ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (17)

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงการปล่อยมือจากภาระที่มาจากครอบครัวของตน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่  ความคาดหวังเหล่านี้ก่อให้เกิดความกดดันอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นแก่ทุกคนมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความคาดหวังเป็นหนึ่งในภาระที่มาจากครอบครัวของผู้คน  การปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่หมายถึงการปล่อยมือจากความกดดันและภาระที่พ่อแม่ก่อให้เกิดแก่ชีวิต ความเป็นอยู่ และเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน  นั่นคือ เมื่อความคาดหวังของพ่อแม่ส่งผลต่อเส้นทางที่เจ้าเลือกในชีวิต ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า การเดินทางของเจ้าบนเส้นทางที่ถูกต้อง ตลอดจนอิสรภาพ สิทธิ์ และสัญชาตญาณของเจ้า ความคาดหวังของพวกเขาย่อมก่อให้เกิดความกดดันและภาระชนิดหนึ่งแก่เจ้า  ภาระเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนควรปล่อยมือในครรลองชีวิต ความเป็นอยู่ และการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  นี่คือเนื้อหาที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  แน่นอนว่าความคาดหวังของพ่อแม่ย่อมเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น การเล่าเรียนของคนเรา การงาน การสมรส ครอบครัว และแม้กระทั่งอาชีพของคนเรา ความน่าจะเป็น อนาคต และอื่นๆ  ในมุมมองของพ่อแม่ ความคาดหวังทั้งปวงที่พวกเขามีต่อลูกนั้นเป็นไปตามหลักเหตุผล ยุติธรรม และสมควร  ไม่มีพ่อแม่คนใดที่ไม่มีความคาดหวังในตัวลูกของตน  พวกเขาอาจมีมากหรือน้อย อาจมีความคาดหวังที่ใหญ่โตกว่าหรือเล็กกว่า หรืออาจมีความคาดหวังบางอย่างที่ต่างออกไปสำหรับลูกของตนในช่วงเวลาจำเพาะต่างๆ  พวกเขาหวังว่าลูกของตนจะได้คะแนนดี สิ่งต่างๆ ในด้านการงานจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับลูก ลูกจะมีรายได้ดี และเมื่อเป็นเรื่องของชีวิตแต่งงาน ทุกสิ่งก็จะราบรื่นและเป็นสุขสำหรับลูก  พ่อแม่ถึงกับมีความคาดหวังต่างๆ กันไปในเรื่องครอบครัวของลูก อาชีพการงาน ความน่าจะเป็น และอื่นๆ  ในมุมมองของพ่อแม่ ความคาดหวังเหล่านี้ล้วนถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างยิ่ง แต่ในมุมมองของลูก ความคาดหวังนานาเหล่านี้กลับก้าวกายพวกเขาในการเลือกสิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างมาก และถึงกับก้าวก่ายอิสรภาพของพวกเขา ก้าวก่ายสิทธิ์หรือความสนใจที่พวกเขามีในฐานะคนที่ปกติคนหนึ่ง  พร้อมกันนั้นความคาดหวังเหล่านี้ก็ก้าวก่ายการใช้ขีดความสามารถตามปกติของพวกเขาด้วย  สรุปแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะมองเรื่องนี้ในมุมใด จะมองในมุมของพ่อแม่ หรือในมุมของลูกก็ตาม ถ้าความคาดหวังของพ่อแม่เกินขอบเขตของสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะทนรับได้ ถ้าเกินขอบเขตของสิ่งที่สัญชาตญาณของคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะสัมฤทธิ์ได้ หรือถ้าละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี หรือเกินเลยหน้าที่และภาระผูกพันที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน เป็นต้น เช่นนั้นแล้วความคาดหวังเหล่านี้ก็ไม่ถูกควรและไม่มีเหตุผล  แน่นอนว่าอาจกล่าวได้อีกด้วยว่าพ่อแม่ไม่ควรมีความคาดหวังเหล่านี้ และความคาดหวังเหล่านี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น  เมื่อดูตามนี้ ลูกๆ จึงควรปล่อยมือจากความคาดหวังเหล่านี้ของพ่อแม่  กล่าวคือ เมื่อพ่อแม่ใช้มุมมองหรือฐานะของพ่อแม่ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมดูเหมือนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะคาดหวังให้ลูกทำเช่นนี้หรือเช่นนั้น และลูกก็จะเดินไปบนเส้นทางหนึ่งๆ เลือกชีวิต สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ หรืองาน การแต่งงาน ครอบครัว และอื่นๆ ในแบบหนึ่งๆ  อย่างไรก็ดี ในฐานะมนุษย์ที่ปกติ พ่อแม่ไม่ควรใช้มุมมองหรือฐานะของพ่อแม่ พวกเขาไม่ควรใช้อัตลักษณ์ที่เป็นพ่อแม่ของตนมากำหนดให้ลูกทำสิ่งที่อยู่นอกขอบข่ายภาระผูกพันที่เป็นความกตัญญูหรือเกินขอบเขตความสามารถของมนุษย์  พวกเขาไม่ควรก้าวก่ายทางเลือกต่างๆ ที่ลูกเลือกด้วยซ้ำ และไม่ควรยัดเยียดความคาดหวัง ความชอบส่วนตัว ข้อบกพร่องและความไม่พอใจ หรือความสนใจใดๆ ของตนให้กับลูก  เหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำ  เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังที่พวกเขาไม่ควรมี ลูกของพวกเขาก็พึงใช้ท่าทีที่ถูกควรต่อความคาดหวังของพ่อแม่  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือลูกควรที่จะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะธรรมชาติของความคาดหวังเหล่านี้  ถ้าเจ้าสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่าความคาดหวังของพ่อแม่กำลังลิดรอนสิทธิ์ในการเป็นมนุษย์ของเจ้า และความคาดหวังเหล่านี้เป็นการก้าวก่ายหรือการรบกวนอย่างหนึ่งเมื่อเจ้าเลือกสิ่งที่เป็นบวกและเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปล่อยมือจากความคาดหวังเหล่านี้ และเพิกเฉยเสีย  เจ้าควรทำเช่นนี้เพราะนี่คือสิทธิ์ของเจ้า เป็นสิทธิ์ที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ที่ทรงสร้างทุกคน และพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่ควรคิดว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงเส้นทางชีวิตและสิทธิ์ในการเป็นมนุษย์ของเจ้าเพียงเพราะพวกเขาให้กำเนิดเจ้าและเป็นพ่อแม่ของเจ้า  ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดว่า “ไม่” ต่อความคาดหวังที่ไร้เหตุผล ไม่เหมาะสม หรือถึงกับไม่ถูกควรของพ่อแม่  แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธที่จะแบกรับความคาดหวังใดๆ ของพ่อแม่เอาไว้บนบ่า  การไม่ยอมรับหรือไม่ยอมแบกรับความคาดหวังของพ่อแม่ก็คือวิธีที่จะใช้ปล่อยมือจากความคาดหวังที่ไม่ถูกควรของพวกเขา

เมื่อพูดถึงการปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ ผู้คนควรเข้าใจความจริงข้อใด?  กล่าวคือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่เป็นไปตามความจริงข้อใด หรือยึดถือตามหลักธรรมความจริงข้อใดบ้าง?  ถ้าเจ้าเชื่อว่าพ่อแม่คือผู้คนที่สนิทสนมกับเจ้าที่สุดในโลก เป็นนายและผู้นำของเจ้า เป็นผู้คนที่ให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ จัดหาอาหาร เสื้อผ้า บ้าน และการคมนาคมให้แก่เจ้า เลี้ยงดูจนเจ้าเติบโตขึ้นมา และพวกเขาก็เป็นผู้มีคุณของเจ้า การปล่อยมือจากความคาดหวังของพวกเขาจะง่ายสำหรับเจ้าหรือไม่?  (ไม่ง่าย)  ถ้าเจ้าเชื่อเรื่องเหล่านี้ ท่าทีที่เจ้ามีต่อความคาดหวังของพ่อแม่ย่อมมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามมุมมองของเนื้อหนัง และย่อมเป็นการยากที่เจ้าจะปล่อยมือจากความคาดหวังที่ไม่เหมาะสมและไร้เหตุผลของพวกเขา  เจ้าจะถูกความคาดหวังของพวกเขาพันธนาการและกดทับ  ต่อให้เจ้ารู้สึกไม่พอใจและไม่เต็มใจอยู่ในหัวใจ เจ้าก็จะไม่มีพลังที่จะหลุดเป็นอิสระจากความคาดหวังเหล่านี้ และจะไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ความคาดหวังดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติของมัน  ทำไมเจ้าจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติของมัน?  เพราะถ้าเจ้าปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ เมินหรือปฏิเสธความคาดหวังใดๆ ของพวกเขา เจ้าก็จะรู้สึกว่าตนเองเป็นลูกอกตัญญู  เจ้าไม่รู้คุณคน เจ้าจะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง และเจ้าไม่ใช่คนดี  ถ้าเจ้ามองในมุมของเนื้อหนัง เจ้าก็จะทำทุกสิ่งที่ตนสามารถเพื่อที่จะใช้มโนธรรมของเจ้ามาตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ ให้แน่ใจว่าความทุกข์ที่พ่อแม่สู้ทนเพื่อเจ้านั้นไม่ได้สู้ทนอย่างสูญเปล่า และเจ้าก็จะอยากทำให้ความคาดหวังของพวกเขากลายเป็นจริงอีกด้วย  เจ้าจะพยายามอย่างยิ่งที่จะสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งที่พวกเขาขอให้เจ้าทำ หลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขาผิดหวัง ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นธรรม และเจ้าจะตัดสินใจดูแลพวกเขาเมื่อพวกเขาชราภาพเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีความสุขในยามบั้นปลายของชีวิต และเจ้าจะถึงกับคิดไกลออกไปอีกนิดว่าจะจัดงานศพให้พวกเขา ทำให้พวกเขาพอใจ พร้อมทั้งตอบสนองความอยากเป็นลูกกตัญญูของเจ้าเอง  ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้คนได้รับอิทธิพลจากความคิดเห็นนานาชนิดของคนส่วนใหญ่และบรรยากาศนานาชนิดทางสังคม รวมทั้งความคิดและทัศนะต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในสังคม  ถ้าผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็จะได้แต่มองสิ่งเหล่านี้ตามมุมมองของความรู้สึกทางเนื้อหนังเท่านั้น และพร้อมกันนั้น พวกเขาก็จะได้แต่จัดการสิ่งเหล่านี้ไปตามมุมมองนั้นๆ  ในช่วงนี้เจ้าจะคิดไปว่าพ่อแม่ของเจ้าทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อแม่ไม่ควรทำ เจ้าจะคิดจนถึงกับรู้สึกดูแคลนและรังเกียจการกระทำและพฤติกรรมบางอย่างของพ่อแม่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า รวมทั้งความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย วิธีการและหนทางในการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขาด้วย แต่เจ้าก็จะอยากเป็นลูกกตัญญูเพื่อให้เกียรติและทำให้พวกเขาพอใจอยู่ดี เจ้าจะไม่กล้าละเลยพวกเขาไม่ว่าจะในทางใด  ในแง่หนึ่ง เจ้าจะทำเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังคมรังเกียจเดียดฉันท์ และอีกแง่หนึ่งก็เพื่อตอบสนองความต้องการทางมโนธรรมของเจ้า  ทัศนะทั้งหมดนี้มีมวลมนุษย์และสังคมคอยตอกย้ำกับเจ้าทั้งสิ้น จึงยากมากที่เจ้าจะจัดการความคาดหวังของพ่อแม่และสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพวกเขาในลักษณะที่สมเหตุสมผล  เจ้าจะถูกบีบให้มีท่าทีต่อพวกเขาอย่างลูกกตัญญู ไม่ท้วงติงการกระทำใดๆ ของพ่อแม่ เจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่น และจะได้แต่ทำเช่นนี้เท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าก็จะปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ได้ยากขึ้นไปอีก  ถ้าเจ้าปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ในหัวใจของเจ้าได้โดยแท้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะต้องทนรับภาระหรือความกดดันอีกอย่างอยู่ดี ซึ่งก็คือการกล่าวโทษจากสังคม จากครอบครัวใหญ่ และครอบครัวใกล้ชิดของเจ้า  เจ้าจะต้องทนรับแม้กระทั่งการกล่าวโทษ การประณาม คำสาปแช่ง และคำหยามหยันที่มาจากหัวใจส่วนลึกของเจ้า ซึ่งกล่าวว่าเจ้านั้นไม่ได้ความ เจ้าไม่ใช่ลูกกตัญญู เจ้าไม่รู้คุณคน หรือถึงกับกล่าวอะไรทำนองว่า “เธอเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ เป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง แม่ของเธอไม่ได้เลี้ยงเธอมาอย่างถูกควร” ดังที่ผู้คนในสังคมทางโลกเขาพูดกัน—ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือสิ่งที่ไม่น่าฟังสารพัดอย่าง  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้  กล่าวคือ เมื่อเจ้าปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าอย่างเป็นเหตุเป็นผล หรือเมื่อเจ้าลังเลที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น หัวใจของเจ้าก็จะเกิดภาระหรือความกดดันอีกอย่างหนึ่งอยู่ลึกๆ ความกดดันนี้มาจากสังคมและจากผลพวงทางมโนธรรมของเจ้า  แล้วเจ้าจะสามารถปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ได้อย่างไร?  มีเส้นทางที่จะแก้ปัญหานี้อยู่ทางหนึ่ง  เป็นเส้นทางที่ไม่ยาก—นั่นคือผู้คนจำเป็นต้องพยายามกับความจริง และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและเข้าใจความจริง จากนั้นปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข  แล้วเจ้าต้องทำความเข้าใจความจริงในแง่มุมใดจึงจะไม่กลัวว่าการกล่าวโทษจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ หรือการกล่าวโทษจากมโนธรรมของเจ้าในหัวใจส่วนลึก หรือการประณามและการทารุณกรรมทางวาจาจากพ่อแม่ของเจ้า จะกลายเป็นภาระเมื่อเจ้าปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่?  (ความจริงที่ว่าพวกเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ในโลกนี้พวกเราไม่ควรลุล่วงแต่ความรับผิดชอบที่มีต่อพ่อแม่เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเราต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีและลุล่วงภาระผูกพันของตนเอง  ถ้าพวกเราสามารถรู้ทันเรื่องนี้ บางทีในอนาคตเมื่อพวกเราปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ พวกเราก็อาจจะไม่ถูกพ่อแม่หรือการกล่าวโทษจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ครอบงำมากเกินไป)  มีใครจะพูดเรื่องนี้อีกบ้าง?  (คราวที่แล้วพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมว่าเมื่อพวกเราจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ของตน ในแง่หนึ่งนี่เป็นไปตามรูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง—พวกเราต้องจากพ่อแม่มาทำหน้าที่ของตน ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจดูแลพวกท่านได้—ไม่ใช่ว่าพวกเราเลือกที่จะจากพ่อแม่มาเพราะพวกเรากำลังหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตนเอง  ในอีกแง่หนึ่ง พวกเราจากบ้านมาเพราะพระเจ้าทรงเรียกพวกเรามาปฏิบัติหน้าที่ของตน ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ แต่พวกเราก็ยังคงกังวลถึงพวกท่าน—นี่แตกต่างจากการที่พวกเราไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบที่ตนมีต่อพ่อแม่และไม่กตัญญู)  เหตุผลสองข้อนี้คือความจริงและข้อเท็จจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ  ถ้าผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อพวกเขาปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ พวกเขาก็จะรู้สึกสงบลงนิดหน่อยและมีสันติสุขมากขึ้นในหัวใจส่วนลึกของตน แต่นี่สามารถแก้ปัญหานี้ที่มูลเหตุได้หรือไม่?  ถ้าไม่ใช่เพราะอิทธิพลของรูปการณ์ภายนอกที่ใหญ่กว่า ชะตากรรมของเจ้าจะเชื่อมโยงกับชะตากรรมของพ่อแม่หรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า ทำงานและผ่านพ้นวันเวลาของเจ้าไปตามปกติ เจ้าจะสามารถอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ของเจ้าได้แน่หรือ?  เจ้าจะสามารถเป็นลูกกตัญญูได้แน่หรือ?  เจ้าจะสามารถอยู่เคียงข้างและตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาได้แน่หรือ?  (ไม่จำเป็น)  มีคนที่กระทำการเพียงเพื่อที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ไปตลอดชีวิตของตนหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีผู้คนที่เป็นเช่นนั้น  เพราะฉะนั้น เจ้าก็ควรมารู้จักเรื่องนี้และรู้ทันแก่นแท้ของมันตามมุมมองที่ต่างออกไป  นี่คือความจริงในระดับที่ลึกลงไปซึ่งเจ้าพึงเข้าใจในเรื่องนี้  ทั้งยังเป็นข้อเท็จจริง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้  อะไรคือความจริงที่เจ้าควรเข้าใจในเรื่องของการปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่?  ในด้านหนึ่งเจ้าควรเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก อีกด้านหนึ่งเจ้าก็ควรเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก  นี่คือความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าเข้าใจความจริงสองข้อนี้ เจ้าก็จะปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ได้ง่ายขึ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

ก่อนอื่น พวกเราจะพูดถึงความจริงในแง่มุมที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก”  พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก—นี่อ้างถึงสิ่งใด?  อ้างถึงความใจดีมีเมตตาที่พ่อแม่แสดงให้เจ้าเห็นด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่มิใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่แสดงความใจดีมีเมตตาแก่เจ้าด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ ดังนั้นจึงยากมากที่เจ้าจะปล่อยมือจากสัมพันธภาพที่มีกับพวกเขา  เจ้าคิดไปว่าเจ้าต้องตอบแทนความใจดีมีเมมตาของพวกเขา มิฉะนั้นเจ้าก็จะเป็นลูกอกตัญญู เจ้าเชื่อว่าเจ้าต้องแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพวกเขา ต้องเชื่อฟังทุกคำที่พวกเขาพูด ต้องตอบสนองทุกความปรารถนาและทุกข้อเรียกร้องที่พวกเขามี และยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง—เจ้าเชื่อว่านี่คือการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  แน่นอนว่าบางคนมีงานดีและเงินเดือนก็ดี และพวกเขาก็มอบความสุขหรรษาบางอย่างทางวัตถุ รวมทั้งชีวิตทางวัตถุที่ดีเยี่ยมให้แก่พ่อแม่ของตน เปิดโอกาสให้พ่อแม่สุขสดใสอยู่ในความสว่างไสวของลูกๆ และทำให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดีขึ้น  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าซื้อบ้านและรถให้พ่อแม่ เจ้าพาพวกเขาไปร้านอาหารหรูหราเพื่อกินอาหารชั้นดีทุกชนิด และพาพวกเขาออกเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวและจองโรงแรมหรูให้พวกเขา เพื่อที่จะทำให้พวกเขามีความสุขและสำราญอยู่กับสิ่งเหล่านี้  เจ้าทำทั้งหมดนี้เพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าพวกเขาได้บางสิ่งเป็นการตอบแทนที่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่และรักเจ้า และเจ้าเองก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง  ด้านหนึ่งเจ้าทำเช่นนี้ให้พ่อแม่เห็น อีกด้านหนึ่งเจ้าก็ทำเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนรอบตัวเจ้ามองเห็น ให้สังคมมองเห็น และพร้อมกันนั้นเจ้าก็กำลังทำอย่างสุดความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการทางมโนธรรมของเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะมองไปทางไหน ไม่ว่าเจ้าจะกำลังพยายามตอบสนองสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด การกระทำทั้งหมดนี้ก็ทำไปเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ และแก่นแท้ของการกระทำเหล่านี้ก็เพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่พ่อแม่แสดงแก่เจ้าด้วยการเลี้ยงดูเจ้ามา  แล้วเหตุใดเจ้าจึงมีแนวคิดที่จะตอบแทนความเมตตาของพ่อแม่?  เพราะเจ้าเชื่อว่าพ่อแม่ให้กำเนิดเจ้า และพวกเขาก็ไม่ได้เลี้ยงดูเจ้ามาโดยง่าย เมื่อเป็นดังนี้ พ่อแม่ของเจ้าจึงกลายเป็นเจ้าหนี้ของเจ้าไปโดยไม่รู้ตัว  เจ้านึกว่าเจ้าติดค้างพ่อแม่ และต้องตอบแทนพ่อแม่  เจ้าเชื่อว่าด้วยการตอบแทนพวกเขาเท่านั้น เจ้าจึงจะมีความเป็นมนุษย์และเป็นลูกกตัญญูอย่างแท้จริง และการตอบแทนพวกเขาก็เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่คนคนหนึ่งควรมี  ดังนั้น ตามแก่นแท้แล้ว แนวคิด ทัศนะ และการกระทำเหล่านี้จึงเกิดขึ้นเพราะเจ้าเชื่อว่าเจ้าติดค้างพ่อแม่และต้องตอบแทนพวกเขา พ่อแม่เป็นเจ้าหนี้ของเจ้าอย่างมากมาย นั่นคือ เจ้าเชื่อว่าเจ้าติดหนี้พวกเขาสำหรับความเมตตาที่พวกเขาแสดงให้เจ้าเห็นมาโดยตลอด  ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีความสามารถที่จะจ่ายคืนและชดใช้ให้แก่พวกเขา เจ้าก็ทำดังนั้น—ตามความสามารถของเจ้า เจ้าใช้เงินและความรักมาจ่ายคืนพวกเขา  แล้วการทำเช่นนี้ใช่การแสดงให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหรือไม่?  นี่ใช่หลักธรรมที่แท้จริงของการปฏิบัติหรือไม่?  (ไม่ใช่)  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก?  เพราะเมื่อคำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” คือความจริง ถ้าเจ้ามองว่าพ่อแม่คือผู้มีคุณและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า และถ้าทุกสิ่งที่เจ้าทำเป็นการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา แนวคิดและทัศนะนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  ที่พูดคำว่า “ไม่” ออกมานั้นลังเลกันมากเลยมิใช่หรือ?  ถ้อยแถลงเหล่านี้ข้อใดคือความจริง “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” หรือว่า “พ่อแม่คือผู้มีคุณ และลูกต้องแทนคุณพ่อแม่”?  (“พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” คือความจริง)  ในเมื่อ “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” คือความจริง เช่นนั้นแล้วถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่คือผู้มีคุณ และลูกต้องแทนคุณพ่อแม่” เป็นความจริงหรือไม่?  (ไม่)  นี่ขัดแย้งกับถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” มิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  ไม่สำคัญหรอกว่าถ้อยแถลงข้อใดทำให้มโนธรรมของเจ้ารู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ—แล้วสิ่งใดที่สำคัญ?  สิ่งที่สำคัญก็คือว่าถ้อยแถลงเหล่านี้ข้อใดคือความจริง  เจ้าต้องยอมรับถ้อยแถลงที่เป็นความจริง ต่อให้ถ้อยแถลงนั้นทำให้มโนธรรมของเจ้ารู้สึกอึดอัดและถูกกล่าวหาก็ตาม เพราะนั่นคือความจริง  แม้ถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่คือผู้มีคุณ และลูกต้องแทนคุณพ่อแม่” จะสอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์ในเรื่องความเป็นคน และสอดคล้องกับการตระหนักรู้ตามมโนธรรมของมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ความจริง  แม้ถ้อยแถลงนี้จะทำให้มโนธรรมของเจ้ารู้สึกพอใจและชูใจ แต่เจ้าก็ต้องปล่อยมันไป  นี่คือท่าทีที่เจ้าต้องมีเมื่อเป็นเรื่องของการยอมรับความจริง  ดังนั้น ระหว่างถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” กับ “พ่อแม่คือผู้มีคุณ และลูกต้องแทนคุณพ่อแม่” อย่างไหนฟังแล้วชูใจกว่ากัน ตรงตามความเป็นมนุษย์และสำนึกทางมโนธรรมของเจ้ามากกว่า และสอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษยชาติมากกว่ากัน?  (ถ้อยแถลงที่สอง)  เหตุใดจึงเป็นถ้อยแถลงที่สอง?  เพราะตอบโจทย์และสนองความต้องการทางอารมณ์ของมนุษย์  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ความจริงและเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า  ดังนั้น ถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” ทำให้ผู้คนอึดอัดใช่หรือไม่?  (ใช่)  ผู้คนรู้สึกและสำนึกว่าอย่างไรเมื่อได้ฟังถ้อยแถลงนี้?  (ว่านี่ออกจะไร้มโนธรรม)  พวกเขารู้สึกว่าถ้อยแถลงนี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกอย่างมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “ถ้าคนคนหนึ่งไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์ พวกเขาจะยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”—ถ้าผู้คนไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์ พวกเขาใช่มนุษย์หรือไม่?  ถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” ฟังดูเหมือนไร้ซึ่งความรู้สึกของมนุษย์ แต่ก็เป็นข้อเท็จจริง  ถ้าเจ้ามีท่าทีที่สมเหตุสมผลต่อสัมพันธภาพกับพ่อแม่ เจ้าก็จะพบว่าถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” อธิบายสัมพันธภาพที่ทุกคนมีต่อพ่อแม่ของตนเอาไว้ชัดเจนในระดับรากเหง้าแล้วโดยแท้ รวมทั้งแก่นแท้และรากของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย  แม้จะทำให้มโนธรรมของเจ้ารู้สึกอึดอัด และไม่ได้ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของเจ้า แต่ก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริง และเป็นความจริงอยู่ดี  ความจริงนี้สามารถทำให้เจ้าใช้วิธีที่เป็นเหตุเป็นผลและถูกต้องมารับมือความใจดีมีเมตตาที่พ่อแม่แสดงต่อเจ้าด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ได้  ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าใช้วิธีที่เป็นเหตุเป็นผลและถูกต้องมารับมือความคาดหวังของพ่อแม่ได้อีกด้วย  แน่นอนว่าความจริงข้อนี้ยิ่งสามารถทำให้เจ้ามีหนทางที่สมเหตุสมผลและถูกต้องไว้จัดการสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพ่อแม่ได้  ถ้าเจ้าสามารถมีท่าทีเช่นนั้นต่อสัมพันธภาพกับพ่อแม่ ดังนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถรับมือสัมพันธภาพนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล  บางคนกล่าวว่า “ความจริงเหล่านี้กล่าวไว้ดีมาก ฟังดูเต็มไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าอย่างยิ่ง แต่ทำไมเวลาผู้คนได้ฟังความจริงเหล่านี้ พวกเขากลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะทำให้สัมฤทธิ์?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่ว่า ‘พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก’—ทำไมพอฟังความจริงข้อนี้แล้ว ผู้คนถึงรู้สึกว่าสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพ่อแม่ยิ่งห่างเหินและแปลกหน้าไปเรื่อยๆ?  ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่าไม่มีความรักใคร่เอ็นดูระหว่างตนกับพ่อแม่?”  ความจริงข้อนี้จงใจที่จะพยายามทำให้ผู้คนเหินห่างจากกันหรือไม่?  ความจริงข้อนี้ตั้งใจที่จะพยายามตัดสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับพ่อแม่ของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  แล้วการเข้าใจความจริงข้อนี้จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นใดได้?  (การเข้าใจความจริงข้อนี้สามารถทำให้พวกเรามองเห็นสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่ของตนได้ตามที่เป็นอย่างแท้จริง—ความจริงข้อนี้ทำให้พวกเรารู้ธรรมชาติที่แท้จริงของเรื่องนี้)  ถูกต้อง ความจริงข้อนี้ทำให้เจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของเรื่องนี้ รับมือและจัดการสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความรักใคร่เอ็นดูหรือในสัมพันธภาพทางเนื้อหนังระหว่างบุคคล ถูกต้องหรือไม่?

พวกเรามาคุยกันเถิดว่าควรตีความถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” กันอย่างไร  พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก—นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเมื่อเป็นข้อเท็จจริง ก็ถูกควรแล้วที่พวกเราจะอธิบายเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ในข้อเท็จจริงนี้  พวกเรามาดูเรื่องที่พ่อแม่ให้กำเนิดเจ้ากันเถิด  ใครเป็นคนเลือกให้พวกเขาให้กำเนิดเจ้า ตัวเจ้าเองหรือพ่อแม่ของเจ้า?  ใครเลือกใคร?  ถ้าเจ้ามองเรื่องนี้ตามมุมมองของพระเจ้า คำตอบย่อมเป็นว่าไม่ใช่ทั้งคู่  คนที่เลือกให้พวกเขาให้กำเนิดเจ้าไม่ใช่ทั้งเจ้าและพ่อแม่  ถ้าเจ้ามองไปที่รากของเรื่องนี้ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้  ตอนนี้พวกเราจะวางเรื่องนี้ไว้ข้างหนึ่งก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ผู้คนเข้าใจได้ง่าย  ในมุมมองของเจ้า เจ้าเกิดกับพ่อแม่ของเจ้าแต่โดยดี ไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้  ส่วนในมุมมองของพ่อแม่ พวกเขาให้กำเนิดเจ้าด้วยเจตจำนงอิสระของตนเอง ถูกต้องหรือไม่?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อวางการลิขิตของพระเจ้าเอาไว้ก่อน ในเรื่องการให้กำเนิดเจ้านั้นย่อมเป็นพ่อแม่ที่มีอำนาจทั้งหมด  พวกเขาเลือกที่จะให้กำเนิดเจ้า และพวกเขาก็ตัดสินชี้ขาดในทุกเรื่อง  เจ้าไม่ได้เลือกให้พวกเขาคลอดเจ้า เจ้าเกิดกับพวกเขาแต่โดยดี และไม่มีทางเลือกอันใดในเรื่องนี้  ดังนั้น ในเมื่อพ่อแม่ของเจ้ามีอำนาจทั้งหมด และเลือกที่จะให้กำเนิดเจ้า พวกเขาย่อมมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะเลี้ยงดูเจ้า ฟูมฟักให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ จัดหาการศึกษาให้แก่เจ้า พร้อมทั้งอาหาร เสื้อผ้า และเงินทอง—นี่คือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเขา และเป็นสิ่งที่พวกเขาพึงทำ  ส่วนเจ้านั้นยอมตามไปเรื่อยๆ ในช่วงที่พวกเขาเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโต เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก—เจ้าต้องได้รับการเลี้ยงดูจากพวกเขา  ด้วยเหตุที่เจ้ายังเล็ก เจ้าจึงไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูตัวเองให้เติบใหญ่ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากยอมให้พ่อแม่เลี้ยงดูแต่โดยดี  เจ้าได้รับการเลี้ยงดูตามวิธีที่พ่อแม่ของเจ้าเลือก ถ้าพวกเขาให้อาหารและเครื่องดื่มดีๆ แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมได้กินอาหารและดื่มเครื่องดื่มที่ดี  ถ้าพ่อแม่ตระเตรียมสภาพความเป็นอยู่ให้เจ้ามีชีวิตรอดด้วยการกินแกลบกับผักป่า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีชีวิตรอดด้วยการกินแกลบกับผักป่า  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ขณะที่เจ้าได้รับการเลี้ยงดูอยู่นั้น เจ้าย่อมยอมตาม และพ่อแม่ของเจ้าก็กำลังลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขา  นี่ก็เหมือนกับการที่พ่อแม่ของเจ้าดูแลไม้ดอก  ในเมื่อพวกเขาอยากเลี้ยงไม้ดอก พวกเขาก็ควรใส่ปุ๋ย รดน้ำ และดูให้แน่ใจว่าต้นไม้นั้นได้รับแสงอาทิตย์  ดังนั้น เมื่อเป็นผู้คน ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะดูแลเอาใจใส่เจ้าอย่างละเอียดลออหรือยอดเยี่ยมเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด พวกเขาก็เพียงแต่ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนเท่านั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูเจ้ามาเพราะเหตุใด นั่นก็คือความรับผิดชอบของพวกเขา—ด้วยเหตุที่พวกเขาให้กำเนิดเจ้า พวกเขาจึงควรรับผิดชอบตัวเจ้า  เมื่อดูตามนี้ ทุกสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าทำไปเพื่อเจ้า สามารถพิจารณาว่าเป็นความใจดีมีเมตตาได้หรือไม่?  ไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  การที่พ่อแม่ของเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้าไม่นับเป็นความใจดีมีเมตตา ดังนั้น ถ้าพวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อไม้ดอกหรือไม้ใบสักต้น รดน้ำและให้ปุ๋ย นั่นนับเป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่?  (ไม่นับ)  นั่นยิ่งห่างไกลจากการเป็นคนใจดีมีเมตตามากขึ้น  ไม้ดอกและไม้ใบเติบโตดีกว่าเมื่ออยู่ข้างนอก—ถ้าปลูกลงดิน ได้สายลม แสงแดด และน้ำฝน ก็จะงอกงาม  เวลาปลูกลงกระถางในร่ม ต้นไม้ย่อมไม่เติบโตดีเท่าเวลาอยู่ข้างนอก แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ต้นไม้ก็มีชีวิต ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว  เจ้าเองก็เป็นคนที่มีชีวิต และพระเจ้าก็ทรงรับผิดชอบทุกชีวิต ทรงทำให้แต่ละชีวิตสามารถอยู่รอด และดำเนินไปตามกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงย่อมปฏิบัติตาม  แต่ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พ่อแม่ของเจ้าเลี้ยงเจ้ามา ดังนั้นเจ้าก็ควรเติบใหญ่และดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ  การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ โดยมากแล้วเป็นเพราะการลิขิตของพระเจ้า และมีส่วนน้อยที่เป็นเพราะการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ของพ่อแม่ ถูกต้องหรือไม่?  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ พ่อแม่ก็กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน  การเลี้ยงเจ้าให้โตเป็นผู้ใหญ่คือภาระผูกพันและความรับผิดชอบของพวกเขา และนี่ก็ไม่อาจเรียกว่าความใจดีมีเมตตาได้  ถ้าไม่สามารถเรียกว่าความใจดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าพึงมีมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือสิทธิ์อย่างหนึ่งที่เจ้าพึงมี  เจ้าควรได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ เพราะก่อนที่เจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่นั้น บทบาทที่เจ้ามีก็คือบทบาทของลูกที่ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโต  เพราะฉะนั้น พ่อแม่ของเจ้าจึงเพียงแต่ลุล่วงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่พวกเขามีต่อเจ้าเท่านั้น และเจ้าก็เพียงแต่รับเอาไว้ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้รับพระคุณหรือความใจดีมีเมตตาจากพวกเขา  สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การมีลูกและเลี้ยงดูลูก สืบพันธุ์และเลี้ยงดูรุ่นต่อไปให้เติบใหญ่ เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง  ยกตัวอย่างนก วัว แกะ และแม้กระทั่งเสือ หลังจากที่มีลูกแล้วก็ล้วนต้องเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตน  ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดที่ไม่เลี้ยงลูกของตนเอง  เป็นไปได้ที่จะมีกรณียกเว้นบ้าง แต่ก็ไม่มาก  นี่คือปรากฏการณ์ธรรมชาติในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่อาจจัดให้เป็นความใจดีมีเมตตาได้  พวกเขาเพียงปฏิบัติตามกฎที่พระผู้สร้างทรงวางไว้ให้แก่สัตว์และมวลมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น  เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่จึงไม่ใช่ความใจดีมีเมตตาอย่างหนึ่ง  เมื่อพิจารณาตามนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก  พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ความพยายามและเงินทองไปกับเจ้ามากเท่าใด พวกเขาก็ไม่ควรขอให้เจ้าชดใช้ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะพ่อแม่  ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ก็ควรให้เปล่า และพวกเขาก็ไม่ควรขออะไรชดเชย  ด้วยการเลี้ยงดูเจ้า พ่อแม่ก็เพียงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของพวกเขาเท่านั้น และไม่ควรมีการจ่ายอะไรในเรื่องนี้ นี่ไม่ควรเป็นธุรกรรมซื้อขาย  ดังนั้น เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องรับมือพ่อแม่หรือจัดการสัมพันธภาพกับพวกเขาตามแนวคิดของการใช้คืนพวกเขา  ถ้าเจ้าเลี้ยงดูปูเสื่อ จ่ายคืนพ่อแม่ และจัดการสัมพันธภาพกับพวกเขาตามแนวคิดนี้ นั่นย่อมไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์  พร้อมกันนั้นก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้าถูกความรู้สึกทางเนื้อหนังควบคุมและพันธนาการเอาไว้ และเป็นการยากที่เจ้าจะหลุดออกจากสภาพที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ ถึงขนาดที่เจ้าอาจจะอับจนหนทางด้วยซ้ำ  พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีภาระผูกพันที่จะทำให้ความคาดหวังทั้งหมดของพวกเขาเป็นจริง  เจ้าไม่มีภาระผูกพันที่จะจ่ายอะไรตามความคาดหวังของพวกเขา  นั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีความคาดหวังของตนเองก็ได้  เจ้าเองก็มีทางเลือกของตนเอง มีเส้นทางชีวิตและชะตาชีวิตที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเจ้า  ดังนั้น เมื่อพ่อหรือแม่ของเจ้ากล่าวว่า “ลูกอกตัญญู  ลูกไม่ได้กลับมาเจอหน้าแม่หลายปีแล้ว และตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ลูกโทรมาหาก็หลายวันเข้าไปแล้ว  แม่ไม่สบายก็ไม่มีใครคอยดูแล  แม่เลี้ยงลูกมาเหนื่อยเปล่าจริงๆ  ลูกช่างเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจโดยแท้ เป็นลูกที่ไม่สำนึกบุญคุณ!” ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” การได้ฟังคำพูดเหล่านี้ย่อมจะเจ็บปวดเหมือนมีมีดทิ่มแทงหัวใจของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าก็จะรู้สึกว่าถูกกล่าวโทษ  วาจาเหล่านี้ทุกถ้อยทุกคำจะฝังตัวอยู่ในหัวใจของเจ้า และทำให้เจ้ารู้สึกละอายที่จะสู้หน้าพ่อแม่ของตน รู้สึกติดหนี้พ่อแม่ และเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อพวกเขา  เมื่อพ่อแม่พูดว่าเจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ เจ้าก็จะรู้สึกจริงๆ ว่า “พ่อแม่พูดถูกที่สุด  พวกท่านเลี้ยงดูฉันมาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยมีความสุขและสว่างไสวเพราะฉันเลย  ตอนนี้พวกท่านไม่สบาย และหวังว่าฉันจะสามารถอยู่เฝ้าข้างเตียง คอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อน  พ่อแม่ต้องการให้ฉันตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกท่าน และฉันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ฉันเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจจริงๆ!”  เจ้าจะจัดให้ตัวเองเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ—นั่นสมเหตุสมผลหรือไม่?  เจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจกระนั้นหรือ?  ถ้าเจ้าไม่ได้ออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ของตนที่อื่น และเจ้าคอยอยู่ข้างๆ พ่อแม่ เจ้าจะสามารถป้องกันไม่ให้พวกเขาเจ็บป่วยได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าจะสามารถควบคุมได้หรือว่าพ่อแม่ของเจ้าจะอยู่หรือจะตาย?  เจ้าควบคุมได้หรือว่าพวกเขาจะรวยหรือจะจน?  (ไม่ได้)  ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม นั่นย่อมจะไม่ใช่เพราะพวกเขาเหนื่อยล้านักหนาจากการเลี้ยงดูเจ้ามา หรือเพราะพวกเขาคิดถึงเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาจะไม่เป็นโรคร้ายแรงที่หนักหนาและอาจถึงแก่ชีวิตเพราะเจ้า  นั่นคือชะตากรรมของพวกเขา และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะกตัญญูเพียงใด สิ่งที่เจ้าสัมฤทธิ์ได้อย่างมากก็คือบรรเทาความทุกข์และภาระทางเนื้อหนังให้แก่พวกเขาบ้าง แต่ในเรื่องที่ว่าพวกเขาจะไม่สบายเมื่อใด จะเป็นโรคอะไร จะตายเมื่อใด และจะตายที่ไหน—สิ่งเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าบ้างหรือไม่?  ไม่มี  ถ้าเจ้ากตัญญู ถ้าเจ้าไม่ใช่คนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ และเจ้าอยู่กับพวกเขาทั้งวัน เฝ้าดูแลพวกเขา พวกเขาจะไม่เจ็บป่วยกระนั้นหรือ?  พวกเขาจะไม่ตายกระนั้นหรือ?  ถ้าพวกเขาจะไม่สบาย พวกเขาย่อมจะไม่สบายอยู่ดีมิใช่หรือ?  ถ้าพวกเขาจะตาย พวกเขาก็จะตายอยู่ดีมิใช่หรือ?  ถูกต้องหรือไม่?  ถ้าพ่อแม่ของเจ้าเคยกล่าวว่าเจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ เจ้าไม่มีมโนธรรม และเป็นลูกที่ไม่สำนึกบุญคุณ เจ้าก็คงจะรู้สึกเสียใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วตอนนี้เล่า?  (ตอนนี้ข้าพระองค์ย่อมจะไม่รู้สึกเสียใจ)  ดังนั้น ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างไร?  (เป็นเพราะพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมว่าไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเราจะเจ็บป่วยหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือว่าตาย ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา ทั้งหมดคือสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  ถ้าพวกเราอยู่เคียงข้างพ่อแม่ พวกเราก็จะไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นถ้าพ่อแม่กล่าวว่าพวกเราเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ นี่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา)  ไม่ว่าพ่อแม่จะเรียกเจ้าว่าคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจหรือไม่ อย่างน้อยเจ้าก็กำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง  ตราบใดที่เจ้าไม่ใช่คนเนรคุณที่ไร้น้ำใจในสายพระเนตรของพระเจ้า นั่นก็พอแล้ว  สิ่งที่ผู้คนกล่าวนั้นไม่สำคัญ  สิ่งที่พ่อแม่พูดถึงเจ้าไม่จำเป็นต้องจริง และสิ่งที่พวกเขากล่าวก็ไม่ได้มีประโยชน์  เจ้าจำเป็นต้องรับพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นหลักการของเจ้า  ถ้าพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ดีพอ เช่นนั้นแล้ว ถึงผู้คนจะเรียกเจ้าว่าคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้  เพียงแต่ว่าผู้คนย่อมจะได้รับผลกระทบจากถ้อยคำปรามาสเหล่านี้ก็เพราะผลพวงจากมโนธรรมของพวกเขาเอง หรือเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและด้อยวุฒิภาวะ แล้วพวกเขาก็จะอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย และรู้สึกหดหู่บ้าง แต่เมื่อพวกเขากลับคืนมาเบื้องหน้าพระเจ้า ทั้งหมดนี้ก็จะได้รับการแก้ไข และจะไม่สร้างปัญหาให้แก่พวกเขาอีกต่อไป  เรื่องของการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ของคนเราได้รับการแก้ไขแล้วมิใช่หรือ?  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ข้อเท็จจริงที่ผู้คนจำเป็นต้องทำความเข้าใจในที่นี้คืออะไร?  การเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่  พวกเขาเลือกที่จะให้กำเนิดเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโต  ด้วยการเลี้ยงดูเจ้าให้โตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจึงลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตน  เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องชดใช้พวกเขา  เจ้าไม่จำเป็นต้องชดใช้—นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดให้แก่พวกเขาเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตา  ถ้ารูปการณ์ของเจ้าเปิดโอกาสให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขาบ้าง เช่นนั้นแล้วก็จงทำเถิด  ถ้าสภาพแวดล้อมของเจ้าและรูปการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่เปิดโอกาสให้เจ้าลุล่วงภาระผูกพันที่มีต่อพวกเขา เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากเกินไป และไม่ควรคิดว่าเจ้านั้นติดหนี้พวกเขา เพราะพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก  ไม่ว่าเจ้าจะแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ หรือลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขาหรือไม่ เจ้าก็เพียงแต่คิดในมุมมองของลูกและลุล่วงความรับผิดชอบนิดหน่อยที่เจ้ามีต่อผู้คนที่เคยให้กำเนิดและเลี้ยงดูเจ้ามาเท่านั้น  แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ตามมุมมองที่เป็นการชดใช้พวกเขา หรือตามมุมมองที่ว่า “พ่อแม่คือผู้มีคุณ และลูกต้องแทนคุณพ่อแม่ เธอต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา”

มีคำกล่าวในโลกของผู้ไม่มีความเชื่ออยู่ว่า “กาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่”  ยังมีคำกล่าวนี้อีกด้วยว่า “คนอกตัญญูต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน”  คำกล่าวเหล่านี้ฟังดูใหญ่โตยิ่ง!  อันที่จริง ปรากฏการณ์ที่คำกล่าวข้อแรกเอ่ยถึงเรื่องกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่นั้นมีอยู่จริง นี่คือข้อเท็จจริง  อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ในโลกของสัตว์เท่านั้น  เป็นเพียงกฎอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต่างๆ และเป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสารพัดชนิด รวมถึงมนุษย์ ต่างก็ปฏิบัติตาม  ข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสารพัดชนิดปฏิบัติตามกฎข้อนี้แสดงให้เห็นต่อไปอีกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวงก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถละเมิดกฎข้อนี้ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดสามารถอยู่เหนือกฎนี้  แม้แต่สัตว์กินเนื้อที่ค่อนข้างดุร้ายอย่างสิงโตและเสือก็บำรุงเลี้ยงและไม่กัดลูกๆ ของมันก่อนที่ลูกจะโตเต็มวัย  นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด ดุร้ายหรือเชื่องและอ่อนโยน สัตว์ทุกตัวล้วนมีสัญชาตญาณนี้  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ ได้แต่เพิ่มจำนวนและอยู่รอดต่อไปด้วยการทำตามสัญชาตญาณนี้และกฎข้อนี้  ถ้าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามกฎนี้ หรือไม่มีกฎข้อนี้และสัญชาตญาณนี้ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนและอยู่รอดได้  ห่วงโซ่ทางชีวภาพจะไม่เกิดขึ้น และโลกนี้ก็จะไม่มีอยู่เช่นกัน  นี่คือเรื่องจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำกล่าวที่ว่ากาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารให้ ส่วนลูกแกะคุกเข่ารับน้ำนมจากแม่ แสดงให้เห็นโดยแท้ว่าโลกของสัตว์ดำเนินไปตามกฎเช่นนี้  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดมีสัญชาตญาณนี้  เมื่อลูกเกิดมา ก็จะมีสัตว์ชนิดนั้นตัวเมียหรือตัวผู้คอยดูแลและบำรุงเลี้ยงจนโตเต็มวัย  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ตนมีต่อเลือดเนื้อเชื้อไขได้ ตั้งอกตั้งใจเลี้ยงดูรุ่นต่อไปให้เติบโตตามหน้าที่  มนุษย์ควรเป็นเช่นนี้มากกว่าด้วยซ้ำ  มวลมนุษย์เรียกตัวเองว่าสัตว์ที่สูงส่งกว่า—ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำตามกฎข้อนี้ และไม่มีสัญชาตญาณนี้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็ต่ำกว่าสัตว์มิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะบำรุงเลี้ยงเจ้ามากเพียงใดระหว่างที่เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ ไม่ว่าจะลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขามีต่อเจ้าไปมากเท่าใด พวกเขาก็เพียงแต่ทำสิ่งที่ตนพึงทำในขอบเขตความสามารถของมนุษย์ทรงสร้างคนหนึ่งเท่านั้น—นี่คือสัญชาตญาณของพวกเขา  ดูแค่นกก็พอ ก่อนถึงฤดูผสมพันธุ์สักเดือนกว่าๆ นกทั้งหลายจะมองหาที่ปลอดภัยไว้ทำรังกันตลอดเวลา  นกตัวผู้และตัวเมียต่างผลัดกันออกไปข้างนอก คาบเอาพืช ขนนก และกิ่งไม้ต่างชนิดมาเริ่มสร้างรังของพวกตนบนต้นไม้ที่มีใบค่อนข้างหนาแน่น  รังน้อยๆ ที่นกสารพัดชนิดสร้างขึ้นล้วนแข็งแรงและซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ  นกทุ่มเทความพยายามทั้งหมดนี้ทำรังและสร้างที่กำบังเพื่อลูกน้อยของตน  หลังจากที่สร้างรังเสร็จและถึงเวลากกไข่ก็จะมีนกหนึ่งตัวอยู่ในรังแต่ละรังเสมอ แต่ละวันนกตัวผู้และตัวเมียจะผลัดกันอยู่โยงตลอด 24 ชั่วโมง และต่างก็เอาใจใส่อย่างยิ่ง—เมื่อตัวหนึ่งกลับรัง ไม่ทันไรอีกตัวก็บินจากไป  พ้นช่วงนี้ไปไม่นาน ลูกนกบางตัวก็ฟักเป็นตัวและโผล่หัวออกมาจากเปลือกไข่ เจ้าสามารถได้ยินพวกมันเริ่มส่งเสียงร้องอยู่ตามต้นไม้  พ่อแม่นกบินไปบินมา เดี๋ยวกลับมาป้อนหนอนให้ลูกๆ เดี๋ยวก็กลับมาอีกเพื่อป้อนอย่างอื่นให้ แสดงถึงความเอาใจใส่อย่างยิ่ง  ผ่านไปสองเดือน ลูกนกบางตัวก็โตขึ้นบ้าง สามารถยืนเกาะขอบรังและกระพือปีก พ่อแม่นกก็บินไปมา ผลัดกันป้อนอาหารและระวังภัยให้ลูกนก  มีอยู่ปีหนึ่งเราเห็นกาตัวหนึ่งบนท้องฟ้า ปากคาบลูกนกตัวหนึ่งเอาไว้  ลูกนกตัวนั้นร้องออกมาอย่างน่าอนาถมาก ประมาณว่าร้องขอความช่วยเหลือ  กานั้นบินอยู่ข้างหน้าพร้อมกับลูกนกในปาก และมีพ่อนกแม่นกคู่หนึ่งบินกวดมาติดๆ  นกคู่นั้นก็ร้องออกมาอย่างน่าอนาถเช่นกัน และในที่สุดกาก็บินจากไป  ไม่ว่าพ่อแม่นกจะกวดทันกาหรือไม่ ลูกนกก็น่าจะตายอยู่ดี  พ่อแม่นกที่ตามกาไปติดๆ นั้นแผดเสียงและกรีดร้องมากเสียจนผู้คนที่พื้นพลอยตระหนกไปด้วย—เจ้าว่าเสียงร้องของพ่อนกแม่นกต้องน่าอนาถเพียงใด?  ที่จริงแล้ว ทั้งสองไม่ได้มีลูกเพียงตัวเดียวเป็นแน่  ต้องมีลูกน้อยสักสามหรือสี่ตัวอยู่ในรัง แต่พอตัวหนึ่งถูกคาบไป พวกมันก็ไล่กวดตาม พลางแผดเสียงและกรีดร้อง  โลกของสัตว์และโลกชีวภาพเป็นเช่นนั้น—สิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมสามารถบำรุงเลี้ยงเลือดเนื้อเชื้อไขของตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  นกก็บินกลับไปสร้างรังใหม่ทุกปี พวกมันทำสิ่งเดียวกันทุกปี กกลูกของมัน ป้อนอาหาร และสอนวิธีบินให้แก่ลูก  ระหว่างที่ลูกนกหัดบิน พวกมันย่อมบินได้ไม่สูง และบางครั้งก็ตกลงไปที่พื้น  พวกเรายังเคยช่วยลูกนกไว้สองสามครั้งด้วยซ้ำ และรีบนำไปคืนรัง  พ่อแม่นกสอนลูกนกทุกวัน และไม่วันใดก็วันหนึ่งลูกนกทั้งหมดย่อมจะบินจากรังไป ทิ้งรังเปล่าไว้ข้างหลัง  ปีถัดไป นกคู่ใหม่ก็มาสร้างรัง กกไข่ และเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสัตว์ทุกชนิดมีสัญชาตญาณและกฎเหล่านี้ และปฏิบัติตามได้อย่างดียิ่ง ดำเนินการตามนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้  ยังมีสัตว์พิเศษบางตัว เช่น เสือและสิงโตอีกด้วย  เวลาสัตว์เหล่านี้โตเต็มที่ พวกมันก็จากพ่อแม่ไป และตัวผู้บางตัวก็ถึงกับกลายเป็นคู่แข่ง กัดกัน ขับเคี่ยวและต่อสู้กันตามความจำเป็น  นี่เป็นเรื่องปกติ เป็นกฎอย่างหนึ่ง  พวกมันไม่ได้รักใคร่เอ็นดูกันเท่าใดนัก และไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางความรู้สึกต่างๆ ของตนเหมือนผู้คน พลางพูดว่า “ฉันต้องตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ ฉันต้องใช้คืน—ฉันต้องเชื่อฟังพ่อแม่  ถ้าฉันไม่แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ คนอื่นจะกล่าวโทษฉัน ต่อว่า และวิพากษ์วิจารณ์ฉันลับหลัง  ฉันทนรับเรื่องนั้นไม่ได้!”  โลกของสัตว์ไม่มีการพูดอะไรแบบนั้น  เหตุใดผู้คนจึงพูดเรื่องแบบนั้น?  เพราะในสังคมและในกลุ่มคน มีแนวคิดและฉันทามติต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง  หลังจากที่ผู้คนถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำ กัดกร่อน และทำให้ผุพัง ในตัวพวกเขาย่อมเกิดวิธีตีความและวิธีรับมือสัมพันธภาพพ่อแม่ลูกที่แตกต่างออกไป และในที่สุดพวกเขาก็จะปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนดุจดังเจ้าหนี้—เป็นเจ้าหนี้ที่ชั่วชีวิตนี้พวกเขาจะไม่มีวันสามารถใช้คืนได้หมด  มีแม้กระทั่งบางคนที่รู้สึกผิดไปชั่วชีวิตหลังจากที่พ่อแม่ตาย พวกเขาคิดไปว่าตนนั้นไม่คู่ควรกับความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่ เพราะพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ไม่มีความสุข หรือไม่ได้เป็นไปในทางที่พ่อแม่อยากให้เป็น  จงบอกเราเถิด นี่เกินเหตุมิใช่หรือ?  ผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกของตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ถูกแนวคิดต่างๆ ที่เกิดจากความรู้สึกเหล่านี้แทรกแซงและรบกวน  ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นผลมาจากอุดมคติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ดังนั้นพวกเขาจึงถูกแนวคิดต่างๆ ที่คลาดเคลื่อนคอยแทรกแซงและรบกวน ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเหนื่อยล้าและไม่ค่อยเรียบง่ายอย่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอื่นๆ  อย่างไรก็ดี ตอนนี้ด้วยเหตุที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจ และเพราะพระองค์กำลังแสดงความจริงเพื่อบอกผู้คนเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ และเพื่อทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง หลังจากที่เจ้ามาเข้าใจความจริงแล้ว แนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ก็จะไม่เป็นภาระแก่เจ้าอีกต่อไป และจะไม่ทำหน้าที่ชี้นำอีกต่อไปว่าเจ้าควรรับมือสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่ของเจ้าอย่างไร  ถึงตอนนั้น ชีวิตของเจ้าก็จะผ่อนคลายมากขึ้น  การมีชีวิตที่ผ่อนคลายไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า—เจ้าจะยังคงรู้สิ่งเหล่านี้  เพียงแต่การมีชีวิตที่ผ่อนคลายนั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเลือกที่จะรับมือความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าด้วยมุมมองและวิธีการใด  ทางหนึ่งนั้นคือการเดินไปตามเส้นทางของความรู้สึก และรับมือสิ่งเหล่านี้ด้วยหนทางที่ใช้อารมณ์ ด้วยวิธีการ แนวคิด และทัศนะที่ซาตานชี้นำมนุษย์  อีกทางหนึ่งเป็นการรับมือสิ่งเหล่านี้ตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสสอนมนุษย์  เมื่อผู้คนจัดการเรื่องเหล่านี้ตามแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนของซาตาน พวกเขาก็ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงของตน และไม่เคยแยกแยะถูกผิดได้  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ชีวิตอยู่ในบ่วง พัวพันอยู่กับเรื่องราวต่างๆ เสมอ เช่น “เธอถูก ฉันผิด  เธอให้ฉันมากกว่า ฉันให้เธอน้อยกว่า  เธอไม่รู้คุณ  เธอทำเกินไป”  ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยมีห้วงเวลาที่พวกเขาพูดจากันอย่างชัดเจน  อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผู้คนเข้าใจความจริง และเมื่อพวกเขาหนีพ้นแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนของตน หนีพ้นความรู้สึกต่างๆ ที่โยงใยอยู่ เรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา  ถ้าเจ้ายึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง แนวคิด หรือทัศนะที่ถูกต้องซึ่งมาจากพระเจ้า ชีวิตของเจ้าก็จะผ่อนคลายลงอย่างมาก  จะไม่ถูกความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ การตระหนักรู้ทางมโนธรรมของเจ้า และภาระที่มาจากความรู้สึกของเจ้าคอยกีดขวางอีกต่อไปว่าเจ้าควรรับมือสัมพันธภาพที่มีกับพ่อแม่อย่างไร ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสามารถเผชิญหน้าความสัมพันธ์นี้ได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล  ถ้าเจ้ากระทำการตามหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ ต่อให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เจ้าลับหลัง เจ้าก็จะยังคงรู้สึกว่าสงบและมีสันติสุขอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้า และเรื่องนั้นก็จะไม่ส่งผลต่อเจ้า  อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะไม่ต่อว่าตัวเองว่าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจหรือรู้สึกว่าถูกมโนธรรมกล่าวหาอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเจ้าอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะเจ้าจะรู้ว่าการกระทำทั้งหมดของเจ้าดำเนินไปตามวิธีการที่พระเจ้าทรงสอนเจ้าเอาไว้ และเจ้าก็กำลังฟังและนบนอบพระวจนะของพระเจ้า กำลังเดินไปตามหนทางของพระองค์  การฟังพระวจนะของพระเจ้าและเดินไปตามหนทางของพระองค์คือสำนึกทางมโนธรรมที่ผู้คนพึงมีมากที่สุด  เจ้าจะเป็นคนที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น  ถ้าเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ไม่สำเร็จ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทีนี้เจ้าก็มองเห็นเรื่องนี้ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  การมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจนคือแง่หนึ่งของเรื่อง ถ้าผู้คนสามารถรู้ทันเรื่องนี้และนำความจริงไปปฏิบัติได้เรื่อยๆ นั่นย่อมเป็นอีกแง่หนึ่ง  การที่จะมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน ผู้คนต้องมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ สักระยะหนึ่ง ถ้าผู้คนอยากมองเห็นข้อเท็จจริงและแก่นแท้นี้อย่างชัดเจน อยากไปถึงจุดที่พวกเขารับมือเรื่องต่างๆ ด้วยหลักธรรม นี่ย่อมไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น เพราะผู้คนต้องทิ้งอิทธิพลของแนวคิดและทัศนะสารพัดชนิดที่เลวและคลาดเคลื่อนเสียก่อน  อีกแง่หนึ่งของเรื่องนี้ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาต้องสามารถสลายกรอบและอิทธิพลของมโนธรรมและความรู้สึกของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องผ่านพ้นอุปสรรคที่เป็นความรู้สึกของตนเองไปให้ได้  สมมุติว่าเจ้ายอมรับในทางทฤษฎีว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเจ้าก็รู้ในเชิงทฤษฎีว่าแนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนซึ่งซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนั้นผิด แต่เจ้าก็ไม่อาจก้าวข้ามอุปสรรคที่เป็นความรู้สึกของตนได้อยู่ดี และเจ้าก็รู้สึกผิดกับพ่อแม่อยู่เสมอ คิดว่าพวกเขาใจดีมีเมตตาต่อเจ้ามากมายเหลือเกิน พวกเขาสละ ลงมือทำ และทนทุกข์เพื่อเจ้ามากเหลือเกิน ทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำไปเพื่อเจ้า ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดเอาไว้ และแม้กระทั่งทุกราคาที่พวกเขาจ่ายไปเพื่อเจ้า ยังคงทอดเงาชัดเจนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  อุปสรรคแต่ละอย่างนี้จะเป็นทางแยกที่สำคัญยิ่งสำหรับเจ้า และไม่ง่ายที่เจ้าจะผ่านไปได้  อันที่จริง อุปสรรคที่เจ้าจะผ่านไปได้ยากที่สุดก็คือตัวเจ้าเอง  ถ้าเจ้าผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถปล่อยความรู้สึกที่เจ้ามีต่อพ่อแม่ไปจากหัวใจของเจ้าได้อย่างสิ้นเชิง  เราไม่ได้สามัคคีธรรมเรื่องนี้เพื่อทำให้เจ้าทรยศพ่อแม่ และแน่นอนว่าเราไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อให้เจ้าขีดเส้นมีระยะกับพ่อแม่—พวกเราไม่ได้กำลังตั้งต้นเคลื่อนไหวอะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขีดเส้นแบ่งระยะใดๆ  เราสามัคคีธรรมเรื่องนี้เพียงเพื่อที่จะถ่ายทอดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ให้แก่เจ้า และเพื่อช่วยให้เจ้ายอมรับแนวคิดและทัศนะที่ถูกต้อง  นอกจากนี้เรายังสามัคคีธรรมเรื่องนี้เพื่อที่ว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะไม่เดือดร้อนเพราะสิ่งเหล่านี้ หรือถูกมันมัดมือมัดเท้าเอาไว้ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมื่อเจ้าเผชิญสิ่งเหล่านี้ มันจะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า  เมื่อเป็นดังนี้ สามัคคีธรรมของเราย่อมจะบรรลุเป้าหมายแล้ว  เป็นเรื่องแน่นอนว่าผู้คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในเนื้อหนังจะสามารถไปถึงจุดที่พวกเขาไม่เก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในใจและไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงทางอารมณ์ระหว่างพวกเขากับพ่อแม่ของตนได้หรือไม่?  ย่อมจะเป็นไปไม่ได้  ในโลกนี้ นอกจากพ่อแม่ของตนแล้ว ผู้คนยังมีลูกๆ ของตนเองอีกด้วย—สองอย่างนี้คือสัมพันธภาพทางเนื้อหนังที่แน่นแฟ้นที่สุดในหมู่ผู้คน  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสะบั้นสายใยระหว่างพ่อแม่กับลูกได้หมด  เราไม่ได้พยายามให้เจ้าประกาศอย่างเป็นทางการว่าเจ้าจะตัดสายสัมพันธ์กับพ่อแม่ของตน และจะไม่มีวันคบหาสมาคมกับพวกเขาอีก  เราพยายามช่วยให้เจ้ารับมือสัมพันธภาพที่มีกับพวกเขาอย่างถูกต้อง  เหล่านี้เป็นเรื่องยากมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้น และเมื่อเจ้ามีอายุมากขึ้น ความยากของเรื่องเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ  เมื่อผู้คนอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี พวกเขาย่อมรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่ในระดับที่ต่างออกไปเมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอายุ 30 หรือ 40 ปี  พอพวกเขาอายุครบ 50 ปี ความผูกพันนี้ก็จะยิ่งลดลงไปอีก และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงยามที่ผู้คนอายุ 60 หรือ 70 ปี  ถึงตอนนั้นความผูกพันจะยิ่งเบาบางลงไปอีก—ความผูกพันย่อมเปลี่ยนแปลงไปเมื่อผู้คนมีอายุมากขึ้น

ความจริงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” คือหลักธรรมที่ถูกต้องของการปฏิบัติ ซึ่งผู้คนควรทำความเข้าใจเมื่อเป็นเรื่องที่ว่าพวกเขาควรมีท่าทีเช่นไรต่อพ่อแม่  หลักธรรมอื่นๆ ในการปฏิบัติมีอะไรอีก?  (พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก)  เรื่องที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก” นี้เข้าใจและปล่อยมือได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับข้อที่ว่า “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก” มิใช่หรือ?  ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าพ่อแม่ให้กำเนิดชีวิตทางเนื้อหนังแก่เจ้า และเป็นพ่อแม่นั่นเองที่ให้ชีวิตแก่เจ้า  แต่ตามมุมมองของพระเจ้า และเมื่อดูที่มูลเหตุของเรื่องแล้ว พ่อแม่ไม่ใช่ผู้ให้ชีวิตทางเนื้อหนังแก่เจ้า เพราะผู้คนไม่สามารถสร้างชีวิตได้  กล่าวง่ายๆ ก็คือไม่มีใครสามารถสร้างลมหายใจของมนุษย์ได้  สาเหตุที่เนื้อหนังของแต่ละคนสามารถกลายเป็นตัวบุคคลขึ้นมาได้ก็เพราะพวกเขามีลมหายใจ  ชีวิตของมนุษย์ก็อยู่ในลมหายใจนี้ และลมหายใจก็เป็นเครื่องหมายของคนที่มีชีวิต  ผู้คนมีลมหายใจนี้และชีวิต ต้นกำเนิดและที่มาของสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา  เพียงแต่มีการผลิตผู้คนขึ้นมาผ่านช่องทางที่เป็นการให้กำเนิดลูกของพ่อแม่เท่านั้น—เมื่อดูที่ต้นตอแล้ว พระเจ้านั่นเองที่ประทานสิ่งเหล่านี้แก่ผู้คน  ดังนั้น พ่อแม่จึงไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตของลูก พระเจ้าคือองค์เจ้านายเหนือชีวิตของเจ้า  พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา พระองค์ทรงสร้างชีวิตของมวลมนุษย์ขึ้นมา และประทานลมหายใจแห่งชีวิตแก่มวลมนุษย์ ซึ่งก็คือต้นกำเนิดแห่งชีวิตของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ประโยคที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตของลูก” จึงเข้าใจง่ายมิใช่หรือ?  ลมหายใจของเจ้านั้นพ่อแม่ไม่ได้เป็นผู้มอบให้ และผู้ที่มอบความต่อเนื่องของลมหายใจก็ยิ่งไม่ใช่พ่อแม่  พระเจ้าทรงดูแลและปกครองทุกวันในชีวิตของเจ้า  พ่อแม่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าแต่ละวันในชีวิตของเจ้าจะดำเนินไปอย่างไร แต่ละวันจะเป็นสุขและราบรื่นหรือไม่ ทุกวันเจ้าจะพบใครบ้าง หรือเจ้าจะมีชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นใดในแต่ละวัน  เพียงแต่ว่าพระเจ้าทรงดูแลเจ้าผ่านทางพ่อแม่ของเจ้า—พ่อแม่เป็นเพียงผู้คนที่พระเจ้าทรงส่งมาดูแลเจ้าเท่านั้น  เมื่อเจ้าเกิดมา ก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่มอบชีวิตแก่เจ้า ดังนั้นใช่พ่อแม่ของเจ้าหรือไม่ที่มอบชีวิตซึ่งเปิดโอกาสให้เจ้ามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้?  ก็ไม่ใช่อยู่ดี  ต้นกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่พ่อแม่  สมมุติว่าพ่อแม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้า แต่เมื่อเจ้าอายุสักหนึ่งหรือห้าขวบ พระเจ้าตัดสินพระทัยว่าจะเอาชีวิตของเจ้า  พ่อแม่ของเจ้าจะสามารถทำอะไรได้หรือไม่ในเรื่องนั้น?  พ่อแม่ของเจ้าจะทำเช่นใด?  พวกเขาจะช่วยให้เจ้ารอดชีวิตได้อย่างไร?  พวกเขาจะส่งเจ้าเข้าโรงพยาบาลและฝากเจ้าไว้กับหมอ ซึ่งก็จะพยายามรักษาโรคและช่วยชีวิตเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบของพ่อแม่  อย่างไรก็ดี ถ้าพระเจ้าตรัสว่าชีวิตนี้และคนคนนี้ไม่ควรดำเนินต่อไป และเจ้าควรเกิดใหม่กับอีกครอบครัวหนึ่ง เช่นนั้นแล้วพ่อแม่ของเจ้าย่อมไม่มีอำนาจหรือช่องทางอันใดที่จะช่วยชีวิตเจ้า  พวกเขาจะได้แต่เฝ้ามองชีวิตน้อยๆ ของเจ้าจากโลกนี้ไป  เมื่อสูญเสียชีวิตหนึ่งไป พวกเขาย่อมไม่อาจทำอะไรได้—สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะพ่อแม่ และฝากเจ้าไว้กับหมอที่จะพยายามรักษาโรคและช่วยให้เจ้ารอดชีวิต แต่คนที่จะตัดสินใจว่าชีวิตของเจ้าจะดำเนินต่อไปหรือไม่นั้นไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้า  ถ้าพระเจ้าตรัสว่าเจ้าสามารถมีชีวิตต่อไปได้ เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าก็จะดำรงอยู่  ถ้าพระเจ้าตรัสว่าชีวิตของเจ้าไม่ควรมีอยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเสียชีวิต  ในเรื่องนั้นมีสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าสามารถทำได้บ้างหรือไม่?  พวกเขาได้แต่ทำใจรับชะตากรรมของเจ้า  กล่าวง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างธรรมดาๆ เท่านั้น  เพียงแต่ว่าในมุมมองของเจ้า พวกเขามีอัตลักษณ์ที่พิเศษ—พวกเขาให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงเจ้ามา พวกเขาเป็นนายของเจ้า และเป็นพ่อแม่ของเจ้า  แต่ในมุมมองของพระเจ้า พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เป็นเพียงสมาชิกของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดที่พิเศษในตัวพวกเขา  พวกเขาไม่ได้เป็นนายของชีวิตตนเองด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะเป็นนายเหนือชีวิตของเจ้าได้อย่างไร?  แม้พวกเขาจะให้กำเนิดเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าชีวิตของเจ้ามาจากไหน และพวกเขาไม่อาจตัดสินได้ว่าชีวิตของเจ้าจะมาถึงในเวลาใด โมงยามใด และในที่แห่งใด หรือว่าชีวิตของเจ้าจะเป็นเช่นใด  พวกเขาไม่รู้อะไรเหล่านี้เลย  สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาเพียงแต่เฝ้ารออยู่เฉยๆ เท่านั้น เฝ้ารออธิปไตยของพระเจ้าและการจัดเตรียมของพระองค์  ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสุขกับการนี้หรือไม่ พวกเขาจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ถูกจัดวางเรียบเรียงและเกิดขึ้นในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตของลูก—เรื่องนี้เข้าใจง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่ให้กำเนิดเนื้อหนังของเจ้า แต่พวกเขาไม่ได้ให้กำเนิดชีวิตที่อยู่ในเนื้อหนังของเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริง  พ่อแม่ของเจ้าจะถึงกับสามารถควบคุมเรื่องต่างๆ เช่น เจ้าจะสูงเท่าใด สุขภาพร่างกายของเจ้าจะเป็นเช่นใด เส้นผมของเจ้าจะมีสีอะไรหรือหนาเท่าใด งานอดิเรกของเจ้าจะเป็นอะไร และอื่นๆ ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พ่อแม่ของเจ้าไม่สามารถตัดสินได้ว่าผิวพรรณของเจ้าจะดีหรือไม่ดี หรือเครื่องหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร  พ่อแม่บางคนอ้วน และให้กำเนิดลูกๆ ที่ผอมเตี้ย จมูกและตาก็เล็ก  เมื่อผู้คนมองเห็นพวกเขา ผู้คนก็พากันคิดว่า “เด็กเหล่านี้หน้าตาเหมือนใคร?  แน่นอนว่าดูไม่เหมือนพ่อแม่”  พ่อแม่ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยซ้ำไปมิใช่หรือว่าลูกของตนจะมีหน้าตาเช่นใด?  พ่อแม่บางคนมีร่างกายที่กำยำล่ำสันมาก และให้กำเนิดลูกๆ ที่ผอมแห้งแรงน้อย พ่อแม่บางคนมีร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อย และคลอดลูกที่กำยำล่ำสันยิ่ง แข็งแรงพอๆ กับวัวหนุ่ม  พ่อแม่บางคนขลาดกลัวเหมือนหนู และให้กำเนิดลูกๆ ที่กล้ามาก  พ่อแม่บางคนรอบคอบระมัดระวัง และให้กำเนิดลูกๆ ที่ทะเยอทะยานมาก และท้ายที่สุดลูกบางคนก็กลายเป็นจักรพรรดิ บ้างก็กลายเป็นประธานาธิบดี ส่วนคนอื่นๆ ก็กลายเป็นหัวโจกในกลุ่มโจรและคนพาล  พ่อแม่บางคนเป็นชาวไร่ชาวนา แต่ลูกๆ ที่พวกเขาคลอดออกมากลับได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง  นอกจากนี้ยังมีพ่อแม่บางคนที่เป็นคนหลอกลวง แต่กลับให้กำเนิดลูกๆ ที่ประพฤติตัวดีและไร้เล่ห์มารยา  พ่อแม่บางคนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ หรืออาจบูชารูปเคารพและหมู่มารด้วยซ้ำ และพวกเขาก็ให้กำเนิดลูกๆ ที่อยากเชื่อในพระเจ้า ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปหากปราศจากความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า  พ่อแม่บางคนบอกลูกว่า “พ่อแม่จะส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัย” แล้วลูกก็ตอบว่า “ไม่ ลูกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ลูกต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง!”  เมื่อเป็นเช่นนั้นพ่อแม่จึงบอกลูกว่า “อายุของลูกยังน้อย ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่อะไรหรอก  พวกเราปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองบ้างเพราะอายุมากแล้ว ไม่มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า พวกเราจะทำให้ครอบครัวได้รับพรบางอย่างในอนาคต ดังนั้นลูกไม่ต้องทำ  ลูกต้องขยันเรียน และพอจบมหาวิทยาลัยแล้ว ลูกต้องไปเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้ได้ พ่อแม่จะได้พลอยรุ่งเรืองเพราะลูก”  ลูกของพวกเขาจึงตอบว่า “ไม่ ลูกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การปฏิบัติหน้าที่ของลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”  แน่นอนว่ามีพ่อแม่บางคนที่เชื่อในพระเจ้า ตัดขาดจากครอบครัวของตน และออกจากงาน แต่ลูกของพวกเขากลับปฏิเสธที่จะเชื่อในพระเจ้าอย่างเด็ดขาด  ลูกๆ ของพวกเขาจึงเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ และไม่ว่าเจ้าจะมองลูกเหล่านี้และพ่อแม่ของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ดูไม่เหมือนครอบครัวเดียวกัน  แม้พวกเขาจะดูเหมือนครอบครัวในด้านรูปลักษณ์ นิสัยการใช้ชีวิต และแม้กระทั่งลักษณะนิสัยบางอย่าง รวมทั้งงานอดิเรก ความสนใจ การไล่ตามไขว่คว้า และเส้นทางที่เดิน แต่พวกเขาก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเป็นเพียงผู้คนสองจำพวกที่แตกต่างกันและเดินอยู่บนเส้นทางสองสายที่ต่างกันเท่านั้น  ดังนั้นชีวิตของผู้คนจึงมีความแตกต่าง และพ่อแม่ของพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่กำหนดเรื่องเหล่านี้  พ่อแม่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าลูกของตนจะมีชีวิตแบบใด หรือจะเกิดในสภาพแวดล้อมชนิดใด  พ่อแม่ไม่ใช่ทั้งนายเหนือชีวิตและนายเหนือชะตากรรมของลูก  ผู้คนไม่ได้รับมอบชีวิตจากพ่อแม่ของพวกเขา—ชะตากรรมของคนเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าหรือว่าเล็กกว่าชีวิตของพวกเขา?  สำหรับผู้คนแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งคู่  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถไขว่คว้า ทำให้สำเร็จ หรือควบคุมด้วยการใช้สัญชาตญาณ ฝีมือ หรือขีดความสามารถของตนได้  ชะตากรรมและเส้นทางชีวิตของผู้คนอยู่ภายใต้การตัดสินพระทัยและการปกครองของพระเจ้า  ในสองเรื่องนี้ไม่มีใครสามารถเลือกอะไรได้  คนที่เลือกว่าเจ้าจะเกิดกับครอบครัวแบบไหน หรือจะมีพ่อแม่แบบใดในชีวิตนี้ ไม่ใช่ทั้งเจ้าและพ่อแม่ของเจ้า  พ่อแม่ของเจ้าก็ให้กำเนิดเจ้าแต่โดยดีเช่นกัน  ดังนั้น พ่อแม่ของเจ้าจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเส้นทางแห่งชะตากรรมของเจ้าจะเป็นอย่างไร พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าในชีวิตของเจ้า เจ้าจะมั่งคั่งและร่ำรวยมาก ยากจนและต่ำต้อย หรือเป็นเพียงคนทั่วไป พวกเขาไม่อาจตัดสินใจได้ว่าเจ้าจะไปที่ไหนบ้างในชีวิตนี้ เจ้าจะดำรงชีวิตในที่แบบใด หรือชีวิตสมรสของเจ้าจะเป็นเช่นใด ลูกของเจ้าจะเป็นอย่างไร หรือเจ้าจะดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมทางวัตถุที่เป็นเช่นใด เป็นต้น  ก่อนที่จะให้กำเนิดลูก มีบางคนที่ครอบครัวเฟื่องฟู มีเสื้อผ้าและอาหาร และมีเงินทองมากเกินกว่าที่พวกเขาจะใช้ได้หมด แต่พอลูกโตขึ้นมา ลูกกลับผลาญเงินทองของครอบครัว และไม่ว่าพ่อแม่เหล่านั้นจะหาเงินได้มากเพียงใด ก็ไม่อาจหามาชดเชยเงินทั้งหมดที่ลูกจอมฟุ่มเฟือยของตนใช้ทิ้งใช้ขว้างได้  นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ยากจน แต่ไม่กี่ปีหลังคลอดลูก ธุรกิจของครอบครัวก็เริ่มเฟื่องฟู ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น สิ่งต่างๆ ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ และสภาพรอบตัวพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน  เจ้าดูเถิด ทั้งหมดคือสิ่งที่พ่อแม่เหล่านี้ไม่ได้คาดหวังมิใช่หรือ?  พ่อแม่ไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของลูกๆ ได้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของลูกเช่นกัน  ประเภทของเส้นทางที่เจ้าเดิน ที่ที่เจ้าไปและผู้คนจำพวกที่เจ้าพบเจอในชีวิตนี้ มีความวิบัติกี่อย่างที่เจ้าเผชิญ มีสิ่งที่ยอดเยี่ยมกี่อย่างและมีความมั่งคั่งมากเท่าใดที่จะมาถึงตัวเจ้า—ทั้งหมดนี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับพ่อแม่ของเจ้า หรือกับความคาดหวังของพวกเขา  พ่อแม่ทุกคนปรารถนาให้ลูกๆ เจริญก้าวหน้าในโลก แต่ความปรารถนานี้กลายเป็นจริงเสมอไปหรือไม่?  ไม่จำเป็น  ลูกบางคนเจริญก้าวหน้าในโลกเหมือนที่พ่อแม่อยากให้เป็น และพวกเขาก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ร่ำรวย และมีชีวิตที่ดี แต่ภายในเวลาสองปีพ่อแม่กลับล้มป่วยและเสียชีวิต ไม่ได้สุขสำราญกับโชคลาภอันดีงามนี้ หรือพลอยรุ่งเรืองไปด้วยแต่อย่างใด  ชะตากรรมของคนคนหนึ่งมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของพวกเขาหรือไม่?  ไม่มี  ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถทำทุกสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังในตัวเจ้าให้สำเร็จลุล่วงได้  ชะตากรรมของคนคนหนึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของพวกเขา และพ่อแม่ของคนคนหนึ่งก็ไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของลูกได้  แม้พ่อแม่จะให้กำเนิดเจ้า และต่อให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อวางรากฐานให้กับความสำเร็จในภายภาคหน้า อุดมคติ และชะตากรรมในอนาคตของเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินว่าชะตากรรมของเจ้าหรือเส้นทางชีวิตในอนาคตของเจ้าจะเป็นเช่นไร—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา  เพราะฉะนั้น พ่อแม่จึงไม่ได้เป็นนายเหนือชะตากรรมของเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในเรื่องของเจ้า  ถ้าเจ้ามีชะตากรรมที่จะมั่งคั่ง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะยากจนหรือไร้ความสามารถเพียงใด เจ้าก็จะมีความมั่งคั่งที่เจ้าพึงมี  ถ้าเจ้ามีชะตาชีวิตที่จะเป็นคนยากไร้ เป็นคนธรรมดา หรือต่ำต้อย เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะสามารถปานใด พวกเขาก็จะไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้  ถ้าเจ้าได้รับเลือกจากพระเจ้า และเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กล่าวคือ ถ้าเจ้าได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้าจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะมีอำนาจหรือสามารถปานใด พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ต่อให้พวกเขาอยากที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  ด้วยเหตุที่เจ้ามีชะตาชีวิตที่จะเป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นประชากรคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เจ้าจึงไม่อาจหนีพ้นการนี้ไปได้  ชะตากรรมของคนคนหนึ่งย่อมเชื่อมโยงกับอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความปรารถนาและความคาดหวังของพ่อแม่ของพวกเขา  แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความสนใจ งานอดิเรก ลักษณะนิสัย ความใฝ่ฝัน ขีดความสามารถ หรือฝีมือของคนคนนั้นเช่นกัน  เพราะฉะนั้น เมื่อดูตามความจริงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก” เจ้าควรมีท่าทีต่อความคาดหวังของพ่อแม่อย่างไร?  เจ้าควรยอมรับความคาดหวังนั้นไว้ทั้งหมด เพิกเฉย หรือรับมือด้วยเหตุผล?  เมื่อเป็นเรื่องของชีวิตหรือชะตากรรมของเจ้า พ่อแม่ย่อมเป็นเพียงผู้คนธรรมดาเท่านั้น พวกเขาสามารถคาดหวังในสิ่งที่ตนต้องการ และสามารถพูดสิ่งที่อยากพูด  จงปล่อยให้พวกเขาพูดสิ่งที่อยากพูด ส่วนเจ้าก็ทำเรื่องของตนเองไปก็พอ  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโต้เถียงกับพวกเขา เพราะแท้จริงแล้วไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นเช่นใดก็ย่อมเป็นเช่นนั้น  นี่ไม่ได้เกิดจากการโต้คารม และไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามเจตจำนงของมนุษย์  เจ้าไม่อาจตัดสินชะตากรรมของตนเองได้ และพ่อแม่ของเจ้าก็ยิ่งทำไม่ได้!  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  แม้พ่อแม่จะเป็นผู้อาวุโสของเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือความเชื่อมโยงกับชะตากรรมของเจ้าอยู่ดี  พ่อแม่ไม่ควรพยายามที่จะบ่งชี้ชะตากรรมของเจ้าเพียงเพราะพวกเขาอายุมากกว่าเจ้าหลายปีและเป็นคนรุ่นก่อนเจ้า  นี่ไม่สมเหตุสมผลและเป็นเรื่องที่น่าชิงชัง  เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่พ่อแม่มีอะไรจะกล่าวเกี่ยวกับเส้นทางที่เจ้าเดินอยู่ในชีวิต หรือความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเจ้า เจ้าก็ควรรับมืออย่างสงบด้วยเหตุผล เพราะพวกเขาไม่ใช่นายเหนือชะตากรรมของเจ้า  จงบอกพวกเขาไปว่า “ชะตากรรมของลูกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้”  ไม่มีใครสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองหรือของใครอีกคน และพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนี้อีกด้วย  บรรพชนของเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อแม่ของเจ้า  ผู้เดียวที่มีคุณสมบัติคือใคร?  (พระเจ้าเท่านั้น)  พระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติปกครองชะตากรรมของผู้คน

บางคนยอมรับในทางทฤษฎีว่า “พ่อแม่ของฉันไม่สามารถแทรกแซงชะตากรรมของฉันได้  แม้พวกเขาจะให้กำเนิดฉัน แต่ก็ไม่ได้ให้ชีวิตแก่ฉัน พระเจ้าต่างหากที่ประทานชีวิตแก่ฉัน  ทุกสิ่งที่ฉันมีล้วนได้รับมอบจากพระเจ้า  พระเจ้าเพียงแต่ทรงเลี้ยงฉันให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ผ่านทางพ่อแม่ และทรงทำให้ฉันสามารถมีชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้  อันที่จริง ผู้ที่เลี้ยงฉันมาก็คือพระเจ้านั่นเอง”  พวกเขากล่าวคำเหล่านี้ได้ดีทีเดียวและชัดเจนมาก แต่ภายใต้รูปการณ์พิเศษบางอย่าง ผู้คนกลับไม่สามารถเอาชนะความรักใคร่เอ็นดูของตน หรือยอมรับถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก”  ภายใต้รูปการณ์พิเศษบางอย่าง ผู้คนจะถูกความรู้สึกของตนครอบงำและตกอยู่ในการทดลองบางอย่าง หรือกลายเป็นคนอ่อนแอ  ด้วยเหตุที่พวกเขาทนทุกข์กับการข่มเหงและการกล่าวโทษจากรัฐบาลและโลกศาสนา ถูกจับกุมและส่งตัวเข้าคุกมาโดยตลอด ผู้เชื่อในพระเจ้าบางคนจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่มีวันกลายเป็นยูดาส และจะไม่มีวันทรยศพี่น้องชายหญิงของตนหรือเผยข้อมูลอันใดเกี่ยวกับคริสตจักร ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์กับการทรมานเช่นใดก็ตาม—พวกเขายอมตายมากกว่าที่จะกลายเป็นยูดาส  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงถูกทรมาทรกรรมจนถึงขั้นที่ดูไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป ดวงตาบวมปูดจนปิดเป็นร่องและมองเห็นได้ไม่ชัด หูอื้อ ฟันหลุด มุมปากแตกทั้งสองข้างและเลือดไหล ขาก็เดินได้ไม่ดี ร่างกายบวมช้ำไปทั้งตัว  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทรมานอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมทรยศ—กลับมุ่งมั่นที่จะไม่กลายเป็นยูดาส และตั้งมั่นในคำพยานให้พระเจ้า  จวบจนถึงตอนนี้ พวกเขาดูจะเข้มแข็งทีเดียวและดูเหมือนมีคำพยานมิใช่หรือ?  พวกเขาผ่านพ้นการทรมานและข่มขวัญโดยไม่กลายเป็นยูดาส พวกเขาถูกทรมานอยู่เช่นนี้หลายวันหลายคืน  เมื่อมารตนหนึ่งพบเห็นมนุษย์ที่เป็นแบบนี้ มันย่อมคิดว่า “คนคนนี้แกร่งจริงๆ ทั้งที่ได้รับพิษอย่างหนักมาโดยตลอด  พระเจ้ากลายเป็นชีวิตของเขาไปแล้วโดยแท้  เขายังหนุ่มมาก และถูกทรมานจนมีสภาพเช่นนี้โดยไม่ยอมบอกอะไรสักคำ  ฉันจะทำอย่างไรในเรื่องนี้?  ดูเหมือนชายคนนี้จะเป็นคนสำคัญ เขาต้องรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับคริสตจักร  ถ้าฉันสามารถเอาข้อมูลบางอย่างออกมาจากปากของเขาได้ พวกเราก็จะสามารถจับกุมผู้คนได้มากมายและทำเงินได้มาก!”  และแล้วมารนั้นก็เริ่มครุ่นคิดดังนี้ว่า “ฉันจะสามารถง้างปากและทำให้เขายอมบอกข้อมูลบางอย่างและคายเรื่องของคนบางคนได้อย่างไร?  ผู้คนที่เข้มแข็งล้วนมีจุดอ่อน—เหมือนผู้คนที่ฝึกกังฟูนั่นละ  ไม่ว่าจะเก่งกังฟูขนาดไหน ท้ายที่สุดก็มีจุดตายอยู่ดี  ทุกคนมีจุดอ่อน ดังนั้นมาเจาะจงเล่นงานจุดอ่อนของเขากันดีกว่า  อะไรคือจุดอ่อนของเขา?  ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นลูกโทน และพ่อแม่ของเขาก็ตามใจเขามาตั้งแต่เล็ก  ได้ยินว่าพวกเขาเอาใจใส่ลูกมาก และรักเขาอย่างยิ่ง แล้วเขาก็กตัญญูต่อพ่อแม่มาก  ถ้าฉันไปเอาตัวพ่อแม่ของเขามา แล้วให้เล่นกับจิตใจของเขา บางทีคำพูดของพ่อแม่อาจจะเป็นประโยชน์บ้างก็ได้”  จากนั้นมารนั่นก็ไปเอาตัวพ่อแม่ของเขามา  เดาสิว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่เขาเห็นหน้าพ่อแม่?  ก่อนที่เขาจะพบหน้าพ่อแม่ เขาคิดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะยืนหยัดในคำพยานของตน  ข้าพระองค์จะไม่ยอมกลายเป็นยูดาสอย่างเด็ดขาด!”  แต่ทันทีที่เขาเห็นหน้าพ่อแม่ หัวใจของเขาก็เจียนสลาย  สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือ “ฉันทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พวกเขาต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ ที่เห็นฉันเป็นอย่างนี้” และแล้วตัวเขาก็พังทลาย  เขายังคงยืนกรานอยู่ในหัวใจว่า “ฉันจะไม่กลายเป็นยูดาส ฉันต้องตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้า  ฉันไม่เคยใช้เส้นทางที่ผิด ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง  ฉันต้องทำให้ซาตานอับอายและเป็นพยานให้พระเจ้า!”  ในหัวใจของเขานั้น เขามั่นคงและยืนกรานเช่นนี้ซ้ำๆ แต่ทางด้านอารมณ์ เขากลับไม่อาจทนรับได้ และทันใดนั้นหัวใจของเขาก็หวิดสลาย  เจ้าคิดว่าพ่อแม่ของเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นลูกของตนถูกทรมานจนมีสภาพเช่นนี้?  เราจะไม่พูดถึงพ่อของเขา แต่หัวใจของคนเป็นแม่ย่อมแหลกสลาย  เมื่อเธอเห็นว่าลูกของตนถูกทรมานจนถึงขั้นที่เขาดูไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป เธอก็รู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจ และเจ็บปวดอย่างยิ่ง ตัวเธอสั่นเทาขณะที่เดินเข้าไปหาลูก  ในเวลาเช่นนั้นเจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  เจ้าย่อมจะไม่กล้ามองใช่หรือไม่?  ดูสิ เจ้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย พ่อแม่ของเจ้าก็ยังไม่ได้พูดอะไร แต่เจ้ากลับแหลกสลายไปแล้ว ไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกของตนได้  เจ้าย่อมจะคิดในใจว่า “พ่อแม่ของฉันแก่แล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก และทั้งสองต่างก็พึ่งพากันเพื่อที่จะประคองตัวให้อยู่รอด  พ่อแม่ให้กำเนิดลูกอย่างฉัน และจนถึงเดี๋ยวนี้ฉันก็ยังไม่ได้ลุล่วงสิ่งที่พวกท่านคาดหวังสักอย่าง มาตอนนี้ฉันกลับทำให้พวกท่านเดือดร้อนมากมายขนาดนี้ ฉันทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้าอย่างยิ่ง และพวกท่านยังต้องมาเห็นฉันในสภาพที่ทุกข์ทนอย่างนี้อีก”  โดยที่ไม่รู้ตัวเจ้าย่อมจะรู้สึกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่าเจ้าเป็นลูกอกตัญญู เจ้าทำร้ายและทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เจ้าทำให้พวกเขาเป็นห่วงและเป็นทุกข์  ทั้งเจ้าและพ่อแม่ของเจ้าย่อมจะรู้สึกร้าวรานมากด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป  สำหรับพ่อแม่ของเจ้านั้นย่อมจะเป็นเพราะพวกเขารู้สึกเสียใจที่เจ้าพบเจอเรื่องดังกล่าว และไม่อาจทนเห็นเจ้าเป็นทุกข์เช่นนั้นได้  ส่วนเจ้าก็ย่อมจะเป็นเพราะเจ้ามองเห็นว่าพ่อแม่เศร้าเสียใจและเจ็บปวดเพียงใด และเจ้าก็ไม่อาจทนเห็นพวกเขาเศร้าโศกและวิตกกังวลเกี่ยวกับเจ้า  ทั้งสองอย่างนี้คือผลพวงที่เกิดจากความรู้สึกมิใช่หรือ?  จนถึงตอนนี้ยังคงถือได้ว่าทั้งหมดนี้ปกติ และยังไม่ส่งผลต่อการตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  สมมุติว่าต่อจากนั้นพ่อแม่ของเจ้ากล่าวว่า “ลูกเคยมีสุขภาพดีและแข็งแรงมาก่อน มาตอนนี้ลูกกลับถูกซ้อมจนมีสภาพอย่างนี้  ตั้งแต่ลูกยังเล็ก พวกเราก็ปฏิบัติต่อลูกเหมือนแก้วตาดวงใจ  พวกเราไม่เคยตีลูกแม้แต่นิดเดียว  แล้วลูกปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างไร?  พวกเราไม่เคยอยากตีลูก พ่อแม่ทะนุถนอมและรักลูกเสมอมา—‘พ่อแม่จะอมลูกไว้ในปากก็กลัวว่าลูกจะละลาย จะอุ้มลูกไว้ด้วยสองมือก็กลัวว่าลูกจะแตกหัก’  พวกเรารักและทะนุถนอมลูกมากขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่มากพอ  ถ้าลูกไม่ดูแลพวกเรา นั่นก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ลูกไม่ยอมบอกข้อมูล ลูกทนทุกข์มากมาย และไม่ยอมถอดใจแม้จะถูกทรมานจนมีสภาพอย่างนี้เพราะลูกเชื่อในพระเจ้าและอยากเป็นพยานให้พระองค์  ลูกดื้อดึงขนาดนี้ได้อย่างไร?  ทำไมลูกถึงยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้า?  ‘พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก’  การที่ลูกยอมให้เรื่องนี้เกิดกับตัวเอง ยุติธรรมกับพ่อแม่แล้วหรือ?  ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกจริง ลูกคาดหวังให้เราสองคนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร?  พวกเราไม่คาดหวังให้ลูกดูแลยามพ่อแม่แก่ตัวหรือจัดงานศพให้ พวกเราแค่อยากให้ลูกไม่เป็นอะไร  สำหรับพวกเรา ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าลูกไม่สบาย ถ้าลูกจากไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่พวกเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร?  นอกจากลูกแล้วพวกเราจะเหลือใครอีก?  พวกเราจะมีความหวังอื่นใดอยู่อีก?”  วาจาที่กล่าวมานี้ทุกคำย่อมจะจี้ใจดำเจ้าโดยแท้ ทั้งตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของเจ้าพลางกระตุ้นความรู้สึกและมโนธรรมของเจ้าไปด้วย  ก่อนที่พ่อแม่จะกล่าวคำเหล่านี้ เจ้ายังคงยึดมั่นในความเชื่อและจุดยืนของตนอยู่ในหัวใจส่วนลึก แต่หลังจากที่พวกเขากล่าววาจาติเตียนเหล่านี้ แนวรับในหัวใจส่วนลึกของเจ้าย่อมจะพังทลายมิใช่หรือ?  “‘พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก’  ลูกลาออกจากงานดีๆ ละทิ้งโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะประสบความสำเร็จ และยอมทิ้งชีวิตที่ดี  ลูกยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้า และยอมให้ตัวเองถูกซ้อมจนยับเยินอย่างนี้—นี่ยุติธรรมกับพ่อแม่แล้วหรือ?”  หลังจากที่ได้ฟังวาจาเช่นนี้แล้ว มีใครหักห้ามใจไม่ให้ร้องไห้ได้บ้าง?  พอฟังคำเหล่านี้แล้ว มีใครหยุดต่อว่าต่อขานตัวเองได้บ้าง?  พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ว่าตนเองทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้หรือไม่?  มีใครรู้สึกได้บ้างว่านี่คือซาตานทดลองพวกเขาอยู่?  มีใครแค่สะเทือนอารมณ์เพราะเรื่องนี้ แต่ยังคงสามารถรับมือด้วยเหตุผลได้?  หลังจากที่ฟังวาจาเช่นนี้แล้ว มีใครบ้างสามารถดำรงความเชื่อที่พวกเขามีต่อถ้อยแถลงที่ว่า “พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก และไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก”?  มีใครบ้างสามารถตัดใจไม่ทิ้งหน้าที่และภาระผูกพันของตน รวมทั้งคำพยานที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดมั่นแม้จะรู้สึกอ่อนแอทางอารมณ์ก็ตาม?  ทั้งหมดนี้มีสิ่งใดบ้างที่พวกเจ้าสามารถทำได้?  ในแง่ของความรู้สึก ถ้าเจ้าเพียงแต่เสียใจเล็กน้อย ถึงกับเสียน้ำตาบ้าง และรู้สึกผิดกับพ่อแม่ แต่เจ้าก็ยังคงมีความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ยังคงยึดมั่นในคำพยานที่เจ้าพึงตั้งมั่น และยังคงยึดมั่นในหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติโดยไม่สูญเสียคำพยาน ความรับผิดชอบ และหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างมีเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะตั้งมั่นแล้ว  แต่ถ้าเจ้าถลำลึกลงไปในความรู้สึกของตนเองเมื่อได้เห็นแม่ของเจ้าติเตียนเจ้าทั้งน้ำตา เจ้าคิดไปว่าตนเองอกตัญญู เจ้าเลือกผิด รู้สึกเสียใจและไม่เต็มใจที่จะไปต่อ อยากละทิ้งคำพยานที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี รวมทั้งหน้าที่ ความรับผิดชอบ และภาระผูกพันที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงลุล่วง และกลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ของเจ้า ตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา และทำให้พวกเขาไม่ต้องทนทุกข์หรือวิตกกังวลเพราะเจ้าอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีคำพยาน และไม่คู่ควรที่จะติดตามพระเจ้า  พระเจ้าเคยตรัสกับผู้ที่ติดตามพระองค์ไว้ว่าอย่างไร?  (พระองค์เคยตรัสไว้มิใช่หรือว่า “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:26)?  ประโยคนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์)  ถ้าเจ้ามีความรักให้พ่อแม่มากกว่าความรักที่เจ้ามีให้พระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะติดตามพระเจ้า และไม่ใช่หนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์  ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามคนหนึ่งของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ชนะ และพระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการเจ้า  ด้วยบททดสอบนี้ เจ้าจึงถูกเปิดโปง เจ้าไม่ได้ตั้งมั่นในคำพยานของตน  เจ้าไม่ได้พ่ายให้กับการทรมานของซาตาน แต่ว่าคำติเตียนไม่กี่คำจากพ่อแม่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้ายอมจำนน  เจ้าไร้กระดูกสันหลังและทรยศพระเจ้าไปแล้ว  เจ้าไม่คู่ควรที่จะติดตามพระเจ้าและไม่ใช่ผู้ติดตามของพระองค์  พ่อแม่มักจะกล่าวว่า “พ่อแม่จะไม่ขออะไรอื่นจากลูก จะไม่ขอให้ลูกมั่งคั่งมากมาย  พ่อแม่เพียงหวังให้ลูกมีสุขภาพดีและปลอดภัยในชีวิตนี้  เพียงเห็นลูกมีความสุขก็พอแล้ว”  ดังนั้น เมื่อเจ้าถูกทรมาน เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าเจ้าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง “พ่อแม่ของฉันไม่ได้ขออะไรมากมาย แต่ฉันก็ทำให้พวกท่านไม่ได้อยู่ดี”  ความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  เจ้าทำให้พวกเขาไม่ได้กระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เป็นความผิดของเจ้ากระนั้นหรือที่ซาตานข่มเหงเจ้า?  เป็นความผิดของเจ้ากระนั้นหรือที่เจ้าถูกซ้อมอย่างหนัก ถูกทรมาน และถูกข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม?  (ไม่ใช่)  คนที่ข่มเหงเจ้าคือซาตาน เจ้าไม่ได้เล่นงานตัวเองจนยับเยิน  เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และเจ้าก็เป็นคนที่แท้จริง  สิ่งที่เจ้าเลือกและการกระทำทั้งหมดของเจ้าล้วนเป็นพยานให้พระเจ้าและเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เหล่านี้คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงพึงเลือก และเป็นเส้นทางที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงพึงเดิน  นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำลายตัวเองให้ย่อยยับ  แม้เนื้อหนังของเจ้าจะถูกทรมานและทนทุกข์กับการถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม แต่ทั้งหมดนี้ก็มีเหตุอันควร  นี่ไม่ใช่การใช้เส้นทางที่ผิด ไม่ใช่การทำลายตัวเองให้ย่อยยับ  การที่เนื้อหนังของเจ้าทนทุกข์ ถูกทรมาน และถูกทารุณจนเจ้าดูไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไปนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง  เจ้าไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายแก่พวกเขา  นี่คือตัวเลือกของเจ้า  เจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต พวกเขาเพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง  พวกเขาเพียงแต่มองจากจุดยืนของพ่อแม่ อยากปกป้องลูกเสมอเพื่อความรู้สึกของพวกเขาเอง ไม่อยากให้เจ้าทนทุกข์กับความเจ็บปวดทางกาย  แล้วความอยากปกป้องลูกของพวกเขาสามารถบรรลุผลอะไรได้บ้าง?  พวกเขาสามารถเป็นพยานแทนเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแทนเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถเดินตามหนทางของพระเจ้าแทนเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าเลือกถูกแล้ว และเจ้าก็ควรยึดมั่นในตัวเลือกของเจ้า  เจ้าไม่ควรเคลิบเคลิ้มหรือหลงผิดตามถ้อยคำของพ่อแม่  เจ้าไม่ได้ทำลายตัวเองให้ย่อยยับ เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  ในความมุมานะและในการกระทำทั้งหมดของเจ้านั้น เจ้ากำลังยึดมั่นในความจริง นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และกำลังเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน นำพระสิริมาสู่พระนามของพระเจ้า  เจ้าเพียงแต่สู้ทนความทุกข์จากการที่เนื้อหนังของเจ้าถูกข่มเหงอย่างโหดเหี้ยมเท่านั้นเอง  นี่คือความทุกข์ที่ผู้คนควรสู้ทน นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และเป็นราคาที่พวกเขาควรจ่าย  ชีวิตของเจ้าไม่ได้มาจากพ่อแม่ และพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าเจ้าควรเดินไปบนเส้นทางแบบใด  พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าเจ้าควรทำอย่างไรกับร่างกายของตน หรือควรจ่ายราคาเป็นสิ่งใดให้แก่การตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  พวกเขาเพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าทนทุกข์กับความเจ็บปวดทางกายซึ่งเป็นความต้องการตามความรู้สึกทางเนื้อหนังของพวกเขา และเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขากำลังมองจากจุดยืนที่เป็นความรู้สึกทางเนื้อหนังเท่านั้นเอง  แต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ว่าเนื้อหนังของเจ้าจะทนทุกข์เพียงใด ก็เป็นสิ่งที่เจ้าพึงสู้ทน  ผู้คนต้องจ่ายราคามากมายหลายอย่างเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความรอดและปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดี  นี่คือภาระผูกพันและความรับผิดชอบของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็พึงอุทิศสิ่งนี้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง  เนื่องจากชีวิตของผู้คนมาจากพระเจ้า และร่างกายของพวกเขาก็มาจากพระเจ้าเช่นกัน นี่จึงเป็นความทุกข์ที่ผู้คนควรสู้ทน  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของความทุกข์ที่ผู้คนควรสู้ทน ไม่ว่าร่างกายของเจ้าจะสู้ทนความเจ็บปวดทางกายภาพแบบใดอยู่ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้พ่อแม่ของเจ้าฟัง  พ่อแม่ของเจ้ากล่าวว่า “พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก” แล้วอย่างไร?  แม้พ่อแม่จะให้กำเนิดและเลี้ยงดูผู้คนให้เติบใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ผู้คนมีนั้นพ่อแม่เป็นคนให้  นี่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเป็นเรื่องเส้นทางที่ผู้คนเดินและราคาที่พวกเขาจ่าย ผู้คนควรอยู่ภายใต้การบังคับขู่เข็ญและการตีกรอบของพ่อแม่  นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้คนต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่จึงจะเดินไปบนเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้  เพราะฉะนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายแก่พ่อแม่  องค์หนึ่งเดียวที่เจ้าควรให้คำอธิบายคือพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์หรือไม่ เจ้าก็ควรยกทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้ากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงยอมรับและจดจำทุกราคาที่เจ้าจ่ายไป  ในเมื่อพระเจ้าจะทรงจดจำและยอมรับทั้งหมด ราคาที่จ่ายไปนั้นย่อมจะคุ้มค่าแล้ว  ถึงเนื้อหนังของเจ้าจะทนทุกข์กับความเจ็บปวดทางกายบ้าง แต่ราคาเหล่านี้จะทำให้เจ้าสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้ในที่สุด ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และได้รับความรอด และพระเจ้าก็จะทรงจดจำทุกราคาเอาไว้  ไม่มีสิ่งใดอีกที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นการนั้นได้  สิ่งที่เรียกว่าความคาดหวังของพ่อแม่ หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ที่พวกเขากล่าวแก่เจ้านั้นไม่มีความสำคัญและไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงเมื่อเทียบกับหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติและคำพยานที่เจ้าพึงมีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะความทุกข์ที่เจ้าสู้ทนนั้นมีคุณค่ามากและมีความหมายยิ่ง!  ในมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าที่สุดในชีวิต  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงไม่ควรอ่อนแอและหดหู่ หรือตกอยู่ในการทดลองเพราะถ้อยคำของพ่อแม่ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ควรรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด หรือรู้สึกว่าตนทำให้พ่อแม่ผิดหวังเพราะวาจาของพ่อแม่  ผู้คนควรรู้สึกว่ามีเกียรติเพราะความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนมา และควรกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเลือกฉัน และทำให้เนื้อหนังของฉันสามารถจ่ายราคาแบบนี้ได้ สามารถถูกซาตานทารุณกรรมอย่างโหดร้าย เพื่อให้ฉันมีโอกาสเป็นพยานให้พระองค์ได้”  เป็นเกียรติของเจ้าแล้วที่ได้รับเลือกจากพระเจ้าท่ามกลางผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเอาไว้มากมาย  เจ้าไม่ควรรู้สึกเศร้าเสียใจในเรื่องนี้  ถ้าเจ้าตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน และทำให้ซาตานอับอาย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่ว่าร่างกายของเจ้าจะทนทุกข์กับความเจ็บป่วยหรือผลข้างเคียงเช่นใดหลังจากที่ถูกข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม หรือว่าการเห็นเจ้าในสภาพนั้นจะทำร้ายครอบครัวและพ่อแม่ของเจ้ามากเพียงใด เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกละอายหรือเสียใจ หรือรู้สึกว่าเจ้าทำให้พ่อแม่ผิดหวังเพราะเหตุนั้น เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำลงไปคือการจ่ายราคาให้แก่เหตุอันสมควร และนี่ก็เป็นความประพฤติดี  ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติดีของเจ้า ไม่มีใครมีคุณสมบัติหรือมีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นหรือตัดสินในเชิงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร้ความรับผิดชอบเรื่องการเชื่อในพระเจ้า การติดตามพระเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  มีเพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาพฤติกรรมของเจ้า ราคาที่เจ้าจ่ายไป และสิ่งที่เจ้าเลือก  ไม่มีใครอื่นมีคุณสมบัติที่จะตัดสิน—ไม่มีใครในหมู่พวกเขา รวมถึงพ่อแม่ของเจ้าด้วย มีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์เจ้า  ถ้าพวกเขาเป็นผู้คนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด พวกเขาก็ควรเข้าใจ หนุนใจ และชูใจเจ้า  พวกเขาควรเกื้อหนุนเจ้าให้มุมานะ ตั้งมั่นในคำพยานของตน และระงับใจไม่ยอมอ่อนข้อหรือยอมจำนนต่อซาตาน  พวกเขาควรรู้สึกภูมิใจและเป็นสุขไปกับเจ้า  ในเมื่อเจ้าสามารถมุมานะมาได้จนถึงตอนนี้และไม่ยอมจำนนต่อซาตานเพื่อที่เจ้าจะได้ตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน พวกเขาจึงควรหนุนใจเจ้า  พวกเขาไม่ควรรั้งเจ้าเอาไว้ และแน่นอนว่าไม่ควรติเตียนเจ้า  ถ้าเจ้าทำสิ่งผิด พวกเขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์เจ้า  ถ้าเจ้าใช้เส้นทางที่ผิด ดูหมิ่นพระเจ้า ทรยศสิ่งที่เป็นบวกและความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์เจ้า  แต่ในเมื่อการกระทำทั้งหมดของเจ้าเป็นบวก และพระเจ้าก็ทรงยอมรับและจดจำทั้งหมดนั้นไว้ ถ้าพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เจ้า นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว  คนผิดคือพวกเขา  พวกเขาไม่พอใจที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นคนดี—เหตุใดพวกเขาจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์ซาตานเวลาที่มันข่มเหงเจ้า?  พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เจ้าไปตามความรู้สึกของพวกเขาเอง—เจ้าทำอะไรผิด?  เจ้าแค่ระงับยับยั้งตัวเองไม่ให้กลายเป็นยูดาสเท่านั้นมิใช่หรือ?  เจ้าไม่ได้กลายเป็นยูดาส เจ้าไม่ยอมร่วมมือหรือประนีประนอมกับซาตาน และเจ้าก็ทนทุกข์ถูกทรมานและถูกกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้เพื่อที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานของเจ้า—นั่นผิดอะไร?  เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ตามมุมมองของพระเจ้า พระองค์ทรงยินดีปรีดาไปกับเจ้า รู้สึกภูมิพระทัยในตัวเจ้า  แต่แล้วพ่อแม่ของเจ้ากลับรู้สึกอับอายในตัวเจ้า และวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติดีของเจ้า—นี่คือการกลับขาวเป็นดำมิใช่หรือ?  นี่ใช่พ่อแม่ที่ดีหรือไม่?  ทำไมพวกเขาไม่วิพากษ์วิจารณ์ซาตาน รวมทั้งพวกคนชั่วและหมู่มารที่ข่มเหงเจ้า?  ไม่เพียงเจ้าไม่ได้รับการชูใจ หนุนใจ หรือการเกื้อหนุนใดๆ จากพ่อแม่เท่านั้น ตรงกันข้าม เจ้ากลับถูกพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์และดุว่า ส่วนซาตานชั่วนั้นไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็ไม่กล่าวโทษหรือสาปแช่งมัน  พวกเขาไม่กล้าใช้วาจาทารุณหรือติเตียนมันสักคำ  พวกเขาไม่พูดว่า “แกทรมานคนดีจนเขาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?  สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่เชื่อในพระเจ้าและใช้เส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้นไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ได้ขโมยอะไรหรือปล้นใคร พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายข้อไหน แล้วทำไมพวกแกถึงทรมานพวกเขาแบบนี้?  พวกแกควรหนุนใจคนอย่างพวกเขานี่  ถ้าทุกคนในสังคมเชื่อในพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วสังคมนี้ก็จะไม่ต้องใช้กฎหมาย และจะไม่มีอาชญากรรมใดๆ”  เหตุใดพวกเขาจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์มันแบบนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เหล่าซาตานและหมู่มารที่ข่มเหงเจ้า?  พวกเขาว่ากล่าวเจ้าที่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่พอพวกคนชั่วทำความชั่ว พวกเขากลับเอาแต่เห็นชอบอยู่ในที  เจ้าคิดอย่างไรกับพ่อแม่เหล่านี้?  เจ้าควรรู้สึกผิดต่อพวกเขาหรือไม่?  เจ้าควรกตัญญูรู้คุณต่อพวกเขาหรือไม่?  เจ้าควรรักพวกเขาอยู่ในหัวใจหรือไม่?  พวกเขาคู่ควรกับความกตัญญูรู้คุณของเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่คู่ควร  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะถูกผิดหรือดีชั่ว  พวกเขาคือคนที่เลอะเลือนคู่หนึ่ง  นอกจากความรู้สึกแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย  พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือความยุติธรรม หรือการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องหมายความว่าอย่างไร พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นลบ หรือว่ากองกำลังชั่วคืออะไร พวกเขารู้จักแต่การพิทักษ์รักษาความรู้สึกและเนื้อหนังของตนเองเท่านั้น  นอกจากสัมพันธภาพทางเนื้อหนังในระดับที่ฉาบฉวยที่สุดนี้แล้ว หัวใจของพวกเขามีแต่แนวคิดที่ว่า “ตราบใดที่ลูกๆ ของฉันปลอดภัยและอยู่ดี ฉันย่อมจะเป็นสุขและรู้สึกขอบคุณยิ่ง”  เท่านั้นเอง  เมื่อเป็นเรื่องของเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เหตุอันควร หรือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายมากที่สุดที่คนคนหนึ่งสามารถทำได้ในชีวิตนี้ พวกเขากลับไม่เข้าใจอะไรเหล่านี้เลย  พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ และดุว่าเจ้าที่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง—พวกเขาเลอะเลือนอย่างเหลือเชื่อโดยแท้  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับพ่อแม่เหล่านี้?  พวกเขาเป็นเพียงมารเฒ่าคู่หนึ่งมิใช่หรือ?  เจ้าต้องใคร่ครวญในหัวใจว่า “มารเฒ่าสองตนนี้—จนถึงตอนนี้ฉันทนทุกข์ถูกซ้อมอย่างหนัก ถูกทรมานมากมาย หลายวันมานี้ฉันเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งวันทั้งคืน และพระองค์ก็ทรงดูแลและคุ้มครองฉัน เพราะอย่างนั้นฉันถึงอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้  ฉันตั้งมั่นในการเป็นพยานด้วยความยากเย็นยิ่ง และพ่อแม่กลับปฏิเสธทั้งหมดนั้นด้วยคำพูดไม่กี่คำ  ฉันผิดหรือที่เดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง?  ฉันผิดหรือที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  ฉันไม่ผิดแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือที่ไม่กลายเป็นยูดาส?  มารเฒ่าสองตนนี้!  ‘พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก’—เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่ฉันมีล้วนมาจากพระเจ้า ใช่พ่อแม่หรือที่ให้ทุกสิ่งแก่ฉัน?  พระเจ้าทรงลิขิตให้พ่อแม่คลอดและเลี้ยงดูฉันเท่านั้น ใช้สองมือนั้นเลี้ยงฉันให้โตขึ้นมา  พ่อแม่รู้สึกทุกข์ใจในเรื่องของฉัน เจ็บปวดและเสียใจก็เพื่อตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น  พ่อแม่กลัวว่าถ้าฉันตาย จะไม่มีใครดูแลพ่อแม่เมื่อทั้งสองแก่ตัวหรือว่าจัดงานศพให้  พ่อแม่กลัวว่าผู้คนจะหัวเราะ และพ่อแม่ก็คิดว่าฉันทำให้พวกท่านอับอายขายหน้ามาโดยตลอด”  ถ้าเจ้าเข้าคุกเพราะก่ออาชญากรรม เพราะเจ้าลักขโมยของบางอย่าง หรือปล้น โกง หรือหลอกใคร พวกเขาก็อาจจะสู้เพื่อเจ้าโดยกล่าวว่า “ลูกของฉันเป็นคนดี พวกเขาไม่เคยทำเรื่องไม่ดี  พวกเขาไม่มีธรรมชาติที่ชั่ว เป็นคนดีและมีเมตตา  เพียงแต่ว่ากระแสนิยมอันชั่วของโลกนี้มีอิทธิพลต่อพวกเขาในทางลบ  ฉันหวังว่ารัฐบางจะผ่อนผันให้แก่พวกเขา”  พ่อแม่จะต่อสู้เพื่อเจ้า แต่เพราะเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้า เพราะเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาจึงนึกเหยียดหยามเจ้าจากส่วนลึกของหัวใจ  พวกเขาเหยียดหยามเจ้าว่าอย่างไร?  “ดูสิว่าลูกทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหน  ลูกยุติธรรมกับพวกเราแล้วหรือ?”  เจ้าควรคิดในใจว่า “พวกเขาหมายความว่าอย่างไรที่ว่า ‘ดูสิว่าลูกทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหน’?  ฉันเพียงแต่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตเท่านั้น—นี่เรียกว่าการเป็นคนที่แท้จริง!  นี่เรียกว่ามีความประพฤติดีและมีคำพยาน นี่คือความเข้มแข็ง  เฉพาะผู้คนแบบนี้เท่านั้นที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนขลาด คนไม่ได้ความ หรือยูดาส  ฉันทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหน?  นี่คือสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง!  ไม่เพียงพ่อแม่ไม่ยินดีกับฉัน แต่ยังติเตียนฉันอีกด้วย—นี่เป็นพ่อแม่แบบไหนกัน?  พวกเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อแม่ พวกเขาควรถูกสาปแช่ง!”  ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ เจ้าจะยังคงร้องไห้หรือไม่เวลาได้ยินพ่อแม่พูดว่า “พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก ลูกปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายจนยับเยินแบบนี้ได้อย่างไร”?  (ไม่)  เจ้าจะคิดอย่างไรหลังจากที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น?  “ช่างเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ  แท้จริงแล้วพ่อแม่คือคนเฒ่าปัญญาเบาคู่หนึ่ง!  ‘พ่อแม่ให้ร่างกายแก่ลูก’—พ่อแม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครให้ร่างกายแก่พ่อแม่ และใช้ถ้อยคำเหล่านี้มาติเตียนฉัน ช่างเลอะเลือนจริงๆ!  เห็นได้ชัดว่าหมู่มารและเหล่าซาตานข่มเหงฉัน  พ่อแม่กลับขาวเป็นดำและมาวิพากษ์วิจารณ์ฉันแทนได้อย่างไร?  ฉันทำผิดกฎหมายหรือไร?  ฉันขโมยของหรือปล้นใคร โกงหรือหลอกใครกระนั้นหรือ?  ฉันทำผิดกฎหมายข้อไหน?  ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายข้อไหนเลย ฉันถูกซาตานข่มเหงจนมีสภาพแบบนี้ก็เพราะฉันเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง  จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ได้บอกอะไรสักคำ ไม่ได้กลายเป็นยูดาส—มีใครอีกที่มีความเข้มแข็งแบบนี้?  พ่อแม่ไม่เพียงไม่ชมเชยหรือหนุนใจฉันเท่านั้น แต่ยังติเตียนฉันอีกด้วย  พ่อแม่เป็นมาร!”  ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ เจ้าจะไม่ร้องไห้หรืออ่อนแอมิใช่หรือ?  พ่อแม่ของเจ้าไม่รู้จักถูกผิด พวกเขามองขาวเป็นดำ เพราะไม่เชื่อในพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริง  เจ้าเข้าใจความจริง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรถูกคำพูดเยี่ยงมารและความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนที่พวกเขากล่าวออกมานั้นครอบงำ  ในทางกลับกัน เจ้าควรยึดมั่นในความจริงต่อไป  เช่นนี้เจ้าจึงจะตั้งมั่นในคำพยานได้อย่างแท้จริง  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

จงบอกเราเถิดว่าการตั้งมั่นในการเป็นพยานของคนเรานั้นง่ายหรือไม่?  ประการแรก เจ้าต้องเป็นอิสระจากความรู้สึกของตนเอง ประการที่สอง เจ้าต้องเข้าใจความจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะไม่ผ่านประสบการณ์กับความอ่อนแออันใด สามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตน ได้รับการจดจำและยอมรับจากพระเจ้าภายใต้รูปการณ์พิเศษแบบนี้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงรับรู้ว่าเจ้าคือผู้ชนะและเป็นผู้ติดตามของพระองค์  เมื่อเจ้าคว้าชัย เมื่อเจ้าไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวัง แทนการไม่ทำให้พ่อแม่ของเจ้าผิดหวัง เจ้าก็จะสามารถปล่อยมือจากความคาดหวังทั้งหมดของพ่อแม่ได้ ถูกต้องหรือไม่?  ความคาดหวังของพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การใช้ชีวิตได้ตามความคาดหวังของพระเจ้า และตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้า คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นท่าทีและการไล่ตามเสาะหาที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกอ่อนแอ เมื่อเจ้าไร้ซึ่งหนทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าถูกเหล่าซาตานปิดล้อมและข่มเหงระหว่างที่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง หรือถูกผู้คนทางโลกรังเกียจเดียดฉันท์ เยาะเย้ย และปฏิเสธ ผู้คนรอบตัวเจ้า—ทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนรู้จัก—ย่อมจะคิดไปว่าเจ้าทำเรื่องน่าอับอาย จะไม่มีใครเข้าใจ หนุนใจ เกื้อหนุน หรือชูใจเจ้า  และจะยิ่งไม่มีใครช่วยเหลือเจ้า บอกทาง หรือชี้เส้นทางปฏิบัติให้แก่เจ้า  นี่รวมถึงพ่อแม่ของเจ้าด้วย  ในเมื่อเจ้าไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเขา แสดงความกตัญญู หรือไม่สามารถช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีหรือตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา เพราะเจ้ามาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมจะไม่เข้าใจเจ้า  มุมมองของพวกเขาจะเหมือนผู้คนทางโลก—พวกเขาจะคิดไปว่าเจ้าทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า พวกเขาไม่ได้อะไรตอบแทนที่เลี้ยงเจ้ามา ไม่ได้ผลประโยชน์จากเจ้า เจ้าไม่ได้ลุล่วงความคาดหวังของพวกเขา เจ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง และเจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ  พ่อแม่ของเจ้าจะไม่เข้าใจเจ้า และจะไม่สามารถให้การชี้นำที่เป็นบวกแก่เจ้าได้ ส่วนญาติพี่น้องและเพื่อนของเจ้านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ขณะที่เจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงหนุนใจ ช่วยเหลือ ชูใจ และจัดหาให้แก่เจ้าอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย  เมื่อเจ้าถูกทรมาทรกรรมอยู่ในคุก มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าและความเชื่อที่พระองค์ประทานแก่เจ้าเท่านั้นที่จะค้ำจุนเจ้าให้ผ่านแต่ละวินาที แต่ละนาที และแต่ละวันไปได้  ดังนั้น ยามที่เจ้าสู้ทนการถูกซ้อมอย่างหนัก เจ้าย่อมจะสามารถคงความต้องการที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้าเอาไว้ได้ ระงับใจต่อไปไม่ให้กลายเป็นยูดาส และคงความต้องการที่จะนำพระสิริมาสู่พระนามของพระเจ้าและทำให้ซาตานอับอายต่อไปได้เพราะพระวจนะของพระเจ้าและความเชื่อที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  ด้านหนึ่งเจ้าย่อมทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้า ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าก็เป็นเพราะการชี้แนะ การคุ้มครอง และการทรงนำของพระเจ้า  ส่วนพ่อแม่ของเจ้านั้นยังคงคิดถึงแต่ตัวเองในยามที่เจ้าต้องการความชูใจและความช่วยเหลือมากที่สุด บอกว่าเจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ พวกเขาไม่มีวันที่จะหวังพึ่งเจ้าได้ในชีวิตนี้ และพวกเขาก็เลี้ยงเจ้ามาเหนื่อยเปล่า  พวกเขายังคงไม่ลืมว่าตนเองเลี้ยงเจ้ามา อยากหวังพึ่งเจ้าให้ช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดี นำชื่อเสียงอันเกรียงไกรมาให้บรรพชน และทำให้พวกเขาสามารถเชิดหน้าชูตาและรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเจ้าเมื่ออยู่ต่อหน้าญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงได้  พ่อแม่ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าย่อมไม่เคยรู้สึกเป็นเกียรติหรือโชคดีเพราะการเชื่อของเจ้า  ตรงกันข้าม พวกเขามักจะติเตียนเจ้าที่ไม่หาเวลาไปเยี่ยมเยียนหรือดูแลพวกเขาเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้าและยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ไม่เพียงพวกเขาจะติเตียนเจ้าเท่านั้น แต่มักจะดุด่าเจ้า เรียกเจ้าว่า “คนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ” และ “ลูกที่ไม่รู้คุณ”  เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเป็นการยากที่เจ้าจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องพลางทนรับชื่อเรียกแย่ๆ เหล่านี้ไปด้วย?  เจ้าไม่รู้สึกหรือว่านี่ไม่เป็นธรรมกับเจ้า?  เจ้าต้องการการเกื้อหนุน การหนุนใจ และความเข้าใจจากพ่อแม่เวลาที่เจ้ามีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้มิใช่หรือ?  เจ้ามักจะรู้สึกว่าเจ้าทำให้พ่อแม่ผิดหวังมิใช่หรือ?  ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงถึงกับมีความคิดบางอย่างที่เบาปัญญาว่า “ในชีวิตนี้ ฉันไม่ได้มีชะตากรรมที่จะแสดงความกตัญญูหรือใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่  ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาในชีวิตหน้า!”  ความคิดเช่นนี้เบาปัญญามิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้าไม่ควรมีความคิดเหล่านี้ เจ้าควรแก้ไขความคิดที่ต้นตอของมัน  เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้าเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างเพื่อที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า  นั่นเป็นเส้นทางสายเดียวที่ถูกต้องในโลกนี้  เจ้าเลือกถูกแล้ว  ไม่ว่าคนที่ไม่เชื่อ ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ของเจ้าด้วย จะเข้าใจเจ้าผิดหรือรู้สึกผิดหวังในตัวเจ้ามากเพียงใด นี่ก็ไม่ควรส่งผลต่อการเลือกของเจ้าที่จะเดินไปบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าหรือปณิธานของเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่ควรส่งผลต่อความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  เจ้าควรมุมานะต่อไป เพราะเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่  ความคาดหวังเหล่านั้นไม่ควรกลายเป็นภาระของเจ้ายามที่เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง  เจ้ากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้าเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตแล้ว ถ้าพ่อแม่ไม่เกื้อหนุนเจ้า ถ้าพวกเขาดุด่าเจ้าอยู่เสมอว่าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีวิจารณญาณในเรื่องของพวกเขาเข้าไปใหญ่ ปล่อยมือจากพวกเขาทางด้านอารมณ์ และไม่ถูกพวกเขาตีกรอบ  ถ้าพวกเขาไม่เกื้อหนุน หนุนใจ หรือชูใจเจ้า เจ้าก็จะไม่เป็นไร—เจ้าจะไม่ได้รับหรือสูญเสียอะไรไปกับการมีหรือไม่มีสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความคาดหวังที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า  พระเจ้าทรงหนุนใจเจ้า จัดหาให้เจ้า และทรงนำเจ้า  เจ้าไม่ได้อยู่ลำพัง  เมื่อไม่มีความคาดหวังของพ่อแม่ เจ้าก็ยังสามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้เช่นกัน และเมื่อดูตามนี้ เจ้าก็ยังเป็นคนดี  การปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ไม่ได้หมายความว่าตัวเจ้าสูญเสียจริยธรรมและศีลธรรมที่มี และไม่ได้หมายความแน่นอนว่าเจ้าละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตน หรือความมีศีลธรรมและความเที่ยงธรรม  สาเหตุที่เจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของพ่อแม่ก็เป็นเพราะเจ้าเลือกสิ่งที่เป็นบวก และเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่ไม่มีอะไรผิด เป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด  เจ้าควรบากบั่นและมั่นคงในการเชื่อของเจ้าต่อไป  เป็นไปได้ที่เจ้าจะไม่ได้รับการเกื้อหนุนจากพ่อแม่ และแน่นอนว่าไม่ได้รับพรจากพวกเขา เพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้าและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  เรื่องนี้ไม่มีความสำคัญ เจ้าไม่ได้สูญเสียอะไร  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเจ้าเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าก็ทรงเริ่มมีความคาดหวังและมีความมุ่งหวังในตัวเจ้าอย่างมาก  ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ถ้าผู้คนออกห่างจากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องของตน พวกเขาย่อมจะมีชีวิตที่ดีได้อยู่ดี  แน่นอนว่าพวกเขาจะสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติหลังจากที่ออกห่างจากพ่อแม่ของตนด้วย  พวกเขาจะตกอยู่ในความมืดมนก็ต่อเมื่อออกห่างจากการทรงนำและพรของพระเจ้าเท่านั้น  เมื่อเทียบกับความคาดหวังที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนและการทรงนำของพระองค์แล้ว ความคาดหวังของพ่อแม่ย่อมไร้ซึ่งความสำคัญโดยแท้และไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง  ไม่ว่าพ่อแม่จะคาดหวังให้เจ้าเป็นคนแบบใด หรือคาดหวังให้เจ้ามีชีวิตเช่นไรทางด้านอารมณ์ พวกเขาก็ไม่ได้ชี้นำให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง หรือเส้นทางแห่งความรอด  เพราะฉะนั้นเจ้าก็ควรแก้ไขมุมมองของตนให้ถูกต้อง และปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ทั้งในด้านอารมณ์และในส่วนลึกของหัวใจ  เจ้าไม่ควรแบกภาระแบบนี้ไว้บนบ่าอีกต่อไป หรือรู้สึกผิดอันใดต่อพ่อแม่เพราะเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เจ้าไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้ใครผิดหวัง  เจ้าเลือกที่จะติดตามพระเจ้าและยอมรับความรอดจากพระองค์  นี่ไม่ใช่การทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ตรงกันข้าม พ่อแม่ของเจ้าควรรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่เจ้าเลือกปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและยอมรับความรอดจากพระผู้สร้างแล้ว  ถ้าพวกเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนดี  พวกเขาไม่คู่ควรกับความเคารพของเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรกับความกตัญญูของเจ้า แน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่คู่ควรกับความห่วงใยของเจ้า  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

ในโลกนี้ ผู้คนเช่นไรคู่ควรที่จะได้รับความเคารพที่สุด?  ย่อมเป็นผู้คนที่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ?  ในที่นี้คำว่า “เส้นทางที่ถูกต้อง” หมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงและยอมรับความรอดจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  คนที่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องคือผู้คนที่ติดตามและนบนอบพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าเป็นคนแบบนี้ หรืออุตสาหะที่จะเป็นคนแบบนี้ แล้วพ่อแม่ไม่เข้าใจเจ้า ถึงกับสาปแช่งเจ้าอยู่เสมอ—ถ้าในยามที่เจ้าอ่อนแอ หดหู่ และหลงทาง พวกเขาไม่เพียงไม่เกื้อหนุน ชูใจ หรือหนุนใจเจ้า แต่มักจะเรียกร้องให้เจ้ากลับไปแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา กลับไปหาเงินมากๆ และดูแลพวกเขา ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง ทำให้พวกเขาพลอยรุ่งเรืองไปพร้อมกับเจ้าได้ และมีชีวิตที่ดีร่วมกับเจ้าอีกด้วย—พ่อแม่แบบนี้ควรทิ้งไปเสียมิใช่หรือ?  (ใช่)  พ่อแม่แบบนี้คู่ควรให้เจ้าเคารพกระนั้นหรือ?  พวกเขาคู่ควรกับความกตัญญูของเจ้าหรือไม่?  พวกเขาคู่ควรให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบที่มีต่อพวกเขาหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่คู่ควร?  เพราะพวกเขารังเกียจสิ่งที่เป็นบวก นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะพวกเขาเกลียดพระเจ้า นั่นคือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะพวกเขานึกเหยียดหยามที่เจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นคือข้อเท็จจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขานึกเหยียดหยามผู้คนที่ทำเพื่อเหตุอันควร พวกเขาหยามหยันและดูแคลนเจ้าเพราะเจ้าติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  นี่เป็นพ่อแม่ชนิดใด?  พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่น่าดูหมิ่นและเลวทรามมิใช่หรือ?  เป็นพ่อแม่ที่เห็นแก่ตัวมิใช่หรือ?  เป็นพ่อแม่ที่เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ามีชื่ออยู่ในประกาศจับและถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่าเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าหนีหัวซุกหัวซุน ไม่สามารถกลับบ้าน และบางคนก็ถึงกับต้องไปอยู่ต่างประเทศ  ญาติพี่น้อง มิตรสหาย และเพื่อนร่วมชั้นของเจ้าล้วนกล่าวว่าเจ้ากลายเป็นนักโทษหลบหนีไปแล้ว และเพราะข่าวลือและเรื่องนินทาภายนอกเหล่านี้ พ่อแม่ของเจ้าจึงนึกว่าเจ้าทำให้พวกเขาทนทุกข์อย่างไม่ยุติธรรม และทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า  ไม่เพียงพวกเขาจะไม่เข้าใจ ไม่เกื้อหนุน หรือเห็นอกเห็นใจเจ้า ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ติเตียนผู้คนที่แพร่ข่าวลือเหล่านั้น รวมทั้งผู้คนที่ดูหมิ่นและเลือกปฏิบัติกับเจ้าเท่านั้น แต่พ่อแม่ยังเกลียดเจ้าอีกด้วย พวกเขาพูดถึงเจ้าเหมือนที่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าและผู้คนที่อยู่ในอำนาจพูดกัน  เจ้าคิดอย่างไรกับพ่อแม่เหล่านี้?  พวกเขาดีงามหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้ายังคงรู้สึกหรือไม่ว่าติดหนี้พวกเขา?  (ไม่)  ถ้าเจ้าโทรศัพท์หาครอบครัวเป็นครั้งคราว พวกเขาก็จะคิดว่านี่เหมือนการรับโทรศัพท์จากนักโทษหลบหนี  พวกเขาจะรู้สึกว่านี่เป็นการทำให้พวกเขาอับอายอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเจ้าเองไม่กล้ากลับบ้านด้วยซ้ำ เหมือนหนูถูกล่า  พวกเขาจะรู้สึกว่าการมีลูกอย่างเจ้านั้นน่าอับอาย  พ่อแม่แบบนี้คู่ควรแก่การเคารพหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่คู่ควรแก่การเคารพ  ดังนั้น ความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเจ้าย่อมมีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  คู่ควรให้เจ้าจดจำไว้ในใจหรือไม่?  (ไม่)  ความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเจ้ามีสิ่งใดเป็นเป้าหมายสำคัญ?  แท้จริงแล้วพวกเขาอยากให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและได้รับความรอดในที่สุดหรือไม่?  พวกเขาหวังว่าเจ้าจะเดินตามกระแสนิยมของสังคมและเจริญก้าวหน้าในโลก ทำให้พวกเขาภูมิใจ ทำให้พวกเขาสามารถเจอหน้าชาวโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี และกลายเป็นความภาคภูมิใจและความชื่นบานของพวกเขา  มีอะไรอีก?  พวกเขาอยากที่จะรุ่งเรืองไปพร้อมกับเจ้าได้ กินดีดื่มดี สวมเสื้อผ้าแบรนด์ดีๆ และมีทองมีเงินประดับประดาเต็มตัวได้  พวกเขาอยากไปล่องเรือสำราญอันหรูหราและท่องเที่ยวไปทุกประเทศในโลก  ถ้าเจ้าเจริญก้าวหน้าในโลก มีชื่อเสียงเงินทองในโลกนี้ และทำให้พวกเขาสามารถรุ่งเรืองไปกับเจ้าได้ พวกเขาก็จะเอ่ยชื่อเจ้าในทุกที่ที่ไป บอกว่า “ลูกชายของฉัน ลูกสาวของฉันคือคนนี้คนนั้น”  แล้วตอนนี้พวกเขาเอ่ยชื่อของเจ้ากันหรือไม่?  (ไม่)  เจ้ากำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่พวกเขากลับไม่เอ่ยชื่อเจ้า  พวกเขาคิดว่าเจ้ายากจนเข็ญใจ เป็นความอับอายขายหน้า และการเอ่ยถึงเจ้าก็เท่ากับทำให้ตัวเองอับอาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดถึงเจ้า  เพราะฉะนั้น ความคาดหวังของพ่อแม่มีจุดหมายเป็นสิ่งใด?  เป็นการรุ่งเรืองไปกับเจ้าด้วย ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าได้ดีโดยแท้  พวกเขาจะมีความสุขก็ต่อเมื่อสามารถรุ่งเรืองไปกับเจ้าได้  ตอนนี้เจ้ากลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างแล้ว ยอมรับพระเจ้า ยอมรับความรอดจากพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ ตอนนี้เจ้ารับหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปทำและออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตแล้ว พวกเขาไม่ได้ผลตอบแทนหรือได้ประโยชน์จากเจ้า และพวกเขาก็รู้สึกว่าพลาดท่าเสียแล้วที่เลี้ยงเจ้าให้เติบใหญ่  ราวกับว่าพวกเขาทำธุรกิจขาดทุน  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเสียใจ  พ่อแม่บางคนมักจะกล่าวว่า “เลี้ยงลูกให้โตมานี่แย่กว่าเลี้ยงสุนัข  เวลาเลี้ยงสุนัข มันเป็นมิตรมากและรู้จักแกว่งหางเวลาเห็นเจ้าของ  ส่วนการเลี้ยงลูกนั้นพ่อแม่คาดหวังอะไรได้บ้าง?  ลูกเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนเองทั้งวัน ไม่ทำมาค้าขาย ไม่ไปทำงาน ลูกไม่อยากมีหนทางทำมาหากินที่มั่นคงด้วยซ้ำ แล้วในที่สุดเพื่อนบ้านทุกคนก็เริ่มหัวเราะเยาะพวกเรา  พ่อแม่ได้อะไรจากลูก?  พ่อแม่ไม่เคยได้อะไรดีๆ จากลูกสักอย่างเดียว ไม่เคยพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วยเลย”  ถ้าเจ้าทำตามกระแสนิยมอันชั่วของทางโลก และพากเพียรที่จะประสบความสำเร็จในโลกนั้น พ่อแม่ของเจ้าก็น่าจะเกื้อหนุน หนุนใจ และชูใจเจ้าหากเจ้าทนทุกข์ ล้มป่วย หรือรู้สึกเศร้าเสียใจ  ทว่าพวกเขากลับไม่รู้สึกเป็นสุขหรือยินดีปรีดาไปกับการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้าและมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ตรงกันข้าม พวกเขากลับเกลียดและสาปแช่งเจ้า  ตามแก่นแท้ของพวกเขาแล้ว พ่อแม่เหล่านี้ก็คืออริและศัตรูคู่อาฆาตของเจ้า พวกเขาไม่ใช่ผู้คนประเภทเดียวกับเจ้า และไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า  แม้ภายนอกพวกเจ้าจะดูเป็นครอบครัว แต่เมื่อดูแก่นแท้ ดูสิ่งที่พวกเจ้าไล่ตามเสาะหา ความชอบส่วนตัว เส้นทางที่พวกเจ้าเดิน และท่าทีต่างๆ ที่พวกเจ้ามีต่อสิ่งที่เป็นบวก พระเจ้า และความจริงแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเจ้า  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะพูดไปมากเพียงใดว่า “ลูกมีหวังที่จะได้รับความรอด ลูกออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตแล้ว” พวกเขาก็จะไม่รู้สึกอะไรด้วย และจะไม่รู้สึกมีความสุขไปกับเจ้า หรือยินดีปรีดาไปกับเจ้า  แต่กลับรู้สึกอับอาย  ทางด้านอารมณ์นั้นพ่อแม่เหล่านี้คือครอบครัวของเจ้า แต่ตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเจ้าแล้ว พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวของเจ้า พวกเขาคือศัตรู  ลองคิดดูเถิด ถ้าลูกๆ นำของขวัญและเงินทองไปให้เวลากลับบ้าน ทำให้พ่อแม่สามารถกินดีและอาศัยอยู่ในที่ดีๆ พ่อแม่ย่อมจะลิงโลด พวกเขาย่อมจะมีความสุขมากเสียจนไม่รู้จะพูดอย่างไร  ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาย่อมพร่ำพูดว่า “ลูกชายของฉันยอดเยี่ยมมาก ลูกสาวของฉันยอดเยี่ยมเหลือเกิน  ฉันไม่ได้รักและเลี้ยงพวกเขามาเหนื่อยเปล่า  พวกเขามีเหตุมีผล รู้จักกตัญญูพ่อแม่ และพวกเราก็มีที่ทางอยู่ในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาเป็นลูกที่ดี”  สมมุติว่าเจ้ากลับบ้านมือเปล่า ไม่ได้ซื้ออะไรไปเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  สมมุติว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงแก่พ่อแม่ พูดถึงพระวจนะของพระเจ้า และกล่าวว่าเจ้าออกเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว  พ่อแม่ของเจ้าย่อมจะคิดทันทีว่า “ลูกพูดเรื่องอะไร?  พ่อแม่ไม่อาจเข้าใจลูกได้  พวกเราเลี้ยงลูกมาตลอดหลายปีนี้ และลูกก็ไม่ได้ลุล่วงสิ่งที่พวกเราคาดหวังเลย  ลูกกลับมาเยี่ยมพวกเราแล้วในที่สุด อย่างน้อยลูกก็น่าจะซื้อถุงเท้าสักคู่หรือซื้อผลไม้มาฝากพวกเราบ้าง  นี่ลูกไม่ได้เอาอะไรมา แค่กลับมามือเปล่าเท่านั้น”  พ่อแม่ของเจ้าจะไม่พูดว่า “ได้ฟังลูกพูดเรื่องเหล่านี้ พ่อแม่บอกได้เลยว่าลูกเปลี่ยนไปมาก  เมื่อก่อนลูกยังหนุ่มยังสาวและโอหัง แต่ตอนนี้ลูกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ  พวกเราบอกได้เลยว่าทุกสิ่งที่ลูกพูดมาเป็นเรื่องที่ถูกควรทั้งสิ้น  ลูกก้าวหน้าแล้ว  ลูกมีอนาคต และมีหวังแล้ว—ลูกสามารถเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง สามารถติดตามพระเจ้าและได้รับความรอด  ลูกเป็นเด็กดี  ลูกทนทุกข์อยู่ข้างนอกนั่นมาตลอด แม่ควรทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน  พวกเราเก็บไก่เอาไว้สองสามตัว และปกติแล้วก็ไม่อยากฆ่ามันหรอก พ่อแม่รอกินไข่แทน  แต่ตอนนี้ลูกอยู่บ้าน แม่จะฆ่าไก่สักตัวและตุ๋นซุปไก่ให้  ลูกทำถูกแล้วที่เลือกเส้นทางนี้ ลูกจะสามารถได้รับความรอด  พ่อแม่รู้สึกยินดีกับลูกอย่างยิ่ง!  ช่วงสองสามปีมานี้แม่คิดถึงลูกมาก  แม้พวกเราจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่ตอนนี้ลูกก็กลับมาเยี่ยมพ่อแม่แล้ว แม่เลยรู้สึกสบายใจ  ลูกโตแล้ว  เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมีเหตุผลกว่าแต่ก่อน  เรื่องที่ลูกพูดและทำล้วนเป็นเรื่องที่ถูกควร”  เมื่อมองเห็นลูกของตนเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง มีความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง พ่อแม่จึงสามารถได้ประโยชน์และขยับขยายความรู้ของตนไปด้วย  ในเมื่อลูกสามารถปฏิบัติหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริง พ่อแม่เหล่านี้ก็ควรเกื้อหนุนพวกเขา  ถ้าในอนาคต ลูกได้รับความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักร ไม่ถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนทำร้ายอีกต่อไป นั่นก็จะเป็นเรื่องที่วิเศษ  แม้พ่อแม่เหล่านี้จะสูงวัย เข้าใจความจริงได้ช้า และไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก แต่พวกเขาก็รู้สึกว่า “ลูกของฉันสามารถเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม  พวกเขาเป็นเด็กดี  ตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลและความมั่งคั่งไม่ว่าจะมากเท่าใดก็ไม่ดีงามหรือมีคุณค่าเท่านี้!”  จงบอกเราเถิด นี่ใช่พ่อแม่ที่ดีหรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาคู่ควรแก่การเคารพหรือไม่?  (คู่ควร)  พวกเขาคู่ควรที่เจ้าจะเคารพ  แล้วเจ้าควรเคารพพวกเขาอย่างไร?  เจ้าควรอธิษฐานให้พวกเขาอยู่ในหัวใจ  ถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงนำและคุ้มครองพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานของตนได้ระหว่างที่เผชิญบททดสอบและการทดลอง  ถ้าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรเคารพการตัดสินใจของพวกเขาอยู่ดี และหวังให้ชีวิตของพวกเขามั่นคง หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่ไม่ดี และทำความชั่วน้อยลง เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างดีที่สุดพวกเขาก็จะถูกลงโทษน้อยลงเมื่อตายไป นอกจากนี้เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมถึงความคิด ทัศนะ และเรื่องบางอย่างที่เป็นบวกอย่างสุดความสามารถ  นี่จึงเรียกว่าเคารพ และสามารถเรียกได้ด้วยว่าเป็นความกตัญญูชนิดที่ดีที่สุดและเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างดีที่สุด  เจ้าจะทำได้หรือไม่?  (ทำได้)  ในด้านวิญญาณและจิตใจนั้น จงหนุนใจและเกื้อหนุนพวกเขา  ส่วนทางด้านร่างกาย ระหว่างที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาที่บ้านก็จงช่วยพวกเขาทำงานบางอย่างให้เสร็จอย่างเต็มความสามารถ และสามัคคีธรรมบางเรื่องที่เจ้าเข้าใจและพ่อแม่ของเจ้าก็สามารถเข้าใจได้  จงช่วยให้พวกเขาได้พัก ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไป ไม่วุ่นวายอยู่กับเรื่องการเงินและเรื่องอื่นๆ ทั้งปวงมากเกินไป และได้ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามครรลองของมันบ้าง  นี่จึงเรียกว่าเคารพ  จงปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเจ้าเหมือนพวกเขาเป็นคนดีที่น่านับถือ ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาบ้าง แสดงความกตัญญูบ้าง และลงมือทำภาระผูกพันบางอย่างที่เจ้ามีต่อพวกเขา  นี่จึงเรียกว่าเคารพ  เฉพาะพ่อแม่ที่เข้าใจและเกื้อหนุนการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรแก่การเคารพ  นอกเหนือจากพ่อแม่เหล่านี้ พ่อแม่คนอื่นล้วนไม่คู่ควรแก่การเคารพ  นอกจากให้เจ้าหาเงินแล้ว พวกเขายังอยากให้เจ้าเจริญก้าวหน้าในโลก สร้างชื่อให้ตัวเจ้าเอง และทำนี่ทำนั่น  เหล่านี้คือพ่อแม่ที่ไม่ทำกิจธุระอันถูกควรของตน และไม่คู่ควรแก่การเคารพ

คราวนี้พวกเจ้าทุกคนก็เข้าใจเรื่องของการปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ และสามารถปล่อยมือจากความคาดหวังของพ่อแม่ของตนแล้ว  มีสิ่งใดอีกที่พวกเจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้?  เมื่อเป็นเรื่องชีวิตของพ่อแม่หรือตัวพ่อแม่เอง สิ่งใดที่เจ้าใส่ใจมากที่สุด?  กล่าวคือ เจ้าแยกจากหรือปล่อยมือจากสิ่งใดได้ยากที่สุดทางอารมณ์?  “พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชีวิตหรือชะตากรรมของลูก”—โดยพื้นฐานแล้วพวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้จบแล้วมิใช่หรือ?  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้กันหรือไม่?  (เข้าใจ)  พ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก—นั่นคือ เจ้าไม่ควรครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าต้องตอบแทนพวกเขาอย่างไรเพียงเพราะพวกเขาใช้เวลาเลี้ยงดูเจ้ามานานมาก  ถ้าเจ้าไม่สามารถตอบแทนพวกเขาได้ ถ้าเจ้าไม่มีโอกาสหรือรูปการณ์อันเหมาะสมที่จะตอบแทนพวกเขา เจ้าก็จะรู้สึกผิดและเศร้าเสียใจอยู่เสมอ ถึงขั้นที่เจ้าจะรู้สึกเศร้าด้วยซ้ำไปเมื่อใดก็ตามที่เห็นใครสักคนอยู่กับพ่อแม่ของตน ดูแล หรือทำบางสิ่งเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่  พระเจ้าทรงลิขิตให้พ่อแม่ของเจ้าเลี้ยงดูเจ้า ทำให้เจ้าสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตตอบแทนพวกเขา  เจ้ามีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าต้องลุล่วงในชีวิตนี้ มีเส้นทางที่เจ้าต้องเดิน และมีชีวิตของเจ้าเอง  เจ้าจึงไม่ควรใช้พลังงานทั้งหมดของตนในชีวิตนี้ไปกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่  นี่เป็นเพียงสิ่งที่ตามติดตัวเจ้าในชีวิตนี้และในเส้นทางชีวิตของเจ้าเท่านั้น  ในแง่ของความเป็นมนุษย์และสัมพันธภาพทางอารมณ์แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  แต่ในเรื่องที่ว่าเจ้าและพ่อแม่มีชะตากรรมที่จะมีสัมพันธภาพกันแบบใด จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ตลอดชีวิตของเจ้าหรือไม่ หรือว่าจะแยกจากกันและไม่ถูกชะตากรรมเชื่อมโยงเข้าหากัน นี่ขึ้นอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดเตรียมให้เจ้าอยู่คนละที่กับพ่อแม่ในชีวิตนี้ ให้เจ้าอยู่ไกลจากพ่อแม่มาก และไม่อาจใช้ชีวิตด้วยกันได้บ่อยนัก เช่นนั้นสำหรับเจ้าแล้ว การลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขาก็เป็นเพียงความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งเท่านั้น  ถ้าพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้าใช้ชีวิตใกล้ชิดพ่อแม่ของเจ้าอย่างมากในชีวิตนี้ และสามารถอยู่เคียงข้างพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วการลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพ่อแม่บ้าง และแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาบ้างก็เป็นสิ่งที่เจ้าควรทำในชีวิตนี้—ไม่มีอะไรให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ในเรื่องนี้  แต่ถ้าเจ้าอยู่คนละที่กับพ่อแม่ และไม่มีโอกาสหรือรูปการณ์อันเหมาะสมที่จะแสดงความกตัญญูต่อพวกเขา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมองว่านี่เป็นเรื่องน่าละอาย  เจ้าไม่ควรรู้สึกละอายที่จะพบหน้าพ่อแม่เพราะเจ้าไม่สามารถกตัญญูต่อพวกเขา แค่รูปการณ์ของเจ้าไม่เปิดโอกาสให้ทำดังนั้นเท่านั้น  ในฐานะลูก เจ้าควรเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่ใช่เจ้าหนี้ของลูก  มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าต้องทำในชีวิตนี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแม่  การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ การใช้คืน การตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา—สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจในชีวิตของเจ้า  กล่าวได้อีกด้วยว่าไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตอบแทน หรือลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อพวกเขา  กล่าวง่ายๆ ก็คือ เจ้าอาจทำเรื่องนี้ได้บ้างและลุล่วงความรับผิดชอบได้บ้างเมื่อรูปการณ์ของเจ้าเปิดโอกาสให้ทำ ยามที่รูปการณ์ไม่เปิดโอกาสให้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  ถ้าเจ้าไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่ขัดกับมโนธรรมของเจ้า ศีลธรรมของมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์บ้างเท่านั้น  แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ขัดกับความจริง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าในเรื่องนี้  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง มโนธรรมของเจ้าจะไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิเพราะเรื่องนี้  คราวนี้เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงแง่นี้แล้ว หัวใจของพวกเจ้าย่อมจะรู้สึกมั่นคงแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “แม้พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษฉัน แต่ในมโนธรรมของตนเอง ฉันยังผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่มั่นคง”  ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็มีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และยังไม่เข้าใจหรือรู้ทันแก่นแท้ของเรื่องนี้  เจ้าไม่เข้าใจชะตาชีวิตของมนุษย์ ไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า ไม่เต็มใจที่จะยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า  เจ้ามีเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเองอยู่เสมอ และสิ่งเหล่านี้ก็คอยขับเคลื่อนและครอบงำเจ้า กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว  ถ้าเจ้าเลือกเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เคยเลือกความจริง เจ้าไม่ได้ปฏิบัติความจริงหรือนบนอบความจริง  ถ้าเจ้าเลือกเจตจำนงของมนุษย์และความรู้สึกของตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศความจริง  เห็นได้ชัดว่ารูปการณ์และสภาพแวดล้อมของเจ้าไม่เปิดโอกาสให้เจ้าแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เจ้าก็คิดอยู่เสมอว่า “ฉันติดหนี้พ่อแม่  ฉันไม่เคยแสดงความกตัญญูต่อพวกท่าน  พ่อแม่ไม่ได้เห็นหน้าฉันมาหลายปีแล้ว  พวกท่านเลี้ยงดูฉันมาเหนื่อยเปล่า”  ในส่วนลึกของหัวใจ เจ้าไม่เคยปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้  นี่พิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่งคือ เจ้าไม่ยอมรับความจริง  ในแง่ของคำสอน เจ้ารับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง แต่เจ้าไม่ยอมรับว่าพระวจนะคือความจริง หรือใช้พระวจนะเป็นหลักธรรมแห่งการกระทำของเจ้า  ดังนั้น เจ้าจึงไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องที่ว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างไร  เพราะในเรื่องนี้เจ้าไม่ได้กระทำการตามความจริง เจ้าไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า กลับเอาแต่ตอบสนองความต้องการทางอารมณ์และความต้องการทางมโนธรรมของตนเท่านั้น อยากแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  แม้พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าที่เลือกสิ่งนี้ และนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าเลือก แต่ในที่สุดคนที่จะพลาดท่าเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของชีวิต ก็คือเจ้า  เจ้าถูกเรื่องนี้พันธนาการเอาไว้เสมอ คิดตลอดเวลาว่าเจ้าละอายแก่ใจเกินกว่าจะสู้หน้าพ่อแม่ได้ และไม่เคยตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขา  สักวันหนึ่งเมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าอยากตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพ่อแเม่มากเหลือเกิน พระองค์ก็จะทรงดำเนินการจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมให้แก่เจ้า และแล้วเจ้าก็จะสามารถกลับบ้านได้ทันที  เจ้าคิดว่าพ่อแม่ของเจ้าสูงส่งกว่าทุกสิ่ง สูงส่งกว่าความจริงมิใช่หรือ?  เพื่อที่จะแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาและสนองความต้องการทางมโนธรรมและความรู้สึกของเจ้า เจ้าสู้ยอมสูญเสียพระเจ้า ละทิ้งความจริง และละทิ้งโอกาสที่เจ้าจะได้รับความรอดเสียดีกว่า  เอาเถิด เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร นั่นคือสิ่งที่เจ้าเลือก  พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้าในเรื่องนี้  พระเจ้าจะทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อมให้แก่เจ้า พระองค์จะทรงลบเจ้าออกจากรายชื่อของพระองค์ และจะทรงทิ้งเจ้าเสีย  ถ้าเจ้าเลือกที่จะกลับบ้านไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเดินหนีไปจากหน้าที่ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้ากำลังปฏิเสธพระบัญชาและความคาดหวังที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้า เจ้ากำลังถอนตัวจากหน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า และละทิ้งโอกาสของตนที่จะได้ปฏิบัติหน้าที่  ถ้าเจ้ากลับบ้านไปอยู่ร่วมกับพ่อแม่อีกครั้ง ตอบสนองความต้องการทางมโนธรรมของเจ้า และตอบสนองความคาดหวังของพ่อแม่ นั่นย่อมไม่เป็นไร เจ้าสามารถเลือกที่จะกลับบ้านได้  ถ้าเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากพ่อแม่ได้จริง เจ้าก็สามารถริเริ่มยกมือก่อนใครและกล่าวว่า “ฉันคิดถึงพ่อแม่มากเหลือเกิน  มโนธรรมของฉันรู้สึกว่าถูกตำหนิอยู่ทุกวัน ฉันไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกของตนได้ และหัวใจของฉันก็เจ็บปวด  ฉันถวิลหาพ่อแม่และเฝ้าคิดเรื่องของพวกท่าน  ถ้าไม่กลับไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ในชีวิตนี้ ฉันก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว  ฉันกลัวตัวเองจะเสียใจ”  ต่อจากนั้นเจ้าก็สามารถกลับบ้านได้  ถ้าพ่อแม่ของเจ้าคือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสำหรับเจ้า ถ้าในสายตาของเจ้า พวกเขายิ่งใหญ่กว่าชีวิตของเจ้า ถ้าพวกเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เลือกที่จะไม่ปล่อยมือจากพวกเขาได้  จะไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าทำเช่นนั้น  เจ้าสามารถเลือกที่จะกลับไปบ้านเพื่อแสดงความกตัญญูและอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ ทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดี และตอบแทนความใจดีมีเมตตาของพวกเขาได้  แต่เจ้าจำเป็นต้องใช้ความคิดในเรื่องนี้ให้มาก  ถ้าเจ้าเลือกเช่นนี้ในวันนี้ แล้วในที่สุดก็เสียโอกาสที่จะได้รับความรอด เช่นนั้นแล้วก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะต้องแบกรับผลลัพธ์นี้เอาไว้  ไม่มีใครอื่นจะสามารถแบกรับผลสืบเนื่องเช่นนี้แทนเจ้า เจ้าต้องแบกรับเอาไว้เอง  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ถ้าเจ้ายอมทิ้งโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่และได้รับความรอด เพียงเพื่อให้พ่อแม่สามารถเป็นเจ้าหนี้ของเจ้าได้ และเพื่อที่เจ้าจะสามารถใช้หนี้คืนพวกเขาได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าเลือก  ไม่มีใครบีบบังคับเจ้า  สมมุติว่ามีคนในคริสตจักรร้องขอว่า “การใช้ชีวิตห่างบ้านเป็นเรื่องยากลำบากเกินไป  ฉันคิดถึงพ่อแม่มากเหลือเกิน  ไม่สามารถปล่อยมือจากพ่อแม่ในหัวใจของฉันได้  ฉันมักจะฝันถึงพวกท่าน  ในความรู้สึกนึกคิดและในหัวใจของฉันมีแต่เงาของพวกท่านเท่านั้นที่ฉันสามารถนึกถึง และฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อทุกสิ่งที่พวกท่านทำให้ฉันมาโดยตลอด  ตอนนี้พอพวกท่านมีอายุมากขึ้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าการที่พ่อแม่เลี้ยงลูกสักคนให้เติบใหญ่นั้นยากเย็นมาก และฉันก็ควรตอบแทนพ่อแม่ มอบความชื่นบานให้พวกท่านบ้าง และชูใจพ่อแม่ด้วยการอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตของพวกท่าน  ฉันยอมทิ้งโอกาสของตนที่จะได้รับการช่วยให้รอดเพื่อให้ตัวเองได้กลับบ้านไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่”  ในกรณีนั้น พวกเขาสามารถยื่นคำร้องโดยระบุว่า “ฉันขอรายงานตัว!  ฉันต้องการกลับบ้านไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ฉันไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง”  แล้วคริสตจักรก็ควรให้ความเห็นชอบ ไม่มีใครจำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมหรือสามัคคีธรรมกับพวกเขา  การพูดอะไรกับพวกเขามากไปกว่านี้ย่อมจะโง่เขลา  เวลาที่ผู้คนไม่เข้าใจอะไรเลย เจ้าสามารถพูดจากับพวกเขามากขึ้นอีกนิด และสามัคคีธรรมความจริงจนกระจ่างแจ้ง  ถ้าเจ้าไม่เคยสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน และส่งผลให้พวกเขาเลือกผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้  อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาเข้าใจทุกอย่างทางด้านคำสอน เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องโน้มน้าวพวกเขา  นี่ก็เหมือนที่บางคนกล่าวว่า “ฉันเข้าใจทุกอย่าง คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับฉัน”  นั่นเยี่ยมเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองลมปากกับพวกเขา และสามารถตัดปัญหาไปได้บ้าง  เจ้าควรยอมให้ผู้คนแบบนี้กลับบ้านทันที  ประการแรก จงอย่าหยุดยั้งพวกเขา ประการที่สอง จงเกื้อหนุนพวกเขา ประการที่สาม จงให้ความชูใจและหนุนใจพวกเขาบ้างโดยกล่าวว่า “กลับบ้านไปแสดงความกตัญญูที่ถูกควรต่อพ่อแม่เถิด  อย่าทำให้พวกเขาโมโหหรือเสียใจ  ถ้าคุณอยากกตัญญูต่อพ่อแม่และตอบแทนพวกเขา เช่นนั้นแล้วคุณก็ต้องเป็นลูกกตัญญู  แต่อย่าเต็มไปด้วยความเสียใจเมื่อคุณไม่อาจสัมฤทธิ์ความรอดได้ในท้ายที่สุด  ขอให้เดินทางดีๆ ฉันหวังว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดี!”  ดีไหม?  (ดี)  ถ้ามีคนอยากกลับบ้านไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ นั่นไม่เป็นไร พวกเขาไม่ควรเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้  การปฏิบัติหน้าที่เป็นเรื่องของความสมัครใจ และจะไม่มีใครยืนกรานให้เจ้าทำ  เจ้าจะไม่ถูกกล่าวโทษที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่  ถ้าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ จำเป็นหรือไม่ที่เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ความรอด?  ไม่จำเป็น  นี่เป็นเรื่องของท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น  แล้วเจ้าจะถูกทำลายล้างหรือไม่ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่?  ไม่มีใครเคยพูดเช่นนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ความหวังที่เจ้าจะได้รับความรอดก็น่าจะสูญสิ้น  บางคนถามว่า “การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของตนเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?”  เราไม่รู้  ถ้าเจ้าอยากแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ เช่นนั้นแล้วก็จงทำเถิด  พวกเราจะไม่ประเมินเรื่องนี้ ประเมินไปก็ไร้ความหมาย  นี่เป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์และความรู้สึก  เป็นเรื่องของการเลือกวิธีดำรงอยู่ของเจ้า  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง  ใครก็ตามที่อยากกลับบ้านไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของตนก็สามารถเลือกที่จะทำเช่นนั้นได้อย่างอิสระ  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ยืนกรานให้พวกเขาอยู่ และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่แทรกแซง  ผู้นำคริสตจักรและผู้คนรอบตัวพวกเขาก็ไม่ควรห้ามพวกเขากลับบ้าน  ทุกคนไม่ควรเกลี้ยกล่อมคนแบบนี้ หรือสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  ถ้าเจ้าอยากกลับบ้าน เช่นนั้นแล้วก็จงไปเถิด  ทุกคนจะร่วมกันส่งเจ้า กินเกี๊ยวกับเจ้า และอวยพรให้เจ้าเดินทางอย่างปลอดภัย

ในด้านหนึ่ง สิ่งที่พ่อแม่คาดหวังจากลูกของตนมากที่สุดก็คือหวังให้ลูกๆ สามารถมีชีวิตที่ดี และอีกด้านหนึ่งก็หวังให้ลูกๆ อยู่เคียงข้างและเฝ้าดูแลพวกตนเวลาที่พวกตนแก่เฒ่า  ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อแม่ไม่สบายหรือเผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่างในชีวิต พวกเขาย่อมหวังว่าลูกๆ จะสามารถช่วยปัดเป่าความวิตกกังวลและความยุ่งยากทั้งหลายไปได้ และสามารถแบ่งเบาภาระนี้ได้  พวกเขาหวังว่าลูกๆ จะอยู่ข้างกายเมื่อพวกเขาจากโลกนี้ไป เพื่อให้พวกเขาสามารถเห็นหน้าลูกๆ ได้อีกเป็นครั้งสุดท้าย  ตามปกติแล้วสองเรื่องนี้คือสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังจากลูกมากที่สุด และเป็นการยากที่จะปล่อยมือจากความคาดหวังเหล่านี้  ถ้าพ่อแม่ของคนคนหนึ่งล้มป่วยหรือเผชิญเรื่องยุ่งยาก แล้วตัวลูกไม่ได้ข่าวคราวเรื่องนี้ ก็เป็นไปได้ที่สิ่งเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขโดยที่ลูกไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย  แต่ถ้าลูกรู้เรื่องเหล่านี้เข้า พวกเขาก็มักจะก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ไปได้ยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พ่อแม่ป่วยหนักและร้ายแรง  ในห้วงเวลาเหล่านั้นผู้คนจะยิ่งปล่อยมือยากขึ้นไปอีก  เมื่อเจ้ารู้สึกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่าพ่อแม่ของเจ้ายังคงอยู่ในภาวะทางกายภาพ ทางด้านความเป็นอยู่ หรือการทำงานดังที่พวกเขาเคยเป็นเมื่อ 10 หรือ 20 ปีก่อน สามารถดูแลตัวเองได้ และใช้ชีวิตได้ตามปกติ พวกเขายังคงมีสุขภาพดี อายุยังน้อย และแข็งแรง เมื่อเจ้ามีความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ต้องการเจ้า เจ้าก็จะไม่ห่วงใยพวกเขาอยู่ในหัวใจของตนมากขนาดนั้น  แต่พอเจ้ารู้ว่าพ่อแม่เข้าวัยชราแล้ว ร่างกายอ่อนแอ และพวกเขาต้องการคนมาคอยดูแลและอยู่เป็นเพื่อน ถ้าเจ้าอยู่ที่อื่น เจ้าก็น่าจะรู้สึกเสียใจและได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้  บางคนถึงกับทิ้งหน้าที่ของตน และอยากกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่  บางคนที่ใช้อารมณ์ก็ยิ่งเลือกอย่างไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่ บอกว่า “ถ้าทำได้ ฉันจะยกชีวิตของฉันให้พ่อแม่สัก 10 ปี”  มีบางคนตั้งใจแสวงหาสิ่งที่ดีให้พ่อแม่ของตนอีกด้วย  พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอาหารเสริมสารพัดชนิดให้แก่พ่อแม่ และพอพวกเขารู้ว่าพ่อแม่ป่วยหนัก ก็อดไม่ได้ที่จะติดกับดักที่เป็นความรู้สึกของตน อยากจะเร่งรุดไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ทันที  บางคนก็กล่าวว่า “ฉันเต็มใจด้วยซ้ำที่จะรับเอาโรคนี้มาจากพ่อแม่” ไม่ได้คำนึงว่าตนเองควรปฏิบัติหน้าที่อะไร และละเลยพระบัญชาของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ในรูปการณ์เหล่านี้จึงมีแนวโน้มอย่างมากที่ผู้คนจะอ่อนแอและตกอยู่ในการทดลอง  พวกเจ้าจะร้องไห้กันหรือไม่ถ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่ป่วยหนัก?  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนได้รับจดหมายจากทางบ้าน บอกว่าหมอแจ้งระยะสุดท้ายแล้ว  คำว่า “แจ้งระยะสุดท้าย” หมายความว่าอย่างไร?  วลีนี้ตีความได้ง่าย  นี่หมายความว่าพ่อแม่ของผู้คนเหล่านั้นจะตายในอีกไม่กี่วัน  ในห้วงเวลาเช่นนั้น เจ้าย่อมจะคิดว่า “พ่อแม่เพิ่งมีอายุ 50 กว่าปีเท่านั้น  เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น  พวกท่านป่วยเป็นโรคอะไร?”  และเมื่อคำตอบคือ “มะเร็ง” เจ้าก็จะคิดทันทีว่า “พ่อแม่เป็นมะเร็งได้อย่างไร?  หลายปีมานี้ฉันอยู่ห่างบ้านโดยตลอด พ่อแม่ย่อมคิดถึงฉัน และชีวิตก็ย่อมจะลำบากมาก—เพราะอย่างนั้นหรือเปล่าพ่อแม่ถึงเป็นโรคนี้?”  จากนั้นเจ้าก็จะรีบโยนความผิดทั้งหมดให้ตัวเองว่า “พ่อแม่มีชีวิตที่ยากลำบากมาก และฉันก็ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้พวกท่านเลย  พ่อแม่คิดถึงฉันและวิตกกังวลในเรื่องของฉัน ส่วนฉันก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างพ่อแม่  ฉันทำให้พ่อแม่ผิดหวัง และทำให้พวกท่านทนทุกข์เจ็บปวดอยู่กับการคิดถึงฉันตลอดเวลา  พ่อแม่ใช้เวลายาวนานเลี้ยงดูฉันให้โตมาเพื่ออะไร?  ฉันมีแต่ทำให้พวกท่านทนทุกข์!”  ยิ่งคิดเจ้าก็ยิ่งเชื่อว่าเจ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง เจ้าติดหนี้พวกเขา  และแล้วเจ้าก็จะคิดไปว่า “ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง  ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำตามพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  ฉันไม่ได้ทำให้ใครผิดหวัง”  แต่แล้วเจ้าก็จะคิดว่า “พ่อแม่แก่มากแล้ว และไม่มีลูกคนไหนคอยดูแลอยู่ข้างกาย  เมื่อเป็นเช่นนั้น ที่พวกท่านเลี้ยงฉันมาจะมีประโยชน์อะไร?”  เจ้าจะคิดกลับไปกลับมา ไม่สามารถก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็ตาม  ไม่เพียงเจ้าจะร้องไห้เท่านั้น แต่เจ้าจะถลำลึกและติดอยู่ในความรู้สึกที่มีให้พ่อแม่อีกด้วย  ง่ายหรือไม่ที่จะปล่อยมือในรูปการณ์เหล่านี้?  เจ้าจะกล่าวว่า “พ่อแม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูฉันมา  พวกท่านไม่ได้คาดหวังให้ฉันมั่งคั่งมากมาย และไม่เคยขออะไรที่เกินเหตุจากฉัน  พวกท่านเพียงแต่หวังว่าฉันจะอยู่เคียงข้างเมื่อพวกท่านล้มป่วยและต้องการฉัน คอยอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ และบรรเทาความทุกข์ให้พวกท่าน  ฉันไม่เคยทำอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ!”  เจ้าจะร้องไห้ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่ป่วยเข้าขั้นวิกฤติไปจนถึงวันที่พวกเขาเสียชีวิต  ถ้าเผชิญสถานการณ์แบบนี้ พวกเจ้าจะเศร้าเสียใจกันหรือไม่?  จะร้องไห้หรือไม่?  พวกเจ้าจะมีน้ำตาหรือไม่?  (มี)  ในห้วงเวลานั้น ปณิธานและความมุ่งมาดของเจ้าจะสั่นคลอนหรือไม่?  เจ้าจะนึกอยากรีบกลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ด้วยความวู่วามและผลีผลามหรือไม่?  ลึกลงไปในหัวใจ เจ้าจะคิดหรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนเนรคุณที่ไร้น้ำใจ และพ่อแม่เลี้ยงเจ้ามาเหนื่อยเปล่า?  เจ้าจะมัวรู้สึกละอายที่จะสู้หน้าพ่อแม่ของตนหรือไม่?  เจ้าจะมัวนึกถึงความใจดีมีเมตตาที่พ่อแม่แสดงออกด้วยการเลี้ยงดูเจ้ามา และเฝ้านึกว่าพวกเขาดีต่อเจ้าเพียงใดหรือไม่?  (นึก)  เจ้าจะทิ้งหน้าที่ของตนหรือไม่?  เจ้าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ข่าวล่าสุดของพ่อแม่จากเพื่อนฝูงหรือพี่น้องชายหญิงหรือไม่?  ทุกคนย่อมจะสำแดงลักษณะเหล่านี้ออกมามิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็แก้ง่ายใช่หรือไม่?  เจ้าควรทำความเข้าใจเรื่องแบบนี้อย่างไร?  เจ้าควรมองเรื่องของความเจ็บป่วยหรือโชคร้ายครั้งใหญ่บางอย่างที่เกิดกับพ่อแม่ของเจ้าอย่างไร?  ถ้าเจ้าสามารถรู้ทันเรื่องนี้ได้ เจ้าก็จะสามารถปล่อยมือได้  ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะปล่อยมือไม่ได้  เจ้าย่อมคิดอยู่เสมอว่าทุกสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าสู้ทนและเผชิญมาตลอดนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้า และเจ้าควรแบ่งเบาภาระเหล่านั้น เจ้าโทษตัวเองตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับเจ้า อยากเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวอยู่ร่ำไป  แนวคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  เจ้าควรมองสิ่งเหล่านี้อย่างไร?  การสำแดงเช่นใดที่เป็นปกติ?  การสำแดงเช่นใดที่ไม่ปกติ ไม่มีเหตุผล และไม่เป็นไปตามความจริง?  พวกเราจะพูดถึงการสำแดงที่ปกติก่อน  ผู้คนล้วนมีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด พวกเขาประกอบด้วยเนื้อหนังและมีความรู้สึก  ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกได้  ทุกคนมีความรู้สึก—แม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ ก็มีความรู้สึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คน  แต่ความรู้สึกของบางคนก็แรงกว่านิด และความรู้สึกของบางคนก็เบากว่าหน่อย  แต่ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นเช่นไร ทุกคนล้วนมีความรู้สึก  ไม่ว่าจะเกิดจากความรู้สึก ความเป็นมนุษย์ หรือความมีเหตุผลของพวกเขา ทุกคนย่อมจะรู้สึกเสียใจเมื่อได้ฟังว่าพ่อแม่ของตนล้มป่วย พบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่ หรือเผชิญความทุกข์  ทุกคนย่อมจะรู้สึกเสียใจ  การรู้สึกเสียใจนี้เป็นเรื่องปกติมาก นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ผู้คนมีอยู่ในความเป็นมนุษย์และความรู้สึกของตน  การที่เรื่องนี้สำแดงออกมาในตัวผู้คนก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก  เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักหรือพบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่ ก็ปกติมากที่ผู้คนจะรู้สึกเศร้า ร้องไห้ หรือรู้สึกเก็บกด คิดหาวิธีแก้ปัญหา รวมทั้งแบ่งเบาภาระของพ่อแม่  สำหรับบางคนแล้ว นี่จะส่งผลต่อร่างกายของพวกเขาด้วยซ้ำ—พวกเขาจะกินไม่ได้ รู้สึกอึดอัดอยู่ในอก และรู้สึกแย่ตลอดวัน  ทั้งหมดนี้คือการสำแดงภาวะอารมณ์ออกมา และเป็นสิ่งที่ปกติมากทั้งสิ้น  ผู้คนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์เจ้าที่สำแดงเรื่องปกติเหล่านี้ออกมา เจ้าไม่ควรพยายามหลีกเลี่ยงการสำแดงสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนว่าไม่ควรยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากใครอื่น  ถ้าเจ้ามีการสำแดงสิ่งเหล่านี้ออกมา นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าความรู้สึกที่เจ้ามีให้พ่อแม่นั้นจริงแท้ และเจ้าก็เป็นคนที่มีความตระหนักรู้ทางมโนธรรม เป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง  ไม่มีใครควรวิพากษ์วิจารณ์เจ้าที่พรั่งพรูอารมณ์เหล่านี้ออกมา หรือมีความต้องการทางอารมณ์เหล่านี้  การสำแดงทั้งหมดนี้อยู่ในขอบข่ายของเหตุผลและมโนธรรม  แล้วการสำแดงแบบใดที่ไม่ปกติ?  การสำแดงที่ไม่ปกติคือการสำแดงที่อยู่นอกขอบเขตของการมีเหตุผล  คือการที่ผู้คนบุ่มบ่ามเมื่อเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นกับตน และอยากทิ้งทุกสิ่งทันทีเพื่อกลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ รีบโยนความผิดทั้งหมดให้ตัวเอง ละทิ้งอุดมคติ ความใฝ่ฝัน และปณิธานที่ตนเคยมี ทิ้งแม้กระทั่งคำปฏิญาณที่ตนเคยสาบานเบื้องหน้าพระเจ้า  การสำแดงเหล่านี้ไม่ปกติ และพ้นวิสัยของการมีเหตุผล เป็นเรื่องที่บุ่มบ่ามเกินไป!  เมื่อผู้คนเลือกเส้นทางหนึ่งๆ ไม่ใช่ว่าในขณะที่เกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมานั้นพวกเขาจะสามารถเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและเหมาะสมได้  การที่เจ้าเลือกเดินไปบนเส้นทางของการปฏิบัติหน้าที่และเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีสิ่งอื่นใดสามารถแทนที่ได้  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเลือกได้ยามอารมณ์ร้อนขึ้นมากะทันหัน  ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง—เจ้าไม่ควรเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตนที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตเพราะสภาพแวดล้อม ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่รายล้อมตัวเจ้าอยู่  เจ้าพึงมีการใช้เหตุผลเช่นนี้  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพ่อแม่ของเจ้าหรือความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตอันใดก็ไม่ควรส่งผลต่อสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า  นั่นคือแง่หนึ่งของเรื่องนี้  อีกแง่หนึ่งคือเมื่อเป็นเรื่องที่ว่าพ่อแม่ของเจ้าเจ็บป่วยได้อย่างไร พวกเขาเริ่มทนทุกข์กับความเจ็บป่วยเมื่อใด และโรคนั้นสามารถส่งผลเช่นใดได้บ้าง เรื่องเหล่านี้เจ้าสามารถตัดสินใจได้หรือไม่?  เจ้าอาจกล่าวว่า “บางทีนี่อาจจะเกิดขึ้นเพราะฉันไม่ทำตัวเป็นลูกกตัญญู  ถ้าฉันใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ขยันทำงานและหาเงิน ถ้าฉันมีฐานะการเงินดี โรคของพ่อแม่ก็คงจะได้รับการรักษาเร็วขึ้น และคงไม่แย่อย่างนี้  นี่เป็นเพราะฉันอกตัญญู”  ความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าคนคนหนึ่งมีเงิน นั่นจำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาจะสามารถซื้อหาสุขภาพที่ดีและหลีกเลี่ยงการล้มป่วยได้กระนั้นหรือ?  (ไม่จำเป็น)  คนรวยในโลกนี้ไม่เคยเจ็บป่วยกันหรือไร?  ทันทีที่คนคนหนึ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะล้มป่วย จนกระทั่งพวกเขาป่วยขึ้นมา และในที่สุดก็ตาย ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  แล้วจะมีใครตัดสินใจในเรื่องนี้ได้อย่างไร?  การมีหรือไม่มีเงินจะกำหนดเรื่องนี้ได้อย่างไร?  สภาพแวดล้อมของคนเราจะกำหนดเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้เป็นไปตามที่อธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้ากำหนดไว้  เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์หรือสืบเสาะเรื่องที่พ่อแม่ป่วยหนักหรือพบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่ให้มากเกินไป และแน่นอนว่าเจ้าไม่ควรใช้พลังงานไปกับเรื่องนั้น—การทำเช่นนั้นย่อมจะไร้ประโยชน์  การที่ผู้คนเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเผชิญเรื่องราวใหญ่เล็กต่างๆ นานาในชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่ปกติมาก  ถ้าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีวิธีคิดอย่างคนที่โตแล้ว และควรมีท่าทีที่สงบและถูกต้องในเรื่องนี้ว่า “พ่อแม่ของฉันป่วย  บางคนบอกว่านี่เป็นเพราะพ่อแม่คิดถึงฉันมากเหลือเกิน เป็นไปได้หรือ?  พ่อแม่ย่อมคิดถึงฉันแน่อยู่แล้ว—คนเราจะไม่คิดถึงลูกของตนเองได้อย่างไร?  ฉันก็คิดถึงพ่อแม่เช่นกัน แล้วทำไมฉันถึงไม่ป่วย?”  มีใครไม่สบายเพราะคิดถึงลูกบ้างหรือไม่?  ไม่ได้เป็นเช่นนั้น  แล้วเกิดอะไรขึ้นเวลาที่พ่อแม่ของเจ้าพบเจอเรื่องสำคัญเหล่านี้?  กล่าวได้แต่เพียงว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเรื่องแบบนี้เอาไว้ในชีวิตของพวกเขา  นี่ถูกจัดวางเรียบเรียงด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า—เจ้าไม่สามารถมุ่งสนใจเหตุผลและปัจจัยที่จับต้องได้—พ่อแม่ของเจ้าต้องพบเจอเรื่องนี้เมื่อพวกเขามีอายุเท่านี้ พวกเขาต้องถูกโรคนี้เล่นงาน  พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ถ้าเจ้าอยู่ตรงนั้นด้วย?  ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดเตรียมชะตากรรมส่วนหนึ่งให้พวกเขาล้มป่วย เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็ย่อมจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  ถ้าพวกเขามีชะตาลิขิตที่จะพบพานโชคร้ายครั้งใหญ่แบบนี้ในชีวิต ตัวเจ้าจะส่งผลอะไรได้ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายพวกเขา?  พวกเขาย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ลองนึกถึงผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเถิด—ปีแล้วปีเล่าครอบครัวของพวกเขาล้วนอยู่พร้อมหน้ากันมิใช่หรือ?  เวลาพ่อแม่เหล่านั้นพบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่ สมาชิกในครอบครัวใหญ่และลูกๆ ของพวกเขาล้วนอยู่กับพวกเขา ถูกต้องหรือไม่?  เมื่อพ่อแม่ล้มป่วย หรือว่าโรคภัยของพวกเขามีอาการหนักขึ้น นี่เป็นเพราะลูกๆ ผละจากพวกเขามาหรือไร?  ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น นี่เกิดขึ้นตามชะตากรรม  เพียงแต่ว่าในฐานะลูก ด้วยเหตุที่เจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อแม่ เจ้าย่อมจะรู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาไม่สบาย ส่วนผู้คนอื่นๆ ย่อมจะไม่รู้สึกอะไร  นี่ปกติมาก  อย่างไรก็ดี การที่พ่อแม่พบเจอโชคร้ายครั้งใหญ่แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจำเป็นต้องวิเคราะห์และสืบเสาะ หรือครุ่นคิดว่าจะขจัดหรือแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร  พ่อแม่ของเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาพบเจอเรื่องนี้ในสังคมมาไม่น้อย  ถ้าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่จะขจัดเรื่องนี้ให้แก่พวกเขา เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ย่อมหายไปสิ้น  ถ้าเรื่องนี้คืออุปสรรคในชีวิตของพวกเขา และพวกเขาต้องมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าพวกเขาต้องมีประสบการณ์อยู่นานเท่าใด  นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องผ่านประสบการณ์ และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ถ้าเจ้าอยากแก้ไขเรื่องนี้ด้วยตนเอง วิเคราะห์และสืบเสาะหาที่มา สาเหตุ และผลสืบเนื่องของเรื่องนี้ นั่นย่อมเป็นความคิดที่โง่เขลา  ไม่มีประโยชน์ และเกินการ  เจ้าไม่ควรกระทำการเช่นนี้ วิเคราะห์ สืบเสาะ และติดต่อเพื่อนร่วมชั้นและมิตรสหายของเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ติดต่อโรงพยาบาลหาพ่อแม่ของเจ้า ติดต่อหาหมอที่เก่งที่สุด จัดแจงหาเตียงคนไข้ที่ดีที่สุดให้พ่อแม่—เจ้าไม่จำเป็นต้องเค้นสมองทำทั้งหมดนี้  ถ้าเจ้ามีพลังงานเหลือเฟือจริง เช่นนั้นแล้วก็ควรทำหน้าที่ที่เจ้าพึงปฏิบัติในตอนนี้ให้ดี  พ่อแม่ของเจ้ามีชะตากรรมของพวกเขาเอง  ไม่มีใครสามารถหนีพ้นวัยที่ตนต้องตายได้  พ่อแม่ไม่ได้เป็นนายเหนือชะตากรรมของลูก และเช่นเดียวกัน ลูกก็ไม่ได้เป็นนายเหนือชะตากรรมของพ่อแม่  ถ้ามีชะตากรรมที่บางสิ่งจะเกิดขึ้นกับพวกเขา ตัวเจ้าจะสามารถทำอะไรได้?  การที่เจ้าร้อนใจและมองหาหนทางแก้ไขจะสามารถให้ผลสัมฤทธิ์อันใดได้?  ย่อมจะสัมฤทธิ์อะไรไม่ได้ นี่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าทรงต้องการที่จะพาพวกเขาไป และทำให้เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยไม่ถูกรบกวน เจ้าจะแทรกแซงเรื่องนี้ได้หรือ?  เจ้าจะเจรจาเงื่อนไขกับพระเจ้าได้หรือ?  ในเวลาเช่นนี้เจ้าควรทำอย่างไร?  การเค้นสมองหาทางออก สืบเสาะ วิเคราะห์ โทษตัวเอง และรู้สึกละอายแก่ใจที่จะพบหน้าพ่อแม่—เหล่านี้ใช่ความคิดและการกระทำที่คนคนหนึ่งพึงมีหรือไม่?  ทั้งหมดนี้คือการสำแดงว่าไม่นบนอบพระเจ้าและความจริง เป็นการสำแดงที่ไร้เหตุผล ขาดปัญญา และเป็นกบฏต่อพระเจ้า  ผู้คนไม่ควรสำแดงลักษณะเหล่านี้ออกมา  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)

บางคนกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรวิเคราะห์หรือสืบสาวเรื่องที่พ่อแม่ล้มป่วยหรือประสบโชคร้ายครั้งใหญ่ การทำเช่นนั้นไร้ประโยชน์ และฉันก็ควรรับมือเรื่องนี้ตามหลักธรรมความจริง แต่ฉันไม่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้วิเคราะห์และสืบสาวได้”  ดังนั้น พวกเราก็มาแก้ปัญหาเรื่องการระงับใจกันเถิด เจ้าจะได้ไม่จำเป็นต้องห้ามใจอีกต่อไป  เรื่องนี้จะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  ในชีวิตนี้ ผู้คนที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์จะเริ่มมีประสบการณ์กับอาการของวัยชราหลังจากที่มีอายุ 50 หรือ 60 ปีไปแล้ว—กล้ามเนื้อและกระดูกย่อมเสื่อมสภาพ พวกเขาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง นอนได้ไม่ดีหรือกินได้ไม่มาก และไม่มีพลังงานมากพอที่จะทำงาน อ่านอะไร หรือทำเรื่องอันใด  โรคนานาชนิดก็ปะทุขึ้นมาในตัวพวกเขา เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และอื่นๆ  สำหรับคนที่มีสุขภาพดีขึ้นมาหน่อย แม้พวกเขาจะมีอาการของวัยชรา แต่ก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่จำเป็นต้องทำ และอาการเหล่านี้ก็ไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานตามปกติ  นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก  ส่วนคนที่ไม่ได้มีสุขภาพดีเช่นนั้น อาการเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตตามปกติของพวกเขา และบางครั้งพวกเขาก็ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล  คนเหล่านี้บ้างก็เป็นหวัดหรือปวดหัว บ้างก็เป็นโรคลำไส้เล็กอักเสบหรือท้องร่วง และจำเป็นต้องพักผ่อนนอนเตียงสักสองวันทุกครั้งที่เกิดอาการท้องร่วง  บางคนมีความดันโลหิตสูง และวิงเวียนมากจนเดินไม่ไหว นั่งรถหรือไปไหนไกลบ้านก็ไม่ไหว  นอกจากนี้ก็มีบางคนที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จึงไม่สะดวกที่จะออกไปข้างนอก ดังนั้นพวกเขาจึงแทบไม่ออกไปท่องเที่ยวกับญาติมิตร  บ้างก็มีอาการภูมิแพ้เสมอเวลากิน  บางคนก็นอนหลับไม่ค่อยดี และไม่สามารถนอนได้ในที่ที่มีเสียงดัง เมื่อพวกเขาย้ายไปยังอีกที่หนึ่ง พวกเขาจึงนอนหลับยากขึ้นอีก  ทั้งหมดนี้มีผลร้ายแรงต่อชีวิตและการงานของผู้คนเหล่านี้  มีกระทั่งบางคนที่ไม่สามารถทำงานได้นานติดต่อกันเกินครั้งละสามสี่ชั่วโมง  จากนั้นก็มีกรณีที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้นอีก ยกตัวอย่างผู้คนที่ป่วยระยะสุดท้ายในวัย 50 หรือ 60 ปี เป็นมะเร็ง เบาหวาน เป็นโรคหัวใจรูมาติก มีภาวะสมองเสื่อม หรือเป็นโรคพาร์กินสัน และอื่นๆ  ไม่ว่าโรคเหล่านี้จะเกิดจากสิ่งที่พวกเขากินเข้าไป หรือเพราะมลพิษในสภาพแวดล้อม อากาศ หรือน้ำ เนื้อหนังของมนุษย์ก็มีกฎอยู่ว่าหลังจากที่หญิงมีอายุ 45 ปีและชายมีอายุ 50 ปี ร่างกายของพวกเขาย่อมเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ  ทุกวันพวกเขาจึงกล่าวว่ารู้สึกไม่สบายตัวตรงนี้และเจ็บตรงนั้น พวกเขาไปให้หมอตรวจ และพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  ท้ายที่สุดแล้วหมอก็บอกว่า “กลับบ้านเถิด ไม่สามารถรักษาอาการได้”  ทุกคนย่อมจะเผชิญโรคภัยทางเนื้อหนังเหล่านี้  วันนี้เป็นพวกเขา พรุ่งนี้ก็เป็นพวกเจ้าและพวกเรา  เมื่อดูตามวัยและตามลำดับที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้คนล้วนเกิด แก่ เจ็บ และตาย—จากวัยเยาว์ พวกเขาก็เข้าสู่วัยชรา จากวัยชรา พวกเขาจึงล้มป่วย และด้วยโรคภัย พวกเขาก็ตาย—นี่คือกฎ  เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่เจ็บป่วย เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้คนที่สนิทกับเจ้าที่สุด เป็นคนที่เจ้าเป็นห่วงมากที่สุด และเป็นคนที่เลี้ยงเจ้ามา เจ้าจึงไม่สามารถผ่านพ้นอุปสรรคที่เป็นความรู้สึกของตนเองได้ และเจ้าก็จะคิดไปว่า “ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาพ่อแม่ของคนอื่นตาย แต่พ่อแม่ของฉันกลับป่วยไม่ได้ เพราะนั่นจะทำให้ฉันเศร้าเสียใจ  ฉันทนรับเรื่องนั้นไม่ได้ ปวดใจ และไม่อาจผ่านพ้นความรู้สึกของตัวเองไปได้!”  เพียงเพราะพวกเขาเป็นพ่อแม่ของเจ้า เจ้าจึงคิดไปว่าพวกเขาไม่ควรแก่เฒ่า เจ็บป่วย และแน่นอนว่าไม่ควรตาย—นั่นสมเหตุสมผลหรือไม่?  นั่นไม่สมเหตุสมผล และไม่ใช่ความจริง  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  ทุกคนย่อมจะพบเจอการที่พ่อแม่ของตนแก่เฒ่า ไม่สบาย และในกรณีที่ร้ายแรง พ่อแม่ของผู้คนก็ถึงกับเป็นอัมพาตติดเตียง และบ้างก็ตกอยู่ในสภาพผักไม่รู้สึกตัว  พ่อแม่ของบางคนมีความดันโลหิตสูง เป็นอัมพฤกษ์ เส้นเลือดในสมองแตก หรือถึงกับเป็นโรคร้ายและเสียชีวิต  ทุกคนย่อมจะประสบพบเจอด้วยตนเอง มองเห็น หรือได้ยินได้ฟังกระบวนการที่พ่อแม่ของตนแก่เฒ่า เจ็บป่วย แล้วจากนั้นก็ตาย  เพียงแต่บางคนได้ยินเรื่องนี้เร็วขึ้นในยามที่พ่อแม่ของพวกเขาอยู่ในวัย 50  กว่าปี บางคนได้ข่าวนี้เมื่อพ่อแม่ของตนมีอายุ 60 กว่าปี และบ้างก็เพิ่งมาได้ยินเอาตอนพ่อแม่อายุ 80 90  หรือ 100 ปีแล้ว  แต่ไม่ว่าเจ้าจะได้ข่าวนี้เมื่อใด ในฐานะลูกชายหรือลูกสาว สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะยอมรับข้อเท็จจริงนี้  ถ้าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ เจ้าก็ควรมีวิธีคิดอย่างคนที่โตแล้ว มีท่าทีที่ถูกต้องต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายของผู้คน และไม่ทำตัวบุ่มบ่าม เจ้าไม่ควรที่จะทนรับไม่ได้เวลาได้ข่าวว่าพ่อแม่ของเจ้าป่วยหรือพ่อแม่ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่าพวกเขาป่วยขั้นวิกฤติ  การเกิด แก่ เจ็บ และตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ แล้วเจ้าทนรับเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยเหตุใด?  นี่เป็นกฎที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้เกี่ยวกับการเกิดและตายของมนุษย์ เจ้าจะอยากละเมิดด้วยเหตุใด?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับ?  เจ้ามีเจตนาอันใด?  เจ้าไม่อยากให้พ่อแม่ตาย เจ้าไม่อยากให้พวกเขามีชีวิตตามกฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายที่พระเจ้าทรงวางไว้ เจ้าอยากให้พวกเขาไม่ป่วยและไม่ตาย—แล้วนั่นจะทำให้พวกเขาเป็นเช่นไร?  นั่นไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้คนที่ปั้นขึ้นมาหรอกหรือ?  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะยังเป็นคนอยู่หรือไม่?  เพราะฉะนั้น เจ้าต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้  ก่อนที่เจ้าจะได้ข่าวว่าพ่อแม่แก่เฒ่า ไม่สบาย และตายไปนั้น เจ้าควรเตรียมใจในเรื่องนี้  สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ทุกคนย่อมจะแก่เฒ่า ร่างกายอ่อนแอ และพวกเขาก็จะตาย  ในเมื่อพ่อแม่ของเจ้าเป็นคนปกติ แล้วทำไมพวกเขาจะมีประสบการณ์กับอุปสรรคเช่นนี้ไม่ได้?  พวกเขาควรมีประสบการณ์กับอุปสรรคนี้ และเจ้าก็ควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อเรื่องนี้  เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง?  คราวนี้เจ้าก็สามารถรับมือเรื่องดังกล่าวได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว เวลาที่พ่อแม่ป่วยหนักหรือมีเรื่องโชคร้ายใหญ่โตเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต เจ้าจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  การเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ย่อมผิด และผู้คนก็จะกล่าวว่า “คุณเป็นคางคกหรืองูกระนั้นหรือ?  คุณเลือดเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร?”  เจ้าเป็นคนที่ปกติ ดังนั้นเจ้าก็ควรมีปฏิกิริยา  เจ้าควรใคร่ครวญว่า “พ่อแม่มีชีวิตที่ยากลำบาก แล้วก็เป็นโรคนี้มาตั้งแต่ยังหนุ่มสาว  ไม่เคยได้สุขสำราญกับสิ่งดีๆ และไม่ได้พากเพียรกับการเชื่อในพระเจ้า  ชีวิตของพวกเขาเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด  พวกเขาไม่เข้าใจอะไร ไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเพียงแต่ผ่านพ้นวันเวลาไปเท่านั้น  ไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขากับสัตว์ต่างๆ—ไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขากับวัวแก่หรือม้าแก่  ในเมื่อพวกเขามาป่วยหนักเอาตอนนี้ พวกเขาก็มีแต่จะต้องดูแลตัวเองเท่านั้น แต่ฉันก็หวังว่าพระเจ้าจะทรงบรรเทาความทุกข์ให้แก่พวกเขาบ้าง”  จงอธิษฐานให้พวกเขาอยู่ในหัวใจของเจ้า และนั่นย่อมเพียงพอแล้ว  จะมีใครสามารถทำอะไรได้?  ถ้าเจ้าไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เจ้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ต่อให้เจ้าอยู่ข้างกายพวกเขา เจ้าจะสามารถทำอะไรได้?  มีกี่คนที่ได้เห็นพ่อแม่ของตนเปลี่ยนจากวัยหนุ่มสาวเข้าสู่วัยชราด้วยตนเอง จากวัยชรามามีโรคภัยต่างๆ จากที่มีโรคภัยต่างๆ ก็ไม่มีทางรักษาได้ จนมีการแจ้งว่าพวกเขาเสียชีวิต และเห็นพวกเขาถูกเข็นเข้าห้องดับจิต?  มีมากมายหลายคนนัก  ลูกเหล่านี้ล้วนอยู่กับพ่อแม่ของตน แต่พวกเขาสามารถทำอะไรได้?  พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใด ได้แต่เฝ้ามองเท่านั้น  การที่ไม่ได้เฝ้ามองกระบวนการนี้ในตอนนี้ย่อมจะทำให้เจ้าเลี่ยงปัญหาบางอย่างได้ การไม่ต้องเฝ้ามองกระบวนการดังกล่าวย่อมดีกว่า การเฝ้ามองกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นย่อมจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้า  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเรื่องนี้ ด้านหนึ่งเจ้าต้องรู้ทันข้อเท็จจริงว่าการที่ผู้คนเกิด แก่ เจ็บ และตายเป็นกฎที่พระเจ้าทรงวางไว้ อีกด้านหนึ่งเจ้าก็ต้องมองเห็นความรับผิดชอบที่ผู้คนพึงลุล่วง รวมทั้งชะตากรรมของพวกเขาอย่างชัดเจน ต้องไม่ทำตัวไร้เหตุผล และต้องไม่ทำอะไรที่บุ่มบ่ามหรือเบาปัญญา  เหตุใดเจ้าจึงไม่ควรทำสิ่งที่บุ่มบ่ามหรือเบาปัญญา?  เพราะต่อให้เจ้าทำลงไป ก็จะไม่มีประโยชน์อันใด กลับจะเผยความโง่เขลาของเจ้าออกมาแทน  ที่ยิ่งร้ายแรงกว่าก็คือขณะที่เจ้าทำเรื่องโง่เขลา เจ้าย่อมกำลังกบฏต่อพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่โปรดเรื่องนี้ พระองค์ทรงชังเรื่องนี้  เจ้ากระจ่างแจ้งและเข้าใจความจริงทั้งหมดนี้ในเชิงคำสอน แต่ยังคงยึดถือเส้นทางของตนเอง และจงใจทำบางสิ่งอย่างดื้อดึง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่โปรดเจ้า พระองค์ทรงชิงชังเจ้า  พระองค์ทรงชิงชังเจ้าในเรื่องใด?  พระองค์ทรงชิงชังความเบาปัญญาที่ดื้อรั้นและความเป็นกบฏของเจ้า  เจ้าคิดว่าเจ้ามีความรู้สึกอย่างมนุษย์ แต่พระเจ้าตรัสว่าเจ้านั้นดื้อรั้นและเบาปัญญา—เจ้าดื้อรั้น เบาปัญญา โง่เขลา และดื้อแพ่ง เจ้าไม่ยอมรับความจริงหรือนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  พระเจ้าตรัสบอกเจ้าอย่างชัดเจนเรื่องแก่นแท้ ที่มา และหลักธรรมจำเพาะสำหรับการปฏิบัติที่มีอยู่ในเรื่องนี้ แต่เจ้าก็ยังคงอยากใช้ความรู้สึกของตนเองมาจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่โปรดเจ้า  ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่ทรงเอาโรคภัยไปจากพ่อแม่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะป่วยหนักและตายถ้านั่นคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับพวกเขา  ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้  ถ้าเจ้าอยากเปลี่ยน นี่ก็เพียงแต่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าอยากใช้สองมือและวิธีการของเจ้าเองมาเปลี่ยนแปลงอธิปไตยของพระเจ้า  นี่คือความเป็นกบฏที่ร้ายแรงที่สุด และเจ้าก็กำลังต่อต้านพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่อยากต่อต้านพระเจ้า เมื่อเจ้าได้ฟังว่าเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นกับพ่อแม่ของเจ้า เจ้าก็ควรอยู่ในความสงบ และหาที่ที่เจ้าสามารถอยู่ลำพังเพื่อร้องไห้ ครุ่นคิด และอธิษฐาน หรือแสดงความรู้สึกถวิลหาให้พี่น้องชายหญิงรอบตัวเจ้ารับรู้  สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงเท่านั้น  เจ้าต้องไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง และแน่นอนว่าเจ้าต้องไม่ทำเรื่องโง่เขลา  จงอย่าอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์นำโรคภัยไปจากพ่อแม่ของเจ้า และเปิดโอกาสให้พวกเขามีชีวิตต่อไปอีกสองสามปี หรือยกชีวิตของเจ้าสักสองปีให้พวกเขาเพียงเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเพราะเจ้าละทิ้งครอบครัวและทิ้งอาชีพการงานของตนมาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ายาวนานหลายปีแล้ว  อย่าทำเรื่องจำพวกนี้  พระเจ้าจะไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานประเภทนี้ และพระองค์ก็ทรงชิงชังความคิดและคำอธิษฐานจำพวกนี้  จงอย่าทำให้พระเจ้าเสียพระทัยหรือกริ้ว  พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนที่อยากจะบงการชะตากรรมของใครบางคนมากที่สุด อยากเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือชะตากรรมของคนคนหนึ่ง หรือเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงบางอย่างที่พระเจ้าทรงวางไว้นานแล้วหรือวิถีแห่งชะตากรรมของผู้คน  พระเจ้าทรงชังเรื่องนี้ที่สุด

เราสามัคคีธรรมเรื่องท่าที ความคิด และความเข้าใจที่ผู้คนพึงมีในเรื่องการล้มป่วยของพ่อแม่จบแล้ว  ในทำนองเดียวกัน เมื่อเป็นเรื่องการเสียชีวิตของพ่อแม่ ผู้คนก็ควรมีท่าทีที่ถูกต้องและเป็นเหตุเป็นผลเช่นกัน  บางคนแยกจากพ่อแม่มานานหลายปีแล้ว ไม่ได้อยู่ข้างกายหรืออาศัยอยู่กับพวกเขา และเมื่อได้ยินว่าพ่อแม่ของตนจากไปอย่างกะทันหัน นี่ก็ส่งผลต่อพวกเขาอย่างมาก รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดปุบปับอย่างยิ่ง  ด้วยเหตุที่ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่ของตนมานานหลายปี พวกเขาจึงมีแนวคิดที่ผิดอยู่อย่างหนึ่งในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของตนตลอดเวลา  แนวคิดที่ผิดเช่นใด?  เมื่อเจ้าจากพ่อแม่มา พวกเขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี  หลังจากที่จากไกลมานานหลายปี ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า พ่อแม่ก็ยังคงอยู่ในวัยเดิม มีสภาพร่างกายและความเป็นอยู่คงเดิมตามที่เจ้าจำได้  นี่ทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิง  และแล้วเจ้าก็เชื่อว่าพ่อแม่จะไม่มีวันแก่เฒ่าและจะมีชีวิตอยู่ฉลองวันเกิดอีกมากมายหลายครั้ง  กล่าวคือ ทันทีที่ใบหน้าของพวกเขาถูกบันทึกเอาไว้ในหัวใจของเจ้า ทันทีที่ชีวิต ถ้อยคำ และท่วงท่าของพวกเขาทิ้งภาพจำและรอยประทับเอาไว้ในจิตใจและความทรงจำของเจ้า เจ้าก็คิดไปว่าพ่อแม่จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป จะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แก่เฒ่า และแน่นอนว่าไม่ตาย  คำว่า “ไม่ตาย” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  นัยหนึ่ง นั่นหมายความว่าร่างกายของพวกเขาจะไม่หายไป  อีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าใบหน้าของพวกเขา ความรู้สึกที่พวกเขามีให้เจ้า และอื่นๆ จะไม่อันตรธานไป  นี่คือแนวคิดที่ผิดและจะสร้างปัญหาให้เจ้าอย่างมาก  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อแม่ของเจ้าจะมีอายุเท่าใด จะตายเพราะวัยชรา หรือเพราะโรคภัย หรือเพราะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น นั่นย่อมจะส่งผลต่อเจ้าอย่างมาก และจะทำให้เจ้ารู้สึกว่ากะทันหันยิ่ง  เพราะว่าในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า พ่อแม่ยังคงมีชีวิตอยู่และสบายดี แล้วจู่ๆ พวกเขาก็จากไป เจ้าย่อมจะคิดว่า “พ่อแม่จากไปได้อย่างไร?  ผู้คนที่มีชีวิตจะปุบปับก็สลายเป็นผุยผงได้อย่างไร?  ในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อแม่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม่ยังคงทำอาหารอยู่ในครัว ยุ่งมาก ส่วนพ่อก็ทำงานข้างนอกทุกวัน กลับเข้าบ้านเอาตอนเย็นเท่านั้น”  ฉากชีวิตเหล่านี้ของพวกเขาทิ้งภาพจำบางอย่างเอาไว้ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า  ดังนั้น เป็นเพราะความรู้สึกของเจ้า จิตสำนึกของเจ้าจึงเก็บงำบางสิ่งที่ไม่ควรเก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือความเชื่อในหัวใจของเจ้าว่าพ่อแม่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป  เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าจึงเชื่อว่าพวกเขาไม่ควรตาย และไม่ว่าพ่อแม่จะจากไปในรูปการณ์เช่นใด เจ้าก็จะรู้สึกว่านั่นส่งผลต่อเจ้าอย่างมาก และเจ้าก็จะไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้น  กว่าเจ้าจะก้าวข้ามข้อเท็จจริงนี้ไปได้ก็ย่อมจะใช้เวลา ถูกต้องหรือไม่?  การที่พ่อแม่ของเจ้าไม่สบายย่อมจะทำให้เจ้าตื่นตกใจอยู่แล้ว ดังนั้นการที่พ่อแม่เสียชีวิตจึงยิ่งจะทำให้ตื่นตกใจมากขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เจ้าควรใช้วิธีใดแก้ไขผลกระทบที่คาดไม่ถึงซึ่งจะเกิดแก่เจ้า เพื่อไม่ให้ส่งผล แทรกแซง หรือกระทบกระเทือนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือเส้นทางที่เจ้าเดิน?  ก่อนอื่น มาดูกันเถิดว่าแท้จริงแล้วความตายเป็นเรื่องอันใด และการเสียชีวิตแท้จริงแล้วเป็นเรื่องอันใด—นี่หมายความว่าคนคนหนึ่งกำลังจากโลกนี้ไปมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่หมายความว่าชีวิตที่คนคนหนึ่งมี ซึ่งก็คือการดำรงอยู่ทางกายภาพ สูญสิ้นไปจากโลกวัตถุที่มนุษย์มองเห็นได้ และอันตรธานไป  จากนั้นคนคนนั้นก็ใช้ชีวิตในอีกโลกหนึ่งต่อไป ในรูปสัณฐานอีกแบบหนึ่ง  การที่ชีวิตของพ่อแม่จากไปนั้นหมายความว่าสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพวกเขาในโลกนี้ก็สูญสลาย อันตรธาน และจบสิ้นไปด้วย  พวกเขากำลังมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ในรูปสัณฐานอีกแบบหนึ่ง  ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตของพวกเขาจะดำเนินไปอย่างไรในโลกนั้น พวกเขาจะกลับมายังโลกนี้ พบเจ้าอีกครั้ง หรือมีสัมพันธภาพทางเนื้อหนังหรือการเกาะเกี่ยวทางอารมณ์กับเจ้าในแบบใดหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิต และไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า  สรุปแล้ว การจากไปของพวกเขาหมายความว่าภารกิจของพวกเขาในโลกนี้จบสิ้นลงแล้ว และพวกเขาก็ถึงกาลอวสานแล้ว  ภารกิจของพวกเขาในชีวิตนี้และในโลกนี้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพวกเขาจึงสิ้นสุดลงด้วย  ส่วนเรื่องที่ว่าในอนาคตพวกเขาจะกลับมาเกิดใหม่หรือไม่ หรือจะเผชิญโทษทัณฑ์และข้อจำกัดแบบใดหรือไม่ จะถูกจัดการและจัดแจงแบบใดในโลกอื่นหรือไม่ นี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?  เจ้าสามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้หรือไม่?  นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่อาจตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ และจะไม่สามารถได้ข่าวอะไรในเรื่องนี้  ในเวลานั้นสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพวกเขาในชีวิตนี้ย่อมสิ้นสุดลงแล้ว  นั่นคือ ถึงตอนนั้นชะตากรรมที่ผูกพวกเจ้าไว้ด้วยกันในยามที่พวกเจ้าดำรงชีวิตเคียงข้างกันนาน 10 20 30  หรือ 40 ปีย่อมมาถึงกาลอวสาน  หลังจากนั้นพวกเขาก็คือพวกเขา เจ้าก็คือเจ้า และพวกเจ้าก็ไม่มีสัมพันธภาพอันใดต่อกัน  ต่อให้พวกเจ้าทุกคนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเคยปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และเจ้าก็ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เมื่อพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมร่วมมิติเดียวกันกับเจ้าอีกต่อไป ก็ไม่มีสัมพันธภาพอันใดระหว่างพวกเจ้าอีกแล้ว  พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจของตนที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำแล้วโดยแท้  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของความรับผิดชอบที่พวกเขาเคยลุล่วงเพื่อเจ้า ความรับผิดชอบเหล่านั้นสิ้นสุดลงในวันที่เจ้าเริ่มใช้ชีวิตอย่างเป็นเอกเทศจากพวกเขาแล้ว—เจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเจ้าอีกต่อไป  ถ้าพวกเขาจากไปในวันนี้ เจ้าก็จะคิดถึงบางสิ่งบางอย่างทางอารมณ์เท่านั้น และจะมีผู้เป็นที่รักให้ใฝ่หาน้อยลงไปสองคน  เจ้าจะไม่มีวันพบหน้าพวกเขาอีก และจะไม่มีวันสามารถได้ข่าวคราวอันใดของพวกเขาอีก  สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากนั้นและอนาคตของพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า จะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพวกเจ้า เจ้าจะไม่มีตัวตนเช่นเดิมอีกต่อไปด้วยซ้ำ  เรื่องย่อมเป็นเช่นนั้น  การที่พ่อแม่ของเจ้าจากไปย่อมจะเป็นข่าวสุดท้ายโดยแท้ที่เจ้าจะได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาในโลกนี้ และจะเป็นอุปสรรคขั้นสุดท้ายที่เจ้าจะได้เห็นหรือได้ยินในเรื่องประสบการณ์ที่พวกเขามีกับการเกิด แก่ เจ็บ และตายในชีวิต ทั้งหมดก็มีอยู่เท่านั้น  ความตายของพวกเขาจะไม่เอาสิ่งใดไปหรือให้สิ่งใดแก่เจ้า พวกเขาก็เพียงแต่สิ้นชีวิต การเดินทางของพวกเขาในฐานะผู้คนย่อมจะดำเนินมาถึงวาระสุดท้ายแล้ว  ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องการจากไปของพวกเขา จึงไม่สำคัญว่านี่เป็นการตายด้วยอุบัติเหตุ การตายตามปกติ การตายเพราะโรคภัย และอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ถ้าไม่ใช่เพราะอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า ก็ไม่มีใครหรือกำลังบังคับใดจะสามารถเอาชีวิตของพวกเขาไปได้  การที่พวกเขาจากไปหมายถึงการสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของพวกเขาเท่านั้น  ถ้าเจ้าคิดถึงและโหยหาพวกเขา หรือรู้สึกละอายแก่ใจเพราะความรู้สึกของเจ้า เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกอะไรเหล่านี้ และไม่จำเป็นต้องรู้สึก  พวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นการคิดถึงพวกเขาจึงเกินจำเป็นมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าคิดว่า “หลายปีมานี้พ่อแม่คิดถึงฉันบ้างหรือไม่?  พวกท่านทนทุกข์มากขึ้นเท่าใดเพราะเหตุที่ฉันไม่ได้อยู่เคียงข้างคอยแสดงความกตัญญูมานานหลายปี?  หลายปีมานี้ฉันปรารถนาอยู่เสมอว่าตนเองจะสามารถใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ได้สักสองสามวัน ฉันไม่เคยคาดคิดว่าพวกท่านจะจากไปเร็วอย่างนี้  ฉันรู้สึกผิดและเสียใจมาก”  ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องคิดแบบนี้ ความตายของพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  เหตุใดจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า?  เพราะต่อให้เจ้าแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาหรืออยู่เป็นเพื่อนพวกเขา นี่ก็ไม่ใช่ภาระผูกพันหรืองานที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า  พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้วว่าพ่อแม่ของเจ้าจะประสบโชคดีและเผชิญความทุกข์เพราะเจ้ามากเท่าใด—นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าเลย  พวกเขาจะไม่มีชีวิตยืนนานขึ้นเพราะเจ้าอยู่กับพวกเขา และจะไม่มีชีวิตสั้นลงเพราะเจ้าอยู่ห่างจากพวกเขาและไม่อาจอยู่กับพวกเขาได้บ่อยนัก  พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้วว่าพวกเขาจะมีชีวิตนานเท่าใด และนั่นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  ด้วยเหตุนั้น ในช่วงชีวิตของเจ้า ถ้าเจ้าได้ข่าวว่าพ่อแม่จากไป เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด  เจ้าควรมีท่าทีที่ถูกต้องและยอมรับเรื่องนี้  ถ้าเจ้าเสียน้ำตาไปมากแล้วระหว่างที่พวกเขาป่วยหนัก เจ้าก็ควรรู้สึกเป็นสุขและมีอิสระเมื่อพวกเขาจากไป หลังจากที่เจ้าส่งพวกเขาแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องร้องไห้  เจ้าย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะลูกของพวกเขาแล้ว เจ้าย่อมจะอธิษฐานให้พวกเขา รู้สึกเศร้าไปกับพวกเขา หลั่งน้ำตานับไม่ถ้วนเพื่อพวกเขา และแน่นอนว่าเจ้าย่อมจะคิดหาหนทางมากมายที่เป็นไปได้มารักษาโรคภัยให้พวกเขา และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะบรรเทาความทุกข์ให้พวกเขาแล้ว  เจ้าย่อมจะทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ในฐานะลูกของพวกเขาแล้ว  เมื่อพวกเขาจากไป เจ้าก็ทำได้เพียงกล่าวว่า “พ่อแม่มีชีวิตที่ทุกข์ยากอย่างยิ่ง  ในฐานะลูกของพ่อแม่ ลูกก็หวังว่าพ่อแม่จะพักผ่อนอยู่ในสันติสุข  ถ้าในชีวิตนี้พ่อแม่ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ล่วงเกินพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพ่อแม่ก็จะต้องรับการลงโทษในโลกหน้า  หลังจากที่รับการลงโทษแล้ว ถ้าพระเจ้าประทานโอกาสให้พ่อแม่ได้กลับมาเกิดเป็นคนในโลกนี้อีก ลูกก็หวังว่าพ่อแม่จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะวางตัวให้ดี และเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  อย่าทำสิ่งที่ล่วงเกินพระเจ้าอีก และพากเพียรที่จะไม่ถูกลงโทษอีกในชีวิตหน้า”  เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น  นี่สรุปไว้ดีแล้วใช่หรือไม่?  สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือเป็นใครอีกคนที่เจ้ารัก สิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ย่อมมีเพียงเท่านี้  แน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่จากไปในที่สุด ถ้าเจ้าไม่สามารถอยู่กับพวกเขาหรือให้ความชูใจแก่พวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องรู้สึกเศร้าโศก  นี่เป็นเพราะแท้จริงแล้วทุกคนจากโลกนี้ไปตัวคนเดียว  ต่อให้ลูกของพวกเขาอยู่ด้วย เมื่อทูตสื่อสารมารับตัว ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นทูต  เมื่อพวกเขาจากไป ย่อมจะไม่มีใครเป็นเพื่อนร่วมทาง ลูกๆ ของพวกเขาก็ไม่สามารถไปเป็นเพื่อน และคู่ครองของพวกเขาก็ไม่สามารถเช่นกัน  เมื่อผู้คนจากโลกนี้ไป พวกเขาอยู่ลำพังเสมอ  ในห้วงเวลาสุดท้าย ทุกคนต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ กระบวนการนี้ และสภาพแวดล้อมนี้  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายพวกเขา และพวกเขามองตรงมาที่เจ้า ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี  เมื่อพวกเขาต้องจากไป ถ้าพวกเขาอยากเรียกชื่อของเจ้า พวกเขาย่อมจะทำไม่ได้ และเจ้าก็จะไม่สามารถได้ยิน ถ้าพวกเขาอยากยื่นมือมาจับตัวเจ้า พวกเขาก็จะไม่มีเรี่ยวแรง และเจ้าก็จะไม่สามารถรู้สึกได้  พวกเขาย่อมจะอยู่ลำพัง  นี่เป็นเพราะทุกคนมายังโลกนี้คนเดียว และท้ายที่สุดก็ต้องจากโลกนี้ไปคนเดียวเช่นกัน  นี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้  การมีอยู่ของเรื่องดังกล่าวทำให้ผู้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกว่าชีวิตและชะตากรรมของพวกเขา และการที่พวกเขาเกิด แก่ เจ็บ และตาย ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และชีวิตของทุกคนก็เป็นอิสระจากกัน  แม้ทุกคนจะมีพ่อแม่ พี่น้อง และผู้คนที่ตนรัก แต่ตามมุมมองของพระเจ้าและตามมุมมองของชีวิตแล้ว ชีวิตของทุกคนเป็นอิสระจากกัน ชีวิตไม่ได้เกาะกลุ่มกัน และไม่มีชีวิตใดที่มีคู่  ในมุมมองของมนุษย์ทรงสร้าง ทุกชีวิตเป็นเอกเทศ แต่ตามมุมมองของพระเจ้า ไม่มีชีวิตใดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้นอยู่ลำพัง เพราะพระเจ้าทรงอยู่เป็นเพื่อนแต่ละชีวิตและดึงทุกชีวิตไปข้างหน้า  เพียงแต่ว่าเมื่อเจ้าอยู่ในโลกนี้ เจ้าก็เกิดกับพ่อแม่ของเจ้า และคิดไปว่าพ่อแม่ของเจ้าคือผู้คนที่สนิทกับเจ้าที่สุด แต่แท้จริงแล้ว เมื่อพ่อแม่ของเจ้าจากโลกนี้ไป เจ้าก็จะตระหนักว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่สนิทกับเจ้าที่สุด  เมื่อชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลง เจ้าจะยังคงมีชีวิตอยู่ การที่ชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงจะไม่เอาชีวิตของเจ้าไปด้วย และแน่นอนว่าจะไม่ส่งผลต่อชีวิตของเจ้า  หลายปีมานี้เจ้าจากพวกเขามา และยังคงมีชีวิตที่ดี  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพระเจ้าทรงเฝ้ามองเจ้าและทรงนำเจ้า เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์  เมื่อพ่อแม่จากโลกนี้ไป นี่ย่อมจะทำให้เจ้าตระหนักรู้มากขึ้นอีกว่าเมื่อไม่มีพ่อแม่อยู่เคียงข้างเจ้า คอยเอาใจใส่ ดูแล หรือเลี้ยงดูเจ้า หลายปีมานี้เจ้าก็เปลี่ยนจากคนที่กำลังเติบโต เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน ตามด้วยวัยชรา และภายใต้การทรงนำของพระเจ้า เจ้าย่อมเข้าใจสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทิศทางและเส้นทางข้างหน้าที่เจ้าใช้ก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงสามารถผละจากพ่อแม่ของตนมาได้  การมีอยู่ของพ่อแม่มีความจำเป็นเฉพาะในวัยเด็กของพวกเขาเท่านั้น แต่หลังจากที่เติบโตขึ้นมา การมีอยู่ของพ่อแม่ก็เป็นเพียงแบบแผนอย่างหนึ่ง  พ่อแม่เป็นเพียงสิ่งหล่อเลี้ยงและแรงเกื้อหนุนทางอารมณ์ และไม่มีความจำเป็น  แน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่ของเจ้าจากโลกนี้ไป เจ้าจะรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องเหล่านี้ และเจ้าจะยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าชีวิตของผู้คนมาจากพระเจ้า และผู้คนก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่พึ่งพิงพระเจ้า โดยไม่มีพระเจ้าเป็นเสบียงบำรุงเลี้ยงจิตใจและวิญญาณของตน เป็นเสบียงบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน  เมื่อพ่อแม่จากเจ้าไป เจ้าจะคิดถึงพวกเขาทางอารมณ์เท่านั้น แต่เจ้าก็จะเป็นอิสระทางอารมณ์หรือทางด้านอื่นๆ ไปพร้อมกันด้วย  เหตุใดเจ้าจึงจะเป็นอิสระ?  เวลาพ่อแม่อยู่ด้วย พวกเขาทั้งทำให้เจ้าวิตกกังวลและสร้างภาระให้กับเจ้า  พวกเขาคือผู้คนที่เจ้าสามารถทำตัวเอาแต่ใจ และพวกเขาก็ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้าไม่สามารถหลุดเป็นอิสระจากความรู้สึกของตนได้  เมื่อพ่อแม่จากไป ทั้งหมดนี้ย่อมจะสลายไป  ผู้คนที่เจ้ารู้สึกว่าสนิทกับเจ้าที่สุดจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และเจ้าก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกเขาหรือโหยหาพวกเขา  เมื่อเจ้าหลุดจากสัมพันธภาพที่เจ้ากับพ่อแม่ต่างพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อพวกเขาจากโลกนี้ไป เมื่อเจ้ารู้สึกอยู่ในหัวใจส่วนลึกของตนด้วยประการทั้งปวงว่าพ่อแม่จากไปแล้ว และเจ้ารู้สึกว่าเจ้าก้าวพ้นความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพ่อแม่แล้ว เจ้าก็จะมีความเป็นผู้ใหญ่และเป็นอิสระอย่างแท้จริง  ลองคิดดูเถิด ไม่ว่าผู้คนจะมีอายุมากเท่าใด ถ้าพ่อแม่ของพวกเขายังอยู่ด้วย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีปัญหา พวกเขาย่อมจะคิดว่า “ฉันจะถามแม่ ฉันจะถามพ่อ”  พวกเขาจะมีสิ่งหล่อเลี้ยงทางอารมณ์อยู่เสมอ  เมื่อผู้คนมีเครื่องบำรุงเลี้ยงทางอารมณ์ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าการดำรงอยู่ในโลกนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นและความสุข  เมื่อเจ้าสูญเสียความรู้สึกที่เป็นสุขและอบอุ่นนั้นไป ถ้าเจ้าไม่รู้สึกว่าตัวคนเดียว หรือสูญเสียความสุขและความอบอุ่นไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความเป็นผู้ใหญ่ และเป็นอิสระอย่างแท้จริงทางด้านความคิดและความรู้สึก  พวกเจ้าส่วนมากน่าจะยังไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ เจ้าจะเข้าใจ  จงคิดดูเถิด ไม่ว่าผู้คนจะมีอายุมากเท่าใด จะอายุ 40 50 หรือ 60 ปี เมื่อพ่อแม่ตายจาก พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากในทันใด  เหมือนว่าพวกเขาเปลี่ยนจากเด็กไร้เดียงสาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้คิดขึ้นมาทันที  ชั่วข้ามคืนพวกเขาก็เข้าใจสิ่งต่างๆ และเป็นอิสระ  เพราะฉะนั้นสำหรับทุกคนแล้ว การจากไปของพ่อแม่ก็คืออุปสรรคครั้งใหญ่  ถ้าเจ้าสามารถจัดการและมีท่าทีต่อสัมพันธภาพกับพ่อแม่ได้อย่างถูกต้อง และพร้อมกันนั้นก็สามารถรับมือ จัดการ และปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่คาดหวังจากเจ้าได้อย่างถูกต้อง หรือความรับผิดชอบทางด้านอารมณ์และจริยธรรมที่เจ้าพึงทำให้พ่อแม่ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะเป็นผู้ใหญ่แล้วโดยแท้ และอย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะเป็นผู้ใหญ่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่างในแง่ของความรู้สึกทางเนื้อหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าต้องสู้ทนความร้าวรานและความทรมานบางอย่างทางอารมณ์ รวมทั้งความเจ็บปวดที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปด้วยดี ไม่เป็นดังที่เจ้ามุ่งหวัง หรือการพบเจอโชคร้าย เป็นต้น  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับความเจ็บปวดทั้งหมดนี้แล้ว เจ้าก็จะมีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องเหล่านี้มากขึ้นอีกนิด  ถ้าเจ้าเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้ากับความจริงที่พวกเราสามัคคีธรรมกันมาในเรื่องเหล่านี้ เจ้าก็จะมีความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นอีกหน่อยในเรื่องของชีวิตและชะตากรรมของผู้คนที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ รวมทั้งความรักใคร่เอ็นดูที่ผู้คนมีต่อกัน อย่างถ่องแท้ยิ่ง  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจเชิงลึกในสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องง่ายที่เจ้าจะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้  เมื่อเจ้าสามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้และจัดการได้อย่างถูกต้อง เจ้าก็จะมีท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง  เจ้าจะไม่มีท่าทีต่อสิ่งเหล่านี้ตามคำสอนของมนุษย์หรือมาตรฐานทางมโนธรรมของมนุษย์ เจ้าจะมีท่าทีตามหลักธรรมความจริง  การเป็นไปตามหลักธรรมความจริงหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้า  ถ้าเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ นี่ย่อมเป็นสัญญาณที่ดีและเป็นเค้าลางที่ดี  เป็นเค้าลางว่าอย่างไร?  ว่าเจ้ามีหวังที่จะได้รับความรอด  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่พ่อแม่ของเจ้าคาดหวัง ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ในวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยชรา หรือเป็นไม้ใกล้ฝั่ง และถึงเจ้าจะไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ แต่ถ้าเจ้ากำลังมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ในตอนนี้ หรือถ้าเจ้าเคยมีประสบการณ์แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำไม่ได้มีเพียงการปล่อยมือจากความรู้สึกของตน หรือสะบั้นสายสัมพันธ์กับพ่อแม่และตัดขาดจากพวกเขาเท่านั้น แต่เป็นการทุ่มเทพยายามกับความจริง และเสาะแสวงที่จะทำความเข้าใจความจริงในแง่มุมเหล่านี้อีกด้วย  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  เมื่อเจ้าเข้าใจสัมพันธภาพต่างๆ ที่ซับซ้อนนี้ เจ้าก็จะเป็นอิสระจากสัมพันธภาพเหล่านี้ และจะไม่ถูกสัมพันธภาพตีกรอบเอาไว้อีกต่อไป  เมื่อเจ้าไม่ถูกตีกรอบเอาไว้อีกต่อไป ก็ง่ายขึ้นมากที่เจ้าจะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเมื่อทำเช่นนั้นก็จะเผชิญอุปสรรคน้อยลงและสิ่งกีดขวางที่เล็กลง  เมื่อนั้นแนวโน้มที่เจ้าจะกบฏต่อพระเจ้าก็ย่อมจะลดน้อยลง ถูกต้องหรือไม่?

คราวนี้พวกเจ้าก็สามารถรู้ทันและแก้ไขเรื่องสำคัญทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ได้แล้วใช่หรือไม่?  เมื่อพวกเจ้ามีเวลาว่าง จงใคร่ครวญความจริงเถิด  และในอนาคตหรือในสิ่งที่เจ้ากำลังมีประสบการณ์อยู่ในตอนนี้ ถ้าเจ้าสามารถเชื่อมโยงเรื่องเหล่านี้เข้ากับความจริง และแก้ปัญหาเหล่านี้ตามความจริง เจ้าก็จะเผชิญปัญหาและเรื่องยุ่งยากน้อยลงมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายและเบิกบานยิ่ง  ถ้าเจ้าไม่รับมือสิ่งเหล่านี้ตามความจริง เจ้าก็จะพบเจอปัญหามากมาย และชีวิตของเจ้าก็จะเจ็บปวดมาก  นี่คือผลลัพธ์  เราจะจบการสามัคคีธรรมในหัวข้อความคาดหวังของพ่อแม่ในวันนี้ไว้เท่านี้  สวัสดี!

29 เมษายน ค.ศ. 2023

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger