1. ในพระคัมภีร์ เปาโลได้กล่าวว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า” (โรม 13:1)  “จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า” (กิจการ 20:28)  ผู้คนส่วนมากในโลกศาสนาดำเนินไปตามคำพูดของเปาโลในการเชื่อของพวกเขาที่ว่า พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้นได้รับการแต่งตั้งโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า และว่าพวกเขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในคริสตจักร  พวกเขาเชื่อว่า บรรดาผู้ที่รับฟังและเชื่อฟังพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้นเชื่อฟังและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และการรับฟังคำพูดของพวกศิษยาภิบาลก็คือการรับฟังพระวจนะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า  นี่เป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  พวกเขาอาจดูมี “องค์ประกอบอันเพียบพร้อม” แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยจินตนาการของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา  หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองและหลอกลวงผู้คนเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา”  มนุษย์เป็นสื่อกลางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา นั่นมิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นจำพวกเดียวกันกับเปาโล…

ก่อนหน้านั้น บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าอาจจะได้ติดตามบุคคลผู้หนึ่ง หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า ในช่วงระยะสุดท้ายนี้ พวกเขาจะได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากรากฐานของเจ้าคือการที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับช่วงระยะแห่งพระราชกิจนี้ แต่เจ้าก็ยังคงติดตามบุคคลผู้หนึ่งต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่อาจได้รับการอภัยได้ และจะมีจุดจบเช่นเดียวกับที่เปาโลมี

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ความสำคัญหลักในการติดตามพระเจ้าคือทุกสิ่งควรเป็นไปอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตหรือการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง ทุกสิ่งควรมีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้  หากสิ่งที่เจ้าเข้าสนิทและไล่ตามเสาะหาไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็แปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้า และสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ติดตามรอยพระบาทของพระองค์  ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจมาก่อนนั้นจะมหัศจรรย์และบริสุทธิ์เพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนั้น และหากเจ้าไม่สามารถละวางสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ของเจ้าในอนาคต  บรรดาผู้ที่สามารถติดตามความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมได้รับพร  ผู้คนในยุคก่อนๆ ก็ติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าเช่นกัน แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถติดตามมาจนถึงทุกวันนี้ นี่จึงเป็นพรของผู้คนในยุคสุดท้าย  บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้และสามารถติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าจนถึงขนาดที่พวกเขาติดตามพระเจ้าไปไม่ว่าพระองค์จะทรงนำทางพวกเขาไปยังที่ใด—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพรจากพระเจ้า  พวกที่ไม่ได้ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงชมเชยพวกเขา…“การติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ สามารถกระทำการอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ในปัจจุบันของพระเจ้า สามารถเชื่อฟังและติดตามพระเจ้าของวันนี้ และเข้าสู่อย่างสอดคล้องกับถ้อยดำรัสใหม่ล่าสุดของพระเจ้า  นี่คือใครคนหนึ่งที่ติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงสามารถรับการสรรเสริญจากพระเจ้าและมองเห็นพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้า และสามารถรู้จักมโนคติอันหลงผิดและความไม่เชื่อฟังของมนุษย์และธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษย์จากพระราชกิจล่าสุดของพระองค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถค่อยๆ สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา  เฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับพระเจ้า และเป็นผู้ที่พบหนทางที่แท้จริงโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์

ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์  จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม  ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์  นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงหาอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขาพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อมถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่เหล่าคนทรยศที่หันหลังให้กับพระคริสต์ กับความจริง และกับชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง  พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์  บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด? เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้วเจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ  เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

ไม่สำคัญว่ามีผู้คนเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใด แต่ทันทีที่การเชื่อของพวกเขาถูกพระองค์ทรงนิยามว่าเป็นการเชื่อของศาสนาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  ในผู้คนแก๊งหนึ่งหรือฝูงหนึ่งที่ปราศจากพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้า และที่ไม่นมัสการพระองค์เลย พวกเขานมัสการผู้ใด?  พวกเขาติดตามผู้ใด?  ในรูปแบบและในนาม พวกเขาติดตามบุคคลหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาติดตามผู้ใด?  ลึกลงไปพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า แต่อันที่จริง พวกเขาอยู่ภายใต้การบงการ การจัดการเตรียมการ และการควบคุมของมนุษย์  พวกเขาติดตามมารซาตาน พวกเขาติดตามกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า และที่เป็นศัตรูของพระองค์  พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนหมู่หนึ่งเช่นผู้คนพวกนี้ให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  พวกเขาสามารถกลับใจใหม่ได้หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่สามารถกลับใจใหม่ได้  พวกเขาโบกธงแห่งความเชื่อ ดำเนินอุตสาหกิจของมนุษย์จนเสร็จสิ้น และกระทำการบริหารจัดการของพวกเขาเอง และพวกเขาวิ่งสวนทางกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์  บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาคือบทอวสานของการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ พระองค์ไม่สามารถช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดได้ พวกเขาไม่อาจสามารถกลับใจได้ พวกเขาได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว—พวกเขาอยู่ในกำมือของซาตานโดยสิ้นเชิง  ในความเชื่อของเจ้า จำนวนปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามีความสำคัญหรือไม่ต่อการที่เจ้าจะได้รับการยกย่องโดยพระองค์หรือไม่?  พิธีกรรมและกฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้ายึดปฏิบัติตามสำคัญหรือไม่?  พระเจ้าทรงมองวิธีการปฏิบัติของผู้คนหรือไม่?  พระองค์ทรงมองว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดหรือไม่?  พระองค์ได้ทรงเลือกมวลมนุษย์ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงวัดอย่างไรว่าพวกเขาสามารถและควรได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  พระองค์ทรงวางการตัดสินใจนี้บนพื้นฐานของเส้นทางต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้เดิน  ในยุคพระคุณ แม้ว่าความจริงที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนมีจำนวนน้อยกว่าในวันนี้ และไม่เฉพาะเจาะจงเท่า แต่พระองค์ก็ยังคงสามารถทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมได้ ณ เวลานั้น และความรอดก็ยังคงเป็นไปได้  ด้วยเหตุนั้น สำหรับผู้คนของยุคนี้ที่ได้ยินความจริงมากมายและได้มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว หากพวกเขาไม่สามารถติดตามหนทางของพระองค์และไร้ความสามารถที่จะเดินบนเส้นทางแห่งความรอดได้ เช่นนั้นแล้วบทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด?  บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นเช่นเดียวกันกับของบรรดาผู้เชื่อในศาสนาคริสต์และศาสนายิว จะไม่มีความแตกต่าง  นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า!  ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง หรือเจ้าได้เข้าใจความจริงมากเพียงใด หากในที่สุดเจ้ายังคงติดตามพวกมนุษย์และซาตาน และในท้ายที่สุด หากเจ้ายังคงไม่สามารถติดตามหนทางของพระเจ้าได้ และไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ  เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย และอาจได้มาเข้าใจความจริงมากมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และไม่สามารถนบนอบอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระองค์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงนิยามพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหนึ่ง เป็นเพียงพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง—พวกมนุษย์แก๊งหนึ่ง—และเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับซาตาน  โดยรวมแล้วพวกเขาถูกอ้างอิงว่าเป็นแก๊งของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด

มันคงจะดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้คนที่อ้างว่าติดตามพระเจ้าในการที่จะเปิดตาของตนและมองให้ดีเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อ กล่าวคือ จริงแท้หรือที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในซาตาน?  หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นรูปเคารพของเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าใครที่เจ้าเชื่อแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็อีกเช่นเคย มันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ได้อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ  การพูดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นศาสนา!  ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า  จงอย่าพูดว่าพวกเจ้าเชื่อในเรา เราเลิกทนกับการพูดเช่นนั้นแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเจ้าและบรรดาอันธพาลประจำถิ่นในหมู่พวกเจ้า  พวกที่ส่ายหน้าของตนเมื่อได้ยินความจริง ผู้ที่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินการพูดถึงความตาย ล้วนเป็นลูกหลานของซาตาน และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะถูกกำจัดไป  หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้  เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน  แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย  พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย  พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง?  สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น  การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา?  ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ประเภทใดเลยของผู้ที่รักความจริง ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง  การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ?  หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว?  นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่?  เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง  หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน  หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป  หากเจ้ายังไม่ถูกขับไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการขับไล่ แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการกำจัด  ไม่มีความรีบร้อนที่จะขับไล่เจ้าในตอนนี้  เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

ก่อนหน้า: 4. โลกศาสนาลนลานต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  โลกศาสนากระทำการชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า โดยกำลังกลายเป็นกองรบอันเหนียวแน่นของพวกศัตรูของพระคริสต์  ว่าแต่ผลสุดท้ายและบทอวสานของโลกศาสนาจะเป็นสิ่งใดเล่าสำหรับการที่เชื่อในพระเจ้าแต่กำลังต่อต้านพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า?

ถัดไป: 2. พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี พวกเขามีความรู้อย่างสูงเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และความเชื่อของพวกเขานั้นก็อยู่เหนือความเชื่อของพวกเรา ดังนั้นแล้ว ในความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา พวกเราควรรับฟังพวกเขา  พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า แต่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการนี้ และไปไกลถึงขึ้นต่อต้านและกล่าวโทษการนี้  เมื่อเป็นดังนั้น พวกเราก็ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger