2. พวกเราได้เชื่อเสมอมาว่า การที่ได้รับการยกโทษต่อบาปของพวกเราโดยผ่านทางการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าของพวกเรานั้น ก็คือการได้มาซึ่งพระคุณแห่งความรอด กระนั้นพวกคุณก็ยังพูดว่า “การได้รับการช่วยให้รอด” ไม่ใช่หมายความถึงความรอดอันแท้จริง ดังนั้นแล้วการได้รับการช่วยให้รอดหมายถึงสิ่งใดกันแน่ และการได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วนหมายถึงสิ่งใด? อะไรคือความแตกต่างที่เป็นแก่นสำคัญระหว่างการได้รับการช่วยให้รอดกับการได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน?
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ” (มาระโก 16:16)
“เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก” (มัทธิว 26:28)
“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” (มัทธิว 7:21)
“คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าพวกเขาเป็นพรหมจารี เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ” (วิวรณ์ 14:4-5)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูอย่างสมบูรณ์ แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)
ทันทีที่ช่วงระยะที่สองของพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น—หลังการตรึงกางเขน—พระราชกิจของพระเจ้าในการกู้คืนมนุษย์จากบาป (ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการกู้คืนมนุษย์มาจากเงื้อมมือของซาตาน) ก็ได้สำเร็จลุล่วงลง และฉะนั้น จากชั่วขณะเวลานั้นเป็นต้นมา มวลมนุษย์เพียงจำต้องยอมรับองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด และบาปทั้งหลายของพวกเขาก็จะได้รับการยกโทษ กล่าวพอเป็นพิธีได้ว่า บาปทั้งหลายของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งขวางกั้นการสัมฤทธิ์ผลในความรอดและในการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าอีกต่อไป และจะไม่ใช่อำนาจอิทธิพลที่ซาตานใช้กล่าวหามนุษย์อีกต่อไป นั่นเป็นเพราะว่า พระเจ้าพระองค์เองนั้นได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจอันแท้จริง ได้ทรงกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปและตัวอย่างประสบการณ์ของเนื้อหนังที่บาป และพระเจ้าพระองค์เองคือเครื่องบูชาลบล้างบาป ด้วยวิธีนี้ มนุษย์จึงลงมาจากกางเขน และได้รับการไถ่และช่วยให้รอดผ่านทางเนื้อหนังมนุษย์ของพระเจ้า—สภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปนี้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น
พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายก็คือเพื่อที่จะตรัสพระวจนะ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันยิ่งใหญ่สามารถส่งผลในมนุษย์โดยวิถีทางแห่งพระวจนะทั้งหลาย การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่ได้ส่งผลในผู้คนเหล่านี้ในตอนนี้ทันทีที่พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้นั้น ยิ่งใหญ่กว่าบรรดาการเปลี่ยนแปลงที่ได้ส่งผลในผู้คนในทันทีที่พวกเขายอมรับหมายสำคัญและการอัศจรรย์แห่งยุคพระคุณมากมายนัก เพราะในยุคพระคุณนั้น ปีศาจทั้งหลายได้ถูกขับไล่ออกจากมนุษย์ด้วยการวางมือและการอธิษฐาน แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายภายในมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ มนุษย์ได้รับการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาและได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้ การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์ ในกาลเวลาที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์ ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และภาพลักษณ์มีใจศรัทธาของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้ เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ? ยัง! ดังนั้นหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่ ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)
เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน เต็มไปด้วยอุปนิสัยอันกบฏ โสมมอย่างน่าสังเวช และเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด ผู้คนละโมบอยากได้ความชื่นชมยินดีในเนื้อหนังมากเกินไป และมีการสำแดงของเนื้อหนังมากเกินไป นี่คือสาเหตุที่พระเจ้าทรงดูหมิ่นเนื้อหนังของมนุษย์ในระดับหนึ่ง เมื่อผู้คนปลดเปลื้องสิ่งที่โสมมและเสื่อมทรามทั้งหลายของซาตานออก พวกเขาก็ได้ความรอดจากพระเจ้า แต่หากพวกเขายังคงไม่ปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากความโสมมและความเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน การสมรู้ร่วมคิด การหลอกลวง และความคดโกงของผู้คนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของซาตานทั้งสิ้น การที่พระเจ้าทรงช่วยเจ้าให้รอดเป็นการพาเจ้าให้หลุดจากสิ่งเหล่านี้ของซาตาน พระราชกิจของพระเจ้าไม่อาจผิดพลาดได้ ทุกพระราชกิจกระทำขึ้นเพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากความมืดมิด เมื่อเจ้าเชื่อมาถึงจุดหนึ่งและสามารถปลดเปลื้องตัวเองจากความเสื่อมทรามของเนื้อหนัง และไม่ได้ถูกความเสื่อมทรามนี้ล่ามโซ่ตรวนไว้อีกต่อไป เจ้าย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดไปแล้วมิใช่หรือ? เมื่อเจ้าใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เจ้าไม่สามารถสำแดงพระเจ้าได้ เจ้าเป็นบางสิ่งที่โสมมและไม่สามารถได้รับมรดกของพระเจ้า เมื่อเจ้าได้รับการชำระล้างให้สะอาดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว เจ้าจะบริสุทธิ์ เจ้าจะเป็นบุคคลปกติ และเจ้าจะได้รับพรจากพระเจ้าและเป็นที่ปีติยินดีของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)
นัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้าคือการได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้นแล้วการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอะไร? “การได้รับการช่วยให้รอด” “การแยกตัวออกจากอิทธิพลมืดของซาตาน”—ผู้คนพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้บ่อยครั้ง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอะไร การได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอะไร? การนี้เกี่ยวโยงกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือการได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าเจ้าสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ และหมายความว่าเจ้าได้รับการชุบชีวิต ดังนั้นก่อนหน้านั้นเจ้าตายแล้วหรือ? เจ้าสามารถพูดได้ และเจ้าสามารถหายใจได้ ดังนั้นแล้วจะสามารถพูดว่าเจ้าตายแล้วได้อย่างไร? (วิญญาณตายแล้ว) ทำไมจึงมีการพูดว่าผู้คนตายแล้วหากวิญญาณของพวกเขาตาย? การพูดเช่นนี้มีสิ่งใดเป็นพื้นฐานเล่า? ผู้คนดำรงชีวิตภายใต้แดนครอบครองของใครหรือก่อนที่พวกเขาได้บรรลุความรอด? (ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน) และผู้คนพึ่งพาสิ่งใดหรือในการดำรงชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน? พวกเขาพึ่งพาธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาในการดำรงชีวิต เมื่อบุคคลหนึ่งดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ ความเป็นอยู่ทั้งปวงของพวกเขา—เนื้อหนังของพวกเขา และด้านอื่นๆ ทั้งหมด อาทิ ดวงจิตของพวกเขาและความคิดของพวกเขา—จะเป็นหรือตายเล่า? จากทัศนคติของพระเจ้า พวกเขาตายแล้ว จากภายนอกผิวเผิน เจ้าปรากฏเหมือนว่ากำลังหายใจและกำลังคิด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังคิดอยู่เนืองนิตย์คือความชั่ว เจ้าคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นการเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าและเป็นกบฏต่อพระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ทรงเกลียดชัง และทรงกล่าวโทษ ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่เพียงแค่เป็นของเนื้อหนังเท่านั้น แต่ทั้งหมดนั้นเป็นของซาตานและพวกมาร ดังนั้นแล้วผู้คนเป็นสิ่งใดในสายพระเนตรของพระเจ้า? พวกเขาเป็นมนุษย์หรือไม่? ไม่ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พระเจ้าทรงมองเห็นพวกเขาเป็นพวกมาร เป็นเหล่าสัตว์ และเป็นพวกซาตาน พวกซาตานที่มีชีวิต! ผู้คนดำรงชีวิตด้วยสิ่งทั้งหลายและแก่นแท้ของซาตาน และในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาเองก็เป็นพวกซาตานที่มีชีวิตซึ่งสวมใส่เนื้อหนังมนุษย์ พระเจ้าทรงนิยามผู้คนเช่นนี้ว่าซากศพเดินได้ เหมือนผู้คนที่ตายแล้ว พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดในปัจจุบันของพระองค์เพื่อรับผู้คนเช่นนี้—ซากศพเดินได้เหล่านี้ซึ่งดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขาและตามแก่นแท้เยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา—พระองค์ทรงรับสิ่งที่เรียกว่าผู้คนที่ตายแล้วเหล่านี้ และทรงแปรพวกเขาไปเป็นคนมีชีวิต นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอด
ประเด็นของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการบรรลุความรอด การได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าเจ้าแปรจากบุคคลที่ตายแล้วไปเป็นบุคคลที่มีชีวิต ความหมายโดยนัยของการนี้ก็คือลมหายใจของเจ้าได้รับการรื้อฟื้น และเจ้ามีชีวิต เจ้ามีความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าได้ และเจ้ามีความสามารถที่จะกราบไหว้เพื่อนมัสการพระองค์ได้ ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่มีการต้านทานพระเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่เยาะเย้ยท้าทายพระองค์ ไม่โจมตีพระองค์ และไม่กบฏต่อพระองค์อีกต่อไป มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีชีวิตอย่างจริงแท้ในสายพระเนตรของพระเจ้า หากใครบางคนเพียงแค่พูดว่าพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเป็นหนึ่งในบรรดาคนมีชีวิตหรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่เป็น) ดังนั้นแล้วผู้คนประเภทใดเล่าที่เป็นคนมีชีวิต? คนมีชีวิตครองความเป็นจริงจำพวกใดเล่า? อย่างน้อยที่สุด คนมีชีวิตสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ นั่นคือสิ่งใด? นั่นหมายความว่าคำพูดที่พวกเขาเปล่งออกมาเกี่ยวข้องกับแนวคิด ความคิด และวิจารณญาณ คนมีชีวิตคิดเกี่ยวกับและทำสรรพสิ่งใดเป็นนิจศีล? พวกเขามีความสามารถที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมของมนุษย์ และทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงได้ สิ่งใดเป็นธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขาทำและพูด? นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเปิดเผย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาคิด และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นถูกทำด้วยธรรมชาติแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว กล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้นก็คือ ในฐานะคนมีชีวิตคนหนึ่ง ทุกความประพฤติและทุกความคิดของเจ้าไม่ถูกกล่าวโทษโดยพระเจ้า หรือถูกรังเกียจและถูกบอกปัดโดยพระเจ้า แต่สิ่งเหล่านั้นกลับได้รับความเห็นชอบและการชมเชยโดยพระเจ้าเสียมากกว่า นี่คือสิ่งที่คนมีชีวิตทำ และก็เป็นสิ่งที่คนมีชีวิตควรทำอีกด้วย
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการเชื่อฟังที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความเชื่อที่จริงแท้
หากผู้คนปรารถนาที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาต้องนบนอบด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และต้องยอมรับด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการตัดแต่งของพระเจ้าและการจัดการโดยพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มาปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง คนเป็นได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า พวกเขาเต็มใจอุทิศตนและยินดีวางชีวิตของพวกเขาลงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะยินดีอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้า จนเมื่อคนเป็นเป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้วเท่านั้น ซาตานจึงสามารถถูกทำให้อับอายได้ มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถเผยแพร่พระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้า และมีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นผู้คนจริงๆ เดิมทีนั้นมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างนั้นมีชีวิต แต่เนื่องจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์จึงมีชีวิตท่ามกลางความตายและมีชีวิตภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดังนั้น ด้วยวิธีนี้เองผู้คนจึงได้กลายเป็นคนตายไร้จิตวิญญาณ พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกเขาได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตาน และพวกเขาได้กลายเป็นเชลยของซาตาน พวกคนเป็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างได้กลายเป็นคนตาย และดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงสูญเสียคำพยานของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงสูญเสียมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างและซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีลมหายใจของพระองค์ หากพระเจ้าทรงหมายจะเอาคำพยานของพระองค์กลับคืนและเอาพวกที่พระองค์ทรงทำขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แต่ถูกซาตานจับเป็นเชลยกลับคืน เช่นนั้นแล้วพระองค์ต้องทรงคืนชีพพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิต และพระองค์ต้องทรงเรียกพวกเขากลับคืนเพื่อให้พวกเขามีชีวิตในความสว่างของพระองค์ คนตายคือพวกที่ไม่มีจิตวิญญาณ พวกที่ด้านชาอย่างที่สุดและพวกที่ต่อต้านพระเจ้า แรกที่สุดพวกเขาเป็นพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่มีเจตนาแม้แต่น้อยที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาเพียงแต่กบฏต่อพระองค์และต่อต้านพระองค์เท่านั้น และไม่มีความจงรักภักดีแม้แต่น้อย คนเป็นคือพวกที่จิตวิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว พวกที่รู้จักเชื่อฟังพระเจ้า และพวกที่ภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาถูกครอบครองด้วยความจริง และด้วยคำพยาน และผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?