ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (19)

โดยปกติแล้วพวกเจ้าเชื่อมโยงบทเพลงนมัสการที่เจ้าฟังเข้ากับสภาวะและประสบการณ์ของตัวเจ้าเองหรือไม่?  เจ้าตั้งใจฟังรวมทั้งไตร่ตรองคำบางคำและหัวข้อเรื่องที่สัมพันธ์กับประสบการณ์และความเข้าใจของเจ้า หรือที่เจ้าสามารถบรรลุได้หรือไม่?  (ข้าแต่พระเจ้า บางครั้งเวลาที่กำลังก้าวผ่านบางสิ่ง ข้าพระองค์จะเชื่อมโยงบทเพลงนมัสการที่ข้าพระองค์ได้ยินเข้ากับสถานการณ์ของตัวเอง ขณะที่คราวอื่นๆ ข้าพระองค์ก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธี)  ส่วนใหญ่เจ้าก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธีใช่หรือไม่?  หากเวลาร้อยละ 95 ที่พวกเจ้ากำลังฟังบทเพลงนมัสการนั้น เจ้าแค่กำลังทำท่าพอเป็นพิธี การฟังเช่นนั้นมีนัยสำคัญอันใดหรือไม่?  อะไรคือจุดประสงค์ของการฟังบทเพลงนมัสการ?  อย่างน้อยที่สุด นั่นก็เปิดโอกาสให้ผู้คนสงบใจ ถอนหัวใจออกมาจากความคิดและเรื่องซับซ้อนสารพัน และสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มาอยู่เบื้องหน้าพระวจนะของพระเจ้าเพื่อฟังและไตร่ตรองทุกประโยคและย่อหน้าอย่างใส่ใจ  ขณะนี้พวกเจ้ามีธุระยุ่งอยู่กับกิจทั้งหลายมากเกินไปจนไม่มีเวลาที่จะฟังและไม่มีพลังงานที่จะไตร่ตรอง หรือเจ้าเพียงแค่ไม่รู้วิธีที่จะอ่านอธิษฐานพระวจนะ ไตร่ตรองความจริง และสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์เจ้า?  เจ้าแค่มัวยุ่งอยู่กับการทำหน้าที่ของเจ้าอย่างวุ่นวายในทุกๆ วัน แม้ว่านั่นจะยากและน่าเหนื่อยล้า แต่เจ้าก็ยังเชื่อว่าวันทุกวันเต็มแน่น และเจ้าก็ไม่รู้สึกว่างเปล่าหรืออับจนทางจิตวิญญาณ  เจ้ารู้สึกว่าวันนั้นไม่เสียเปล่า วันนั้นมีคุณค่า  การดำรงชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมายในทุกๆ วันนั้นเรียกว่าการด้นไปตามแต่ใจ  นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราทีเถิดว่า หากสิ่งทั้งหลายดำเนินต่อไปแบบนี้ ในอีก สาม ห้า แปด หรือสิบปี พวกเจ้าจะมีสิ่งใดเป็นนัยสำคัญที่สัมฤทธิ์ได้จากการนั้นหรือไม่?  (ไม่มี)  หากเจ้าไม่เจอกับเหตุไม่คาดฝันพิเศษอันใดหรือสภาพการณ์พิเศษใดที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ หากไม่มีการทรงนำด้วยพระองค์เองหรือไม่มีภาวะผู้นำจากฟ้าเบื้องบนเพื่อให้การชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพวกเจ้า อีกทั้งชำแหละแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ อันหลากหลายโดยทรงจับมือพวกเจ้าสอน เช่นนั้นตามที่เป็นจริงแล้ว เจ้าย่อมกำลังเสียเวลาเปล่ามากมายในแต่ละวัน ความคืบหน้าของเจ้าก็ล่าช้า และเจ้าก็แทบไม่ได้รับสิ่งใดในการเข้าสู่ชีวิตเลย  ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งเกิดขึ้น ความสามารถของพวกเจ้าในการใช้วิจารณญาณแยกแยะไม่เพิ่มขึ้น ประสบการณ์และการเข้าใจความจริงของเจ้าไม่คืบหน้า และเจ้าก็ล้มเหลวที่จะรับประสบการณ์และก้าวหน้าไปในความเชื่อและการนบนอบพระเจ้า  เมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งในคราวถัดมา เจ้าก็ยังคงไม่รู้วิธีรับมือกับสิ่งนั้นไปตามหลักธรรมความจริง  ในกระบวนการของการทำหน้าที่ของเจ้าและรับประสบการณ์กับสิ่งสารพัน เจ้ายังคงไม่สามารถแสวงหาหลักธรรมอย่างแข็งขันและปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริง  นี่เป็นการเสียเวลาเปล่า  การเสียเวลาเปล่านั้นนำไปสู่ผลสืบเนื่องสุดท้ายอะไรบ้าง?  เวลาและพลังงานของเจ้านั้นเสียเปล่า และต้นทุนความพยายามอันมานะอุตสาหะของเจ้านั้นสูญเปล่า  เส้นทางที่เจ้าได้เดินมาตลอดหลายปีมานี้มีลักษณะเฉพาะเหมือนเส้นทางของเปาโล  หากเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานมาหลายปีแต่การเข้าสู่ชีวิตของเจ้านั้นตื้นเขิน วุฒิภาวะของเจ้าก็ต่ำ และเจ้าไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงใดๆ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะกับบทบาทนั้นและไม่สามารถทำกิจนั้นให้เสร็จสิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด  ผู้นำและคนทำงานไม่มีความเหมาะสมกับบทบาทของตัวเอง และพี่น้องชายหญิงธรรมดาไม่สามารถดำรงชีวิตคริสตจักรได้อย่างเป็นเอกเทศ ไม่สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้วิธีที่รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  หากไม่มีใครกำกับดูแลหรือนำพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ พวกเขาก็อาจจะออกนอกลู่นอกทางได้ หากผู้นำและคนทำงานไม่ถูกกำกับดูแลหรือชี้แนะในงานของพวกเขา พวกเขาก็อาจจะเบี่ยงเบน สถาปนาอาณาจักรเอกเทศขึ้นมา ถูกพวกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และถึงกับติดตามพวกศัตรูของพระคริสต์โดยไม่รู้ตัวได้ โดยยังคงคิดว่าตัวเองกำลังสละตนเพื่อพระเจ้า  นี่น่าเวทนามิใช่หรือ?  (ใช่)  สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าเป็นแบบนี้ไม่มีผิด ทั้งน่าสงสารและน่าเวทนา  ยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย เจ้าก็อับจนหนทางและไม่มีทางไป  เมื่อมาถึงปัญหาที่แท้จริงและสาระที่แท้จริงของงาน เจ้ากลับไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรและต้องทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างพันพัวและเจ้าก็ไม่มีเค้าเงื่อนว่าจะแก้ให้ออกได้อย่างไร  เจ้ารู้สึกมีความสุขทีเดียวกับการที่มีธุระยุ่งมากทุกวัน เจ้าอ่อนระโหยทางกายและรู้สึกกดดันมากมายทางจิตใจ แต่ผลลัพธ์ของงานก็ไม่ได้ดีอะไรนัก  หลักธรรมของทุกความจริงและเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้ถูกบอกให้พวกเจ้ารู้ไปแล้วอย่างชัดเจนทั้งหมดโดยผ่านทางการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเจ้ากลับไม่มีเส้นทางในงานของตัวเอง เจ้าหาหลักธรรมไม่เจอ เจ้าเกิดอาการเลอะเลือนเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ ไม่รู้จะปฏิบัติตนอย่างไร และงานของเจ้าทั้งหมดก็เป็นปัญหายุ่งเหยิง  นี่เป็นภาวะที่น่าเวทนาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นภาวะที่น่าเวทนาจริงๆ

บางคนพูดว่า “ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาเกินสิบปีแล้ว ฉันเป็นผู้เชื่อที่เจนประสบการณ์”  บ้างก็ว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบปี”  คนอื่นๆ ก็ว่า “เชื่อมายี่สิบปีแล้วยังไง?  ฉันเชื่อพระเจ้ามาเกินสามสิบปีแล้ว”  พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีพอสมควรทีเดียว และเจ้าบางคนถึงกับได้รับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงานมาหลายปีและมีประสบการณ์มากโขด้วยซ้ำ  แต่การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเป็นอย่างไรหรือ?  เจ้าจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงได้ดีเพียงใด?  เจ้าได้รับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานมาหลายปีและได้รับประการณ์ในงานของเจ้าไปบ้างแล้ว แต่พอต้องเผชิญกับผู้คน สิ่งทั้งหลาย และกิจทุกประเภท  เจ้าจะปฏิบัติไปบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริงหรือไม่?  เจ้าจะค้ำจุนพระนามของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะพิทักษ์พระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าหรือไม่?  เมื่อเผชิญกับการขัดขวางและการก่อกวนที่ศัตรูของพระคริสต์และผู้คนชั่วก่อให้เกิดกับงานของคริสตจักร เจ้าจะมีความมั่นใจและความเข้มแข็งที่จะต่อสู้กับพวกเขาหรือไม่?  เจ้าสามารถคุ้มครองประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและพระนามของพระองค์จากการถูกทำให้เสื่อมเสียได้หรือไม่?  เจ้าทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  จากสิ่งที่เราเห็น พวกเจ้าทำการนี้ไม่ได้และพวกเจ้าก็ไม่ได้ทำ  เจ้ามีธุระยุ่งทุกวันเลยทีเดียว—เจ้ายุ่งอยู่กับอะไรหรือ?  ตลอดหลายปีนี้ที่เจ้าได้พลีอุทิศครอบครัวและอาชีพการงานของตน สู้ทนความทุกข์ จ่ายราคา และลงทุนความพยายามไปมากมาย แต่เจ้ากลับได้รับมาเล็กน้อย  ผู้นำและคนทำงานบางคนได้เผชิญกับเหตุการณ์ ผู้คน และสภาพการณ์ที่คล้ายคลึงหลายครั้งหลายหนด้วยซ้ำ แต่กระนั้นก็ยังคงทำข้อผิดพลาดแบบเดิมต่อมา ทิ้งปัญหาที่ตนก่อไว้ตามรายทาง  นี่แสดงให้เห็นถึงการขาดการเจริญเติบโตในชีวิตของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  นี่หมายความว่าพวกเขายังไม่ได้รับความจริงไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงถูกซาตานควบคุมไว้ภายใต้อำนาจมืดของมันและยังไม่ได้บรรลุความรอดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ทุกประเภทเกิดขึ้นและคลี่ออกรอบตัวเจ้าในคริสตจักรในเวลาต่างๆ เจ้าก็ไร้พลังที่จะทำสิ่งใด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับพวกศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วซึ่งเป็นต้นเหตุของการขัดขวางและการก่อกวนในงานของคริสตจักร พวกเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับการนั้นอย่างไร  เจ้าก็แค่ปล่อยผ่านสิ่งต่างๆ หรืออย่างมากที่สุดเจ้าก็โมโหขึ้นมาและตัดแต่งพวกที่เป็นต้นเหตุของการก่อกวนนั้น แต่ปัญหานั้นก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและก็ไม่มีแผนการดำเนินการที่เป็นทางเลือกอื่น  บางคนถึงกับคิดว่า “ฉันให้ทั้งหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของฉันกับเรื่องนี้ไปแล้ว—พระเจ้าตรัสไว้ว่าพวกเราควรให้ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ?  ข้าพระองค์ก็ให้ทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีไปแล้ว ถ้ายังคงไม่มีผลลัพธ์ นั่นย่อมไม่ใช่ความผิดของข้าพระองค์  ผู้คนแย่มากแค่นั้นเอง แม้แต่ตอนที่พระองค์สามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ฟัง”  เจ้าพูดว่าเจ้าได้ให้ทั้งหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้าไปแล้ว แต่งานนั้นไม่ได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใด  เจ้าไม่ได้ค้ำจุนงานของคริสตจักรหรือคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้าปล่อยให้ผู้คนชั่วเข้าควบคุมคริสตจักร  เจ้าอนุญาตให้ซาตานอาละวาดและสร้างความอัปยศให้กับพระนามของพระองค์ ในขณะที่ตัวเจ้าเฝ้าดูอยู่ข้างเวที ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ไร้ความสามารถที่จะรับมือกับสิ่งใด ถึงแม้เจ้ามีสิทธิอำนาจก็ตาม  เจ้าไม่อาจตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับคิดว่าเจ้าได้เข้าใจความจริง อีกทั้งได้ให้หัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว  นี่ใช่สิ่งที่หมายถึงการเป็นหัวหน้างานที่ดีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เมื่อผู้คนชั่วทุกชนิดและพวกผู้ไม่เชื่อออกมาเล่นสารพัดบทบาทในฐานะหมู่มารและเหล่าซาตาน โดยขัดขวางการจัดการเตรียมงานและทำบางสิ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง โกหกและหลอกลวงพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อพวกเขาก่อกวนและขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ทำสิ่งที่นำพาความอัปยศมาสู่พระนามของพระเจ้าและทำให้คริสตจักรซึ่งเป็นพระนิเวศของพระเจ้าหมองราศี เจ้าไม่ทำสิ่งใดนอกจากโมโหขึ้นมาเมื่อเจ้าเห็นแบบนั้น ทว่าเจ้ากลับไม่สามารถยืนขึ้นเพื่อค้ำจุนความยุติธรรม เปิดโปงผู้คนชั่ว ค้ำจุนงานของคริสตจักร จัดการแก้ไขและรับมือกับผู้คนชั่วเหล่านี้ อีกทั้งกันไม่ให้พวกเขาก่อกวนงานของคริสตจักรและทำให้คริสตจักรซึ่งเป็นพระนิเวศของพระเจ้าหมองราศี  การทำสิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าได้ล้มเหลวที่จะเป็นคำพยาน  คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่กล้าทำสิ่งเหล่านี้ ฉันกลัวว่าหากฉันรับมือกับผู้คนมากเกินไป ฉันอาจจะทำให้พวกเขาโมโห แล้วถ้าพวกเขารวมหัวกันมาลงโทษฉันและเอาฉันออกจากที่ทำงาน ฉันจะทำอย่างไรเล่า?”  จงบอกเราทีเถิดว่า พวกเขาขี้ขลาดและตื่นกลัว พวกเขาไม่มีความจริงและไม่สามารถแยกแยะหรือรู้เท่าทันการก่อกวนของซาตาน หรือว่าพวกเขาไม่จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยแค่กำลังพยายามปกป้องตัวเอง?  ประเด็นปัญหาจริงตรงนี้คืออะไร?  เจ้าเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  หากเจ้าตื่นกลัว เปราะบาง ขี้ขลาด และเต็มไปด้วยความเกรงกลัวโดยธรรมชาติ กระนั้นหลังจากการเชื่อพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน เจ้าพัฒนาความเชื่ออันถ่องแท้ในพระเจ้าบนพื้นฐานของความเข้าใจความจริงบางอย่าง เจ้าย่อมจะสามารถเอาชนะความอ่อนแอ ความตื่นกลัว และความเปราะบางแบบมนุษย์ของเจ้าได้บ้าง และไม่หวาดกลัวผู้คนชั่วอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นรากเหง้าของการไร้ความสามารถที่จะรับมือและจัดการแก้ไขผู้คนชั่วของเจ้าคืออะไร?  ใช่การที่ความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้นคือขี้ขลาด ตื่นกลัวและเต็มไปด้วยความเกรงกลัวอยู่ในกมลสันดานหรือไม่?  นี่ไม่ใช่ทั้งสาเหตุรากเหง้าและและแก่นแท้ของปัญหา  แก่นแท้ของปัญหาก็คือว่าผู้คนไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาคุ้มครองตัวเอง ความปลอดภัยส่วนบุคคลของตนเอง ความมีหน้ามีตาของตน สถานะของตน และทางออกของตน  ความไม่จงรักภักดีของพวกเขาสำแดงอยู่ในวิธีที่พวกเขาคุ้มครองตัวเองอยู่เสมอ โดยยามใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญสิ่งใด พวกเขาก็ล่าถอยเหมือนเต่าที่หดหัวเข้ากระดอง และรอจนกว่าสิ่งนั้นผ่านพ้นไปจึงค่อยยื่นหัวกลับออกมา ไม่ว่าพวกเขาเจอกับอะไร พวกเขาเก็บคองอเข่าอยู่เสมอ มีความวิตก ความกังวล และความหวาดหวั่น  อีกทั้งไม่สามารถที่จะยืนหยัดและปกป้องงานของคริสตจักรได้  ปัญหาตรงนี้คืออะไร?  นี่ก็คือการขาดความเชื่อไม่ใช่หรือ?  เจ้าไม่มีความเชื่อจริงในพระเจ้า เจ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และเจ้าไม่เชื่อว่าชีวิตของเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  เจ้าไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “หากปราศจากการทรงอนุญาตของพระเจ้า ซาตานไม่กล้าขยับแม้ผมสักเส้นบนกายเจ้า”  เจ้าพึ่งพาสายตาตนเองและตัดสินข้อเท็จจริง เจ้าตัดสินสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานการคำนวนของตัวเอง คุ้มครองตัวเองเสมอ  เจ้าไม่เชื่อว่าชะตากรรมของบุคคลนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้ากลัวซาตาน กลัวกองกำลังชั่วและผู้คนชั่ว  นี่คือการขาดความเชื่ออันถ่องแท้ในพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดจึงไม่มีความเชื่อจริงในพระเจ้า?  นั่นเป็นเพราะประสบการณ์ของผู้คนตื้นเขินเกินไปและพวกเขาไม่อาจรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ หรือเพราะพวกเขาเข้าใจความจริงน้อยเกินไป?  เหตุผลคืออะไร?  นั่นเกี่ยวข้องบางอย่างกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนหรือไม่?  นั่นเป็นเพราะผู้คนฉลาดแกมโกงเกินไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าพวกเขารับประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากมายเพียงใด ไม่ว่าข้อเท็จจริงถูกนำมาวางตรงหน้าพวกเขามากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่เชื่อว่านี่คือพระราชกิจของพระเจ้า หรือเชื่อว่าชะตากรรมของบุคคลอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  นี่ก็คือแง่มุมหนึ่ง  อีกประเด็นปัญหาล่อแหลมก็คือว่าผู้คนห่วงตัวเองมากเกินไป  พวกเขาไม่เต็มใจจ่ายราคาหรือทำการพลีอุทิศใดเพื่อพระเจ้า เพื่อพระราชกิจของพระองค์ เพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ หรือเพื่อพระสิริของพระองค์  พวกเขาไม่เต็มใจทำสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับภยันตรายแม้แต่น้อยนิด  ผู้คนห่วงตัวเองมากเกินไป!  เพราะความกลัวของพวกเขาที่มีต่อความตาย การดูหมิ่นเหยียดหยาม การติดกับดักผู้คนชั่ว และการตกที่นั่งลำบากประเภทใดก็ตาม ผู้คนจึงสงวนเนื้อหนังของตนเองอย่างเลยเถิดไปมาก เพียรพยายามที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่สถานการณ์อันตรายใดๆ  ในแง่หนึ่งนั้น พฤติกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนล้วนฉลาดแกมโกงเกินไป ในขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งนั้น พฤติกรรมนี้เผยให้เห็นการเอาตัวรอดและความเห็นแก่ตัวของพวกเขา  เจ้าไม่เต็มใจถวายตัวเองแด่พระเจ้า และยามที่เจ้าพูดว่าเจ้าเต็มใจสละตนเพื่อพระเจ้า นั่นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความอยาก  เมื่อมาถึงการออกหน้าและเป็นพยานต่อพระเจ้า การต่อสู้กับซาตาน และการเผชิญหน้ากับภยันตราย ความตาย และความลำบากยากเย็นและความยากลำบากนานัปการ เจ้าก็ไม่เต็มใจอีกต่อไป  ความอยากอันน้อยนิดของเจ้าเป็นอันแตกสลาย และเจ้าก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อคุ้มครองตนเองเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็ทำงานผิวเผินบางอย่างที่เจ้าต้องทำ งานที่ทุกคนมองเห็นได้  ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลหนึ่งนั้นยิ่งฉับไวกว่าของเครื่องจักรมากมาย พวกเขารู้วิธีที่จะปรับตัว พวกเขารู้ว่า ยามที่พวกเขาเผชิญสถานการณ์ทั้งหลาย การกระทำใดที่มีส่วนทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อตนและการกระทำใดไม่มี และพวกเขาก็นำทุกวิธีการมาประยุกต์ใช้ได้อย่างรวดเร็วดังใจต้องการ  ผลที่ตามมาคือเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับบางสิ่งเฉพาะ ความวางใจอันน้อยนิดที่เจ้ามีในพระเจ้าจึงไม่อาจตั้งมั่นได้  เจ้ากระทำกับพระเจ้าอย่างฉลาดแกมโกง ใช้ชั้นเชิงกับพระองค์ และเล่นเล่ห์ และการนี้ก็เผยให้เห็นถึงการขาดความเชื่ออันจริงแท้ในพระเจ้า  เจ้าคิดว่าพระเจ้าไม่น่าไว้วางใจ ว่าพระองค์อาจจะไม่สามารถทรงคุ้มครองเจ้าหรือรับรองความปลอดภัยให้เจ้าได้ และว่าพระเจ้าอาจจะถึงกับปล่อยให้เจ้าตายด้วยซ้ำ  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าพึ่งพาไม่ได้ และว่าเจ้าสามารถมั่นใจได้เฉพาะการพึ่งพาตัวเจ้าเองเท่านั้น  สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้น?  ไม่ว่าเจ้าเผชิญสภาพการณ์หรือเรื่องใด เจ้าก็เข้ารับมือกับสิ่งเหล่านั้นโดยการใช้วิธีการ ชั้นเชิง และกลวิธีเหล่านี้ และเจ้าก็ไม่สามารถตั้งมั่นในคำพยานที่มีต่อพระเจ้าได้  ไม่ว่าจะเป็นสภาพการณ์ใด เจ้าก็ไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ไม่สามารถแสดงคุณสมบัติหรือการกระทำของหัวหน้างานออกมาให้เห็นได้ และไม่สามารถแสดงความจงรักภักดีออกมาได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนั้นจึงสูญเสียคำพยานของเจ้าไป  ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญกับเรื่องมากมายเพียงใด เจ้าย่อมไม่สามารถพึ่งพาความเชื่อในพระเจ้าของตัวเจ้าเองเพื่อลงมือปฏิบัติความจงรักภักดีและความรับผิดชอบของเจ้าได้  ผลสืบเนื่องก็คือ เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเป็นผลลัพธ์สุดท้ายเลย  ในทุกสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงเพื่อเจ้า และเมื่อเจ้าได้สู้รบกับซาตานแล้ว ทางเลือกของเจ้าก็คือการถอนตัวและหลบหนีเสมอ  เจ้าไม่ได้เดินตามวิถีโคจรที่พระเจ้าได้ทรงบ่งชี้หรือทรงตั้งไว้เพื่อให้เจ้ารับประสบการณ์  ดังนั้นในท่ามกลางการสู้รบนี้ เจ้าล้มเหลวที่จะสัมฤทธิ์ความจริง ความเข้าใจ และประสบการณ์ทั้งหลายที่เจ้าควรได้รับ  ทุกครั้งที่เจ้าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ เจ้าก้าวผ่านสภาพการณ์เหล่านั้นในลักษณะเดียวกัน และจบสภาพการณ์เหล่านั้นลงในแบบเดิมทั้งหมด  เจ้าไม่มีความเข้าใจและบทเรียนที่ถ่องแท้อันใด เจ้าแค่ได้ซึมซับประสบการณ์และบทเรียนไม่กี่อย่าง อาทิ “ฉันไม่ควรทำแบบนี้ในอนาคต  เมื่อฉันเจอสถานการณ์ที่คล้ายกัน ฉันควรระมัดระวังในเรื่องนั้น ฉันควรเตือนตัวเองในเรื่องนี้ ฉันควรรอบคอบกับบุคคลประเภทนี้ หลีกเลี่ยงคนจำพวกนี้ และระวังตัวกับคนจำพวกนั้น”  ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง  เจ้าได้รับอะไรไปหรือ?  ใช่ความรอบรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึก หรือประสบการณ์และบทเรียนหรือไม่?  หากสิ่งที่เจ้าได้รับนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงเลย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ได้รับอะไรเลยที่เจ้าพึงได้รับจริงๆ  ด้วยเหตุนั้นในสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ เจ้าได้ทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง เจ้าไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าได้ทำให้พระเจ้าทรงพลาดหวังไปแล้วอย่างแน่นอน  ในบททดสอบหรือสภาพการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้นี้ เจ้าไม่ได้มาซึ่งความจริงที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าได้  หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของเจ้าไม่ได้มีการเติบโต ความจริงทั้งหลายที่เจ้าควรเข้าใจก็ยังคงไม่ชัดเจนดังเดิม เจ้ายังคงขาดความเข้าใจในด้านที่เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง บทเรียนที่เจ้าควรได้ซึมซับก็ยังไม่ได้รับมา และหลักธรรมความจริงที่เจ้าพึงติดตามก็ได้คลาดแคล้วไปจากเจ้า  ในเวลาเดียวกันความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเช่นกัน ยังคงอยู่ตรงจุดที่เริ่มต้นในตอนแรก  เจ้ากำลังย่ำเท้าอยู่กับที่  แล้วอะไรเล่าที่เพิ่มขึ้นมา?  บางทีในตอนนี้เจ้าเข้าใจบางคำสอนที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อน หรือเจ้าได้มองเห็นด้านที่อัปลักษณ์ของบุคคลบางประเภทซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเข้าใจ  แต่เจ้าก็ยังคงไม่ได้มองเห็น ไม่ได้จับใจความ ไม่ได้ตระหนักรู้ และไม่ได้รับประสบการณ์แม้จุดเล็กจิ๋วที่สุดซึ่งสัมพันธ์กับความจริงเลย  ขณะที่เจ้าเดินหน้าต่อไปในงานหรือในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจหรือรู้จักหลักธรรมทั้งหลายที่เจ้าควรปฏิบัติตามอยู่ดี  นี่ช่างน่าผิดหวังอย่างมากสำหรับพระเจ้า  อย่างน้อยที่สุดในสภาพการณ์เฉพาะนี้ เจ้าก็ไม่ได้เพิ่มความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือความเชื่อที่ควรกำลังเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติภายในตัวเจ้า  เจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์สิ่งใดเลยในสองสิ่งนี้ ซึ่งช่างน่าเวทนาแท้!  บางคนอาจจะพูดว่า “พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าข้าพระองค์ไม่ได้รับสิ่งใด แต่นั่นไม่ถูกต้อง  อย่างน้อยที่สุด ข้าพระองค์ก็ได้รับความรู้จักตนเองและความเข้าใจผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวข้าพระองค์  ข้าพระองค์มีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์และตัวข้าพระองค์เอง”  การเข้าใจสิ่งเหล่านี้นับเป็นความก้าวหน้าที่แท้จริงหรือไม่?  ต่อให้เจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงวัยสี่สิบหรือห้าสิบ เจ้าย่อมจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ไม่มากก็น้อย  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำหรือปานกลางสามารถสัมฤทธิ์ผลนี้ พวกเขาสามารถมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสีย จุดแข็งและจุดอ่อนของความเป็นมนุษย์ของตน ตลอดจนสิ่งที่ตัวเองเก่งและสิ่งที่ตัวเองไม่เก่ง  พอถึงเวลาที่พวกเขาไปถึงวัยสี่สิบหรือห้าสิบ พวกเขาควรมีความเข้าใจไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของผู้คนสารพัดประเภทที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยอยู่เป็นนิจ  พวกเขาควรรู้ว่าผู้คนประเภทใดเหมาะสมที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยและประเภทใดไม่เหมาะสม ประเภทใดเหมาะสมที่จะคบค้าสมาคมด้วยและประเภทใดที่ไม่เหมาะสม ประเภทใดที่พวกเขาควรรักษาระยะห่างและประเภทใดที่พวกเขาควรเข้าไปใกล้—พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่มากก็น้อย  หากใครบางคนเลอะเลือน ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาเป็นคนปัญญาอ่อน หรือพวกเขามีปัญหาทางสมอง เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจมีความเข้าใจนี้  หากเจ้าได้เชื่อพระเจ้ามาหลายปี ได้ฟังความจริงมามากมายเหลือเกิน และได้รับประสบการณ์กับสภาพการณ์ต่างๆ มามากมายเหลือเกิน และผลตอบแทนเดียวที่เจ้าได้รับนั้นอยู่ในข่ายความเป็นมนุษย์ของผู้คน ในการใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนหรือการทำความเข้าใจเรื่องเรียบง่ายบางเรื่อง นี่ถือว่าเป็นผลตอบแทนอันถ่องแท้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วผลตอบแทนอันถ่องแท้คืออะไร?  นั่นสัมพันธ์กับวุฒิภาวะของเจ้า  หากเจ้าได้รับบางสิ่ง เช่นนั้นเจ้าก็มีความก้าวหน้า และวุฒิภาวะของเจ้าก็เติบโต หากเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนอย่างแท้จริง วุฒิภาวะของเจ้าย่อมไม่เติบโต  ดังนั้น ผลตอบแทนนี้หมายถึงสิ่งใด?  อย่างน้อยที่สุดนั่นก็สัมพันธ์กับความจริง กล่าวอย่างเจาะจงยิ่งขึ้นก็คือ สัมพันธ์กับหลักธรรมความจริง  เมื่อเจ้าเข้าใจ สามารถติดตาม และสามารถปฏิบัติหลักธรรมความจริงที่ควรปฏิบัติขณะรับมือกับผู้คนและเรื่องนานาสารพัน และหลักธรรมความจริงเหล่านี้กลายเป็นหลักธรรมและมาตรฐานของเจ้าสำหรับการวางตัว เช่นนั้นนี่ก็คือผลตอบแทนอันถ่องแท้  เมื่อหลักธรรมความจริงเหล่านี้กลายเป็นหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินที่เจ้าพึงปฏิบัติสำหรับการวางตัวของเจ้า หลักธรรมความจริงเหล่านี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเจ้า  เมื่อแง่มุมนี้ของความจริงกอปรกันขึ้นในตัวเจ้า นั่นก็กลายเป็นชีวิตของเจ้า และนั่นคือเวลาที่ชีวิตของเจ้าเติบโต  หากเจ้ายังไม่จับความเข้าใจหลักธรรมความจริงที่สัมพันธ์กับเรื่องประเภทนี้ และเจ้ายังคงไม่รู้วิธีรับมือเมื่อเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นในส่วนนี้ เจ้าก็ยังไม่ได้รับความจริง  ชัดเจนว่า แง่มุมนี้ของความจริงไม่ใช่ชีวิตเจ้า และชีวิตเจ้าก็ยังไม่เติบโต  การมีทักษะทางการพูดย่อมไร้ประโยชน์—ไม่ว่าอย่างไร ทั้งหมดก็เป็นคำสอน  เจ้าประเมินเรื่องนี้ได้หรือไม่?  (ข้าพระองค์ประเมินได้)  พวกเจ้าได้มีความก้าวหน้าในช่วงระหว่างเวลานี้หรือไม่?  (ข้าพระองค์ไม่มี)  เจ้าแค่ได้ใช้เจตจำนงและเชาว์ปัญญาแบบมนุษย์ของเจ้าสรุปประสบการณ์บางอย่างออกมาเท่านั้นเอง เช่นการพูดว่า “ครั้งนี้ฉันได้เรียนรู้สิ่งชนิดที่ฉันจะไม่พูดหรือทำอีกต่อไป สิ่งที่ฉันจะทำมากขึ้นหรือน้อยลง และสิ่งที่ฉันจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด”  นี่ใช่สัญญาณการเจริญเติบโตในชีวิตของเจ้าใช่หรือไม่?  (นี่ไม่ใช่)  นี่เป็นสัญญาณว่าเจ้าขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างร้ายแรง  ทั้งหมดที่เจ้าทำได้ก็คือสรุปกฎเกณฑ์ คำพูด และคำขวัญซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย  นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ทุกครั้งที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับบางสิ่ง ภายหลังทุกเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญ เจ้าตักเตือนตัวเองโดยพูดว่า “พระเจ้า ในอนาคตฉันควรทำสิ่งนี้แบบนี้แบบนั้น”  แต่พอคราวถัดมาเมื่อเกิดสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันขึ้น นั่นก็ยังจบลงในความล้มเหลวอยู่ดี เจ้าจึงขุ่นข้องใจพลางพูดว่า “ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้?”  เจ้าโมโหตัวเอง คิดว่าตัวเองล้มเหลวที่จะทำได้ตามความคาดหวังของตัวเจ้าเอง  นี่มีประโยชน์หรือไม่?  นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าได้ล้มเหลวที่จะทำตามความคาดหวังของตัวเจ้าเอง หรือว่าเจ้าโง่เขลา หรือว่าสภาพการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้นั้นผิด และไม่ใช่ว่าพระเจ้ากำลังทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าไม่ได้กำลังปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าไม่ได้กำลังฟังพระวจนะของพระเจ้า  เจ้ากำลังนำเจตจำนงแบบมนุษย์เข้ามาอยู่ในการปฏิบัติตนเสมอ เจ้าเป็นนายตัวเอง และเจ้าไม่ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าควบคุมดูแล  เจ้าเลือกที่จะฟังผู้อื่นมากกว่าฟังพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าคิดว่าโดยการสะสมประสบการณ์และบทเรียนบางอย่างจากเหตุการณ์เดียวหรือจากสถานการณ์เฉพาะสถานการณ์หนึ่ง เจ้าได้ก้าวหน้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าได้ก้าวหน้าแล้วอย่างจริงแท้ คราวต่อไปที่พระเจ้าทรงทดสอบเจ้า เจ้าย่อมจะสามารถปกป้องพระนามของพระเจ้า คุ้มครองผลประโยชน์และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้มั่นใจว่างานทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่น และไม่ทนทุกข์กับการก่อกวนหรืออุปสรรคขัดขวางอันใด  เจ้าจะทำให้มั่นใจว่าพระนามของพระเจ้าคงอยู่อย่างไม่มัวหมองและปราศจากมลทิน ว่าการเจริญเติบโตของชีวิตของพี่น้องชายหญิงไม่ทนทุกข์กับการสูญเสีย และว่าของถวายของพระเจ้าจะได้รับการคุ้มครอง  นี่หมายความว่าเจ้ามีความก้าวหน้าแล้ว เจ้าเหมาะสมสำหรับการใช้งาน และเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิต  ตอนนี้พวกเจ้ายังคงไปไม่ถึงตรงนั้น แม้พวกเจ้ามีสมองที่เล็กแต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย และพวกเจ้าก็ไม่เรียบง่าย  แม้เจ้าอาจมีความจริงใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าและพึงปรารถนาที่จะปล่อยมือและละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ แต่ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย เจ้ากลับไม่อาจกบฏต่อความกระหายหิว เจตนารมณ์ และแผนการนานาสารพันของตัวเจ้าได้  ยิ่งพระนิเวศของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าเผชิญความลำบากยากเย็นมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งถอยหนีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งกลายเป็นมองไม่เห็นตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเจ้าก็ยิ่งมีแววที่จะลุกขึ้นมาดูแลรับผิดชอบงานนั้นเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือกับความจริงใจของเจ้าที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า?  เหตุใดความจริงใจอันน้อยนิดนั้นจึงเปราะบางและอ่อนไหวยิ่งนัก?  เกิดอะไรขึ้นกับความเต็มใจอันน้อยนิดของเจ้าที่จะเสนอทุกสิ่งทุกอย่างและละทิ้งทั้งหมดเพื่อพระเจ้า?  เหตุใดความเต็มใจนั้นจึงตั้งมั่นอยู่ไม่ได้?  อะไรทำให้ความเต็มใจนั้นอ่อนไหวยิ่งนัก?  การนี้ยืนยันถึงสิ่งใด?  นี่ยืนยันว่าเจ้าขาดวุฒิภาวะจริง ว่าวุฒิภาวะของเจ้าช่างต่ำอย่างน่าเวทนา และปีศาจตัวเล็กๆ ตนเดียวยังก็สามารถทำให้เจ้าประหลาดใจสับสนได้โดยง่าย แค่การขัดจังหวะเล็กน้อย เจ้าก็จะหันไปติดตามปีศาจตัวเล็กๆ ตนนี้แล้ว  ต่อให้เจ้ามีวุฒิภาวะอยู่บ้าง แต่นั่นก็จำกัดอยู่ที่ประสบการณ์ของเจ้าที่มีกับเรื่องผิวเผินบางอย่างซึ่งไม่สัมพันธ์กับผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง และเจ้าก็ยังคงแทบไม่สามารถคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ และทำสิ่งเล็กน้อยไม่กี่อย่างที่เจ้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้หรืออยู่ภายในขอบเขตความสามารถของเจ้า  เมื่อมาถึงการตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าจริงๆ ยามที่คริสตจักรเผชิญการปราบปรามขั้นรุนแรงครั้งใหญ่และการก่อกวนของผู้คนชั่วกับพวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?  เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?  นี่แสดงภาพตัวอย่างของปัญหาอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่?  หากว่าขณะที่ศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาหลอกลวงผู้คนเหล่านั้นที่อยู่เหนือกว่าและต่ำกว่าตัวเอง และปฏิบัติตนอย่างบุ่มบ่าม ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ผลาญของถวาย และชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงเชื่อไปติดตามพวกเขา และเจ้าไม่เพียงล้มเหลวที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขา สกัดกั้นความพยายามของพวกเขา หรือรายงานพวกเขา แต่เจ้าถึงกับร่วมผสมโรงและช่วยให้ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พวกเขาปรารถนาในการทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ เช่นนั้นจงบอกเราทีว่า ความแน่วแน่เล็กน้อยของเจ้าที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นมีผลอะไร?  นี่คือวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าไม่ใช่หรือ?  เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนชั่ว และพวกผู้ไม่เชื่อทุกประเภทมาก่อกวนและทำลายงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พวกเขาทำให้คริสตจักรมัวหมองและทำให้พระนามของพระเจ้าเสื่อมเสีย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?  เจ้าได้ยืนขึ้นพูดเพื่อปกป้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าได้ยืนขึ้นสกัดกั้นความพยายามของพวกเขาหรือยับยั้งห้ามปรามพวกเขาหรือไม่?  เจ้าไม่เพียงล้มเหลวที่จะยืนขึ้นหยุดยั้งพวกเขา แต่เจ้ายังเข้าผสมโรงกับพวกศัตรูของพระคริสต์ในการทำชั่ว ช่วยเหลือและให้ท้ายพวกเขา รวมทั้งปฏิบัติตนดั่งเป็นเครื่องมือและลูกน้องของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อใครบางคนเขียนจดหมายแจ้งปัญหาเกี่ยวกับพวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็ซุกจดหมายเก็บไปและเลือกที่จะไม่รับมือกับเรื่องนั้น  ดังนั้น ณ ชั่วขณะอันสำคัญยิ่งยวดนี้ ความแน่วแน่และความพึงปรารถนาของเจ้าที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตนต่อพระเจ้าอย่างจริงใจได้ส่งผลอันใดบ้างหรือไม่?  หากความแน่วแน่และความพึงปรารถนาของเจ้าไม่มีผล เช่นนั้นก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าความพึงปรารถนาและความแน่วแน่นี้ไม่ใช่วุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าได้รับจากการเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน  สิ่งเหล่านี้แทนที่ความจริงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทั้งความจริงและการเข้าสู่ชีวิต  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การแสดงสัญลักษณ์ของการที่บุคคลหนึ่งมีชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงการคิดฝันเฟื่อง การถวิลหาและการโหยหาประเภทหนึ่งที่ผู้คนมีต่อบางสิ่งซึ่งสวยงามเท่านั้นเอง—สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง  เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องตื่นขึ้นมาและมองให้เห็นวุฒิภาวะของเจ้าอย่างชัดเจน  จงอย่าคิดว่าแค่เพราะเจ้ามีขีดความสามารถเล็กน้อยและได้ละทิ้งสิ่งต่างๆ มากมายเช่น การศึกษา อาชีพการงาน ครอบครัว การสมรส และโอกาสในอนาคตของเนื้อหนัง วุฒิภาวะของเจ้าก็ยิ่งใหญ่ด้วยเหตุผลบางประการ  คนบางคนถึงกับได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานนับตั้งแต่พวกเขาได้แรกเริ่มปูรากฐานความเชื่อในพระเจ้าด้วยซ้ำ  หลายปีผ่านไป พวกเขาได้สะสมประสบการณ์และบทเรียนบางอย่าง และสามารถประกาศคำพูดและคำสอนได้บ้าง  เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกว่าวุฒิภาวะของตนนั้นสูงกว่าผู้อื่น ว่าตัวเองมีการเข้าสู่ชีวิต และตัวเองเป็นเสาหลักและเสาค้ำยันภายในพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นผู้ที่พระเจ้ากำลังทรงทำให้เพียบพร้อม  นี่ไม่ถูกต้อง  จงอย่าคิดว่าตัวเองดี—พวกเจ้ายังห่างไกลนักจากการนั้น!  เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะจริง  แม้ว่าเจ้าได้รับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานตลอดมาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีสักด้านที่เจ้าสามารถมีความเหมาะสม เจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้มากนัก และพวกเจ้าก็สามารถถูกใช้ไปอย่างอิดออดเท่านั้น  เจ้าไม่ใช่บุคคลที่มีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่  หากพวกเจ้าคนใดมีจิตวิญญาณแห่งการทำงานหนักและการสู้ทนความยากลำบาก อย่างมากที่สุดเจ้าก็เป็นม้างานตัวหนึ่ง  พวกเจ้าไม่มีความเหมาะสม  คนบางคนกลายเป็นผู้นำหรือคนทำงานก็แค่เพราะพวกเขากระตือรือร้น เพราะพวกเขามีรากฐานทางการศึกษาและมีขีดความสามารถบางอย่าง  ยิ่งไปกว่านั้น คริสตจักรบางแห่งก็ไม่สามารถหาบุคคลในอุดมคติเพื่อมาเป็นผู้ควบคุมดูแลได้ ดังนั้นผู้คนเหล่านี้จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกรณียกเว้นต่อกฎเกณฑ์ และกลายเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝน  ท่ามกลางปัจเจกบุคคลเหล่านี้ บางคนค่อยๆ ถูกสลับตำแหน่งและกำจัดออกไปในระหว่างกระบวนการแห่งการที่ผู้คนหลากหลายชนิดถูกเปิดโปง  แม้บางคนที่ติดตามต่อมาจนถึงบัดนี้จะยังคงอยู่ พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งใดอยู่ดี  พวกเขาแค่สามารถคงอยู่เพราะพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่ชั่ว  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นั่นเนื่องมาจากการจัดการเตรียมงานที่มาจากฟ้าเบื้องบนทั้งสิ้น ร่วมไปกับการนำ การจับตามอง การซักถาม การติดตามผลงาน การสอดส่อง และการตัดแต่งโดยตรงที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้บ้าง—นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความเหมาะสม  นี่เป็นเพราะพวกเจ้าเคารพบูชาผู้อื่น ติดตามพวกเขา ออกนอกลู่นอกทาง ทำสิ่งที่ผิด และถูกความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติบางอย่างปั่นหัวจนสับสน สูญเสียสำนึกรับรู้ทิศทาง และจนสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าเจ้าเชื่อในผู้ใด  นี่คือวุฒิภาวะจริงของพวกเจ้า  หากเราจะพูดว่าพวกเจ้าไม่มีการเข้าสู่ชีวิตโดยสิ้นเชิง นั่นก็คงไม่เป็นธรรมกับพวกเจ้า  เราพูดได้เพียงว่าขอบข่ายประสบการณ์ของพวกเจ้านั้นจำกัดเกินไป  เจ้ามีการเข้าสู่บ้างก็หลังจากการถูกตัดแต่งและบ่มวินัยอย่างจริงจังแล้วเท่านั้น แต่เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมซึ่งมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูของพระคริสต์ การที่ผู้นำเทียมเท็จชักพาผู้คนให้หลงผิดและเป็นเหตุให้เกิดการก่อกวน พวกเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดแสดงให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของตัวเจ้าจากการนั้นและเจ้าก็ไม่มีคำพยานใด  ในแง่ของประสบการณ์ชีวิตและการเข้าสู่ชีวิต ประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขินเกินไป และเจ้าขาดความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้า  เจ้ายังคงไม่มีอะไรแสดงให้เห็นผลสัมฤทธิ์ในด้านนี้  เมื่อเป็นเรื่องของงานจริงของคริสตจักร พวกเจ้าก็ไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและแก้ไขปัญหา ตรงนี้เจ้าก็ไม่มีสิ่งใดแสดงให้เห็นเช่นกัน  ในแง่มุมเหล่านี้ พวกเจ้าไม่มีอะไรแสดงให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของตัวเองเลย  ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่เหมาะสมสำหรับบทบาทของผู้นำและคนทำงาน  อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เชื่อธรรมดา พวกเจ้าส่วนใหญ่มีการเข้าสู่ชีวิตเล็กน้อย แม้ว่านั่นจะน้อยมากและห่างไกลจากความเป็นจริงความจริง  การที่เจ้าจะสามารถทานทนข้อทดสอบทั้งหลายได้หรือไม่นั้นยังต้องสังเกตุการณ์  เฉพาะเมื่อบททดสอบใหญ่ การทดลองที่มีนัยสำคัญ หรือการตีสอนและการพิพากษาโดยตรงและจริงจังจากพระเจ้าเกิดขึ้นจริงๆ เท่านั้น สิ่งเหล่านั้นจึงทดสอบได้ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงและวุฒิภาวะอันถ่องแท้หรือไม่ ว่าเจ้าสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนเองหรือไม่ คำตอบในกระดาษข้อสอบของเจ้าจะเป็นอะไร และเจ้าทำได้ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่—เมื่อนั้นเองที่วุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าจะถูกเผยออกมา  สำหรับตอนนี้ การพูดว่าเจ้ามีวุฒิภาวะก็ยังคงเร็วเกินไป  เมื่อคำนึงถึงบทบาทของผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะจริงอันใด  เมื่อเจ้าเผชิญเรื่องทั้งหลาย เจ้ากลายเป็นสับสน และเมื่อเผชิญหน้ากับการก่อกวนจากผู้คนชั่วหรือพวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็มีอันปราชัย  เจ้าไม่สามารถทำกิจสำคัญให้เสร็จสิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น เจ้าจำเป็นต้องมีใครบางคนคอยจับตามอง แนะนำ และให้ความร่วมมือกับเจ้าเพื่อให้เสร็จงาน  พูดอีกอย่างก็คือ พวกเจ้าคุมหางเสือเรือไม่เป็น  ไม่ว่าพวกเจ้าเล่นบทผู้นำหรือบทผู้เกื้อหนุน พวกเจ้าก็ไม่สามารถสวมบทนั้นได้ตามลำพังหรือทำกิจนั้นเสร็จสิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด พวกเจ้าไม่สามารถที่จะทำกิจหนึ่งให้เสร็จลงได้ด้วยดีโดยไม่มีการจับตามองและความห่วงใยจากฟ้าเบื้องบนโดยสิ้นเชิง  หากว่าสุดท้ายแล้ว การตรวจทานงานของเจ้าแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าทำได้ดีในทุกแง่มุม ว่าเจ้าใส่หัวใจเข้าไปในทุกส่วนของงาน ว่าเจ้าได้ทำทุกสิ่งเป็นอย่างดีและได้รับมือกับสิ่งนั้นทั้งหมดอย่างถูกควรและโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และว่าเจ้าได้ทำงานไปบนพื้นฐานของความเข้าใจอันชัดเจนที่มีต่อความจริงและการแสวงหาหลักธรรมความจริง จึงทำให้เจ้าสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลายและทำงานของเจ้าได้ดี เช่นนั้นเจ้าก็มีความเหมาะสม  กระนั้นก็ตาม มาถึงจุดนี้ เมื่อตัดสินจากทุกสิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์มา พวกเจ้าไม่มีความเหมาะสม  ประเด็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความเหมาะสมของเจ้าก็คือว่า พวกเจ้าไม่สามารถทำกิจที่ตัวเองได้รับมอบหมายมาให้เสร็จสิ้นลงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด—นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ในอีกแง่มุมนั้น หากไม่มีการจับตามองจากฟ้าเบื้องบน พวกเจ้าก็อาจจะนำทางผู้คนออกนอกลู่นอกทางหรือเป็นเหตุให้พวกเขาละทิ้งเส้นทางที่ถูกต้อง  พวกเจ้าไม่สามารถนำทางพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ หรือนำพาพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง หรือขึ้นไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งหมดสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้  เจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์สิ่งใดในนี้ได้เลย  หากมีสักช่วงเวลาที่ฟ้าเบื้องบนไม่มีการซักถาม ก็มักจะมีการเบี่ยงเบนและข้อติมากมายเสมอภายในขอบเขตงานที่พวกเจ้ารับผิดชอบ รวมไปถึงปัญหาปัญหาในทุกรูปแบบและขนาด และหากฟ้าเบื้องบนไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ไม่จับตามอง หรือไม่รับมือกับปัญหาเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง ใครจะรู้ว่าการเบี่ยงเบนเหล่านี้จะไปไกลแค่ไหนหรือจะหยุดลงเมื่อใด  นี่คือวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  นั่นเป็นเหตุผลที่เรากำลังกล่าวว่าพวกเจ้าค่อนข้างไม่มีความเหมาะสม  พวกเจ้าต้องการได้ยินสิ่งนี้หรือไม่?  การได้ยินสิ่งนี้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกคิดลบไม่ใช่หรือ?  (ข้าแต่พระเจ้า นั่นค่อนข้างให้ความรู้สึกไม่ชูใจในหัวใจของพวกเรา แต่สิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงสามัคคีธรรมอยู่นั้นเป็นข้อเท็จจริงจริงๆ  พวกเราไม่มีวุฒิภาวะหรือความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้น พวกเราย่อมจะไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาได้)  เราต้องชี้ประเด็นสิ่งเหล่านี้กับพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะรู้สึกถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและถูกปฏิบัติในทางที่ไม่ดีตลอดเวลา  พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้ารู้เพียงวิธีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนบางอย่างเท่านั้น  โดยปกติในระหว่างการชุมนุม พวกเจ้าถึงกับไม่ตระเตรียมฉบับร่างสำหรับกล่าวคำสอนอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ และเจ้าก็ไม่ทนทุกข์กับอาการตื่นเวทีอีกแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าตัวเองมีวุฒิภาวะ  หากเจ้ามีวุฒิภาวะแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่มีความเหมาะสม?  เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลายได้?  เจ้ารู้เพียงวิธีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงเห็นชอบในตัวเจ้า  นี่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่ได้ทำให้เจ้ามีความเหมาะสม  ความสามารถของเจ้าในการพูดคุยเกี่ยวกับคำพูดและคำสอนเหล่านี้ไม่อาจแก้ไขปัญหาตามที่เป็นจริงอันใดได้  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสถานการณ์เล็กๆ ซึ่งเปิดโปงเจ้า และก็กลายเป็นชัดเจนว่าวุฒิภาวะของเจ้านั้นต่ำเพียงใด ว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริงเลย และว่าเจ้าสามารถรู้เท่าทันสิ่งใด อีกทั้งนั่นก็เปิดโปงว่าเจ้าย่ำแย่ น่าเวทนา มืดบอด และไม่รู้ความ  นี่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเจ้าสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้ นั่นก็ดี หากเจ้าไม่สามารถ ก็จงใช้เวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  จงพิจารณาสิ่งที่เรากำลังพูดดูเถิดว่า นั่นมีเหตุผลหรือไม่ นั่นอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงหรือไม่?  นั่นใช้กับพวกเจ้าได้หรือไม่?  ต่อให้นั่นใช้กับพวกเจ้าได้ ก็จงอย่ากลายเป็นคิดลบ  การคิดลบจะไม่ช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาใด  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า หากเจ้าต้องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถล้มเลิกได้เมื่อเผชิญกับการติดขัดหรือความล้มเหลว  เจ้าต้องฮึดสู้และเดินหน้าต่อไป  เจ้าจำเป็นต้องมุ่งเน้นการเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยความจริงบางแง่มุมในด้านที่เจ้าขาดพร่องและไม่เพียงพอ และด้านที่เจ้ามีปัญหาร้ายแรง  การคิดลบและการหยุดชะงักจะไม่แก้ไขสิ่งใด  ยามที่ต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย จงเลิกหยิบยกคำพูดและคำสอน รวมถึงการให้เหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมประเภทต่างๆ ขึ้นมา—สิ่งเหล่านี้จะไม่ช่วยอะไร  เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเจ้าและเจ้าพูดว่า “ในตอนนั้น ข้าพระองค์สุขภาพไม่ค่อยดี ข้าพระองค์เป็นเด็ก และสภาพแวดล้อมของข้าพระองค์ก็ไม่สงบนัก”  พระองค์จะทรงฟังเรื่องนี้หรือไม่?  พระองค์จะทรงถามเจ้าว่า “เจ้าได้ยินตอนที่มีการสามัคคีธรรมถึงความจริงกับเจ้าหรือไม่?”  หากเจ้าพูดว่า “ข้าพระองค์ได้ยิน” พระองค์ก็จะทรงถามว่า “เจ้ามีการจัดการเตรียมงานที่ถูกส่งต่อมาหรือไม่?”  แล้วเจ้าก็จะตอบว่า “ข้าพระองค์มี” และพระองค์ก็จะถามต่อว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ทำตามการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น?  เหตุใดเจ้าจึงล้มเหลวอย่างน่าสังเวชยิ่งนัก?  เหตุใดเจ้าจึงตั้งมั่นในคำพยานไม่ได้?”  เหตุผลตามข้อเท็จจริงแวดล้อมอันใดที่เจ้าเน้นย้ำก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น  พระเจ้าไม่ทรงสนใจข้อแก้ตัวหรือการให้เหตุผลของเจ้า  พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรว่าเจ้าสามารถกล่าวคำสอนได้มากเพียงใดหรือเจ้าแก้ต่างให้กับตัวเองได้ดีเพียงใด  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าและให้ชีวิตของเจ้าเติบโต  ไม่สำคัญว่าเจ้ากลายเป็นผู้นำเมื่อใดและที่ระดับใด หรือสถานะของเจ้าสูงส่งเพียงใด จงอย่าลืมเด็ดขาดว่าเจ้าเป็นใครและเจ้าเป็นอะไรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าสามารถกล่าวคำสอนได้มากเพียงใด ไม่ว่าเจ้ากล่าวคำสอนได้ช่ำชองเพียงใด ไม่ว่าเจ้าได้ทำอะไรหรือร่วมสมทบอะไรไปกับพระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ที่แสดงว่าเจ้ามีวุฒิภาวะจริง และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สัญญาณของการมีชีวิตอีกด้วย  ต่อเมื่อเจ้าเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง จับความเข้าใจหลักธรรมความจริง ตั้งมั่นในคำพยานของตนยามที่ต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหลาย สามารถทำกิจทั้งหลายเสร็จสิ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด และมีความเหมาะสมสำหรับการใช้งานเท่านั้น เจ้าจึงมีวุฒิภาวะจริง  เอาล่ะ พวกเรามายุติการเสวนานี้ลงตรงนี้ และเดินหน้าต่อไปยังสามัคคีธรรมหัวข้อหลักของพวกเรากันเถิด  

ในการชุมนุมคราวที่แล้ว พวกเรายุติการสามัคคีธรรมไว้ตรงไหน?  (ในการชุมนุมคราวก่อน พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่อง “การปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของคนเรา”  ส่วนหนึ่งของหัวข้อนี้ก็คือการปล่อยมือจากความคาดหวังที่มีต่อเชื้อสายของคนเรา  พระเจ้าได้ทรงอธิบายเรื่องนี้กับพวกเราโดยแบ่งเป็นสองช่วงเวลา ช่วงหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของพ่อแม่ในขณะที่ลูกของตนยังเป็นผู้เยาว์ และอีกช่วงหนึ่งก็เกี่ยวกับพฤติกรรมของพ่อแม่เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ไม่สำคัญว่าลูกของพวกเขาจะอายุเท่าไร ไม่ว่าลูกๆ จะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไม่ ในความเป็นจริงนั้น พฤติกรรมและการกระทำของพ่อแม่ก็ขัดต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  พ่อแม่ต้องการควบคุมโชคชะตาของลูกและก้าวก่ายชีวิตของลูกเสมอ แต่เส้นทางที่ลูกๆ เลือกและการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่สามารถกำหนดได้  โชคชะตาของผู้คนไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ของพวกเขาสามารถควบคุมได้  พระเจ้าได้ทรงชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ถูกต้องในการมองเรื่องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงชีวิตใดของลูก การที่พ่อแม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนนั้นก็เพียงพอแล้ว และที่เหลือก็เป็นเรื่องของการนบนอบอธิปไตย การจัดการเตรียมการ และการลิขิตล่วงหน้าของพระเจ้า)  คราวที่แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนควรปล่อยมือจากความคาดหวังแบบพ่อแม่ที่มีต่อเชื้อสายของตน  แน่นอนว่าความคาดหวังเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนโดยเจตจำนงและการนึกคิดแบบมนุษย์ และความคาดหวังเหล่านี้ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการโชคชะตามนุษย์  ความคาดหวังเหล่านี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของมนุษย์ แต่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือ  ไม่สำคัญว่าความคาดหวังของพ่อแม่มีต่อลูกนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงใด และไม่สำคัญว่าพ่อแม่อาจจะเชื่อว่าความคาดหวังที่ตนมีต่อลูกนั้นถูกต้องและเหมาะควรเพียงใด ตราบใดที่ความคาดหวังเหล่านี้ขัดกับความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตามนุษย์ เช่นนั้นความคาดหวังเหล่านั้นก็เป็นบางสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือ  พูดได้ว่านี่คือสิ่งที่เป็นลบอีกด้วย ทั้งไม่ถูกควรและเป็นลบ  นั่นขัดต่อความรับผิดชอบของพ่อแม่และเกินขอบเขตของความรับผิดชอบเหล่านั้น อีกทั้งประกอบไปด้วยความคาดหวังที่ไม่สมจริงและข้อเรียกร้องที่สวนทางกับความเป็นมนุษย์  คราวที่แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องการกระทำและการประพฤติปฏิบัติที่ผิดปกติบางอย่าง รวมถึงพฤติกรรมอันสุดขั้วบางอย่างที่พ่อแม่แสดงออกกับลูกของตนซึ่งยังไม่เป็นผู้ใหญ่ อันนำไปสู่แรงกดดันและอิทธิพลในทางลบทุกประเภทต่อลูกของตน ทำลายความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของลูกที่ยังเยาว์วัย  สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าสิ่งที่พ่อแม่กำลังทำอยู่นั้นไม่ถูกควรและไม่เหมาะสม  ผู้คนที่กำลังไล่ตามเสาะหาความจริงควรปล่อยมือจากความคิดและการกระทำเหล่านี้ เพราะจากมุมมองของความเป็นมนุษย์นั้น สิ่งเหล่านี้เป็นหนทางอันโหดร้ายและไร้ความเป็นมนุษย์ที่ทำลายสุขภาวะทางร่างกายและจิตใจของเด็ก  เพราะฉะนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำเพื่อลูกของตนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ก็คือลุล่วงหน้าที่ของตน ไม่วางแผน ควบคุม จัดวางเรียบเรียง หรือกำหนดอนาคตและโชคชะตาของลูก  คราวที่แล้วพวกเราได้หยิบยกสองแง่มุมหลักของการที่พ่อแม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อลูกซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะมาพูดคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ?  (ใช่ พวกเราทำแล้ว)  หากดำเนินการทั้งสองแง่มุมนี้จนเสร็จสิ้น เช่นนั้นเจ้าก็ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนแล้ว  หากแง่มุมเหล่านี้ยังไม่ถูกดำเนินการให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นต่อให้เจ้าฟูมฟักเลี้ยงดูลูกให้ไปเป็นศิลปินหรือเป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง ความรับผิดชอบของเจ้าก็ยังไม่ลุล่วงอยู่ดี  ไม่ว่าพ่อแม่ทุ่มความพยายามให้กับลูกของตนมากเพียงใด ไม่ว่านั่นหมายถึงการกังวลจนผมหงอก การเหนื่อยล้าจนถึงขั้นเจ็บป่วย ไม่ว่าพวกเขาจ่ายราคาไปมหาศาลเพียงใด พวกเขาระบายความในใจออกมามากเพียงใด หรือแจกจ่ายเงินทองออกไปมากเพียงใด สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่  ดังนั้น เมื่อเรากล่าวว่าพ่อแม่พึงลุล่วงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อลูกซึ่งยังเยาว์วัยนั้นหมายความว่าอย่างไร?  สองแง่มุมหลักนั้นคืออะไร?  ใครจำแง่มุมเหล่านั้นได้บ้าง?  (คราวที่แล้ว พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบสองประการ  ประการหนึ่งคือการดูแลสุขภาพกายของลูก และอีกประการคือการแนะแนว ให้การศึกษา และการอนุเคราะห์ด้านสุขภาพจิตของพวกเขา)  นั่นค่อนข้างเรียบง่าย  ในความเป็นจริงนั้น การดูแลสุขภาพกายของเด็กคนหนึ่งเป็นเรื่องง่าย แค่อย่าปล่อยให้พวกเขาถูกกระแทกหรือมีรอยฟกช้ำมากเกินไป หรือกินของผิดสำแดง จงอย่าทำสิ่งใดที่จะส่งผลในทางลบต่อการเจริญเติบโตของลูก และจงทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในฐานะพ่อแม่เพื่อให้มั่นใจว่าลูกมีอาหารเพียงพอ ว่าลูกได้กินดีและถูกสุขลักษณะ ว่าลูกได้พักผ่อนอย่างเหมาะสม ปราศจากความเจ็บป่วยหรือมีอาการป่วยเพียงครั้งคราวเท่านั้น และให้ลูกได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเมื่อพวกเขามีอาการป่วย  พ่อแม่ส่วนใหญ่สามารถสัมฤทธิ์มาตรฐานเหล่านี้หรือไม่?  (สามารถ)  นี่เป็นบางสิ่งที่ผู้คนสัมฤทธิ์ได้ กิจทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนนั้นง่ายดาย  เพราะพวกสัตว์ก็สามารถทำตามมาตรฐานเหล่านี้ได้เช่นกัน หากผู้คนไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมแย่กว่าสัตว์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่ พวกเขาแย่กว่าสัตว์)  หากแม้แต่สัตว์ยังสามารถสิ่งเหล่านี้ได้ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เช่นนั้นมนุษย์ย่อมน่าเวทนาแท้  นี่เป็นความรับผิดชอบที่พ่อแม่มีต่อสุขภาพกายของลูก  ในแง่ของสุขภาวะทางจิตใจของลูก นี่ก็เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วงในขณะที่กำลังฟูมฟักเลี้ยงดูลูกซึ่งเยาว์วัยเช่นกัน  ครั้นลูกมีสุขภาพกายที่ดีแล้ว พ่อแม่ก็ควรส่งเสริมสุขภาพจิตของลูกและความคิดของลูก เพื่อให้มั่นใจว่าลูกนึกถึงปัญหาทั้งหลายในหนทางและทิศทางที่เป็นบวก กระตือรือร้น และมองโลกในแง่ดี เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตที่ดีขึ้นและไม่หัวรุนแรง ไม่มีแนวโน้มที่จะบิดเบือน หรือไม่เป็นมิตร  มีอะไรอื่นอีก?  พวกเขาควรสามารถเติบโตขึ้นไปเป็นคนปกติ สุขภาพแข็งแรง และมีความสุขได้  ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกเริ่มเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดและสามารถมีบทสนทนาที่เรียบง่ายเป็นปกติกับพ่อแม่ และเมื่อลูกเริ่มแสดงให้เห็นความสนใจในสิ่งใหม่ๆ พ่อแม่ก็สามารถเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์หรือแบ่งปันเรื่องราวง่ายๆ เกี่ยวกับการวางตัวเพื่อแนะแนวพวกเขา  แบบนี้ลูกก็สามารถเข้าใจความหมายของการวางตัวของคนเรา และสิ่งที่ต้องทำเพื่อเป็นเด็กดีและเป็นคนดี  นี่คือการแนะแนวทางจิตใจรูปแบบหนึ่งสำหรับเด็ก  พ่อแม่ไม่ควรบอกลูกแค่ว่าลูกควรหาเงินให้ได้มากๆ เมื่อโตขึ้น หรือกลายเป็นข้าราชการระดับสูงซึ่งจะเปิดโอกาสให้พวกเขามั่งมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องทนทุกข์หรือทำงานซึ่งใช้แรงงานอย่างหนัก และทำให้พวกเขามีอำนาจและเกียรติยศที่จะชี้นิ้วสั่งผู้อื่น  พ่อแม่ไม่ควรปลูกฝังสิ่งที่เป็นลบเช่นนั้นให้กับลูก แต่ควรแบ่งปันสิ่งที่เป็นบวกให้กับพวกเขา  หรือไม่พ่อแม่ก็ควรเล่าเรื่องราวที่เหมาะกับวัยให้ลูกฟังและสื่อสารเนื้อหาทางการศึกษาที่เป็นบวกแก่พวกเขา  ตัวอย่างเช่น การสอนให้พวกเขาไม่โกหกและไม่เป็นเด็กที่โกหก ทำให้พวกเขาเข้าใจว่าคนเราต้องรับผลสืบเนื่องจากการโกหก อธิบายให้พวกเขาเข้าใจท่าทีของตัวพ่อแม่เองที่มีต่อการโกหก และเน้นย้ำว่าเด็กที่โกหกเป็นเด็กไม่ดี และผู้คนไม่ชอบเด็กแบบนี้  อย่างน้อยที่สุดพ่อแม่ควรให้ลูกได้รู้ว่าพวกเขาต้องซื่อสัตย์  นอกจากนั้นพ่อแม่ควรป้องกันไม่ให้ลูกเกิดแนวคิดแบบสุดขั้วหรือหัวรุนแรง  เรื่องนี้ป้องกันได้อย่างไร?  พ่อแม่จำเป็นต้องสอนลูกของตนให้ยอมผ่อนปรนต่อผู้อื่น ใช้ความอดทนและการให้อภัย ไม่เอาแต่ใจหรือเห็นแก่ตัวยามที่เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น และเรียนรู้ที่จะใจดีมีเมตตาและสมัครสมานในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หากพวกเขาเผชิญกับคนชั่วหรือไม่ดีที่พยายามทำอันตรายพวกเขา พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะเดินหนีแทนที่จะจัดการแก้ไขสถานการณ์ด้วยการประจันหน้าและความรุนแรง  พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการเพาะเมล็ดพันธุ์หรือความคิดที่มีแนวโน้มไปสู่ความรุนแรงในจิตใจของลูกที่ยังเยาว์วัยของตน  พ่อแม่ควรอธิบายให้ชัดเจนว่าความรุนแรงไม่ใช่สิ่งที่พวกตนชื่นชม และลูกที่มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงนั้นไม่ใช่ลูกที่ดี  หากผู้คนมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง พวกเขาอาจหันไปก่ออาชญากรรม และเผชิญการควบคุมทางสังคม กับการถูกลงโทษตามกฎหมายในที่สุด ผู้คนที่มีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงไม่ใช่คนดี พวกเขาไม่ใช่คนที่ถูกมองในแง่ดี  ในอีกแง่มุมหนึ่งนั้น พ่อแม่ควรให้การศึกษาแก่ลูกเพื่อให้ลูกพึ่งพาตนเองได้  ลูกไม่ควรคาดหวังแค่ให้มีอาหารและเสื้อผ้าถูกหยิบยื่นใส่มือตน พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเมื่อใดก็ตามที่สามารถทำได้หรือรู้วิธีที่จะทำสิ่งเหล่านั้น โดยหลีกเลี่ยงวิธีคิดแบบคนเกียจคร้านอยู่เรื่อยไป  พ่อแม่ควรแนะแนวลูกของตนในหลากหลายหนทางเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวที่ถูกต้องและเป็นบวกเหล่านี้  แน่นอนว่าเมื่อพวกเขามองเห็นสิ่งที่เป็นลบเกิดขึ้นหรือเริ่มก่อตัวขึ้น พ่อแม่ก็แค่ควรบอกให้ลูกรู้เท่านั้นเองว่าพฤติกรรมเช่นนั้นไม่ดี ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีทำ ว่าตัวพ่อแม่เองก็ไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนั้น และเด็กที่ทำเช่นนี้อาจต้องเผชิญกับการลงโทษ โทษปรับตามกฎหมาย และโทษทัณฑ์อันสาสมในภายหน้า  กล่าวสั้นๆ ก็คือ พ่อแม่ควรสื่อให้ลูกรู้ถึงหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่สุดและเรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการวางตัวและปฏิบัติตน  อย่างน้อยที่สุด ในขณะที่ลูกยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ลูกควรเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณ ที่จะแยกแยะระหว่างดีและไม่ดี ที่จะรู้ว่าการกระทำใดบ่งบอกระหว่างความเป็นคนดีกับคนไม่ดี สิ่งใดที่สาธิตให้เห็นถึงการประพฤติปฏิบัติของคนดี รวมทั้งการกระทำใดบ้างที่ถือว่าชั่วและสาธิตให้เห็นการประพฤติปฏิบัติของคนไม่ดี  เหล่านี้เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ควรสอนลูก  นอกจากนั้น ลูกควรเข้าใจว่าพฤติกรรมบางอย่างเป็นที่ดูหมิ่นของผู้อื่น เช่น การลักขโมย หรือการเอาสิ่งของของผู้อื่นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้สิ่งที่เป็นของคนอื่นโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ การแพร่ข่าวลือ และการสร้างความแตกแยกในหมู่ผู้คน  การกระทำเหล่านี้และการกระทำที่คล้ายคลึงกันล้วนบ่งชี้การประพฤติปฏิบัติของคนไม่ดี การกระทำเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นลบและเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า  เมื่อลูกเติบโตขึ้นเล็กน้อย ก็ควรสอนให้พวกเขาตั้งใจในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ ไม่หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็หุนหันพลันแล่นหรือมุทะลุ  พวกเขาควรคำนึงถึงผลที่สืบเนื่องของการกระทำใดก็ตามที่ตนอาจลงมือทำ และหากพวกเขารู้ว่าผลสืบเนื่องเหล่านั้นสามารถปรากฏผลอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจหรือก่อความวิบัติได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรยับยั้งไม่ลงมือทำ ไม่ปล่อยให้ผลประโยชน์หรือความอยากได้อยากมีขึ้นสมองจนลืมตัว  พ่อแม่ควรให้การศึกษาลูกเกี่ยวกับคำพูดและการกระทำเฉพาะแบบของพวกคนไม่ดีเช่นกัน โดยให้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับผู้คนที่ไม่ดีและมาตรฐานที่ใช้ประเมินวัดผู้คนที่ไม่ดี  พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าหรือคำสัญญาของคนเหล่านั้นง่ายเกินไป อีกทั้งไม่ให้ยอมรับสิ่งของจากคนแปลกหน้าโดยไม่ระมัดระวัง  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดควรถูกสอนให้กับลูกเพราะโลกและสังคมนั้นชั่วและเต็มไปด้วยกับดัก  เด็กทั้งหลายไม่ควรให้ความไว้วางใจโดยง่ายกับใครก็ได้ พวกเขาควรถูกสอนให้ใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกคนชั่วและคนไม่ดี ให้ระวังและอยู่ห่างจากพวกคนชั่ว เพื่อให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกคนพวกนั้นใส่ความหรือหลอกลวง  ในแง่ของบทเรียนขั้นพื้นฐานเหล่านี้ ผู้คนควรแนะแนวและชี้แนะลูกของตนด้วยมุมมองที่เป็นบวกในระหว่างช่วงปีของการก่อร่างสร้างชีวิต  ในแง่มุมหนึ่งนั้น พ่อแม่ควรเพียรพยายามที่จะทำให้มั่นใจว่าลูกของตนเติบโตขึ้นมาแข็งแรงและมีสุขภาพดีในระหว่างการอบรมเลี้ยงดูของตน และในอีกแง่มุมนั้น พวกเขาควรอุปถัมภ์ค้ำชูการเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตที่ดีของลูก  อะไรคือสัญญาณของการมีสุขภาพจิตใจที่ดี?  สัญญาณเหล่านั้นก็คือการที่บุคคลมีมุมมองที่ถูกต้องต่อชีวิตและสามารถใช้เส้นทางที่ถูกต้อง  ต่อให้พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงหลีกเลี่ยงการติดตามกระแสนิยมชั่วในระหว่างช่วงปีของการก่อร่างสร้างชีวิต  หากพ่อแม่สังเกตเห็นการเบี่ยงเบนในตัวลูก พวกเขาก็ควรตรวจสอบพฤติกรรมของลูกและแก้ไขอย่างทันท่วงที อีกทั้งแนะแนวลูกของตนอย่างถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น หากลูกของตนสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากบางสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแสนิยมชั่ว หรือข้อโต้แย้ง หรือความคิดและทรรศนะที่ไม่ถูกต้องบางอย่างในช่วงปฐมวัยของชีวิตลูก ในกรณีที่ลูกไม่มีวิจารณญาณ พวกเขาอาจจะลอกเลียนแบบหรือทำตามกระแสนิยมชั่วเหล่านั้นได้  พ่อแม่ควรจับได้ไล่ทันประเด็นปัญหาเหล่านี้แต่เนิ่นๆ และให้การแก้ไขแบบทันทีทันควันรวมถึงการแนะแนวอันถูกต้องตรงประเด็น  นี่ก็เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่เช่นกัน  กล่าวสั้นๆ ได้ว่า เป้าหมายคือการทำให้มั่นใจว่า ลูกมีทิศทางขั้นพื้นฐานที่เป็นบวกและถูกต้องสำหรับพัฒนาการในความคิด การวางตัว การปฏิบัติต่อผู้อื่น และการรับรู้เกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานาสารพันของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจจะมีพัฒนาการในทิศทางที่สร้างสรรค์แทนที่จะเป็นทิศทางที่เลวทราม  ตัวอย่างเช่น พวกผู้ไม่มีความเชื่อมักพูดบ่อยๆ ว่า “ชีวิตและความตายถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ความมั่งมีและเกียรติถูกตัดสินโดยฟ้า”  พระเจ้าทรงลิขิตปริมาณความทุกข์และความชื่นชมยินดีที่บุคคลควรรับประสบการณ์ในชีวิตไว้ล่วงหน้า และมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  ในแง่หนึ่งนั้น พ่อแม่ควรบอกให้ลูกของตนรู้ข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงโดยไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และในอีกแง่หนึ่งนั้น จงสอนพวกเขาว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องของความต้องการที่จำเป็นทางกายเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องของความสุขสำราญอย่างแน่นอน  มีสิ่งสำคัญให้ผู้คนทำในชีวิตมากกว่าการกิน การดื่ม และการแสวงหาความบันเทิง พวกเขาควรเชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และไล่ตามเสาะหาการช่วยให้รอดจากพระเจ้า  หากผู้คนเพียงดำรงชีวิตอยู่เพื่อความสุขสำราญ เพื่อการกิน การดื่ม และการแสวงหาความบันเทิงในเนื้อหนัง เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นเหมือนผีดิบ และชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีคุณค่าเลย  พวกเขาไม่สร้างสรรค์คุณค่าที่เป็นบวกหรือเปี่ยมความหมายอันใด และพวกเขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่หรือแม้แต่เป็นมนุษย์  ต่อให้เด็กคนหนึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็คือปล่อยให้พวกเขาเป็นคนดีและเป็นคนที่ใส่ใจในหน้าที่อันเหมาะควรของตน  แน่นอนว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเขา อีกทั้งพวกเขาเต็มใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรและทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อพวกเขาโตขึ้น นั่นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก  หากลูกของพวกเขาเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพ่อแม่ยิ่งควรลุล่วงหน้าที่ของตนที่มีต่อลูกซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะบนพื้นฐานของหลักธรรมที่พระเจ้าทรงตักเตือนผู้คนไว้  หากเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าหรือจะได้รับการเลือกสรรโดยพระเจ้าหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อลูกในระหว่างช่วงปีแห่งการก่อร่างสร้างชีวิตของพวกเขา  ต่อให้เจ้าไม่รู้หรือไม่สามารถจับใจความสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็ยังควรปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้อยู่ดี  เจ้าควรดำเนินภาระผูกพันและความรับผิดชอบใดที่เจ้าพึงปฏิบัติให้สำเร็จ แบ่งปันความคิดและสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกซึ่งเจ้ารู้อยู่แล้วกับลูกของเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  อย่างน้อยที่สุดก็จงทำให้มั่นใจว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาเป็นไปตามทิศทางที่สร้างสรรค์ และจิตใจของพวกเขาสะอาดและมีสุขภาพดี  จงอย่าให้พวกเขาต้องเล่าเรียนทักษะและความรู้ทุกประเภทนับแต่เยาว์วัยภายใต้ความมุ่งหวัง การบ่มเพาะ หรือแม้แต่การบีบบังคับของเจ้า  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือ พ่อแม่บางคนพาลูกเคียงข้างไปด้วยยามที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงพรสวรรค์และการแข่งขันทางวิชาการหรือกีฬาสารพัด โดยทำตามกระแสนิยมทางสังคมทุกประเภท รวมทั้งไปตามงานกิจกรรมต่างๆ เช่น งานแถลงข่าว งานลงนามในสัญญา และคาบเรียน อีกทั้งเข้าร่วมการแข่งขันและการกล่าวสุนทรพจน์รับรางวัลในงานฉลองรางวัลใดๆ ก็ตาม เป็นต้น  อย่างน้อยที่สุดในฐานะพ่อแม่ พวกเขาไม่ควรปล่อยให้ลูกเดินตามรอยพวกเขาโดยการทำสิ่งเหล่านี้เสียเอง  หากพ่อแม่พาลูกไปงานกิจกรรมเช่นนั้น ในแง่หนึ่งก็ชัดเจนว่าพ่อแม่ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะพ่อแม่  ในอีกแง่นั้น พวกเขากำลังนำทางลูกไปตามเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับอย่างชัดเจน อันเป็นการขัดขวางพัฒนาการทางจิตใจแบบสร้างสรรค์ของลูก  พ่อแม่เหล่านี้ได้นำทางลูกของตนไปยังที่ใดหรือ?  พวกเขาได้นำทางลูกไปสู่กระแสนิยมชั่ว  นี่เป็นบางสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำ  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคำนึงถึงเส้นทางในอนาคตที่ลูกจะใช้และอาชีพการงานที่พวกเขาจะไล่ตามไขว่คว้า พ่อแม่ก็ไม่ควรปลูกฝังสิ่งต่างๆ เช่น “ดูคนนั้นคนนี้สิ พวกเขาเป็นนักเปียโนที่เริ่มเล่นเปียโนตอนอายุสี่หรือห้าขวบ  พวกเขาไม่ได้หลงระเริงในเวลาพักเล่น พวกเขาไม่มีเพื่อนหรือของเล่น และพวกเขาก็ฝึกเปียโนทุกวัน  พ่อแม่พาพวกเขาไปเข้าชั้นเรียนเปียโน ปรึกษาครูไปหลายคน และพาพวกเขาไปเข้าแข่งขันเปียโน  ดูสิว่าตอนนี้พวกเขาเป็นคนมีชื่อเสียง กินดีอยู่ดี แต่งตัวดี รัศมีจับ และไปไหนก็มีคนเคารพ”  นี่ใช่การให้การศึกษาประเภทที่ส่งเสริมพัฒนาการที่ดีต่อสุขภาพจิตใจของเด็กหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นนี่เป็นการให้การศึกษาประเภทใด?  นี่เป็นการให้การศึกษาของมาร  การให้การศึกษาชนิดนี้สร้างความเสียหายต่อจิตใจอันเยาว์วัยของผู้ใดก็ตาม  การให้การศึกษาแบบนี้หนุนใจพวกเขาให้ทะยานอยากในชื่อเสียง ละโมบต่อความเฉิดฉาย เกียรติ ตำแหน่ง และความเพลิดเพลินยินดี  นี่ทำให้พวกเขาโหยหาและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่เยาว์วัย ขับดันพวกเขาไปสู่ความวิตก ความหวาดหวั่นขั้นรุนแรง และความกังวล รวมทั้งถึงกับเป็นเหตุให้พวกเขาจ่ายราคาทุกประเภทเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา โดยตื่นแต่เช้าและทำงานจนดึกเพื่อตรวจดูการบ้านของตนให้รอบคอบ รวมทั้งศึกษาทักษะต่างๆ จนสูญเสียวัยเด็กไปโดยเอาช่วงปีอันล้ำค่าเหล่านั้นไปแลกกับสิ่งเหล่านี้  เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่กระแสนิยมชั่วทั้งหลายส่งเสริม เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่มีความสามารถที่จะต้านทานหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นในฐานะผู้พิทักษ์ของลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พ่อแม่ควรลุล่วงความรับผิดชอบนี้โดยการช่วยพวกเขาให้ใช้วิจารณญาณแยกแยะและต้านทานมุมมองสารพัดที่มาจากกระแสนิยมชั่วของโลกและสิ่งที่เป็นลบทั้งมวล  พวกเขาควรให้การแนะแนวและการให้การศึกษาในทางบวก  แน่นอนว่าทุกคนมีความทะยานอยากของตัวเอง และเด็กที่เยาว์วัยบางคนอาจยังคงอยากได้อยากมีในสิ่งเหล่านั้น ต่อให้พ่อแม่ของพวกเขาพยายามกีดกันการไล่ตามไขว่คว้าบางอย่างก็ตาม  จงปล่อยให้พวกเขาใฝ่ฝันถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ พ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตน  ในฐานะพ่อแม่ เจ้ามีภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ความคิดของลูกและแนะแนวพวกเขาไปในทิศทางที่เป็นบวกและสร้างสรรค์  ส่วนการที่พวกเขาเลือกที่จะฟังเจ้าหรือต้องการจะกระทำตามหลักคำสอนของเจ้าเมื่อพวกเขาโตขึ้นหรือไม่นั้นก็เป็นทางเลือกส่วนบุคคลของพวกเขาซึ่งเจ้าไม่อาจก้าวก่ายหรือควบคุมได้  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ในระหว่างช่วงปีก่อร่างสร้างชีวิตของลูก พ่อแม่มีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะต้องปลูกฝังความคิดและทรรศนะที่เป็นบวก เหมาะควร และดีต่อสุขภาพ รวมถึงเป้าหมายชีวิตนานัปการเข้าไปในจิตใจของลูก  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพ่อแม่

พ่อแม่บางคนพูดว่า “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้การศึกษาลูกยังไง  ฉันเลอะเลือนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แค่ทำอะไรต่ออะไรไปตามที่พ่อแม่บอกโดยไม่มีการแยกแยะผิดถูก  แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะให้การศึกษาลูกยังไง”  จงอย่ากังวลเกี่ยวกับการไม่รู้ ไม่จำเป็นว่านี่คือสิ่งที่ไม่ดี  สิ่งที่แย่กว่าก็คือเมื่อเจ้ารู้อยู่แต่ไม่นำมาปฏิบัติ โดยยังคงให้การศึกษาแก่ลูกเพื่อให้เป็นเลิศอย่างเดียวเท่านั้น และพูดว่า “ฉันไม่มีดีอีกแล้ว แต่ฉันต้องการให้ลูกได้ดีกว่าฉัน  คนรุ่นหลังอิ่มเอมอยู่กับความสำเร็จของผู้หลักผู้ใหญ่ของตนและควรประสบความสำเร็จให้มากกว่าพวกเขา  ปัจจุบันนี้ฉันกำลังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าส่วน เพราะฉะนั้นลูกของฉันต้องเป็นนายกเทศมนตรี ผู้ว่าราชการ หรือผงาดขึ้นเป็นรัฐบาลในระดับสูงขึ้นไป หรือกลายเป็นประธานาธิบดีด้วยซ้ำ”  ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับผู้คนเช่นนี้มากไปกว่านั้น  พวกเราไม่ข้องเกี่ยวกับผู้คนแบบนี้  ความรับผิดชอบแบบพ่อแม่ที่พวกเรากำลังพูดถึงนั้นเป็นบวก เป็นเชิงป้องกันล่วงหน้า และสัมพันธ์กับความจริง  สำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าปรารถนาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกของเจ้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะลุล่วงหน้าที่นั้นอย่างไร เช่นนั้นจงเริ่มเรียนรู้จากจุดเริ่มต้น—นั่นไม่ยาก  การสอนผู้ใหญ่นั้นไม่ง่าย แต่การสอนเด็กนั้นง่ายดายใช่หรือไม่?  จงเรียนรู้และสอนไปพร้อมกัน โดยสอนสิ่งที่เจ้าเพิ่งได้เรียนรู้มา  นั่นง่ายดายไม่ใช่หรือ?  การให้การศึกษาลูกนั้นง่าย  การนั้นดีกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบหน้าที่ของเจ้าในเรื่องสุขภาพจิตของลูกด้วยซ้ำ  ต่อให้เจ้าทำการนี้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่นั่นก็ยังดีกว่าการไม่ให้การศึกษาพวกเขาเลย  เด็กๆ ยังเยาว์วัยและไร้เดียงสา หากเจ้าปล่อยให้พวกเขารับข้อมูลจากโทรทัศน์และแหล่งที่มาสารพัด ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาชอบ รวมทั้งคิดและกระทำไปตามที่ตนยินดีโดยปราศจากการให้การศึกษาหรือข้อบังคับ เจ้าย่อมไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพ่อแม่  เจ้าได้ล้มเหลวในหน้าที่ของเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่และภาระผูกพันของเจ้าจนเสร็จสิ้น  หากพ่อแม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกของตน เช่นนั้นพ่อแม่ย่อมไม่อาจนิ่งเฉย แต่ต้องแข็งขันศึกษาความรู้และการเรียนรู้บางอย่างที่สามารถช่วยบำรุงสุขภาพจิตของลูก หรือหลักธรรมพื้นฐานบางอย่างที่สัมพันธ์กับความจริงโดยเริ่มจากจุดเริ่มต้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ นั่นเรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบของคนเรา  การเรียนรู้ของเจ้าจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน  ในระหว่างกระบวนการเรียนรู้และการให้การศึกษาลูกของเจ้า เจ้าจะได้รับบางสิ่งเช่นกัน  เพราะขณะที่สอนลูกให้มีพัฒนาการของสุขภาพจิตไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ ในฐานะผู้ใหญ่ ตัวเจ้าย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมาสัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดที่เป็นบวกบางอย่าง  เมื่อเจ้าเข้าหาแนวคิดที่เป็นบวกเหล่านี้หรือหลักธรรมและเกณฑ์ประเมินสำหรับการวางตัวและการกระทำอย่างละเอียดรอบคอบและจริงจัง เจ้าย่อมจะได้รับบางสิ่งไปโดยไม่รู้สึกตัว—นั่นจะไม่สูญเปล่า  การลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อลูกของตนไม่ใช่สิ่งที่เจ้าทำเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น เจ้าควรทำเพราะสัมพันธภาพของเจ้าที่มีต่อพวกเขาทั้งทางภาวะอารมณ์และโดยสายเลือด  ต่อให้ลูกของเจ้าปฏิบัติตนหรือประพฤติตนในแบบที่ไม่ตรงตามความคาดหวังของเจ้าหลังจากที่เจ้าทำแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ได้รับบางสิ่ง  เจ้ารู้ว่าการให้การศึกษาแก่ลูกและการลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขาหมายถึงอะไร  เจ้าทำความรับผิดชอบของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ส่วนเส้นทางที่ลูกเลือกเดินตามในภายหลัง วิธีที่พวกเขาเลือกวางตัว และโชคชะตาที่รออยู่ในชีวิตพวกเขา นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องห่วงใยอีกต่อไป  เมื่อพวกเขาไปถึงวัยผู้ใหญ่ เจ้าทำได้เพียงอยู่เคียงข้างและเฝ้าดูชีวิตกับโชคชะตาของพวกเขาค่อยๆ ปรากฏออกมา  เจ้าไม่มีภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมอีกต่อไป  หากเจ้าไม่ได้จัดเตรียมการแนะแนว การศึกษา และขอบเขตในบางเรื่องให้กับพวกเขาในเวลาที่เหมาะสมตอนที่พวกเขาเป็นผู้เยาว์ เจ้าอาจเสียใจเมื่อพวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะผู้ใหญ่พูดหรือทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน หรือแสดงให้เห็นความคิดหรือพฤติกรรมที่เจ้าไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน  ตัวอย่างเช่น ตอนที่พวกเขาเยาว์วัย เจ้าให้การศึกษาพวกเขาอย่างสม่ำเสมอโดยพูดว่า “จงขยันเรียน ไปเข้าวิทยาลัย ไล่ตามไขว่คว้าการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรีหรือปริญญาเอก หางานที่ดี หาคู่สมรสที่เหมาะสมและเริ่มต้นครอบครัวด้วยกัน แล้วจากนั้นชีวิตก็จะดี”  โดยผ่านทางการศึกษา การหนุนใจ และแรงกดดันสารพัดรูปแบบของเจ้า พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตและไล่ตามไขว่คว้าครรลองที่เจ้าจัดไว้ให้และสัมฤทธิ์สิ่งที่เจ้ามุ่งหวังดังที่เจ้าปรารถนาไว้ไม่มีผิด และบัดนี้พวกเขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้  หากเมื่อได้มาเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าบางประการเพราะความเชื่อของเจ้าแล้ว รวมทั้งได้มีความคิดและทรรศนะที่ถูกต้องแล้ว ตอนนี้เจ้าจึงพยายามบอกพวกเขาไม่ให้ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป พวกเขาย่อมมีแววที่จะต่อต้านแทน “ลูกไม่ได้กำลังทำสิ่งที่แม่ต้องการอยู่พอดีหรอกหรือ?  แม่สอนสิ่งเหล่านี้ให้ลูกตอนที่ลูกยังเด็กไม่ใช่หรือ?  แม่เคยเรียกร้องสิ่งนี้จากลูกไม่ใช่หรือ?  ตอนนี้ทำไมแม่ถึงห้ามลูก?  ลูกกำลังทำอะไรผิดอยู่หรือ?  ลูกทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จและตอนนี้ลูกก็สามารถชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านี้ แม่ควรรู้สึกมีความสุข พึงพอใจ และภูมิใจในตัวลูกไม่ใช่หรือ?”  ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าควรจะมีความสุขหรือหลั่งน้ำตา?  เจ้าคงรู้สึกเสียใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บัดนี้เจ้าไม่อาจเอาชนะใจพวกเขาคืนมาแล้ว  หากเจ้าไม่ได้ให้การศึกษาแก่พวกเขาแบบนี้ตอนที่พวกเขาเยาว์วัย หากเจ้าได้ให้วัยเด็กที่มีความสุขแก่พวกเขาโดยปราศจากแรงกดดันอันใด ไม่มีการสอนให้พวกเขาต้องอยู่เหนือคนอื่น ครองตำแหน่งที่มีอำนาจสูงหรือหาเงินให้มาก หรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ หากเจ้าเพียงปล่อยให้พวกเขาได้เป็นคนดีธรรมดาโดยไม่เรียกร้องให้พวกเขาหาเงินให้มาก สุขสำราญมากเหลือเกิน หรือตอบแทนให้กับเจ้ามากเหลือเกิน โดยแค่ขอให้พวกเขามีสุขภาพดีและมีความสุข เป็นปัจเจกบุคคลที่เรียบง่ายและมีความสุขเท่านั้นเอง บางทีพวกเขาคงได้เปิดรับความคิดและทรรศนะบางอย่างที่เจ้ามีหลังการเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว  เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตของพวกเขาอาจจะมีความสุข มีแรงกดดันจากชีวิตและสังคมน้อยกว่านี้  แม้ว่าพวกเขาไม่ได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์ อย่างน้อยหัวใจพวกเขาก็คงได้รู้สึกมีความสุข สงบนิ่ง และเปี่ยมสันติสุข  แต่ในระหว่างช่วงปีแห่งพัฒนาการ เนื่องจากการยุยงส่งเสริมและการรบเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกเจ้า ภายใต้แรงกดดันของเจ้า พวกเขาจึงไล่ตามไขว่คว้าความรู้ เงินตรา ชื่อเสียง และผลประโยชน์อย่างไม่รามือ  สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น พวกเขาสุขสำราญขึ้น และพวกเขาก็หาเงินได้มากขึ้น แต่ชีวิตของพวกเขาช่างน่าเหนื่อยล้า  ทุกครั้งที่เจ้าพบหน้าพวกเขา พวกเขามีใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อย  ต่อเมื่อพวกเขากลับบ้านมาหาเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงกล้าถอดหน้ากากออกและยอมรับสภาพว่าพวกเขาเหน็ดเหนื่อยและต้องการพักผ่อน  แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวออกไปข้างนอก พวกเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป—พวกเขาสวมหน้ากากอีกครั้ง  เจ้ามองดูสีหน้าที่เหนื่อยล้าและน่าสงสารของพวกเขา และเจ้ารู้สึกเสียใจกับพวกเขา แต่เจ้าก็ไม่มีอำนาจที่จะทำให้พวกเขาหันกลับมา  พวกเจ้าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่สัมพันธ์กับการอบรมเลี้ยงดูลูกของเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่มีสิ่งใดในนี้เป็นบางสิ่งที่พวกเขารู้โดยธรรมชาติหรือไล่ตามไขว่คว้านับแต่เยาว์วัย การนี้มีความสัมพันธ์กับการอบรมเลี้ยงดูลูกของเจ้าอย่างแน่นอน  เมื่อเจ้าเห็นหน้าพวกเขา เมื่อเจ้าเห็นชีวิตพวกเขาอยู่ในสภาวะนี้ เจ้าไม่รู้สึกไม่สบายใจหรอกหรือ?  (รู้สึก)  แต่เจ้าไร้อำนาจ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือความเสียใจและความโศกเศร้า  เจ้าอาจรู้สึกว่าลูกของเจ้าถูกซาตานพรากไปโดยสมบูรณ์แล้ว ว่าพวกเขาไม่สามารถหวนกลับมาได้ และเจ้าไม่มีอำนาจที่จะช่วยกู้ชีวิตพวกเขา  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะพ่อแม่  เจ้าคือคนที่ทำร้ายพวกเขา คนที่นำทางพวกเขาออกนอกลู่นอกทางด้วยการแนะแนวและการให้การศึกษาตามอุดมคติที่มีข้อเสียของเจ้า  พวกเขาไม่มีวันหวนคืน และสุดท้ายเจ้าก็จะเหลือเพียงความเสียใจเท่านั้น  เจ้าได้แต่มองดูอย่างอับจนหนทางขณะที่ลูกทนทุกข์ ถูกสังคมชั่วทำให้เสื่อมทราม แบกภาระความกดดันของชีวิต และเจ้าก็ไม่มีหนทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาเลย  ทั้งหมดที่เจ้าพูดได้ก็คือ “กลับมาบ้านบ่อยๆ นะ แล้วแม่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้ลูกกิน”  อาหารหนึ่งมื้อแก้ปัญหาอะไรได้หรือ?  แก้อะไรไม่ได้เลย  ความคิดของลูกเป็นผู้ใหญ่และเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เต็มใจปล่อยมือจากชื่อเสียงและสถานะที่พวกเขาได้สัมฤทธิ์แล้ว  พวกเขาทำได้เพียงตะลุยไปข้างหน้าและไม่มีวันหันกลับมา  นี่คือผลลัพธ์อันร้ายกาจของการที่พ่อแม่ให้การแนะแนวที่ผิดและปลูกฝังแนวคิดที่ผิดให้กับลูกในระหว่างช่วงปีแห่งการก่อร่างสร้างชีวิตของลูก  เพราะฉะนั้นในระหว่างปีเหล่านี้ พ่อแม่ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตน แนะแนวสุขภาพจิตของลูก อีกทั้งคุมหางเสือความคิดและการกระทำไปในทิศทางที่สร้างสรรค์  นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก  เจ้าอาจจะพูดว่า “ฉันรู้ไม่มากนักเกี่ยวกับการให้การศึกษาเด็ก” แต่เจ้าถึงกับไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเองเลยหรือ?  หากเจ้าเข้าใจโลกและสังคมนี้ได้อย่างแท้จริง หากเจ้าจับความเข้าใจว่าชื่อเสียงและผลประโยชน์คืออะไร หากเจ้าสามารถละทิ้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ทางโลกได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นเจ้าก็ควรคุ้มครองลูกของเจ้าและไม่เปิดโอกาสให้พวกเขายอมรับแนวคิดที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้จากสังคมอย่างรวดเร็วเกินไปในระหว่างช่วงปีแห่งการก่อร่างสร้างชีวิตของพวกเขา  ตัวอย่างเช่นเมื่อเด็กบางคนเข้าโรงเรียนมัธยมต้น พวกเขาก็เริ่มสังเกตสิ่งต่างๆ เช่น นักธุรกิจใหญ่บางคนมีสินทรัพย์กี่พันล้านดอลลาร์ คนรวยที่สุดในท้องถิ่นเป็นเจ้าของรถหรูประเภทใด อีกคนครองตำแหน่งอะไร พวกเขามีเงินมากเท่าไร พวกเขามีรถจอดอยู่ในบ้านกี่คัน และพวกเขาสุขสำราญกับสิ่งประเภทใด  จิตใจของพวกเขาเริ่มฉงนว่า “ตอนนี้ฉันอยู่ม.ต้น  จะเป็นยังไงถ้าฉันหางานที่ดีไม่ได้หลังจบวิทยาลัย?  ถ้าไม่มีการงาน ฉันจะทำยังไงถ้าไม่มีเงินพอจ่ายค่าห้องชุดกับรถหรู?  ฉันจะดีเด่นเป็นพิเศษขึ้นมาโดยไม่มีเงินได้อย่างไร?”  พวกเขาเริ่มเป็นกังวลและอิจฉาคนเหล่านั้นในสังคมที่มีเกียรติยศ อีกทั้งมีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อและหรูหรา  เมื่อเด็กเกิดตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มรับเอาข้อมูล เหตุการณ์ และปรากฏการณ์สารพัดจากสังคม และในจิตใจอันเยาว์วัยของพวกเขาก็เริ่มรู้สึกกดดันและหวั่นวิตก อีกทั้งเริ่มเป็นห่วงและวางแผนการสำหรับอนาคตของตน  ในสถานการณ์เช่นนั้น พ่อแม่ควรลุล่วงหน้าที่ของตน รวมทั้งให้ความชูใจและการแนะแนวช่วยให้พวกเขาเข้าใจวิธีที่จะมองและรับมือกับเรื่องเหล่านี้อย่างถูกควรไม่ใช่หรือ?  พวกเขาควรทำให้มั่นใจว่าลูกไม่หลงติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้นับแต่เยาว์วัย เพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาทรรศนะที่ถูกต้องต่อสิ่งเหล่านั้น  จงบอกเราทีว่าพ่อแม่ควรจัดการแก้ไขเรื่องเหล่านี้กับลูกของตนอย่างไร?  ปัจจุบันนี้ เด็กมีความสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากสังคมในหลากหลายแง่มุมนับแต่เยาว์วัยมากไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ทุกวันนี้เด็กรู้จักพวกนักร้อง ดาราภาพยนตร์ นักกีฬาดาวรุ่ง รวมถึงคนเด่นคนดังทางอินเตอร์เน็ต นักธุรกิจใหญ่ คนรวย และมหาเศรษฐีมากมายว่า—พวกเขาหาเงินได้เท่าไร พวกเขาสวมใส่อะไร พวกเขาสุขสำราญกับสิ่งใด พวกเขามีรถหรูกี่คัน เป็นต้น ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ในสังคมอันสลับซับซ้อนนี้ควรลุล่วงความรับผิดชอบของพ่อแม่ คุ้มครองลูกของตน และจัดเตรียมให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี  เมื่อลูกเกิดตระหนักรู้ในเรื่องเหล่านี้ หรือได้ยินและรับข้อมูลใดที่ไม่ดีต่อสุขภาพมา พ่อแม่ควรสอนลูกให้พัฒนาความคิดและทรรศนะที่ถูกต้องเพื่อให้ลูกสามารถก้าวห่างจากเรื่องเหล่านี้ได้ทันเวลา  อย่างน้อยที่สุดพ่อแม่ก็ควรสื่อคำสอนที่เรียบง่ายให้กับลูกว่า “ลูกยังเป็นเด็ก และในวัยของลูก ลูกมีความรับผิดชอบที่จะต้องเรียนหนังสือให้ดีและเรียนรู้สิ่งที่ลูกจำเป็นต้องเรียน  ลูกไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งอื่น ในส่วนที่ว่าลูกจะหาเงินมากเท่าไรหรือลูกจะซื้ออะไรนั้น ลูกไม่ต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้—เรื่องพวกนี้นั้นไว้หลังจากที่ลูกโตแล้ว  สำหรับตอนนี้ จงมุ่งเน้นที่การทำงานที่โรงเรียนของลูก การทำงานที่ครูมอบหมายให้เสร็จสิ้น และการบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ในชีวิตของลูกเอง  ลูกไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องอื่นใด  ไม่สายเกินไปหรอกที่ลูกจะพิจารณาเรื่องเหล่านี้หลังจากที่ลูกเข้าสู่สังคมและไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้แล้ว  การที่สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสังคมตอนนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่  ลูกไม่ใช่ผู้ใหญ่ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ลูกควรคิดหรือเข้าไปมีส่วนร่วม  ในตอนนี้ลูกจงมุ่งเน้นการทำงานที่โรงเรียนให้ดี และฟังสิ่งที่พ่อแม่บอกลูก  พวกเราเป็นผู้ใหญ่และรู้มากกว่าลูก ดังนั้นลูกจึงควรฟังพวกเรา ฟังสิ่งใดก็ตามที่พวกเราพูด  ถ้าลูกเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นในสังคม แล้วลูกทำตามและลอกเลียนแบบสิ่งเหล่านั้น นั่นจะไม่เป็นผลดีต่อการเรียนและงานที่โรงเรียนของลูก—นั่นอาจจะส่งผลต่อการเรียนรู้ของลูก  ต่อจากนี้ลูกจะกลายเป็นคนประเภทไหน หรือลูกจะมีอาชีพการงานอะไร ไว้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ทีหลัง  กิจของลูกในตอนนี้ก็คือการเล่าเรียน  ถ้าลูกไม่เป็นเลิศในการเรียน ลูกก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา และลูกก็จะไม่ใช่เด็กดี  ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น เรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวกับลูก  พอลูกอายุมากขึ้น ลูกก็จะเข้าใจเรื่องเหล่านั้นเอง”  นี่เป็นคำสอนขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้คนควรเข้าใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงให้ลูกได้รู้ว่า “กิจของลูกตอนนี้คือการเรียนหนังสือ ไม่ใช่การกิน การดื่ม และการเล่นสนุกสนาน  ถ้าลูกไม่เรียนหนังสือ ลูกก็จะเสียเวลาของตัวเองไปเปล่าๆ และละเลยการศึกษาของตัวเอง  สิ่งทั้งหลายในสังคมที่เกี่ยวกับการกิน การดื่ม การแสวงหาความบันเทิง และเรื่องอื่นๆ สัพเพเหระนั้นล้วนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่  พวกคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ไม่ควรร่วมทำกิจกรรมเหล่านั้น”  เด็กยอมรับคำพูดเหล่านี้ได้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  เจ้าไม่ได้กำลังลิดรอนสิทธิของพวกเขาในการที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ หรือรู้สึกอิจฉาพวกเขา  ในเวลาเดียวกันเจ้าก็กำลังชี้ชัดถึงสิ่งที่พวกเขาควรกำลังทำอยู่  นี่คือการให้การศึกษาแก่เด็กในหนทางที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นครรลองของการกระทำที่เรียบง่ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  พ่อแม่ควรเรียนรู้ที่จะทำแบบนี้ และตราบที่ทำได้ พ่อแม่ก็ควรศึกษาวิธีที่จะให้การศึกษาและดูแลรับมือลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของตนบนพื้นฐานความสามารถ ภาวะ และขีดความสามารถของพวกเขา พ่อแม่ควรลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อลูก และทำทั้งหมดนี้อย่างสุดความสามารถของตน  การนี้ไม่มีมาตรฐานที่เข้มงวดและตายตัว การนี้แปรผันได้ตามรายบุคคล  ทุกคนมีสภาพการณ์ทางครอบครัวที่ต่างกัน และทุกคนมีขีดความสามารถที่ต่างกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการลุล่วงความรับผิดชอบของการให้การศึกษาลูกของคนเรา แต่ละคนย่อมมีวิธีการของตัวเอง  เจ้าควรทำอะไรก็ตามที่ได้ผล สิ่งซึ่งให้ผลลัพธ์ที่พึงปรารถนา  เจ้าควรปรับตัวให้เข้ากับบุคลิกภาพ วัย และเพศของลูก ลูกบางคนอาจจำเป็นต้องได้รับความขึงขังกว่าสักเล็กน้อย ในขณะที่ลูกคนอื่นอาจจะต้องใช้การเข้าหาที่อ่อนโยน  ลักษณะแนวแบบเรียกร้องอาจเกิดประโยชน์กับลูกบางคน ในขณะที่ลูกคนอื่นอาจจะเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย  พ่อแม่ควรปรับวิธีการของตนไปบนพื้นฐานสถานการณ์ของลูกแต่ละคน  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เป้าหมายสูงสุดก็คือเพื่อให้มั่นใจในสุขภาพจิตของลูก เพื่อแนะแนวพวกเขาไปในทิศทางอันสร้างสรรค์ทั้งในความคิดของพวกเขาและในเกณฑ์ประเมินสำหรับการกระทำของพวกเขา  จงอย่ายัดเยียดสิ่งใดที่อาจสวนทางกับความเป็นมนุษย์ สิ่งใดก็ตามที่ขัดต่อกฎแห่งพัฒนาการตามธรรมชาติและเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ได้ในช่วงวัยปัจจุบันของพวกเขาหรือขอบเขตขีดความสามารถของพวกเขา  เมื่อพ่อแม่ทำทั้งหมดนี้ได้ เช่นนั้นพ่อแม่ก็ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเรียบร้อยแล้ว  การนี้สัมฤทธิ์ได้ยากเย็นหรือไม่?  นี่ไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนเลย

ความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อเชื้อสายของตนนั้นมีด้วยกันสองแง่มุม แง่มุมหนึ่งเป็นเรื่องของความคาดหวังในระหว่างช่วงปีแห่งการเติบโตของลูก และอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นเรื่องของความคาดหวังทั้งหลายเมื่อลูกกลายเป็นผู้ใหญ่  คราวที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมเกริ่นถึงความคาดหวังเมื่อลูกกลายเป็นผู้ใหญ่ไปพอสังเขป  พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องอะไรกันไปบ้าง?  (ข้าแต่พระเจ้า คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องการที่พ่อแม่ตั้งความหวังว่าลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ของตนจะมีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ราบรื่น มีชีวิตสมรสที่เป็นสุขและเต็มไปด้วยความพึงพอใจ รวมทั้งประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน)  นั่นคือสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปคร่าวๆ  หลังจากที่พ่อแม่ฟูมฟักเลี้ยงดูลูกจนถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว ลูกของพวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ และเผชิญสภาพการณ์ที่เกี่ยวกับงาน อาชีพการงาน ชีวิตสมรส ครอบครัว รวมถึงการดำเนินชีวิตโดยอาศัยลำแข้งตัวเอง แม้แต่การฟูมฟักเลี้ยงดูเชื้อสายของตนเอง  ลูกๆ จะไปจากพ่อแม่และยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เผชิญหน้าทุกปัญหาที่พวกเขาอาจพบเจอในชีวิตด้วยตัวเอง  เนื่องจากตอนนี้ลูกโตแล้ว พ่อแม่จึงไม่ต้องแบกความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพทางกายของลูก หรือมีส่วนร่วมโดยตรงกับชีวิต งาน การสมรส ครอบครัว และอื่นๆ ของลูกอีกต่อไป  แน่นอนว่า ด้วยสายสัมพันธ์ทางอารมณ์และครอบครัว พ่อแม่สามารถให้การดูแลแบบพื้นๆ ให้คำแนะนำเป็นครั้งคราว ให้ข้อเสนอแนะหรือการอนุเคราะห์บ้างอย่างคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน หรือให้การบริบาลชั่วคราวเท่าที่จำเป็นได้  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ครั้นลูกกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อแม่ย่อมได้ลุล่วงความรับผิดชอบส่วนใหญ่ที่มีต่อลูกของตนแล้ว  เพราะฉะนั้นอย่างน้อยจากมุมมองของเรา ความคาดหวังทั้งหลายที่พ่อแม่อาจมีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตนย่อมไม่มีความจำเป็น  เหตุใดความคาดหวังเหล่านั้นจึงไม่มีความจำเป็น?  เพราะไม่สำคัญว่าพ่อแม่จะคาดหวังให้ลูกกลายเป็นเช่นไร ให้ลูกมีชีวิตสมรส ครอบครัว งาน หรืออาชีพการงานประเภทใด ไม่ว่าลูกจะร่ำรวยหรือยากจน หรือพ่อแม่อาจมีความคาดหวังใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้แค่ความคาดหวัง และสุดท้ายแล้วชีวิตของลูกที่เป็นผู้ใหญ่ ย่อมอยู่ในมือของพวกเขาเอง  แน่นอนว่า หากกล่าวตามหลักการแล้ว โชคชะตาทั้งชีวิตของลูกชายหรือลูกสาว และการที่พวกเขารวยหรือจนล้วนถูกพระเจ้าลิขิตไว้  พ่อแม่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบหรือภาระผูกพันที่ต้องกำกับดูแลเรื่องเหล่านี้ และไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปยุ่ง  เพราะฉะนั้น ความคาดหวังของพ่อแม่ก็เป็นแค่ความปรารถนาดีแบบหนึ่งซึ่งมีรากฐานมาจากความรักใคร่เอ็นดูของพวกเขาเท่านั้นเอง  ไม่มีพ่อแม่คนใดเต็มใจให้ลูกยากจน ไม่แต่งงาน หย่าร้าง มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ หรือประสบความยากลำบากในที่ทำงาน  ไม่มีพ่อแม่คนไหนคาดหวังสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกของตน พวกเขาคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกของตนอย่างไม่มีข้อสงสัย  อย่างไรก็ตาม หากความคาดหวังของพ่อแม่ขัดแย้งกับความเป็นจริงของชีวิตของลูก หรือหากความเป็นจริงนั้นสวนทางกับความคาดหวังของพวกเขา พวกเขาควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  นี่คือสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกัน  ในฐานะพ่อแม่ เมื่อเป็นเรื่องของท่าทีที่คนเราควรมีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตน นอกเหนือจากการอวยพรลูกอยู่เงียบๆ และการมีความคาดหวังที่ดีต่อลูก ไม่ว่าลูกจะมีความเป็นอยู่แบบใด ลูกมีโชคชะตาหรือชีวิตแบบใด พ่อแม่ทำได้เพียงปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น  ไม่มีพ่อแม่คนใดสามารถเปลี่ยนแปลงและควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้เลย  ดังที่พวกเราได้เสวนากันไปก่อนหน้านี้แล้วว่า แม้เจ้าได้ให้กำเนิดลูกและฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขามา แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นผู้กำหนดโชคชะตาของลูก  พ่อแม่ให้กำเนิดร่างกายแก่ลูกและฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาจนไปสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เรื่องที่ลูกจะมีโชคชะตาแบบใดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่เลือกหรือมอบให้พวกเขา และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่กำหนดให้พวกเขา  เจ้าปรารถนาให้ลูกได้ดี แต่นั่นรับประกันว่าพวกเขาจะได้ดีหรือ?  เจ้าไม่ปรารถนาให้พวกเขาเผชิญกับเคราะห์ร้าย โชคไม่ดี หรือเหตุการณ์ที่เป็นโชคร้ายประเภทใดทั้งสิ้น แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นได้หรือ?  ไม่สำคัญว่าลูกของเจ้าจะเผชิญกับสิ่งใด สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ภายใต้เจตจำนงของมนุษย์เลย และไม่มีสิ่งใดถูกกำหนดโดยความต้องการหรือความคาดหวังของเจ้า  ดังนั้นเรื่องนี้บอกอะไรกับเจ้า?  เมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลตัวเองได้ มีความคิด ทัศนะต่อสิ่งทั้งหลาย หลักธรรมในการวางตัว และทัศนคติต่อชีวิตเป็นของตัวเอง และไม่ถูกพ่อแม่ครอบงำ ควบคุมดูแล ตีกรอบ หรือบริหารจัดการอีกต่อไป เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง  การที่พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่แล้วหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าพ่อแม่ของพวกเขาควรปล่อยมือ  ในภาษาเขียนเรียกการนี้ว่า “การปล่อยมือ” อันเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้สำรวจค้นและเลือกเส้นทางในชีวิตด้วยตัวเอง  พวกเราพูดว่าอย่างไรในภาษาพูด?  “หลีกทาง”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พ่อแม่ควรเลิกออกคำสั่งกับลูกที่เป็นผู้ใหญ่โดยพูดสิ่งทั้งหลายเช่น “ลูกควรมองหางานนี้ ลูกควรทำงานในอุตสาหกรรมนี้  อย่าทำแบบนั้น นั่นเสี่ยงเกินไป!”  เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่พ่อแม่ออกคำสั่งกับลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว?  (ไม่เหมาะสม)  พวกเขาต้องการให้ชีวิต งาน ชีวิตสมรส และครอบครัวของลูกที่เป็นผู้ใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาและอยู่ในสายตาของพวกเขาเสมอ มีความหวั่นวิตก กังวล เกรงกลัว และเป็นห่วงหากพวกเขาไม่รู้บางสิ่งบางอย่างหรือไม่สามารถควบคุมสิ่งนั้นได้ โดยพูดว่า “จะเป็นยังไงถ้าลูกชายของฉันไม่พิจารณาเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ?  เขาอาจจะเดือดร้อนเพราะทำผิดกฎหมายหรือเปล่า?  ฉันไม่มีเงินสู้คดีหรอกนะ!  ถ้าเขาถูกฟ้องร้องและไม่มีเงิน เขาจะติดคุกไหม?  ถ้าเขาเข้าคุก เขาจะถูกพวกคนชั่วใส่ร้ายและต้องโทษถึงแปดหรือสิบปีหรือเปล่า?  ภรรยาของเขาจะทิ้งเขาไหม?  ใครจะดูแลเด็กๆ?”  ยิ่งพวกเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้นเท่านั้น “การงานของลูกสาวฉันไม่ค่อยราบรื่นเลย ผู้คนปฏิบัติไม่ดีกับลูกฉันเสมอ และเจ้านายของเธอก็ทำไม่ดีกับเธอเหมือนกัน  พวกเราจะทำอะไรได้บ้าง?  พวกเราควรหางานใหม่ให้เธอไหม?  พวกเราควรใช้เส้นสาย ใช้ความสัมพันธ์ ใช้เงินบ้าง และหางานในหน่วยงานรัฐบาลให้ลูก ซึ่งเธอจะได้ทำงานเบาๆ ในฐานะเจ้าพนักงานรัฐทุกวัน?  แม้เงินเดือนไม่สูง แต่อย่างน้อยลูกก็จะไม่ถูกข่มเหง  ตอนที่ลูกเป็นเด็ก พวกเราไม่เคยกลั้นใจตีลูกได้เลย และพวกเราก็พะเน้าพะนอลูกราวกับเจ้าหญิง ตอนนี้ลูกกำลังถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง  พวกเราควรทำยังไง?”  พวกเขากังวลจนถึงจุดที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ และพวกเขาก็เกิดตุ่มร้อนในทั่วปากจากความหวั่นวิตก  เมื่อใดก็ตามที่ลูกเผชิญกับอะไรสักอย่าง พ่อแม่ก็กลายเป็นหวั่นวิตกและเป็นเดือดเป็นร้อนแทน  พวกเขาต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง ทำแทนในทุกสถานการณ์  เมื่อใดก็ตามที่ลูกเกิดเจ็บป่วย หรือเผชิญความลำบากยากเย็นบางอย่าง พวกเขาก็รู้สึกทุกข์ทรมานและตรอมใจ พูดแต่ว่า “แม่ก็แค่ต้องการให้ลูกสุขสบายดี  ทำไมลูกถึงไม่สุขสบาย?  แม่ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับลูก แม่ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ลูกปรารถนา ตามที่ลูกวางแผนให้เป็นไป  แม่ต้องการให้ลูกเพลิดเพลินกับความสำเร็จ ไม่มีโชคร้าย ไม่ถูกโกง หรือถูกใส่ความและมีปัญหาทางกฎหมาย!”  ลูกบางคนกู้เงินซื้อบ้าน และการจำนองบ้านของลูกยาวนานถึงสามสิบหรือห้าสิบปีด้วยซ้ำ  พ่อแม่จึงเริ่มเป็นห่วงว่า “จะใช้หนี้เงินกู้พวกนี้หมดเมื่อไร?  นี่เหมือนกับการเป็นทาสเงินกู้เลยไม่ใช่หรือ?  คนรุ่นพวกเราไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน  พวกเราอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่บริษัทจัดเตรียมให้ และจ่ายค่าเช่าเดือนละไม่กี่เหรียญ  พวกเรารู้สึกผ่อนคลายกับสถานการณ์ความเป็นอยู่ของตัวเองในสมัยก่อนมาก  ทุกวันนี้ช่างหนักหนาสำหรับคนหนุ่มสาวเหล่านี้เสียจริง ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลย  พวกเขาต้องกู้เงินผ่อนบ้าน และถึงแม้พวกเขากินดีอยู่ดี แต่ทุกวันพวกเขาก็ทำงานหนักเหลือเกิน—พวกเขาช่างเหนื่อยล้า!  บ่อยครั้งที่พวกเขาทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น พวกเขากินนอนไม่เป็นเวลา และพวกเขาเอาแต่กินอาหารตามสั่ง  ท้องไส้ของพวกเขาไม่ดี สุขภาพของพวกเขาก็เหมือนกัน  ฉันต้องทำอาหารและทำความสะอาดที่อยู่อาศัยให้พวกเขา  ฉันต้องจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้เพราะพวกเขาไม่มีเวลา—ชีวิตของพวกเขายุ่งเหยิงตอนนี้ฉันเป็นหญิงชราคนหนึ่งที่อยู่มาจนแก่แล้ว และทำอะไรได้ไม่มาก ดังนั้นฉันจะแค่เป็นแม่บ้านให้พวกเขาก็แล้วกัน  ถ้าพวกเขาจ้างแม่บ้านจริงๆ มา พวกเขาจะต้องใช้เงิน และแม่บ้านพวกนั้นก็อาจจะไว้ใจไม่ได้  ดังนั้นฉันจะเป็นแม่บ้านให้พวกเขาโดยไม่คิดเงิน”  ดังนั้นเธอจึงกลายมาเป็นคนรับใช้ทำความสะอาดบ้านให้ลูกทุกวัน จัดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำอาหารเมื่อถึงเวลารับประทาน ซื้อผักและข้าว รวมทั้งรับภาระทั้งหลายอย่างไม่รู้จบ  เธอเปลี่ยนจากการเป็นพ่อแม่ไปเป็นคนรับใช้ชรา เป็นแม่บ้าน  พอลูกกลับมาบ้านและอารมณ์ไม่ดี เธอก็ต้องดูสีหน้าพวกเขาและพูดจาอย่างระมัดระวังจนกว่าลูกจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง และถึงตอนนั้นเท่านั้นเธอจึงสามารถมีความสุขได้  เธอมีความสุขเมื่อลูกมีความสุข และเป็นกังวลเมื่อลูกของเธอกังวล  นี่เป็นหนทางดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าหรือ?  นี่ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียความเป็นตัวเองเลย

เป็นไปได้หรือไม่ที่พ่อแม่จะแบกต้นทุนโชคชะตาของลูก?  เพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความยินดีทางโลก ลูกเต็มใจสู้ทนความยากลำบากใดก็ตามที่เข้ามาในหนทางพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะผู้ใหญ่ การเผชิญความยากลำบากใดก็ตามที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดของพวกเขาเองเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่?  ยิ่งพวกเขาสุขสำราญมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต้องเตรียมตัวทุกข์ทนมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน—นี่เป็นเรื่องปกติ  พ่อแม่ของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว เช่นนั้นจึงไม่สำคัญว่าลูกของพวกเขาต้องการสุขสำราญกับอะไร พวกเขาก็ไม่ควรเป็นคนจ่ายให้  ไม่ว่าพ่อแม่ต้องการให้ลูกของตนมีชีวิตที่ดีเพียงใด หากลูกของพวกเขาต้องการสุขสำราญกับสิ่งดีๆ เช่นนั้นลูกก็ควรแบกรับแรงกดดันและความทุกข์ทั้งหมดด้วยตัวเอง ไม่ใช่พ่อแม่  เพราะฉะนั้นหากพ่อแม่ต้องการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกของตัวเองและแบกต้นทุนสำหรับความยากลำบากของลูกโดยเต็มใจกลายเป็นทาสของลูกเสมอ เช่นนั้นการนี้ก็เกินจำเป็นไปไม่ใช่หรือ?  การนี้ไม่มีความจำเป็นเพราะเกินเลยกว่าสิ่งที่ควรคาดหวังให้พ่อแม่ทำ  อีกเหตุผลใหญ่ก็คือ ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดหรือทำมากเท่าใดเพื่อลูกของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาหรือบรรเทาความทุกข์ของพวกเขาได้  การที่คนทุกคนพยายามอยู่ให้ได้ในสังคม ไม่ว่าพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ หรือเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ในฐานะผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อความอยากได้อยากมีและอุดมคติของตัวเอง และพวกเขาก็ควรจ่ายราคาเอง  ไม่มีใครควรรับทำสิ่งใดแทนแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขา ผู้ซึ่งให้กำเนิดพวกเขาและฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขา ผู้ซึ่งใกล้ชิดกับพวกเขาที่สุดก็ไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายให้ในส่วนของพวกเขา หรือร่วมทุกข์ไปกับพวกเขา  พ่อแม่ไม่มีความแตกต่างเลยในแง่นี้เพราะพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้  เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำเพื่อลูกของเจ้านั้นเป็นอันสูญเปล่า  เพราะนั่นเป็นการสูญเปล่า เจ้าจึงควรเลิกล้มการกระทำครรลองนี้เสีย  แม้ว่าพ่อแม่อาจแก่ชราและลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันทั้งหลายที่มีต่อลูกของตนแล้ว แม้ว่าสิ่งใดก็ตามที่พ่อแม่ทำไม่มีความสำคัญในสายตาของลูก แต่พวกเขาก็ยังคงควรมีศักดิ์ศรีของตัวเอง การไล่ตามเสาะหาของตัวเอง และภารกิจของตัวเองที่จะต้องลุล่วงอยู่ดี  ในฐานะที่เป็นใครบางคนซึ่งเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด พลังงานและเวลาที่เจ้ามีเหลือในชีวิตก็ควรถูกใช้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและใช้กับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้า เจ้าไม่ควรใช้เวลาใดไปกับลูกของเจ้า  ชีวิตของเจ้าไม่ได้เป็นของลูก และไม่ควรถูกใช้ให้หมดเปลืองเพื่อชีวิตและการอยู่รอดของลูก และไม่ใช่เพื่อสนองความคาดหวังของเจ้าที่มีต่อลูก  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ชีวิตของเจ้าควรถูกอุทิศให้กับหน้าที่และกิจที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับเจ้า ตลอดจนภารกิจที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  คุณค่าและความหมายของชีวิตเจ้าอยู่ตรงนี้นี่เอง  หากเจ้าเต็มใจที่จะสูญสิ้นศักดิ์ศรีของตัวเองและกลายเป็นทาสของลูก เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขา และทำใดสิ่งใดให้พวกเขาเพื่อสนองความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อพวกเขา เช่นนั้นทั้งหมดนี้ก็ไร้ความหมายและปราศจากคุณค่า และจะไม่ได้รับการรำลึกถึง  หากเจ้าทำเช่นนี้เรื่อยไปและไม่ปล่อยมือจากแนวคิดและการกระทำเหล่านี้ นั่นก็หมายความว่า เจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และเจ้าค่อนข้างเป็นกบฏเท่านั้นเอง  เจ้าไม่ทะนุถนอมทั้งชีวิตและเวลาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  หากชีวิตและเวลาของเจ้าถูกใช้ไปเพียงเพื่อเนื้อหนังและความเสน่หาของเจ้า และไม่ใช่เพื่อหน้าที่ที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า เช่นนั้นชีวิตของเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นและปราศจากคุณค่า  เจ้าไม่สมควรที่จะมีชีวิต เจ้าไม่สมควรได้ชื่นชมยินดีกับชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า และเจ้าไม่สมควรที่จะชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า  พระเจ้าได้ประทานลูกๆ ให้กับเจ้าเพียงเพื่อให้เจ้าเพลิดเพลินกับกระบวนการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขา เพื่อได้รับประสบการณ์ชีวิตและความรู้จากการนี้ในฐานะพ่อแม่ เพื่อให้เจ้ารับประสบการณ์กับบางสิ่งที่พิเศษและไม่ธรรมดาในชีวิตมนุษย์ และจากนั้นก็ให้เชื้อสายของเจ้าได้เพิ่มทวี…  แน่นอนว่านี่ก็เพื่อลุล่วงความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในฐานะพ่อแม่เช่นกัน  นี่เป็นความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้ทรงตั้งเพื่อให้เจ้าลุล่วงต่อชนรุ่นถัดไป รวมทั้งเป็นบทบาทที่เจ้าเล่นเป็นพ่อแม่สำหรับชนรุ่นถัดไป  ในแง่มุมหนึ่งนั้นก็เพื่อก้าวผ่านกระบวนการพิเศษในการฟูมฟักเลี้ยงดูเด็กนี้ และในอีกแง่มุมก็เพื่อรับบทบาทในการเพิ่มทวีชนรุ่นถัดไป  ครั้นภาระผูกพันนี้ลุล่วงแล้วและลูกของเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือยังเป็นบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เพราะเจ้าไม่ใช่ผู้ที่กำหนดโชคชะตาของพวกเขา และเจ้าก็ไม่ใช่ผู้เลือกโชคชะตานั้น และเจ้าไม่ได้มอบโชคชะตานั้นให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน—เป็นพระเจ้าที่ทรงลิขิต  ในเมื่อพระเจ้าทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้ เจ้าไม่ควรก้าวก่ายหรือเข้าไปจุ้นจ้านกับชีวิตหรือการอยู่รอดของพวกเขา  ท่าทีที่มีต่อชีวิต กิจวัตรประจำวัน และนิสัยของพวกเขา กลวิธีในการอยู่รอดอันใดก็ตามที่พวกเขามี ทัศนะคติต่อชีวิตแบบใดก็ตาม ท่าทีใดก็ตามที่พวกเขามีต่อโลก—พวกเขาต้องเลือกสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง และไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องไปห่วงใย  เจ้าไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้หรือแบกความทุกข์ใดแทนพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีความสุขทุกวัน  สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็น  พระเจ้าคือผู้ทรงกำหนดโชคชะตาของแต่ละคน เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับพรหรือความทุกข์มากเท่าไรในชีวิต พวกเขามีครอบครัว ชีวิตสมรส และลูกแบบไหน พวกเขาก้าวผ่านประสบการณ์อะไรในสังคม และพวกเขาได้รับประสบการณ์กับเหตุการณ์ใดในชีวิต ตัวพวกเขาเองก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้าหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ดังกล่าวได้ และพ่อแม่ก็ยิ่งไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นได้  เพราะฉะนั้น หากลูกเผชิญกับความลำบากยากเย็นใด พ่อแม่ก็ควรให้การช่วยเหลือในทางบวกหรือในเชิงลงมือควบคุมสถานการณ์ หากพวกเขามีความสามารถที่จะทำได้  หาไม่แล้ว ทางที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ก็คือผ่อนคลายและมองเรื่องเหล่านี้จากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ปฏิบัติต่อลูกอย่างเสมอภาคในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ความทุกข์ที่เจ้าได้รับประสบการณ์ พวกเขาก็ต้องได้รับประสบการณ์ด้วย เจ้าใช้ชีวิตแบบใด พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตแบบนั้นด้วย เจ้าได้ก้าวผ่านกระบวนการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกที่เยาว์วัย พวกเขาก็จะก้าวผ่านด้วย การเปลี่ยนแปลงพลิกผัน การฉ้อโกงและการหลอกลวงที่เจ้ารับประสบการณ์ในสังคมและท่ามกลางผู้คน ความพัวพันทางอารมณ์ และความขัดแย้งระหว่างตัวบุคคล รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในทำนองเดียวกับที่เจ้าได้รับประสบการณ์มา พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์ด้วย  พวกเขาก็เช่นเดียวกับเจ้าที่ล้วนเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม ล้วนถูกกระแสความชั่วพาให้หลงลืมตน ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เจ้าไม่สามารถหลบหนีจากการนี้ได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถเช่นกัน  เพราะฉะนั้น การต้องการช่วยพวกเขาให้หลบเลี่ยงความทุกข์ทั้งมวลและสุขสำราญกับพรทั้งหมดในโลกนี้เป็นการหลงผิดอย่างโง่เง่าและแนวคิดที่โง่เขลา  ไม่ว่าปีกของนกอินทรีอาจกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดก็ไม่อาจคุ้มครองลูกนกอินทรีเยาว์วัยได้จนตลอดชีวิตของมัน  สุดท้ายแล้วลูกนกอินทรีเยาว์วัยก็จะไปถึงจุดที่มันต้องเติบโตและโบยบินตามลำพัง  ลูกนกอินทรีเยาว์วัยเลือกที่จะบินตามลำพัง ไม่มีใครรู้หรอกว่าผืนฟ้าของมันอาจแผ่กว้างเพียงใด หรือมันจะเลือกบินไปแห่งหนใด  เพราะฉะนั้นท่าทีซึ่งสมเหตุผลที่สุดสำหรับพ่อแม่หลังจากที่ลูกโตแล้วก็คือการปล่อยมือ ปล่อยให้ลูกรับประสบการณ์กับชีวิตด้วยตัวเองลำพัง ปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง รวมทั้งเผชิญหน้า รับมือ และแก้ไขความท้าทายนานาสารพันในชีวิตโดยไม่พึ่งพาผู้ใด  หากพวกเขาแสวงหาการช่วยเหลือจากเจ้า และเจ้ามีความสามารถและภาวะที่ทำเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าเจ้าสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ และให้การสงเคราะห์ที่จำเป็นได้  อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือว่า ไม่ว่าเจ้าจะให้การช่วยเหลืออย่างไร ไม่ว่านั่นเป็นไปทางการเงินหรือเชิงจิตวิทยา  นั่นสามารถเป็นได้เพียงชั่วคราวและไม่อาจเปลี่ยนแปลงประเด็นปัญหาซึ่งเป็นสาระสำคัญอันใดได้ พวกเขาต้องนำร่องเส้นทางของตัวเองในชีวิต และเจ้าไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องแบกรับกิจธุระหรือผลสืบเนื่องใดของพวกเขา  นี่คือท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตน

เมื่อได้เข้าใจท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของตนแล้ว พ่อแม่ควรปล่อยมือจากความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไม่?  พ่อแม่ที่ไม่รู้ความบางคนไม่สามารถทำความเข้าใจชีวิตหรือโชคชะตาได้ ไม่ตระหนักถึงอธิปไตยของพระเจ้า และมีแนวโน้มที่จะทำเรื่องโง่เขลาเมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวกับลูกของตัวเอง  ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ลูกยืนด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว พวกเขาอาจเผชิญสถานการณ์พิเศษ ความยากลำบาก หรืออุบัติภัยร้ายแรงบางอย่าง บ้างก็เผชิญความเจ็บป่วย บ้างก็ไปข้องเกี่ยวกับคดีความ บ้างก็เกิดการหย่าร้าง บ้างก็ถูกหลอกลวงและหลอกตบทรัพย์ ไหนจะที่ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ถูกทำร้าย ถูกทุบตีอย่างหนัก หรือเผชิญกับความตาย  มีบางคนถึงกับหลงไปเสพยาเสพติด เป็นต้น  พ่อแม่ควรทำอย่างไรในสถานการณ์พิเศษและมีนัยสำคัญเหล่านี้?  พ่อแม่ส่วนใหญ่มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยทั่วไปอย่างไร?  พวกเขาทำสิ่งที่พึงทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีอัตลักษณ์เป็นพ่อแม่หรือไม่?  นานๆ ครั้งเหลือเกินที่พ่อแม่จะได้ยินข่าวเช่นนั้นแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนที่พวกเขาจะมีหากสิ่งนั้นเกิดกับคนแปลกหน้า  พ่อแม่ส่วนใหญ่อดหลับอดนอนทั้งคืนจนผมหงอกโพลน พวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนคืนแล้วคืนเล่า ตอนกลางวันก็กินอะไรไม่ลง ครุ่นคิดจนหัวแทบแตก และบางคนถึงกับร่ำไห้อย่างขมขื่นจนดวงตาแดงก่ำและไม่มีน้ำตาจะไหลอีกต่อไป  พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างแรงกล้าเพื่อให้พระเจ้าทรงเห็นแก่การที่ตัวพวกตนเองมีความเชื่อ และทรงคุ้มครองลูกของตน แสดงความโปรดปรานและอวยพรลูกของตน แสดงความกรุณาและไว้ชีวิตพวกเขา  ความอ่อนแอ ความเปราะบาง และความรู้สึกแบบมนุษย์ของพวกเขาที่มีต่อลูกถูกเปิดโปงออกมาจนหมดเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นในฐานะพ่อแม่  มีอะไรอื่นเผยออกมาอีกหรือไม่?  ความเป็นกบฏต่อพระเจ้าของพวกเขา  พวกเขาเว้าวอนพระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์ทรงคุ้มกันลูกของตนให้พ้นจากหายนะ  ต่อให้เกิดความวิบัติขึ้น พวกเขาก็อธิษฐานว่าลูกของตัวเองจะไม่ตาย ว่าลูกสามารถรอดพ้นอันตราย ลูกจะไม่ถูกพวกคนชั่วทำอันตราย และความเจ็บป่วยของลูกจะไม่กลับรุนแรงขึ้น แต่จะดีขึ้น เป็นต้น  จริงๆ แล้วพวกเขากำลังอธิษฐานเพื่ออะไร?  (ข้าแต่พระเจ้า พวกเขากำลังเรียกร้องต่อพระเจ้าด้วยคำอธิษฐานเหล่านี้ที่แฝงการพร่ำบ่นเอาไว้)  ในแง่หนึ่งนั้น พวกเขาไม่พึงพอใจอย่างยิ่งกับเคราะห์หามยามร้ายของลูก พร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ควรอนุญาตให้สิ่งเช่นนั้นได้เกิดขึ้นกับลูกของตน  ความไม่พึงพอใจของพวกเขาเจือปนอยู่ในการพร่ำบ่น และพวกเขาก็ขอให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงกระทำเช่นนี้ ขอให้ทรงช่วยลูกของพวกเขาให้พ้นจากอันตราย ทรงคอยคุ้มกันให้พวกเขาปลอดภัย ทรงรักษาอาการป่วยของพวกเขา ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นคดีความ ทรงปัดป้องเมื่อหายนะอุบัติขึ้น เป็นต้น—กล่าวสั้นๆ ก็คือ ทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น  ในแง่หนึ่งนั้น การอธิษฐานแบบนี้คือการที่พวกเขากำลังพร่ำบ่นกับพระเจ้า ในอีกแง่หนึ่งนั้น พวกเขากำลังเรียกร้องต่อพระองค์  นี่คือการสำแดงความเป็นกบฏอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  โดยนัยแล้ว พวกเขากำลังพูดว่าสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่นั้นไม่ถูกต้องหรือดีงาม ว่าพระองค์ไม่ควรทรงกระทำเช่นนี้  เพราะนี่คือลูกของพวกเขา และพวกเขาเป็นผู้เชื่อ พวกเขาคิดว่าพระเจ้าไม่ควรทรงปล่อยให้สิ่งเช่นนั้นเกิดขึ้นกับลูกของตน  ลูกของพวกเขาแตกต่างจากผู้อื่น พวกเขาควรได้รับพรที่เป็นสิทธิพิเศษจากพระเจ้า  เหตุเพราะพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้า พระองค์พึงทรงอวยพรลูกของพวกเขา และหากพระองค์ไม่ทรงทำ พวกเขาก็ทุกข์ใจ ร่ำไห้ ตีโพยตีพาย และไม่ต้องการติดตามพระเจ้าอีกต่อไป  หากลูกของพวกเขาตาย พวกเขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นกัน  พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกนั้นอยู่ในจิตใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นการประท้วงพระเจ้ารูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือการประท้วงพระเจ้า  นี่เป็นเหมือนพวกสุนัขซึ่งเรียกร้องที่จะได้กินอาหารเมื่อถึงเวลา และวุ่นวายอาละวาดหากล่าช้าไปแม้แต่นิดเดียว  พวกมันคาบชามอาหารไว้ในปากแล้วสะบัดฟาดกับพื้นโครมคราม—นี่ไร้เหตุผลไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บางคราวหากเจ้าให้เนื้อสัตว์แก่พวกมันติดต่อกันสองวัน แต่บางโอกาสก็ไม่มีเนื้อสัตว์ไปสักวัน เช่นนั้นสุนัขซึ่งอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวของสัตว์ก็อาจจะคว่ำอาหารทิ้งลงบนพื้น หรือไม่ก็คาบชามสะบัดฟาดลงกับพื้นเป็นการบอกเจ้าว่าพวกมันต้องการได้เนื้อสัตว์ พวกมันเชื่อว่าเนื้อสัตว์คือสิ่งที่พวกมันควรได้ และว่าการไม่ให้เนื้อสัตว์กับพวกมันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้  ผู้คนก็สามารถไร้เหตุผลแบบนั้นได้เหมือนกัน  เมื่อลูกของพวกเขาเผชิญความเดือดร้อน พวกเขาพร่ำบ่นกับพระเจ้า เรียกร้องต่อพระองค์ และประท้วงพระองค์  นี่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของสัตว์เลยไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกสัตว์ไม่เข้าใจความจริงหรือสิ่งที่เรียกว่าคำสอนและความรู้สึกแบบมนุษย์ของผู้คน  ยามที่พวกมันตีโพยตีพายหรือออกอาการ นั่นก็เป็นอะไรที่พอเข้าใจได้  แต่เมื่อผู้คนประท้วงพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเขากำลังมีเหตุผลอยู่หรือไม่?  ยกโทษให้พวกเขาได้หรือไม่?  หากสัตว์ประพฤติเช่นนี้ ผู้คนก็อาจจะพูดว่า “สหายน้อยตัวนี้เจ้าอารมณ์ไม่เบา  มันรู้วิธีประท้วงเสียด้วย ฉลาดเลยทีเดียวนะนั่น  ฉันว่าพวกเราไม่ควรประเมินมันต่ำแล้วล่ะ”  พวกเขามองเรื่องนี้น่าขบขัน และคิดว่าสัตว์ตัวนี้ไม่ธรรมดา  ดังนั้นเมื่อสัตว์เอะอะอาละวาด ผู้คนจึงมองเป็นการน่าชื่นชมกว่า  หากบุคคลหนึ่งจะประท้วงพระเจ้า พระเจ้าควรทรงมองพวกเขาแบบเดียวกันและตรัสว่า “สหายผู้นี้เรียกร้องมากเหลือเกิน พวกเขาไม่ธรรมดาเลย!”  พระเจ้าจะทอดพระเนตรเจ้าอย่างชื่นชมเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วพระเจ้าทรงนิยามพฤติกรรมนี้ว่าอย่างไร?  นี่คือการเป็นกบฏใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าไม่รู้หรือไรว่าพฤติกรรมนี้ผิด?  ยุคประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อที่ว่า “ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของบุคคลเดียวนำพาพรมาสู่ทั้งครอบครัว” ผ่านพ้นไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?  (ใช่ ผ่านไปแล้ว)  แล้วเหตุใดผู้คนจึงยังอดอาหารและอธิษฐานแบบนี้ ออดอ้อนอย่างหน้าไม่อายให้พระเจ้าทรงคุ้มครองและอวยพรลูกของพวกเขา?  เหตุใดพวกเขายังคงกล้าดีที่จะประท้วงและพยายามเอาชนะพระเจ้าโดยพูดว่า “ถ้าพระองค์ไม่ทรงทำแบบนี้ ข้าพระองค์จะอธิษฐานไปเรื่อยๆ ข้าพระองค์จะอดอาหาร!”  การอดอาหารหมายถึงอะไร?  นั่นหมายถึงการทำการประท้วงด้วยความหิว ซึ่งในการตีความอีกแบบก็คือการทำตัวหน้าไม่อายและการโมโหโวยวาย  เมื่อผู้คนทำตัวหน้าไม่อายกับผู้อื่น พวกเขาอาจจะกระทืบเท้าพลางพูดว่า “โอ ลูกของฉันไม่อยู่แล้ว ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ฉันไปต่อไม่ได้!”  พวกเขาไม่ทำแบบนี้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพูดจาอย่างค่อนข้างสง่างามว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอวอนให้พระองค์ทรงคุ้มครองลูกของข้าพระองค์และรักษาความเจ็บป่วยให้พวกเขาด้วยเถิด  พระองค์คือแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยผู้คนให้รอด—พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง  ข้าพระองค์ขออ้อนวอนให้พระองค์ทรงเฝ้าดูและคุ้มครองพวกเขาที  พระวิญญาณของพระองค์ทรงอยู่ทุกหนแห่ง พระองค์ทรงชอบธรรม พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงแสดงความกรุณาต่อผู้คน  พระองค์ทรงดูแลและทะนุถนอมพวกเขา”  นี่หมายถึงอะไร?  สิ่งที่พวกเขากำลังพูดนั้นไม่มีอะไรผิดเลย นั่นก็แค่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดอะไรแบบนั้น  การแสดงนัยมีอยู่ว่า หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยลูกของเจ้าให้รอดและคุ้มครองพวกเขา หากพระองค์ไม่ทรงลุล่วงความปรารถนาของเจ้า เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมรัก พระองค์ทรงปราศจากความรัก พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมกรุณา และพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า  นี่เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  การทำตัวแบบนี้หน้าไม่อายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่ทำตัวหน้าไม่อายนั้นให้เกียรติพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่หรือไม่?  พวกเขามีหัวใจที่ยำกรงพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนที่ทำตัวหน้าไม่อายก็เหมือนกับพวกวายร้ายนั่นเอง—พวกเขาขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขากล้าดีที่จะพยายามเอาชนะและประท้วงพระเจ้า และถึงกับปฏิบัติตนในลักษณะที่ไร้เหตุผล  นี่ก็เหมือนเป็นการรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดลูกของพวกเจ้าจึงพิเศษเหลือเกิน?  ตอนที่พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงหรือปกครองชะตากรรมของคนอื่น เจ้าคิดว่านั่นสบายอยู่แล้วตราบใดที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า  แต่เจ้าคิดว่าพระองค์ไม่ควรทรงควบคุมชะตากรรมของลูกของเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?  ในพระเนตรของพระเจ้า มนุษยชาติทั้งมวลอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถรอดพ้นอธิปไตยและการจัดการเตรียมการที่พระหัตถ์ของพระเจ้าวางไว้  เหตุใดลูกของเจ้าจึงควรเป็นข้อยกเว้น?  พระเจ้าทรงลิขิตและวางแผนอธิปไตยของพระองค์  ใช้ได้หรือที่เจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น?  (ไม่ นั่นใช้ไม่ได้)  นั่นใช้ไม่ได้  เพราะฉะนั้น ผู้คนต้องไม่ทำสิ่งที่โง่เง่าและไร้เหตุผล  พระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตามบนพื้นฐานของเหตุและผลจากชาติที่แล้วมา—นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?  หากเจ้าขัดขืนอธิปไตยของพระเจ้า เจ้าก็กำลังรนหาที่ตาย  หากเจ้าไม่ต้องการให้ลูกของเจ้ารับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ นั่นก็มีต้นตอมาจากความรักใคร่ ไม่ใช่จากความยุติธรรม ความกรุณา หรือความเมตตา—นั่นก็เนื่องจากผลของความรักใคร่เอ็นดูของเจ้าเท่านั้นเอง  ความเห็นแก่ตัวประกาศตัวอยู่ในความรักใคร่เอ็นดู  ไม่คุ้มเลยที่เจ้าแสดงความรักใคร่เอ็นดูนั้นออกมา เจ้าหาเหตุผลอันชอบธรรมให้กับความรักใคร่เอ็นดูของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเจ้าก็ยังต้องการใช้ความรักใคร่เอ็นดูมาขู่กรรโชกพระเจ้า  บางคนถึงกับพูดว่า “ลูกของฉันป่วย และถ้าเขาตาย ฉันก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”  เจ้าใจถึงพอที่จะตายจริงหรือ?  ถ้าอย่างนั้นก็ลองตายดู!  ความเชื่อของผู้คนเหล่านี้เป็นของแท้หรือ?  เจ้าจะเลิกเชื่อในพระเจ้าจริงหรือถ้าลูกของเจ้าตาย?  สิ่งใดหรือที่เป็นไปได้ว่าความตายของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้?  หากเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ทั้งพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าและพระสถานะของพระองค์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  พระเจ้ายังทรงเป็นพระเจ้า  พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าเพราะเจ้าเชื่อในพระองค์ และพระองค์ก็ไม่ทรงเลิกเป็นพระเจ้าเพราะเจ้าการไม่เชื่อของเจ้า  ต่อให้มนุษยชาติทั้งปวงไม่เคยเชื่อในพระเจ้า พระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  พระสถานะของพระองค์ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  พระองค์จะทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือมนุษยชาติทั้งปวงและเหนือสากลโลกเสมอ  นั่นไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่เจ้าเชื่อหรือไม่เชื่อ  หากเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้รับการแสดงความโปรดปราน  หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็จะไม่มีโอกาสสำหรับความรอด และเจ้าก็จะไม่บรรลุความรอด เจ้ารักและปกป้องลูกของเจ้า เจ้ามีความรักใคร่เอ็นดูต่อลูกของเจ้า เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากพวกเขา และดังนั้นเจ้าจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใด  นี่สมเหตุผลหรือไม่?  นี่ตรงกับความจริง กับหลักศีลธรรม หรือกับความเป็นมนุษย์หรือไม่?  นี่ไม่ตรงกับสิ่งใดเลยแม้แต่กับหลักศีลธรรม  นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  เจ้าไม่ได้กำลังทะนุถนอมลูกของเจ้า เจ้ากำลังเป็นโล่กำบังให้กับพวกเขา—เจ้าถูกความรักใคร่เอ็นดูของตัวเองครอบงำ  เจ้าถึงกับพูดว่า หากลูกตาย เจ้าก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป  ในเมื่อเจ้าขาดความรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเองยิ่งนัก และไม่ทะนุถนอมชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้ หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อลูกของตัวเอง เช่นนั้นก็จงไปเสียเลยและตายไปพร้อมกับพวกเขา  พอพวกเขาเริ่มทุกข์ทนกับความเจ็บป่วยใดก็ตาม เจ้าก็ควรรีบติดเชื้อเป็นโรคเดียวกันและตายไปด้วยกัน หรือแค่หาเชือกมาแขวนคอตัวเองเสีย นั่นจะไม่ยากเลยไม่ใช่หรือ?  หลังจากที่เจ้าตาย เจ้ากับลูกของเจ้าจะเป็นแบบเดิมหรือไม่?  เจ้าจะยังมีความสัมพันธ์ทางกายแบบเดิมหรือไม่?  เจ้าจะยังมีความรักใครเอ็นดูให้แก่กันหรือไม่?  เมื่อเจ้าคืนสู่อีกโลกหนึ่ง เจ้าจะเปลี่ยนไป  นั่นจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนที่ผู้คนมองดูสิ่งทั้งหลายด้วยดวงตาของตนและตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นดีหรือไม่ดี หรือว่าธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร พวกเขาพึ่งพาสิ่งใด?  พวกเขาพึ่งพาความคิดของตัวเอง  แค่โดยการมองดูสิ่งทั้งหลายด้วยดวงตาของตัวเองนั้น พวกเขาไม่อาจมองเลยไปกว่าโลกวัตถุได้ พวกเขาไม่อาจมองเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้  ผู้คนจะคิดอะไรอยู่ในใจ?  “ในโลกนี้ ผู้ที่ให้กำเนิดฉันและเลี้ยงดูฉันคือคนที่รักฉันที่สุดและใกล้ชิดกับฉันที่สุด  ฉันก็รักผู้ที่ให้กำเนิดฉันและเลี้ยงดูฉันเหมือนกัน  ไม่ว่าเมื่อไร ลูกของฉันก็ใกล้ชิดฉันที่สุดเสมอ และฉันก็ทะนุถนอมลูกของฉันที่สุดเสมอ”  นี่คือขอบเขตของภาพรวมและความกว้างไกลทางความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา “กว้างไกล” เท่านี้เอง  การพูดแบบนี้เป็นสิ่งที่โง่เขลาหรือไม่?  (โง่เขลา)  นี่คือความเป็นเด็กไม่ใช่หรือ?  (ใช่ความเป็นเด็ก)  ช่างเป็นเด็กเหลือเกิน!  ลูกของเจ้าเกี่ยวพันกับเจ้าโดยสายเลือดในชาตินี้เท่านั้น แล้วชาติก่อนของพวกเขาเล่า พวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้า?  ตายแล้วพวกเขาจะไปไหนหรือ?  ครั้นพวกเขาตาย ร่างกายของพวกเขาก็สูดหายใจเฮือกสุดท้าย ดวงจิตของพวกเขาจากไป และพวกเขาก็อำลาจากเจ้าโดยสมบูรณ์  พวกเขาจะจำเจ้าไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาจะไม่อยู่ต่อแม้สักวินาทีด้วยซ้ำ พวกเขาจะคืนสู่อีกโลกไปเลยก็เท่านั้นเอง  พอพวกเขากลับไปสู่อีกโลกนั่น เจ้าก็ร่ำไห้ เจ้าคิดถึงพวกเขา เจ้ารู้สึกตรอมใจและทรมาน พูดแต่ว่า “โธ่เอ๋ย ลูกของฉันไม่อยู่แล้ว และฉันก็จะไม่มีวันได้เจอพวกเขาอีกแล้ว!”  คนที่ตายไปแล้วมีความตระหนักรู้อะไรไหม?  พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงเจ้าเลย พวกเขาไม่คิดถึงเจ้าแม้แต่น้อย  ครั้นพวกเขาผละจากร่างไปแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นบุคคลที่สามทันที และพวกเขาก็ไม่มีสัมพันธภาพกับเจ้าอีกต่อไป  พวกเขามองเจ้าอย่างไรหรือ?  พวกเขาพูดว่า “แม่เฒ่าคนนั้น พ่อเฒ่าคนนั้น—พวกเขาร้องไห้หาใคร?  อ๋อ พวกเขากำลังร้องไห้ให้กับร่างหนึ่ง  ฉันรู้สึกเหมือนฉันเพิ่งแยกจากร่างนั้นมา ตอนนี้ฉันไม่หนักอีกแล้ว และฉันไม่เจ็บปวดจากความเจ็บป่วยอีกต่อไปแล้ว—ฉันเป็นอิสระ”  พวกเขารู้สึกแบบนั้นเอง  หลังจากที่พวกเขาตายและละร่างไป พวกเขาดำรงอยู่ต่อไปในอีกโลก ปรากฏในรูปลักษณ์ที่ต่างออกไปและไม่มีสัมพันธ์ภาพใดกับเจ้าอีกแล้ว  เจ้าร้องไห้และถวิลหาพวกเขาอยู่ทางนี้ ทนทุกข์เพื่อเห็นแก่พวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเขาไม่รู้อะไรเลย  หลังจากหลายปีผ่านไป เนื่องด้วยโชคชะตาหรือความบังเอิญ พวกเขาอาจกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานของเจ้าหรือเพื่อนร่วมประเทศของเจ้า หรือพวกเขาอาจดำรงชีวิตอยู่ห่างไกลจากเจ้า  แม้เจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกเดียวกัน แต่พวกเจ้าก็จะเป็นคนที่แตกต่างกันสองคนซึ่งไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างกัน  ต่อให้บางคนอาจระลึกได้ว่า พวกเขาเป็นคนนี้คนนั้นในชาติก่อนเนื่องจากสภาพการณ์พิเศษบางอย่าง หรือเพราะสิ่งที่พูดออกมามีอะไรบางอย่างที่พิเศษ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกอะไรตอนเจอหน้าเจ้า และเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไรตอนเจอพวกเขา  ต่อให้พวกเขาเป็นลูกของเจ้าเมื่อชาติก่อน ตอนนี้เจ้าก็ไม่รู้สึกอะไรกับพวกเขา—เจ้านึกถึงแต่ลูกผู้วายชนม์เท่านั้น  พวกเขาก็ไม่รู้สึกอะไรกับเจ้าเช่นกัน พวกเขามีพ่อแม่ของตัวเอง ครอบครัวของตัวเอง และมีนามสกุลที่ต่างไป—พวกเขาไม่มีสัมพันธภาพใดกับเจ้า  แต่เจ้าก็ยังเฝ้าคิดถึงพวกเขาอยู่ตรงนั้น—เจ้ากำลังคิดถึงอะไรหรือ?  เจ้าก็แค่กำลังคิดถึงร่างกายกับชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกี่ยวพันกับเจ้าทางสายเลือด นั่นเป็นแค่ภาพ เป็นเงาที่อ้อยอิ่งอยู่ในความคิดหรือจิตใจของเจ้า—ไม่มีคุณค่าที่เป็นจริงเลย  พวกเขาได้กลับมาเกิดใหม่ แปลงสภาพเป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด—ไม่มีความสัมพันธ์กับเจ้าเลย  เพราะฉะนั้นเมื่อพ่อแม่บางคนพูดว่า “ถ้าลูกฉันตาย ฉันก็จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปเหมือนกัน!”—นั่นก็แค่ความไม่รู้เรื่องรู้ราวธรรมดาเท่านั้นเอง!  พวกเขาถึงปลายทางของอายุขัยแล้ว แต่เหตุใดเล่าเจ้าจึงควรจบชีวิต?  เหตุใดเจ้าจึงพูดจาอย่างขาดความรับผิดชอบยิ่งนัก?  อายุขัยของพวกเขามาถึงปลายทางแล้ว พระเจ้าทรงขีดเส้นตายให้พวกเขาแล้ว และพวกเขาก็มีกิจอื่นอีก—นี่เป็นธุระกงการอะไรของเจ้า?  หากเจ้ามีกิจอื่นอีก พระเจ้าก็จะทรงขีดเส้นตายให้เจ้าเช่นกัน แต่เจ้ายังไม่มี ดังนั้นเจ้าจึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  หากพระเจ้าต้องประสงค์ให้เจ้ามีชีวิต เจ้าย่อมตายไม่ได้  ไม่ว่าจะเกี่ยวกับพ่อแม่ ลูก หรือญาติพี่น้องอื่นใดของคนเรา หรือผู้คนที่เกี่ยวพันทางสายเลือดในชีวิตของพวกเขา เมื่อเป็นเรื่องของความรักใคร่เอ็นดู ผู้คนก็ควรมีทัศนะและความเข้าใจต่อไปนี้ที่ว่า ในแง่ของความรักใคร่เอ็นดูที่มีระหว่างผู้คน หากนั่นเกี่ยวพันกับสายเลือด เช่นนั้นการลุล่วงความรับผิดชอบของคนเราก็เพียงพอแล้ว  นอกจากการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาแล้ว ผู้คนไม่มีทั้งภาระผูกพันและความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้  เพราะฉะนั้นย่อมเป็นการขาดความรับผิดชอบที่พ่อแม่จะพูดว่า “ถ้าลูกของพวกเราไม่อยู่แล้ว ถ้าพวกเราที่เป็นพ่อแม่ต้องฝังศพลูกตัวเอง แบบนั้นพวกเราก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”  ถ้าลูกๆ ถูกพ่อแม่ฝังศพจริงๆ นั่นก็พูดได้เพียงว่าเวลาของพวกเขาในโลกนี้ยาวนานเพียงเท่านั้นและพวกเขาก็ต้องไป  แต่พ่อแม่ยังอยู่ที่นี่ ดังนั้นพ่อแม่ก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี  แน่นอนว่าโดยความเป็นมนุษย์ของพวกเขาแล้ว ย่อมเป็นปกติที่ผู้คนจะนึกถึงลูกของตน แต่พวกเขาก็ไม่ควรผลาญเวลาที่เหลืออยู่ของตัวเองไปกับการคิดถึงลูกที่ผู้วายชนม์ของตน  นี่เป็นการโง่เขลา  เพราะฉะนั้นขณะจัดการกับเรื่องนี้ ในด้านหนึ่งนั้น ผู้คนก็ควรรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง และในอีกด้านหนึ่งนั้น พวกเขาพึงทำความเข้าใจอย่างเต็มที่กับสัมพันธภาพทางครอบครัว  สัมพันธภาพที่มีอยู่อย่างแท้จริงระหว่างตัวบุคคลนั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของสายใยแห่งเลือดและเนื้อ แต่เป็นสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตหนึ่งกับอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  นี่เป็นสัมพันธภาพประเภทที่ไม่มีสายใยของเลือดและเนื้อ นี่เป็นเพียงสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตที่เป็นเอกเทศสองชีวิตเท่านั้น  หากเจ้านึกถึงเรื่องนี้จากมุมนี้ เช่นนั้นในฐานะที่เป็นพ่อแม่ เมื่อลูกของตนโชคร้ายมากจนถึงขั้นล้มป่วย หรือชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย เจ้าพึงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้อง  เจ้าไม่ควรทิ้งเวลาที่เจ้าเหลืออยู่ เส้นทางที่เจ้าพึงเดิน หรือความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงเพราะความโชคร้ายหรือการล่วงลับของลูก—เจ้าควรเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  หากเจ้ามีความคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง รวมทั้งสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถเอาชนะความท้อแท้สิ้นหวัง ความเศร้าโศก และความถวิลหาได้อย่างรวดเร็ว  แต่จะเป็นอย่างไรเล่าหากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง?  เช่นนั้นเรื่องนี้ก็อาจตามหลอกหลอนเจ้าไปจนตลอดชีวิตที่เหลือจนถึงวันตายของเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าสามารถมองสภาพการณ์นี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฤดูกาลแห่งชีวิตนี้ก็จะมีขีดจำกัด  ฤดูกาลนี้จะไม่ดำเนินไปตลอดกาลและจะไม่อยู่เคียงคู่ไปกับบั้นปลายชีวิตของเจ้า  หากเจ้าสามารถมองสภาพการณ์นี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถปล่อยมือจากบางส่วนของชีวิต ซึ่งเป็นการดีสำหรับตัวเจ้า  แต่หากเจ้าไม่อาจมองสายใยทางครอบครัวที่เจ้ากับลูกมีต่อกันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถปล่อยมือได้ และนี่จะเป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับเจ้า  ไม่มีพ่อแม่คนใดที่ไม่เกิดอารมณ์เมื่อลูกของตนตายจากไป  เมื่อพ่อแม่คนใดได้รับประสบการณ์กับการต้องฝังศพลูกตัวเอง หรือเมื่อพวกเขารู้เห็นเป็นพยานสถานการณ์โชคร้ายของลูก พวกเขาก็จะใช้ชีวิตที่เหลือของตนครุ่นคิดเป็นห่วงลูก และติดอยู่ในความเจ็บปวด ไม่มีใครหนีพ้นเรื่องนี้ได้ นี่คือแผลเป็นและร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนได้ในดวงจิต  ไม่ง่ายนักที่ผู้คนจะปล่อยมือจากความผูกพันทางอารมณ์ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นทุกข์กับเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าสามารถรู้เท่าทันความผูกพันทางอารมณ์นี้ที่เจ้ามีต่อลูก นั่นก็จะคลายความตึงเครียดลงอย่างมาก  เจ้าจะทุกข์ทนน้อยลงมากมายอย่างแน่นอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เป็นทุกข์เลย แต่ความทุกข์ของเจ้าจะลดน้อยลงอย่างมหาศาล  หากเจ้าไม่สามารถรู้เท่าทันเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็จะติดตัวเจ้าไปอย่างโหดร้าย หากเจ้าสามารถรู้เท่าทัน เรื่องนี้ก็จะได้เป็นประสบการณ์พิเศษอย่างหนึ่งที่สร้างความบอบช้ำรุนแรงทางอารมณ์ซึ่งให้ความซาบซึ้งและความเข้าใจอันลึกซึ้งขึ้นต่อชีวิต สายใยทางครอบครัว และความเป็นมนุษย์ รวมทั้งปรับปรุงประสบการณ์ชีวิตของเจ้า  แน่นอนว่าไม่มีใครเลยที่ต้องการมีหรือเผชิญกับการทำให้บริบูรณ์แบบเฉพาะเจาะจงประเภทนี้  ไม่มีใครต้องการเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้น เจ้าก็ต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าใจร้ายกับตัวเอง เจ้าควรปล่อยมือจากความคิดและทัศนคติดั้งเดิมอันผิดพลาดและไม่น่ายินดีที่ยึดถืออยู่ก่อนหน้านี้เสีย เจ้าควรเผชิญสายใยทางอารมณ์และสายเลือดในทางที่ถูก และมองการล่วงลับของลูกอย่างถูกต้อง  ครั้นเจ้าทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริงแล้ว เจ้าก็จะสามารถปล่อยมือจากเรื่องนี้ได้อย่างสิ้นเชิง และเรื่องนี้ก็จะไม่ทรมานเจ้าอีกต่อไป  เจ้าเข้าใจเราใช่หรือไม่?  (ใช่ ข้าพระองค์เข้าใจ)

คนบางคนพูดว่า “ลูกคือสินทรัพย์ที่พระเจ้าประทานให้กับพ่อแม่  ลูกจึงมีค่าเท่ากับสมบัติส่วนตัวของพ่อแม่”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  พ่อแม่บางคนได้ยินแบบนี้ก็พูดทันทีว่า “นี่เป็นคำแถลงที่ถูกต้อง  ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของพวกเรานอกจากลูกซึ่งเป็นเลือดเนื้อของพวกเราเองเท่านั้น  พวกเขาเป็นสุดที่รักของพวกเรา”  คำแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  คำแถลงนี้มีอะไรไม่ถูกต้อง?  กรุณาอธิบายการให้เหตุผลของพวกเจ้ามาที  การปฏิบัติต่อลูกดุจเป็นสมบัติส่วนตัวของคนเรานั้นเหมาะควรหรือไม่?  (ไม่ นั่นไม่เหมาะควร)  เหตุใดจึงไม่เหมาะควร?  (เพราะสมบัติส่วนตัวย่อมเป็นของตัวคนผู้นั้นเองและไม่เป็นของผู้อื่น  ในความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าอย่างไร ระหว่างลูกกับพ่อแม่ก็เป็นแค่สัมพันธภาพทางเนื้อหนังเท่านั้น  ชีวิตมนุษย์มาจากพระเจ้า เป็นลมปราณที่พระเจ้าประทานมา  หากบางคนเชื่อว่าตัวเองได้ให้ชีวิตแก่ลูก มุมมองและการแสดงทัศนะของพวกเขาย่อมไม่ถูกต้อง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เชื่อในอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย)  นี่เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น นอกจากสัมพันธภาพทางกายแล้ว ชีวิตของลูกกับพ่อแม่ต่างแยกเป็นอิสระ  พวกเขาไม่ได้เป็นของกันและกัน และพวกเขาก็ไม่มีสัมพันธภาพในเชิงลำดับชั้น  ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเขาไม่มีสัมพันธภาพแห่งการเป็นเจ้าของหรือการถูกครอบครองอย่างแน่นอน  ชีวิตของพวกเขามาจากพระเจ้า และพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของพวกเขา  นั่นเรียบง่ายเพียงว่าลูกเกิดจากพ่อแม่ของตน พ่อแม่อายุมากกว่าลูก และลูกอายุน้อยกว่าพ่อแม่ กระนั้นบนพื้นฐานของสัมพันธภาพนี้ ปรากฏการณ์ที่ธรรมดาผิวเผินนี้ ผู้คนก็ยังเชื่อว่าลูกเป็นอุปกรณ์เสริมและสมบัติส่วนตัวของพ่อแม่  นี่ไม่ใช่การมองจากรากเหง้าของเรื่องนี้ แต่เป็นแค่การพิจารณาเรื่องนี้บนพื้นฐานอันผิวเผิน บนพื้นฐานของเนื้อหนังและความรักใคร่ของคนเรา  เพราะฉะนั้น การพิจารณาในลักษณะนี้จึงผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งมุมมองนี้ก็ผิด  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ในเมื่อลูกไม่ใช่อุปกรณ์เสริมหรือสมบัติส่วนตัวของพ่อแม่ แต่เป็นคนที่ไม่ขึ้นกับใคร จึงไม่สำคัญว่าพ่อแม่มีความคาดหวังต่อลูกในลักษณะใดหลังจากที่ลูกเติบโตแล้ว ความคาดหวังเหล่านี้ก็ต้องคงไว้ในฐานะแนวคิดในใจของพ่อแม่—ไม่สามารถแปรมาเป็นความเป็นจริงได้  โดยธรรมชาตินั้น ต่อให้พ่อแม่มีความคาดหวังต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตน พวกเขาก็ไม่ควรพยายามทำให้ความคาดหวังเหล่านั้นเป็นจริง และไม่ควรใช้ลูกทำให้สิ่งที่พวกเขาหมายมั่นเอาไว้เองเป็นจริง หรือทำการพลีอุทิศและจ่ายราคาใดเพื่อสิ่งเหล่านั้น  ดังนั้นพ่อแม่ควรทำอย่างไร?  พวกเขาควรเลือกที่จะปล่อยมือหลังจากที่ลูกในวัยผู้ใหญ่ของตนได้มามีชีวิตที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองและได้รับความสามารถในการอยู่รอดแล้ว  การปล่อยมือเป็นหนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพและความรับผิดชอบต่อพวกเขา  การครอบงำ การควบคุม หรือการต้องการก้าวก่ายและมีส่วนร่วมในชีวิตและการอยู่รอดของลูกเสมอนั้นเป็นพฤติกรรมอันไม่รู้ความและไร้สำนึกในส่วนของพ่อแม่ และเป็นการทำสิ่งทั้งหลายแบบเด็กๆ  ไม่ว่าพ่อแม่อาจมีความคาดหวังต่อลูกสูงเพียงใด ความคาดหวังเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้และจะไม่มีทางกลายเป็นความเป็นจริงได้  เพราะฉะนั้นหากพ่อแม่มีปัญญา พวกเขาก็ควรปล่อยมือจากความคาดหวังที่สมจริงหรือไม่สมจริงเหล่านี้ทั้งหมด นำมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้องมาใช้รับมือสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับลูกและเข้าหาทุกการกระทำของลูกซึ่งเป็นผู้ใหญ่ หรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูก  นั่นคือหลักธรรม  นั่นเหมาะควรหรือไม่?  (นั่นเหมาะควร)  หากเจ้าสำเร็จลุล่วงการนี้ได้  นี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายอมรับความจริงเหล่านี้  หากเจ้าทำไม่ได้และยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายไปตามหนทางของเจ้าเอง คิดว่าความรักใคร่ของครอบครัวเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด รวมทั้งเป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดในโลก ราวกับเจ้าสามารถกำกับดูแลชะตากรรมของลูกตัวเองและกุมโชคชะตาของลูกไว้ในมือของเจ้าได้ เช่นนั้นก็จงไปลองเลย—จงดูเถิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร  ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า นั่นสามารถจบลงตรงความพ่ายแพ้อันทุกข์ระทมโดยไม่มีจุดจบที่ดีเลยเท่านั้นเอง

นอกเหนือจากความคาดหวังเหล่านี้ที่มีต่อลูกที่เป็นผู้ใหญ่ของตัวเองแล้ว พ่อแม่ก็ยังมีข้อพึงประสงค์ประการหนึ่งต่อลูกของตนซึ่งเหมือนกันหมดในหมู่พ่อแม่ในโลกนี้อีกด้วย ซึ่งก็คือว่า พวกเขาหวังให้ลูกของตัวเองสามารถเป็นเด็กกตัญญูและปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างดี  แน่นอนว่า บางภาคพื้นและบางกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะนั้นมีข้อพึงประสงค์ที่เจาะจงกว่าต่อลูกของพวกตน  ตัวอย่างเช่น นอกจากการมีความกตัญญูต่อพ่อแม่แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องดูแลพ่อแม่จนวันตายและจัดการเตรียมพิธีศพให้พ่อแม่ ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่หลังจากที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกทั้งรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ของพ่อแม่  นี่คือแง่มุมสุดท้ายที่พวกเราจะเสวนากันตอนนี้เกี่ยวกับความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อเชื้อสายของตน—การเรียกร้องให้ลูกของตนกตัญญูและดูแลพวกเขาในวัยชรา  นี่เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพ่อแม่ทุกคนในการมีบุตร รวมทั้งเป็นข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่มีต่อลูกของตัวเองไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ถามลูกตั้งแต่พวกเขายังเยาว์วัยและไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ว่า “พอลูกโตขึ้นและหาเงินได้ ลูกจะใช้เงินเพื่อใคร?  ลูกจะใช้เงินเพื่อแม่กับพ่อไหม?”  “ใช้”  “ลูกจะใช้เงินเพื่อปู่กับย่าไหม?”  “ใช้”  “ลูกจะใช้เงินเพื่อตากับยายไหม?”  “ใช้”  ลูกคนหนึ่งสามารถหาเงินได้รวมแล้วมากเท่าใดหรือ?  พวกเขาต้องเกื้อหนุนพ่อแม่ของตัวเอง ปู่ย่าตายายทั้งสองฝั่ง และแม้แต่ญาติห่างๆ ของพวกเขา  จงบอกเราทีว่า นี่เป็นภาระหนักสำหรับลูกคนหนึ่งไม่ใช่หรือ พวกเขาไม่โชคร้ายหรอกหรือ?  (โชคร้าย)  ถึงแม้พวกเขาพูดออกมาอย่างใสซื่อไร้เดียงสาแบบที่เด็กๆ ทำกัน และไม่รู้ว่าที่จริงแล้วตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ แต่นี่ก็สะท้อนความเป็นจริงบางอย่างที่ว่า พ่อแม่ฟูมฟักเลี้ยงดูลูกของตนอย่างมีจุดประสงค์ และจุดประสงค์นั้นทั้งไม่บริสุทธิ์และซับซ้อน  ตั้งแต่ลูกของพวกเขายังเยาว์วัยมาก พ่อแม่ก็เริ่มตั้งข้อเรียกร้องแล้ว และคอยทดสอบลูกอยู่เสมอโดยการถามว่า “พอลูกโตขึ้น ลูกจะเกื้อหนุนแม่กับพ่อไหม?”  “เกื้อหนุน”  “ลูกจะเกื้อหนุนปู่กับย่าไหม?”  “เกื้อหนุน”  “ลูกจะเกื้อหนุนตากับยายไหม?”  “เกื้อหนุน”  “ลูกชอบใครที่สุด?”  “ลูกชอบแม่ที่สุด”  พ่อจึงอิจฉาขึ้นมา  “แล้วพ่อล่ะ?”  “ลูกชอบพ่อที่สุดเลย”  แม่จึงอิจฉาขึ้นมา “จริงๆ แล้วลูกชอบใครที่สุดกันแน่?”  “แม่กับพ่อ”  ถึงตอนนั้นทั้งพ่อและแม่จึงพึงพอใจ  พวกเขาเพียรพยายามที่จะให้ลูกเริ่มมีความกตัญญูตั้งแต่ลูกเพิ่งเรียนพูดไปได้นิดเดียวเท่านั้นเอง และพวกเขาก็หวังว่าเมื่อลูกโตขึ้นก็จะปฏิบัติดีต่อพวกเขา  แม้ว่าลูกที่เยาว์วัยเหล่านี้ไม่อาจแสดงตัวออกมาได้ชัดเจนและไม่เข้าใจมากนัก พ่อแม่ก็ยังคงต้องการที่จะได้ยินคำสัญญาในคำตอบของลูก  ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ต้องการมองเห็นอนาคตของตัวเองในตัวลูก และหวังว่าลูกที่ตัวเองกำลังฟูมฟักเลี้ยงดูจะไม่ใช่เด็กที่ไม่สำนึกคุณคน แต่เป็นเด็กกตัญญูที่จะมีความรับผิดชอบต่อพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นคนที่พวกเขาจะสามารถพึ่งพาได้และเป็นคนที่จะเกื้อหนุนพวกเขาในวัยชรา  ถึงแม้พวกเขาคอยถามคำถามเหล่านี้มานับตั้งแต่ลูกของตนยังเยาว์วัย แต่นั่นก็ไม่ใช่คำถามที่เรียบง่าย  คำถามเหล่านี้เป็นข้อพึงประสงค์และความหวังที่ผุดขึ้นมาจากหัวใจส่วนลึกของพ่อแม่เหล่านี้ เป็นข้อพึงประสงค์ซึ่งจริงจังอย่างมากและความหวังที่จริงจังอย่างมาก  ดังนั้นทันทีที่ลูกของตนเริ่มได้รับความเข้าใจในสิ่งต่างๆ พ่อแม่ก็หวังให้พวกเขาสามารถแสดงความห่วงใยยามที่พ่อแม่มีอาการป่วย มาอยู่เป็นเพื่อนและดูแลพวกเขาที่ข้างเตียง ต่อให้เป็นแค่การรินน้ำให้พวกเขาดื่มก็ตาม  ถึงแม้ลูกทำอะไรได้ไม่มาก ไม่สามารถให้การช่วยเหลือทางการเงิน หรือการช่วยเหลือที่สัมพันธ์กับความจริงมากกว่านี้ อย่างน้อยลูกก็ควรแสดงให้เห็นความกตัญญูรู้คุณมากเท่านี้  ขณะที่ลูกยังเยาว์วัย พ่อแม่ต้องการสามารถมองเห็นความกตัญญูรู้คุณแบบนี้ และคอยตรวจสอบยืนยันเป็นระยะๆ  ตัวอย่างเช่น เมื่อพ่อแม่รู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเหน็ดเหนื่อยจากงาน พวกเขาก็มองดูว่าลูกรู้จักนำน้ำมาให้เขาดื่ม หยิบรองเท้ามาให้พวกเขา ซักเสื้อผ้าให้พวกเขา หรือทำอาหารมื้อง่ายๆ ให้พวกเขาหรือไม่ ต่อให้เป็นแค่ข้าวไข่เจียวก็ตาม หรือไม่ก็ดูว่าพวกเขาจะถามพ่อแม่หรือไม่ว่า “พ่อแม่เหนื่อยไหม?  ถ้าแม่เหนื่อย ให้ลูกทำอะไรให้แม่กินนะ”  พ่อแม่บางคนออกไปข้างนอกในช่วงวันหยุดและจงใจไม่กลับมาในเวลาอาหารเพื่อเตรียมอาหาร แค่เพื่อดูว่าลูกเติบโตและมีความคิดขึ้นมาแล้วหรือยัง ว่าลูกรู้จักทำอาหารไว้ให้พวกเขาหรือไม่ ว่าลูกรู้จักกตัญญูและคำนึงถึงพ่อแม่หรือไม่ ว่าลูกสามารถร่วมลำบากกับพวกเขาได้หรือไม่ หรือว่าลูกเป็นคนอกตัญญูไม่มีหัวใจหรือไม่ ว่าพวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูลูกมาโดยไม่ได้อะไรตอบแทนเลยหรือไม่  ในขณะที่ลูกของตนกำลังเติบโต และแม้แต่ในระหว่างวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ทดสอบพวกเขาอยู่เป็นนิจและคอยสอดส่องในเรื่องนี้ และในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เรียกร้องต่อลูกอยู่เป็นนิจ “ลูกไม่ควรอกตัญญูไร้หัวใจแบบนั้น  ทำไมพวกเราพ่อกับแม่ถึงได้ฟูมฟักเลี้ยงดูลูกมา?  นั่นก็เพื่อที่ลูกจะดูแลพ่อกับแม่ตอนที่พวกเราแก่ตัวลง  พ่อแม่เลี้ยงลูกมาเสียข้าวสุกหรือนี่?  ลูกไม่ควรลองดีกับพ่อแม่  พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูกมาง่ายๆ เลย  นั่นเป็นงานที่ยากลำบาก  ลูกควรรู้และคำนึงถึงเรื่องพวกนี้”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่เรียกว่าระยะขบถซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ เด็กบางคนไม่มีความคิดหรือมีวิจารณญาณมากนัก และพวกเขาก็มักลองดีกับพ่อแม่และก่อความเดือดร้อนบ่อยครั้ง  พ่อแม่ร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่ และเหน็บแนมลูกว่า “แกไม่รู้หรอก พ่อกับแม่ทนทุกข์ไปมากแค่ไหนเพื่อดูแลตอนแกเป็นเด็ก!  พวกฉันไม่ได้คาดหวังว่าแกจะโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ ไม่มีความกตัญญูเอาเสียเลย ไม่รู้ภาษาว่าจะแบ่งเบาภาระงานบ้านหรือความลำบากของพ่อกับแม่ยังไง  แกไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้ลำบากยากเย็นขนาดไหนสำหรับพ่อกับแม่  แกไม่มีความกตัญญู แกอวดดี แกไม่ใช่คนดี!”  นอกจากโมโหโกรธาใส่ลูกกับการที่ลูกไม่เชื่อฟังหรือการแสดงพฤติกรรมหัวรุนแรงในเรื่องเรียนหรือในชีวิตประจำวันแล้ว อีกเหตุผลที่พวกเขาโมโหก็คือ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นอนาคตของตัวเองในตัวลูก หรือพวกเขามองเห็นว่าลูกของตนจะไม่กตัญญูในภายภาคหน้า ว่าลูกทั้งไม่คำนึงถึงจิตใจและไม่รู้สึกสงสารพ่อแม่ ว่าลูกไม่มีพ่อแม่อยู่ในหัวใจ หรือพูดให้ชัดขึ้นก็คือว่า ลูกไม่รู้อะไรควรทำไม่ควรทำในการที่จะมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ของตัวเอง  ดังนั้นในสายตาของพ่อแม่แล้ว พวกเขาไม่อาจฝากความหวังไว้กับลูกแบบนั้น พวกเขาอาจจะอกตัญญูหรืออวดดี และพ่อแม่ก็หัวใจสลาย รู้สึกว่าการลงทุนและการใช้จ่ายที่พวกเขาทำไปเพื่อเห็นแก่ลูกนั้นสูญเปล่า รู้สึกว่าพวกเขาได้ไม่คุ้มเสีย ไม่คุ้มค่า พวกเขาเสียดาย รู้สึกเศร้าโศก ทุกข์ใจ และปวดร้าว  แต่พวกเขาก็เอาสิ่งที่ใช้หมดไปแล้วคืนมาไม่ได้ และยิ่งพวกเขาเอาคืนมาไม่ได้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากเท่านั้น ยิ่งต้องการเรียกร้องให้ลูกกตัญญูมากขึ้นเท่านั้นโดยพูดว่า “ลูกกตัญญูมากขึ้นสักหน่อยไม่ได้หรือ?  ลูกมีความคิดมากกว่านี้ไม่ได้หรือ?  ให้พ่อกับแม่ได้พึ่งตอนลูกโตขึ้นไม่ได้หรือ?”  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพ่อแม่จำเป็นต้องใช้เงินและไม่ปริปากเลยสักนิด แต่ลูกกลับนำเงินก้อนนั้นมาให้พ่อแม่ที่บ้าน  สมมุติว่าพ่อแม่อยากจะกินเนื้อหรือของอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการบางอย่าง และพ่อแม่ไม่ได้เอ่ยปากเรื่องนี้เลย แต่ลูกกลับนำอาหารมาให้พวกเขาที่บ้าน  ลูกเหล่านั้นคำนึงถึงพ่อแม่เป็นพิเศษ—ไม่ว่าพวกเขามีงานยุ่งแค่ไหนหรือภาระทางครอบครัวของตัวเองนั้นหนักอึ้งเพียงใด—พวกเขาก็คำนึงถึงพ่อแม่เสมอ  เช่นนั้นพ่อแม่ย่อมจะคิดว่า “เฮ้อ ลูกของฉันพึ่งได้ ในที่สุดพวกเขาก็โตเสียที คุ้มค่าพลังงานทั้งหมดที่ใช้ไปกับการเลี้ยงดูพวกเขา คุ้มค่าเงินที่ใช้ไปกับพวกเขา พวกเราได้เห็นผลตอบแทนจากการลงทุนของพวกเราแล้ว”  แต่หากลูกทำสิ่งใดที่ต่ำกว่าความคาดหวังของพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาก็จะตัดสินบนพื้นฐานที่ว่าลูกมีความกตัญญูเพียงใด โดยกำหนดพิจารณาว่าลูกของตนอกตัญญู พึ่งพาไม่ได้ และไม่รู้คุณคน และว่าพวกตนเลี้ยงลูกโตมาอย่างสูญเปล่า

มีพ่อแม่บางคนเช่นกันที่มีงานยุ่งหรือวุ่นกับการทำธุระปะปังในบางโอกาส พวกเขาจึงกลับบ้านช้าเล็กน้อยและพบว่าลูกทำอาหารค่ำรับประทานโดยไม่เหลือเผื่อพวกเขา  ผู้เยาว์เหล่านี้ยังไม่ถึงวัยนั้น พวกเขาอาจไม่นึกถึงเรื่องนั้นหรือไม่ได้ทำแบบนั้นจนเป็นนิสัย หรือคนบางคนอาจแค่ขาดความเป็นมนุษย์ข้อนั้นและไม่สามารถแสดงความคำนึงถึงหรือการใส่ใจดูแลผู้อื่นเท่านั้นเอง  พ่อแม่อาจจะมีอิทธิพลต่อพวกเขาเช่นกัน หรืออาจเป็นได้ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั้นเห็นแก่ตัวโดยสันดาน พวกเขาจึงทำอาหารกินเองโดยไม่เหลือเผื่อพ่อแม่ของตนหรือทำอีกส่วนแยกไว้ให้  พอพ่อแม่กลับบ้านมาเจอแบบนี้ พวกเขาก็เก็บมาถือสาจริงจังและเสียความรู้สึก  พวกเขาเสียความรู้สึกเรื่องอะไรหรือ?  พวกเขาคิดว่าลูกของตัวเองทั้งไม่กตัญญูและไม่มีความคิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พวกเธอยิ่งเสียความรู้สึกมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นลูกของตัวเองประพฤติแบบนี้  พวกเธอลงมือร้องไห้และเอ็ดตะโรว่า “ลูกคิดว่าแม่เลี้ยงลูกมาหลายปีดีดักอย่างง่ายดายหรือไง?  แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูก ฟูมฟักลูกมาตลอดเวลานี้  แม่ทำงานหนักมาก และพอแม่กลับมาบ้าน ลูกกลับไม่ทำอาหารให้แม่เลยด้วยซ้ำ  ต่อให้เป็นแค่โจ๊กชามหนึ่ง ต่อให้โจ๊กนั่นไม่ร้อนด้วยซ้ำ นั่นก็ยังเป็นการกระทำที่น่ารักที่แสดงให้เห็นความรักของลูก  เป็นไปได้ยังไงที่ลูกไม่เข้าใจเรื่องนี้ตอนอายุเท่านี้?”  พวกเขาไม่เข้าใจและไม่ปฏิบัติตนอย่างเหมาะควร แต่หากเจ้าไม่ได้มีความคาดหวังนี้ต่อพวกเขา เจ้าจะโมโหขนาดนี้เชียวหรือ?  เจ้าจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ขนาดนั้นหรือ?  เจ้าจะถือว่านี่คือเกณฑ์ประเมินความกตัญญูรู้คุณหรือ?  หากพวกเขาไม่ทำอาหารให้เจ้า เจ้าก็ยังคงทำกินเองได้  หากพวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เจ้าก็จะต้องดำเนินชีวิตต่อไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ?  หากพวกเขาไม่กตัญญูต่อเจ้า เจ้าก็แค่ไม่ควรให้กำเนิดพวกเขามาไม่ใช่หรือ?  หากพวกเขาไม่เคยเรียนรู้วิธีที่จะทะนุถนอมดูแลเจ้าไปชั่วชีวิตของพวกเขา เจ้าควรทำอย่างไรหรือ?  เจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างถูกต้อง หรือโมโหโกรธา เสียความรู้สึก และเสียใจในเรื่องนี้ มีปากเสียงรุนแรงกับพวกเขาเสมอ?  สิ่งถูกต้องที่ควรทำคืออะไร?  (ใช้แนวทางที่ถูกต้องกับเรื่องนี้)  มองดูแล้วยังไงเจ้าก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าจะต้องทำอะไร  สุดท้ายแล้วเจ้าก็แค่บอกผู้คนว่า “อย่ามีลูกเลย  คุณต้องเสียใจกับลูกทุกคนที่คุณให้กำเนิดมา  การมีลูกไม่มีอะไรดีเลย และการเลี้ยงดูพวกเขาก็เหมือนกัน  พวกเขาโตขึ้นไปเป็นคนไร้หัวใจไม่รู้คุณคนเสมอ!  สู้ดูแลตัวเองให้ดีและไม่ฝากความหวังไว้ที่ใครจะดีกว่า  ไม่มีใครพึ่งได้สักคน!  ทุกคนพูดว่าลูกพึ่งได้ แต่คุณพึ่งอะไรได้หรือ?  ดูเหมือนลูกจะพึ่งคุณได้เสียมากกว่า  คุณปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีต่างๆ นานาเป็นร้อยอย่าง แต่สิ่งที่ได้คืนมาก็คือ พวกเขาคิดว่าการน่ารักกับคุณมากขึ้นเล็กน้อยนั้นเป็นความเมตตามหาศาล และนั่นนับว่าเป็นการปฏิบัติต่อคุณอย่างที่เป็นธรรม”  คำแถลงนี้ผิดหรือไม่?  นี่เป็นความคิดเห็นประเภทหนึ่ง ความคิดและทัศนะประเภทหนึ่งซึ่งมีอยู่ในสังคมใช่หรือไม่?  (ใช่)  “ทุกคนพูดว่าการเลี้ยงดูลูกช่วยจัดเตรียมให้กับวัยชราของคุณ  แม้แต่จะให้พวกเขาทำอาหารให้คุณสักมื้อยังไม่ง่ายเลยด้วยซ้ำ อย่าไปพูดถึงการจัดเตรียมให้คุณในวัยชราเลย  ไม่ต้องไปหวังเลย!”  นี่เป็นคำแถลงประเภทใด?  นี่ก็แค่การโอดครวญชุดหนึ่งไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  การโอดครวญนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นั่นเป็นเพราะความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นสูงเกินไปไม่ใช่หรือ?  พวกเขามีมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ในตัวลูก เรียกร้องให้ลูกกตัญญู มีความเกรงใจ เชื่อฟังทุกคำพูดของพ่อแม่หลังจากที่ลูกโตขึ้น และทำสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นต้องทำเพื่อเป็นคนกตัญญู และทำสิ่งที่คนเป็นลูกพึงทำ  ครั้นเจ้าตั้งข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นมาตรฐาน ไม่ว่าลูกของเจ้าทำอะไรก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทำได้ตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ และเจ้าก็เอาแต่โอดครวญและมีคำพร่ำบ่นเป็นกองพะเนิน  ไม่ว่าลูกทำอะไร เจ้าก็จะเสียใจที่ทำให้พวกเขาเกิดมา รู้สึกว่าขาดทุนมากกว่ากำไร และว่าการลงทุนของเจ้าไม่มีผลตอบแทน  นั่นเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นั่นเป็นเพราะเป้าหมายของเจ้าในการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกนั้นผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ถูกหรือผิดที่ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นนั้น?  (ผิด)  ผิดที่ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นนั้น และเป้าหมายแรกเริ่มของเจ้าในการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกก็ผิดอย่างชัดเจนเช่นกัน  การฟูมฟักเลี้ยงดูลูกเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของมนุษย์  เดิมทีแล้วนี่เป็นสัญชาตญาณมนุษย์ และต่อมาก็กลายเป็นภาระผูกพันและหน้าที่  ลูกไม่จำเป็นต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ หรือเกื้อหนุนพ่อแม่ในวัยชรา และนั่นไม่จริงที่ว่าผู้คนควรมีลูกต่อเมื่อลูกมีความกตัญญูเท่านั้น  จุดกำเนิดของเป้าหมายนี้ก็ไม่บริสุทธิ์ในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนเปล่งวาจาแสดงความคิดและทัศนคติที่ผิดพลาดประเภทนี้ออกมาในท้ายที่สุดว่า “โอ พระเจ้า คุณจะทำอะไรก็ทำ แต่จงอย่าได้มีลูกเลยเชียว”  เนื่องจากเป้าหมายนั้นไม่บริสุทธิ์ ความคิดและทัศนคติที่สืบเนื่องจากเป้าหมายนั้นจึงไม่ถูกต้องไปด้วย  ดังนั้นความคิดและทัศนคติเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องและปล่อยมือไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเราควรปล่อยมือและแก้ไขความคิดและทัศนคติเหล่านั้นอย่างไร?  เป้าหมายประเภทใดเป็นเป้าหมายอันไร้มลทินที่ควรมี?  ความคิดและทัศนคติประเภทใดที่ถูกต้อง?  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรคือหนทางอันถูกต้องที่จะรับมือกับสัมพันธภาพระหว่างคนคนหนึ่งกับลูกของตน?  แรกสุดเลยก็คือ การฟูมฟักเลี้ยงดูลูกเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง เจ้าเต็มใจให้กำเนิดพวกเขา และพวกเขาถูกทำให้เกิดมาโดยไม่ได้ร้องขอ  นอกจากกิจและความรับผิดชอบที่พระเจ้าประทานให้เหล่ามนุษย์ผลิตเชื้อสาย และนอกจากการทรงตั้งของพระเจ้าแล้ว สำหรับพ่อแม่เหล่านั้น เหตุผลและจุดเริ่มต้นซึ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของพวกเขาก็คือ พวกเขาตั้งใจให้กำเนิดลูก  หากเจ้าตั้งใจทำให้ลูกเกิดมา เช่นนั้นเจ้าก็ควรฟูมฟักและเลี้ยงดูจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ อนุญาตให้พวกเขาแยกไปเป็นอิสระ  เจ้าตั้งใจทำให้ลูกเกิดมา และเจ้าก็ได้รับไปมากมายเรียบร้อยแล้วจากการฟูมฟักพวกเขา—เจ้าได้รับประโยชน์ไปอย่างมหาศาลแล้ว  แรกสุดเลยก็คือเจ้าได้เพลิดเพลินกับช่วงเวลาอันชื่นบานขณะใช้ชีวิตอยู่กับลูก ทั้งยังได้เพลิดเพลินกับกระบวนการในการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้วอีกด้วย  แม้ว่ากระบวนการนี้มีสุขทุกข์คละเคล้ากันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว นั่นก็เต็มไปด้วยความสุขของการได้อยู่เคียงข้างพวกเขาและการมีพวกเขาอยู่เคียงข้าง อันเป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์  เจ้าได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้และได้รับจากลูกของเจ้าไปมากมายเรียบร้อยแล้ว ถูกต้องหรือไม่?  ลูกนำพาความสุขและการอยู่เคียงข้างกันมาให้กับพ่อแม่ และเป็นพ่อแม่นั่นเองที่ต้องเฝ้าดูชีวิตน้อยๆ เหล่านี้ค่อยๆ เติบโตไปสู่วัยผู้ใหญ่โดยผ่านทางการจ่ายราคาและการลงทุนเวลาและพลังงานของตน  เริ่มจากชีวิตอันเยาว์วัยและไม่ประสีประสาที่ไม่รู้อะไรเลย ลูกของพวกเขาก็เรียนรู้ที่จะพูด ได้มีความสามารถที่จะเรียบเรียงคำพูด และเรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างของความรู้นานาชนิด มีบทสนทนาและการสื่อสารกับพ่อแม่ รวมทั้งมองเรื่องทั้งหลายจากจุดยืนที่เสมอภาคกัน  นี่เป็นกระบวนการที่พ่อแม่ก้าวผ่าน  กระบวนการนี้ไม่อาจแทนที่ด้วยเหตุการณ์หรือบทบาทอื่นใดสำหรับพวกเขา  พ่อแม่ได้เพลิดเพลินและได้รับสิ่งเหล่านี้จากลูกของตัวเองอันเป็นสิ่งชูใจและบำเหน็จรางวัลอันใหญ่หลวงแก่พวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว  ในข้อเท็จจริงนั้น แค่จากการแสดงบทบาทของการทำให้ลูกเกิดมาและการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขา เจ้าก็ได้รับจากพวกเขาไปเรียบร้อยแล้วอย่างมากมาย  ส่วนการที่ลูกจะกตัญญูต่อเจ้าหรือไม่ เจ้าสามารถพึ่งพาพวกเขาก่อนตายหรือไม่ หรือเจ้าสามารถได้รับสิ่งใดมาจากพวกเขานั้น สิ่งเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับการที่ว่า พวกเจ้าถูกลิขิตชะตาให้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือไม่ และนั่นก็ขึ้นอยู่กับการทรงตั้งของพระเจ้า  ในอีกแง่หนึ่งนั้น ลูกของเจ้าดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมประเภทใด ภาวะการดำรงชีพของลูกเป็นแบบใด พวกเขามีภาวะที่สามารถดูแลเจ้าได้หรือไม่ พวกเขาสะดวกสบายทางด้านการเงินหรือไม่ อีกทั้งพวกเขามีเงินพิเศษเพื่อให้ความสุขสำราญและการอนุเคราะห์ทางวัตถุแก่เจ้าหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการทรงตั้งของพระเจ้าเช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้นโดยเอาฐานะพ่อแม่เป็นที่ตั้ง การที่เจ้ามีชะตากรรมที่จะได้สุขสำราญกับสิ่งที่เป็นวัตถุ เงินทอง สิ่งชูใจทางอารมณ์ที่ลูกมอบแก่เจ้าหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการทรงตั้งของพระเจ้าเช่นกัน  นั่นเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถร้องขอได้  เจ้าจงดูเถิด ลูกบางคนไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่ และพ่อแม่ก็ไม่เต็มใจใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขา แต่พระเจ้ากลับทรงลิขิตให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเดินทางไปไกลหรือผละจากพ่อแม่ไปได้  พวกเขาติดอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองทั้งชีวิต—เจ้าขับไสไล่ส่งพวกเขาไปไหนไม่ได้ต่อให้เจ้าพยายามก็ตาม  ในอีกด้านหนึ่งนั้น ลูกบางคนก็มีพ่อแม่ซึ่งเต็มใจอย่างมากที่จะอยู่กับลูก พวกเขาเฝ้าแต่คิดถึงกันเสมอ แยกจากกันไม่ได้เลย แต่ด้วยเหตุผลนานัปการ พวกเขาก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกันหรือแม้แต่ในประเทศเดียวกันกับพ่อแม่ได้  จึงเป็นเรื่องยากเย็นที่พวกเขาจะได้พบหน้าและพูดคุยกัน แม้ว่าวิธีการสื่อสารต่างๆ ได้พัฒนาไปมากแล้วและการพูดคุยผ่านวิดีโอก็สามารถทำได้ นั่นก็ยังต่างจากการใช้ชีวิตร่วมกันทุกเมื่อเชื่อวันอยู่ดี  ลูกของพวกเขาไปต่างประเทศ ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในอีกสถานที่หนึ่งหลังแต่งงาน เป็นต้น ด้วยเหตุผลใดก็ตาม และระยะท่างอันแสนห่างไกลก็แยกพวกเขาออกจากพ่อแม่  แม้แต่จะพบเจอกันสักครั้งก็ยังไม่ง่ายเลย และการโทรหาด้วยเสียงและวิดีโอก็ขึ้นอยู่กับเวลา  เพราะเวลาที่ต่างกันหรือเพราะความไม่สะดวกอื่นๆ พวกเขาจึงไม่อาจสื่อสารกับพ่อแม่ได้บ่อยนัก  แง่มุมหลักเหล่านี้สัมพันธ์กับสิ่งใด?  ทั้งหมดนี้ล้วนสัมพันธ์กับการทรงตั้งของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ไม่ใช่อะไรที่กำหนดได้ด้วยความปรารถนาซึ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้งของทั้งพ่อแม่และลูก เหนือสิ่งอื่นก็คือ การนี้ขึ้นอยู่กับการทรงตั้งของพระเจ้า  ในอีกแง่หนึ่งนั้น พ่อแม่ก็กังวลว่าตนเองจะสามารถพึ่งพาลูกได้หรือไม่ในวันข้างหน้า  เจ้าต้องการพึ่งพาพวกเขาเรื่องอะไรหรือ?  ให้นำน้ำชามาให้และรินน้ำให้หรือ?  นั่นเป็นการพึ่งพาอาศัยประเภทใดหรือ?  นั่นเป็นเรื่องที่เจ้าทำเองไม่ได้หรือ?  หากเจ้ามีสุขภาพแข็งแรงดี อีกทั้งสามารถเคลื่อนไหวและดูแลตัวเอง ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง นั่นย่อมยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ?  เหตุใดเจ้าจึงต้องพึ่งพาผู้อื่นให้บริการเจ้า?  เป็นความสุขจริงๆ หรือที่ได้เพลิดเพลินกับการดูแลและการอยู่เป็นเพื่อนของลูก รวมถึงการที่ลูกบริการเจ้าทั้งที่โต๊ะอาหารและยามอยู่ห่างโต๊ะอาหาร?  ไม่จำเป็นเลย  หากเจ้าขยับเขยื้อนไม่ได้ และลูกต้องบริการเจ้าทั้งที่โต๊ะอาหารและยามห่างจากโต๊ะอาหารจริงๆ นั่นสร้างความสุขให้เจ้าหรือ?  หากเจ้ามีทางเลือก เจ้าจะเลือกการมีสุขภาพแข็งแรงและไม่จำเป็นต้องให้ลูกดูแล หรือเจ้าจะเลือกเป็นอัมพาตติดเตียงโดยมีลูกอยู่เคียงข้าง?  เจ้าจะเลือกแบบไหน?  (มีสุขภาพแข็งแรง)  การมีสุขภาพแข็งแรงย่อมดีกว่าอย่างมากมาย  ไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุแปดสิบ เก้าสิบ หรือแม้แต่ร้อยปี เจ้าก็สามารถดูแลตัวเองได้ตลอดเวลา  นี่เป็นคุณภาพที่ดีของชีวิต แม้เจ้าอาจแก่ตัวลง เจ้าอาจกลายเป็นหัวช้า อาจจำอะไรไม่ค่อยได้ รับประทานน้อยลง ทำอะไรช้าลงและทำได้ไม่ดีนัก อีกทั้งไม่ค่อยสะดวกกับการออกไปข้างนอก แต่การที่เจ้าสามารถดูแลความจำเป็นขั้นพื้นฐานของตัวเองได้นั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี  การได้รับโทรศัพท์สวัสดีทักทายจากลูก หรือการที่ลูกกลับมาพักอยู่ที่บ้านในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ตามวาระโอกาสนั้นเพียงพอแล้ว  เหตุใดจึงเรียกร้องสิ่งใดก็ตามจากพวกเขามากกว่านี้เล่า?  เจ้าพึ่งพาลูกอยู่ตลอดเวลา เจ้าจะมีความสุขก็ต่อเมื่อลูกกลายเป็นทาสของเจ้าเท่านั้นหรือ?  ที่เจ้าคิดแบบนั้นเป็นการเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?  เจ้ากำลังเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาให้ลูกกตัญญูและให้เจ้าสามารถพึ่งพาพวกเขาได้—มีอะไรให้พึ่งพาหรือ?  พ่อแม่ของเจ้าได้พึ่งพาเจ้าหรือไม่?  หากพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่ได้พึ่งพาเจ้าด้วยซ้ำ เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเจ้าควรพึ่งพาลูกของตัวเอง?  นั่นเป็นการไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

ในแง่หนึ่งของเรื่องที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกกตัญญูต่อตัวเองนั้น พ่อแม่ต้องรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้าและขึ้นอยู่กับการทรงดลบันดาลของพระเจ้า  ในอีกแง่หนึ่งก็คือว่า ผู้คนต้องมีเหตุผล และพ่อแม่ก็กำลังรับประสบการณ์กับบางสิ่งที่พิเศษในชีวิตไปในตัวจากการให้กำเนิดลูกของตน  พ่อแม่ได้รับจากลูกไปมากมาย อีกทั้งได้มาซาบซึ้งกับความโศกเศร้าและความชื่นบานยินดีในกระบวนการเลี้ยงดูลูกไปเรียบร้อยแล้ว  กระบวนการนี้เป็นประสบการณ์อันอุดมคุณค่าในชีวิตของพวกเขา ทั้งยังอย่างแน่นอนว่าควรค่าแก่การจดจำอีกด้วย  ประสบการณ์นี้ชดเชยให้กับข้อบกพร่องและความไม่รู้ที่มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาพึงได้รับจากการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกของตนไปเรียบร้อยแล้วในฐานะพ่อแม่  หากพวกเขาไม่พอใจกับการนี้และเรียกร้องให้ลูกรับใช้ตนเองในฐานะทาสหรือพนักงานบริการ อีกทั้งคาดหวังให้ลูกตอบแทนตัวเองสำหรับการฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ การดูแลพ่อแม่ในวัยชรา การจัดพิธีศพน้อมอำลาพ่อแม่ การบรรจุพ่อแม่ใส่โลง การไม่ปล่อยให้ร่างของพ่อแม่เน่าเปื่อยคาบ้าน การร่ำไห้อย่างขมขื่นให้กับพ่อแม่ยามที่พวกเขาล่วงลับไป การไว้ทุกข์และโศกเศร้าอาลัยให้กับพวกเขาเป็นเวลาสามปี เป็นต้น โดยให้ลูกใช้สิ่งเหล่านี้ชำระหนี้คืนแก่ตน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นไร้เหตุผลและไร้มนุษยธรรม  เจ้าจงดูเถิด ในแง่ของวิธีที่พระเจ้าทรงสอนผู้คนให้ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนนั้น พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขากตัญญูต่อพ่อแม่เท่านั้น และไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้ลูกเกื้อหนุนพ่อแม่ไปจนวันตายแต่อย่างใดเลย  พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบความรับผิดชอบและภาระผูกพันนี้แก่ผู้คน—พระองค์ไม่เคยตรัสสิ่งใดเช่นนี้  พระเจ้าเพียงทรงแนะนำให้ลูกกตัญญูต่อพ่อแม่เท่านั้นเอง  การแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่เป็นถ้อยแถลงทั่วไปที่มีขอบเขตกว้างมาก  เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ด้วยคำพูดที่เฉพาะเจาะจงในวันนี้ นี่หมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบภายในความสามารถและภาวะทั้งหลายของเจ้า—นั่นเพียงพอแล้ว  เรื่องนี้เรียบง่ายเช่นนั้นเอง นั่นเป็นข้อพึงประสงค์เดียวที่มีต่อผู้เป็นลูก  ดังนั้นพ่อแม่ควรเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าไม่ได้ทรงร้องขอว่า “ลูกต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ของตน ดูแลพ่อแม่ในวัยชรา และทำพิธีน้อมอำลาพ่อแม่”  เพราะฉะนั้นบรรดาผู้ที่เป็นพ่อแม่ควรปล่อยมือจากความเห็นแก่ตัวของตน และไม่คาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับลูกวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของตนแค่เพราะตนได้ให้กำเนิดพวกเขามา  หากลูกไม่วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของพ่อแม่ และไม่ถือว่าพ่อแม่เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตตน เช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องที่พ่อแม่จะก่นด่าลูก คอยรังควานมโนธรรมของลูก และพูดสิ่งต่างๆ เช่น “แกมันไม่รู้คุณคน อกตัญญูและไม่เชื่อฟัง ทั้งที่ฉันเลี้ยงแกมาตั้งนาน ฉันก็ยังพึ่งแกไม่ได้อยู่ดี” อยู่เป็นนิจ โดยก่นด่าลูกของตนแบบนี้และทุ่มภาระให้กับลูกเสมอ  การเรียกร้องให้ลูกของคนเรามีความกตัญญูและคอยอยู่เคียงข้างพวกเขา ดูแลพวกเขาในวัยชราและฝังศพให้พวกเขา อีกทั้งคอยนึกถึงพวกเขาอยู่เสมอไม่ว่าลูกจะไปแห่งหนใดก็ตามนั้นเป็นครรลองการกระทำที่ผิดโดยเนื้อแท้ อีกทั้งยังเป็นความคิดและแนวคิดที่ไร้มนุษยธรรม  การคิดแบบนี้อาจมีอยู่ในประเทศต่างๆ หรือท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่มากก็น้อย แต่เมื่อมองที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ชาวจีนเน้นย้ำความกตัญญูรู้คุณเป็นพิเศษ  นับจากโบราณกาลสู่ปัจจุบัน เรื่องนี้ถูกเสวนาและเน้นย้ำเสมอว่าเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นมนุษย์ของผู้คน และเป็นมาตรฐานสำหรับการประเมินวัดว่าใครดีหรือไม่ดี  แน่นอนที่ในสังคมมีการปฏิบัติที่ทำกันเป็นปกติและความเห็นทั่วไปว่า หากลูกไม่กตัญญู พ่อแม่ของพวกเขาก็จะพลอยรู้สึกอับอายไปด้วย และลูกย่อมจะรู้สึกทนไม่ได้ที่จะให้ความมีหน้ามีตาของตนมีจุดด่างพร้อยแบบนี้  ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยนานัปการนั้น พ่อแม่ก็ได้รับพิษสงอย่างดิ่งลึกเช่นกันจากการทำตามประเพณีดั้งเดิมนี้ที่เรียกร้องอย่างปราศจากการคิดหรือการใช้วิจารณญาณแยกแยะให้ลูกของตนมีความกตัญญู  ประเด็นหลักของการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกคืออะไร?  นี่ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ของตัวเจ้าเอง แต่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พระเจ้าได้ทรงมอบแก่เจ้า  แง่มุมหนึ่งก็คือว่าการฟูมฟักเลี้ยงดูลูกเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณมนุษย์ ขณะที่อีกแง่มุมก็คือว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบแบบมนุษย์  เจ้าเลือกที่จะให้กำเนิดลูกก็เนื่องมาจากสัญชาตญาณและความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของการตระเตรียมให้กับวัยชราและการได้รับการดูแลเมื่อเจ้าแก่ชรา  ทัศนคตินี้ถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนที่ไม่มีลูกสามารถหลีกเลี่ยงการแก่ชราได้หรือไม่?  การแก่ชราจำเป็นต้องหมายความว่าคนเราจะทุกข์ตรมหรือไม่?  ไม่จำเป็นเลย ถูกไหม?  ผู้คนที่ไม่มีลูกยังคงมีชีวิตอยู่ไปได้จนแก่เฒ่า และบางคนถึงกับมีสุขภาพแข็งแรง สุขสำราญกับบั้นปลาย และลงหลุมไปอย่างสงบ  แน่หรือว่าผู้คนซึ่งมีลูกสามารถสุขสำราญกับบั้นปลายอย่างเป็นสุขและมีสุขภาพแข็งแรง?  (ไม่จำเป็น)  เพราะฉะนั้นตามที่เป็นจริงแล้ว สุขภาพ ความสุข และสถานการณ์การดำเนินชีวิตของพ่อแม่ที่ไปถึงวัยชรา ตลอดจนคุณภาพชีวิตทางวัตถุของพวกเขาแทบไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่ลูกมีความกตัญญูต่อพวกเขา และสองสิ่งนี้ก็ไม่มีสัมพันธภาพโดยตรงระหว่างกัน  สถานการณ์การดำเนินชีวิต คุณภาพชีวิต และภาวะทางกายของเจ้าในวัยชรานั้นสัมพันธ์กับสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ให้เจ้าและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า และสองสิ่งนี้ก็ไม่มีสัมพันธภาพโดยตรงกับการที่ลูกของเจ้ามีความกตัญญูหรือไม่มี  ลูกของเจ้าไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องแบกความรับผิดชอบต่อสถานการณ์การดำเนินชีวิตในบั้นปลายของเจ้า  นั่นถูกต้องไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงไม่สำคัญว่าลูกมีท่าทีเช่นใดต่อพ่อแม่ของตน ไม่ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะดูแลพ่อแม่ ดูแลไปแบบส่งเดช หรือไม่ต้องการดูแลพ่อแม่เลย นั่นก็เป็นท่าทีที่พวกเขามีในฐานะลูก  ทีนี้พวกเราลองวางการพูดคุยจากมุมมองของลูกไว้ก่อน แต่มาพูดจากมุมมองของพ่อแม่เท่านั้นแทน  พ่อแม่ไม่ควรเรียกร้องให้ลูกต้องกตัญญู ต้องดูแลพวกตนในวัยชรา และต้องแบกชีวิตในบั้นปลายของพ่อแม่เป็นภาระ—ไม่มีความจำเป็นสำหรับเรื่องนั้น  ในแง่หนึ่ง นี่ก็คือท่าทีที่พ่อแม่ควรมีต่อลูกของตน และในอีกแง่หนึ่ง นี่ก็คือศักดิ์ศรีที่พ่อแม่ควรมี  ที่แน่ๆ ก็คือ ยังมีแง่มุมหนึ่งที่สำคัญกว่าอีกด้วย กล่าวคือ นี่เป็นหลักธรรมที่พ่อแม่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดปฏิบัติในการปฏิบัติต่อลูกของตน  หากลูกของเจ้าเอาใจใส่ กตัญญู และเต็มใจดูแลเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธพวกเขา หากพวกเขาไม่เต็มใจทำเช่นนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องครวญคร่ำรำพันทั้งวันทั้งคืน ในใจรู้สึกไม่ชูใจหรือไม่พึงพอใจ หรือแค้นเคืองในตัวลูก  เจ้าควรรับผิดชอบและแบกภาระชีวิตและการอยู่รอดของเจ้าเองเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ เจ้าไม่ควรผลักภาระนั้นไปให้ผู้อื่นโดยเฉพาะลูกของเจ้า  เจ้าควรเผชิญชีวิตอย่างเตรียมเนื้อเตรียมตัวและอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องได้รับการช่วยเหลือหรือการอยู่เคียงข้างจากลูก และต่อให้เจ้าอยู่ห่างจากลูก เจ้าก็ยังคงสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งใดก็ตามที่ชีวิตนำพามาสู่เจ้าได้ด้วยตัวเอง  แน่นอนว่าหากเจ้าพึงต้องได้รับการช่วยเหลือที่จำเป็นจากลูก เจ้าก็ขอพวกเขาได้ แต่นั่นไม่ควรอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า ลูกต้องกตัญญูต่อเจ้าหรือเจ้าต้องพึ่งพาพวกเขา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายควรลงมือทำสิ่งทั้งหลายให้กันและกันจากมุมมองของการลุล่วงหน้าที่ของตน ทั้งนี้เพื่อรับมือกับสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับลูกอย่างสมเหตุสมผล  แน่นอนว่าหากทั้งสองฝ่ายต่างมีความสมเหตุสมผล ให้พื้นที่กันและกัน อีกทั้งเคารพกันและกัน พวกเขาย่อมสามารถเข้ากันได้ดีขึ้นและกลมเกลียวกันมากขึ้น ทะนุถนอมความรักใคร่ในครอบครัว อีกทั้งทะนุถนอมความเอาใจใส่ ความห่วงใย และความรักที่มีต่อกันไว้ได้ในที่สุดอย่างแน่นอน  ที่แน่ๆ ก็คือ การทำสิ่งเหล่านี้บนพื้นฐานของความเคารพและความเข้าใจในกันและกันนั้นมีมนุษยธรรมและเหมาะควรกว่า  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อลูกสามารถเข้าหาและเสร็จสิ้นความรับผิดชอบของตนอย่างถูกต้อง และในฐานะพ่อแม่ของพวกเขา เจ้าก็ไม่ตั้งข้อเรียกร้องใดที่นอกประเด็นหรือเกินจำเป็นต่อลูกอีกต่อไป เช่นนั้นเจ้าจึงจะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นเป็นธรรมชาติและเป็นปกติทีเดียว อีกทั้งเจ้าก็จะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว  เจ้าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยสายตาจ้องจับผิดเหมือนก่อนหน้านี้ที่คอยมองหาสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำแล้วผิด ไม่น่ายินดี หรือไม่พอจ่ายหนี้ให้กับการที่เจ้าได้ฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขามา  ตรงกันข้าม เจ้ากลับจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยท่าทีที่ถูกต้อง รู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้าสำหรับการอยู่เคียงข้างและความกตัญญูรู้คุณที่ลูกมีให้ อีกทั้งคิดว่าลูกของเจ้าค่อนข้างดีพอใช้ และพวกเขาก็มีมนุษยธรรม  ต่อให้ลูกไม่อยู่เคียงข้างและไม่มีความกตัญญูรู้คุณ เจ้าก็จะไม่ติเตียนพระเจ้า และจะไม่เสียใจที่ฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขามา นับประสาอะไรที่จะเกลียดพวกเขา  พูดสั้นๆ คือ นี่เท่ากับว่าพ่อแม่เผชิญหน้ากับท่าทีใดก็ตามที่ลูกมีต่อตนอย่างถูกต้อง  การเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างถูกต้องหมายถึงการไม่ตั้งข้อเรียกร้องใดที่เกินจำเป็นต่อพวกเขา ไม่ประพฤติตนอย่างสุดโต่งกับพวกเขา และแน่นอนว่า ไม่ให้คำวิจารณ์หรือการตัดสินในทางลบหรือไร้มนุษยธรรมกับสิ่งใดก็ตามที่ลูกทำ  แบบนั้นเจ้าก็จะเริ่มดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี  ในฐานะพ่อแม่ เจ้าพึงชื่นชมยินดีกับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าไปตามความสามารถของเจ้าเอง ตามภาวะทั้งหลาย และแน่นอนว่าตามการทรงตั้งของพระเจ้า และหากพระองค์ไม่ประทานสิ่งใดให้เจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าและนบนอบพระองค์เช่นกัน  เจ้าไม่ควรเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยพูดว่า “ดูครอบครัวนั้นครอบครัวนี้สิ ลูกของพวกเขากตัญญูเหลือเกิน พาพ่อแม่ไปขับรถเที่ยวและไปพักร้อนทางใต้เป็นประจำเลย  พวกเขากลับมาบ้านทีไรก็หอบถุงเล็กใหญ่ใส่ของเพียบมาเต็มไปหมด  ลูกคนนั้นช่างกตัญญูนัก!  ดูลูกของพวกเขาสิ เขาช่างเป็นคนที่ครอบครัวพึ่งพาได้  คุณจะต้องเลี้ยงลูกให้ได้แบบนั้นเพื่อจะได้มีคนดูแลตอนคุณแก่ตัวลง  ทีนี้ดูลูกชายของพวกเราสิ เขากลับมาบ้านมือเปล่าและไม่เคยซื้ออะไรให้พวกเราเลย ไม่ใช่แค่กลับมามือเปล่า แต่เขาแทบไม่กลับบ้านเลยด้วยซ้ำ  ถ้าพวกเราไม่เรียกให้เขากลับ เขาก็ไม่กลับมา  แต่ครั้นพอเขากลับมา เขาก็ต้องการแค่ดื่มกิน ไม่ต้องการทำงานอะไรด้วยซ้ำ”  ในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็แค่ไม่ต้องเรียกให้เขากลับมาบ้าน  หากเจ้าเรียกเขากลับมาบ้าน เจ้าย่อมกำลังหาเรื่องทุกข์ใจไม่ใช่หรือ?  เจ้ารู้ว่าหากเขากลับมาบ้าน เขาก็แค่จะดื่มกินโดยไม่ต้องเสียเงิน แล้วเรียกเขากลับมาทำไม?  หากเจ้าไม่มีเหตุจูงใจอันใดให้ทำแบบนั้น เจ้าจะยังคงเรียกเขากลับมาหรือไม่?  นั่นก็แค่เป็นเพราะเจ้ากำลังเห็นแก่ตัวและด้อยค่าตัวเองไม่ใช่หรือ?  เจ้าต้องการพึ่งพาเขาเสมอ โดยหวังว่าเจ้าไม่ได้เลี้ยงเขามาอย่างเสียข้าวสุก หวังว่าลูกคนที่เจ้าเลี้ยงมานี้อาจไม่ใช่คนไร้หัวใจไม่รู้คุณคน  เจ้าต้องการอยู่เสมอที่จะพิสูจน์ว่าลูกคนที่เจ้าเลี้ยงมานี้ไม่ใช่คนไร้หัวใจไม่รู้คุณคน ว่าลูกของเจ้าเป็นลูกที่กตัญญู  การพิสูจน์เรื่องนี้ให้ประโยชน์อะไรหรือ?  เจ้าใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีไม่ได้หรือ?  เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่ได้หากปราศจากลูกหรือ?  (อยู่ได้)  เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้  ตัวอย่างแบบนี้มีมากมายเหลือเกินไม่ใช่หรือ?

คนบางคนยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดที่เก่าคร่ำคร่าและล้าสมัย พูดแต่ว่า “ไม่ว่าผู้คนมีลูกที่กตัญญูต่อพวกเขาหรือไม่ และไม่ว่าลูกของพวกเขาจะกตัญญูในยามที่พวกเขามีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่พอพวกเขาตาย ลูกก็ต้องแบกโลงศพให้พวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่มีลูกอยู่ข้างกาย ตอนพวกเขาตายก็จะไม่มีใครรู้ และร่างของพวกเขาก็จะเน่าเปื่อยคาบ้าน”  แล้วการที่ไม่มีใครรู้นั้นจะเป็นอะไรหรือ?  พอเจ้าเสียชีวิตลง เจ้าก็ตายไปแล้ว และเจ้าก็ไม่มีสติสัมปชัญญะรับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว  พอร่างของเจ้าตายลง ดวงจิตของเจ้าก็ผละจากร่างไปในทันที  ไม่ว่าร่างนั้นจะอยู่แห่งหนใดหรือมีสภาพอย่างไรหลังความตาย ถึงอย่างไรร่างนั้นก็ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?  ต่อให้ร่างนั้นถูกหามใส่โลงออกไปในพิธีศพอันใหญ่โตอลังการและฝังลงในดิน ร่างนั้นก็ยังคงจะเน่าเปื่อยอยู่ดีใช่หรือไม่?  ผู้คนคิดว่า “เมื่อมีลูกอยู่ข้างตัวเพื่อนำร่างคุณใส่โลง สวมชุดงานศพให้คุณ แต่งหน้าศพให้ และจัดแจงงานศพใหญ่โตให้นั้นช่างเป็นสิ่งที่มีสง่าราศี  หากคุณตายโดยไม่มีใครจัดแจงงานศพหรือจัดพิธีน้อมอำลาให้ นั่นก็เหมือนทั้งชีวิตที่มีมาจบไม่สวยเลย”  แนวคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวไม่ใส่ใจนักกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังมีผู้คนในพื้นที่ห่างไกลและผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกน้อยนิดที่มีความคิดและทัศนคติฝังลึกอยู่ในหัวใจว่าลูกต้องดูแลพ่อแม่ในวัยชราและจัดพิธีน้อมอำลาให้พวกเขา  ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับ—ผลสืบเนื่องสุดท้ายของเรื่องนี้คืออะไร?  ผลสืบเนื่องนั้นก็คือ พวกเขาทุกข์ทนอย่างมหันต์  เนื้องอกก้อนนี้แฝงกายอยู่ในตัวพวกเขามานานแล้ว และพวกเขาจะได้รับพิษสงของมัน  เมื่อพวกเขาขุดมันทิ้งไป พวกเขาจะไม่ได้รับพิษสงของก้อนเนื้อนั้นอีกต่อไป และชีวิติของพวกเขาก็จะเป็นอิสระ  การกระทำใดที่ผิดย่อมมีเหตุจากความคิดที่ผิด  หากพวกเขากลัวการตายและการเน่าเปื่อยคาบ้าน พวกเขาย่อมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ฉันต้องเลี้ยงลูกชายสักคน  พอลูกชายของฉันโตขึ้น ฉันจะปล่อยให้เขาไปไกลมากไม่ได้  ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ข้างตัวตอนฉันตายจะทำยังไง?  การไม่มีใครสักคนดูแลฉันในวัยชราและทำพิธีน้อมอำลาให้ย่อมจะเป็นความเสียใจอันใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของฉัน!  หากฉันมีใครสักคนทำสิ่งนี้ให้ เช่นนั้นชีวิตของฉันก็ไม่ได้อยู่มาโดยสูญเปล่า  นั่นจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ  ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่อาจเป็นเป้าให้เพื่อนบ้านเยาะเย้ยได้”  นี่เป็นอุดมคติที่คร่ำครึไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  นี่ช่างใจแคบและเสื่อมถอย ให้ความสำคัญกับร่างกายเกินจริงไปมาก!  ในความเป็นจริงนั้น ร่างกายไม่มีคุณค่า หลังผ่านประสบการณ์กับการเกิด แก่ เจ็บ และตายแล้วก็ไม่เหลืออะไร  มีเพียงเมื่อผู้คนได้รับความจริงในขณะที่มีชีวิต เมื่อพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล  หากเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นเมื่อร่างของเจ้าตายลงและเสื่อมสลาย ก็จะไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้อีก ไม่ว่าลูกของเจ้ากตัญญูต่อเจ้าเพียงใด เจ้าก็จะไม่อาจชื่นชมยินดีกับการนั้นได้  เมื่อบุคคลหนึ่งตายลงและลูกก็ฝังพวกเขาไปพร้อมกับโลง ร่างที่แก่ชรานั่นรู้สึกอะไรได้หรือไม่?  ร่างนั้นล่วงรู้สิ่งใดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ร่างนั้นไม่มีสัมผัสรับรู้อะไรเลย  แต่ในชีวิต ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เกินจริง เรียกร้องจากลูกมากมายว่าลูกจะสามารถจัดพิธีน้อมอำลาให้พวกเขาหรือไม่—ซึ่งเป็นเรื่องโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ลูกบางคนพูดกับพ่อแม่ว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้า  ขณะที่พ่อกับแม่มีชีวิตอยู่ พวกเราจะกตัญญูต่อพ่อกับแม่ ดูแลพ่อกับแม่ และบริการพ่อกับแม่  แต่พอพ่อกับแม่ตาย พวกเราจะไม่จัดงานศพให้พ่อกับแม่นะ”  พอพ่อแม่ได้ยินแบบนี้ก็โกรธขึ้นมา  เจ้าพูดเรื่องอื่นใดพวกเขาก็ไม่โกรธ แต่ทันทีที่เจ้าเอ่ยแบบนี้ พวกเขาก็ระเบิดโพล่งออกมาว่า “แกพูดอะไร?  แกมันสิ่งอกตัญญู ฉันจะหักขาแก!  ฉันสู้ไม่ทำให้แกเกิดมาเสียดีกว่า—ฉันจะฆ่าแก!”  พวกเขาไม่เดือดร้อนกับสิ่งอื่นใดที่เจ้าพูด มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น  ในช่วงอายุขัยของพวกเขา ลูกมีโอกาสมากมายที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี แต่พวกเขากลับยืนกรานให้ลูกจัดพิธีน้อมอำลาพ่อแม่  เพราะลูกเริ่มเชื่อในพระเจ้า ลูกจึงบอกพ่อแม่ว่า “พอพ่อกับแม่ตาย พวกเราจะไม่จัดพิธีให้พ่อกับแม่ พวกเราจะเผาพ่อกับแม่และหาที่เก็บโกศไว้  ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ พวกเราจะให้พ่อกับแม่ชื่นชมยินดีกับพรของการที่พ่อกับแม่มีพวกเราอยู่ใกล้ตัว พวกเราจะจัดเตรียมอาหารและเสื้อผ้าให้พ่อกับแม่ และละเว้นไม่ปฏิบัติต่อพ่อกับแม่ในทางที่ไม่ดี”  นี่สมจริงไม่ใช่หรือ?  พ่อแม่ตอบว่า “เรื่องพวกนั้นไม่มีอะไรสำคัญเลย  ที่พวกเราต้องการก็คือให้ลูกๆ จัดงานศพให้หลังจากพวกเราตาย  ถ้าลูกไม่ดูแลพวกเราตอนแก่และไม่จัดพิธีน้อมอำลาให้พวกเรา พวกเราก็จะไม่มีวันปล่อยมือไป!”  เมื่อบุคคลหนึ่งโง่เขลาขนาดนี้ พวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจการใช้เหตุผลซึ่งเรียบง่ายเช่นนั้น และไม่ว่าเจ้าอธิบายกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ทำความเข้าใจอยู่ดี—พวกเขาเหมือนสัตว์  เพราะฉะนั้นหากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง ในฐานะพ่อแม่นั้น สิ่งแรกที่สุดก็คือเจ้าควรปล่อยมือจากความคิดและทัศนคติตามประเพณีดั้งเดิมอันค่ำครึและเสื่อมถอยซึ่งเกี่ยวพันกับการที่ลูกจะกตัญญู ดูแลเจ้าในวัยชรา และจัดพิธีศพน้อมอำลาเจ้าหรือไม่ อีกทั้งลงมือทำเรื่องนี้อย่างถูกต้อง  หากลูกของเจ้ากตัญญูอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็จงรับไว้อย่างเหมาะควร  แต่หากลูกของเจ้าไม่มีภาวะ พลังงาน หรือความพึงปรารถนาที่จะกตัญญูต่อเจ้า และเมื่อเจ้าแก่ตัวลง พวกเขาก็ไม่อาจดูแลอยู่ข้างกายเจ้าหรือจัดพิธีน้อมอำลาเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหรือรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  การเกิดมีเวลาของมันเอง ความตายมีสถานที่ของมันเอง และพระเจ้าได้ทรงลิขิตสถานที่เกิดและสถานที่ตายไว้ให้ผู้คนแล้ว  ต่อให้ลูกของเจ้าสัญญาอะไรกับเจ้าโดยพูดว่า “ตอนแม่ตาย ลูกจะอยู่ข้างๆ แม่แน่นอน ลูกจะไม่มีวันทำให้แม่ผิดหวัง”  พระเจ้าไม่ได้ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพการณ์เหล่านี้เอาไว้  ตอนที่เจ้าใกล้ตาย ลูกของเจ้าอาจบังเอิญไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า และไม่ว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักแค่ไหนที่จะรีบกลับมา พวกเขาก็อาจทำได้ไม่ทันเวลา—พวกเขาจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย  อาจราวสามถึงห้าวันนับจากวันที่เจ้าหายใจเฮือกสุดท้าย ร่างของเจ้าเสื่อมสลายไปหมดแล้ว และถึงตอนนั้นเองพวกเขาจึงกลับมา  คำสัญญาของพวกเขาทำอะไรได้บ้าง?  พวกเขาไม่อาจเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ  เราบอกเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าไม่ยอมเชื่อ  เจ้ายืนกรานให้พวกเขาสัญญา  คำสัญญาของพวกเขาทำอะไรได้บ้างหรือไม่?  เจ้าสนองความพึงพอใจของตนด้วยภาพลวงตาและเจ้าคิดว่าลูกของเจ้าสามารถยืนหยัดในคำสัญญาของตน  เจ้าคิดว่าพวกเขาทำได้จริงๆ หรือ?  พวกเขาทำไม่ได้  ในทุกๆ วันนั้น พวกเขาจะไปที่ใดและพวกเขาจะทำสิ่งใด รวมทั้งอนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร—แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่รู้  ที่เป็นจริงก็คือ คำสัญญาของพวกเขามีไว้ก็เพื่อใช้หลอกลวงเจ้า ให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยอันจอมปลอมกับเจ้า และเจ้าก็เชื่อคำสัญญาเหล่านั้น  เจ้ายังคงไม่มีความเข้าใจอยู่ดีว่า ชะตากรรมของบุคคลนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

พ่อแม่กับลูกของพวกเขาถูกกำหนดชะตากรรมให้อยู่ร่วมกันมากเพียงใด และพวกเขาสามารถได้รับจากลูกมากเพียงใด—พวกผู้ไม่มีความเชื่อเรียกการนี้ว่า “การได้รับการอนุเคราะห์” หรือ “การไม่ได้รับการอนุเคราะห์”  พวกเราไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร  สุดท้ายแล้วพูดง่ายๆ ก็คือ การที่คนเราสามารถพึ่งพาลูกของตนได้หรือไม่นั้นถูกดลบันดาลและลิขิตล่วงหน้าไว้แล้วโดยพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปตามที่เจ้าปรารถนาอย่างแน่แท้  แน่นอนว่าทุกคนต้องการให้สิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดีและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากลูกของตน  แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่เคยพิจารณาว่าเจ้าถูกกำหนดชะตากรรมมาให้เป็นแบบนั้นหรือไม่ นั่นถูกขีดเขียนไว้ในโชคชะตาของเจ้าหรือไม่?  ความผูกพันระหว่างเจ้ากับลูกจะยาวนานเพียงใด การงานที่เจ้าทำในชีวิตจะเชื่อมโยงกับลูกบ้างหรือไม่ พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ลูกของเจ้าเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญในชีวิตของเจ้าหรือไม่ และยามที่เจ้ารับประสบการณ์กับเหตุการณ์ใหญ่ในชีวิต ลูกของเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่—ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการดลบันดาลของพระเจ้า  หากพระเจ้ามิได้ทรงดลบันดาลไว้ เช่นนั้นหลังจากที่เจ้าฟูมฟักเลี้ยงดูลูกจนเข้าถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้เจ้าไม่ไล่พวกเขาออกจากบ้าน เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะผละจากไปเอง  นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องทำความเข้าใจ  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ เจ้าย่อมจะยึดมั่นถือมั่นต่อความอยากได้อยากมีและข้อเรียกร้องส่วนตนอยู่เป็นนิตย์ รวมทั้งตั้งกฎเกณฑ์นานาสารพันและยอมรับอุดมคตินานัปการเพื่อเห็นแก่ความสุขสำราญทางกายของตัวเจ้าเอง  สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?  เจ้าจะพบคำตอบตอนเจ้าตาย  เจ้าได้ทำสิ่งโง่เขลาไปมากมายในช่วงอายุขัยของเจ้า และเจ้าได้นึกถึงสิ่งซึ่งไม่สมจริงที่ไม่คล้อยตามข้อเท็จจริงหรือการดลบันดาลของพระเจ้าไปมากมาย  จะไม่สายเกินไปหรือที่จะตระหนักถึงทั้งหมดนี้ขณะที่เจ้ากำลังนอนรอความตาย?  ความจริงเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  จงถือโอกาสขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่และสมองของเจ้ายังไม่เลอะเลือน ขณะที่เจ้ายังสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกบางอย่างได้ และจงยอมรับสิ่งเหล่านั้นโดยเร็ว  การยอมรับสิ่งเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงการที่เจ้าแปรสิ่งเหล่านั้นมาเป็นทฤษฎีเชิงอุดมคติหรือคำขวัญ แต่หมายถึงการที่เจ้าพยายามทำสิ่งเหล่านี้และนำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติ  จงค่อยๆ ปล่อยมือจากแนวคิดและความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง และจงอย่าได้คิดว่า ในฐานะพ่อแม่แล้ว ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ย่อมถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้ หรือว่าลูกของเจ้าพึงยอมรับสิ่งนั้น  การให้เหตุผลประเภทนี้ไม่มีอยู่ ณ แห่งหนใดในโลกนี้  พ่อแม่เป็นมนุษย์—ลูกของพวกเขาไม่ใช่มนุษย์หรือ?  ลูกของเจ้าไม่ใช่อุปกรณ์เสริมหรือทาสของเจ้า?  พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งไม่ขึ้นกับใคร—การที่พวกเขากตัญญูหรือไม่นั้นเกี่ยวอะไรกับเจ้า?  เพราะฉะนั้นไม่ว่าเจ้าเป็นพ่อแม่ประเภทใด ลูกของเจ้าอายุเท่าไร หรือว่าลูกของเจ้าถึงวัยแห่งการมีความกตัญญูต่อเจ้า หรือวัยแห่งการใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเองหรือยัง ตัวเจ้าในฐานะพ่อแม่ก็ควรนำแนวคิดเหล่านี้มาใช้ อีกทั้งสร้างความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องในวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อลูก  เจ้าไม่ควรทำอะไรสุดโต่ง และไม่ควรประเมินวัดทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความคิดและทัศนคติที่ผิด เสื่อมถอย และล้าหลังเหล่านั้น  ความคิดและทัศนคติเหล่านั้นอาจตรงกับมโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์ ความสนใจแบบมนุษย์ รวมทั้งความจำเป็นทางกายและทางภาวะอารมณ์ของมนุษย์ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง  ไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะควรหรือไม่เหมาะควร แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เพียงแต่นำความเดือดร้อนและภาระมาสู่เจ้า ทำให้เจ้าตกอยู่ในที่นั่งลำบาก และทำให้เจ้าเผยความใจร้อนของตัวเองออกมาให้ลูกเห็นเท่านั้น  เจ้าจะแถลงเหตุผลของเจ้า ลูกจะแถลงเหตุผลของพวกเขา และสุดท้ายแล้ว เจ้าทั้งสองฝ่ายก็จะเกลียดชังและติเตียนกันและกัน  ครอบครัวจะไม่ปฏิบัติตนเป็นเช่นครอบครัวอีกต่อไป  เจ้าจะหันมาโจมตีอีกฝ่ายและกลายเป็นศัตรูกัน  หากทุกคนยอมรับความจริงรวมทั้งความคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง ก็จะง่ายต่อการเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งความขัดแย้งและข้อพิพาททั้งหลายที่เกิดจากพวกเขาก็จะได้รับการแก้ไข  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขายืนกรานในมโนคติอันหลงผิดตามประเพณีดั้งเดิม ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่เพียงแต่จะคงอยู่โดยไม่ได้รับการแก้ไข แต่ความขัดแย้งของพวกเขาก็จะหนักข้อขึ้นอีกด้วย  วัฒนธรรมดั้งเดิมในตัวมันเองไม่ใช่เกณฑ์สำหรับการประเมินเรื่องทั้งหลาย  วัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และสิ่งทั้งหลายทางเนื้อหนัง อาทิ ความรักใคร่เอ็นดู ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว และความใจร้อนของผู้คนก็ปนเปอยู่ในนั้น  แน่นอนว่ายังมีบางสิ่งที่เป็นแก่นแท้ที่สุดของวัฒนธรรมดั้งเดิมอีกด้วย นั่นก็คือความหน้าซื่อใจคด  ผู้คนใช้ความกตัญญูของลูกพิสูจน์ว่าตนเองอบรมสั่งสอนลูกมาดี และลูกของตนมีความเป็นมนุษย์ ในทำนองเดียวกัน ลูกก็ใช้ความกตัญญูของตนที่มีต่อพ่อแม่พิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนเนรคุณ แต่เป็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่ถ่อมตัวและถ่อมใจ ซึ่งผลที่ได้จากการนั้นก็คือการได้มีที่ยืนท่ามกลางกลุ่มและเผ่าพันธุ์อันหลากหลายในสังคม และการใช้ความกตัญญูเป็นวิถีทางแห่งการอยู่รอดของตน  โดยธรรมชาติแล้วนี่คือแง่มุมที่หน้าซื่อใจคดและเป็นแก่นแท้ที่สุดซึ่งอยู่ภายในวัฒนธรรมดั้งเดิม และนี่ไม่ใช่เกณฑ์สำหรับประเมินเรื่องทั้งหลาย  เพราะฉะนั้นในส่วนของพ่อแม่ พวกเขาควรปล่อยมือจากข้อพึงประสงค์เหล่านี้ที่มีต่อลูกของตน อีกทั้งใช้ความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องในการปฏิบัติต่อลูกและในการมองท่าทีที่ลูกมีต่อตน  หากเจ้าไม่มีหรือไม่เข้าใจความจริงนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ควรมองเรื่องนี้จากมุมมองของความเป็นมนุษย์  คนเรามองเรื่องนี้จากมุมมองของความเป็นมนุษย์ว่าอย่างไร?  การที่ลูกดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมนี้ ในกลุ่ม ในตำแหน่งงาน และชนชั้นทางสังคมอันหลากหลายนั้นไม่ใช่การใช้ชีวิตที่ง่ายเลย  พวกเขามีสิ่งต่างๆ ที่ต้องเผชิญและจัดการในสภาพแวดล้อมซึ่งแตกต่างนานาสารพัน  พวกเขามีชีวิตของตัวเองและมีโชคชะตาที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้ให้  พวกเขามีวิธีการเพื่อการอยู่รอดเป็นของตนเองเช่นกัน  แน่นอนว่าในสังคมสมัยใหม่นั้น แรงกดดันที่มีต่อบุคคลซึ่งยืนด้วยลำแข้งของตนเองนั้นใหญ่หลวงมาก  พวกเขาเผชิญปัญหาของการอยู่รอด สัมพันธภาพระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง และปัญหาที่เกี่ยวกับลูก เป็นต้น—แรงกดดันของทั้งหมดนี้นั้นมหาศาล  พูดอย่างเป็นธรรมก็คือ ไม่มีใครสบายเลย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมทุกวันนี้ที่โกลาหลและก้าวไปอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยการแข่งขันและความขัดแย้งแบบนองเลือดในทุกแห่งหน ไม่มีชีวิตของใครที่ง่ายดายเลย—ชีวิตของทุกคนค่อนข้างลำบากยากเย็นทีเดียว  เราจะไม่ลงลึกไปว่านี่เกิดขึ้นได้อย่างไร  เมื่อดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น หากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมไม่เหลือเส้นทางให้เดิน  เส้นทางเดียวที่พวกเขามีคือการไล่ตามไขว่คว้าทางโลก การทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ การปรับตัวเข้ากับโลกนี้อย่างไม่หยุดหย่อน รวมทั้งการต่อสู้เพื่ออนาคตและการอยู่รอดในทุกวิถีทาง เพื่อผ่านไปให้ได้ในแต่ละวัน  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาเจ็บปวดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และพวกเขากำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนให้ผ่านทุกวันไป  เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่เรียกร้องลูกของตนให้ทำสิ่งนี้สิ่งนั้นเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ นั่นย่อมจะเป็นการทรมานและผลาญทำลายร่างกายและจิตใจของลูกซ้ำเติมเข้าไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย  พ่อแม่มีแวดวงทางสังคม วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของตัวเอง และลูกก็มีสภาพแวดล้อมและพื้นที่ในการดำรงชีวิต รวมทั้งภูมิหลังในการดำเนินชีวิตของตัวเอง  หากพ่อแม่ก้าวก่ายมากเกินไปหรือเรียกร้องต่อลูกเกินความจำเป็น โดยขอให้ลูกทำสิ่งนี้สิ่งนั้นให้ตนเพื่อตอบแทนความพยายามทั้งหลายที่พวกเขาเคยทำเพื่อประโยชน์ของลูก หากเจ้ามองเรื่องนี้จากมุมมองนี้ นี่ค่อนข้างไร้มนุษยธรรมใช่หรือไม่?  ไม่สำคัญว่าลูกดำเนินชีวิตหรืออยู่รอดด้วยวิธีใด หรือลูกเผชิญความลำบากยากเย็นใดบ้างในสังคม พ่อแม่ก็ไม่มีความรับผิดชอบหรือภาระผูกพันที่จะต้องทำสิ่งใดให้กับพวกเขา  ไม่ว่าอย่างไร พ่อแม่ก็ควรละเว้นที่จะเพิ่มความเดือดร้อนหรือภาระใดให้กับชีวิตอันซับซ้อนหรือสถานการณ์ในการดำรงชีพอันลำบากยากเย็นของลูก  นี่คือสิ่งที่พ่อแม่พึงทำ  จงอย่าเรียกร้องจากลูกมากเกินไป และจงอย่าติเตียนพวกเขามากเกินไป  เจ้าควรปฏิบัติต่อลูกอย่างเป็นธรรมและอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งคำนึงถึงสถานการณ์ของพวกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ  ที่แน่ๆ ก็คือพ่อแม่ควรรับมือกับชีวิตของตัวเองเช่นกัน  ลูกจะเคารพพ่อแม่แบบนี้ และพ่อแม่แบบนี้ก็มีค่าควรแก่การเคารพ  ในฐานะพ่อแม่ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน เช่นนั้นไม่สำคัญว่าเจ้าทำหน้าที่ใดในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่มีเวลานึกถึงสิ่งต่างๆ อย่างเช่น การเรียกร้องให้ลูกของตัวเองกตัญญูและการพึ่งพาพวกเขาให้เกื้อหนุนเจ้าในวัยชรา  หากยังมีผู้คนแบบนี้อยู่ พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง และพวกเขาย่อมไม่ใช่ผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน  พวกเขาล้วนเป็นแค่ผู้คนที่เลอะเลือนและพวกผู้ไม่เชื่อ  ความจริงเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากพ่อแม่มีธุระยุ่ง หากพวกเขามีหน้าที่ต้องทำและยุ่งอยู่กับงาน เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรยกเรื่องที่ว่าลูกของตนกตัญญูหรือไม่ขึ้นมาเป็นประเด็น  หากพ่อแม่เอาแต่ยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นตลอดเวลาโดยพูดว่า “ลูกของฉันไม่มีความกตัญญู พวกเขาพึ่งไม่ได้ และพวกเขาจะไม่สามารถเกื้อหนุนฉันได้ตอนฉันแก่” เช่นนั้นพ่อแม่ก็แค่เฉื่อยแฉะลอยชาย คอยหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ  ความจริงเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าควรทำเช่นใดหากเจอพ่อแม่แบบนี้?  จงสอนบทเรียนแก่พวกเขา  เจ้าควรทำการนี้อย่างไร?  ก็แค่พูดว่า “พ่อแม่ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองหรือ?  พ่อแม่มาถึงจุดที่ดื่มกินไม่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ?  พ่อแม่มาถึงจุดที่ไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้แล้วหรือ?  ถ้าพ่อแม่อยู่ได้ก็อยู่ไป ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ตายไปเลยสิ!”  เจ้ากล้าพูดอะไรแบบนี้หรือไม่?  จงบอกเราทีว่าการพูดแบบนี้ไร้มนุษยธรรมหรือไม่?  (ข้าพระองค์ไม่กล้าพูดแบบนี้)  เจ้าไม่สามารถพูดแบบนี้ใช่หรือไม่?  เจ้ากลั้นใจพูดแบบนี้ไม่ได้  (ใช่แล้ว)  พอพวกเจ้าอายุมากขึ้นสักหน่อย พวกเจ้าก็จะสามารถพูดแบบนี้ได้  หากพ่อแม่ของเจ้าทำสิ่งที่น่าโมโหมากมายเกินไป เช่นนั้นเจ้าจะพูดแบบนี้ได้  พวกเขาดีต่อเจ้ามาตลอดจริงๆ และไม่เคยทำร้ายเจ้าเลย หากพวกเขาทำร้ายเจ้าจริงๆ เช่นนั้นเจ้าจะพูดแบบนี้ได้  เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเขาเอาแต่เรียกร้องให้เจ้ากลับมาบ้านตลอดเวลาโดยพูดว่า “กลับบ้านเอาเงินมาให้พ่อแม่ แกมันลูกเนรคุณ!” อีกทั้งก่นด่าและสาปแช่งเจ้าทุกวัน เช่นนั้นเจ้าจะสามารถพูดแบบนี้ได้  เจ้าจะพูดว่า “ถ้าพ่อแม่อยู่ได้ก็อยู่ไป ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ตายไปเลยสิ!  พ่อแม่มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่มีลูกไม่ได้หรือ?  ดูคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีลูกเหล่านั้นสิ พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตได้ดีและมีความสุขเพียงพอไม่ใช่หรือ?  พวกเขาดูแลชีวิตตัวเองในทุกๆ วัน และถ้าพวกเขาพอมีเวลาว่าง พวกเขาก็ออกไปเดินและออกกำลังกาย  ดูเหมือนชีวิตของพวกเขาในแต่ละวันเต็มอิ่มเลยทีเดียว  ดูพ่อแม่สิ—พ่อแม่มีครบทุกอย่าง แล้วทำไมพ่อแม่ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้?  พ่อแม่กำลังด้อยค่าตัวเองจึงสมควรแล้วที่จะตาย!  พวกเราควรกตัญญูกับพ่อแม่หรือ?  พวกเราไม่ใช่ทาสของพ่อแม่ และพวกเราก็ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของพ่อแม่  พ่อแม่ควรเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง และพวกเราไม่มีภาระผูกพันที่ต้องแบกความรับผิดชอบนี้  พวกเราให้พ่อแม่มีกิน มีเสื้อผ้าใส่ มีข้าวของให้ใช้มากพอแล้ว  ทำไมพ่อแม่ถึงทำเรื่องยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา?  ถ้าพ่อแม่เอาแต่สร้างปัญหายุ่งยาก  พวกเราจะส่งพ่อแม่ไปอยู่สถานพยาบาล!”  นี่คือวิธีที่คนเราควรจัดการกับพ่อแม่แบบนั้นใช่หรือไม่?  เจ้าตามใจพวกเขาไม่ได้  หากลูกไม่อยู่ดูแลพวกเขาตรงนั้น พวกเขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นทั้งวันราวกับฟ้ากำลังถล่มทลาย ราวกับว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้  หากพวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาลองตายดู—แต่พวกเขาจะไม่ตายหรอก พวกเขาทะนุถนอมชีวิตของตัวเองเสียเหลือเกิน  ปรัชญาในการดำรงชีวิตของพวกเขาคือการอาศัยผู้อื่นเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า เป็นอิสระกว่า และได้อย่างใจกว่า  พวกเขาต้องสร้างความสุขและความชื่นบานของตนบนความทุกข์ของลูก  พ่อแม่เหล่านี้ควรตายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนและบริการพวกเขาทุกวัน เช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกมีความสุข ชื่นบานและภาคภูมิใจ ในขณะที่ลูกของตนต้องทนทุกข์และจำยอม  พ่อแม่เหล่านี้ควรตายไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  

วันนี้พวกเรามาสรุปสามัคคีธรรมเรื่องความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อเชื้อสายของตนประการสุดท้ายกันตรงนี้เถิด  ในเรื่องการเข้าหาของพ่อแม่ไม่ว่าลูกของตนจะกตัญญู พึ่งพาได้ ดูแลพวกเขาในวัยชรา และจัดพิธีน้อมอำลาพวกเขาหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจกันชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในฐานะพ่อแม่ เจ้าไม่ควรมีข้อเรียกร้องเช่นนั้น มีความคิดและทัศนคติเช่นนั้น หรือฝากความหวังเช่นนั้นไว้กับลูกของตัวเอง  ลูกของเจ้าไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้า  การฟูมฟักเลี้ยงดูพวกเขาคือความรับผิดชอบของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งนี้ได้ดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้า  พวกเขาดีต่อเจ้าและดูแลเจ้าก็เพื่อการลุล่วงความรับผิดชอบล้วนๆ ไม่ใช่เพื่อชดใช้หนี้ใดๆ เพราะพวกเขาไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้า  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องกตัญญูต่อเจ้าหรือเป็นใครบางคนที่เจ้าสามารถพึ่งพาอาศัยได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  พวกเขาดูแลเจ้า เป็นใครบางคนที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้ และให้เงินเจ้าใช้เล็กน้อย—นี่เป็นแค่ความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะลูก นี่ไม่ใช่การมีความกตัญญู  ก่อนหน้านี้พวกเราได้เอ่ยถึงอุปมาโวหารเรื่องการที่อีกาป้อนอาหารให้พ่อแม่ของพวกมัน และการที่ลูกแกะคุกเข่าดูดนม  แม้แต่สัตว์ยังเข้าใจคำสอนนี้และทำตามคำสอนนี้จนเสร็จสิ้นได้ แน่นอนว่าเหล่ามนุษย์ก็ควรทำด้วย!  มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่ก้าวหน้าที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีความคิด ความเป็นมนุษย์ และความรู้สึก  ในฐานะมนุษย์ พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้โดยไม่จำเป็นต้องมีใครสอน  การที่ลูกสามารถแสดงความกตัญญูได้หรือไม่นั้น โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าได้ทรงลิขิตโชคชะตาให้มีอยู่ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายหรือไม่ ว่าสัมพันธภาพแบบเติมเต็มและเกื้อหนุนกันและกันจะมีอยู่ระหว่างพวกเจ้าหรือไม่ และว่าเจ้าสามารถชื่นชมยินดีกับพระพรนี้หรือไม่ พูดให้ชัดขึ้นก็คือ นั่นขึ้นอยู่กับว่าลูกของเจ้ามีความเป็นมนุษย์หรือไม่  หากพวกเขามีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอบรมสั่งสอนพวกเขา—พวกเขาจะเข้าใจเรื่องนี้นับแต่เยาว์วัย  หากพวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ทั้งหมดตั้งแต่เยาว์วัย เจ้าไม่คิดหรือว่าพวกเขาจะยิ่งเข้าใจมากขึ้นเมื่อพวกเขาโตขึ้น?  ความจริงเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเข้าใจคำสอนอย่างเช่น “การหาเงินเพื่อใช้จ่ายให้กับพ่อและแม่เป็นสิ่งที่ลูกที่ดีควรทำ” นับตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาย่อมจะยิ่งเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นไม่ใช่หรือ?  พวกเขายังจำเป็นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนอยู่อีกหรือ?  พ่อแม่ยังจำเป็นต้องสอนบทเรียนเชิงอุดมคติเช่นนั้นให้พวกเขาอยู่หรือ?  ไม่จำเป็นเลย  เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่เรียกร้องให้ลูกต้องมีความกตัญญู ดูแลพ่อแม่ในวัยชรา และจัดพิธีน้อมอำลาให้พ่อแม่นั้นเป็นครรลองการกระทำที่โง่เขลา  ลูกที่เจ้าให้กำเนิดมานั้นเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาใช่ต้นไม้หรือดอกไม้พลาสติกหรือไม่?  พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ หรือ เจ้าต้องอบรมสั่งสอนพวกเขาจริงๆ หรือ?  แม้แต่สุนัขยังเข้าใจเรื่องนี้  ดูเอาเถิดว่า ตอนที่ลูกสุนัขสองตัวอยู่กับแม่ของพวกมัน หากมีสุนัขตัวอื่นเริ่มวิ่งเข้ามาเห่าใส่แม่สุนัข พวกมันจะไม่ยอมให้ พวกมันปกป้องแม่ของตัวเองจากข้างหลังรั้ว และไม่ปล่อยให้สุนัขตัวอื่นเห่าใส่แม่  แม้แต่สุนัขยังเข้าใจเรื่องนี้ แน่นอนว่ามนุษย์ก็ควรเข้าใจเหมือนกัน!  ไม่จำเป็นต้องสอนพวกเขา การลุล่วงความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ และพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องปลูกฝังความคิดเช่นนั้นให้กับลูกของตน—พวกเขาจะทำด้วยตัวเอง  หากพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นต่อให้อยู่ภายใต้ภาวะที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะไม่ทำ แต่หากพวกเขามีความเป็นมนุษย์จริงๆ และมีภาวะที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะทำไปโดยธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง กระตุ้นเตือน หรือติเตียนลูกของตนในเรื่องที่ว่าพวกเขามีความกตัญญูหรือไม่  ทั้งหมดนี้ล้วนไม่จำเป็น  หากเจ้าสามารถชื่นชมยินดีกับความกตัญญูรู้คุณของลูก นั่นนับเป็นพร  หากเจ้าไม่อาจชื่นชมยินดีได้ นั่นก็ไม่ได้นับเป็นการขาดทุน  ทุกสิ่งทุกอย่างพระเจ้าล้วนทรงดลบันดาลใช่หรือไม่?  เอาละ วันนี้พวกเรามายุติสามัคคีธรรมกันตรงนี้เถิด  สวัสดี!

27 พฤษภาคม ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (20)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger