3. พวกคุณให้คำพยานว่าพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์นั้นได้รับการดำรัสไว้โดยพระเจ้าพระองค์เอง กระนั้นก็ยังมีบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ได้ถูกพูดไว้โดยใครบางคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงให้ความรู้แจ้ง  อะไรกันแน่คือความแตกต่างระหว่างพระวจนะที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ กับคำพูดที่ถูกพูดโดยใครบางคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงให้ความรู้แจ้ง?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ความจริงนั้นมาจากโลกของมนุษย์ กระนั้นความจริงท่ามกลางมนุษย์ก็ถูกส่งต่อโดยพระคริสต์  นั่นมีจุดกำเนิดจากพระคริสต์ กล่าวคือ จากพระเจ้าพระองค์เอง และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ความจริงเป็นคำสุภาษิตของชีวิตที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นภาษิตซึ่งสูงส่งที่สุดในบรรดาภาษิตเช่นนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง  เพราะเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อมนุษย์ และเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ จึงถูกเรียกว่า “ภาษิตแห่งชีวิต”  มันไม่ใช่ภาษิตที่ถูกสรุปย่อจากบางสิ่ง และไม่ใช่คำคมอันโด่งดังจากบุคคลสำคัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเป็นถ้อยดำรัสถึงมวลมนุษย์จากองค์เจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง มันไม่ใช่คำพูดบางคำที่มนุษย์สรุปขึ้นมา แต่เป็นพระชนม์ชีพประจำพระองค์ของพระเจ้า  และดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “ที่สุดแห่งภาษิตชีวิตทั้งปวง”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

ไม่ว่าพระวจนะซึ่งตรัสโดยพระเจ้านั้นเรียบง่ายหรือลุ่มลึกในการปรากฏภายนอก พระวจนะก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงอันจะขาดเสียไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อเขาเข้าสู่ชีวิต พระวจนะคือน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตซึ่งทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งในจิตวิญญาณและเนื้อหนัง  พระวจนะจัดเตรียมสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ หลักธรรมและหลักความเชื่อในทางศาสนาสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา เส้นทางที่เขาต้องใช้เพื่อไปสู่ความรอด ตลอดจนเป้าหมายและทิศทาง ความจริงทุกอย่างซึ่งเขาควรมีในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า พระวจนะเป็นเครื่องรับประกันที่ทำให้มั่นใจได้ถึงการอยู่รอดของมนุษย์ พระวจนะคือขนมปังประจำวันของมนุษย์ และพระวจนะยังเป็นสิ่งรองรับอันมั่นคงซึ่งทำให้มนุษย์สามารถเข้มแข็งและยืนหยัดได้เช่นกัน  พระวจนะนั้นมั่งคั่งไปด้วยความเป็นจริงของความจริงซึ่งมวลมนุษย์ที่ทรงสร้างใช้ในการดำเนินชีวิตไปตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ มั่งคั่งไปด้วยความจริงที่มนุษยชาติซึ่งทรงสร้างใช้ในการหลุดเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามและแคล้วคลาดจากกับดักของซาตาน มั่งคั่งไปด้วยการสอน การเตือนสติ การหนุนใจอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และการบรรเทาทุกข์ซึ่งพระผู้สร้างทรงมอบให้มนุษยชาติที่ทรงสร้างขึ้นมา  พระวจนะคือดวงประทีปซึ่งชี้นำและให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์เพื่อให้เข้าใจทุกสิ่งที่เป็นบวก เป็นเครื่องรับประกันซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเหล่ามนุษย์จะดำเนินชีวิตไปตามทุกสิ่งซึ่งชอบธรรมและดีงามและมามีสิ่งเหล่านั้น เป็นเกณฑ์ซึ่งใช้ในการวัดผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และวัตถุสิ่งของทั้งหมด และยังเป็นเครื่องหมายนำทางซึ่งนำพามนุษย์ไปสู่ความรอดและเส้นทางแห่งความสว่างเช่นกัน  

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ

พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้  มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้  ในที่นี้มีความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง  บางทีหลังจากอ่านวจนะเหล่านี้ เจ้าไม่ยอมรับรู้ว่าเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับมา  ในกรณีนั้น เจ้าถูกความไม่รู้เท่าทันทำให้ตาบอด  พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนกับความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้มาได้อย่างไรกัน? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่  ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น  มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์  พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์  หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์  ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่ควรผสมปะปนถูกกับผิด หรือทำให้สูงกลายเป็นต่ำ หรือเข้าใจผิดเห็นลุ่มลึกเป็นตื้นเขิน ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่ควรจงใจปฏิเสธสิ่งที่เจ้ารู้ว่าเป็นความจริง  ทุกคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งควรสืบค้นเข้าไปในปัญหาจากจุดยืนที่ถูกต้องและยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและพระวจนะใหม่ของพระองค์จากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะถูกพระเจ้าขจัดสิ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

วิธีการปฏิบัติของมนุษย์และความรู้เกี่ยวกับความจริงของเขาทั้งหมดใช้ได้กับวงเขตที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ  เจ้าไม่สามารถกล่าวว่าเส้นทางที่มนุษย์ก้าวย่างนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ เพราะมนุษย์สามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น และไม่สามารถได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ได้  สิ่งที่มนุษย์สามารถรับประสบการณ์ได้ทั้งหมดอยู่ภายในวงเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่สามารถเกินจากแนวข่ายความคิดในจิตใจของมนุษย์ที่ปกติได้  คนเหล่านั้นทั้งหมดที่สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริงได้รับประสบการณ์ภายในแนวข่ายนี้  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริง สิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ นั่นไม่ใช่วิธีการรับประสบการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริงที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของการใช้ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงนี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และความลึกซึ้งของความจริงนี้สัมพันธ์กับสภาวะของบุคคลนั้นๆ  คนเราสามารถพูดได้เพียงว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินคือชีวิตมนุษย์ที่ปกติของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะเรียกเส้นทางนั้นได้ว่าเส้นทางที่เดินโดยบุคคลที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่เขาเดินคือเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน  ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปกตินั้น เพราะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหานั้นไม่เหมือนกัน พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่เหมือนกันด้วยเช่นกัน  นอกจากนั้น เพราะสภาพแวดล้อมที่ผู้คนได้รับประสบการณ์และแนวข่ายของประสบการณ์ของพวกเขาไม่เหมือนกัน และเพราะส่วนผสมของจิตใจและความคิดของพวกเขา ประสบการณ์ของพวกเขาจึงผสมผสานในระดับที่แตกต่างกัน  บุคคลแต่ละคนเข้าใจความจริงตามสภาพเงื่อนไขของพวกเขาที่แตกต่างกันและเป็นปัจเจก  ความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความหมายจริงๆ ของความจริงไม่ได้ครบบริบูรณ์ และเป็นเพียงหนึ่งหรือหลายแง่มุมของความจริงนั้นเท่านั้น  วงเขตของความจริงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเงื่อนไขของแต่ละบุคคล  ในหนทางนี้ ความรู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องเดียวกันตามที่แสดงออกโดยผู้คนที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  นี่จึงกล่าวได้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีข้อจำกัดเสมอ และไม่สามารถเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างครบบริบูรณ์ อีกทั้งงานของมนุษย์ไม่สามารถได้รับการล่วงรู้ว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า ถึงแม้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดมากก็ตาม และถึงแม้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์จะใกล้เคียงกับพระราชกิจการทำให้มีความเพียบพร้อมที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการก็ตาม  มนุษย์สามารถเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ที่กระทำการงานที่พระเจ้ามอบความไว้วางพระทัยให้แก่เขา  มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงความรู้ที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริงที่ได้รับจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเองเท่านั้น  มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติและไม่เป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่จะเป็นทางออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดว่างานของเขาคือพระราชกิจของพระเจ้า  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกโดยตรงก็คือความจริง  สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แค่คล้อยตามความจริง ด้วยเหตุที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนโดยอยู่บนพื้นฐานของวุฒิภาวะของพวกเขา และไม่สามารถแสดงความจริงแก่มนุษย์โดยตรงได้  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าจะต้องเข้าใจ  และเมื่อผู้คนได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และได้รับความรู้จากการได้รับประสบการณ์โดยอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะแห่งความจริง ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนั้นนับว่าเป็นความจริงหรือไม่?  อย่างมากที่สุด นี่คือความรู้เล็กน้อยอย่างหนึ่งในเรื่องของความจริง  พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งนั้นไม่ได้เป็นตัวแทนพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะเหล่านั้นไม่ได้เป็นตัวแทนความจริง พระวจนะเหล่านั้นไม่ได้เป็นของความจริง พระวจนะเหล่านั้นเป็นแค่ความรู้เล็กน้อยอย่างหนึ่งในเรื่องของความจริง ความรู้แจ้งเล็กน้อยอย่างหนึ่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากผู้คนได้รับความรู้บางอย่างในเรื่องของความจริง และจากนั้นจึงจัดหาความรู้นั้นให้แก่ผู้อื่น เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นการจัดหาความรู้และประสบการณ์ส่วนบุคคลเช่นกัน  สิ่งเหล่านั้นไม่ได้กำลังจัดหาความจริงให้ผู้คน  สามารถกล่าวได้ว่า นี่คือการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง—นี่เองคือหนทางที่เหมาะสมที่จะอธิบายถึงการนั้น  เพราะนี่เป็นเรื่องเรียบง่ายและผู้คนส่วนใหญ่ไร้ความสามารถที่จะเจาะทะลุเรื่องนี้อย่างครบบริบูรณ์ พวกเจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน นั่นไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้คำพูดที่ถูกต้องแม่นยำ หรือว่าพวกเจ้าก็แค่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจการแปลความหมายบางอย่าง และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  เจ้าอาจได้รับหลายสิ่งจำเพาะจากความจริงแล้ว สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ควรที่จะครอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าได้รับความจริงแล้ว  และเจ้าอาจยังได้รับสิ่งอื่นๆ จากความจริงไปแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เจ้าครองชีวิตแห่งความจริง นับประสาอะไรที่จะสามารถกล่าวได้ว่า เจ้าคือความจริง—ไม่ใช่กรณีเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง เจ้าเพียงได้รับเอามาซึ่งบางสิ่งอันเปี่ยมคุณค่าบำรุงเลี้ยงจากความจริงเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตของเจ้า เพื่อที่จะได้มีบางสิ่งในตัวเจ้า บางสิ่งที่เจ้าควรครอง ที่เชื่อในพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พระเจ้าทรงใช้ความจริงเพื่อจัดเตรียมสำหรับผู้คน ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและมีหัวใจตรงกันกับพระองค์โดยผ่านทางความจริง  ในที่สุด แม้ในคราที่ผู้คนได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขามีความจริง นับประสาอะไรที่จะสามารถกล่าวได้ว่า มีชีวิตแห่งความจริงภายในตัวพวกเขา…ทุกคนได้รับประสบการณ์กับความจริง แต่ว่าแต่ละคนก็ทำเช่นนั้นภายใต้รูปการณ์ที่แตกต่างกัน และทุกคนได้รับบางสิ่งที่แตกต่างกัน  ทว่าต่อให้ได้ผสานความรู้ของพวกเขาเข้าด้วยกัน พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถแสดงความจริงสักประการออกมาเป็นคำพูดฉะฉานได้อย่างเต็มที่  ความจริงลุ่มลึกมากเช่นนั้นนั่นเอง!  เหตุใดจึงพูดกันว่า สิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้รับมาแล้วและความรู้ของเจ้านั้น ไม่สามารถแทนความจริงได้?  เจ้าสามัคคีธรรมความรู้ของเจ้ากับคนอื่น และใช้เวลาเพียงสองหรือสามวันในการใคร่ครวญเท่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่แล้ว  แต่ผู้คนสามารถใช้ทั้งชั่วชีวิตและยังคงไม่ได้รับประสบการณ์กับความจริงอย่างเต็มที่เลย ต่อให้สิ่งที่แต่ละคนได้รับประสบการณ์มานั้นถูกผสานเข้าด้วยกัน ความจริงก็ยังคงจะไม่ได้ถูกรับประสบการณ์ไปอย่างเต็มที่  ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่า ความจริงนั้นลุ่มลึกเป็นพิเศษเหนือธรรมดา  ความจริงนั้นไม่สามารถแสดงออกเป็นคำพูดฉะฉานอย่างเต็มที่ได้ด้วยพระวจนะ  ในภาษาของมนุษย์นั้น ความจริงคือแก่นแท้อันแท้จริงของมวลมนุษย์  มนุษย์จะไม่มีวันมีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงอย่างเต็มที่  มนุษย์ควรใช้ชีวิตตามความจริง  ความจริงหนึ่งประการสามารถค้ำชูการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งปวงของมวลมนุษย์ได้เป็นเวลาหลายพันปี

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ความจริงก็คือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง ความจริงเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างในพระองค์  หากเจ้ากล่าวว่า การมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยหมายถึงการครองความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?  เจ้าอาจมีประสบการณ์หรือความสว่างที่เกี่ยวข้องกับด้านหรือแง่มุมเฉพาะบางอย่างของความจริงหนึ่งอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่สามารถใช้ประสบการณ์หรือความสว่างนั้นจัดหาให้กับผู้อื่นได้ตลอดกาล  ดังนั้นความสว่างที่เจ้าได้รับจึงไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่จุดเฉพาะหนึ่งที่ผู้คนสามารถไปถึงได้เท่านั้นเอง  มันก็แค่เป็นประสบการณ์อันถูกต้องเหมาะสมและความเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมซึ่งบุคคลหนึ่งควรครอง นั่นคือ ประสบการณ์และความรู้ตามจริงบางอย่างเกี่ยวกับความจริง  ความสว่างนี้ ความรู้แจ้ง และความเข้าใจเชิงประสบการณ์ไม่มีวันสามารถใช้แทนความจริงได้ ต่อให้ผู้คนทั้งหมดได้รับประสบการณ์กับความจริงนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และนำความเข้าใจเชิงประสบการณ์ทั้งปวงของพวกเขามาลงขันกัน นั่นก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะมาแทนที่ความจริงหนึ่งเดียวนั้นได้อยู่ดี  ดังที่ได้ถูกกล่าวไว้ในอดีตว่า “เราจึงสรุปการนี้ทั้งหมดด้วยคติพจน์สำหรับพิภพมนุษย์ว่า ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา”  นี่คือถ้อยแถลงหนึ่งของความจริง มันคือแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต  นี่คือสิ่งทั้งหลายซึ่งลุ่มลึกที่สุด นี่คือการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง  เจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ได้เรื่อยไป และหากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสามปี เจ้าก็จะมีความเข้าใจผิวเผินเกี่ยวกับสิ่งนี้ หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็จะยิ่งได้รับความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนี้—แต่ความเข้าใจอันใดก็ตามที่เจ้าได้รับจะไม่มีวันสามารถใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้  อีกบุคคลหนึ่งอาจจะได้รับความเข้าใจน้อยนิดหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสองปี แล้วจากนั้นก็ได้รับความเข้าใจที่ลุ่มลึกขึ้นสักเล็กน้อยหลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสิบปี และแล้วก็ได้รับความเข้าใจคืบหน้าไปบ้างหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ชั่วชีวิต—แต่หากเจ้ากับอีกบุคคลหนึ่งผสานความเข้าใจอันใดที่เจ้าทั้งคู่ได้รับมาเข้าด้วยกัน ต่อให้ถึงตอนนั้นแล้ว—ไม่สำคัญว่าเจ้าทั้งคู่ครองความเข้าใจมากเพียงใด ประสบการณ์มากเพียงใด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากมายเพียงใด ความสว่างมากเพียงใด หรือตัวอย่างมากมายเพียงใด—ทั้งหมดนั้นยังคงไม่สามารถใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้อยู่ดี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชีวิตของมนุษย์จะเป็นชีวิตของมนุษย์เสมอ และไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้ามากเท่าไรที่อาจจะสอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ มันก็จะไม่มีวันที่จะมีความสามารถในการเป็นสิ่งที่ใช้แทนความจริงได้  การกล่าวว่า ผู้คนได้รับความจริงแล้วหมายความว่า พวกเขาครองความเป็นจริงอยู่บ้าง ว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความจริง ว่าพวกเขาได้บรรลุการเข้าสู่ซึ่งเป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้มีประสบการณ์ที่เป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า และว่าพวกเขาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  แค่ถ้อยแถลงหนึ่งเดียวจากพระเจ้าก็มากพอแล้วสำหรับบุคคลหนึ่งที่จะได้รับประสบการณ์ไปชั่วทั้งชีวิตหนึ่ง ต่อให้ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับถ้อยแถลงนี้เป็นเวลาหลายชั่วชีวิตหรือแม้กระทั่งหลายพันปี พวกเขาก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียวอย่างทั่วถึงและครบบริบูรณ์ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ก่อนหน้า: 2. พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งกำลังแสดงความจริงทั้งมวลที่สามารถชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ และว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นแล้ว พวกเราควรระลึกรู้พระสุรเสียงแห่งพระเจ้าอย่างไร และพวกเราสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า?

ถัดไป: 4. อะไรคือความแตกต่างระหว่างพระวจนะแห่งพระเจ้าที่สื่อโดยผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ เอเสเคียล และดาเนียลในยุคธรรมบัญญัติ กับพระวจนะแห่งพระเจ้าที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger