งและจับผิดพวกเราอยู่เสมอ  ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าถูกต้อนให้จนมุม เหมือนที่มีคนพูดกันว่า ‘เมื่อคนคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคาเตี้ย พวกเขาย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหัวให้ต่ำลง’  ถ้าเพียงแต่ฉันจะมีสิทธิ์ขาดและเขียนได้ตามใจตัวเอง นั่นก็จะเยี่ยมไปเลย!  ระหว่างที่ทำหน้าที่ของพวกเราอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราต้องฟังคนอื่นและยอมรับการตัดแต่งอยู่เสมอ  นี่ก็เก็บกดเกินไป!”  ท่าทีเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่คืออุปนิสัยเช่นใด?  นี่คือการคิดว่าตนเองถูกและโอหังเกินไป!  มีคนในคณะนักร้องประสานเสียงที่ทำหน้าที่แต่งหน้าด้วย  พวกเธอชอบทรงผมของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ แต่ผลสุดท้าย ทรงผมเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธ  เพราะเหตุใด?  เพราะพระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการทรงผมเยี่ยงปีศาจ แต่ต้องการทรงผมที่ปกติ ดูมีศักดิ์ศรีและซื่อตรง  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถทำผมทรงใดได้ เจ้าย่อมจะสามารถเอาไปนำเสนอในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อได้  พวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญแบบนั้น แต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการ  บางคนกล่าวว่าพวกเธอเต็มใจที่จะทำทรงผมเหล่านี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นที่ต้องการหรือชมชอบ กลับนึกรังเกียจที่เห็น  สิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการคือให้เจ้าดูมีศักดิ์ศรีและซื่อตรง เหมือนคนที่น่านับถือคนหนึ่ง  พระนิเวศไม่ได้ต้องการให้เจ้าดูงามสง่าเหมือนผู้สูงศักดิ์ในวัง และแน่นอนว่าไม่ใช่เหมือนเจ้าหญิง ท่านหญิง ท่านชาย หรือคุณชายที่มั่งคั่ง  พวกเราเป็นคนธรรมดา ไม่มีสถานะ ตำแหน่ง หรือคุณค่าอันใด เป็นผู้คนที่ปกติและธรรมดาที่สุดโดยแท้  สิ่งที่ดีที่สุดคือการเป็นคนธรรมดา สวมเสื้อผ้าธรรมดา มีรูปลักษณ์เป็นคนธรรมดา และไม่เสแสร้ง ไม่ใช่การเป็นคนสูงศักดิ์หรือผ่านการขัดเกลา แต่เป็นความสำราญใจในสิ่งที่เจ้าทำได้และสุขใจกับการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมี  นี่ย่อมดีที่สุด นี่คือชีวิตของคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แต่เจ้ากลับพยายามทำตัวเหมือนคนที่สูงส่งอยู่เสมอ  นั่นน่ารังเกียจมิใช่หรือ?  (น่ารังเกียจ)  เจ้าพยายามแสดงความเชี่ยวชาญของตนในพระนิเวศของพระเจ้าและโอ้อวดอยู่เสมอ  เราขอถามเจ้าว่า การอวดความเชี่ยวชาญของตนนั้นมีคุณค่ากระนั้นหรือ?  ถ้ามีคุณค่าจริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นที่ยอมรับ  แต่ถ้าไม่มีคุณค่าอะไรเลย กลับขัดขวางและบ่อนทำลาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เพียงแต่แสดงธรรมชาติที่น่ารังเกียจและลักษณะอันไม่เป็นที่ต้องการของตนออกมาเท่านั้น  เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลของการเผยสิ่งดังกล่าวออกมาย่อมเป็นเช่นใด?  ถ้าเจ้าไม่รู้ ก็ขออย่าได้เผยออกมา  สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ ทักษะเฉพาะทางที่เจ้ามี ความสามารถพิเศษที่เจ้าทำได้ดีเยี่ยมหรือมีโดยธรรมชาติ ทั้งหมดนั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่ถือกันว่าสูงส่ง เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “ฉันเชี่ยวชาญหลายภาษา”  ถ้าเช่นนั้นก็จงไปทำงานเป็นนักแปลและทำงานแปลของเจ้าให้ดีเถิด เมื่อนั้นจึงจะสามารถมองได้ว่าเจ้าเป็นคนดี  บางคนกล่าวว่า “ฉันสามารถท่องจำพจนานุกรมซินหัวได้ทั้งเล่ม”  ถ้าเจ้าท่องจำพจนานุกรมซินหัวได้ทั้งเล่มแล้วอย่างไร?  นั่นทำให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้กระนั้นหรือ?  ทำให้เจ้าเป็นพยานให้พระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  บางคนกล่าวว่า “มองปราดเดียวฉันก็สามารถอ่านได้ทีละสิบบรรทัด  ฉันสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ 100 หน้าภายในวันเดียว  ดูทักษะนี้สิ น่าประทับใจไม่ใช่หรือ?”  เจ้าอาจจะอ่านหนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ได้ 100 หน้าภายในวันเดียว แต่ด้วยการทำเช่นนั้น เจ้าเข้าใจอะไรบ้าง?  เจ้าเข้าใจความจริงในแง่ใดบ้าง?  เจ้านำไปปฏิบัติได้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ฉันเป็นเด็กอัจฉริยะ  สามารถขับร้องและเขียนบทกวีได้ตอนอายุห้าขวบ”  นั่นมีประโยชน์หรือไม่?  ผู้ไม่มีความเชื่ออาจเลื่อมใสเจ้า แต่พระนิเวศของพระเจ้าย่อมไม่มีอะไรจะเรียกใช้เจ้า  สมมุติว่าเราขอให้เจ้าแต่งเพลงสรรเสริญพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย  เจ้าทำได้หรือไม่?  ถ้าเจ้าทำไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงไม่ว่าจะในแง่ใด  การมีพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีพรสวรรค์ ทักษะ หรือความสามารถอันใด ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น  ถ้าใช้ทำสิ่งที่เป็นบวกและมีผลในทางบวกได้ ก็อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าอยู่บ้าง  ถ้าใช้ทำสิ่งที่เป็นบวกหรือมีผลในเชิงบวกไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไร้ค่า ถึงเรียนรู้ไปก็ไร้ประโยชน์และกลายเป็นภาระของเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถใช้ทักษะในสายงานหรือความสามารถพิเศษของตนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ และทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าให้ลุล่วงอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้ เช่นนั้นแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าทักษะในสายงานและความสามารถพิเศษของเจ้านั้นมีประโยชน์และใช้ในที่ที่ถูกควร—นี่คือคุณค่าที่สิ่งเหล่านี้มี  ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วทักษะการทำงานและความสามารถพิเศษของเจ้าก็ไม่มีคุณค่าและไร้ค่าในสายตาของเรา  ตัวอย่างเช่น บางคนมีวาทศิลป์และพูดจาฉะฉานโดยธรรมชาติ เชี่ยวชาญด้านภาษาและเป็นนักคิดที่สมองไว  นี่ถือเป็นความสามารถพิเศษได้  ในโลกนี้ ถ้าผู้คนแบบนี้ทำงานเกี่ยวกับการพูดในที่สาธารณะ การประชาสัมพันธ์ หรือเจรจาต่อรอง หรือทำงานเป็นผู้พิพากษา ทนายความ หรืออาชีพคล้ายๆ กันนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีที่ให้แสดงความสามารถพิเศษของตน  อย่างไรก็ดี ในพระนิเวศของพระเจ้า ถ้าเจ้ามีความสามารถดังกล่าว แต่ไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมใดเลย แม้แต่ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความจริงในเรื่องของนิมิตก็ไม่มี และไม่สามารถเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือเป็นพยานให้พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษของเจ้าย่อมมีค่านิดเดียว  ถ้าเจ้าหากินกับพรสวรรค์ของตนตลอดเวลา เที่ยวนำเสนอความสามารถพิเศษของตนไปทุกที่ คุยโตและประกาศวาจาและคำสอน ผู้คนย่อมจะรังเกียจเจ้า  เพราะทุกคำที่เจ้าพูดย่อมจะชวนให้สะอิดสะเอียน ทุกความคิดหรือมุมมองที่เจ้ากล่าวออกมาย่อมจะน่าเบื่อ  ในกรณีเช่นนั้น สู้เจ้าเงียบไว้จะดีกว่า  ยิ่งเจ้าพยายามอวดตนและแสดงผลงาน เจ้าก็จะยิ่งน่ารังเกียจ  ผู้คนจะพากันพูดว่า “คุณเลิกปากเสียได้แล้ว!  สิ่งที่คุณพูดนั้นมีแต่คำสอน มีใครไม่เข้าใจเรื่องนั้นบ้าง?  คุณประกาศมากี่ปีแล้ว?  คำพูดของคุณไม่ต่างจากพวกฟาริสีเลย มีแต่ทฤษฎีกลวงๆ ที่สร้างมลพิษให้กับสภาพแวดล้อมในคริสตจักร  ไม่มีใครอยากฟัง!”  เจ้าดูเอาเถิด นี่กระตุ้นให้ผู้คนโมโหและขยะแขยง  เพราะฉะนั้น ย่อมเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าจะมุ่งสนใจความจริงให้มากขึ้นและเสาะแสวงที่จะเข้าใจความจริงให้มากขึ้น นั่นคือความสามารถที่แท้จริง  ยิ่งเราพูดเช่นนี้ ผู้คนที่ “มีความสามารถ” และ “เป็นผู้เชี่ยวชาญ” เหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกเก็บกด คิดไปว่า “จบสิ้นแล้วคราวนี้ ไม่มีทางออก  ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ถือว่าตัวเองมีความสามารถ เก่งกาจ และได้รับตำแหน่งสำคัญๆ เสมอ  มีคำกล่าวอยู่อย่างหนึ่งไม่ใช่หรือว่า ‘ถ้าเป็นทอง จะช้าหรือเร็วก็ย่อมเปล่งประกาย’?  แต่นึกไม่ถึงว่าฉันกลับพบทางตันในพระนิเวศของพระเจ้า  นี่ทำให้รู้สึกเก็บกด เก็บกดเหลือเกิน!  ฉันลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร?”  การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ดีงาม แล้วทำไมผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่มีความสามารถอย่างยิ่งเช่นนี้ถึงรู้สึกเก็บกดเมื่อมาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขารู้สึกเก็บกดมาหลายปีจนเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้วในตอนนี้  พวกเขาถึงกับไม่รู้อีกต่อไปว่าควรพูดจาหรือทำเช่นไร  ในที่สุดบางคนก็กล่าวว่า “การถูกตัดแต่งอยู่เสมอทำให้รู้สึกเก็บกดอย่างมาก  ตอนนี้ฉันประพฤติตัวดีขึ้นมาก และเห็นพ้องกับทุกสิ่งที่ผู้นำคริสตจักรหรือผู้นำกลุ่มพูด ให้คำตอบว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ตกลง’ อยู่เสมอ”  อาจดูเหมือนว่าพวกเขาเรียนรู้ที่จะนบนอบและเชื่อฟังแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจหลักธรรมหรือวิธีลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควรอยู่ดี  พวกเขามีความรู้สึกเก็บกดอยู่กับตัว และรู้สึกเคืองว่าไม่ได้รับความสำคัญมากพอ  เมื่อถามถึงวุฒิการศึกษาของพวกเขา บางคนก็ตอบว่า “ฉันจบปริญญาตรี” บางคนบอกว่า “ฉันได้ปริญญาโท” บ้างก็บอกว่า “ฉันจบเอก” หรือ “ฉันจบแพทย์” “ฉันเรียนการเงินมา” หรือ “ฉันเรียนบริหาร” ส่วนคนอื่นก็เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือเป็นวิศวกร  ถ้าพวกเขาไม่มีคำว่า “ด็อกเตอร์” นำหน้าชื่ออยู่แล้ว ก็ย่อมมีคำนำหน้าอื่นๆ ที่เป็นทางการ  ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีการเรียกหาผู้คนเหล่านี้แบบนั้น และไม่มีการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยกย่อง  พวกเขามักจะรู้สึกเก็บกดและสูญเสียสำนึกในตัวตนของตน  คริสตจักรมีผู้เชี่ยวชาญสารพัดชนิด รวมถึงนักดนตรี นักเต้น นักสร้างภาพยนตร์ ผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจมืออาชีพ นักเศรษฐศาสตร์ และแม้กระทั่งนักการเมือง  เวลาอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิง ผู้คนเหล่านี้มักจะพูดว่า “ฉันเป็นผู้บริหารที่มีคนนับถือในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง  ฉันเป็นผู้บริหารอาวุโสของบรรษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง  ฉันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฉันเคยกลัวใครที่ไหน?  ฉันเคยนบนอบใครที่ไหน?  ฉันเกิดมาพร้อมทักษะในการบริหารจัดการ และไม่ว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ควรอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจสั่งการ ฉันควรเป็นคนควบคุมทุกอย่าง เป็นคนที่บริหารจัดการคนอื่นอยู่เสมอ และไม่มีใครสามารถบริหารจัดการฉันได้  ดังนั้น ในพระนิเวศของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดฉันก็ควรเป็นผู้นำกลุ่มหรือคนกำกับดูแล!”  หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็เข้าใจชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเป็นจริงความจริง ไม่สามารถทำงานอะไรได้ โอหังและทะนงตนเป็นพิเศษ  พวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างถูกควร และท้ายที่สุดบางคนก็ทำได้เพียงรับมอบหมายงานที่ใช้แรงกาย ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่เต็มใจที่จะนบนอบกันอยู่เสมอ พยายามอวดความสามารถของตนกันตลอดเวลา และทำตัวเกะกะระราน  ผลก็คือพวกเขาสร้างปัญหามากเหลือเกิน ทำให้ที่ชุมนุมโกรธเคือง และถูกนำตัวออกไปในท้ายที่สุด  ผู้คนเหล่านี้ย่อมจะรู้สึกเก็บกดมิใช่หรือ?  ในที่สุดพวกเขาก็สรุปประสบการณ์ของตนด้วยการกล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้คนที่มีความสามารถอย่างพวกเรา  พวกเราเป็นเหมือนม้าพันธุ์ดี แต่ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีคนที่ดูออก  คนที่เชื่อในพระเจ้าล้วนไม่รู้ความและไม่รู้รอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นผู้นำในระดับต่างๆ  แม้พวกเขาจะเข้าใจความจริง แต่ก็ไม่ตระหนักรู้ว่าพวกเราคือม้าพันธุ์ดี  พวกเราต้องไปหาใครสักคนที่ดูความสามารถของพวกเราออก”  ท้ายที่สุดพวกเขาก็สรุปกันเช่นนี้  มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้ามีที่ทางน้อยเกินกว่าจะรองรับพวกเราได้  พวกเราล้วนเป็นคนสำคัญ ส่วนผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเป็นคนธรรมดาที่มาจากชนชั้นล่างๆ ของสังคม ทั้งชาวนา คนขายของริมถนน และเจ้าของกิจการเล็กๆ  ไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในหมู่พวกเขาเลย  แม้คริสตจักรจะเล็ก แต่โลกนั้นกว้างใหญ่ และโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องมีที่สำหรับพวกเรา  ท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีความสามารถอย่างพวกเราย่อมจะพบคนที่รู้ค่า!”  พวกเราก็มาขอให้ผู้คนเหล่านี้โชคดี ได้พบคนที่รู้ค่าพวกเขากันดีไหม?  (ดี)  หลังจากพบเจอคนที่รู้ค่าของพวกเขาแล้ว วันที่พวกเขากล่าวลาพวกเรา ขอพวกเราจงจัดอาหารค่ำเลี้ยงอำลาพวกเขาและหวังให้พวกเขาพบเจอสถานที่ที่เหมาะกับตน เป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ที่เก็บกด  ขอให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่าพวกเรา และขอให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุข  เมื่อพวกเรากล่าวดังนี้ ผู้คนที่มีภาวะอารมณ์เก็บกดเหล่านี้จะรู้สึกเบาสบายขึ้นบ้างหรือไม่?  ความรู้สึกแน่นหน้าอก แน่นหัว หนักใจ ไม่สบายตัว และไม่สบายใจ—ความรู้สึกเหล่านี้ได้หายไปบ้างหรือไม่?  เราหวังว่าความปรารถนาของพวกเขาจะกลายเป็นจริง หวังว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกเก็บกดอีกต่อไป และจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขและเป็นอิสระ

จงบอกเราเถิด พวกเจ้าคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าจงใจทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับคนที่มีความสามารถเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  แน่นอนว่าไม่  เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมหลักธรรมต่างๆ การจัดแจงแบ่งงาน และข้อกำหนดสำหรับงานแต่ละอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าถึงทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เก็บกดในตัวพวกเขา?  ทำไมคนที่มีความสามารถเหล่านี้ถึงติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์ที่เก็บกดเมื่ออยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  พระนิเวศของพระเจ้าทำอะไรผิดพลาดกระนั้นหรือ?  หรือว่าพระนิเวศของพระเจ้าจงใจทำให้ผู้คนเหล่านี้ยากลำบากกัน?  (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)  ในแง่ของคำสอน พวกเจ้าเข้าใจกันทุกคนว่าคำอธิบายทั้งสองข้อนี้ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง  เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น?  (เพราะเวลาทำหน้าที่ของตน ผู้คนยัดเยียดให้ใช้ความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนได้มาจากสังคมทางโลกหรือความชอบส่วนตนแทนหลักธรรมและข้อกำหนดในพระนิเวศของพระเจ้า)  แต่พระนิเวศของพระเจ้ายอมให้ใช้สิ่งเหล่านี้แทนข้อกำหนดและหลักธรรมของตนตามที่พวกเขายัดเยียดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  บางคนรู้สึกเก็บกดเพราะพระนิเวศของพระเจ้าไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้  พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาควรทำอย่างไรในเรื่องนี้?  (ก่อนจะทำหน้าที่แต่ละอย่าง พวกเขาต้องทำความเข้าใจข้อกำหนดและหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าวางไว้สำหรับหน้าที่นั้นๆ เสียก่อน  หลังจากทำความเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้อย่างถูกต้องแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความเชี่ยวชาญในสายงานที่ตนช่ำชองมาใช้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล)  หลักธรรมนี้ถูกต้อง  คราวนี้จงบอกเราเถิดว่าการอยากแสดงความเชี่ยวชาญและอวดความสามารถของตนในพระนิเวศของพระเจ้าตลอดเวลาใช่จุดเริ่มต้นที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ถูกต้องในทางใด?  ช่วยอธิบายเหตุผลให้เราฟังเถิด  (เจตนาของพวกเขาคืออวดตนและทำให้ตัวเองโดดเด่น—พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตนเอง  ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร หรือจะลงมือทำอย่างไรจึงจะเป็นผลดีต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขากลับอยากลงมือทำตามความชอบส่วนตน ไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือแสวงหาหลักธรรมความจริง)  ผู้อื่นย่อมมองเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  (การอวดตนอยู่เสมอทุกครั้งที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  พวกเขาไม่คิดเรื่องจะทำหน้าที่ของตนและเป็นพยานให้พระเจ้าอย่างไร พวกเขาอยากเป็นพยานให้ตนเองอยู่เสมอ และเส้นทางนี้ก็ผิดในตัวเองอยู่แล้ว)  จุดเริ่มต้นแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องในตัวมันเอง นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน  แล้วนี่ไม่ถูกต้องในทางใด?  นี่เป็นปัญหาที่พวกเจ้าทุกคนไม่สามารถปฏิเสธได้  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็กำลังรู้สึกเก็บกดกันทุกคน และอยากแสดงความเชี่ยวชาญเพื่ออวดความสามารถที่มีกันทั้งสิ้น—ใช่หรือไม่?  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อมีคำกล่าวอย่างหนึ่งว่ากระไร?  “หญิงชราทาปาก—เพื่อให้อีกคนมีอะไรดู”  นี่คือความหมายของการ “อวดความสามารถของตน” มิใช่หรือ?  (ใช่)  การอวดความสามารถของเจ้าหมายถึงการอยากแสดงความสามารถและอวดตน เพื่อให้ได้เกียรติยศและสถานะในหมู่ผู้อื่น และเป็นที่ยกย่อง  อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเรื่องของการอยากใช้โอกาสนั้นๆ อวดความสามารถของตนเพื่อบอกกล่าวแก่ผู้อื่นว่า “ฉันมีทักษะที่แท้จริงบางอย่าง ฉันไม่ใช่คนธรรมดา อย่าดูแคลนฉัน ฉันเป็นคนมีความสามารถ”  อย่างน้อยที่สุด นั่นคือความหมายเบื้องหลังเรื่องดังกล่าว  แล้วเมื่อใครบางคนมีเจตนาเช่นนั้นและอยากอวดความสามารถของตนอยู่เสมอ นี่ย่อมมีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  พวกเขาอยากไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของตน บริหารจัดการสถานะของตนเอง มีที่ยืนและเกียรติยศในหมู่ผู้อื่น  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง  พวกเขาไม่ได้ทำไปเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้แสวงหาความจริงและไม่ได้กระทำการตามหลักธรรมและข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาทำเพื่อตัวเอง เพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น ยกระดับคุณค่าและความมีหน้ามีตาของตน พวกเขาทำเพื่อให้ผู้คนลงคะแนนเลือกตนเป็นผู้ดูแลหรือผู้นำ  เมื่อได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะมีสถานะมิใช่หรือ?  เมื่อนั้นย่อมจะมีแสงส่องมาที่พวกเขามิใช่หรือ?  นี่คือการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขา จุดเริ่มต้นของพวกเขาก็พื้นๆ เช่นนั้น—เป็นเพียงการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ  พวกเขาจงใจไล่ตามสถานะ และไม่ได้ปกป้องงานหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการรู้สึกเก็บกด ผู้คนที่มีพรสวรรค์และความสามารถพิเศษควรลงมือปฏิบัติอย่างไร?  นี่สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  ดังนั้น เจ้าจะแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความเก็บกดซึ่งเกิดจากการไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตนได้อย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าต้องทำความเข้าใจว่าทักษะเฉพาะทางหรือความสามารถและความเชี่ยวชาญด้านใดก็ตาม ที่ผู้คนร่ำเรียนจนชำนาญนั้นคืออะไร—ใช่ชีวิตหรือไม่?  (ไม่ใช่)  จัดให้สิ่งเหล่านี้เป็นบวกได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ไม่อาจจัดให้เป็นสิ่งที่เป็นบวกได้ อย่างมากก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง  อย่างมาก ในสังคมและในทางโลก สิ่งเหล่านี้ก็คือความสามารถที่ทำให้ผู้คนหาเลี้ยงตัวเองได้มากพอและมีชีวิตรอดต่อไปได้  แต่ในสายตาแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าเพียงแต่ได้ทักษะเฉพาะทางอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงความรู้อย่างหนึ่ง นี่เป็นเพียงความรู้จำพวกหนึ่งเท่านั้นเอง  แน่นอนว่าไม่ได้บ่งบอกความสูงส่งหรือความต่ำต้อยของใคร—ไม่อาจกล่าวได้ว่าคนคนหนึ่งสูงส่งกว่าผู้อื่นเพียงเพราะพวกเขามีความเชี่ยวชาญหรือทักษะบางอย่าง  ดังนั้นจะสามารถมองเห็นความสูงส่งหรือต่ำต้อยของคนคนหนึ่งได้อย่างไร?  ด้วยการดูที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และเส้นทางที่พวกเขาเดิน  ทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางทำได้เพียงแสดงให้เห็นทักษะหรือความรู้จำเพาะที่เจ้าได้มาเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความเข้าใจในเรื่องนั้นลึกตื้นเพียงใด และเจ้าสัมฤทธิ์ความช่ำชองในเรื่องนั้นถึงระดับใด  ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเหล่านี้สามารถนำมาพูดคุยได้เพียงในแง่ว่าชำนาญเพียงใด มีกี่อย่าง รู้ลึกหรือไม่ มีประสบการณ์ในสายงานนั้นๆ เป็นอันมาก หรือรู้อย่างตื้นเขินเท่านั้น  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ประเมินคุณภาพความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง สิ่งที่เขาไล่ตามเสาะหา หรือเส้นทางที่เขาเดินได้  เป็นเพียงความรู้หรือเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น  ความรู้หรือเครื่องมือนี้อาจทำให้เจ้าสามารถทำงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกัน หรือทำให้เจ้าสามารถทำงานบางชนิดได้ดีขึ้น แต่นี่ก็เพียงทำให้เจ้ามีความมั่นคงในอาชีพการงานและมีหนทางทำมาหากินที่แน่นอนเท่านั้นเอง  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  ไม่ว่าสังคมจะมองทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเจ้าอย่างไร พระนิเวศของพระเจ้าก็มองสิ่งเหล่านั้นแบบนี้อยู่ดี  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่มีวันมองใครต่างออกไป เลื่อนตำแหน่งให้พวกเขาเป็นกรณียกเว้น หรือถึงกับละเว้นพวกเขาจากการตัดแต่งทุกรูปแบบ หรือการตีสอน หรือการพิพากษาทุกรูปแบบ เพียงเพราะพวกเขามีทักษะพิเศษบางอย่างเท่านั้น  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่ดี และยังคงเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ และทักษะเฉพาะทางของคนเรานั้นเป็นคนละเรื่องและไม่เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์หรือตัวตนที่พวกเขาเป็น  บางคนมีขีดความสามารถดีกว่านิด ฉลาดกว่าหน่อย หรือพอจะมีไหวพริบและการรับรู้มากกว่า ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาค่อนข้างที่จะรู้ลึกกว่าเมื่อร่ำเรียนทักษะเฉพาะทางบางอย่าง  พวกเขาจึงประสบความสำเร็จและบรรลุผลมากขึ้นอีกนิด และเมื่อทำงานที่เกี่ยวข้องกับสายงานนี้ก็ยิ่งสัมฤทธิ์ผลและประสบความสำเร็จมากขึ้น  ในสังคมเรื่องนี้อาจทำให้พวกเขาได้ผลตอบแทนทางการเงินสูงกว่าและมากกว่าบ้าง มีสถานะ อาวุโส หรือเกียรติยศในวงการของตนค่อนข้างสูงกว่า  แต่ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น  อย่างไรก็ดี ที่กล่าวมานี้ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินอยู่ สิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา หรือท่าทีที่พวกเขามีต่อชีวิตและความเป็นอยู่  ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นเรื่องของโลกความรู้เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความคิดอ่านและมุมมองของคนคนหนึ่ง หรือทัศนคติและจุดยืนที่พวกเขามีในเรื่องใดเลย  ไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด  แน่นอนว่าแนวคิดที่มีการส่งเสริมอยู่ในแวดวงความรู้บางสาขานั้นเป็นแนวคิดที่นอกรีตและคลาดเคลื่อน ซึ่งชักพาให้ผู้คนหลงผิดเกี่ยวกับการทำความเข้าใจความจริงและตระหนักรู้สิ่งที่เป็นบวก  นั่นเป็นคนละเรื่องกันเลย  ในที่นี้พวกเรากำลังพูดถึงความรู้แท้ๆ และทักษะเฉพาะทาง ซึ่งไม่ได้ให้การสนับสนุนในเชิงบวกหรือในเชิงรุก ไม่ได้ช่วยแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนให้ถูกต้อง หรือให้ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ทั้งยังไม่สามารถยับยั้งหรือควบคุมอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนคนหนึ่งอีกด้วย  นั่นคือธรรมชาติของความรู้และทักษะเฉพาะทาง  ไม่ว่าคนเราจะทำงานทางด้านวรรณกรรม ดนตรี หรือศิลปะสายใด ทางด้านวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา หรือเคมี หรือด้านการออกแบบ สถาปัตยกรรม การค้า หรือแม้แต่ช่างฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นวงการใด ธรรมชาติของความรู้เฉพาะทางที่พวกเขามีก็เป็นเช่นนี้—นี่คือแก่นแท้ของความรู้แบบนี้  พวกเจ้าคิดว่าเราพูดถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ไม่ว่าเจ้าจะทำงานอยู่ในวงการใดหรือร่ำเรียนทักษะเฉพาะทางด้านใด หรือมีความถนัดบางอย่างโดยธรรมชาติ นี่ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้านั้นสูงส่งหรือต่ำต้อย  ตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าผู้ที่ทำงานด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ในสังคม โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ชนนั้น มีลักษณะนิสัยที่สูงส่ง และเพราะอาชีพและความรู้ที่พวกเขาร่ำเรียนมานั้นเป็นที่ยกย่องในหมู่คน และรายได้ของพวกเขาก็สูงเป็นพิเศษ พวกเขาจึงมีสถานะสูงในสังคม  อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นแบบนี้ไม่มีอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ประเมินพวกเขาแบบนี้  เนื่องจากหลักการและมาตรฐานที่ผู้คนเหล่านั้นใช้ประเมินเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ของมนุษย์ มุมมองดังกล่าวจึงใช้การไม่ได้ในพระนิเวศของพระเจ้า  อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ บางคนเป็นชาวประมง เป็นคนขายของริมถนน หรือช่างฝีมือในสังคม พวกเขาถูกมองว่ามีสถานะต่ำต้อยและไม่มีใครในที่นั้นยกย่องพวกเขา  อย่างไรก็ดี ในพระนิเวศของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนล้วนเท่าเทียม  เมื่ออยู่เบื้องหน้าความจริง ทุกคนย่อมเสมอภาค และไม่มีการแบ่งแยกผู้คนว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย  เจ้าจะไม่ถูกมองว่ามีเกียรติเพราะเจ้ามีสถานะสูงส่งหรือทำอาชีพที่สูงส่งในสังคม และเจ้าจะไม่ถูกมองว่าต่ำต้อยเพราะเจ้าทำอาชีพที่มีสถานะต่ำต้อยในสังคม  เพราะฉะนั้น ในพระนิเวศของพระเจ้าและในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าตัวตน คุณค่า และสถานะของเจ้าจะถูกมองว่าสูงส่งหรือต่ำต้อยก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความสามารถทางอาชีพ ความชำนาญเฉพาะทาง หรือความเชี่ยวชาญที่เจ้ามีทั้งสิ้น  บางคนบอกว่า “ฉันเคยเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นนายพล และจอมพลของกองทัพบก”  เราจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า “เจ้าน่ะ ไปยืนข้างๆ เถิด”  เหตุใดเจ้าจึงควรยืนอยู่ด้านข้าง?  เพราะอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้านั้นร้ายแรงเกินไป และทำให้เราขัดเคืองเมื่อเห็นเจ้า  ก่อนอื่น จงใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ้าง ทำความเข้าใจความจริงบางอย่าง และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์สักหน่อย จากนั้นเมื่อเจ้ากลับมา ทุกคนก็จะสามารถยอมรับเจ้าได้  ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะไม่ได้รับการนับถือเพราะว่าเจ้าทำงานบางอย่างที่คนในสังคมมองว่าสูงส่ง และเจ้าก็จะไม่ถูกดูแคลนเพราะเคยมีสถานะที่ต่ำต้อยในสังคม  มาตรฐานและหลักธรรมที่ใช้ประเมินผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้านั้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของความจริงเท่านั้น  แล้วหลักเกณฑ์ของความจริงมีอะไรบ้าง?  หลักเกณฑ์เหล่านี้มีแง่มุมจำเพาะ ได้แก่ ข้อแรก ผู้คนย่อมได้รับการประเมินตามคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ดูว่าพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผล มีหัวใจที่ดีงาม และมีสำนึกในความยุติธรรมหรือไม่ ข้อสอง ผู้คนย่อมได้รับการประเมินโดยดูว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ และเดินอยู่บนเส้นทางเช่นใด—พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง รักสิ่งที่เป็นบวก และรักความเที่ยงธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า หรือว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง รังเกียจความจริงและสิ่งที่เป็นบวก ทำกิจธุระส่วนตนอยู่เสมอ เป็นต้น  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางบางอย่าง หรือไม่มีทักษะหรือความเชี่ยวชาญในสายอาชีพเลยก็ตาม เจ้าก็จะได้รับการปฏิบัติที่เที่ยงธรรมในพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการเช่นนี้เสมอมา ปัจจุบันก็ยังคงทำเช่นนี้ และในอนาคตก็จะทำเช่นนี้  หลักธรรมและมาตรฐานเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เพราะฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงก็คือผู้ที่รู้สึกเก็บกดเพราะไม่สามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตนได้  ถ้าเจ้าเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ความจริงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า และในพระนิเวศของพระเจ้ามีความเที่ยงธรรมและความชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เราก็ขอให้เจ้ารีบปล่อยมือจากมุมมองและความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้องของตนในเรื่องทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเสียเถิด  จงอย่าคิดว่าการมีพรสวรรค์บางอย่างหรือความเชี่ยวชาญเล็กน้อยนั้นทำให้เจ้าสูงส่ง  แม้เจ้าจะมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ผู้อื่นไม่มี แต่ความเป็นมนุษย์และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ผู้อื่นมีกัน  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ  เจ้าอาจกล่าวว่า “ฉันเคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง” ถึงอย่างนั้น เจ้าก็เป็นคนธรรมดาอยู่ดี  เจ้าอาจบอกว่า “ฉันเคยทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ” ถึงอย่างนั้น เจ้าก็เป็นคนธรรมดาอยู่ดี  เจ้าอาจบอกว่า “ฉันเคยเป็นผู้กล้า” แต่ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นผู้กล้าหรือคนดังประเภทใดก็ไม่มีประโยชน์  ตามมุมมองของพระเจ้า เจ้ายังคงเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น  นี่คือแง่มุมหนึ่งของความจริงและหลักธรรมที่ผู้คนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะเฉพาะทางและความเชี่ยวชาญบางอย่าง  ส่วนอีกแง่มุมหนึ่ง—เรื่องควรมีท่าทีต่อทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานอย่างไรนั้น—ก็เป็นเส้นทางปฏิบัติจำเพาะอย่างหนึ่งที่ผู้คนควรทำความเข้าใจ  ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ให้ชัดเจนในความคิดและในจิตสำนึกของตนเองว่า ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญอะไรในสายงาน เจ้าก็ไม่ได้มาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อประกอบอาชีพ เพื่อแสดงคุณค่าของเจ้า เพื่อมีเงินเดือน หรือเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีวิต  เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ตัวตนเพียงอย่างเดียวที่เจ้ามีในพระนิเวศของพระเจ้าก็คือการเป็นพี่น้องชายหญิง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้า  เจ้าไม่มีตัวตนที่สอง  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ผัก หรือมาร  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือมนุษย์ และในฐานะมนุษย์ เจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตน  การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะมนุษย์คือเป้าหมายพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรมีในการมาอยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้า และเป็นมุมมองขั้นพื้นฐานที่สุดที่เจ้าควรมี  เจ้าควรกล่าวว่า “ฉันเป็นคน  ฉันคือคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีมโนธรรม และเหตุผล  ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของตน”  ในแง่ทฤษฎีแล้ว นี่คือความคิดและมุมมองที่ผู้คนควรมีเป็นลำดับแรก  ลำดับถัดไปก็คือเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร กล่าวคือ เจ้าควรฟังตัวเองหรือฟังพระเจ้า?  (ฟังพระเจ้า)  ถูกต้อง แล้วทำไมเจ้าถึงควรฟังพระเจ้า?  ในทางหลักธรรมและในทางทฤษฎีแล้ว ผู้คนรู้ว่าพวกเขาต้องฟังพระเจ้า พระเจ้าคือความจริง และพระเจ้าคือผู้ชี้ขาด  นี่คือมุมมองที่คนเราควรมีในแง่ทฤษฎี  ในความเป็นจริง เจ้าปฏิบัติหน้าที่นี้ไม่ใช่เพื่อตนเอง ไม่ใช่เพื่อครอบครัวของเจ้า เพื่อความเป็นอยู่ในแต่ละวันของเจ้า และไม่ใช่เพื่ออาชีพการงานหรือกิจธุระส่วนตัวของเจ้า แต่เพื่อพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด  นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกิจธุระส่วนตัวของเจ้าเลย  เจ้าต้องเข้าใจและมีมุมมองเช่นนี้  หลังจากที่เจ้ามีมุมมองดังนี้แล้ว ลำดับถัดไปเจ้าก็ต้องเข้าใจว่าในเมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เป็นไปเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาจากพระองค์ว่าเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างไร หลักธรรมและข้อกำหนดในพระนิเวศของพระเจ้ามีอะไรบ้าง  จงทำหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าตรัสบอกให้เจ้าทำ ทำทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสขอให้เจ้าทำ โดยไม่พูดอะไรในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น ไม่ลังเลหรือปฏิเสธ  นี่ถือเป็นเด็ดขาด  และเพราะนี่คือพระนิเวศของพระเจ้า จึงเป็นการถูกต้องและเหมาะควรแล้วที่ผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติเท่านั้นเมื่ออยู่ที่นี่  แต่ผู้คนไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อตนเอง เพื่อความเป็นอยู่ในแต่ละวันของตน เพื่อชีวิต ครอบครัว หรืออาชีพการงานของตน  แล้วพวกเขาทำเพื่อสิ่งใด?  เพื่อพระราชกิจของพระเจ้า และเพื่อการบริหารจัดการของพระเจ้า  ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะเกี่ยวข้องกับอาชีพใดโดยเฉพาะหรืองานประเภทใด จะเป็นหน้าที่เล็กๆ อย่างเรื่องเครื่องหมายวรรคตอนหรือรูปแบบการจัดหน้า หรือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างงานจำเพาะสักชิ้นหนึ่ง ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในขอบข่ายที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ถ้าเจ้ามีเหตุผล เจ้าก็ควรถามตัวเองก่อนว่า “ฉันควรทำงานนี้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดว่าอย่างไร?  พระนิเวศของพระเจ้าวางหลักธรรมไว้ว่าอย่างไรบ้าง?”  จากนั้นจงจดหลักธรรมที่เกี่ยวข้องออกมาทีละข้อ และลงมือทำตามกฎเกณฑ์และหลักธรรมแต่ละข้ออย่างเคร่งครัด  ตราบใดที่เป็นไปตามหลักธรรมและไม่ออกนอกหลักธรรม ทุกสิ่งที่เจ้าทำย่อมจะเหมาะสม และพระเจ้าก็จะทรงจัดการจำแนกสิ่งที่เจ้าทำในระหว่างที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เจ้าก็ไม่ควรครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าอยากทำสิ่งต่างๆ อย่างไร หรือเจ้าอยากทำอะไรบ้าง  การคิดและทำเช่นนี้ไร้ซึ่งเหตุผล  สิ่งที่ไร้เหตุผลนั้นควรลงมือทำหรือไม่?  ไม่ควร  ถ้าเจ้าอยากทำสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็ควรจัดการเรื่องนี้เช่นไร?  (ขัดขืนตนเอง)  เจ้าควรขัดขืนและปล่อยมือจากตัวเจ้าเอง ให้ความสำคัญกับหน้าที่ของเจ้า รวมทั้งข้อกำหนดและหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันดับแรก  ถ้าเจ้ารู้สึกอึดอัด และเจ้าทำสิ่งที่เจ้าสนใจและงานอดิเรกของตนเมื่อเจ้ามีเวลาว่าง เช่นนั้นแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่เข้าไปก้าวก่าย  นี่คือแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่เจ้าควรทำความเข้าใจ—ได้แก่ หน้าที่ของเจ้าคืออะไร และเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร  อีกแง่มุมหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องความเชี่ยวชาญและทักษะในสายงานของผู้คน  เจ้าควรมีท่าทีต่อเรื่องของทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานนี้อย่างไร?  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้เจ้าใช้ความเชี่ยวชาญและทักษะในสายงานที่เจ้าเก่งกาจหรือมีความชำนาญอยู่แล้ว ท่าทีของเจ้าควรเป็นเช่นไร?  เจ้าควรทำให้โดยไม่รั้งรอ เปิดโอกาสให้ความเชี่ยวชาญและทักษะของเจ้าได้ทำงานและแสดงคุณค่าออกมาในหน้าที่ของเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เจ้าไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า และเพราะเจ้าสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ได้ เจ้ามีความเข้าใจและมีความช่ำชอง เจ้าจึงควรนำสิ่งเหล่านี้มาใช้  การใช้สิ่งเหล่านี้มีหลักธรรมว่าอย่างไร?  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะต้องการสิ่งใด ต้องการมากเท่าใด และต้องการถึงระดับไหน เจ้าก็ใช้ทักษะเหล่านี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ  จงใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเจ้าในหน้าที่ของเจ้า เปิดโอกาสให้สิ่งเหล่านี้ได้ทำงานและทำให้เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลที่ดีขึ้นในหน้าที่ของเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เจ้าร่ำเรียนทักษะและมีความเชี่ยวชาญในสายงานก็ย่อมจะมีเหตุผลมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้ย่อมจะมีคุณค่ามิใช่หรือ?  เจ้าเองก็จะได้ทำคุณความดีบ้างมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าเต็มใจที่จะทำคุณความดีกันแบบนี้หรือไม่?  (เต็มใจ)  นั่นเป็นเรื่องดี  ส่วนทักษะและความเชี่ยวชาญที่ไม่มีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใดนั้น พระนิเวศของพระเจ้าย่อมไม่ต้องการหรือไม่สนับสนุนเป็นธรรมดา และผู้ที่มีทักษะหรือความเชี่ยวชาญดังกล่าวก็ไม่ควรใช้สิ่งเหล่านั้นตามใจชอบ  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  (ข้าพระองค์ควรทิ้งทักษะเหล่านั้นเสีย)  ถูกต้อง แนวทางที่ง่ายที่สุดก็คือทิ้งไปเสีย ทำเหมือนเจ้าไม่เคยร่ำเรียนสิ่งเหล่านั้น  จงบอกเราเถิดว่าถ้าเจ้าเต็มใจปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป สิ่งเหล่านั้นจะยังออกมารบกวนเจ้าเวลาที่เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไม่?  ไม่ ย่อมจะไม่เป็นเช่นนั้น  นี่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้ามิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงความรู้เล็กน้อยเท่านั้น  จะสร้างปัญหาได้มากเท่าใด จะมีผลได้มากเท่าใดกัน?  จงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนว่าเจ้าไม่เคยร่ำเรียนมา เหมือนว่าเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ แล้วจากนั้นก็ย่อมจะหมดเรื่องไปมิใช่หรือ?  เจ้าควรจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  ถ้าเป็นสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้กำหนดให้เจ้าทำ ก็จงอย่าเอาแต่แสดงทักษะของเจ้าให้มากเพื่อที่จะโอ้อวด เพื่อตอบสนองความสนใจของเจ้า หรือเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ารู้กลเม็ดบางอย่าง  การทำเช่นนั้นย่อมผิด  นั่นไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและจะไม่เป็นที่จดจำ  เราขอบอกเจ้าว่า ไม่เพียงจะไม่เป็นที่จดจำเท่านั้น แต่ยังจะถูกกล่าวโทษอีกด้วย เพราะเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้ากำลังทำธุระส่วนตน และนั่นก็เป็นเรื่องร้ายแรงมาก!  ทำไมถึงร้ายแรง?  เพราะโดยธรรมชาติแล้ว นี่คือการขัดขวางและก่อกวน!  พระนิเวศของพระเจ้าบอกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเจ้าต้องไม่ทำสิ่งต่างๆ แบบนั้น หรือทำสิ่งเหล่านั้น หรือใช้วิธีการเช่นนั้น แต่เจ้าก็ไม่ฟัง  เจ้ายังคงทำอยู่เรื่อยๆ ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ และตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป  นั่นคือการก่อกวนมิใช่หรือ?  นั่นคือการจงใจมิใช่หรือ?  เจ้ารู้ดีว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น แต่เจ้าก็ยังจงใจทำต่อไป  เจ้ามัวแต่สุขสำราญอยู่กับการโอ้อวดมิใช่หรือ?  ถ้าวิดีโอหรือรายการที่เจ้าทำนั้นดูหมิ่นพระเจ้า เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาย่อมจะมิอาจคาดคิดได้ และการกระทำผิดของเจ้าก็จะร้ายแรงยิ่ง  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น ในส่วนของสิ่งที่เจ้าชอบทำเป็นการส่วนตัวและทักษะสายอาชีพที่เจ้ามี—ถ้าเจ้าชอบสิ่งเหล่านั้น ถ้าเจ้ามีความสนใจ ถ้าเจ้าชื่นชูสิ่งเหล่านั้น ก็จงทำในเวลาส่วนตัวที่บ้าน  นั่นไม่เป็นไร  แต่จงอย่าเอามาแสดงให้คนส่วนใหญ่ดู  ถ้าเจ้าอยากแสดงบางสิ่งให้คนส่วนใหญ่ดู เจ้าก็ต้องสามารถทำได้มาตรฐานสูงๆ และไม่ดูหมิ่นพระเจ้าหรือทำลายความน่าเชื่อถือแห่งพระนิเวศของพระองค์  นี่ไม่ใช่เรื่องแค่เจ้ามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่ หรือชำนาญทักษะในสายงานบางอย่างเพียงใด  นี่ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ เช่นนั้น  มีหลักการอยู่ในหลักธรรมและมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้แก่งานแต่ละชิ้นที่พวกเจ้าทำ รวมทั้งมีหลักการอยู่ในทิศทางและวัตถุประสงค์ที่คอยชี้นำงานของพวกเจ้าในแต่ละขั้นตอนอีกด้วย  ทั้งหมดนั้นหมายที่จะปกป้องงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้หมายที่จะขัดขวาง ก่อกวน ทำลายความน่าเชื่อถือ หรือทำลายงานและผลประโยชน์ของพระนิเวศ  ถ้าขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ประสบการณ์ และความนิยมชมชอบส่วนตัวของพวกเจ้าไม่สามารถทำตามมาตรฐาน หลักธรรม ทิศทาง และวัตถุประสงค์เหล่านี้ หรือว่าตามสิ่งเหล่านี้ไม่ทัน เช่นนั้นแล้วก็จงสามัคคีธรรมเป็นการส่วนตัว ขอคำชี้แนะและความช่วยเหลือจากผู้ที่เข้าใจและสามารถตามสิ่งเหล่านี้ได้ทัน  จงอย่าต้านทาน อย่าได้เก็บงำภาวะอารมณ์เชิงลบเอาไว้ตลอดเวลาเพียงเพราะพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำบางสิ่งบางอย่าง  แท้จริงแล้วกลเม็ดที่พวกเจ้ามีอยู่ไม่กี่อย่างนั้นยังไม่ดีพอ  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเจ้ายังไม่ดีพอ?  เพราะความคิดอ่านและมุมมองของพวกเจ้าบิดเบี้ยวเกินไป  ไม่เพียงความนิยมชมชอบ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ดุลยพินิจ และประสบการณ์ของพวกเจ้าจะมีไม่มากพอและไม่ดีพอเท่านั้น แต่เจ้ายังเก็บงำมโนคติเก่าๆ ที่หลงผิดทางศาสนาเอาไว้มากมายอีกด้วย  มโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของพวกเจ้ามีอยู่มากเกินไปและฝังรากลึกเกินไป แม้กระทั่งหนุ่มสาวบางคนที่อยู่ในวัยยี่สิบกว่าปีก็มีความคิดและมโนคติอันหลงผิดที่ล้าสมัยอย่างมาก  แม้พวกเจ้าจะเป็นผู้คนยุคใหม่ที่ร่ำเรียนทักษะเฉพาะทางอันทันสมัย และมีความรู้ในสายงานบางอย่าง แต่เพราะพวกเจ้าไม่เข้าใจความจริง ทัศนคติ มุมมอง และจุดยืนของพวกเจ้าในเรื่องต่างๆ และความคิดอ่านที่พวกเจ้ามี จึงล้าสมัยไปหมด  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะร่ำเรียนทักษะในสายงานมากี่อย่าง ความคิดอ่านของพวกเจ้าก็ยังคงล้าสมัย  เจ้าต้องทำความเข้าใจปัญหานี้และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนี้  เพราะฉะนั้น เจ้าต้องปล่อยมือจากสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเจ้าทิ้ง สั่งห้าม หรือไม่อนุญาตให้พวกเจ้าใช้  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ต้องมีเหตุผลมากพอที่จะเรียนรู้การเชื่อฟัง และลงมือทำตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียก่อน  จงอย่าต้านทาน จงเรียนรู้ที่จะนบนอบเสียก่อนเถิด

หลังการสามัคคีธรรมเรื่องท่าทีที่ถูกต้องที่ผู้คนควรมีต่อทักษะในสายงานของตนแล้ว พวกเจ้าควรทำความเข้าใจเรื่องใดอีก?  ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน ถ้าพวกเจ้าล้มเหลวเพราะใช้ทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางบางอย่างได้ไม่ดี เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและความเสียหายต่องานของคริสตจักร และเจ้าก็เผชิญการตัดแต่ง เจ้าควรทำอย่างไร?  เรื่องนี้จัดการได้ง่าย  จงรีบกลับตัวและกลับใจ แล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็จะให้โอกาสเจ้าแก้ไขความผิดพลาดของตนให้ถูกต้อง  เนื่องจากไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนจึงผิดพลาดและย่อมมีช่วงเวลาที่รู้สึกสับสน  ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่ากังวล สิ่งที่น่ากังวลคือการที่เจ้ายังคงผิดพลาดเช่นเดิมซ้ำๆ ตั้งหน้าตั้งตาทำผิดเหมือนเดิมและไม่กลับตัวจนกระทั่งเจ้าไม่มีทางให้เดินอีก  ถ้าเจ้าตระหนักในข้อผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วก็จงแก้ไขให้ถูกต้อง  นั่นไม่ยากเท่าใดมิใช่หรือ?  ทุกคนผิดพลาดกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่ควรหัวเราะเยาะกัน  หลังจากที่ทำพลาด ถ้าเจ้ายอมรับความผิดพลาดของตนได้ เรียนรู้บทเรียนของตน และกลับตัวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะก้าวหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าปัญหาเกิดจากการที่เจ้าไม่สันทัดงานของตน เจ้าก็สามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อไปให้ชำนาญ แล้วปัญหาดังกล่าวก็ย่อมจะแก้ไขได้  ถ้าเจ้าแน่ใจได้ว่าเจ้าจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้นอีกในอนาคต นั่นก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้นอีกมิใช่หรือ?  เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง!  ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้สึกเก็บกดเพียงเพราะเจ้าใช้ทักษะในสายงานของตนอย่างไม่ถูกต้องจนเกิดความผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ และเจ้าก็เผชิญการตัดแต่ง  เหตุใดจึงรู้สึกเก็บกด?  เหตุใดเจ้าจึงเปราะบางเช่นนี้?  ไม่ว่าสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานจะเป็นอย่างไร ผู้คนก็ทำผิดกันเป็นครั้งคราว และย่อมมีด้านที่พวกเขามีขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และมุมมองไม่ดีพอ  นี่เป็นเรื่องที่ปกติ และเจ้าก็จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีที่จะรับมืออย่างถูกต้อง  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าแนวปฏิบัติของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าก็ควรเผชิญและจัดการเรื่องนั้นๆ อย่างแข็งขันและถูกต้อง  จงอย่าหดหู่หรือรู้สึกในทางลบหรือเก็บกดเวลาเผชิญความยากลำบากนิดหน่อย และจงอย่าตกอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบ  ทั้งหมดนั้นไม่มีความจำเป็น จงอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่  สิ่งที่เจ้าควรทำคือทบทวนตนเองทันที และพิจารณาว่าทักษะในสายงานของเจ้ามีปัญหาหรือว่าเจตนาของเจ้ามีปัญหา  จงตรวจดูว่าการกระทำของเจ้ามีอะไรที่ไม่บริสุทธิ์หรือว่าเป็นเรื่องของมโนคติอันหลงผิดบางอย่าง  จงคิดทบทวนแง่มุมทั้งหมด  ถ้าเป็นปัญหาเรื่องการขาดความชำนาญ เจ้าก็สามารถเรียนรู้ต่อไป หาใครสักคนมาช่วยเจ้าสำรวจหนทางแก้ไข หรือปรึกษาผู้คนในสายงานเดียวกัน  ถ้ามีเจตนาบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับปัญหาที่อาจใช้ความจริงแก้ไขได้ เจ้าก็สามารถไปหาผู้นำคริสตจักรหรือใครสักคนที่เข้าใจความจริงเพื่อขอคำปรึกษาและสามัคคีธรรม  จงคุยกับพวกเขาถึงสภาวะของเจ้าและยอมให้พวกเขาช่วยเจ้าแก้ไขสภาวะดังกล่าว  ถ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับมโนคติอันหลงผิด เมื่อเจ้าตรวจสอบและตระหนักในมโนคติเหล่านั้นแล้ว เจ้าก็สามารถชำแหละและทำความเข้าใจมโนคติเหล่านั้น จากนั้นจึงหันหลังและต่อต้านมโนคติที่หลงผิดเหล่านั้น  เรื่องก็มีอยู่เท่านั้นมิใช่หรือ?  วันเวลาข้างหน้ายังคงรอคอยเจ้าอยู่ พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ก็จะขึ้นมาอีก และเจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ในเมื่อเจ้ามีชีวิต ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าต่อไป  ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตและมีความคิด เจ้าก็ควรพากเพียรที่จะทำให้หน้าที่ของตนลุล่วงและเสร็จสมบูรณ์  นี่คือเป้าหมายที่ไม่ควรเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาดตลอดชีวิตของคนคนหนึ่ง  ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญความยากลำบากอันใด ไม่ว่าเจ้าจะพบเจออะไร เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกเก็บกด  ถ้าเจ้ารู้สึกเก็บกด เจ้าก็จะอยู่กับที่และพ่ายแพ้  ผู้คนที่รู้สึกเก็บกดตลอดเวลาเป็นคนเช่นใด?  พวกคนอ่อนแอและคนเขลามักจะเก็บกด  แต่ตัวเจ้านั้นไม่ใช่ไม่มีหัวใจหรือไม่มีความคิด แล้วเจ้ารู้สึกเก็บกดเรื่องอะไร?  ก็แค่ในตอนนี้เจ้าไม่ได้ใช้ทักษะหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเจ้าตามปกติ  การใช้สิ่งเหล่านี้ตามปกติหมายถึงอะไร?  หมายถึงการทำสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้เจ้าทำและใช้ทักษะเฉพาะทางที่เจ้าร่ำเรียนมาให้ได้ตามมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้าวางไว้  นั่นก็มากพอแล้วมิใช่หรือ?  นั่นคือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าการใช้งานตามปกติมิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ห้ามเจ้าใช้ความสามารถของเจ้า  พระนิเวศเพียงขอให้เจ้าใช้ความสามารถเหล่านั้นตามจุดประสงค์ มาตรฐาน และตามหลักธรรม และมีความพอประมาณ ไม่ใช่ใช้อย่างซี้ซั้ว  นอกจากนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือชีวิตส่วนตัวของเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและวางมาตรฐานไว้เฉพาะเรื่องที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเท่านั้น  ดังนั้น เมื่อเป็นการจัดการทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานของเจ้า ย่อมไม่มีการมัดมือมัดเท้าของเจ้าเอาไว้ และไม่มีการควบคุมความคิดอ่านของเจ้า  ความคิดของเจ้าเป็นอิสระ มือเท้าของเจ้าก็เป็นอิสระ และหัวใจของเจ้าก็เป็นอิสระเช่นกัน  เพียงแต่ว่าเวลาเจ้าเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบ เจ้ากลับเลือกที่จะถอย กลายเป็นคนหดหู่ ปฏิเสธ และต้านทาน  แต่ถ้าเจ้าเลือกที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ในทางที่เป็นบวก รับฟังอย่างตั้งใจ ทำตามหลักธรรม กฎเกณฑ์ และข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่พบว่าตนเองไร้ซึ่งเส้นทางให้ก้าวเดินหรือไม่มีอะไรทำ  เจ้าไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ อ่อนแอ หรือคนเขลา  พระเจ้าประทานเจตจำนงเสรี การคิดอ่านที่ปกติ และความเป็นมนุษย์ที่ปกติให้แก่เจ้า  ดังนั้น เจ้าจึงมีหน้าที่ให้ปฏิบัติ และเจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตน  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีทักษะและความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ ดังนั้น เจ้าจึงเป็นคนที่มีประโยชน์ในพระนิเวศของพระเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถใช้ความเชี่ยวชาญของตนได้อย่างที่เจ้าพึงใช้ในงานบางด้านของพระนิเวศของพระเจ้าที่เกี่ยวพันกับทักษะและความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ เจ้าย่อมจะพบที่ทางของตนเองและปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ตราบใดที่เจ้าตั้งมั่นในที่ของเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และทำงานของเจ้าให้ดี เจ้าก็จะไม่เป็นคนไร้ค่า แต่เป็นคนที่มีประโยชน์  ถ้าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน มีความคิดอ่าน และทำงานได้ดีพอ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญความยากลำบากอันใด เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกเก็บกด เจ้าไม่ควรล่าถอย และไม่ควรปฏิเสธหรือหลีกหนี  ทั้งนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้ไม่ใช่การจมจ่อมอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบจนเจ้านั้นไม่สามารถพาตัวเองออกมาได้  เจ้าไม่ควรพร่ำบ่นเหมือนผู้หญิงใจน้อยว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่เที่ยงธรรม พี่น้องชายหญิงดูแคลนเจ้า หรือพระนิเวศของพระเจ้าไม่เห็นว่าเจ้ามีคุณค่าหรือให้โอกาสแก่เจ้า  อันที่จริง พระนิเวศของพระเจ้าให้โอกาสและไว้วางใจมอบหมายหน้าที่ที่เจ้าพึงทำให้แก่เจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ได้จัดการให้ดี  เจ้ายังคงทำตามที่เจ้าเลือกและตามความต้องการของเจ้าเอง เจ้าไม่ได้ตั้งใจฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือสนใจหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าบอกเจ้าในเรื่องงาน  เจ้าเอาแต่ใจเกินไป  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกด นั่นย่อมไม่ใช่ความรับผิดชอบของใครอื่น  ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำให้เจ้าผิดหวัง และยิ่งไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่สามารถยอมรับเจ้าได้  แต่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้าไม่ได้จัดการหรือใช้อาชีพและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของตนอย่างถูกต้อง  เจ้าไม่ได้รับมือเรื่องนี้อย่างมีเหตุผล แต่กลับบุ่มบ่ามต่อต้านด้วยภาวะอารมณ์เชิงลบ  นี่คือความผิดพลาดของเจ้า  ถ้าเจ้าปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบของตน และออกจากสภาวะที่เก็บกดนี้ เจ้าก็จะตระหนักว่ามีงานมากมายที่เจ้าสามารถทำได้ และมีงานมากมายที่เจ้าต้องทำ  ถ้าเจ้าสามารถออกจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ได้ และเผชิญหน้าที่ของตนด้วยท่าทีที่เป็นบวก เจ้าก็จะมองเห็นว่าถนนตรงหน้านั้นสว่างไสว ไม่ได้มืดมน  ไม่มีใครปิดกั้นการมองเห็นของเจ้า และไม่มีใครขัดขวางก้าวย่างของเจ้า  เพียงแต่เจ้าไม่อยากก้าวไปข้างหน้าเท่านั้นเอง  ความชอบส่วนตน ความอยากได้อยากมี และแผนการส่วนตัวของเจ้าต่างหากที่คอยขวางก้าวย่างของเจ้า  จงวางสิ่งเหล่านี้เสียเถิด ปล่อยมือเสีย เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่พระนิเวศของพระเจ้า ปรับตัวให้เข้ากับความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่พี่น้องชายหญิงของเจ้ามอบให้ ให้เข้ากับวิธีการปฏิบัติหน้าที่และวิธีทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า  จงปล่อยมือจากความชอบส่วนตน ความอยากได้อยากมี และแนวคิดเพ้อฝันที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงไปทีละน้อย  แล้วเจ้าจะค่อยๆ หลุดจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดเหล่านี้ไปเอง  อีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องทำความเข้าใจก็คือ ไม่ว่าทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ชีวิตของเจ้า  ไม่ได้แสดงถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชีวิตของเจ้า หรือแสดงว่าเจ้าได้รับความรอดแล้ว  ถ้าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเป็นปกติและเชื่อฟัง สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง โดยใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมทำได้ดีเมื่ออยู่ที่นี่และเป็นสมาชิกคนหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม เจ้ากลับชูธงอยู่เสมอว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน หาประโยชน์จากโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของตน หาประโยชน์จากโอกาสที่ได้รับจากพระนิเวศของพระเจ้า และทำตามความชอบส่วนตน ความทะเยอทะยาน และความอยากที่จะใช้ความเชี่ยวชาญของตนเองอย่างเต็มที่ ใช้เรื่องนี้มาไล่ตามอาชีพการงานและธุระส่วนตัวของเจ้าเอง ส่งผลให้เจ้าเจอทางตันและรู้สึกเก็บกด  ใครทำให้ความเก็บกดนี้เกิดขึ้น?  เจ้าทำให้มันเกิดขึ้นมาเอง  ถ้าเจ้ายังคงไล่ตามกิจธุระส่วนตัวต่อไปเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นย่อมจะใช้ไม่ได้ผลกับที่นี่เพราะเจ้ามาผิดที่แล้ว  ตั้งแต่ต้นจนจบ สิ่งที่เสวนากันที่พระนิเวศของพระเจ้าก็คือความจริง ข้อกำหนดของพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์  นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้วย่อมไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะมีข้อกำหนดอันใดต่อผู้คน ในงานหรือสายงานด้านใดที่พวกเขาทำ หรือเป็นการจัดแจงแบ่งงานอะไรเป็นพิเศษ นั่นก็ไม่ได้มุ่งหมายไปที่ใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ได้หมายที่จะกดใครเอาไว้ หรือดับความกระตือรือร้นหรือความภาคภูมิใจของใคร  ทั้งหมดเป็นไปเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นพยานให้พระเจ้า เผยแผ่พระวจนะของพระองค์ และพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าการทรงสถิตของพระองค์ให้ได้จำนวนที่มากขึ้น  แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นหมายที่จะให้พวกเจ้าแต่ละคนที่อยู่ในที่นี้ออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้อีกด้วย  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  ถ้าตัวอย่างที่ยกมาในวันนี้ไปตรงกับใครบางคนเข้า ก็จงอย่ารู้สึกท้อใจ  ถ้าเจ้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เรากล่าว ก็จงยอมรับเอาไว้  ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วยและยังคงรู้สึกเก็บกด เช่นนั้นแล้วก็จงอยู่ในความเก็บกดของเจ้าต่อไป  พวกเรามาดูกันเถิดว่าผู้คนแบบนี้จะสามารถรู้สึกเก็บกดไปได้ถึงระดับไหน และพวกเขาจะทนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าพลางหอบหิ้วภาวะอารมณ์เชิงลบดังกล่าวไปได้นานเท่าใด โดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือกลับตัว

ถ้าพวกเขาไม่ปล่อยมือจากความเก็บกด ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบนี้ย่อมเผชิญความเสียเปรียบอีกอย่างคือ ทันทีที่มีการเสนอโอกาสแก่พวกเขา พวกเขาย่อมผุดลุกไปทำงาน คุมงานเอง และไม่สนใจข้อกำหนด กฎเกณฑ์ และหลักธรรมทั้งปวงแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผลีผลามลงมือและทำตามความอยากได้อยากมีของตนอย่างเต็มที่  เมื่อพวกเขาขยับตัว ผลที่ตามมาย่อมมิอาจคาดคิดได้  ในระดับที่เบาลงมา พวกเขาสามารถทำให้พระนิเวศของพระเจ้าสูญเสียเงินทอง หรือในระดับที่หนักขึ้น พวกเขาย่อมจะสามารถขัดขวางงานของคริสตจักร  ถ้าผู้นำและผู้ดูแลทั้งหลายบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของตนและไม่แก้ปัญหา นี่ย่อมจะส่งผลต่องานแผ่ขยายข่าวประเสริฐแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปด้วย ซึ่งเกี่ยวพันถึงการต้านทานพระเจ้า  ถ้ามีเหตุการณ์และผลพวงเช่นนั้นเกิดขึ้นกับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะจบสิ้น  แทนที่จะคาดคะเนอนาคตของตน พวกเขาควรปล่อยมือจากความเก็บกดเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า เปลี่ยนแปลงท่าทีและความคิดเห็นที่พวกเขามีมาอย่างต่อเนื่องซึ่งให้ความสำคัญและประเมินค่าของทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสูงเกินไป  เรื่องสำคัญคือพวกเขาควรพลิกมุมมองของตนเสียและไม่ยึดมั่นในมุมมองเหล่านี้มากนัก  เหตุผลของการไม่ยึดมั่นไม่ใช่เพราะโดยพื้นฐานแล้วมุมมองเหล่านี้ไม่มีความสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า หรือเป็นเพราะดุลยพินิจหรือความคิดเห็นด้านลบที่เรามีต่อสิ่งเหล่านี้  แต่เป็นเพราะโดยแก่นแท้แล้ว ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางคือเครื่องมืออย่างหนึ่ง  ไม่ได้แสดงถึงความจริงหรือชีวิต  เมื่อฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสูญสลายไป ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางย่อมจะพินาศไปด้วย แต่สิ่งที่เป็นบวกและความจริงที่มนุษย์ได้ไว้ไม่เพียงแต่จะไม่พินาศเท่านั้น แต่จะไม่สูญสลายไปเป็นอันขาด  ไม่ว่าทักษะเฉพาะทางหรือความเชี่ยวชาญพิเศษที่เจ้ามีนั้นจะลึกล้ำ ยิ่งใหญ่ หรือไม่อาจมีอะไรมาแทนที่ได้เพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติหรือโลกได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดหรือมุมมองเล็กๆ ที่ผู้คนมีแม้สักอย่างเดียว  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดหรือมุมมองเล็กๆ แม้สักอย่างหนึ่ง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลก  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถกำหนดปัจจุบัน วันเวลาที่กำลังจะมาถึง หรืออนาคตข้างหน้าของมนุษยชาติ และแน่นอนว่าไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ  ข้อเท็จจริงของเรื่องก็มีอยู่เท่านี้  ถ้าเจ้าไม่เชื่อเรา ก็จงรอดูเถิด  ถ้าเจ้าไม่เชื่อวจนะของเรา และยังคงชื่นชูสิ่งต่างๆ อย่างความรู้ ทักษะเฉพาะทาง และความเชี่ยวชาญต่อไป ก็จงดูไปเถิดว่าเมื่อเจ้าชื่นชูสิ่งเหล่านี้ไปจนถึงปลายทาง ใครบ้างที่จะถูกดึงไว้ และเจ้าจะได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้  บางคนมีทักษะและความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สูงมาก ล้ำเลิศกว่าคนทั่วไปและเก่งกาจในสาขานี้  พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ไม่ว่าจะไปที่ใดก็วางท่าสูงส่งและประกาศว่า “ฉันเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์มาก ฉันคือวิศวกรคอมพิวเตอร์!”  ถ้าเจ้ายังคงวางท่าเช่นนี้ ก็มาดูกันว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะไปได้ไกลขนาดไหนและจะลงเอยที่ใด  เจ้าควรทิ้งตำแหน่งงานนี้และนิยามตนเองเสียใหม่  เจ้าคือคนธรรมดา  จงเข้าใจเถิดว่าทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากมนุษย์  มีข้อจำกัดตามความสามารถทางสมองและความคิดอ่านของผู้คน อย่างมากก็ไหลท่วมเซลล์ประสาทในสมองของผู้คน ทิ้งภาพจำและร่องรอยเอาไว้ในความทรงจำของพวกเขา  อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลในทางบวกต่ออุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนคนหนึ่ง หรือเส้นทางในอนาคตของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์จริง  ถ้าเจ้ายังคงยึดถือทักษะเฉพาะทางหรือความเชี่ยวชาญที่เจ้าได้ไว้ต่อไป และไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือ คิดอยู่เสมอว่าเป็นของล้ำค่าและควรค่าที่จะรัก เชื่อว่าเมื่อมีสิ่งเหล่านี้ เจ้าย่อมล้ำเลิศ เจ้าย่อมเหนือกว่าผู้อื่น เจ้าย่อมคู่ควรที่จะได้รับเกียรติ เช่นนั้นแล้วเราย่อมกล่าวว่าเจ้านั้นเขลา  สิ่งเหล่านี้ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง!  เราหวังว่าเจ้าจะพยายามปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ ปลดปล่อยตัวเองจากตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญหรือตำแหน่งมืออาชีพ ก้าวออกจากแวดวงผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพทั้งหลาย เรียนรู้ที่จะพูดและทำทุกสิ่งทุกอย่าง และปฏิบัติต่อทุกคนและทุกสิ่งโดยไม่ลืมตัว  จงอย่ามัวเมาอยู่กับแนวคิดเพ้อฝันทั้งหลายหรือสร้างวิมานในอากาศ  ในทางตรงกันข้าม เจ้าควรยืนบนพื้นให้มั่นด้วยสองเท้าของตน ทำสิ่งต่างๆ โดยที่เท้ายังติดดิน และวางตนให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อไป  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะพูดจาด้วยความสัตย์จริง ด้วยใจจริง และอยู่บนความเป็นจริง บ่มเพาะความคิด มุมมอง ทัศนคติ และจุดยืนที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้คนและสิ่งทั้งหลาย  นี่เป็นเรื่องสำคัญ  นี่หมายความว่าเจ้าสามารถปล่อยมือและทิ้งทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เจ้ายึดถืออยู่ในหัวใจมาหลายปีได้แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยึดครองหัวใจและความคิดอ่านของเจ้ามาโดยตลอด และเจ้าก็สามารถเรียนรู้เรื่องสำคัญ เช่น ควรวางตนอย่างไร ควรพูดจาอย่างไร ควรมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไร และควรลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าอย่างไร  ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนใช้เดิน ความเป็นอยู่ของพวกเขา และอนาคตของพวกเขาทั้งสิ้น  สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินและอนาคตของพวกเขานี้สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้า กำหนดชะตากรรมของเจ้า และช่วยเจ้าให้รอดได้  ในทางกลับกัน ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมหรืออนาคตของเจ้าได้  ไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย  ถ้าเจ้าใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเหล่านี้ประกอบอาชีพในสังคม สิ่งเหล่านี้ก็อาจช่วยเจ้าทำมาหาเลี้ยงชีวิตหรือทำให้ชีวิตของเจ้าดีขึ้นบ้างเท่านั้น  แต่เราขอบอกเจ้าว่าเมื่อเจ้ามาที่พระนิเวศของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กำหนดอะไรเลย  แต่กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าและขวางเจ้าจากการเป็นคนธรรมดาที่ปกติได้  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องมีความเข้าใจและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก่อน  จงอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนพิเศษที่มีความสามารถ หรือเชื่อว่าในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้านั้นไม่ธรรมดาและสูงส่งกว่าผู้อื่น หรือพิเศษกว่าพวกเขา  เจ้าไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสายตาของเรา  นอกจากมีความสามารถหรือความรู้และทักษะพิเศษบางอย่างที่ผู้อื่นไม่มีแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากใครอื่น  วาจาของเจ้า การกระทำและการประพฤติปฏิบัติของเจ้า ความคิดอ่านและมุมมองของเจ้าเต็มไปด้วยพิษของซาตาน เต็มไปด้วยความคิดและมุมมองที่บิดเบี้ยวและเป็นลบ  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง  ถ้าเจ้ายังคงติดอยู่ในกับดักของสภาวะที่ลำพองใจ พอใจในตนเอง และเลื่อมใสตัวเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เขลาเกินไป และประเมินตัวเองไว้สูงเกินไป  ต่อให้เจ้าเคยทำคุณูปการบางอย่างให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าโดยใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเจ้า ก็ไม่คุ้มค่าที่เจ้าจะชื่นชูสิ่งเหล่านี้ต่อไป  ไม่มีทักษะหรือความเชี่ยวชาญในสายงานใดที่คู่ควรให้เจ้าอุทิศทั้งชีวิตของตน ถึงขั้นเอาอนาคตและบั้นปลายอันวิเศษของตนไปเสี่ยงเพื่อจะได้ชื่นชู ค้ำจุน ปกป้อง และยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ และไปไกลถึงขั้นดำรงชีวิตและตายเพื่อสิ่งเหล่านี้  แน่นอนว่าเจ้าไม่ควรปล่อยให้การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความคิดและภาวะอารมณ์ของเจ้าไม่ว่าในแง่ใดอีกด้วย และเจ้ายิ่งไม่ควรรู้สึกเก็บกดเพราะสิ่งเหล่านี้ เพราะเจ้าสูญเสียมันไป หรือเพราะไม่มีใครยอมรับสิ่งเหล่านี้  นั่นย่อมจะเป็นท่าทีที่โง่เขลาและไม่สมเหตุสมผล  กล่าวตามตรงก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเสื้อผ้าที่จะถอดทิ้งหรือหยิบขึ้นมาใส่เมื่อใดก็ได้  ไม่มีอะไรพิเศษ  เมื่อเจ้าต้องการใช้ เจ้าก็สวมเสื้อผ้า และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าไม่ต้องการใช้ เจ้าก็สามารถถอดทิ้งไปได้  เจ้าไม่ควรรู้สึกไยดีในสิ่งเหล่านี้ นั่นคือท่าทีและมุมมองที่เจ้าควรมีต่อความรู้ ทักษะ หรือความเชี่ยวชาญอันใดก็ตาม  เจ้าไม่ควรชื่นชูหรือมองว่าเป็นชีวิตของเจ้า เกิดความเบิกบานหรือความสุขเพราะสิ่งเหล่านี้ หรือดำรงชีวิตและตายเพื่อสิ่งเหล่านี้  นั่นไม่มีความจำเป็น  เจ้าควรมีท่าทีที่สมเหตุสมผลกับสิ่งเหล่านี้  แน่นอนว่าถ้าเจ้าติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดเพราะสิ่งเหล่านี้ แล้วส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าซึ่งก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นก็ยิ่งใช้ไม่ได้เข้าไปใหญ่  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่เจ้าสามารถที่จะใช้หรือทิ้งเมื่อใดก็ได้ จึงไม่ควรทำให้เจ้าเกิดความผูกพันหรือความรู้สึกใดๆ ด้วย  ดังนั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะปฏิบัติอย่างไรต่อทักษะหรือความเชี่ยวชาญในสายงานที่เจ้ามี ไม่ว่าพระนิเวศจะเห็นชอบด้วยหรือขอให้เจ้าทิ้งมันไป หรือถึงกับกล่าวโทษและวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ควรมีแนวคิดของตนเองแต่อย่างใด  เจ้าควรยอมรับเรื่องนี้จากพระเจ้า เผชิญหน้าและปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยเหตุผล ด้วยจุดยืนและมุมมองที่ถูกต้อง  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าใช้ทักษะของเจ้า แต่ทักษะเหล่านี้ของเจ้าขาดตกบกพร่องในทางใดทางหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของตนให้ดีขึ้นได้  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้ทักษะของเจ้า เจ้าก็ควรปล่อยไปโดยไม่ลังเล ไม่กังวลอะไร และไม่มีปัญหาอันใด—เรื่องก็ง่ายเช่นนั้น  การที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงานที่เจ้ามี ไม่ใช่เรื่องที่เจาะจงไปที่ตัวเจ้าเป็นการส่วนตัว และไม่ได้ตัดสิทธิ์ของเจ้าจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นก็เพราะความเป็นกบฏของเจ้าเอง  ถ้าเจ้ากล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าดูแคลนฉัน ดูถูกความสามารถและความรู้ที่ฉันมี และทำเหมือนฉันไม่ใช่คนที่มีความสามารถ  เพราะฉะนั้น ฉันก็จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป!” การไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ไม่ใช่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้โอกาสเจ้าหรือตัดสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าทิ้งโอกาสที่จะได้รับความรอด  เนื่องจากเจ้าให้ความสำคัญกับการรักษาทักษะและความเชี่ยวชาญในสายงาน รวมทั้งศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอันดับแรก เจ้าจึงละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและความหวังที่จะได้รับความรอด  จงบอกเราเถิดว่านี่สมเหตุสมผลหรือไม่สมเหตุสมผล?  (ไม่สมเหตุสมผล)  นี่โง่เขลาหรือมีปัญญา?  (โง่เขลา)  แล้วมีเส้นทางหรือไม่ว่าเจ้าควรเลือกสิ่งใด?  (มี)  ย่อมมีเส้นทาง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้ายังคงรู้สึกเก็บกดอยู่อีกหรือไม่?  (ไม่แล้ว)  เจ้าย่อมไม่รู้สึกเก็บกดอีกต่อไปแล้ว จริงไหม?  คนที่มีภาวะอารมณ์ที่เก็บกดและคนที่ไม่มีภาวะอารมณ์ที่เก็บกดย่อมมีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน และมีหนทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการทำสิ่งต่างๆ  เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนที่เก็บกดจะมีความสุข พวกเขาจะไม่มีวันรู้สึกมีสันติสุขหรือความเบิกบาน และจะไม่มีประสบการณ์เป็นความสำราญใจและความชูใจที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน  แน่นอนว่าหลังจากเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดแล้ว ผู้คนย่อมจะรู้สึกมีความสุข มีความชูใจ และความสำราญใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนภายในพระนิเวศของพระเจ้า  จากนี้เป็นต้นไป บางคนควรใช้ความพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง—อนาคตย่อมจะสว่างไสวสำหรับผู้คนแบบนี้  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ารู้สึกเก็บกดอยู่ตลอดเวลาและไม่แสวงหาความจริงเพื่อทำให้ตัวเองเป็นอิสระ เช่นนั้นแล้วก็จงทำต่อไป อยู่ในความเก็บกดของเจ้าต่อไป และดูว่าเจ้าจะสามารถสู้ทนไปได้นานเพียงใด  ถ้าเจ้ายังคงอยู่ในสภาวะที่เก็บกดเช่นนี้ อนาคตของเจ้าย่อมจะมัวหม่น มืดสนิท จนเจ้าไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ และย่อมจะไม่มีเส้นทางข้างหน้า  เจ้าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างงุนงง เจ้าจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้ความอย่างยิ่ง!  ในความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น แต่ผู้คนก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากเรื่องนี้ ปล่อยมือ หรือแก้ไขให้ถูกต้องได้  ถ้าพวกเขาสามารถแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ความรู้สึกนึกคิดและความใฝ่ฝันในหัวใจของพวกเขา รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา ย่อมจะแตกต่างออกไป  เอาละ พวกเราจะสิ้นสุดสามัคคีธรรมของวันนี้ไว้เท่านี้  เราหวังว่าพวกเจ้าจะเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เก็บกดได้ในไม่ช้า!

19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (5)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger