ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (15)
ระหว่างการชุมนุม พวกเจ้าได้สามัคคีธรรมหัวข้อที่พวกเราพูดถึงกันในระยะนี้บ้างหรือไม่? (ข้าแต่พระเจ้า ในการชุมนุม พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้บ้างแล้ว) สามัคคีธรรมของพวกเจ้าให้ผลเช่นไร? พวกเจ้ามีการค้นพบหรือเกิดความเข้าใจใหม่ๆ บ้างหรือไม่? หัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปนี้มีอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนหรือไม่? (มีทุกอย่าง หลังจากฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าในเรื่องเหล่านี้ไปสองสามครั้ง ข้าพระองค์ค้นพบว่าการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่และการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นทำให้พวกเราเสื่อมทรามหนักมาก พ่อแม่ปลูกฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในตัวพวกเราทีละนิดตั้งแต่เด็กแล้ว เช่น “ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องที่นั่นฉันใด มนุษย์อยู่ที่ใดก็ฝากชื่อไว้ที่นั่นฉันนั้น” หลังจากที่มีการปลูกฝังความคิดนี้เอาไว้ในตัวข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็เชื่อไปว่าในชีวิต คนเราต้องเหนือกว่าและโดดเด่นกว่าคนอื่น จึงจะหลีกเลี่ยงการถูกรังแกและถูกดูแคลนได้ ที่ผ่านมาข้าพระองค์นึกว่าความคิดที่พ่อแม่สอนให้พวกเรามีนี้ เป็นไปเพราะหวังดีต่อพวกเราและเพื่อปกป้องพวกเรา เมื่อฟังสามัคคีธรรมและการชำแหละของพระเจ้ามาสองสามครั้ง ข้าพระองค์จึงมาตระหนักว่าความคิดเหล่านี้เป็นลบและเป็นวิธีที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ความคิดเหล่านี้ทำให้พวกเราออกห่างจากพระเจ้าไปทุกทีและพาให้พวกเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักขึ้น ดึงพวกเราออกห่างจากความรอดมากขึ้นเรื่อยๆ) สรุปแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้ใช่หรือไม่? (ใช่) หลังจากสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ไปสองสามครั้ง ผู้คนก็เกิดความเข้าใจในความคิดและมุมมองที่ครอบครัวของพวกเขาปลูกฝังเอาไว้ให้มากขึ้น และเข้าใจอย่างถูกต้องมากขึ้น หลังการสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ ความสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อครอบครัวและพ่อแม่ของตนจะห่างเหินมากขึ้นหรือไม่? (ไม่ แต่ก่อนนี้ข้าพระองค์รู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อแม่ใจดีมีเมตตาต่อข้าพระองค์ แต่พอได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าแล้ว ข้าพระองค์ก็ตระหนักว่าภารกิจของพ่อแม่ก็คือการให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้าพระองค์ให้เติบใหญ่ นอกจากนี้ ความคิดที่พวกเขาปลูกฝังเอาไว้ในตัวข้าพระองค์ตั้งแต่เล็กก็ทำให้ข้าพระองค์เสื่อมทราม เมื่อตระหนักรู้ดังนี้ ข้าพระองค์ก็ไม่มีความผูกพันรักใคร่ให้กับพ่อแม่มากเท่าแต่ก่อน) ก่อนอื่น ในด้านความคิดของผู้คนนั้น ตอนนี้พวกเขามีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความรับผิดชอบของพ่อแม่และบุญคุณที่พ่อแม่มีต่อพวกเขาโดยการเลี้ยงดูให้เติบใหญ่แล้ว พวกเขาไม่ได้พึ่งพาความรักใคร่เอ็นดู ความหัวร้อน หรือสายสัมพันธ์ทางเลือดเนื้อในการดำรงชีวิตกับพ่อแม่อีกต่อไป แต่กลับสามารถมีท่าทีต่อครอบครัวและพ่อแม่ของตนได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลตามมุมมองและจุดยืนที่ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีการที่ผู้คนใช้ปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เปิดโอกาสให้พวกเขามีการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิตและข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา เพราะฉะนั้น การสามัคคีธรรมหัวข้อเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์และมีความจำเป็นต่อผู้คน เพราะทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์และเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีอยู่ภายใน
หัวข้อต่างๆ ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของคนคนหนึ่งวนเวียนอยู่กับเรื่องเป้าหมายและหลักธรรมของการวางตน หนทางและวิธีการดำรงชีวิตทางโลก ทัศนคติที่คนเรามีต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนวิธีการและกฎเกณฑ์ของการเอาตัวรอดเป็นหลัก รวมถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือหัวข้อที่เกี่ยวพันกับการสร้างเงื่อนไขเป็นความคิดเอาไว้ในตัวบุคคล รวมทั้งความคิดและมุมมองของพวกเขา โดยรวมแล้วความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ครอบครัวและพ่อแม่ปลูกฝังเอาไว้ให้นั้นไม่มีสิ่งใดเป็นบวก และไม่มีสิ่งใดสามารถชี้นำคนคนหนึ่งให้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องช่วยให้พวกเขามีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต หรือทำให้พวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่อยู่ในการสถิตของพระผู้สร้างของตนได้ ทุกสิ่งที่พ่อแม่และครอบครัวสอนเจ้าเป็นไปเพื่อนำเจ้าไปในทิศทางของโลกและกระแสอันชั่วของโลก จุดประสงค์ที่พวกเขาสร้างเงื่อนไขให้กับเจ้าเป็นความคิดและมุมมองเหล่านี้ก็เพื่อช่วยให้เจ้าทำตัวกลมกลืนไปกับสังคมและกระแสนิยมอันชั่วได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสนิยมอันชั่วและข้อเรียกร้องต่างๆ ของสังคมได้ดีขึ้น แม้คำสอนเหล่านี้จะชี้ช่องทางและวิธีการบางอย่างที่จะปกป้องเจ้า รวมทั้งวิธีการบางอย่างเพื่อให้เข้าถึงสถานะที่ดีขึ้น ความมีหน้ามีตา ความสุขสำราญทางวัตถุ และสิ่งอื่นๆ ในสังคมและในกลุ่มคน แต่ตัวความคิดที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้านี้ก็พาเจ้าเข้าสู่กระแสนิยมอันชั่วระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้เจ้าหยั่งรากอยู่ในโลก ในสังคม และในกระแสนิยมอันชั่วจนเจ้าไม่อาจถอนตัวออกมาได้อีกต่อไป ความคิดเหล่านี้นำความเดือดร้อนมาให้เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกซ้ำแล้วซ้ำอีก ทิ้งให้เจ้าไม่แน่ใจว่าจะเผชิญโลกมนุษย์อย่างไรและจะเป็นคนที่แท้จริง คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง ซื่อตรง มีหัวใจที่เมตตา และมีสำนึกของความเที่ยงธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้น การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของเจ้าจึงไม่ได้ทำให้เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี มีลักษณะนิสัยและสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้น แต่กลับทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและการต่อสู้ดิ้นรนต่างๆ ที่ซับซ้อน ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ยอกย้อน และทำให้เจ้ามีเรื่องพัวพันทางโลก ถูกพันธนาการ และถึงกับมีเรื่องให้ฉงนสนเท่ห์มากมาย เมื่อเจ้าหันไปหาพ่อแม่ของเจ้าและเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้พวกเขาฟัง พวกเขาย่อมจะใช้ชั้นเชิงอันหลากหลายมาแนะนำเจ้าว่าทำอย่างไรจึงจะยิ่งเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เหลี่ยมจัด เจนโลก และอ่านยากขึ้นระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คน แทนที่จะชี้ให้เจ้าเห็นทิศทางที่ถูกต้อง ช่วยให้เจ้าปล่อยมือจากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้และมีเสรี มาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้างและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์ ตระหนักชัดว่าชะตาชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพวกเขาควรนบนอบข้อกำหนดทุกข้อที่มาจากพระเจ้า รวมทั้งอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ นี่คือสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเป็นความนึกคิดต่างๆ เหล่านี้เอาไว้ให้ สรุปแล้ว ไม่ว่าความคิดที่ครอบครัวของเจ้าสร้างเงื่อนไขเอาไว้จะเน้นชื่อเสียงหรือผลกำไร เน้นให้แข่งขันกับผู้อื่นหรือให้เป็นมิตรกับพวกเขา ไม่ว่าจะมุ่งเน้นอะไร ท้ายที่สุดแล้วความคิดเหล่านี้ก็ได้แต่ทำให้ช่องทาง วิธีการ และกฎเกณฑ์ของการเอาตัวรอดในโลกมนุษย์ของเจ้ายิ่งซับซ้อน โหดเหี้ยม แยบยล และมุ่งร้ายมากขึ้นทุกที แทนที่จะทำให้เจ้าซื่อสัตย์ มีเมตตา และเที่ยงตรงมากขึ้น หรือช่วยให้เจ้าเข้าใจมากขึ้นว่าจะนบนอบการจัดเตรียมของพระผู้สร้างอย่างไร เพราะฉะนั้น การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของเจ้าจึงได้แต่ทำให้เจ้าออกห่างจากพระเจ้า ความจริง และสิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น ทิ้งให้เจ้าไม่แน่ใจว่าทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตในหนทางที่มนุษย์พึงมีกันอย่างแท้จริง ในหนทางที่มีศักดิ์ศรี ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดที่เจ้าได้มาจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของเจ้าย่อมจะทำให้เจ้ายิ่งด้านชามากขึ้นทุกที ไม่มีหัวคิด หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือหนังหนา เริ่มแรกนั้น การโกหกเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมชั้น และมิตรสหายของเจ้าย่อมจะทำให้เจ้าหน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว และรู้สึกผิดอยู่ในมโนธรรมของเจ้า แต่นานเข้าปฏิกิริยาที่มีสติรู้ตัวเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปหมด กล่าวคือ หน้าของเจ้าจะไม่แดง หัวใจของเจ้าจะไม่เต้นรัว และมโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ทำให้เจ้าเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป เจ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้อยู่รอด ถึงกับหลอกลวงผู้คนที่สนิทสนมกับเจ้าที่สุด รวมถึงพ่อแม่ของเจ้า พี่น้อง และเพื่อนสนิท เจ้าจะพยายามหาประโยชน์จากพวกเขาเพื่อทำให้ชีวิตของเจ้าดีขึ้น เชิดชูเกียรติและเพิ่มความสุขสำราญให้ตนเอง—นี่คือความด้านชา ในตอนแรก เจ้าอาจจะรู้สึกติเตียนตนเองอยู่บ้าง และมโนธรรมของเจ้าก็อาจสั่นสะเทือนนิดหน่อย แต่นานเข้าความรู้สึกเหล่านี้ย่อมจะหายไป และเจ้าก็จะใช้เหตุผลที่น่าเชื่อถือมากขึ้นมาปลอบประโลมตนเองว่า “ผู้คนก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ในโลกนี้ฉันจะใจอ่อนไม่ได้ การใจอ่อนให้คนอื่นก็คือการโหดร้ายกับตัวเอง ในโลกนี้คนอ่อนแอคือเหยื่อของคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ส่วนคนอ่อนแอย่อมพินาศ ผู้ชนะได้เป็นกษัตริย์ ส่วนผู้แพ้กลายเป็นอาชญากร ถ้าฉันประสบความสำเร็จ ก็จะไม่มีใครสืบเสาะว่าฉันทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ แต่ถ้าล้มเหลว ฉันจะไม่มีอะไรเหลือเลย” ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนก็จะใช้ความคิดและมุมมองเหล่านี้มาโน้มน้าวตัวเอง ทำให้ความคิดและมุมมองเหล่านี้กลายเป็นหลักการที่พวกเขาใช้ไล่ตามไขว่คว้าทุกสิ่ง และแน่นอนว่าเป็นช่องทางไปสู่จุดหมาย แล้วตอนนี้พวกเจ้าทุกคนพบว่าตนเองอยู่ตรงไหน? พวกเจ้าไปถึงจุดที่ด้านชาแล้วหรือว่ายังไปไม่ถึง? สมมุติว่าเจ้าจะทำธุรกิจ และธุรกิจนี้ก็เชื่อมโยงกับอนาคต คุณภาพชีวิต และความมีหน้ามีตาของเจ้าในสังคม ถ้าวิธีการของเจ้าแยบยลพอ และเจ้าสามารถหลอกลวงใครต่อใครได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีชีวิตที่เหนือกว่าผู้อื่น เจ้าจะมีเงินสดเป็นกองๆ และจะไม่ต้องก้มหัวทำตามความต้องการของใครอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเจ้าจะเป็นเช่นไร? เจ้าจะกลายเป็นคนด้านชาและไร้ความรู้สึกเสียจนสามารถหลอกลวงใครๆ และทำเงินจากใครก็ได้หรือไม่? (ข้าพระองค์อาจเป็นเช่นนั้น) เจ้าอาจเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนแปลง นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามซึ่งมีอยู่ลึกๆ ในตัวมนุษยชาติ เมื่อไร้ความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือชีวิตที่ดำเนินไปตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเรา รวมทั้งความคิดและมุมมองต่างๆ ที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ให้ ถ้าไม่มีมโนธรรม เหตุผล และสำนึกละอายแก่ใจ ชีวิตของคนคนหนึ่งย่อมเหลือแต่เปลือกเท่านั้น เป็นภาชนะที่ว่างเปล่า และเป็นชีวิตที่หมดค่า ถ้าเจ้ายังพอมีสำนึกละอายแก่ใจอยู่บ้าง และเวลาที่เจ้าโกหก ฉ้อโกง หรือทำร้ายผู้อื่น เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะทำใครบ้าง เจ้าไม่ได้เอาแต่ทำร้ายใครก็ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังมีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง แต่ถ้าเจ้าสามารถหลอกลวงหรือทำร้ายคนไม่เลือก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นซาตานที่มีลมหายใจเต็มขั้นไปแล้วโดยแท้ ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่อาจหลอกลวงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน ผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชายหญิงในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และไม่สามารถโกงเอาของถวายของพระเจ้า” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังคงมีเส้นศีลธรรมอยู่บ้าง และยังถือได้ว่าเป็นคนที่มีมโนธรรมบางส่วน อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าไม่มีแม้แต่มโนธรรมและเส้นแบ่งเล็กๆ นี้ เจ้าก็ไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ แล้วพวกเจ้าไปถึงจุดไหนกันแล้ว? พวกเจ้ามีเส้นแบ่งหรือไม่? ถ้าพวกเจ้ามีโอกาสหรือมีความจำเป็นจริงๆ เจ้าจะสามารถหลอกลวงพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนสนิทที่สุดของเจ้าได้หรือไม่? เจ้าจะสามารถหลอกลวงพี่น้องชายหญิง เบียดเบียนพวกเขา หรือถึงขั้นโกงของถวายของพระเจ้าได้หรือไม่? ถ้าเจ้าสบโอกาสที่จะทำเช่นนั้น และจะไม่มีใครมีวันรู้เห็น เจ้าจะทำได้ลงคอหรือไม่? (ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป) เหตุใดเจ้าจึงทำไม่ได้อีกต่อไป? (เพราะข้าพระองค์กลัวพระเจ้า ข้าพระองค์พอจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง และเป็นเพราะมโนธรรมของข้าพระองค์ก็จะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นอีกด้วย) ท่าทีของเจ้าก็คือเจ้ารู้สึกกลัวอยู่ในหัวใจและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และมโนธรรมของเจ้าก็จะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ให้คนอื่นพูดบ้างเถิด พวกเจ้ามีท่าทีในเรื่องนี้กันบ้างหรือไม่? ถ้าไม่มี ถ้าพวกเจ้าไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้และไม่รู้สึกอะไรเวลาที่เห็นคนอื่นทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีภัย ถ้าเจ้าเห็นใครบางคนทำเรื่องดังกล่าวและไม่รู้สึกเกลียดชัง ไม่มีท่าทีในเรื่องนี้ และรู้สึกด้านชา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต่างจากพวกเขาและอาจจะทำอะไรที่คล้ายกัน อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้ามีท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ถ้าเจ้าสามารถเกลียดชังและติเตียนผู้คนดังกล่าว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้น ท่าทีของพวกเจ้าเป็นอย่างไร? (ข้าพระองค์ควรมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง ของถวายให้พระเจ้าจัดว่าศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถแตะต้องหรือนำไปใช้เป็นการส่วนตัวอย่างเด็ดขาด) ต้องไม่นำของถวายไปใช้เป็นการส่วนตัว นี่ทำไปเพราะกลัวการลงโทษ แล้วเรื่องอื่นล่ะเป็นเช่นไร? ถ้าเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลงทุนแบบพีระมิด เจ้าจะสามารถทำใจหากำไรจากเพื่อนสนิทที่สุดของเจ้า หลอกลวงพวกเขาให้หลงคารม ทำให้พวกเขาเข้าร่วม แล้วสร้างผลกำไรและหาเงินจากการนี้หรือไม่? เจ้าสามารถทำเช่นนี้กับเพื่อนสนิทที่สุด ญาติพี่น้อง และแม้กระทั่งพ่อแม่หรือพี่น้องชายหญิงของเจ้าหรือไม่? ถ้านี่เป็นเรื่องที่พูดยากสำหรับเจ้า เช่นนั้นแล้ว เวลาที่เจ้ากล่าวว่าเจ้าจะไม่เอาของถวายของพระเจ้าไปใช้ส่วนตัว เจ้าก็อาจจะทำเช่นนั้นไม่ได้มิใช่หรือ? ให้คนอื่นพูดบ้าง (ในด้านหนึ่ง พวกเราควรเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในเรื่องนี้ ต้องไม่มีการแตะต้องของถวายของพระเจ้าเป็นอันขาด อีกด้านหนึ่ง พวกเรารู้สึกว่าการทำเรื่องเช่นนี้ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ อย่างน้อยที่สุด บรรทัดฐานขั้นต่ำสุดที่คนเราพึงมีก็ควรเป็นสิ่งที่มโนธรรมของพวกเขายอมให้ทำ) ท่าทีของพวกเจ้าก็คือการทำเรื่องดังกล่าวไม่มีความเป็นมนุษย์ และคนเราควรทำในหนทางที่มโนธรรมของตนยอมให้ทำ มีใครอื่นอีกหรือไม่? (ข้าพระองค์คิดว่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ ต่อให้คนเราไม่เชื่อในพระเจ้า ถ้าพวกเขาเป็นคนที่มีมโนธรรมและมีบรรทัดฐานทางศีลธรรมในโลก พวกเขาก็ไม่ควรทำสิ่งที่ทำร้ายครอบครัวของตนเอง และในเมื่อพวกเราเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงบางอย่าง ถ้ายังมีใครสามารถทำเรื่องที่ทำร้ายพี่น้องชายหญิง ทำร้ายเพื่อนของตน หรือโกงของถวายของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วคนแบบนั้นก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก นอกจากนี้ บางครั้งผู้คนอาจเผยความคิดและแนวคิดบางอย่าง แต่พอพวกเขานึกถึงแก่นนิสัยของพระเจ้า และตระหนักว่าต่อให้ไม่มีใครจ้องมองอยู่รอบๆ หรือรู้ถึงการกระทำเหล่านี้ พระเจ้าก็ยังคงตรวจสอบทุกสิ่ง และพวกเขาไม่กล้าทำเรื่องดังกล่าว—พวกเขาย่อมจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง) ในด้านหนึ่ง การทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า อีกด้านหนึ่ง ผู้คนที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ย่อมไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่สุด นี่เป็นเพราะในฐานะมนุษย์ ต่อให้เจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรทำเรื่องดังกล่าว นี่เป็นคุณสมบัติที่คนที่มีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์พึงมี การฉ้อโกง ทำร้าย และลักขโมยโดยตัวมันเองเป็นสิ่งที่คนดีและปกติไม่ควรทำ แม้แต่ผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ยังมีเส้นแบ่งบางประการว่าพวกเขาควรวางตนอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เชื่อในพระเจ้าและได้ฟังคำเทศนาไปมากมายอย่างเจ้า กล่าวคือ ถ้าเจ้ายังคงทำสิ่งเหล่านี้ได้ลงคอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เหลือวิสัยที่จะได้รับการไถ่ นี่คือคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์—เป็นมารตนหนึ่ง เจ้าฟังคำเทศนาไปมากมาย กระนั้นเจ้าก็ยังคงสามารถทำเรื่องชั่วสารพัดอย่างที่เกี่ยวข้องกับการโกงและฉ้อฉล—นี่คือความหมายของการเป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้ไม่เชื่อคืออะไร? คือคนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสังเกตการณ์อยู่หรือพระองค์ทรงชอบธรรม ถ้าเจ้าไม่เชื่อในการสังเกตการณ์ของพระเจ้า นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระองค์มิใช่หรือ? เจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตฉัน แต่ไหนล่ะพระเจ้า? ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นพระองค์? ทำไมฉันไม่รู้สึกถึงพระองค์? ฉันโกงและล่อลวงผู้คนมาหลายปีแล้ว ทำไมฉันถึงไม่เคยถูกลงโทษ? ฉันยังคงมีชีวิตที่สุขสบายกว่าคนอื่น” นี่คือพฤติกรรมแง่มุมหนึ่งของผู้ไม่เชื่อ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงไปมากเท่าใด พวกเขาก็ปฏิเสธทุกสิ่ง พวกเขาไม่เคยยอมรับความจริง แล้วพวกเขายอมรับอะไร? พวกเขายอมรับความคิดและมุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ทุกสิ่งที่เป็นผลดีต่อพวกเขาและปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาเชื่อแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเอง ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสังเกตการณ์อยู่ และไม่เชื่อแนวคิดเรื่องการลงทัณฑ์ นี่คือความหมายของการเป็นผู้ไม่เชื่อ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ผู้ไม่เชื่อจะเชื่อในพระเจ้า? ผู้ไม่เชื่อที่อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ามีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำความชั่ว แต่พวกเราอย่าพูดถึงบทอวสานในท้ายที่สุดของผู้คนเหล่านี้เลย กลับมายังหัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันอยู่เถิด
ความคิดต่างๆ ที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขและปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนั้นไม่ได้หมายที่จะพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และครอบครัวก็ไม่ได้ปลูกฝังความคิดที่เป็นบวกเอาไว้ในตัวพวกเขา กลับปลูกฝังความคิดต่างๆ ที่เป็นลบ รวมทั้งลู่ทาง หลักคิด และวิธีการวางตนที่เป็นลบ และท้ายที่สุดก็พาผู้คนเดินไปบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนคืนได้ สรุปว่าความคิดต่างๆ ที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวผู้คนนั้นไม่ได้มาตรฐานขั้นต้นของความเป็นมนุษย์ เหตุผล และมโนธรรมที่คนคนหนึ่งพึงมีด้วยซ้ำ ถ้าคนคนหนึ่งมีมโนธรรมและเหตุผลแม้เพียงน้อยนิด สิ่งที่หลงเหลืออยู่และยังไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหรือสึกกร่อนย่อมมีเพียงส่วนน้อยนิดนี้เท่านั้น ลู่ทางและวิธีการวางตนนอกเหนือจากนี้ก็มาจากครอบครัวของพวกเขา และบ้างก็มาจากสังคมด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ก่อนที่คนคนหนึ่งจะได้รับการช่วยให้รอด ความคิดหรือมุมมองใดๆ ที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ย่อมขัดกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน ไม่สามารถทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงได้ และไม่สามารถพาพวกเขาเดินไปตามเส้นทางแห่งความรอด ได้แต่พาพวกเขาเดินไปบนเส้นทางแห่งความย่อยยับเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคนคนหนึ่งเข้ามาที่พระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าใด ได้รับการศึกษาเช่นใด มีภูมิหลังทางครอบครัวแบบใด และตัวพวกเขาเองคิดว่าสถานะของตนสูงส่งเพียงใด พวกเขาก็ต้องเริ่มต้นจากขั้นพื้นฐานเพื่อเรียนรู้ว่าจะวางตนอย่างไร มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร จัดการเรื่องต่างๆ อย่างไร จะรับมือผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไร กระบวนการเรียนรู้นี้เกี่ยวพันกับการน้อมรับและทำความเข้าใจความคิดและมุมมองต่างๆ ที่เป็นบวกและตรงตามความจริงจากพระเจ้า รวมทั้งหลักธรรมสำหรับการปฏิบัติและจัดการเรื่องต่างๆ นี่ย่อมเป็นไปตามการยอมรับความจริงของเจ้าเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่ยอมรับความจริง ความคิดและมุมมองที่เจ้ามีอยู่เดิมก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่เจ้าไม่ยอมรับความคิดและมุมมองที่เป็นบวกและถูกต้องซึ่งมาจากพระเจ้า หลักคิด ลู่ทาง และวิธีการที่เจ้าใช้ดำรงชีวิตทางโลกย่อมจะคงเดิมและไม่เปลี่ยน ผู้คนเริ่มเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นคนจริง คนที่ปกติ คนที่มีเหตุผลและมโนธรรม ก็เมื่อพวกเขาเริ่มยอมรับความคิดและมุมมองที่เป็นบวก ความจริง และหลักคำสอนของพระเจ้า บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาสิบ ยี่สิบ หรือสามสิบปีแล้ว ฉันยังไม่เห็นต้องยอมรับความคิดหรือมุมมองจากพระเจ้าสักเรื่องเดียว และฉันก็ไม่เคยยอมรับความจริงอันใดจากพระวจนะของพระเจ้าด้วย” นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าไม่จริงใจ เจ้ายังคงไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร และยังไม่ยอมเรียนรู้วิธีวางตน ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เริ่มยอมรับหลักคำสอนของพระเจ้าอย่างเป็นทางการในเรื่องข้อกำหนดต่างๆ สำหรับมนุษย์ รวมทั้งความคิด มุมมอง หลักธรรม และคำกล่าวที่มนุษย์พึงมี” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เรียนรู้การเป็นคนจริงมาตั้งแต่วันที่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว และนับจากเวลาที่เจ้าเริ่มเรียนรู้การเป็นคนจริง เจ้าก็เริ่มเดินไปบนเส้นทางของความรอดแล้ว ตั้งแต่เจ้าเริ่มยอมรับความคิดและมุมมองที่มาจากพระเจ้า นั่นก็คือเวลาที่เจ้าเริ่มเดินไปบนเส้นทางสู่ความรอด เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) แล้วพวกเจ้าเริ่มกันหรือยัง? พวกเจ้าเริ่มกันแล้ว ยังไม่ได้เริ่ม หรือเริ่มไปนานแล้ว? (เพราะพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมและชำแหละความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องซึ่งมีอยู่ในตัวผู้คน รวมทั้งการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัว และอื่นๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ ข้าพระองค์จึงได้เริ่มทบทวนตัวเองและค่อยๆ เลิกใช้ปรัชญาของซาตานที่ข้าพระองค์เคยยึดถือ รวมทั้งไตร่ตรองว่าตนเองควรพากเพียรเข้าถึงพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร เมื่อก่อนข้าพระองค์ไม่เคยสนใจสำรวจดูสภาวะภายในลึกๆ เช่นนี้มากนัก) ถ้อยแถลงนี้มีความเป็นจริงค่อนข้างมาก เจ้าเพิ่งเริ่มในช่วงสองปีที่ผ่านมาเท่านั้น ยากที่จะระบุปีหรือวันที่แน่ชัด แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็อยู่ในช่วงปีหรือสองปีที่แล้ว นี่ค่อนข้างอิงข้อเท็จจริง แล้วคนอื่นว่าอย่างไร? (แท้จริงแล้วข้าพระองค์ไม่เคยคิดว่าจะพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดและมุมมองที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ให้ได้อย่างไร ระยะนี้พอได้ฟังสามัคคีธรรมของพระเจ้าในเรื่องนี้ ความคิดของข้าพระองค์ก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ข้าพระองค์ก็ยังไม่ได้มุ่งเจาะจงไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในด้านนี้) จิตสำนึกของเจ้ามีการรับรู้มากขึ้นแล้ว ในชีวิตประจำวัน ถ้าเจ้าแสวงหาต่อไปและมีการเข้าสู่ที่ลึกซึ้งขึ้น ถ้าเจ้าสามารถมีความละเอียดลออและเคร่งครัดมากขึ้นในบางเรื่อง ถ้าเจ้าเข้าถึงเรื่องนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีหวังที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าเจ้ามีหวังที่จะละทิ้งความคิดและมุมมองเก่าๆ จากนั้นก็สามารถมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการจากจุดยืนที่ถูกต้อง ด้วยมุมมองที่ถูกต้อง เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าก็จะสามารถได้รับความรอด ในระยะยาว เจ้าจะสามารถได้รับความรอด แต่ถ้ากล่าวให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นจากตรงนี้และตอนนี้ เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานได้ แต่นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเจ้าเองเต็มใจที่จะทุ่มเทพยายามเพื่อความจริงแต่ละข้อหรือไม่ เต็มใจที่จะทุ่มเทพยายามและจ่ายราคาเพื่อสิ่งที่เป็นบวกและเรื่องต่างๆ ที่สัมพันธ์กับหลักธรรมหรือไม่ ถ้าเจ้าอยากเปลี่ยนแปลงตนเองแค่ในจิตสำนึกเท่านั้น แต่ไม่ทุ่มเทพยายามและไม่จริงจังกับความจริงในชีวิตประจำวันของเจ้า ถ้าเจ้าไม่มีหัวใจที่กระหายสิ่งที่เป็นบวก เช่นนั้นแล้ว จิตสำนึกนี้ก็จะเลือนรางและหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกความคิดและทุกมุมมองที่เกี่ยวพันกับแต่ละหัวข้อที่เราสามัคคีธรรมไปนั้นมิอาจแยกออกจากชีวิตจริงของผู้คนได้ นี่ไม่ใช่ทฤษฎีหรือคำชวนเชื่ออย่างหนึ่ง แต่เกี่ยวข้องกับว่าความคิดและมุมมองที่เจ้าใช้รับมือสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันนั้นเป็นเช่นไร ความคิดและมุมมองของเจ้าจะคอยกำหนดว่าเจ้าเอนเอียงไปในทิศทางใดเวลาลงมือกระทำการ ถ้าความคิดและมุมมองของเจ้าเป็นบวก วิธีการและหลักธรรมที่เจ้าใช้จัดการสิ่งทั้งหลายย่อมจะโน้มเอียงไปในทางที่เป็นบวก ผลของการจัดการเรื่องราวดังกล่าวย่อมจะค่อนข้างดีและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ถ้าความคิดและมุมมองของเจ้าต่อต้านความจริงและสิ่งที่เป็นบวก หรือสวนทางกับสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว แรงผลักดันที่เจ้าใช้จัดการบางสิ่งย่อมจะเป็นลบ และท้ายที่สุด ผลของการจัดการเรื่องนั้นๆ ก็จะไม่ออกมาดีเป็นแน่ ไม่ว่าเจ้าจะจ่ายราคาไปเท่าใดหรือใช้ความคิดไปมากเท่าใดในการจัดการเรื่องนี้ ไม่ว่าเจตนาของเจ้าจะเป็นเช่นใด พระเจ้าจะทรงมองผลลัพธ์ว่าอย่างไร? พระเจ้าจะทรงระบุลักษณะของเรื่องนี้ว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงระบุว่าเรื่องนี้มีลักษณะที่ขัดขวาง ก่อให้เกิดการรบกวน บ่อนทำลาย หรือพาให้เกิดการสูญเสียในพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การกระทำของเจ้าก็ชั่ว ถ้าการทำชั่วของเจ้าเป็นเรื่องเล็ก ก็อาจจะนำไปสู่การตีสอน พิพากษา ติเตียน และตัดแต่ง ส่วนการทำชั่วที่หนักหนากว่านั้นย่อมสามารถส่งผลเป็นการลงโทษ ถ้าเจ้าไม่ทำตามหลักธรรมความจริงและเอนเอียงไปหาความคิดและมุมมองที่ไม่ถูกต้องของผู้ไม่มีความเชื่อแทน กระทำการตามสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าย่อมจะสูญเปล่า ต่อให้เจ้าจ่ายราคาที่สูงและลงทุนลงแรงไปมาก ผลสุดท้ายย่อมจะสูญเปล่าอยู่ดี พระเจ้าจะทรงมองเรื่องนี้ว่าอย่างไร? พระองค์จะทรงระบุว่าเรื่องนี้มีลักษณะเช่นไร? พระองค์จะทรงจัดการเรื่องนี้อย่างไร? อย่างน้อยที่สุด การกระทำของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องดี ไม่ได้เป็นคำพยานให้พระเจ้าหรือนำพระสิริมาสู่พระองค์ ราคาที่เจ้าจ่ายไปและการพยายามใช้ความคิดของเจ้าก็จะไม่เป็นที่จดจำ ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ก่อนที่เจ้าจะทำสิ่งใด จงใช้เวลาคิดอ่านให้รอบคอบ สามัคคีธรรมกับผู้อื่นให้มากขึ้น แสวงหาความชัดเจนด้านหลักธรรมก่อนที่จะลงมือ และอย่ากระทำการด้วยความหัวร้อนหรือหุนหันพลันแล่น มีแรงขับเคลื่อนเป็นความเห็นแก่ตัวและความอยากได้อยากมีของเจ้าเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ในที่สุดเจ้าก็จะต้องแบกรับมันเอาไว้ด้วยตนเอง และไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ย่อมจะมีคำพิพากษาจากพระเจ้า ถ้าเจ้าหวังให้การกระทำของเจ้าไม่สูญเปล่า เป็นที่จดจำของพระเจ้า หรือให้ดีกว่านั้นอีกก็คือ กลายเป็นความประพฤติดีที่พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมให้บ่อยขึ้น ถ้าเจ้าไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ ถ้าเจ้าไม่เห็นสำคัญว่าการกระทำของเจ้าจะดีงามหรือไม่ พระเจ้าจะพอพระทัยในการกระทำของเจ้าหรือไม่ และเจ้าก็ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำไปว่าเจ้าจะถูกลงโทษหรือไม่ แต่กลับคิดไปว่า “ไม่สำคัญหรอก ถึงอย่างไรในตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกอะไรอยู่แล้ว” ถ้าเจ้ามีความคิดและมุมมองเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเวลาเจ้ากระทำการ เจ้าจะไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เจ้าจะบังอาจ ไร้ความยับยั้งชั่งใจ และบุ่มบ่าม ไม่มีความกังวลหรือการหักห้ามใจในเรื่องใดทั้งสิ้น เมื่อไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ทิศทางที่เจ้าใช้เวลาลงมือกระทำการย่อมมีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะเบี่ยงเบน ว่ากันตามธรรมชาติและสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ผลสุดท้ายย่อมมีแนวโน้มเป็นว่าการกระทำของเจ้าไม่เพียงไม่เป็นที่พอพระทัยหรือจดจำของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็นการขัดขวาง การก่อกวน และเป็นการทำชั่วอีกด้วย ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดทีเดียวว่าในที่สุดจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นไร และพระเจ้าจะทรงจัดการและทำเช่นไรกับจุดจบของเจ้า เพราะฉะนั้น ก่อนที่เจ้าจะทำสิ่งใด ก่อนที่เจ้าจะจัดการเรื่องใดลงไป เจ้าควรคิดทบทวนเสียก่อนว่าเจ้าต้องการอะไร พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าในที่สุดผลของเรื่องนี้จะเป็นเช่นใด และเมื่อนั้นเท่านั้นจึงลงมือดำเนินการ ดังนั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสิ่งใด? นี่เกี่ยวพันกับท่าทีของเจ้าและหลักธรรมที่เจ้ายึดปฏิบัติตามในยามที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ ท่าทีที่ดีที่สุดก็คือการแสวงหาหลักธรรมให้บ่อยขึ้นและไม่ตัดสินตามความรู้สึก ความชอบส่วนตน เจตนา ความอยากได้อยากมี หรือผลประโยชน์เฉพาะหน้าของเจ้า แต่เจ้าต้องแสวงหาหลักธรรม อธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น นำเรื่องราวมาให้พี่น้องชายหญิงพิจารณากันบ่อยขึ้น แสวงหาและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่กำลังร่วมงานกับเจ้าเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ จงเข้าใจหลักธรรมให้ถูกต้องก่อนที่เจ้าจะลงมือกระทำการ อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น อย่าทำตัวเลอะเลือน เพราะเหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า? เจ้าไม่ได้เชื่อเพื่อให้ได้อาหารสักมื้อ ฆ่าเวลา ตามสมัยนิยมให้ทัน หรือสนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของเจ้า เจ้าเชื่อเพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด แล้วทำอย่างไรเจ้าจึงจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด? เวลาเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นควรเชื่อมโยงกับความรอด ข้อกำหนดของพระเจ้า และความจริงมิใช่หรือ?
ในหัวข้อเรื่องการปล่อยมือจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของคนเรานั้น สามัคคีธรรมครั้งก่อนของพวกเราเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ ความคิด และมุมมองต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการวางตน ซึ่งเป็นความคิดที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวผู้คน อย่างไรก็ดี นอกจากครอบครัวจะมีคำสอนและอิทธิพลนานาชนิดต่อผู้คนแล้ว ยังมีการสร้างเงื่อนไขมากกว่านี้อีก กล่าวคือ การสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวมีอะไรมากกว่าการสร้างเงื่อนไขที่เป็นเพียงความคิดอีกมาก นอกจากสิ่งที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไปแล้ว ยังมีการสร้างเงื่อนไขทางประเพณี โชคลาง และศาสนาอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมกัน เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต ธรรมเนียม ความเคยชิน และรายละเอียดในชีวิตประจำวัน ในส่วนของการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวในชีวิตประจำวันของผู้คนนั้น ครั้งนี้พวกเราจะหันมาเสวนาถึงประเพณีกัน ตัวอย่างของประเพณีได้แก่อะไรบ้าง? ยกตัวอย่าง ครอบครัวหนึ่งอาจยึดมั่นในรายละเอียด คำกล่าว หรือข้อห้ามบางอย่างที่เชื่อมโยงกับรายละเอียดในชีวิตประจำวัน นี่เกี่ยวข้องกับประเพณีหรือไม่? (เกี่ยวข้อง) ประเพณีมีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับการเชื่อถือโชคลางอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเราก็จะเสวนาสองเรื่องนี้ไปพร้อมกัน ประเพณีในบางแง่มุมก็อาจถือเป็นการเชื่อถือโชคลาง และในการเชื่อถือโชคลางก็มีสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นไปตามประเพณีนัก เป็นแต่เพียงความเคยชินหรือวิถีชีวิตของแต่ละครอบครัวหรือกลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น พวกเรามาเริ่มด้วยการสำรวจดูว่าประเพณีและการเชื่อถือโชคลางพ่วงเอาอะไรมาบ้าง พวกเจ้าคุ้นเคยกับประเพณีและการเชื่อถือโชคลางมากมายอยู่แล้วเพราะชีวิตประจำวันของพวกเจ้ามีแง่มุมมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จงระบุมาสักสองสามอย่างเถิด (การดูดวง ดูลายมือ และเสี่ยงเซียมซี) การเสี่ยงเซียมซี ดูดวง ดูอนาคต ดูลายมือ ดูโหงวเฮ้ง ดูดวงตามเวลาเกิด และการเข้าทรง—สิ่งเหล่านี้ไม่เรียกว่าการเชื่อถือโชคลาง ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมทางด้านโชคลาง การเชื่อถือโชคลางอ้างอิงคำอธิบายจำเพาะที่มีอยู่ในกิจกรรมเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การตรวจดูปฏิทินก่อนออกจากบ้านเพื่อดูว่าวันนี้กิจกรรมใดเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคลบ้าง ถ้าทุกกิจกรรมไม่เป็นมงคล ถ้าการย้ายบ้าน แต่งงาน และจัดงานศพล้วนทำแล้วไม่เป็นมงคล หรือถ้าวันนี้ทำอะไรก็เป็นมงคลหมด—นั่นคือการเชื่อถือโชคลาง เจ้าเข้าใจหรือไม่? (ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว) จงยกตัวอย่างมาอีกสองสามเรื่องเถิด (ความเชื่อที่ว่าตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกเหตุวิบัติ) “ตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกเหตุวิบัติ”—นี่คืออะไร? (การเชื่อถือโชคลาง) นี่คือการเชื่อถือโชคลาง ทุกสิ่งที่เราเพิ่งเอ่ยไป เช่น การดูอนาคต เสี่ยงเซียมซี ดูลายมือ และอื่นๆ จัดเป็นกิจกรรมทางด้านโชคลาง “ตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกเหตุวิบัติ” คือคำกล่าวจำเพาะที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมทางด้านโชคลาง นี่คือการเชื่อถือโชคลาง แล้วคำกล่าวเหล่านี้มาจากไหน? โดยทั่วไปแล้ว ทั้งหมดล้วนมาจากคนรุ่นก่อน บ้างก็ส่งต่อมาทางพ่อแม่ ส่วนอื่นก็มาจากปู่ย่าตายายและทวด เป็นต้น มีอะไรอีก? (ข้าแต่พระเจ้า ธรรมเนียมวันหยุดเทศกาลนับด้วยหรือไม่?) ธรรมเนียมวันหยุดเทศกาลก็นับด้วย เพราะบ้างก็เป็นไปตามประเพณี ส่วนอื่นๆ ก็เป็นธรรมเนียมที่ทั้งตามประเพณีและคำกล่าวด้านโชคลาง จากตอนใต้ขึ้นไปทางตอนเหนือของจีน และจากฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตก มีธรรมเนียมวันหยุดเทศกาลอยู่มากมาย จงดูธรรมเนียมวันหยุดเทศกาลอย่างหนึ่งทางตอนใต้ของจีนเป็นตัวอย่าง ผู้คนมักจะกินขนมเข่งกันในช่วงเทศกาลตรุษจีน นี่เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งใด? จุดประสงค์เบื้องหลังการที่ผู้คนกินขนมเข่งคืออะไร? (พวกเขาเชื่อว่าการกินขนมเข่งจะทำให้พวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งปีแล้วปีเล่า) จุดประสงค์ของการกินขนมเข่งก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งปีแล้วปีเล่า คำว่า “เลื่อนตำแหน่ง” ในที่นี้พ้องเสียงกับคำว่า “ขนม” ในภาษาจีน ดังนั้นจุดประสงค์ของการกินขนมเข่งก็เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะได้เลื่อนตำแหน่งทุกปี แล้วเคยมีปีที่เจ้าไม่ได้กินขนมเข่งและไม่ได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่? มีใครได้เลื่อนตำแหน่งทุกปีเพราะพวกเขากินขนมเข่งกันทุกปีหรือไม่? เจ้าสามารถ “ได้เลื่อนตำแหน่ง” จริงหรือ? ผู้คนตระหนักรู้ว่านี่ไม่จำเป็นต้องทำให้ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็จะทำให้พวกเขาไม่ประสบความล้มเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกินขนมนี้ การกินขนมเข่งทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ ขณะที่การไม่กินก็ย่อมทำให้พวกเขาไม่สบายใจ นี่คือประเพณีและการเชื่อถือโชคลาง สรุปแล้ว ความเคยชินและประเพณีที่มาจากครอบครัวของเจ้านี้มีอิทธิพลครอบงำเจ้า และโดยไม่รู้ตัว เจ้าก็เห็นชอบและยอมรับประเพณีและความเคยชินเหล่านี้อยู่ระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงเห็นชอบและยอมรับการเชื่อถือโชคลางหรือความคิดและมุมมองที่ประเพณีเหล่านี้ให้การส่งเสริมเช่นกัน เมื่อเจ้ามาใช้ชีวิตด้วยตนเอง เจ้าอาจสานต่อประเพณีและความเคยชินเหล่านี้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คราวนี้พวกเรามาเสวนาถึงคำกล่าวบางอย่างที่เชื่อมโยงกับประเพณีกันเถิด บางคนทำเรื่องดังกล่าวอยู่เนืองๆ กล่าวคือ ถ้าใครสักคนกำลังจะออกเดินทางไกล พวกเขาก็จะทำเกี๊ยวให้คนเหล่านั้นกิน และเมื่อคนเดินทางนั้นกลับมา พวกเขาก็เตรียมบะหมี่ให้ นี่เป็นประเพณีอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือประเพณี และเป็นธรรมเนียมที่ไม่มีการเขียนเอาไว้ พวกเราอย่าเพิ่งเสวนาถึงจุดประสงค์ของการทำเช่นนี้เลย ก่อนอื่นมาตรวจสอบสำนวนที่ถูกต้องของการทำดังนี้กันเถิด (“เกี๊ยวออกประตู บะหมี่เข้าประตู” หรืออาจกล่าวได้อีกด้วยว่า “เกี๊ยวจากไกล บะหมี่หวนคืน”) คำว่า “เกี๊ยวจากไกล บะหมี่หวนคืน” หมายความว่าอย่างไร? กล่าวคือ ถ้าวันนี้มีใครจากไป เจ้าต้องให้พวกเขากินเกี๊ยว นี่มีนัยสำคัญว่าอย่างไร? เกี๊ยวนั้นห่อด้วยแป้ง และคำว่า “ห่อ” ก็ฟังคล้ายคำว่า “คุ้มครอง” ในภาษาจีน ดังนั้น นี่จึงหมายถึงการคุ้มครองชีวิตของพวกเขา เป็นการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ประสบอุบัติเหตุเมื่อจากไกล ไม่ตายเมื่ออยู่ห่าง และจะกลับมาอย่างแน่นอน นี่จึงหมายถึงการออกเดินทางอย่างปลอดภัย “เกี๊ยวจากไกล บะหมี่หวนคืน” จึงหมายความว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัยและทุกสิ่งย่อมดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับพวกเขา—ความหมายก็จะประมาณนี้ โดยทั่วไป บางครอบครัวก็ทำตามประเพณีนี้ ถ้าสมาชิกครอบครัวกำลังจะจากไกล พวกเขาก็ทำเกี๊ยวให้กิน และเมื่อกลับมา พวกเขาก็ยกบะหมี่มาให้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนกินหรือคนเตรียมอาหารเหล่านี้ ก็ล้วนทำไปเพื่อให้มีโชคดีทั้งในตอนนี้และในวันข้างหน้า เพื่อความอยู่ดีมีสุขของทุกคน พวกเจ้าเห็นพ้องหรือไม่ว่าประเพณีนี้เป็นบวกและเป็นสิ่งที่ผู้คนควรทำและสานต่อในชีวิตของพวกเขา? (ข้าพระองค์ไม่เห็นด้วย) พี่น้องชายหญิงบางคนต้องจากไกล และคนที่ดูแลด้านอาหารก็ทำเกี๊ยวให้พวกเขา ซึ่งเราก็ถามว่า “การที่พวกเขาจากไปเกี่ยวอะไรกับการทำเกี๊ยว?” แล้วพวกเขาก็ตอบว่า “ก็เวลามีคนจากไกล พวกเราก็ต้องทำเกี๊ยว” เราจึงถามกลับว่า “เจ้าทำเกี๊ยวเวลาพวกเขาจากไกล แล้วถ้าพวกเขากลับมาล่ะ?” พวกเขาก็บอกว่า “เวลากลับมา พวกเขาก็ต้องกินบะหมี่” เราจึงกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ฟังเรื่องอย่างนี้ ประเพณีนี้มาจากไหน?” พวกเขาก็บอกว่า “เป็นอย่างนี้ในที่ที่ข้าพระองค์จากมา ถ้ามีใครจะจากไกล พวกเราก็ทำเกี๊ยวให้ และพอพวกเขากลับมา พวกเราก็ยกบะหมี่มาให้กิน” หลังจากนั้น นี่ย่อมฝากรอยประทับอะไรไว้ในใจของเรา? เราคิดว่าผู้คนเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้า แต่การกระทำของพวกเขากลับไม่อิงพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากลับพึ่งพาประเพณีและสิ่งที่บรรพชนของพวกเขาส่งต่อๆ กันมา พวกเขาเชื่อว่าแป้งห่อเกี๊ยวสามารถคุ้มครองชีวิตของคนคนหนึ่งได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง นั่นก็ไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า กลับอยู่ในมือของมนุษย์ พวกเขาเชื่อไปว่าการห่อเกี๊ยวจะทำให้คนที่กำลังจะจากไกลปลอดภัย และถ้าพวกเขาไม่ห่อเกี๊ยวนั้น คนคนนั้นก็จะไม่ปลอดภัย อาจจะตายที่ไหนสักแห่งระหว่างการเดินทางและไม่มีวันคืนกลับ ในความคิดและมุมมองของพวกเขา ชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นเหมือนไส้เกี๊ยว และมีค่าเช่นเดียวกับไส้เกี๊ยว ชีวิตของพวกเขาไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของคนคนนั้นได้ เฉพาะเมื่อใช้แป้งห่อเกี๊ยวเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถควบคุมโชคชะตาของคนคนหนึ่งได้ พวกเขาเป็นคนจำพวกใด? (ผู้ไม่เชื่อ) พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ มีผู้คนแบบนี้อยู่มากมายในคริสตจักร พวกเขาไม่ได้คิดว่านี่คือการเชื่อถือโชคลาง พวกเขามองว่านี่คือส่วนหนึ่งของความเคยชิน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาควรค้ำจุนสิ่งนี้ประหนึ่งสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาทำอย่างเปิดเผยและทำเหมือนว่าตนนั้นมีเหตุผลและมีหลักการในการทำเช่นนี้ เจ้าหยุดพวกเขาไม่ได้ กล่าวคือ ถ้าเจ้าขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจและกล่าวว่า “คนทำอาหารคือฉัน วันนี้มีคนกำลังจะจากไกล ถ้าฉันไม่ทำเกี๊ยวให้พวกเขา ถ้าพวกเขาเกิดตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ? จะไม่กลายเป็นความผิดของฉันหรือ?” พวกเขาเชื่อไปว่าประเพณีของบรรพชนนั้นพึ่งพาได้มากที่สุด กล่าวคือ “ถ้าคุณไม่ทำตามประเพณีและละเมิดข้อห้ามนี้ ชีวิตของคุณก็มีความเสี่ยง และคุณอาจจะตายด้วยเหตุนี้ก็ได้” นี่คือมุมมองของผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อความคิดและมุมมองเช่นนี้หยั่งรากลึกในหัวใจของผู้คน พวกเขายังจะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) เจ้ากล่าวว่าเจ้าติดตามพระเจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นความจริง แต่หลักฐานอยู่ที่ไหน? เจ้าใช้ปากกล่าวว่า “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตย และชะตาชีวิตของคนคนหนึ่งก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่พอมีคนกำลังจะจากไป เจ้ากลับรีบทำเกี๊ยวให้พวกเขา และต่อให้เจ้าไม่มีเวลาซื้อเนื้อใดๆ เจ้าก็ยังต้องทำเกี๊ยวใส่ไส้ผัก—เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำเกี๊ยว การกระทำเหล่านี้และพฤติกรรมเช่นนี้เป็นพยานให้พระเจ้าหรือไม่? ใช่การถวายพระสิริให้พระเจ้าหรือไม่? (ไม่ใช่) ชัดเจนว่าไม่ใช่ นี่คือการดูหมิ่นพระเจ้าและพระนามของพระองค์ การที่เจ้ายอมรับความจริงหรือไม่นั้นเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่เจ้ากล่าวอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่เจ้าก็ยังคงยึดถือประเพณีที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า พอเป็นเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้ากลับทำตามความคิดและความเคยชินที่บรรพชนปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าอย่างเคร่งครัด และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและความเคยชินเหล่านี้ได้ นี่คือท่าทีของคนที่ยอมรับความจริงกระนั้นหรือ? เรื่องนี้น่าอับอายสำหรับพระเจ้า นี่คือการทรยศพระเจ้า บรรพชนของเจ้าคือใคร? ประเพณีของพวกเขามาจากไหน? ประเพณีเหล่านี้เป็นตัวแทนของใคร? ใช่ตัวแทนของความจริงหรือไม่? ใช่ตัวแทนของสิ่งที่เป็นบวกหรือไม่? ใครสร้างประเพณีเหล่านี้ขึ้นมา? ใช่พระเจ้าหรือไม่? พระเจ้าประทานความจริงแก่ผู้คน ไม่ใช่เพื่อฟื้นฟูประเพณีขึ้นมา แต่เพื่อลบล้างประเพณีทั้งปวง แต่เจ้าไม่เพียงไม่ยอมทิ้งประเพณีเหล่านี้เท่านั้น เจ้ายังทำเหมือนสิ่งเหล่านี้คือความจริง คือสิ่งที่เป็นบวกให้เจ้าค้ำจุน นี่คือความอยากตายมิใช่หรือ? นี่คือการต่อต้านความจริงและพระเจ้าอย่างเปิดเผยมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือการคัดค้านและต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง บางคนอาจกล่าวว่า “แล้วถ้าฉันไม่ทำเกี๊ยวหรือบะหมี่ให้พี่น้องชายหญิง แต่ทำให้สมาชิกครอบครัวของฉันเองล่ะ? เวลาสมาชิกครอบครัวจากไป ฉันจะทำเกี๊ยวให้พวกเขา และพอพวกเขากลับมา ฉันก็จะปรุงบะหมี่ให้พวกเขา นั่นไม่เป็นไรใช่ไหม?” พวกเจ้าคิดว่านั่นไม่เป็นไรหรือเปล่า? ถ้าเจ้าพูดดังนี้ว่า “ถ้าฉันหลอกลวงใครสักคน ก็ย่อมจะไม่ใช่พี่น้องชายหญิงของฉัน แต่เป็นสมาชิกครอบครัวของฉันเอง นั่นไม่เป็นไรใช่ไหม?” นั่นจะไม่เป็นไรหรือไม่? (ย่อมเป็น) ไม่สำคัญว่าใครคือคนที่เจ้าทำให้ เรื่องสำคัญคือสิ่งที่เจ้าใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตและสิ่งที่เจ้าเผยออกมาเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง เรื่องสำคัญคือมุมมองที่เจ้าค้ำชู ส่วนเจ้าหลอกลวงใครบ้างนั้นไม่สำคัญ สำคัญตรงที่เจ้าทำอะไรลงไปบ้างและหลักธรรมของเจ้าเป็นเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่)
ช่วงเทศกาลตรุษจีนมีบางคนที่ใช้วันเวลาของตนไปกับการพลิกดูปฏิทินโหราศาสตร์ เริ่มวันหยุดตามประเพณีตั้งแต่วันที่ 30 ของเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ยึดปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามรูปแบบการใช้ชีวิตและข้อห้ามที่สืบทอดกันมาตามธรรมเนียมดั้งเดิมเหล่านี้ว่าพวกเขาควรกินอะไร สวมอะไร และงดทำสิ่งใดบ้างในแต่ละวัน ไม่ว่าจะห้ามพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงการพูดหรือทำสิ่งนั้นให้จงได้ และสิ่งใดที่กินหรือพูดแล้วโชคดี พวกเขาก็จะกินและพูดสิ่งนั้น ตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าในช่วงเทศกาลวันตรุษ พวกเขาต้องกินขนมเข่งเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งในปีที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าพวกเขาจะต้องจัดการเรื่องสำคัญอันใด จะยุ่งหรือเหนื่อยขนาดไหน การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจะมีรูปการณ์พิเศษเช่นใด หรือพวกเขาจะสามารถเจียดเวลาได้มากพอที่จะมาทำเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็จะต้องกินขนมเข่งให้ได้ เพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่งในปีที่กำลังจะมาถึง ถ้าพวกเขาไม่มีเวลาทำขนมเข่งที่บ้าน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะออกไปซื้อเข้ามาบ้างเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าตนจะมีโชคดี และบางคนก็ต้องกินปลาในช่วงเทศกาลวันตรุษ เพราะปลาคือสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ปีแล้วปีเล่า ถ้ามีสักปีหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้กินปลา พวกเขาก็เชื่อว่าตนจะเผชิญความยากไร้ในช่วงสิบสองเดือนข้างหน้า ถ้าพวกเขาไม่สามารถซื้อปลาได้ ก็อาจจะถึงกับวางปลาไม้ไว้บนโต๊ะอาหารซึ่งเป็นการทำไปในเชิงสัญลักษณ์ พวกเขากินขนมเข่งและปลาเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ทั้งการเลื่อนตำแหน่งและความอุดมสมบูรณ์ในปีที่กำลังจะมาถึง นัยหนึ่ง พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อทำให้ปีนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้น ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นและเจริญรุ่งเรืองขึ้น และอีกนัยหนึ่ง พวกเขาก็หวังที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตนหรือให้ธุรกิจของตนทำเงินได้มากๆ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเทศกาลวันตรุษก็แน่ใจได้ว่าพวกเขาย่อมใช้วลีที่ทำให้โชคดี ตัวอย่างเช่น พวกเขาหลีกเลี่ยงการพูดถึงเลขสี่และเลขห้า เพราะ “สี่” ฟังเหมือนคำว่า “ตาย” และ “ห้า” ก็พ้องเสียงกับคำว่า “ไม่มี” ในภาษาจีน แต่พวกเขากลับพอใจที่จะใช้เลขหกและแปดมากกว่า โดยคำว่า “หก” หมายถึงการทำอะไรราบรื่น และ “แปด” หมายถึงการมีโชคลาภ พวกเขาไม่เพียงใช้คำและวลีที่เป็นมงคลเท่านั้น แต่ยังให้ซองแดงแก่ลูกจ้าง สมาชิกครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ อีกด้วย การให้ซองแดงเป็นสัญลักษณ์ของการมีโชคลาภ และยิ่งพวกเขาให้ซองแดงมาก ก็ยิ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาจะเจริญรุ่งเรือง ไม่เพียงให้ซองแดงแก่ผู้คนเท่านั้น แต่พวกเขายังมอบให้สัตว์เลี้ยงของตนอีกด้วย เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาจะสามารถได้โชคลาภจากใครก็ได้ และปีข้างหน้าก็จะเต็มไปด้วยธุรกิจที่เฟื่องฟูและโชคลาภมหาศาล ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สิ่งที่พวกเขากินไปจนถึงสิ่งที่พวกเขาทำ ตั้งแต่สิ่งที่พวกเขาพูดไปจนถึงวิธีการลงมือทำ ล้วนเป็นเรื่องของการสานต่อความเคยชินและคำกล่าวที่สืบทอดกันมาตามประเพณีทั้งสิ้น และพวกเขาก็อุตสาหะปฏิบัติให้เที่ยงตรงตามนั้น ต่อให้สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาหรือชุมชนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไป ธรรมเนียมและรูปแบบการใช้ชีวิตดั้งเดิมเหล่านี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะประเพณีเหล่านี้มีความหมายบางอย่างอยู่ในตัว ครอบคลุมทั้งคำกล่าวที่เป็นบวกและข้อห้ามที่บรรพชนของผู้คนส่งต่อกันมา พวกเขาจึงต้องสานต่อ ถ้ามีการฝ่าฝืนประเพณีเหล่านี้หรือละเมิดข้อห้าม เช่นนั้นแล้วปีที่กำลังจะมาถึงก็อาจจะไม่ดำเนินไปในทางที่ดี พาให้เกิดอุปสรรคไปทุกที่ ธุรกิจถดถอย หรือล้มละลาย เพราะเหตุนั้น การค้ำจุนประเพณีเหล่านี้จึงสำคัญมาก มีประเพณีที่ต้องปฏิบัติตามในช่วงเทศกาลต่างๆ และมีประเพณีที่ต้องทำตามในชีวิตประจำวันของคนเราด้วย ยกตัวอย่างการตัดผม—ถ้าคนเราตรวจดูปฏิทินและเห็นว่าวันนี้ไม่ใช่วันมงคลที่จะตัดผมหรือออกจากบ้าน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่กล้าออกไปข้างนอก อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาไม่ได้ตรวจดูปฏิทินและออกไปตัดผมเลย เช่นนั้นแล้วก็จะละเมิดทั้งข้อห้ามออกจากบ้านและตัดผม และพวกเขาก็อาจจะพบเจอผลที่นึกไม่ถึงตามมา—ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นทั้งประเพณีและการเชื่อถือโชคลาง ถ้าใครบางคนจำเป็นต้องออกไปข้างนอก แต่พวกเขาตรวจดูปฏิทินและเห็นว่าวันนี้ไม่เป็นมงคลที่จะทำอะไรเลย หมายความว่านี่คือวันหยุดพัก ทำตัวตามสบาย ผ่อนคลาย และหลีกเลี่ยงการทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้บอกพวกเขาว่าวันนี้พวกเขาต้องออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐข้างนอก พวกเขาก็อาจจะวิตกกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนถ้าพวกเขาละเมิดข้อห้ามและมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับพวกเขา เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์หรือถูกจี้ปล้น พวกเขาก็จะไม่กล้าออกไป และกล่าวว่า “ไปกันพรุ่งนี้เถิด! พวกเราจะไม่สนใจสิ่งที่บรรพชนบอกไว้ไม่ได้ พวกเขาบอกว่าพวกเราต้องตรวจดูปฏิทินก่อนออกไปข้างนอกเสมอ ถ้าปฏิทินบอกว่าทุกอย่างทำแล้วไม่เป็นมงคล เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ควรออกไป ถ้าคุณออกไปแล้วเกิดอะไรขึ้น คุณก็ต้องรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง ใครบอกคุณว่าไม่ให้ดูและทำตามที่ปฏิทินบอก?” นี่เกี่ยวข้องกับทั้งประเพณีและการเชื่อถือโชคลางมิใช่หรือ? (ใช่)
บางคนกล่าวว่า “ปีนี้ฉันอายุครบ 24 นี่คือปีนักษัตรของฉัน” คนอื่นก็บอกว่า “ปีนี้ฉันอายุ 36 นี่เป็นปีนักษัตรของฉัน” เจ้าต้องทำอะไรบ้างในปีนักษัตรของเจ้า? (สวมชุดชั้นในสีแดงและคาดเข็มขัดสีแดง) ใครเคยสวมชุดชั้นในสีแดงมาก่อนบ้าง? ใครเคยคาดเข็มขัดแดงบ้าง? สวมชุดชั้นในสีแดงและคาดเข็มขัดสีแดงแล้วรู้สึกอย่างไร? เจ้ารู้สึกว่าปีของเจ้าผ่านไปด้วยดีหรือไม่? ช่วยปัดเป่าโชคร้ายบ้างหรือไม่? (เมื่อถึงปีนักษัตรของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สวมถุงเท้าสีแดง แต่ปีนั้นผลการสอบของข้าพระองค์กลับแย่เป็นพิเศษ การสวมสีแดงจึงไม่ได้ทำให้โชคดีอย่างที่ผู้คนพูดกัน) การสวมใส่สีแดงทำให้เจ้าโชคไม่ดีมิใช่หรือ? เจ้าอาจจะทำได้ดีกว่าก็เป็นได้ถ้าไม่สวมใส่สีแดงใช่หรือไม่? (การที่ข้าพระองค์สวมใส่สีแดงหรือไม่นั้นไม่มีผลแต่อย่างใด) นั่นคือทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องนี้—มันไม่มีผลอะไร นี่เป็นทั้งประเพณีและการเชื่อถือโชคลาง ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะยอมรับแนวคิดเรื่องปีนักษัตรนี้หรืออยากสานต่อประเพณีนี้หรือไม่ก็ตาม ความคิดและคำกล่าวดั้งเดิมที่เชื่อมโยงกับเรื่องนี้ก็ทิ้งรอยประทับอย่างหนึ่งเอาไว้ในจิตใจของผู้คน ตัวอย่างเช่น เมื่อถึงรอบปีนักษัตรของเจ้า ถ้าเจ้าพบเจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือรูปการณ์ที่พิเศษซึ่งทำให้ปีนั้นๆ ของเจ้าดำเนินไปอย่างขลุกขลักและตรงข้ามกับสิ่งที่เจ้าปรารถนา เจ้าย่อมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “ปีนี้ทุลักทุเลจริงๆ มานึกดู นี่เป็นปีนักษัตรของฉัน และผู้คนก็บอกว่าในปีนักษัตรของเคนเรา จำเป็นต้องระมัดระวังเพราะจะละเมิดข้อห้ามได้ง่ายขึ้น ตามประเพณีแล้ว ฉันควรสวมใส่สีแดง แต่เพราะฉันเชื่อในพระเจ้าก็เลยไม่ได้ทำอย่างนั้น ฉันไม่เชื่อในคำกล่าวเหล่านั้น แต่พอนึกถึงเรื่องท้าทายที่ฉันพบเจอในปีนี้ สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยความราบรื่นเลย ฉันจะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร? บางทีปีหน้าอาจจะดีขึ้นก็ได้” โดยที่ไม่รู้ตัว เจ้าจะโยงเหตุการณ์ที่ดีเป็นพิเศษและเหตุการณ์ที่ไม่ดีซึ่งเจ้าพบเจอในปีนั้นๆ เข้ากับคำกล่าวดั้งเดิมเรื่องปีนักษัตรที่บรรพชนและครอบครัวของเจ้าสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวเจ้า เจ้าจะใช้คำกล่าวเหล่านี้มาตีตรารับรองเหตุการณ์ที่ดีเป็นพิเศษซึ่งเจ้าพบเจอในปีนี้ และเมื่อทำเช่นนั้น เจ้าก็ละเลยข้อเท็จจริงและแก่นแท้เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านั้น เจ้ายังละเลยท่าทีที่เจ้าควรมีต่อสถานการณ์เหล่านี้และบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้จากสถานการณ์ดังกล่าวอีกด้วย เจ้าจะคิดไปตามสัญชาตญาณว่าปีนี้เป็นปีที่พิเศษ เชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปีนี้เข้ากับปีนักษัตรของเจ้าโดยไม่รู้ตัว เจ้าจะรู้สึกว่า “ปีนี้นำโชคร้ายบางอย่างมาให้ฉัน หรือปีนี้นำพรบางอย่างมาให้ฉัน” แน่นอนว่าแนวคิดเหล่านี้ยึดโยงอยู่กับการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวของเจ้า ไม่ว่าแนวคิดเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม มันเกี่ยวข้องกับปีนักษัตรของเจ้าหรือไม่? (ไม่) ไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้น ทัศนะและมุมมองของเจ้าในเรื่องเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? เพราะเจ้าได้รับอิทธิพลบางอย่างจากความคิดดั้งเดิมที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) ความคิดดั้งเดิมเหล่านี้กลายเป็นสิ่งสำคัญและยึดครองความรู้สึกนึกคิดของเจ้า และแล้วเมื่อเผชิญเรื่องราวเหล่านี้ ปฏิกิริยาเฉพาะหน้าของเจ้าก็คือการมองเรื่องราวจากทัศนะที่เป็นความคิดและมุมมองดั้งเดิมเหล่านี้ พลางละเลยทัศนะที่พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้ามี หรือความคิดและมุมมองที่เจ้าควรมี ผลของการที่เจ้ามองเรื่องราวเหล่านี้เช่นนี้ย่อมจะเป็นอย่างไรในท้ายที่สุด? เจ้าจะรู้สึกว่าปีนี้ไม่ดี เป็นปีที่โชคร้ายและตรงข้ามกับสิ่งที่เจ้าปรารถนา แล้วเจ้าก็จะใช้ความหดหู่และการคิดลบเป็นช่องทางหลบหลีก ต่อต้าน ขัดขืน และปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น สาเหตุที่เจ้าเกิดภาวะอารมณ์ ความคิด และมุมมองเหล่านี้ขึ้นมา มีความเชื่อมโยงกับความคิดดั้งเดิมที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้าหรือไม่? (มี) ในเรื่องแบบนี้ ผู้คนควรปล่อยมือจากสิ่งใด? พวกเขาควรปล่อยมือจากทัศนะและจุดยืนที่พวกเขาใช้ประเมินเรื่องเหล่านี้ พวกเขาไม่ควรมองเรื่องเหล่านี้ตามทัศนะที่ว่าพวกเขาพบเจอสถานการณ์เหล่านี้เพราะปีนี้เคราะห์ร้าย ไม่เป็นคุณ ตรงข้ามกับความปรารถนาของตน หรือเพราะพวกเขาละเมิดข้อห้ามบางประการหรือไม่ได้ปฏิบัติตามประเพณี แต่เจ้าควรเริ่มจัดการเรื่องเหล่านี้ไปทีละอย่าง และอันดับแรกเลย ก็ควรมองเรื่องเหล่านี้จากทัศนะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเสียก่อน จงกล่าวว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าหรือตรงข้ามก็ตาม เป็นผลดีหรือนำโชคไม่ดีมาให้ในสายตาของมนุษย์ก็ตาม ล้วนจัดเตรียมโดยพระเจ้า อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และมาจากพระเจ้า การใช้ทัศนะและจุดยืนเช่นนี้ในเรื่องเหล่านี้มีข้อได้เปรียบหรือไม่? (มี) ข้อได้เปรียบประการแรกคืออะไร? เจ้าสามารถน้อมรับเรื่องเหล่านี้จากพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้าสามารถใช้ความรู้สึกนึกคิดที่นบนอบได้บ้าง ข้อได้เปรียบประการที่สองคือเจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนและได้บางสิ่งจากเรื่องที่น่าผิดหวังเหล่านี้ ข้อได้เปรียบประการที่สามก็คือจากเรื่องราวที่น่าผิดหวังนี้ เจ้าสามารถตระหนักรู้ข้อบกพร่องของตนและสิ่งที่ตนเองยังขาดอยู่ รวมทั้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าด้วย ข้อได้เปรียบประการที่สี่ก็คือว่าในเรื่องที่น่าผิดหวังเหล่านี้ เจ้าสามารถกลับใจและกลับตัว ปล่อยมือจากความคิดและมุมมองที่เคยมี จากวิถีชีวิตก่อนหน้านี้ ความเข้าใจผิดต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า และหวนคืนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า น้อมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ด้วยท่าทีที่นบนอบ ต่อให้การจัดวางเรียบเรียงเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการตีสอนและการพิพากษาจากพระเจ้า การสั่งสอนและบ่มวินัยเจ้า หรือการลงโทษจากพระองค์ เจ้าก็จะเต็มใจนบนอบทุกสิ่งและไม่โทษฟ้าสวรรค์และผู้อื่น ไม่โยงทุกสิ่งกลับมาที่มุมมองและจุดยืนที่ถูกความคิดดั้งเดิมปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า แต่กลับมองแต่ละเรื่องจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในหลายๆ ทาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์มิใช่หรือ? (ใช่) อีกด้านหนึ่ง ถ้าเจ้ามองเรื่องเหล่านี้ตามความคิดดั้งเดิมที่ครอบครัวปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า เจ้าก็จะพยายามทำทุกทางที่เป็นไปได้เพื่อหลบหลีกเรื่องเหล่านี้ การหลบหลีกหมายถึงอะไร? หมายถึงการค้นหาหนทางต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายเหล่านี้ เลี่ยงเรื่องราวที่น่าผิดหวัง ไม่เป็นคุณ และนำโชคไม่ดีมาให้ บางคนกล่าวว่า “นี่เพราะมีปีศาจตัวเล็กตัวน้อยมาก่อกวนคุณ ถ้าคุณสวมเสื้อผ้าสีแดง คุณก็จะสามารถหลีกเลี่ยงพวกมันได้ การสวมเสื้อผ้าสีแดงก็เหมือนเวลาที่คุณได้รับเครื่องรางในศาสนาพุทธ เครื่องรางก็คือแผ่นกระดาษสีเหลืองที่เขียนตัวหนังสือสีแดงเอาไว้สองสามตัว คุณจะแปะเอาไว้ที่หน้าผากก็ได้ เย็บเอาไว้ในเสื้อผ้า หรือวางไว้ใต้หมอนก็ได้ และเครื่องรางก็จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้” เมื่อผู้คนไม่มีเส้นทางปฏิบัติที่เป็นบวก ทางเดียวที่พวกเขาจะทำก็คือแสวงหาความช่วยเหลือจากเส้นทางที่ชั่วและคดเคี้ยวเหล่านี้ เพราะไม่มีใครอยากโชคไม่ดีหรือพบเจอเคราะห์ร้าย ทุกคนอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น นี่คือปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเมื่อเผชิญเรื่องราวทางโลก เจ้าอยากหลบหลีกเรื่องเหล่านี้หรือใช้ลู่ทางต่างๆ ของมนุษย์มาแก้ไขเรื่องเหล่านี้เพราะเจ้าไม่มีเส้นทางแก้ไขที่ถูกต้อง รวมทั้งความคิดและมุมมองที่ถูกต้องไว้เผชิญเรื่องเหล่านี้ เจ้าได้แต่มองสิ่งเหล่านี้ตามมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อ ดังนั้นปฏิกิริยาอย่างแรกของเจ้าจึงเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่อยากพบเจอสิ่งเหล่านี้ เจ้ากล่าวว่า “ทำไมสิ่งต่างๆ ถึงไม่เป็นผลดีกับฉันอย่างนี้? ทำไมฉันถึงโชคไม่ดีอย่างนี้? ทำไมฉันถึงเผชิญการถูกตัดแต่งทุกวัน? ทำไมฉันถึงอับจนหนทางและผิดพลาดในทุกเรื่องที่ฉันทำ? ทำไมการกระทำของฉันถึงถูกเปิดโปงอยู่เสมอ? ทำไมผู้คนรอบตัวฉันถึงคัดค้านความต้องการของฉันอยู่เรื่อย? พวกเขาเพ่งเล็งฉัน ดูแคลนฉัน และขัดใจฉันไปทุกเรื่องเพื่ออะไร?” ดังที่มีบางคนกล่าวว่า “เมื่อคุณโชคไม่ดี แม้น้ำเย็นก็ติดฟันได้” น้ำเย็นติดฟันได้หรือไม่? เจ้าใช้ฟันเคี้ยวน้ำเย็นกระนั้นหรือ? นี่ไร้สาระมิใช่หรือ? นี่คือการโทษฟ้าสวรรค์และผู้อื่นมิใช่หรือ? (ใช่) การที่คนเราโชคไม่ดีหมายความว่าอย่างไร? อะไรแบบนั้นมีอยู่จริงหรือไม่? (ไม่) สิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ถ้าเจ้าตระหนักรู้โดยแท้ว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกสิ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ใช้คำอย่าง “โชคไม่ดี” และจะไม่พยายามหลบหลีกเรื่องราว เมื่อผู้คนเผชิญเรื่องที่สวนทางกับความปรารถนาของตน ปฏิกิริยาอย่างแรกของพวกเขาก็คือการหลบหลีกเรื่องเหล่านี้ จากนั้นก็ปฏิเสธ ถ้าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธ หลบหลีก หรือซ่อนตัวจากเรื่องเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะเริ่มต้านทาน การต้านทานไม่ใช่เพียงจดจ่ออยู่กับความคิดของตนหรือคิดทบทวนอยู่ในใจเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับการลงมือด้วย ในที่ลับตาคนนั้น ผู้คนทำเรื่องยักย้ายถ่ายเทที่จุกจิก เอ่ยถ้อยแถลงที่ยั่วยุ สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง พาตัวให้รอด เชิดชูตนเอง หรือเสริมแต่งให้ตัวเองดูดี เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบหรือเลี่ยงการถูกลากเข้าไปในเหตุการณ์ที่ไม่ดี เมื่อคนคนหนึ่งเริ่มต้านทาน เรื่องก็อาจกลายเป็นภัยต่อพวกเขาได้มิใช่หรือ? (ใช่) จงบอกเราเถิด เมื่อคนคนหนึ่งไปถึงจุดที่พวกเขาเริ่มต้านทาน มโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะยังคงทำงานในตัวพวกเขาหรือไม่? พวกเขาขยับจากความคิดและมุมมองไปสู่การลงมือทำจริงแล้ว เหตุผลและมโนธรรมย่อมจะไม่สามารถยับยั้งพวกเขาไว้ได้อีกต่อไป นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าการกระทำและความคิดของคนคนหนึ่งได้พัฒนาไปสู่ความเป็นจริงของการต้านทานพระเจ้าแล้ว ไม่ได้เป็นเพียงการปฏิเสธ ไม่ยินยอมพร้อมใจ หรือรู้สึกว่าไม่มีความสุขอยู่ในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น พวกเขากำลังใช้การลงมือทำจริงมาต้านทาน เมื่อมีการต้านทานด้วยการลงมือทำจริง โดยพื้นฐานแล้วคนคนนี้ย่อมจบสิ้นแล้วมิใช่หรือ? เมื่อความเป็นจริงของการกบฏต่อพระเจ้า ต้านทานพระเจ้า และต่อต้านพระองค์กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ก็ไม่ใช่ปัญหาของเส้นทางที่ผู้คนเดินอยู่อีกต่อไป—นี่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ไปแล้ว นี่อันตรายมากมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้น แม้แต่แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิม ความคิดดั้งเดิม หรือคำกล่าวทางด้านโชคลางที่ไม่สำคัญอะไรก็อาจก่อให้เกิดผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงยิ่ง นี่ไม่ได้เป็นเพียงความเคยชินธรรมดาในด้านรูปแบบการใช้ชีวิต ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องว่าจะกินอะไร สวมอะไร พูดหรือไม่พูดอะไรเท่านั้น นี่สามารถไปไกลถึงเรื่องที่ว่าคนคนหนึ่งใช้ท่าทีแบบใดเวลาเผชิญสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ให้ เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงควรปล่อยมือจากเรื่องเหล่านี้
นอกจากค้ำชูวิถีชีวิต ความคิด และมุมมองดั้งเดิมบางอย่างในช่วงเทศกาลใหญ่ๆ แล้ว ผู้คนยังค้ำชูสิ่งเหล่านี้ในช่วงเทศกาลเล็กๆ บางเทศกาลอีกด้วย ตัวอย่างเช่น พวกเขากินบัวลอยในวันที่ 15 ของเทศกาลปีใหม่ทางจันทรคติ เหตุใดผู้คนจึงกินบัวลอย? (เพราะเป็นสัญลักษณ์ว่าครอบครัวจะกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง) ครอบครัวจะกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง พวกเจ้าเคยกินบัวลอยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหรือไม่? (ข้าพระองค์เคยกินที่บ้าน ไม่เคยกินที่คริสตจักร) การกลับมาอยู่พร้อมหน้าครอบครัวของตนใช่เรื่องดีหรือไม่? (ไม่ใช่) ในครอบครัวของเจ้ามีคนดีบ้างหรือไม่? พวกเขาขอเงินจากเจ้าหรือไม่ก็ขอให้เจ้าใช้หนี้ให้ ถ้าเจ้ามีชื่อเสียงและผลกำไร พวกเขาย่อมประจบประแจงเจ้าและขอส่วนแบ่ง และถ้าเจ้าไม่ให้ พวกเขาก็จะดูแคลนเจ้า มีการกินบัวลอยในวันที่ 15 ของเทศกาลปีใหม่ทางจันทรคติ รวมทั้งธรรมเนียมอื่นๆ ในวันต่างๆ เช่น วันที่สองเดือนสองทางจันทรคติ วันที่สามเดือนสาม วันที่สี่เดือนสี่ วันที่ห้าเดือนห้า… มีสิ่งต่างๆ มากมายและมีอาหารสารพัดอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับวันเหล่านี้ สิ่งที่โลกของผู้ไม่มีความเชื่อและปีศาจทำกันนี้น่าหัวร่อทั้งสิ้น ถ้าเจ้าอยากฉลองในช่วงเทศกาลหนึ่งๆ และสุขสำราญกับอาหารดีๆ บางอย่าง เช่นนั้นแล้วก็พูดออกมาก็พอว่าเจ้ากำลังจะสุขสำราญกับอาหารดีๆ บางอย่าง เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น ตราบใดที่ภาวะความเป็นอยู่ของเจ้าเปิดทางให้ เจ้าก็สามารถกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ พอได้แล้วกับเล่ห์กลทั้งหมดนี้ เช่น การกินขนมเข่งเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่งปีแล้วปีเล่า กินปลาเพื่อให้อุดมสมบูรณ์ หรือกินบัวลอยเพื่อให้ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน คนจีนยังทำบ๊ะจ่างอีกด้วย แต่เพื่ออะไร? ทุกปีในช่วงเทศกาลต่างๆ มีผู้อุทิศตนบางคนในคริสตจักรซื้อสิ่งของหลากหลายที่เกี่ยวเนื่องกับแต่ละเทศกาล เช่น บ๊ะจ่าง เราเคยถามพวกเขาบางคนว่า “เจ้ากินบ๊ะจ่างไปทำไม?” พวกเขาก็ตอบว่า “เพราะเป็นเทศกาลเรือมังกรในวันที่ห้าเดือนห้าทางจันทรคติ” บ๊ะจ่างนี้อร่อยทีเดียว แต่เราไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีเทศกาลที่เกี่ยวพันกับบ๊ะจ่าง หรือบ๊ะจ่างเชื่อมโยงกับชีวิตและโชคลาภของผู้คนได้อย่างไร เราไม่เคยวิจัยหรือทำแบบสอบถามในเรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงไม่รู้ ว่ากันว่านี่คือการรำลึกถึงใครสักคน แต่เหตุใดพวกเราจึงควรกินสิ่งเหล่านี้เพื่อรำลึกถึงเขา? ควรจะมอบบ๊ะจ่างแก่คนคนนั้น ใครก็ตามที่พยายามรำลึกถึงเขา ควรวางบ๊ะจ่างไว้หน้าหลุมศพหรือรูปภาพของเขา ไม่ควรให้บ๊ะจ่างแก่คนเป็น กล่าวคือ นี่ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีชีวิตอยู่ คนที่มีชีวิตกลับกินบ๊ะจ่างแทนคนคนนั้น—ช่างไร้สาระ สิ่งที่คนเรารู้เกี่ยวกับเทศกาลเหล่านี้ รวมทั้งสิ่งที่กินในช่วงเทศกาลเหล่านี้ล้วนมาจากผู้ไม่มีความเชื่อ กล่าวคือ เราไม่รู้รายละเอียดจำเพาะ และรายละเอียดบางอย่างก็ส่งต่อกันมาในภายหลังผ่านทางผู้คนในคริสตจักร—ว่ามีการกินบ๊ะจ่างในช่วงเทศกาลเรือมังกรและกินขนมเข่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ทางจันทรคติ ในโลกตะวันตก ผู้คนกินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า เหตุใดพวกเขาจึงกินไก่งวง? ถ้าว่ากันตามรายงานข่าว พวกเขากินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้าก็เพื่อขอบคุณ—นี่คือประเพณีอย่างหนึ่ง ยังมีวันหยุดเทศกาลอีกอย่างในโลกตะวันตกเรียกว่าคริสต์มาส ซึ่งผู้คนก็ตั้งต้นคริสตมาสและสวมเสื้อผ้าใหม่ๆ—นี่ก็เป็นประเพณีเช่นกัน ในช่วงเทศกาลนี้ ชาวตะวันตกก็ต้องพูดจาเพราะๆ มอบความปรารถนาดี และอวยพรกันด้วย พวกเขาไม่อาจพูดจาไม่ดีหรือกล่าวคำสบถได้ ทั้งหมดนี้เทียบเท่าคำกล่าวที่เป็นมงคลในวัฒนธรรมตะวันออก และมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนละเมิดข้อห้าม มิฉะนั้นปีที่กำลังจะมาถึงจะเป็นปีที่ไม่ดี วันหยุดเทศกาลของชาวตะวันตก เช่น วันขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาสนี้ เกี่ยวข้องกับการกินอาหารพิเศษอันโอชะ และมีการแต่งเรื่องเล่าเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การกินอาหารเหล่านี้ ท้ายที่สุดเราย่อมสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ผู้คนมองหาข้ออ้างที่จะหลงมัวเมาอยู่กับอาหารอันโอชะเหล่านี้ เปิดโอกาสให้ตัวเองเกิดความชอบธรรมที่จะหยุดพักสักสองสามวันเพื่อกินเลี้ยงที่บ้าน กินจนพุงกาง เมื่อถึงเวลาบริจาคเลือด พยาบาลย่อมกล่าวว่า “ระดับไขมันในเลือดของคุณสูงเกินไป ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและทำให้คุณไม่เหมาะที่จะบริจาค” นี่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณมากเกินไป จุดประสงค์เบื้องต้นของการฉลองวันหยุดเทศกาลตามประเพณีเหล่านี้ก็คือการสุขสำราญกับอาหารและเครื่องดื่มดีๆ เรื่องนี้ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จากผู้เฒ่าสู่ผู้เยาว์ และกลายเป็นประเพณี ส่วนความคิดและมุมมองที่แฝงอยู่ซึ่งประเพณีเหล่านี้ปลูกฝังเอาไว้ให้ รวมทั้งคำกล่าวบางอย่างทางด้านโชคลาง ก็มีการสืบทอดจากผู้อาวุโสสู่คนรุ่นหลังเช่นกัน
มีคำกล่าวอื่นๆ ทางด้านโชคลางว่าอย่างไรอีกบ้าง? เรื่องตากระตุกที่เราเพิ่งเอ่ยไปนั้นเกิดขึ้นบ่อยหรือไม่? (บ่อย) เจ้ากล่าวว่า “ตาของฉันกระตุกอยู่เรื่อย” บางคนจึงถามว่า “ข้างไหนกระตุก?” เจ้าก็ตอบว่า “ข้างซ้าย” พวกเขาจึงกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกความวิบัติ” นี่ใช่เรื่องจริงหรือไม่? เจ้าเคยร่ำรวยเวลาตาซ้ายกระตุกหรือไม่? เคยได้เงินหรือไม่? (ไม่เคย) เมื่อเป็นเช่นนั้น เคยเกิดความวิบัติกับเจ้าเวลาตาขวากระตุกบ้างหรือไม่? (ไม่เคยเช่นกัน) เคยมีสถานการณ์ที่เกิดความวิบัติ เกิดเรื่องไม่ดีเวลาตาซ้ายของเจ้ากระตุก หรือมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นเวลาตาขวากระตุกหรือไม่? พวกเจ้าเชื่อในเรื่องเหล่านี้หรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? เหตุใดตาของเจ้าจึงกระตุก? มียาแก้ในวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ทำให้ตาเลิกกระตุกหรือไม่? มีวิธีการใดหรือไม่? (ข้าพระองค์เคยเห็นบางคนแปะกระดาษขาวชิ้นหนึ่งไว้ที่เปลือกตา) พวกเขาหากระดาษขาวแผ่นหนึ่งมาแปะ ไม่ว่าจะเป็นตาข้างไหนกระตุก พวกเขาก็ฉีกกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากปฏิทินหรือสมุดบันทึกเล่มเล็กมาแปะไว้ที่เปลือกตา—นอกจากสีขาวแล้วไม่อาจเป็นสีอื่นได้ กระดาษสีขาวมีความหมายว่าอย่างไร? หมายความว่าการกระตุกนั้น “เป็นโมฆะ” บ่งชี้ว่าไม่อนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น วิธีนี้ปราดเปรื่องกระนั้นหรือ? เป็นวิธีที่ฉลาดมากใช่หรือไม่? แต่นี่หมายความว่าอาการกระตุกนี้ “เป็นโมฆะ” หรือเปล่า? (นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่คนเราแปะกระดาษไว้ที่เปลือกตาหรือไม่แปะ) พวกเจ้าชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้หรือไม่? “ตาซ้ายกระตุกบ่งบอกโชคลาภ แต่ตาขวากระตุกเป็นลางบอกความวิบัติ”—ไม่ว่าจะหมายถึงโชคลาภหรือความวิบัติก็ตาม มีคำอธิบายอาการตากระตุกหรือไม่? มีสถานการณ์ที่พอตาขวากระตุก เจ้าก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าเกิดลางสังหรณ์ แล้วผ่านไปสักพักตาก็เลิกกระตุก แล้วเจ้าก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท และแล้วผ่านไปอีกหลายวันก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น และพอจัดการเรื่องนี้เสร็จ จู่ๆ เจ้าก็นึกขึ้นมาได้พลางคิดไปว่า “ว้าว คำกล่าวเรื่องตากระตุกนี้แม่นยำ เพราะอะไร? เพราะสองสามวันก่อน ตาขวาของฉันเริ่มกระตุกจริงๆ แล้วพอเลิกกระตุก ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา หลังจากที่เกิดไปแล้ว ตาของฉันก็ไม่เคยกระตุกอีกเลย” เคยเกิดเรื่องเช่นนี้หรือไม่? เวลาที่เจ้าไม่อาจเข้าใจเรื่องบางอย่างได้ เจ้าก็ไม่กล้าพูดอะไร เจ้าทั้งไม่กล้าปฏิเสธและไม่กล้ายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ได้ เจ้าไม่สามารถสื่อสารเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าก็ยังคงคิดไปว่ามันอาจจะจริงก็ได้ เจ้าพูดด้วยปากของเจ้าเองว่า “นั่นเป็นการเชื่อถือโชคลาง ฉันเชื่อเรื่องนั้นไม่ลงหรอก ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” เจ้าไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นจริงไปแล้ว มันแม่นยำมากจริงๆ แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร? เจ้าไม่เข้าใจความจริงและแก่นแท้ในที่นี้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน เจ้าปฏิเสธอยู่กับปาก เรียกมันว่าการเชื่อถือโชคลาง แต่ลึกลงไป เจ้ายังคงกลัวมันเพราะบางครั้งเรื่องนี้ก็กลายเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ ตัวอย่างเช่น บางคนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิต ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ภรรยาของคนคนนั้นมีอาการตาขวากระตุกอย่างหนัก กล่าวคือ กระตุกติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน—อาการกระตุกนี้เป็นหนักขนาดไหน? ขนาดที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้ว่าตาของเธอกระตุก ผ่านไปไม่กี่วัน สามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิต หลังจากจัดงานศพแล้ว เธอก็นั่งลงและค่อยๆ เริ่มคิดว่า “จะว่าไป ช่วงไม่กี่วันนั้นที่ตาของฉันกระตุกหนักมากจนถึงขนาดเอามือกดไม่อยู่ ฉันไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นจริงแบบนี้” ภายหลังเธอจึงเริ่มเชื่อคำกล่าวนี้ คิดไปว่า “แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เวลาที่ตาของฉันกระตุก ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ก็ไม่แคล้วเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น นี่ก็คือการรู้เหตุล่วงหน้าหรือลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง” เคยเกิดเรื่องอย่างนี้หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เชื่อในเรื่องแบบนี้ นี่คือการเชื่อถือโชคลาง” แต่มันก็เกิดขึ้นในเวลาที่ประจวบเหมาะกันพอดี และแม่นยำตามนั้นจริงๆ สิ่งที่มีการเอ่ยไว้ในวัฒนธรรมพื้นบ้านไม่ใช่เรื่องเล่าลือที่ไม่มีมูล การเชื่อถือโชคลางจึงแตกต่างจากประเพณี ในชีวิตของผู้คนมีการเชื่อถือโชคลางอยู่ระดับหนึ่ง มันครอบงำและควบคุมสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาอีกด้วย บางคนกล่าวว่า “จะว่าไป นี่คือเครื่องหมายจากพระเจ้า ไม่ใช่การเชื่อถือโชคลางมิใช่หรือ? เมื่อไม่ใช่การเชื่อถือโชคลาง พวกเราก็ควรทำความเข้าใจและปฏิบัติต่อเครื่องหมายนี้อย่างถูกควร นี่ไม่ได้มาจากซาตาน อาจเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าก็เป็นได้—เป็นการบอกใบ้จากพระเจ้า พวกเราไม่ควรกล่าวโทษสิ่งนี้” พวกเราควรมองเรื่องนี้อย่างไรจึงจะถูกต้อง? นี่ทดสอบความสามารถของเจ้าในการมองสิ่งทั้งหลายและความเข้าใจที่เจ้ามีต่อความจริง ถ้าเจ้าปฏิบัติต่อทุกสิ่งเหมือนกันหมด เชื่อไปว่า “เป็นการเชื่อถือโชคลางทั้งสิ้น เรื่องเช่นนี้ไม่มีอยู่จริงและฉันก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้แต่อย่างใด” นี่ใช่วิธีมองสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องหรือไม่? ยกตัวอย่างเวลาผู้ไม่มีความเชื่ออยากย้ายบ้าน พวกเขาก็ดูปฏิทินโหราศาสตร์ที่ระบุว่า “วันนี้ไม่ใช่วันมงคลสำหรับการย้ายบ้าน” ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามข้อห้ามนี้และไม่กล้าย้ายในวันนั้น และก่อนที่จะย้ายบ้าน พวกเขาก็ตรวจหาวันที่บอกว่า “เป็นวันมงคลสำหรับการย้ายบ้าน” หรือ “เป็นมงคลสำหรับทุกเรื่อง” หลังจากย้ายแล้วก็ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และไม่ส่งผลต่อโชคลาภของพวกเขาในอนาคต มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่? บางคนมองเห็นคำว่า “ไม่ใช่วันมงคลสำหรับการย้ายบ้าน” แต่ก็ไม่เชื่อ พวกเขาย้ายบ้านอยู่ดี ผลก็คือหลังจากย้ายแล้วเกิดความผิดปกติคือ มีเรื่องเคราะห์ร้ายในครอบครัว โชคลาภเสื่อม บางคนในครอบครัวเสียชีวิต และอีกคนก็ป่วย ทุกสิ่งตั้งแต่การเพาะปลูก งานการ และการทำธุรกิจ ไปจนถึงการเล่าเรียนของลูกๆ กลายเป็นความยุ่งยาก พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงปรึกษาหมอดูซึ่งก็บอกว่า “คุณฝ่าฝืนข้อห้ามในช่วงนั้น วันที่คุณย้ายเข้ามานั้นไม่เป็นมงคลสำหรับการย้ายบ้าน และพอทำอย่างนั้น คุณก็เลยล่วงเกินไท่ซุ่ย”[ก] เกิดอะไรขึ้นในที่นี้? เจ้ารู้หรือไม่? ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจตรงนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะไม่รู้ว่าจะจัดการสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรเมื่อเกิดเหตุขึ้น ถ้าผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า “ฉันบอกคุณเลยว่าฉันย้ายบ้านในวันที่ไม่เป็นมงคลสำหรับการย้าย แล้วพอย้ายเสร็จ ครอบครัวของฉันก็พบเจอปัญหาอยู่เรื่อยวันแล้ววันเล่า โชคร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็ไม่เคยมีวันที่ดีเลยสักวัน” หัวใจของเจ้าอาจสะดุดเมื่อได้ฟังเช่นนี้ เจ้าหวั่นกลัวขึ้นมาพลางคิดว่า “แย่แล้ว ถ้าฉันไม่ทำตามข้อห้าม นี่ย่อมจะเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกัน?” เจ้านึกทบทวนไปมาอยู่ในใจ คิดไปว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่กลัว!” แต่ในใจเจ้าก็ยังคงมีความสงสัยหลงเหลืออยู่ และเจ้าก็ไม่กล้าฝ่าฝืนข้อห้าม
พวกเราควรมองคำกล่าวทางด้านโชคลางเหล่านี้ว่าอย่างไร? มาเริ่มด้วยเรื่องตากระตุกกันเถิด พวกเรารู้กันทุกคนใช่หรือไม่ว่าอาการตากระตุกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร? ความเข้าใจพื้นฐานที่สุดที่ผู้คนมีก็คือมันทำนายสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่นี่ใช่การเชื่อถือโชคลางหรือไม่? จงบอกมาเถิด (เป็นการเชื่อถือโชคลาง) นี่คือการเชื่อถือโชคลาง คำถามต่อไปก็คือผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าควรเชื่อในคำกล่าวนี้หรือไม่? (ไม่ควร) เหตุใดพวกเขาจึงไม่ควรเชื่อ? (เพราะโชคลาภและเคราะห์ร้ายของพวกเราได้รับการบริหารจัดการและจัดวางเรียบเรียงอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ตาของพวกเรากระตุกหรือไม่ ทุกสิ่งที่พวกเราเผชิญล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า และพวกเราควรนบนอบทุกสิ่งนั้น) สมมุติว่าวันหนึ่งตาของเจ้ากระตุกอย่างหนักทั้งวัน และเป็นเช่นนั้นจนเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น และเจ้าก็ถูกตัดแต่ง หลังจากถูกตัดแต่งแล้ว ตาของเจ้าก็เลิกกระตุก เจ้าจะคิดว่าอย่างไร? “อาการตากระตุกเป็นเครื่องหมายว่าฉันกำลังจะถูกตัดแต่ง” นี่เป็นเพียงเหตุบังเอิญใช่หรือไม่? นี่คือการเชื่อถือโชคลางใช่หรือไม่? บางครั้งก็เป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น บางครั้งก็เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง นี่เกิดอะไรขึ้น? (ข้าแต่พระเจ้า นี่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าอาการตากระตุกอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของจังหวะร่างกายตามปกติ และไม่ควรนำไปเชื่อมโยงกับการถูกตัดแต่ง) ควรเข้าใจอาการตากระตุกดังนี้คือ ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อว่าอาการตากระตุกข้างหนึ่งบ่งชี้โชคลาภและอีกข้างบ่งชี้ความวิบัติหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าก็ทรงสร้างร่างกายของมนุษย์ขึ้นมาพร้อมกับความล้ำลึกมากมาย ความล้ำลึกเหล่านี้ลึกล้ำเพียงใด เกี่ยวพันกับรายละเอียดจำเพาะอันใดบ้าง ร่างกายมนุษย์มีสัญชาตญาณ ความสามารถ และศักยภาพอันใดบ้าง—มนุษย์ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้อยู่ในตัว ร่างกายมนุษย์สามารถรับรู้โลกวิญญาณได้หรือไม่ ร่างกายมนุษย์มีสิ่งที่บางคนเรียกว่าสัมผัสที่หกหรือไม่—ผู้คนย่อมไม่รู้ ผู้คนควรสนใจทำความเข้าใจแง่มุมเหล่านี้ที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์หรือไม่? (ไม่ควร) ไม่มีความจำเป็น—ผู้คนไม่จำเป็นต้องเข้าใจความล้ำลึกอันใดที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์ แม้พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แต่พวกเขาก็ควรมีความเข้าใจขั้นพื้นฐานว่าร่างกายมนุษย์นี้ไม่ธรรมดา โดยพื้นฐานแล้ว ร่างกายมนุษย์แตกต่างจากสิ่งของหรือวัตถุใดๆ ที่พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้าง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากธรรมชาติของร่างกายมนุษย์อย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ วัตถุที่ไร้ชีวิตเหล่านี้ไม่มีการรับรู้โลกวิญญาณ ส่วนร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่เกิดจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา สามารถรู้สึกได้ว่าจะรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัว บรรยากาศ และสิ่งพิเศษบางอย่างได้อย่างไร และจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสภาพแวดล้อมรอบๆ และเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึง นี่ไม่ธรรมดา—เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความล้ำลึกทั้งสิ้น ร่างกายมนุษย์ไม่เพียงสามารถรู้สึกถึงสิ่งทั้งหลายได้ว่าเย็น ร้อน มีกลิ่นหอมหรือเหม็น มีรสหวาน เปรี้ยว และเผ็ดเท่านั้น แต่ยังมีความล้ำลึกบางอย่างที่จิตสำนึกของแต่ละคนไม่ทันตระหนักรู้อีกด้วย มนุษย์ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้น กล่าวให้แน่ชัดก็คือ เรื่องที่ว่าอาการตากระตุกเชื่อมโยงกับเส้นประสาทของบางคน กับสัมผัสที่หกของพวกเขา หรือกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ—พวกเราจะไม่สืบเสาะเรื่องนี้กัน ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด ปรากฏการณ์นี้ก็มีอยู่จริง และพวกเราจะไม่สืบสาวถึงจุดประสงค์และความหมายของการมีอยู่ อย่างไรก็ดี มีคำกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับอาการตากระตุกทั้งในครอบครัวและในวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไม่ว่าคำกล่าวเหล่านี้จะมีการเชื่อถือโชคลางเป็นส่วนประกอบหรือไม่ สุดท้ายแล้ว นี่ก็คือเครื่องหมายที่สำแดงออกมาทางร่างกายมนุษย์ก่อนที่เหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ ทีนี้ การสำแดงในลักษณะนี้เป็นเรื่องของการเชื่อถือโชคลาง ประเพณี หรือเป็นวิทยาศาสตร์? นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจค้นคว้าวิจัยได้—เป็นความล้ำลึกอย่างหนึ่ง สรุปว่าในชีวิตจริง ตลอดเวลาหลายพันปีตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน มนุษยชาติได้สรุปเอาไว้ว่าอาการตากระตุกของบางคนนั้นจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา ส่วนความเชื่อมโยงนี้เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่ง โชค หรือเกี่ยวข้องกับแง่มุมอื่นในชีวิตของคนคนหนึ่ง นี่เป็นไปไม่ได้ที่จะศึกษาวิจัย นี่ก็เป็นความล้ำลึกเช่นกัน เหตุใดจึงถือว่าเป็นความล้ำลึก? มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เกี่ยวพันกับโลกวิญญาณซึ่งอยู่พ้นโลกวัตถุ และเจ้าก็ไม่อาจมองเห็นหรือรู้สึกได้ต่อให้มีการเล่าถึงสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็ตาม นั่นคือสาเหตุที่มองว่านี่คือความล้ำลึก ในเมื่อเรื่องเหล่านี้คือความล้ำลึก และผู้คนก็ไม่อาจมองเห็นหรือรู้สึกได้ แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกบางอย่างที่เป็นลางร้ายและการหยั่งรู้ล่วงหน้าในตัวมนุษย์ แล้วผู้คนควรรับมือเรื่องเหล่านี้อย่างไร? กฎเกณฑ์ที่ง่ายที่สุดก็คือไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เป็นพอ อย่าเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งหรือโชคของเจ้า อย่าวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเวลาตาขวาของเจ้ากระตุก และแน่นอนว่าอย่ายินดีปรีดาเมื่อตาซ้ายของเจ้ากระตุก คิดไปว่าเจ้าจะมั่งคั่ง อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มีผลต่อเจ้า สาเหตุหลักก็คือเจ้าไม่ได้มีความสามารถที่จะมองเห็นอนาคตล่วงหน้า พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับดูแลทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะดีหรือไม่ดี ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่าทีเพียงอย่างเดียวที่เจ้าควรมีก็คือนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า อย่าทำนาย พลีอุทิศ ตระเตรียม หรือดิ้นรนโดยไม่จำเป็น สิ่งใดก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้น เพราะทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงพระดำริของพระเจ้า แผนการของพระองค์ หรือสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าเจ้าจะแปะกระดาษขาวไว้บนเปลือกตา เอามือกดเปลือกตาไว้ หรือพึ่งพาวิทยาศาสตร์หรือการเชื่อถือโชคลาง ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดก่อให้เกิดความแตกต่าง สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมเกิด ย่อมกลายเป็นจริง และเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นได้เพราะทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความพยายามใดๆ ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมโง่เขลา เป็นการยอมเสียสละที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น การทำเช่นนั้นมีแต่จะแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นกบฏและดื้อรั้น ไม่มีท่าทีที่นบนอบพระเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ดังนั้น ไม่ว่าอาการตากระตุกจะนับเป็นการเชื่อถือโชคลางหรือวิทยาศาสตร์ก็ตาม ท่าทีของเจ้าควรเป็นดังนี้คือ อย่ารู้สึกเป็นสุขเมื่อตาซ้ายของเจ้ากระตุก และอย่าหวาดกลัว พรั่นพรึง วิตกกังวล ปฏิเสธ หรือต้านทานเมื่อตาขวาของเจ้ากระตุก ต่อให้มีบางสิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ตาของเจ้ากระตุก เจ้าก็ควรเผชิญมันอย่างสงบเพราะทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวหรือกังวล ถ้ามีเรื่องดีเกิดขึ้น ก็จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับพรจากพระองค์—นี่คือพระคุณของพระเจ้า ถ้าเกิดเรื่องไม่ดี ก็จงอธิษฐานขอให้พระเจ้านำเจ้า คุ้มครองเจ้า และไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในการทดลอง ไม่ว่าจะมีสภาพแวดล้อมเช่นใดเกิดขึ้นตามมา ก็จงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าให้จงได้ อย่าทอดทิ้งพระเจ้า อย่าพร่ำบ่นพระองค์ ไม่ว่าความวิบัติที่เกิดขึ้นกับเจ้าจะใหญ่หลวงเพียงใด หรือเคราะห์ร้ายที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วยจะร้ายแรงเพียงใด ก็จงอย่าโทษพระเจ้า จงเต็มใจนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าเถิด เมื่อทำเช่นนั้น ปัญหานี้ก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ? (ใช่) ในเรื่องแบบนี้ ผู้คนควรมีความคิดและมุมมองดังนี้ว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ฉันก็พร้อมรับ และฉันมีท่าทีที่นบนอบพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นตาซ้ายที่กระตุก หรือตาขวา หรือกระตุกทั้งสองข้างพร้อมกัน ฉันก็ไม่กลัว ฉันรู้ว่าอาจจะเกิดบางสิ่งขึ้นในอนาคต แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่อาจเป็นวิธีที่พระเจ้ากำลังบอกฉันก็ได้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น หรืออาจเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของร่างกายก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ฉันก็พร้อมรับมือ และฉันมีท่าทีที่นบนอบพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะทนทุกข์กับอันตรายหรือการสูญเสียมากมายเพียงใดหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันก็จะไม่โทษพระเจ้า ฉันเต็มใจนบนอบ” นี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมี เมื่อพวกเขาใช้ท่าทีนี้ พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าคำกล่าวเรื่องตากระตุกที่ครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวพวกเขาเป็นการเชื่อถือโชคลางหรือเป็นวิทยาศาสตร์ พวกเขาย่อมกล่าวว่า “จะเป็นการเชื่อถือโชคลางหรือวิทยาศาสตร์ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่พวกคุณเชื่อย่อมเป็นเรื่องของพวกคุณ ถ้าพวกคุณขอให้ฉันแปะกระดาษไว้ที่เปลือกตา ฉันจะไม่ทำตาม ถ้าอาการกระตุกทำให้ไม่สบายตัว ฉันค่อยทำตามนิดหน่อยก็พอ” ถ้ามีใครสักคนบอกเจ้าว่า “ตาของคุณกระตุกหนักมาก ช่วงสองสามวันข้างหน้านี้ให้ระวังตัว!” การระมัดระวังจะช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงอะไรได้หรือไม่? (ไม่ได้ สิ่งใดที่จะต้องเกิดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้) ถ้าเป็นพร เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจเป็นความวิบัติ ถ้าเป็นความวิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นพรหรือความวิบัติ เจ้าก็น้อมรับไว้ทั้งสิ้น นี่คือการมีท่าทีเหมือนโยบ ถ้าตราบใดที่เป็นพร เจ้าจึงจะยอมรับ และเจ้าก็มีความสุขเมื่อตาซ้ายกระตุก แต่เจ้ากลับโมโหเมื่อตาขวากระตุก พลางกล่าวว่า “ทำไมถึงกระตุก? กระตุกอยู่เรื่อย ไม่ยอมหยุด! ฉันจะอธิษฐานและสาปแช่งเพื่อให้ตาขวาของฉันเลิกกระตุกและทำให้เคราะห์ร้ายไกลห่างจากตัว”—นี่ไม่ใช่ท่าทีที่คนที่เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ควรมี หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต หากพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้เกิดขึ้น เคราะห์ร้ายหรือปีศาจจะกล้าเข้าใกล้เจ้าหรือไม่? (ไม่) ทั้งโลกวัตถุและโลกวิญญาณอยู่ภายใต้การควบคุม อธิปไตย และการจัดเตรียมของพระเจ้า ไม่ว่าปีศาจตัวเล็กอยากจะทำอะไร หากไม่มีการอนุญาตจากพระเจ้า มันจะกล้าทำร้ายแม้เส้นผมของเจ้าสักเส้นกระนั้นหรือ? มันย่อมจะไม่กล้าใช่หรือไม่? (ใช่) มันอยากสัมผัสเจ้าและทำร้ายเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต มันย่อมจะไม่กล้า ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาตโดยตรัสว่า “จงปลุกปั่นรูปการณ์รอบตัวพวกเขาสักสองสามอย่าง ทำให้พวกเขาโชคร้ายและมีปัญหา” เช่นนั้นแล้ว เจ้าปีศาจน้อยย่อมจะมีความสุขและเริ่มลงมือเล่นงานเจ้า ถ้าเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าและเอาชนะมันได้ ตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า ไม่ปฏิเสธหรือทรยศพระเจ้า ไม่ปล่อยให้มันทำสำเร็จ เช่นนั้นแล้ว เมื่อปีศาจตัวเล็กมาเบื้องหน้าพระเจ้า มันย่อมจะไม่สามารถกล่าวหาเจ้าได้อีกต่อไป พระเจ้าจะได้รับพระสิริจากเจ้า และพระองค์ก็จะทรงขังเจ้าปีศาจตัวเล็กนั้นเอาไว้ มันจะไม่กล้าทำร้ายเจ้าอีก และเจ้าก็จะปลอดภัย นี่คือความเชื่อจริงแท้ที่เจ้าควรมี เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากไม่มีการอนุญาตจากพระเจ้า สิ่งที่ไม่ดีหรือทำให้โชคร้ายก็จะมาไม่ถึงตัวเจ้า พระเจ้าสามารถทำอะไรได้มากกว่าการอวยพรผู้คนเท่านั้น พระองค์สามารถจัดเตรียมรูปการณ์ต่างๆ เพื่อทดสอบเจ้าและทำให้เจ้าแกร่งขึ้น สอนบทเรียนแก่เจ้าท่ามกลางรูปการณ์เหล่านั้น และพระองค์ก็สามารถจัดเตรียมรูปการณ์ต่างๆ ไว้ตีสอนและพิพากษาเจ้า บางครั้งรูปการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อาจไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าและแน่นอนว่าไม่เป็นไปตามที่เจ้าคิดฝัน แต่จงอย่าลืมสิ่งที่โยบกล่าวเอาไว้ว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) นี่ควรเป็นบ่อเกิดแห่งความเชื่ออันจริงแท้ที่เจ้ามีในพระเจ้า จงเชื่อเถิดว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง แล้วเจ้าก็จะไม่กลัวอาการตากระตุกธรรมดาๆ นี้ ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง)
เมื่อครู่นี้ พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันว่าจะรับมืออาการตากระตุกอย่างไร อาการตากระตุก—ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน—คือสิ่งที่ผู้คนมักจะลองใช้วิธีการของมนุษย์มาแก้ไข อย่างไรก็ดี ปกติแล้ววิธีการเหล่านี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ผลที่ต้องการ และท้ายที่สุด สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมเกิด และไม่มีใครสามารถหนีพ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี เป็นสิ่งที่ผู้คนอยากเห็นหรือไม่ก็ตาม สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นแน่ นี่ยืนยันเพิ่มเติมว่าไม่ว่าจะเป็นชะตาชีวิตของคนคนหนึ่งหรือเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดล้วนมีพระเจ้าเป็นผู้จัดวางเรียบเรียงและบริหารจัดการ และไม่มีใครสามารถหนีพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ เพราะฉะนั้น คนที่มีสติปัญญาควรรับมือสิ่งเหล่านี้ด้วยท่าทีที่ถูกต้องและเป็นบวก มองและแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตามหลักธรรมความจริงและพระวจนะของพระเจ้า แทนที่จะใช้วิธีการของมนุษย์มาพลีอุทิศหรือต่อสู้ดิ้นรนโดยเปล่าประโยชน์ มิเช่นนั้น ในที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ทนทุกข์กับความสูญเสีย นี่เป็นเพราะในเรื่องอธิปไตยของพระผู้สร้าง มนุษยชาติไม่มีทางเลือกที่สอง นี่เป็นเส้นทางสายเดียวที่ควรเลือกเดิน จงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า เรียนรู้บทเรียนในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ให้ เรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้า ทำความเข้าใจกิจการของพระเจ้า ทำความเข้าใจตนเอง และเส้นทางที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรเลือกเดิน ตลอดจนเรียนรู้ว่าจะเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ผู้คนควรเดินให้ดีได้อย่างไร แทนที่จะต้านทานการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าด้วยวิธีการด้านโชคลางหรือวิธีการของมนุษย์
พวกเราจบสามัคคีธรรมเรื่องจะรับมืออาการตากระตุกอย่างไรไปแล้ว แต่ผู้คนควรจัดการเรื่องการฝันในชีวิตประจำวันของตนกันอย่างไร? ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าฝันในคืนหนึ่งว่าฟันหลุด แม่ของเจ้าก็อาจจะถามว่า “ตอนที่ฟันหลุดมีเลือดออกหรือเปล่า?” ถ้าเจ้าถามกลับไปว่า “ถ้ามีเลือดออกจะเกิดอะไรขึ้น?” แม่ของเจ้าก็อาจจะบอกเจ้าว่านี่อาจหมายความว่าจะมีคนในครอบครัวถึงแก่ความตายก็เป็นได้ หรืออาจจะเกิดเหตุการณ์เคราะห์ร้ายอื่นๆ เราไม่รู้ว่ามีคำกล่าวจำเพาะเบื้องหลังรายละเอียดเช่นนี้ว่าอย่างไร ครอบครัวหนึ่งย่อมจะกล่าวอย่างหนึ่ง อีกครอบครัวก็อีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะกล่าวว่าฝันนี้ทำนายความตายของญาติสนิท เช่น ปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่ ขณะที่คนอื่นก็อาจจะบอกว่านี่หมายถึงความตายของเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด โดยทั่วไปแล้วการฝันว่าสูญเสียฟันถือว่าไม่ดี ด้วยเหตุที่ไม่ดีและเชื่อมโยงกับเรื่องของความเป็นความตาย นี่จึงทำให้ผู้คนกังวลกันมาก เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนฝันว่าฟันหลุด พวกเขาย่อมตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขามีความรู้สึกอยู่ภายในว่าเคราะห์ร้ายหรือสิ่งที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขากระวนกระวาย หวาดกลัว และเสียขวัญ พวกเขาอยากขจัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ พวกเขาอยากหาคนมาจัดการแก้ไขเรื่องนี้หรือทำให้เบาบางลง แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะทำเช่นนั้น สรุปแล้ว พวกเขาตกเป็นเชลยของความฝันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความฝันเกี่ยวข้องกับการที่ฟันของพวกเขามีเลือดออก ความวิตกกังวลของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มพูน หลังจากที่ฝันเช่นนั้นแล้ว ผู้คนก็มักจะอารมณ์ไม่ดีอยู่หลายวัน รู้สึกไม่สบายใจ และไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ พวกเขาอาจจะยังคงไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม แต่คนที่รับความคิดและมุมมองบางอย่างมาแล้วหรือได้ยินได้ฟังคำกล่าวที่ชวนให้ตระหนก เป็นที่โจษจัน และเชื่อมโยงกับเรื่องที่ส่งต่อมาจากบรรพชนของตนนี้ พวกเขามีแนวโน้มที่จะยิ่งห่วงกังวลมากขึ้นอีก กลัวที่จะฝันเรื่องดังกล่าว และเมื่อใดที่ฝันเช่นนั้น พวกเขาก็จะรีบหันไปใช้คำอธิษฐาน เป็นต้นว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดคุ้มครองข้าพระองค์ ชูใจข้าพระองค์ ประทานความเข้มแข็ง และป้องกันไม่ให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ถ้าเรื่องนี้จะเกิดกับพ่อแม่ของข้าพระองค์ ก็ได้โปรดปกปักรักษาพวกเขาให้ปลอดภัยและไม่มีอุบัติเหตุใดๆ” ชัดเจนว่าท่าทีเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากความคิดและมุมมองของพวกเขาเองหรือจากคำกล่าวดั้งเดิม ในส่วนของประเพณีนั้น บางครอบครัวหรือบางคนอาจจะมีวิธีพิเศษไว้บรรเทาเรื่องเช่นนี้ หรืออาจจะกินและดื่มบางสิ่ง ท่องคาถาบางอย่าง หรือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ไขหรือป้องกันผลร้าย แน่นอนว่ามีแนวทางปฏิบัติเช่นนั้นในประเพณีพื้นบ้าน แต่พวกเราจะไม่ลงลึกในเรื่องเหล่านั้น สิ่งที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันก็คือจะรับมือและทำความเข้าใจเรื่องการฝันนี้อย่างไร การฝันคือสัญชาตญาณของมนุษย์ในเนื้อหนังหรือเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์เอาตัวรอดของเนื้อหนัง ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็คืออุบัติการณ์ที่ล้ำลึกอย่างหนึ่ง ผู้คนมักจะกล่าวว่า “กลางวันคิดสิ่งใด กลางคืนฝันสิ่งนั้น” อย่างไรก็ดี ปกติแล้วตอนกลางวันผู้คนไม่นึกถึงเรื่องทำนองฟันหลุดร่วงกัน และผู้คนก็ไม่ได้นึกอยากได้อยากมีอะไรเหล่านี้ ไม่มีใครอยากเผชิญเรื่องดังกล่าว และไม่มีใครหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ทั้งวันทั้งคืน กระนั้นก็ดี อุบัติการณ์เหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นยามที่ผู้คนแทบไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิด ดังนั้น นี่จึงไม่เกี่ยวข้องกับคำกล่าวที่ว่า “กลางวันคิดสิ่งใด กลางคืนฝันสิ่งนั้น” นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเจ้านึกถึงมัน ไม่ว่าฟรอยด์ของโลกตะวันตกหรือโจวกงของจีนจะตีความเกี่ยวกับฝันไว้เช่นไร หรือในที่สุดแล้วความฝันจะกลายเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สรุปว่าเรื่องของการฝันนี้เชื่อมโยงกับความรู้สึกและความตระหนักรู้บางอย่างทางจิตใต้สำนึกของร่างกายมนุษย์ และเป็นส่วนหนึ่งของความล้ำลึกของร่างกายมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาชีววิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจที่มาของความฝันของมนุษย์ได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ แล้วพวกเราควรพยายามศึกษาวิจัยเรื่องนี้หรือไม่? (ไม่ควร) เหตุใดจึงไม่ควร? (การศึกษาวิจัยสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ และพวกเราก็จะไม่เข้าใจเช่นกัน) ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์หรือว่าพวกเราจะไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะไม่เกี่ยวข้องกับความจริง เรื่องก็ง่ายเช่นนั้นเอง เจ้าจะสัมฤทธิ์สิ่งใดได้จากการศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องนี้? นี่เกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่เกี่ยวข้อง) นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายเอาตัวรอด และเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ดี ผู้คนไม่รู้ความหมายของเรื่องนี้ นี่คือส่วนหนึ่งของความล้ำลึก ไม่จำเป็นที่ผู้คนจะต้องศึกษาวิจัยหรือสำรวจเรื่องนี้เพราะไม่เกี่ยวข้องกับความจริง และไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่ผู้คนใช้ ไม่ว่าตอนกลางคืนเจ้าจะฝันว่าฟันหลุดหรือไม่ ฝันว่าได้กินเลี้ยงใหญ่โตหรือนั่งรถไฟเหาะ นี่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นไปในชีวิตระหว่างวันของเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) ถ้าคืนหนึ่งเจ้าฝันว่าต่อสู้อยู่กับใครสักคน นั่นหมายความหรือไม่ว่าระหว่างวันเจ้าจะสู้กับใครสักคนเป็นแน่? ถ้าคืนหนึ่งเจ้าฝันดีมาก เป็นฝันที่มีความสุข และตื่นขึ้นมาอย่างเป็นสุข นั่นรับประกันได้หรือไม่ว่าระหว่างวันทุกสิ่งจะราบรื่นและเป็นไปตามที่ต้องการ? นั่นหมายความกระนั้นหรือว่าในช่วงกลางวันเจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงและค้นพบหลักธรรมความจริงขณะที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ อยู่? (ไม่) ดังนั้น การฝันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง ไม่จำเป็นต้องศึกษาวิจัยเรื่องนี้ การฝันว่าฟันหลุดและมีเลือดออกมีความเชื่อมโยงอันใดกับการตายของญาติสนิทหรือไม่? (ไม่มี) แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงพูดเรื่องที่ไม่รู้ความเช่นนั้นกันตลอดเวลา? พวกเจ้าไม่ตระหนักรู้กันอีกครั้งแล้วมิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจเชิงลึก ร่างกายมนุษย์เป็นความล้ำลึกอย่างหนึ่ง และมีมากมายหลายสิ่งที่เจ้าไม่อาจอธิบายได้ เจ้าจะสามารถแก้ไขเรื่องทั้งหมดด้วยคำง่ายๆ ว่า “ไม่” กระนั้นหรือ? ในอดีต ผู้เผยพระวจนะและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ฝันบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าเช่นกัน ฝันเหล่านี้มีนัยสำคัญ เจ้าจะอธิบายเรื่องที่พระเจ้าเคยใช้ความฝันเผยสิ่งต่างๆ แก่ผู้คนว่าอย่างไร? แล้วพระเจ้าทรงเข้าฝันพวกเขาได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้คือความล้ำลึก พระเจ้าเคยใช้ความฝันบอกบางสิ่งแก่ผู้คนและประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขาในบางเรื่องเช่นกัน เปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นเหตุการณ์บางอย่างก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้น เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร? พวกเจ้าไม่รู้ความในเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่? (ใช่) ทั้งนี้ ประเด็นคือไม่ให้เจ้าหลับหูหลับตาปฏิเสธปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มิอาจอธิบายได้ ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและเกี่ยวข้องกับความล้ำลึกที่เจ้าไม่สามารถคลี่คลาย แต่ให้เข้าใจและรับมือปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง พลางพูดว่าไม่มีอยู่จริง ไม่มีเรื่องดังกล่าว หรือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ให้เจ้าปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้อง การปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ให้รับมือเรื่องเหล่านี้ด้วยความคิดและมุมมองที่เชื่อถือโชคลางหรือสุดโต่งอย่างที่ผู้คนทางโลกทำกัน และไม่รับมือเหมือนคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าหรือไม่มีความเชื่อใดๆ นี่ไม่ใช่การให้เจ้าใช้วิธีสุดโต่งสองขั้วนี้ แต่ให้ใช้จุดยืนและมุมมองที่ถูกต้องมาพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่มุมมองของผู้คนทางโลกหรือของผู้ไม่เชื่อ—แต่เป็นมุมมองที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรมี แล้วเจ้าควรมีมุมมองเช่นใดในเรื่องเหล่านี้? (ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ให้นบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า—ไม่ต้องศึกษาวิจัย) เจ้าไม่ควรศึกษาวิจัยสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เจ้าก็ควรมีความเข้าใจบางอย่างในเรื่องนี้ใช่หรือไม่? สมมุติมีคนกล่าวว่า “คนนั้นๆ ฝันว่าฟันหลุดและมีเลือดออก แล้วในเวลาไม่กี่วัน ฉันก็ได้ยินว่าพ่อของพวกเขาเสียชีวิต” ถ้าเจ้าปฏิเสธทันทีและกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! นั่นเป็นเพียงการเชื่อถือโชคลาง เป็นความบังเอิญ การเชื่อถือโชคลางคือการเชื่อในบางสิ่งเพราะคุณหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น ถ้าคุณไม่หมกมุ่นอยู่กับมัน เรื่องนั้นก็จะไม่มี” การกล่าวเช่นนี้เบาปัญญาใช่หรือไม่? (ใช่) ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรมองเรื่องนี้ว่าอย่างไร? (พวกเราควรตระหนักรู้ว่ามีความล้ำลึกมากมายในร่างกายนี้ และการฝันว่าฟันหลุดร่วงและมีเลือดออกก็อาจจะบ่งชี้ว่ากำลังจะมีสิ่งที่ไม่น่ายินดีเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ พวกเราก็ควรนบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า) พวกเจ้าเพิ่งเรียนรู้บางสิ่งจากอาการตากระตุกไป ดังนั้นพวกเจ้าควรรับมือการฝันว่าฟันหลุดและมีเลือดออกอย่างไร? เจ้าควรกล่าวว่า “เรื่องนี้เกินวิสัยที่พวกเราจะเข้าใจได้ ในชีวิตจริง ปรากฏการณ์นี้มีอยู่จริง พวกเราไม่สามารถระบุได้ว่ามันจะกลายเป็นจริงหรือเป็นลางว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่เรื่องไม่ดีแบบนี้ก็เกิดขึ้นจริงในชีวิตจริง เรื่องทั้งหลายในโลกวิญญาณย่อมเหลือวิสัยที่พวกเราจะเข้าใจ และพวกเราก็ไม่กล้ากล่าวอ้างอะไรไปเรื่อย ถ้าฉันฝันแบบนั้น ท่าทีของฉันควรเป็นเช่นไร? ไม่ว่าจะฝันว่าอย่างไร ฉันก็จะไม่ยอมให้ความฝันบีบคั้น ถ้าฝันนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ อย่างที่ผู้คนพูดกัน เช่นนั้นแล้วฉันก็ขอขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้เตรียมใจ ทำให้ฉันรู้ว่าอาจมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ฉันไม่เคยนึกคิดว่าถ้าสมาชิกครอบครัวเสียชีวิต ถ้าพ่อแม่ของฉันสิ้นลม แล้วจะมีผลอย่างไรต่อฉันหรือไม่ กล่าวคือ ฉันจะรู้สึกตกใจไหม จะกระทบการปฏิบัติหน้าที่ของฉันหรือไม่ ฉันจะรู้สึกอ่อนแอหรือบ่นพระเจ้าหรือไม่—ฉันไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้เลย แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นบอกใบ้ให้ฉันรู้เรื่องนี้ ทำให้ฉันมองเห็นวุฒิภาวะอันแท้จริงของตนเอง พอนึกถึงความตายของพ่อแม่แล้ว ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ข้างใน ฉันย่อมจะถูกความเจ็บปวดนี้บีบคั้นและรู้สึกหดหู่ จู่ๆ ฉันก็ตระหนักว่าวุฒิภาวะของฉันยังน้อยนัก ฉันมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าน้อยเกินไป และมีความเชื่อในพระเจ้าน้อยเกินไป นับแต่วันนี้ไป ฉันรู้สึกว่าฉันควรเตรียมพร้อมที่จะมีความจริงให้มากขึ้น นบนอบพระเจ้า และไม่ถูกเรื่องนี้บีบคั้น ถ้ามีญาติสนิทเสียชีวิตหรือจากไปจริง ฉันก็จะไม่ยอมให้เรื่องนี้บีบคั้น ฉันย่อมเตรียมใจเอาไว้และขอให้พระเจ้าทรงนำและเพิ่มความเข้มแข็งให้ฉัน ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้าก็ตาม ฉันจะไม่เสียใจที่เลือกทำหน้าที่ของตน และจะไม่วางมือจากการเลือกสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยกายและใจทั้งหมดที่มี ฉันจะยืนหยัดและจะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต่อไปด้วยความเต็มใจเหมือนแต่ก่อนนั่นเอง” ถัดไป เจ้าก็ควรอธิษฐานอยู่ในหัวใจบ่อยๆ แสวงหาการทรงนำจากพระเจ้าและขอให้พระองค์เพิ่มพูนความเข้มแข็งให้แก่เจ้า เจ้าจะได้ไม่ถูกเรื่องนี้บีบคั้นอีกต่อไป ไม่ว่าจะมีญาติสนิทตายหรือไม่ เจ้าก็ควรเตรียมวุฒิภาวะของตนให้พร้อมรับเรื่องนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เจ้าจะไม่อ่อนแอ ไม่พร่ำบ่นพระเจ้า และจะไม่เปลี่ยนความมุ่งมั่นและความประสงค์ของตนที่จะสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยกายและใจ นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีมิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อมีเรื่องอย่างการฝันว่าฟันหลุด เจ้าไม่ควรปฏิเสธการมีอยู่ของเรื่องเหล่านี้หรือละเลยและเพิกเฉย และแน่นอนว่าไม่ควรใช้วิธีการปัดป้องหรือแปลกประหลาดมารับมือสิ่งเหล่านี้ แต่เจ้าควรแสวงหาความจริง มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ อย่าพลีอุทิศอย่างเปล่าประโยชน์หรือเลือกอะไรที่เบาปัญญา เวลาผู้คนที่ไม่รู้ความและดื้อรั้นเผชิญสิ่งที่พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนและไม่สามารถเข้าใจได้ ก็โน้มเอียงที่จะกล่าวว่า “ไม่มีเรื่องอย่างนั้น” “นี่ไม่มีอะไร” “เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง” หรือ “นี่เป็นเพียงการเชื่อถือโชคลาง” ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนถึงกับกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เชื่อเรื่องผี” หรือ “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เชื่อเรื่องซาตาน ไม่มีซาตานหรอก!” พวกเขาใช้ถ้อยแถลงเหล่านี้มาพิสูจน์ว่าความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นจริงแท้ บอกว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณชั่ว เรื่องผีเข้า หรือแม้กระทั่งการมีอยู่ของโลกวิญญาณ พวกเขาเป็นเพียงผู้ไม่เชื่อมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ยอมรับคำกล่าวที่เป็นความคิดดั้งเดิมในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ และไม่ยอมรับคำอธิบายทางด้านโชคลางหรือข้อเท็จจริงใดๆ ที่เชื่อมโยงกับการเชื่อถือโชคลาง การไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่การขอให้เจ้าไม่เชื่อ หนี หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นการสอนให้เจ้ามีความคิดและมุมมองที่ถูกต้องเวลาเผชิญเรื่องเหล่านี้ เลือกให้ถูกต้อง และมีท่าทีที่ถูกต้อง นี่จะเป็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า และนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าควรเข้าถึง ตัวอย่างเช่น บางคนฝันว่าผมร่วง การสูญเสียเส้นผมของตนในฝันก็ถือว่าไม่เป็นมงคลเช่นกัน ไม่ว่าการตีความที่เกี่ยวข้องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจะเป็นเช่นใด สรุปว่าผู้คนมีคำอธิบายเชิงลบให้กับฝันแบบนี้ และเชื่อว่าฝันดังกล่าวบ่งชี้ว่าจะเกิดสิ่งไม่ดีหรือเคราะห์ร้าย นอกจากฝันทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญอะไร ก็มีการตีความบางอย่างเกี่ยวกับฝันที่พิเศษเหล่านี้ และการตีความเหล่านี้ก็ทำนายเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ผู้คนมีลางบอกเหตุ คำเตือน หรือคำทำนายบางอย่าง ทำให้พวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตหรือทำให้พวกเขามีความตระหนักรู้บางประการ ซึ่งบอกผู้คนว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถเตรียมใจได้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดก็ตาม สำหรับพวกเจ้าแล้ว ไม่ควรใช้ท่าทีที่เป็นการหลีกเลี่ยง ปฏิเสธ ปัดป้อง หรือต้านทาน หรือแม้แต่ท่าทีที่ใช้วิธีการของมนุษย์มาแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรเต็มใจที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นด้วยซ้ำ และขอให้พระองค์นำเจ้า เพื่อที่ว่าเวลาเผชิญเหตุการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ เจ้าจะได้สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนและปรับการปฏิบัติของเจ้าให้ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่ใช่ปฏิเสธและต้านทาน การขอให้เจ้าปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าต้องมุ่งเน้นเรื่องเหล่านี้ นี่สอนเจ้าว่าควรใช้ท่าทีเช่นใดมาเผชิญหน้าเมื่อมิอาจหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา และควรใช้แนวทางเช่นใดมาแก้ไข นี่คือสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจเอาไว้ จงบอกเราเถิดว่ามีการขอให้เจ้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด แต่เรื่องเหล่านี้ก็เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าเจ้ากล่าวว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง แล้วจากนั้นมันก็เกิดขึ้น เจ้าอาจพิจารณาและคิดไปว่า “แย่ละ ฉันต้องเชื่อเรื่องนี้ มันกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้วจริงๆ!” เมื่อไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าและไม่มีท่าทีที่ถูกต้อง พอสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เจ้าก็จะตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้เตรียมใจไว้เลย ไม่รู้ว่าจะอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไรหรือเผชิญสถานการณ์อย่างไร และเจ้าก็จะไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือการนบนอบที่แท้จริง สุดท้ายเจ้าก็จะรู้สึกแต่ความหวาดกลัว ยิ่งกลัวเจ้าก็จะยิ่งสูญเสียการสถิตของพระเจ้า เมื่อเจ้าสูญเสียการสถิตของพระเจ้า เจ้าก็จะทำได้เพียงแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น และเจ้าจะคิดอ่านทุกวิธีการที่มนุษย์จะคิดได้เพื่อหนีไปให้พ้น เมื่อเจ้าไม่สามารถหนีพ้น เจ้าก็จะเริ่มเชื่อว่าพระเจ้าเชื่อถือไม่ได้หรือพึ่งพาไม่ได้อีกต่อไป แต่เจ้ากลับรู้สึกว่าผู้คนพึ่งพาได้ สิ่งต่างๆ จะแย่ลงเรื่อยๆ ไม่เพียงเจ้าจะไม่เชื่ออีกต่อไปว่านี่คือการเชื่อถือโชคลาง แต่เจ้าจะมองว่านี่คือสิ่งที่เลวร้าย เป็นสถานการณ์ที่เจ้าควบคุมไม่ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะกล่าวว่า “มิน่าผู้ไม่มีความเชื่อและคนที่นับถือศาสนาพุทธ จุดธูปไหว้พระพุทธ ถึงไปวัดอย่างสม่ำเสมอ จุดธูป อธิษฐานขอพร ทำตามคำบนบาน กินเจ และสวดตามคัมภีร์ของศาสนาพุทธ กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้ได้ผลจริง!” เจ้าไม่เพียงไม่มีการนบนอบและความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังจะเกิดความกลัวพวกวิญญาณชั่วและซาตานขึ้นมาแทนที่อีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าก็จะรู้สึกว่าต้องเชื่อฟังพวกมันบ้างและเจ้าจะกล่าวว่า “วิญญาณชั่วเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะตอแยได้ การไม่เชื่อเรื่องวิญญาณชั่วเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฉัน ฉันต้องก้าวไปอย่างระมัดระวังในเรื่องพวกนี้ จะพูดทุกสิ่งที่อยากพูดลับหลังวิญญาณพวกนี้ไม่ได้ เพราะมีข้อห้ามอยู่ จะทำเป็นเล่นกับวิญญาณชั่วเหล่านี้ไม่ได้!” คล้อยหลังเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะตระหนักขึ้นมาโดยพลันว่าพ้นโลกวัตถุไป มีอำนาจต่างๆ ที่เจ้านึกไม่ถึงทำงานอยู่ เมื่อเจ้าเริ่มรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจของเจ้าก็จะเต็มไปด้วยความกลัวและหลีกเลี่ยงพระเจ้า ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าจะลดน้อยลง ดังนั้น ในเรื่องอย่างการฝันว่าฟันหรือเส้นผมหลุดร่วง เจ้าควรใช้ท่าทีให้ถูกต้อง เวลาที่เกิดเหตุกับเจ้า ไม่ว่าการตีความหรือคำทำนายจำเพาะที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นเช่นไร สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงเท่านี้คือ เชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเต็มใจที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า—นี่คือท่าทีที่เจ้าควรใช้เวลาเผชิญหน้าเรื่องทั้งปวงนี้ นี่คือจุดยืนที่เจ้าควรใช้และเป็นคำพยานที่เจ้าควรมีในฐานะผู้ติดตามพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) จงเชื่อเถิดว่าเรื่องทั้งปวงนี้อาจเกิดขึ้นและทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือท่าทีที่เจ้าควรค้ำชู
บางคนมีข้อห้ามเกี่ยวกับเลขบางตัวหรือวันพิเศษบางวัน ตัวอย่างเช่น บางคนที่ทำธุรกิจมานานหลายปี กลับให้ความสำคัญมากมายกับการมีโชคลาภ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ค่าและชื่นชอบตัวเลขที่เชื่อมโยงกับการมีโชคลาภในทางธุรกิจเป็นพิเศษ ทั้งยังเว้นจากการใช้ตัวเลขที่พวกเขาเชื่อว่าจะนำโชคไม่ดีมาให้ธุรกิจของตน ยกตัวอย่างเลข 6 และ 8 ที่บางคนโปรดปรานเป็นพิเศษ เลขที่ตรงประตูร้านของพวกเขาจึงเป็นเลข 168 และร้านก็มีชื่อว่า “อีลู่ฟา” ซึ่งแปลว่าร่ำรวยเสมอไป การออกเสียงในภาษาจีนกลางก็คล้ายกับเลข 1 6 และ 8[ข] ซึ่งเป็นเลขของความโชคดีตามคติพื้นบ้านของจีน ส่วนอีกทางหนึ่ง เลข 4 และ 5 ตามประเพณีจีนกลับถือกันว่าไม่ดี เพราะ 4 หมายถึงความตาย และ 5 หมายถึงการไม่มี ขาดแคลน หรือความว่างเปล่า ซึ่งแฝงนัยว่าคนเราอาจไม่สามารถคืนทุนหรือทำเงินได้ แม้แต่ป้ายทะเบียนรถของชาวจีนบางคนก็เป็นเลข 6 ล้วน ถ้าเจ้าเห็นเลข 6 ทั้งแถว โดยทั่วไปแล้วย่อมจะเป็นคนจีนเสมอ ใครจะรู้ว่าพวกเขาสั่งสมความมั่งคั่งเอาไว้มากเท่าใดจากการใช้เลข 6 มากขนาดนั้น? ครั้งหนึ่งในลานจอดรถ ที่จอดเกือบทุกช่องมีรถจอดยกเว้นช่องเดียวซึ่งใช้หมายเลข 64 เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงไม่มีใครจอดรถตรงนั้น? (64 อาจหมายถึงความตายและถือกันว่าโชคไม่ดี) 64 หมายถึงการตายบนท้องถนน ในตอนนั้นเราไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่มีใครจอดรถตรงช่องนั้น แต่ภายหลังเราได้ฟังจากผู้ไม่มีความเชื่อ จึงเข้าใจ เลข 6 ออกเสียงเหมือนคำว่า “ถนน” และเลข 4 ออกเสียงเหมือนคำว่า “ความตาย” เลข 64 จึงออกเสียงเหมือน “การตายบนท้องถนน” ในภาษาจีนกลาง เพราะเหตุนั้นผู้คนจึงไม่จอดรถตรงนั้น เราเดาว่าพวกเขาน่าจะเปลี่ยนหมายเลขของที่จอดรถช่องนั้นเป็น 68 ในภายหลัง ซึ่งออกเสียงเหมือน “ร่ำรวยเสมอไป” ในภาษาจีนกลาง ผู้คนหมกมุ่นเรื่องเงินจนพวกเขาฝักใฝ่เงินทองในทุกเรื่อง แท้จริงแล้วตัวเลขสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่? คำกล่าวของชาวจีนเกี่ยวกับตัวเลขเหล่านี้มีอิทธิพลแม้กระทั่งกับคนต่างชาติ เวลาพวกเรามองหาบ้าน นายหน้าขายบ้านก็ถามพวกเราว่า “พวกคุณมีข้อห้ามเกี่ยวกับเลขบางตัวบ้างไหม? เช่น ถ้าประตูบ้านเป็นเลขที่ 14 นั่นจะไม่ดีเพราะเลข 4 หรือเปล่า?” เราจึงตอบไปว่า “เราไม่เคยคิดเรื่องนั้น ไม่รู้จักคำกล่าวนั้น” เขาก็บอกว่า “คนจีนหลายคนไม่ยอมดูบ้านเพราะเลขที่ตรงประตูมีเลข 4 อยู่ด้วย” เราจึงกล่าวว่า “พวกเราไม่มีข้อห้ามอะไรเรื่องตัวเลข พวกเราพิจารณาแต่ตำแหน่ง ที่ตั้ง แสง การระบายอากาศ โครงสร้างตัวบ้าน คุณภาพ และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้น พวกเราไม่สนใจเรื่องตัวเลข ไม่มีข้อห้ามอะไรทั้งสิ้น” แล้วเจ้าคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเป็นแน่ถ้าผู้ไม่มีความเชื่อมีข้อห้ามเกี่ยวกับเลขบางตัว? (ไม่จำเป็น) พวกเราไม่รู้ว่าประเทศอื่นนอกเหนือจากจีน เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ หรือบางประเทศในเอเชียอาคเนย์ มีรายละเอียดจำเพาะเกี่ยวกับตัวเลขว่าอย่างไรบ้าง สรุปว่าผู้คนทุกประเทศระมัดระวังกับเลขบางตัวมาก ตัวอย่างเช่น ชาวอเมริกันเมินเลข 6 กันมาก ชาวตะวันตกไม่ชอบเลข 6 ตามวัฒนธรรมทางศาสนา เพราะเลข 6 ที่พระธรรมวิวรณ์ในพระคัมภีร์เอ่ยถึงนั้นมีนัยแฝงที่เป็นลบ นอกจากนี้ยังมีเลข 13 ที่ชาวตะวันตกก็ไม่ชอบเช่นกัน ลิฟต์มากมายไม่มีชั้นนี้เพราะพวกเขาถือว่าเลขนี้ไม่ดี ส่วนอีกทางหนึ่ง ชาวจีนกลับเชื่อว่าเลข 6 และ 8 เป็นเลขนำโชค แล้วคำกล่าวอย่างใดเป็นความจริง? (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง) พวกเจ้าใส่ใจตัวเลขจำเพาะเหล่านี้บ้างหรือไม่? พวกเจ้ามีเลขนำโชคของตนเองหรือไม่? (ไม่มี) ถ้าเช่นนั้นก็ดี คนจีนทางตอนใต้สนใจเป็นพิเศษในเรื่องทำนองที่ว่าตัวเลขหนึ่งๆ นำโชคมาให้หรือไม่ การเลือกวันให้เหมาะสมกับทุกสิ่งที่ตนทำ และการปฏิบัติตามข้อห้ามด้านอาหารการกินในช่วงเทศกาลต่างๆ—พวกเขาพิถีพิถันในเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่แน่นอนว่าเรื่องตัวเลขทั้งหลายนี้ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ การที่ผู้คนหลีกเลี่ยงเลขบางตัวย่อมเชื่อมโยงกับความเชื่อ สิ่งที่พวกเขานึกฝัน ความคิด และมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาอยู่บ้าง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดและมุมมองที่โง่เขลา ถ้าครอบครัวของเจ้าปลูกฝังความคิดและมุมมองเช่นนี้เอาไว้ในตัวเจ้า เจ้าก็ควรปล่อยมือและเลิกเชื่อเสีย แนวคิดเหล่านี้ยิ่งไร้สาระเข้าไปใหญ่—นี่ไม่ใช่การเชื่อถือโชคลางด้วยซ้ำ—เป็นคำกล่าวที่น่าหัวร่อและเหลวไหลของผู้คนที่บ้าเงินในสังคม
บางคนให้ความสำคัญกับเครื่องหมายนักษัตรอย่างมาก และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือโชคลาง ทุกวันนี้แม้กระทั่งชาวตะวันตกก็พูดถึงเครื่องหมายนักษัตร ดังนั้นก็จงอย่าคิดว่ามีแต่ชาวเอเชียที่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ชาวตะวันตกก็รู้จักกระต่าย วัว หนู และม้าเช่นกัน มีอะไรอีก? งู มังกร ไก่ และแพะ ถูกต้องหรือไม่? ตัวอย่างเช่น บรรพชนและพ่อแม่ส่งต่อความเชื่อที่ว่าผู้คนปีแพะมีชีวิตที่ไม่ดี ถ้าเจ้าเกิดปีแพะ เจ้าก็อาจจะคิดว่า “ชีวิตของฉันจบสิ้นแล้ว ฉันพบเจอเรื่องเคราะห์ร้ายอยู่เสมอ มีคู่ก็ไม่ดี ลูกๆ ไม่เชื่อฟัง และงานก็ไม่ได้ดำเนินไปด้วยดี ฉันไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่ง และไม่ได้รับเงินโบนัสใดๆ ฉันโชคไม่ดีเสมอ ถ้ามีลูกอีกคน ฉันจะไม่มีในปีแพะ มีสมาชิกในครอบครัวที่เกิดปีแพะและชีวิตก็อาภัพอับโชคพอแรงไปคนหนึ่งแล้ว ถ้าฉันคลอดลูกปีแพะอีกคน นั่นก็จะเพิ่มเป็นสอง พวกเราจะใช้ชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร?” เจ้าพิจารณาเรื่องนี้พลางคิดว่า “ฉันจะมีลูกในปีแพะไม่ได้เป็นอันขาด แล้วควรหมายตาปีไหน? ปีมังกร? ปีงู? ปีเสือ?” ถ้าเจ้าเกิดในปีมังกร นั่นหมายความหรือไม่ว่าเจ้าเป็นมังกรจริงๆ? แท้จริงแล้วเจ้าสามารถเป็นจักรพรรดิได้หรือ? นั่นไร้สาระมิใช่หรือ? พวกเจ้าอยากมีเครื่องหมายนักษัตรเหล่านี้หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ผู้คนที่เกิดปีกระต่ายและปีไก่ไปด้วยกันไม่ได้ ฉันเป็นกระต่าย ดังนั้นฉันก็ควรหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับคนปีไก่ ปีนักษัตรของพวกเราเข้ากันไม่ได้ และชะตาชีวิตของพวกเราก็ไม่ต้องกัน พ่อแม่ของฉันบอกว่าคนอย่างพวกเราไม่เหมาะที่จะแต่งงานกัน และจะไปด้วยกันไม่ได้ เป็นการดีที่สุดที่จะติดต่อพวกเขาให้น้อยที่สุด ไม่พูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ชะตาชีวิตของพวกเราไม่ต้องกัน และถ้าอยู่ด้วยกัน ฉันก็จะไม่สามารถเอาชนะชะตาชีวิตของพวกเราได้ แล้วชีวิตของฉันก็จะสั้นลงไม่ใช่หรือ? ฉันต้องอยู่ห่างจากผู้คนดังกล่าว” ผู้คนเหล่านี้ถูกคำกล่าวทั้งหลายนี้ครอบงำ นั่นโง่เขลามิใช่หรือ? (ใช่) สรุปแล้ว ไม่ว่าชะตาชีวิตของเจ้าจะขัดแย้งกับคนของปีนักษัตรหนึ่งๆ หรือไม่ก็ตาม นี่จะมีผลต่อชะตากรรมของเจ้าจริงหรือไม่? จะส่งผลต่อการเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องของเจ้าหรือไม่? (ไม่) บางคนเต็มใจที่จะทำงาน ร่วมงาน และแม้กระทั่งใช้ชีวิตกับคนที่เข้ากันได้กับปีนักษัตรของตนเท่านั้น ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก พวกเขาได้รับผลจากคำกล่าวเหล่านี้ และคำกล่าวที่ส่งต่อมาจากพ่อแม่หรือบรรพชนของพวกเขานี้ก็มีที่ทางแน่นอนอยู่ในหัวใจของพวกเขา เจ้าดูเอาเถิด ชาวตะวันออกใส่ใจเรื่องปีนักษัตร ขณะที่ชาวตะวันตกใส่ใจราศีเกิด ตอนนี้ชาวตะวันออกที่ทันยุคสมัยก็เริ่มคุยเรื่องราศีเกิดกันแล้ว เช่น ราศีพิจิก กันย์ ธนู และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ชาวราศีธนูเรียนรู้ว่าบุคลิกของตนเป็นเช่นไร ว่าตนมีแนวโน้มที่จะไปกันได้กับคนอีกราศีหนึ่ง เมื่อพวกเขาพบว่าบางคนเกิดราศีนั้น พวกเขาก็เต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์ด้วย คิดไปว่าคนเหล่านั้นเยี่ยมมากและมีความรู้สึกที่ดีต่อคนเหล่านั้น พวกเขายังได้รับอิทธิพลจากประเพณีการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวมาโดยตลอดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นปีนักษัตรของตะวันออกหรือโหราศาสตร์แบบตะวันตก ไม่ว่าเรื่องชะตาไม่ต้องกันหรือราศีเข้ากันไม่ได้จะมีจริงหรือไม่ และไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะมีผลอันใดต่อเจ้าหรือไม่ เจ้าก็พึงเข้าใจว่าควรมีมุมมองเช่นใดในเรื่องเหล่านี้ เจ้าควรเข้าใจว่าอย่างไร? เวลาเกิดของคนคนหนึ่ง ทศวรรษที่พวกเขาเกิด เดือนและเวลาเกิด—ทั้งหมดนี้เกี่ยวโยงกับชะตาชีวิตของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าหมอดูหรือนักดูโหงวเฮ้งจะพูดถึงชะตาชีวิตและราศีเกิดของเจ้าว่าอย่างไร หรือปีนักษัตรของเจ้านั้นดีหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะแม่นยำเพียงใดก็ตาม—แล้วอย่างไร? นี่อธิบายอะไรได้บ้าง? นี่ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นมิใช่หรือว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมชะตาชีวิตของเจ้าไว้แล้ว? (ใช่) ชีวิตสมรสของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าจะใช้ชีวิตที่ไหน จะมีผู้คนแบบใดรายล้อม จะสุขสำราญกับความมั่งคั่งทางวัตถุมากเท่าใดในชีวิต เจ้าจะร่ำรวยหรือยากไร้ จะสู้ทนความทุกข์มากขนาดไหน จะมีลูกกี่คน และโชคลาภทางการเงินของเจ้าจะเป็นเช่นใด—ทั้งหมดนี้ล้วนลิขิตเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หมอดูจะคำนวณชะตาให้เจ้าหรือไม่ ชะตาชีวิตของเจ้าก็จะเป็นเช่นเดิม การรู้เรื่องเหล่านี้สำคัญกระนั้นหรือ? บางคนกระตือรือร้นเป็นพิเศษที่จะรู้ว่า “โชคลาภของฉันในอนาคตจะเป็นเช่นไร? ฉันจะจนหรือรวย? จะพบเจอผู้คนที่คอยส่งเสริมหรือไม่? มีผู้คนที่ชะตาไม่ต้องกันกับฉันหรือไม่? ในชีวิต ฉันจะพบเจอผู้คนที่ไม่ถูกกันหรือไม่? ฉันจะตายเมื่ออายุเท่าใด? จะป่วยตาย เหนื่อยตาย กระหายน้ำตาย หรือว่าหิวตายหรือไม่? ฉันจะตายอย่างไร? จะเจ็บปวดหรือน่าขายหน้าหรือไม่?” การรู้เรื่องเหล่านี้มีประโยชน์กระนั้นหรือ? (ไม่มี) สรุปว่าเจ้าจำเป็นต้องมั่นใจอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าทรงลิขิตทุกสิ่งเอาไว้แล้ว ไม่ว่าปีนักษัตรหรือราศีของเจ้าจะเป็นอะไร หรือเจ้าจะเกิดในวันและเวลาใด พระเจ้าก็ทรงกำหนดทุกสิ่งไว้แล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะทุกสิ่งถูกลิขิตไว้แล้ว ความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่เจ้าจะมีประสบการณ์ด้วยในชีวิต รวมทั้งสภาพแวดล้อมในการดำเนินชีวิตของเจ้า จึงถูกพระเจ้ากำหนดเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะเกิดแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรับมือเรื่องเหล่านี้ด้วยการเชื่อถือโชคลางหรือตามมุมมองของผู้คนทางโลก ไม่ต้องรับเอาวิธีการบางอย่างมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่โชคไม่ดีหรือใช้มาตรการบางอย่างมาปกป้องและรักษาช่วงเวลาที่โชคดีเอาไว้ นี่ไม่ใช่หนทางที่เจ้าควรใช้รับมือชะตาชีวิต ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าถูกลิขิตให้ติดโรคร้ายแรงเมื่อถึงอายุหนึ่งๆ และพบเจอหมอดูที่ชี้เรื่องนี้ให้เจ้ารู้ตามราศี ปีนักษัตร หรือเวลาเกิดของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร? เจ้าจะรู้สึกหวาดกลัว หรือว่าจะพยายามหาทางแก้ไขเรื่องนี้? (ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองปกติและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า) นี่คือท่าทีที่ผู้คนควรใช้ ไม่ว่าชะตาชีวิตของเจ้าจะเป็นหรือไม่เป็นเช่นใด พระเจ้าก็ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบ เต็มใจยอมรับไว้หรือไม่ มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ามันหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พระเจ้าก็ทรงลิขิตทั้งหมดนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ท่าทีที่เจ้าควรค้ำชูก็คือท่าทีที่ยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าเต็มใจที่จะเผชิญหน้าหรือไม่ เจ้าก็ควรยอมรับและเผชิญหน้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แทนที่จะทุ่มเทความพยายามหรือแสวงหาคำแนะนำจากผู้อื่นในเรื่องต่างๆ เช่น โหราศาสตร์ ปีนักษัตร หรือการดูโหงวเฮ้ง หรือค้นหาตามแหล่งต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตของเจ้าและหลีกเลี่ยงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การปฏิบัติต่อชะตากรรมและชีวิตที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าด้วยท่าทีเช่นนี้ย่อมผิด พ่อแม่ของบางคนหาหมอดูมาให้ ซึ่งหมอดูก็บอกพวกเขาว่า “ตามราศี รวมทั้งปีนักษัตรจีนและเวลาเกิดของคุณแล้ว คุณจะปล่อยให้ธาตุไฟเข้ามาในชีวิตไม่ได้” หลังจากฟังดังนั้นแล้ว พวกเขาก็จดจำและเชื่อเรื่องนี้ และต่อมานี่ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามตามปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ถ้าชื่อของใครมีตัวอักษรจีนว่า “ไฟ” อยู่ด้วย พวกเขาก็จะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนั้น และต่อให้มีปฏิสัมพันธ์ด้วย พวกเขาก็จะไม่สนิทสนมหรือติดต่อใกล้ชิด พวกเขากลัวและหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนชื่อว่าหลี่ช่าน พวกเขาก็จะตรองเรื่องนี้อยู่ในใจ คิดไปว่า “ตัวอักษร ‘ช่าน’ มีรากศัพท์เป็น ‘ไฟ’ ตัวหนึ่ง และ ‘ภูเขา’ ตัวหนึ่ง แบบนั้นไม่ดี มีคำว่า ‘ไฟ’ เป็นรากอักษร ดังนั้นฉันจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ได้—ฉันต้องอยู่ห่างๆ” พวกเขากลัวที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนี้ ถ้าสามารถทำได้ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงการใช้เตาไฟในครัวที่บ้าน ไม่ร่วมกินอาหารค่ำใต้แสงเทียน ไม่ร่วมงานเลี้ยงรอบกองไฟ หรือไปตามบ้านที่มีเตาผิง เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับไฟ ถ้าพวกเขาอยากไปท่องเที่ยว และได้ยินว่าที่นั้นๆ มีภูเขาไฟ พวกเขาก็จะไม่ไปที่นั่น เวลาไปยังที่บางแห่งเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ต้องสอบถามชื่อและนามสกุลของคนที่ตนจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อของคนเหล่านั้นไม่มีตัวอักษร “ไฟ” อยู่ในนั้น แต่ถ้าคนคนนั้นเป็นช่างตีเหล็กที่หล่อเหล็กอยู่ที่บ้าน พวกเขาก็จะไม่ไปเป็นอันขาด แม้พวกเขาจะเชื่ออยู่ในจิตสำนึกของตนว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และรู้ว่าพวกเขาไม่ควรกลัว แต่ทันทีที่เผชิญเรื่องต้องห้ามดังกล่าว พวกเขาก็เริ่มรู้สึกกังวลและหวาดกลัว ไม่กล้าทำผิดข้อห้าม พวกเขากลัวอยู่เสมอว่าจะเกิดอุบัติเหตุและความวิบัติที่พวกเขาไม่สามารถทนรับได้ พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาสามารถเชื่อฟัง สู้ทนความยากลำบาก และจ่ายราคาในด้านอื่นได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่พวกเขาไม่สามารถยอมผ่อนปรน ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนบอกพวกเขาว่า “ชั่วชีวิตนี้คุณจะข้ามสะพานไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าคุณข้ามสะพาน ก็จะเกิดอุบัติเหตุ ถ้าคุณข้ามสะพานหลายแห่ง นั่นก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น และคุณก็จะเสี่ยงชีวิต” พวกเขาจะจดจำคำพูดเหล่านี้ และในภายหลังไม่ว่าจะไปทำงานหรือพบปะเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งเข้าชุมนุม พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงสะพานและอ้อมไป กลัวว่าตนจะทำผิดข้อห้าม พวกเขาไม่เชื่อว่าตนจำเป็นต้องตายเช่นนั้นจริง แต่ก็กลุ้มใจเพราะเรื่องนี้ บางครั้งบางคราวพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมข้ามสะพาน และพอข้ามไปแล้ว พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ฉันตาย ฉันก็จะไม่ตาย” อย่างไรก็ดี หัวใจของพวกเขายังคงกลัดกลุ้มเพราะคำกล่าวนี้ และพวกเขาก็ไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้ บางคนกล่าวว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ถูกกับน้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ลำธารหรือบ่อน้ำ เคยมีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ลานบ้านมีสระน้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไปชุมนุมที่บ้านของเธอ และเมื่อเปลี่ยนเจ้าภาพรับรองเป็นอีกคนหนึ่งที่มีตู้ปลาที่บ้าน พวกเขาก็ไม่ไปที่นั่นเช่นกัน พวกเขาจะไม่ไปที่ที่มีน้ำและจะไม่แตะต้องน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำไหลหรือน้ำนิ่ง ในชีวิตประจำวัน คำกล่าวไร้สาระที่มาจากการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมดั้งเดิมและการเชื่อถือโชคลาง คำกล่าวเหล่านี้มีผลต่อทัศนะของผู้คนอยู่บ้างในบางเรื่อง และส่งผลต่อธรรมเนียมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขา นี่ย่อมพันธนาการความคิดของผู้คนเอาไว้และควบคุมหลักคิดและวิธีการที่ถูกต้องในการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขาเอาไว้ในระดับหนึ่ง
บางคนกล่าวว่า “ถ้าประเพณีและการเชื่อถือโชคลางเหล่านี้เป็นเรื่องของความคิดและการเชื่อถือโชคลางบางอย่างตามประเพณีนอกศาสนาคริสต์ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ควรวิพากษ์วิจารณ์และปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของความคิด มุมมอง ประเพณี หรือการเชื่อถือโชคลางบางอย่างของศาสนาดั้งเดิมทั้งหลาย ผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยมือไม่ใช่หรือ? ควรถือเป็นวันหยุดเทศกาลหรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่พึงรำลึกและค้ำชูในชีวิตประจำวันไม่ใช่หรือ?” (ไม่ใช่ พวกเราควรปล่อยมือทั้งสองอย่างเพราะไม่ได้มาจากพระเจ้า) ยกตัวอย่างวันหยุดเทศกาลครั้งใหญ่ที่สุดที่มาจากศาสนาคริสต์คือคริสต์มาส—พวกเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเทศกาลนี้บ้างหรือไม่? ทุกวันนี้เมืองใหญ่บางแห่งในโลกตะวันออกก็ฉลองคริสต์มาสด้วย วางแผนจัดงานเลี้ยงวันคริสต์มาส และฉลองคืนคริสต์มาสอีฟ นอกจากคริสต์มาสแล้วยังมีเทศกาลอีสเตอร์และเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ทางศาสนาทั้งคู่ บางเทศกาลก็มีการกินไก่งวงและอาหารปิ้งย่าง ส่วนเทศกาลอื่นก็มีการกินลูกกวาดรูปไม้เท้าสีแดงขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระโลหิตอันล้ำค่าขององค์พระเยซูเจ้าในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปให้แก่ผู้คน ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ สีแดงสื่อถึงพระโลหิตอันล้ำค่าขององค์พระเยซูเจ้า สีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ และผู้คนก็กินลูกกวาดชนิดนี้ ยังมีประเพณีกินไข่อีสเตอร์ในเทศกาลอีสเตอร์อีกด้วย วันหยุดเทศกาลเหล่านี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับคริสต์ศาสนา นอกจากนี้ยังมีรูปเคารพในคริสต์ศาสนาบางรูป เช่น รูปนางมารีย์ พระเยซู และไม้กางเขน สิ่งเหล่านี้วิวัฒน์มาจากคริสต์ศาสนา และในความเห็นของเราก็เป็นประเพณีอย่างหนึ่งเช่นกัน เบื้องหลังประเพณีเหล่านี้ย่อมต้องมีการเชื่อถือโชคลางเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ไม่ว่าเนื้อหาของคำกล่าวทางด้านโชคลางเหล่านี้จะเป็นเช่นไร สรุปว่าตราบใดที่คำกล่าวเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง เส้นทางที่ผู้คนใช้ หรือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คำกล่าวเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าควรเข้าถึงในเวลานี้ และพวกเจ้าก็ควรปล่อยมือ ไม่ควรถือว่าคำกล่าวเหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์และละเมิดมิได้ แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูหมิ่นเช่นกัน—จงปฏิบัติต่อคำกล่าวเหล่านี้ให้ถูกต้องก็พอ วันหยุดเทศกาลเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราหรือไม่? (ไม่มี) ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา ชาวต่างชาติคนหนึ่งเคยถามเราว่า “พวกคุณฉลองเทศกาลคริสต์มาสกันหรือไม่?” เราก็ตอบว่า “ไม่” “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณฉลองเทศกาลตรุษจีนกันหรือไม่? หรือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ?” เราจึงตอบไปว่า “ไม่” “แล้วพวกคุณฉลองวันหยุดเทศกาลอะไร?” เราก็บอกว่า “พวกเราไม่มีวันหยุดเทศกาล สำหรับพวกเราแล้วทุกวันเป็นเหมือนกันหมด พวกเรากินสิ่งที่อยากกินในวันนั้นๆ ไม่ได้กินเพราะเป็นวันหยุดเทศกาล เราไม่มีประเพณี” เขาจึงถามว่า “เพราะอะไร?” เราก็ตอบว่า “ไม่มีเหตุผล วิถีชีวิตแบบนี้อิสระมาก ไม่มีกรอบใดๆ พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างไม่มีพิธีการอันใด แค่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กิน พัก ทำงาน และขยับกันตามเวลาและมาตรการที่พระเจ้ากำหนดให้ เป็นธรรมชาติและมีอิสระ ไร้ซึ่งพิธีการใดๆ” แน่นอนว่าในเรื่องของพิเศษชิ้นหนึ่งทางศาสนาซึ่งก็คือไม้กางเขน บางคนก็เชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? กล่าวได้หรือไม่ว่าไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์? ภาพของนางมารีย์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? (ไม่ศักดิ์สิทธิ์) ภาพของพระเยซูศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? พวกเจ้าไม่ค่อยกล้าพูดกันนัก เหตุใดภาพของพระเยซูจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์? เพราะเป็นภาพที่มนุษย์เขียนขึ้น ไม่ใช่สภาพเสมือนที่แท้จริงของพระเจ้าและไม่เกี่ยวอะไรกับพระเจ้า นี่จึงเป็นเพียงภาพเขียนเท่านั้น ส่วนภาพของนางมารีย์ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูมีรูปลักษณ์เช่นไร ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เขียนภาพพระองค์กันอย่างมืดบอด และเมื่อเขียนเสร็จ พวกเขาก็ขอให้เจ้าหันหน้าเข้านมัสการภาพนั้น ด้วยการนมัสการภาพนั้น เจ้าย่อมจะโง่เขลามิใช่หรือ? พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวที่เจ้าควรนมัสการ เจ้าไม่ควรทำเป็นโค้งคำนับรูปเคารพ ภาพบุคคล หรือภาพเขียนบางชิ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นี่ไม่ใช่เรื่องของการโค้งคำนับหน้าวัตถุชิ้นหนึ่งๆ เจ้าควรนมัสการพระเจ้าและเคารพยกย่องพระองค์อยู่ในหัวใจของเจ้า ผู้คนควรก้มกราบอยู่เบื้องหน้าพระวจนะของพระเจ้าและสภาวะบุคคลที่แท้จริงของพระองค์ ไม่ใช่ต่อหน้าไม้กางเขนหรือภาพนางมารีย์หรือภาพพระเยซูซึ่งล้วนเป็นรูปเคารพทั้งสิ้น ไม้กางเขนเป็นเพียงสัญลักษณ์แทนพระราชกิจขั้นตอนที่สองของพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า หรือข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ ไม้กางเขนไม่ได้แทนภาพลักษณ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่ได้แทนแก่นแท้ของพระองค์ เพราะฉะนั้น การสวมใส่ไม้กางเขนจึงไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า หรือมีเครื่องรางคุ้มครอง เราไม่เคยแสดงไม้กางเขนให้เห็น เราไม่มีสัญลักษณ์ไม้กางเขนที่บ้านของเรา ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย ดังนั้น ในเรื่องของการไม่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ ผู้คนอาจปล่อยมือจากเทศกาลเหล่านี้โดยง่าย แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับแง่มุมทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน ภาพนางมารีย์และภาพพระเยซู หรือแม้กระทั่งพระคัมภีร์ เมื่อเจ้าบอกให้พวกเขาโยนไม้กางเขน ภาพนางมารีย์ หรือภาพพระเยซูทิ้งไป พวกเขาย่อมจะคิดว่า “โอ การทำแบบนั้นช่างไม่มีความเคารพ ช่างไม่มีความเคารพ เร็วเข้า ขอให้พระเจ้าประทานอภัย ขอประทานอภัย…” ผู้คนรู้สึกว่าจะมีผลตามมา แน่นอนว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องจงใจทำลายวัตถุเหล่านี้แต่อย่างใด และไม่จำเป็นต้องเคารพสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นเพียงสิ่งของและไม่เกี่ยวอะไรกับแก่นแท้หรืออัตลักษณ์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงรู้เอาไว้ แน่นอนว่าเมื่อเป็นเรื่องของเทศกาลคริสต์มาสและอีสเตอร์ที่มนุษย์อุปโลกน์กันขึ้นมา เหล่านี้ก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์หรือแก่นแท้ของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ หรือข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน ต่อให้เจ้าฉลองคริสต์มาสเป็นร้อยครั้งหรือหมื่นครั้ง ไม่ว่าเจ้าจะเกิดมาฉลองคริสต์มาสหรืออีสเตอร์ไปกี่ชีวิตแล้วก็ตาม นี่ก็ไม่อาจแทนที่การเข้าใจความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องเลื่อมใสสิ่งเหล่านี้และกล่าวว่า “ฉันต้องเดินทางไปยังโลกตะวันตก ฉันสามารถฉลองคริสต์มาสในโลกตะวันตก คริสต์มาสนี้ศักดิ์สิทธิ์ คริสต์มาสคือวันรำลึกพระราชกิจของพระเจ้า และเป็นวันที่พวกเราควรรำลึกถึงอีกด้วย พวกเราควรสำรวมในวันนั้น ส่วนอีสเตอร์ก็ยิ่งเป็นวันที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน เป็นวันรำลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์จากความตายของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พวกเราควรยินดีปรีดาด้วยกัน ฉลองและแสดงความยินดีแก่กันในวันดังกล่าว รำลึกถึงวันนี้ตลอดไป” นี่คือสิ่งที่มนุษย์คิดฝันทั้งสิ้น พระเจ้าไม่ทรงต้องการสิ่งเหล่านี้ ถ้าพระเจ้าทรงต้องการให้ผู้คนรำลึกถึงวันเหล่านี้ พระองค์ย่อมจะตรัสบอกปี เดือน วัน ชั่วโมง นาที และวินาทีที่แน่ชัดแก่เจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ตรัสบอกปี เดือน วันที่แน่ชัดแก่เจ้า นี่ย่อมสื่อสารกับเจ้าว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนรำลึกถึงวันเหล่านี้ ถ้าเจ้ารำลึกถึงวันเหล่านี้ เจ้าก็จะละเมิดข้อกำหนดของพระเจ้า และพระองค์ก็จะไม่โปรด พระเจ้าไม่โปรดเรื่องนี้ แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ และกล่าวอ้างว่าเจ้ากำลังนมัสการพระเจ้า และแล้วพระเจ้าก็จะยิ่งรังเกียจเจ้ามากขึ้น และเจ้าย่อมสมควรตาย พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ถ้าเจ้าอยากฉลองเทศกาลเหล่านี้ในตอนนี้ พระเจ้าก็จะไม่สนพระทัยในตัวเจ้า และไม่ช้าก็เร็ว เจ้าย่อมจะจ่ายราคาและรับผิดชอบการกระทำที่ผิดพลาดของเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เจ้าว่าการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าสักคำหนึ่งและทำตามพระวจนะของพระองค์อย่างแท้จริงสำคัญกว่าการหมอบกราบและค้อมศีรษะอยู่หน้าไม้กางเขนไม่ว่าจะสักกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะทำเช่นนี้สักกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังเดินตามหนทางของพระเจ้า ยอมรับพระวจนะของพระองค์ หรือทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนด พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำเอาไว้ ดังนั้น ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ควรปล่อยมือจากความคิดและมุมมองนี้ โยนไม้กางเขนที่เจ้ารักและชื่นชูทิ้งไปจากส่วนลึกของหัวใจเจ้า ไม้กางเขนไม่ใช่เครื่องแทนพระเจ้า และการนมัสการไม้กางเขนก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเปี่ยมศรัทธา การมองไม้กางเขนว่าล้ำค่า รักและชื่นชู หรือแม้กระทั่งแขวนไว้รอบคอทั้งวันไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังนมัสการพระเจ้า ไม้กางเขนเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในพระราชกิจขั้นตอนหนึ่งของพระเจ้า ไม่มีความเชื่อมโยงกับแก่นแท้ พระอุปนิสัย หรืออัตลักษณ์ของพระเจ้า ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะนมัสการไม้กางเขนราวกับเป็นพระเจ้า นี่ก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้รับการจดจำจากพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้าจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระองค์อีกด้วย ถ้าเจ้ายืนกรานในเรื่องนี้และกล่าวว่า “ฉันจะไม่ฟังพระองค์ ไม้กางเขนนี้ศักดิ์สิทธิ์และละเมิดมิได้ในสายตาของฉัน ฉันไม่เชื่อหรือยอมรับคำตรัสของพระองค์ว่าไม้กางเขนไม่สำคัญและไม่ได้เป็นเครื่องแทนพระเจ้า” เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถกระทำการอย่างที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมและดูไปเถิดว่าในที่สุดนั่นจะให้อะไรแก่เจ้า พระเจ้าเสด็จลงจากไม้กางเขนนานแล้ว นี่เป็นเครื่องมือที่ไม่สะดุดตาที่สุดที่ใช้ในพระราชกิจขั้นตอนหนึ่งของพระเจ้า เป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น และในสายพระเนตรของพระเจ้าก็ไม่มีคุณค่าให้เก็บรักษา แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องทะนุถนอม รัก หรือถึงกับยอมรับนับถือ หรือเคารพ ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็น นอกจากนี้หัวใจของผู้คนก็รักและชื่นชูพระคัมภีร์เป็นอย่างมากอีกด้วย แม้พวกเขาจะไม่อ่านพระคัมภีร์กันอีกต่อไป แต่พระคัมภีร์ก็ยังคงมีที่ทางอันแน่นอนในหัวใจของพวกเขา พวกเขายังไม่สามารถปล่อยมือจากทัศนะที่พวกเขามีต่อพระคัมภีร์ได้หมด ซึ่งเป็นทัศนะที่สืบต่อมาจากครอบครัวหรือบรรพชนของพวกเขา ตัวอย่างเช่น บางครั้งเมื่อเจ้าวางพระคัมภีร์ทิ้งเอาไว้ เจ้าก็อาจคิดว่า “โอ ฉันทำอะไรลงไป? นี่คือพระคัมภีร์ ผู้คนควรรักและชื่นชูพระคัมภีร์! พระคัมภีร์นี้ศักดิ์สิทธิ์และไม่ควรทำเหมือนไม่แยแสอย่างนี้ ราวกับว่าเป็นเพียงหนังสือธรรมดาทั่วไป ฝุ่นก็เกาะมากมายนักและไม่มีใครใส่ใจเช็ดทิ้ง มุมหนังสือก็งอและไม่มีใครจับให้เรียบตรง” ผู้คนควรปล่อยวางจากความคิดและมุมมองที่ทำเหมือนพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และจะละเมิดมิได้แบบนี้
ประเพณีและการเชื่อถือโชคลางในครอบครัวที่พวกเราเพิ่งเสวนากันไป รวมทั้งความคิด มุมมอง และรูปแบบการใช้ชีวิตนานาที่เชื่อมโยงกับศาสนา ตลอดจนวัตถุที่ผู้คนเชื่อถือในทางโชคลาง เลื่อมใส หรือรักและชื่นชู ทั้งหมดล้วนปลูกฝังรูปแบบการใช้ชีวิต ความคิด และมุมมองที่ไม่ถูกต้องบางอย่างให้กับผู้คน และชักพาให้พวกเขาหลงผิดในชีวิต ในการหาเลี้ยงชีพ และในการอยู่รอดอย่างที่อธิบายได้ยาก ในชีวิตประจำวัน การเดินไปในทิศทางที่ผิดอันเป็นผลที่เกิดขึ้นนี้ย่อมจะขัดขวางผู้คนในการพยายามที่จะยอมรับสิ่งที่ถูกต้อง ความคิดที่เป็นบวก และเรื่องที่เป็นบวกโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว และแล้วพวกเขาก็จะทำบางสิ่งบางอย่างที่โง่เขลา ไร้เหตุผล และไม่รู้จักโตโดยที่ไม่รู้ตัว แน่นอนว่าเป็นเพราะเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องมีทัศนะที่ถูกต้อง มีความคิดและมุมมองที่เที่ยงตรงในเรื่องเหล่านี้ ถ้ามีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความจริงและเป็นไปตามความจริง เจ้าก็ต้องยอมรับ นำมาปฏิบัติ และนบนอบสิ่งนั้นในฐานะหลักธรรมที่พึงปฏิบัติตามในชีวิตและในการอยู่รอดของเจ้า อย่างไรก็ดี ถ้าสิ่งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับความจริง เป็นเพียงประเพณีหรือการเชื่อถือโชคลาง หรือมาจากศาสนาเท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรปล่อยมือ เรื่องสุดท้ายก็คือ หัวข้อที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปในวันนี้มีลักษณะเฉพาะตัวตรงที่สิ่งทั้งหลายที่เชื่อมโยงกับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนานี้ ไม่ว่าเจ้าจะตระหนักรู้หรือไม่ เคยมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ หรือตระหนักรู้มากเพียงใด สรุปแล้ว ในประเพณีและการเชื่อถือโชคลางมีคำกล่าวบางอย่างที่ดำรงอยู่ในแง่ข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ ส่งผลและรบกวนชีวิตประจำวันของมวลมนุษย์ในระดับหนึ่ง ดังนั้นพวกเจ้าควรมองเรื่องนี้อย่างไร? บางคนกล่าวว่า “คุณต้องเชื่อเรื่องนี้ ถ้าคุณไม่ทำตามที่มีการกล่าวไว้ ก็จะมีผลตามมา—ถึงตอนนั้นคุณจะทำอย่างไร?” พวกเจ้ารู้ไหมว่าผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อแตกต่างกันมากที่สุดในข้อใด? (แตกต่างกันมากที่สุดตรงที่ผู้เชื่อวางใจว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ส่วนผู้ไม่เชื่อกลับพยายามเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนด้วยตนเองอยู่เสมอ) อีกข้อหนึ่งก็คือผู้เชื่อมีการสถิตและการคุ้มครองจากพระเจ้า ดังนั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางด้านโชคลางซึ่งมีอยู่ในชีวิตจริงนี้ย่อมจะไม่ส่งผลต่อพวกเขา แต่เนื่องจากผู้ไม่เชื่อไม่มีการคุ้มครองจากพระเจ้าและไม่เชื่อทั้งในการคุ้มครองและอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาจึงถูกพวกปีศาจโสมมและวิญญาณชั่วควบคุมเอาไว้ในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องให้ความสนใจเรื่องต้องห้ามในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ เรื่องต้องห้ามเหล่านี้มาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ใช่) เหตุใดพวกเขาจึงต้องงดเว้นสิ่งเหล่านี้? พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าตนควรงดเว้นสิ่งเหล่านี้? นี่เป็นเพราะบางคนเคยมีประสบการณ์ในสิ่งเหล่านี้ เคยได้ประสบการณ์และบทเรียนบางอย่างจากสิ่งเหล่านี้ จากนั้นก็เผยแพร่ประสบการณ์และบทเรียนไปในหมู่ผู้คน ต่อจากนั้นประสบการณ์และบทเรียนเหล่านี้ก็แพร่หลายออกไปในวงกว้าง สร้างกระแสนิยมอย่างหนึ่งในหมู่ผู้คน แล้วทุกคนก็เริ่มใช้ชีวิตและกระทำการตามนั้น กระแสนิยมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถ้าเจ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์ที่พวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสมมวางไว้ พวกมันก็จะก่อกวนเจ้า ขัดขวาง และทำให้ชีวิตตามปกติของเจ้าปั่นป่วน บีบให้เจ้าเชื่อว่าข้อห้ามเหล่านี้มีอยู่จริง และจะมีผลสืบเนื่องหากเจ้าละเมิดข้อห้ามเหล่านี้ ผู้คนสั่งสมประสบการณ์เหล่านี้เอาไว้ในชีวิตประจำวันของตนมาหลายพันปีแล้ว ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งมารู้ว่ามีกำลังบังคับที่มองไม่เห็นคอยควบคุมตนอยู่เบื้องหลัง และพวกเขาก็ต้องฟัง ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าไม่จุดประทัดในเทศกาลตรุษจีน ธุรกิจของเจ้าในปีนั้นก็จะไม่ราบรื่น อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเจ้าจุดธูปดอกแรกในเทศกาลปีใหม่ ทุกสิ่งก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดปีสำหรับเจ้า ประสบการณ์เหล่านี้บอกผู้คนว่าพวกเขาต้องเชื่อในการเชื่อถือโชคลางและคำกล่าวที่มาจากวัฒนธรรมพื้นบ้าน และผู้คนก็ใช้ชีวิตกันเช่นนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ปรากฏการณ์เหล่านี้บอกผู้คนว่าอย่างไร? บอกผู้คนว่าข้อห้ามและเรื่องต้องห้ามเหล่านี้คือประสบการณ์ที่ผู้คนสั่งสมมาตามกาลเวลาในชีวิตทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่ผู้คนจำต้องทำ เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำเพราะมีกำลังบังคับบางอย่างที่มองไม่เห็นคอยควบคุมทุกสิ่งอยู่หลังฉาก ในที่สุดผู้คนก็ทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง ผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าต้องปฏิบัติตามการเชื่อถือโชคลางและประเพณีเหล่านี้เพื่อจะได้มีชีวิตที่ค่อนข้างราบรื่นในกลุ่มสังคมต่างๆ พวกเขาดำเนินชีวิตโดยแสวงหาสันติสุข ความสบาย และความเบิกบาน แล้วเหตุใดผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่ต้องปฏิบัติตามการเชื่อถือโชคลางและประเพณีเหล่านี้? (เพราะพวกเขาได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า) พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมติดตามพระองค์ และพระเจ้าก็ทรงพาผู้คนเหล่านี้เข้าสู่การสถิตและพระนิเวศของพระองค์ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ซาตานย่อมไม่กล้าทำร้ายเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมัน มันก็จะไม่กล้าแตะต้องเจ้า อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ติดตามพระองค์ ซาตานสามารถบงการพวกเขาได้ตามใจชอบ วิธีบงการผู้คนของซาตานก็คือการบัญญัติคำกล่าวนานาและกฎเกณฑ์แปลกประหลาดให้เจ้าทำตาม ถ้าเจ้าไม่ทำตาม มันก็จะลงโทษเจ้า ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าไม่ไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 เดือนสิบสองทางจันทรคติ ก็ย่อมจะมีผลตามมามิใช่หรือ? (ใช่) ย่อมจะมีผลตามมา และผู้ไม่มีความเชื่อก็ไม่กล้าข้ามพิธีกรรมนี้ไป ในวันนั้น พวกเขาต้องกินขนมงาอ่อนอีกด้วยเพื่อผนึกปากเทพเจ้าเตาไฟและป้องกันไม่ให้เทพรายงานเรื่องของพวกเขาบนสวรรค์ กฎเกณฑ์และคำกล่าวด้านโชคลางเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เป็นซาตานนั่นเองที่ทำเรื่องบางอย่างซึ่งมีการเล่าต่อๆ กันมาตามประเพณีมุขปาฐะ เมื่อดูที่ต้นตอ เรื่องเหล่านี้ก่อเกิดจากซาตาน เหล่าปีศาจโสมม วิญญาณชั่ว และผู้นำปีศาจทั้งหลาย พวกมันวางกฎเกณฑ์เหล่านี้และควบคุมผู้คนโดยใช้คำกล่าวและกฎเกณฑ์ทางด้านโชคลางเหล่านี้มาทำให้ผู้คนฟังพวกมัน ถ้าเจ้าไม่ฟังพวกมัน พวกมันก็จะใช้บางสิ่งเล่นงานเจ้าอย่างดุเดือด—พวกมันลงโทษเจ้า บางคนไม่เชื่อในคำกล่าวทางด้านโชคลางเหล่านี้ บ้านของพวกเขาจึงวุ่นวายอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาไปที่วัดพุทธเพื่อดูโชคลาภของตน ก็ได้รับการบอกกล่าวว่า “แย่ละ คุณละเมิดข้อห้ามนั้นๆ เข้าให้แล้ว คุณต้องขุดเปิดหน้าดินใต้บ้าน ปรับปล่องไฟ เปลี่ยนเครื่องเรือนและของตกแต่งภายในบ้าน และวางเครื่องรางชิ้นหนึ่งไว้บนขื่อประตู จากนั้นพวกปีศาจตัวเล็กๆ ก็จะไม่กล้ามาข้องแวะ” แท้จริงแล้วเป็นปีศาจตัวใหญ่กว่านั่นเองที่กำราบปีศาจตัวเล็ก ดังนั้นปีศาจตัวเล็กจึงไม่กวนใจเจ้าอีกต่อไป ด้วยวิธีนี้ ชีวิตจึงมีสันติสุขขึ้นมาก เดิมทีคนคนนี้ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ แต่คราวนี้พอพวกเขาเห็นดังนี้ พวกเขาก็กล่าวว่า “แล้วกัน มีปีศาจตัวเล็กคอยสร้างความเดือดร้อนมากมายเช่นนี้จริงๆ!” พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อเรื่องนี้ คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและพยายามที่จะประคองตัวให้อยู่รอดในโลกนี้ย่อมถูกพวกมารชั่วควบคุมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีสิทธิ์หรือหนทางที่จะเลือกด้วยตนเอง—พวกเขาจำต้องเชื่อ อีกด้านหนึ่งนั้น ถ้าคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างพวกเจ้ายึดมั่นในความคิดและมุมมองทางด้านโชคลางหรือประเพณี หรือสิ่งของทางศาสนา ถ้าเจ้าฉลองเทศกาลของพวกเขา เชื่อในคำกล่าวของพวกเขา สานต่อประเพณี วิถีชีวิต รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อชีวิต และบ่อเกิดแห่งความเบิกบานของเจ้าในชีวิตก็อิงคำกล่าวเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังใช้ภาษาเงียบชนิดหนึ่งบอกพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่เชื่อในการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ และไม่อยากยอมรับการจัดวางเรียบเรียงเหล่านั้น” และเจ้าก็กำลังใช้ภาษาเงียบบอกพวกวิญญาณชั่ว ปีศาจโสมม และซาตานเช่นกันว่า “มาเลย ฉันเชื่อในคำกล่าวของพวกคุณ และเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ” ด้วยเหตุที่เมื่อดูท่าทีต่างๆ ที่เจ้าค้ำชู รวมทั้งความคิด มุมมอง และแนวทางปฏิบัติของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ยอมรับความจริง แต่กลับคล้อยตามความคิดและมุมมองของพวกวิญญาณชั่ว ปีศาจโสมม และซาตาน และเจ้าก็ดำเนินการตามความคิดและมุมมองของพวกมันเวลาเจ้าวางตนและกระทำการ ดังนั้นเจ้าจึงใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของพวกมัน ในเมื่อเจ้าเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของพวกมัน ทำเกี๊ยวเวลาเจ้าออกไปข้างนอก และกินบะหมี่เวลากลับเข้าบ้าน ต้องกินขนมเข่งและกินปลาในช่วงเทศกาลตรุษจีน เช่นนั้นแล้วก็จงเอาแต่เออออตามพวกมันไปเถิด เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า และไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า ในทุกหนแห่งและในทุกเรื่องราว เจ้ามองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการ ใช้ชีวิตและเอาตัวรอดตามวิถีชีวิต ความคิด และมุมมองที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า หรือตามมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา และสิ่งที่เจ้าทำก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสสอนเจ้าหรือความจริง นี่หมายความว่าแท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ติดตามของซาตาน ในเมื่อเจ้าติดตามซาตานอยู่ในหัวใจ เจ้าจะยังคงนั่งอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร? เหตุใดเจ้าจึงยังฟังคำเทศนาอยู่อีก? นี่คือการหลอกลวงมิใช่หรือ? นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้ามิใช่หรือ? ในเมื่อเจ้าหมกมุ่นอยู่กับประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ให้นักหนา ติดพันสิ่งเหล่านี้ และยังคงร่ำไรมีเยื่อใยให้สิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ควรเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป เจ้าควรอยู่ที่วัดพุทธ จุดธูป คุกเข่ากราบไหว้ เสี่ยงเซียมซี และสวดพระสูตร เจ้าไม่ควรคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่คู่ควรที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือน้อมรับการทรงนำจากพระเจ้า ดังนั้น ในเมื่อเจ้าป่าวประกาศว่าเจ้าคือผู้ติดตามของพระเจ้า เจ้าก็ควรปล่อยมือจากประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาในครอบครัว แม้แต่วิถีชีวิตในระดับพื้นฐานของเจ้า ตราบใดที่วิถีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับประเพณีและการเชื่อถือโชคลาง เจ้าก็ควรปล่อยมือและไม่ยึดถือเอาไว้ สิ่งที่พระเจ้าทรงชังที่สุดก็คือประเพณี วันเทศกาล ธรรมเนียม และกฎเกณฑ์บางอย่างในการใช้ชีวิตของมนุษย์ซึ่งมาจากวัฒนธรรมพื้นบ้านและครอบครัว และมีการตีความบางอย่างอยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างเช่น บางคนต้องวางกระจกไว้บนขื่อประตูเวลาสร้างบ้าน บอกว่าใช้ปัดเป่าพวกวิญญาณชั่ว เจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้ายังคงกลัวปีศาจกระนั้นหรือ? เจ้าเชื่อในพระเจ้า แล้วปีศาจจะยังสามารถรังควานเจ้าอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร? แท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงหรือไม่? ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ถ้าเด็กบางคนพูดอะไรไม่ดี เช่น “ถ้าฉันตาย” หรือ “ถ้าแม่ของฉันตาย” พวกเขาก็จะรีบพูดตามว่า “ไม่หรอก ไม่เป็นไร คำพูดของเด็กละเมิดข้อห้ามไม่ได้ คำพูดของเด็กละเมิดข้อห้ามไม่ได้” พวกเขากลัวกันแทบตาย กลัวว่าคำพูดของตนจะกลายเป็นจริง เจ้ากลัวอะไร? ต่อให้กลายเป็นจริง เจ้าก็ยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้กระนั้นหรือ? เจ้าจะต้านทานได้หรือ? เจ้าควรน้อมรับความเป็นจริงนี้จากพระเจ้ามิใช่หรือ? กับพระเจ้า ไม่มีเรื่องต้องห้าม มีแต่สิ่งที่สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับความจริงเท่านั้น ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่ควรยึดปฏิบัติตามข้อห้ามใดๆ แต่ควรจัดการเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง
สามัคคีธรรมในวันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าครอบครัวสร้างเงื่อนไขเอาไว้ในตัวผู้คนด้วยประเพณี การเชื่อถือโชคลาง และศาสนาอย่างไร แม้พวกเราจะไม่รู้อะไรมากในเรื่องเหล่านี้ แต่ก็มากพอที่จะบอกเจ้าด้วยสามัคคีธรรมนี้ว่าเจ้าควรค้ำชูท่าทีเช่นใด และควรรับมือตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมอย่างไร อย่างน้อยที่สุด หลักธรรมที่เจ้าควรค้ำชูก็คือการปล่อยมือจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ และไม่ยึดถือเอาไว้ในหัวใจหรือดำรงรักษาในฐานะวิถีชีวิตตามปกติ สิ่งที่เจ้าควรทำมากที่สุดก็คือปล่อยมือและไม่ถูกสิ่งเหล่านี้รบกวนหรือพันธนาการเอาไว้ เจ้าไม่ควรตัดสินความเป็นความตาย โชคลาภ และหายนะของตนเองตามสิ่งเหล่านี้ และแน่นอนว่าไม่ควรเผชิญหน้าหรือเลือกเส้นทางในอนาคตของเจ้าตามสิ่งเหล่านี้ ถ้าเจ้าพบเห็นแมวดำเวลาออกไปข้างนอก และเจ้ากล่าวว่า “วันนี้จะโชคไม่ดีหรือไร? จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า?” มุมมองนี้เป็นเช่นไร? (ไม่ถูกต้อง) แมวตัวหนึ่งจะสามารถทำอะไรเจ้าได้? ต่อให้มีคำกล่าวทางด้านโชคลางเกี่ยวกับแมว คำกล่าวเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัว กระทั่งเสือดำก็จงอย่ากลัว แมวดำยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ควรกลัวซาตานหรือวิญญาณชั่วใดๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแมวดำ ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องต้องห้ามในหัวใจ ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น และเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ต่อให้มีคำกล่าวบางอย่างในเรื่องนี้ หรือต่อให้เรื่องนี้อาจนำเคราะห์ร้ายมาให้เจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องวิตก ตัวอย่างเช่น จู่ๆ วันหนึ่งเจ้าก็ได้ยินเสียงนกฮูกร้องอยู่ข้างเตียง ในนิทานพื้นบ้านของจีนมีการกล่าวว่า “อย่ากลัวนกฮูกร้อง ให้กลัวนกฮูกหัวเราะ” นกฮูกตัวนี้ทั้งร้องและหัวเราะ ซึ่งทำให้เจ้าหวาดกลัวแทบแย่และส่งผลต่อเจ้าในหัวใจอยู่บ้าง แต่จงคำนึงดูสักครู่เถิดว่า “สิ่งใดจะเกิดก็ย่อมเกิด และสิ่งใดที่จะไม่เกิด พระเจ้าก็จะไม่ทรงอนุญาตให้เกิด ฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกสิ่งก็เช่นกัน นี่ไม่ทำให้ฉันกลัวหรือส่งผลต่อฉัน ฉันจะใช้ชีวิตอย่างที่ควรใช้ ไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และนบนอบทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง นี่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นอันขาด!” เมื่อไม่มีสิ่งใดรบกวนเจ้าได้ เช่นนั้นย่อมถูกต้อง ถ้าวันหนึ่งเจ้าฝันไม่ดีว่าฟันหลุด ผมร่วง ทำชามแตก เห็นตัวเองตาย และทุกสิ่งที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นพร้อมกันในฝันเดียว ภาพที่เห็นนี้ไม่มีฉากใดเป็นลางดีสำหรับเจ้า—เจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? เจ้าจะหดหู่หรือไม่? จะว้าวุ่นใจหรือไม่? จะรู้สึกกระทบกระเทือนหรือไม่? ในอดีต เจ้าอาจจะรู้สึกว้าวุ่นอยู่เป็นเดือนหรือสองเดือน แล้วในที่สุดก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเจ้าจึงสามารถถอนหายใจโล่งอก แต่คราวนี้เจ้าไม่สบายใจเพียงนิดเดียวเท่านั้น และทันทีที่เจ้าคิดว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เจ้ามาเบื้องหน้าพระเจ้าด้วยท่าทีที่นบนอบ และนี่ก็ถูกต้องแล้ว ต่อให้ลางไม่ดีเหล่านี้นำไปสู่การเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจริง ก็ย่อมมีหนทางแก้ไข เจ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร? สิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยมิใช่หรือ? หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ซาตานและพวกมารก็ไม่สามารถทำร้ายแม้แต่เส้นผมสักเส้นบนร่างกายของเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่มันจะตัดสินใจ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เรื่องใหญ่เล็กเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น คืนหนึ่งๆ ไม่ว่าเจ้าจะประสบพบเจอปรากฏการณ์อะไรที่ไม่ดีในฝัน หรือรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ในร่างกายของเจ้า ก็จงอย่าวิตก อย่ารู้สึกไม่สบายใจ และแน่นอนว่าอย่าคิดที่จะหลีกเลี่ยง ปฏิเสธ หรือต้านทาน อย่าพยายามใช้วิธีการของมนุษย์ เช่น ตุ๊กตาของขลัง การเข้าทรง เสี่ยงเซียมซี ดูโชคลาภ หรือแสวงหาข้อมูลทางออนไลน์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเหล่านี้ เป็นไปได้ที่ความฝันของเจ้าบ่งบอกว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจริง เช่น ล้มละลาย หุ้นของเจ้าตก ธุรกิจของเจ้าถูกผู้อื่นเข้าถือครอง ถูกรัฐบาลจับกุมขณะชุมนุม ถูกแจ้งความขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และอื่นๆ แล้วอย่างไร? ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า จงอย่ากลัว อย่าห่วง อย่าเศร้าเสียใจ อย่ากลัวสิ่งไม่ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าอย่าแข็งขืนหรือต่อต้านการเกิดสิ่งไม่ดี จงทำเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ ลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ใช้จุดยืนและมุมมองที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี—นี่คือท่าทีที่ทุกคนควรมีในยามเผชิญหน้าสิ่งต่างๆ กล่าวคือ ยอมรับและนบนอบ ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่กับการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์โดยไม่พร่ำบ่น ด้วยวิธีนี้ คำกล่าวหรือผลสืบเนื่องทางศาสนา ประเพณี หรือทางโชคลางก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้า และจะไม่รบกวนเจ้าแต่อย่างใด เจ้าจะหลุดจากอำนาจของซาตานและอิทธิพลของความมืดอย่างแท้จริง ไม่ถูกอิทธิพลของความมืดหรือความคิดของซาตานควบคุม ความคิด ดวงจิต และตัวตนทั้งหมดของเจ้าย่อมจะถูกพระวจนะของพระเจ้าพิชิตและได้ไว้ นี่คืออิสรภาพมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คืออิสรภาพอันสมบูรณ์ เป็นการใช้ชีวิตอย่างเสรีและอิสระ และมีสภาพเสมือนมนุษย์ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เนื้อหาโดยทั่วไปของสามัคคีธรรมวันนี้ก็เป็นเช่นนี้ ส่วนข้อห้ามบางอย่างตามความเคยชินในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่กินอาหารใดบ้างเวลาเป็นโรคบางอย่าง และบางคนก็กินเผ็ดไม่ได้เพราะมีแนวโน้มที่จะร้อนในง่าย เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการวางตนหรือความคิดและมุมมองอันใด และยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทางที่คนเราใช้ นี่จึงไม่อยู่ในขอบข่ายของสามัคคีธรรมของพวกเรา หัวข้อเรื่องที่พวกเราสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับการสร้างเงื่อนไขโดยครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับความคิดและมุมมองของผู้คน วิถีชีวิตและกฎเกณฑ์การใช้ชีวิตตามปกติของพวกเขา รวมทั้งความคิด มุมมอง จุดยืน และทัศนคติที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ เมื่อแก้ไขความคิด มุมมอง และท่าทีที่ไม่ถูกต้องในทุกๆ ด้านแล้ว เรื่องถัดไปที่แต่ละคนควรเข้าถึงก็คือการแสวงหาและยอมรับความคิด มุมมอง ท่าที และทัศนคติที่ถูกต้องต่อสิ่งต่างๆ เอาละ สามัคคีธรรมในหัวข้อของวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้ สวัสดี!
25 มีนาคม ค.ศ. 2023
เชิงอรรถ:
ก. ไท่ซุ่ย มาจากคำเต็มว่าเทพเจ้าไท่ซุ่ย ในโหราศาสตร์ของจีน ไท่ซุ่ยหมายถึงเทพพิทักษ์ประจำปี ไท่ซุ่ยกำกับดูแลโชคลาภทั้งปวงของแต่ละปี
ข. ข้อความดั้งเดิมไม่มีวลี “ซึ่งแปลว่าร่ำรวยเสมอไป การออกเสียงในภาษาจีนกลางก็คล้ายกับเลข 1 6 และ 8”