1. องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 10:27) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะตรัสถ้อยดำรัสของพระองค์และเสด็จไปตรวจค้นหาแกะของพระองค์ ที่สำคัญยิ่งยวดต่อการรอคอยการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการแสวงหาพระสุรเสียงแห่งพระเจ้า แต่พวกเราไม่มีความสามารถที่จะจำแนกความต่างระหว่างพระสุรเสียงแห่งพระเจ้ากับเสียงของมนุษย์ กรุณาสามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับการนี้
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6)
“เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮีบรู 4:12)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ความจริงนั้นมาจากโลกของมนุษย์ กระนั้นความจริงท่ามกลางมนุษย์ก็ถูกส่งต่อโดยพระคริสต์ นั่นมีจุดกำเนิดจากพระคริสต์ กล่าวคือ จากพระเจ้าพระองค์เอง และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
ความจริงเป็นคำสุภาษิตของชีวิตที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นภาษิตซึ่งสูงส่งที่สุดในบรรดาภาษิตเช่นนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง เพราะเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อมนุษย์ และเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ จึงถูกเรียกว่า “ภาษิตแห่งชีวิต” มันไม่ใช่ภาษิตที่ถูกสรุปย่อจากบางสิ่ง และไม่ใช่คำคมอันโด่งดังจากบุคคลสำคัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเป็นถ้อยดำรัสถึงมวลมนุษย์จากองค์เจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง มันไม่ใช่คำพูดบางคำที่มนุษย์สรุปขึ้นมา แต่เป็นพระชนม์ชีพประจำพระองค์ของพระเจ้า และดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “ที่สุดแห่งภาษิตชีวิตทั้งปวง”
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้
ไม่ว่าพระวจนะซึ่งตรัสโดยพระเจ้านั้นเรียบง่ายหรือลุ่มลึกในการปรากฏภายนอก พระวจนะก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงอันจะขาดเสียไม่ได้สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อเขาเข้าสู่ชีวิต พระวจนะคือน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตซึ่งทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งในจิตวิญญาณและเนื้อหนัง พระวจนะจัดเตรียมสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ หลักธรรมและหลักความเชื่อในทางศาสนาสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา เส้นทางที่เขาต้องใช้เพื่อไปสู่ความรอด ตลอดจนเป้าหมายและทิศทาง ความจริงทุกอย่างซึ่งเขาควรมีในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า พระวจนะเป็นเครื่องรับประกันที่ทำให้มั่นใจได้ถึงการอยู่รอดของมนุษย์ พระวจนะคือขนมปังประจำวันของมนุษย์ และพระวจนะยังเป็นสิ่งรองรับอันมั่นคงซึ่งทำให้มนุษย์สามารถเข้มแข็งและยืนหยัดได้เช่นกัน พระวจนะนั้นมั่งคั่งไปด้วยความเป็นจริงของความจริงซึ่งมวลมนุษย์ที่ทรงสร้างใช้ในการดำเนินชีวิตไปตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ มั่งคั่งไปด้วยความจริงที่มนุษยชาติซึ่งทรงสร้างใช้ในการหลุดเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามและแคล้วคลาดจากกับดักของซาตาน มั่งคั่งไปด้วยการสอน การเตือนสติ การหนุนใจอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และการบรรเทาทุกข์ซึ่งพระผู้สร้างทรงมอบให้มนุษยชาติที่ทรงสร้างขึ้นมา พระวจนะคือดวงประทีปซึ่งชี้นำและให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์เพื่อให้เข้าใจทุกสิ่งที่เป็นบวก เป็นเครื่องรับประกันซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเหล่ามนุษย์จะดำเนินชีวิตไปตามทุกสิ่งซึ่งชอบธรรมและดีงามและมามีสิ่งเหล่านั้น เป็นเกณฑ์ซึ่งใช้ในการวัดผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และวัตถุสิ่งของทั้งหมด และยังเป็นเครื่องหมายนำทางซึ่งนำพามนุษย์ไปสู่ความรอดและเส้นทางแห่งความสว่างเช่นกัน
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ
พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้ มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ในที่นี้มีความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง บางทีหลังจากอ่านวจนะเหล่านี้ เจ้าไม่ยอมรับรู้ว่าเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับมา ในกรณีนั้น เจ้าถูกความไม่รู้เท่าทันทำให้ตาบอด พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนกับความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้มาได้อย่างไรกัน? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่ ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์ พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์ หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ
การสามัคคีธรรมของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่ผู้คนสามัคคีธรรมสื่อถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาแต่ละคน โดยแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาบนพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า ความรับผิดชอบของพวกเขาคือการค้นหาหลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจหรือตรัส ว่าสิ่งใดในนั้นที่พวกเขาควรปฏิบัติหรือเข้าสู่ และจากนั้นจึงส่งต่อสิ่งนั้นให้แก่ผู้ติดตาม ดังนั้น งานของมนุษย์จึงเป็นตัวแทนการเข้าสู่และการปฏิบัติของพวกเขา แน่นอนว่างานเช่นนั้นผสมผสานไปด้วยบทเรียนและประสบการณ์ของมนุษย์หรือความคิดบางประการของมนุษย์ ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร ไม่ว่าต่อมนุษย์หรือในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ผู้ทำงานจะแสดงออกถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นเสมอ ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นผู้ทรงพระราชกิจ แต่พระราชกิจนั้นมีรากฐานมาจากสิ่งที่มนุษย์เป็นโดยธรรมชาติ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงดำเนินพระราชกิจโดยปราศจากรากฐาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจไม่ได้เกิดขึ้นมาเองดื้อๆ แต่กระทำขึ้นโดยสอดคล้องกับรูปการณ์แวดล้อมจริงแท้และสภาพเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ ในหนทางนี้เท่านั้นอุปนิสัยของมนุษย์จึงสามารถได้รับการแปลงสภาพ และมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขาและความคิดเก่าๆ ของเขาจึงเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเห็น ได้รับประสบการณ์ และสามารถจินตนาการได้ และเป็นสิ่งที่ความคิดของมนุษย์สามารถบรรลุได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหลักทฤษฎีหรือมโนคติที่หลงผิดก็ตาม งานของมนุษย์ไม่สามารถเกินวงเขตของประสบการณ์ของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์มองเห็น สิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการหรือคิดฝันได้ ไม่ว่างานนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็น และสิ่งนี้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้—นั่นคือ สิ่งนี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระราชกิจของพระองค์ในการนำมวลมนุษย์ทั้งปวง และสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของประสบการณ์ของมนุษย์ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์เองแทน สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือประสบการณ์ของเขา ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ซึ่งคือพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์ซึ่งอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์ ประสบการณ์ของมนุษย์คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ของเขา ซึ่งได้มาโดยมีพื้นฐานจากการแสดงออกของพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็น และพื้นฐานของการแสดงออกของพวกเขาคืออุปนิสัยโดยธรรมชาติและขีดความสามารถของมนุษย์—นี่เป็นเหตุผลที่สิ่งเหล่านั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็นเช่นเดียวกัน มนุษย์มีความสามารถที่จะสามัคคีธรรมในสิ่งที่เขาได้รับประสบการณ์และมองเห็น ไม่มีใครสามารถสามัคคีธรรมในสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์ ยังไม่ได้มองเห็น หรือที่ความคิดของพวกเขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาไม่มีอยู่ภายในตัวพวกเขา หากสิ่งที่มนุษย์แสดงออกไม่ได้มาจากประสบการณ์ของเขา นั่นก็จะเป็นจินตนาการหรือหลักทฤษฎีของเขา กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ไม่มีความเป็นจริงในคำพูดของเขา หากเจ้าไม่เคยได้มาสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ของสังคม เจ้าคงจะไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของสังคมได้อย่างชัดเจน หากเจ้าไม่มีครอบครัว เจ้าคงจะไม่เข้าใจส่วนใหญ่ที่พวกเขาพูดหากคนอื่นๆ พูดถึงเรื่องครอบครัว ดังนั้นแล้ว สิ่งที่มนุษย์สามัคคีธรรมและงานที่เขาทำจึงเป็นตัวแทนถึงสิ่งที่เขาเป็นภายใน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์
สิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าถูกเผยให้เห็นอย่างชัดเจนในรูปแบบการใช้คำในถ้อยดำรัสของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะ… เราให้เจ้าเป็น… เราจะทำให้เจ้า…” วลีเช่น “เจ้าจะ” และ “เราจะ” ซึ่งเป็นการใช้คำในรูปแบบบอกเล่าที่แสดงถึงพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้น ในแง่มุมหนึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นความสัตย์ซื่อของพระผู้สร้าง และในอีกแง่หนึ่ง เหล่านี้เป็นคำพิเศษที่พระเจ้าซึ่งครองพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง ทรงใช้—ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ตามแบบแผนทั่วไปด้วย หากใครบางคนกล่าวว่าพวกเขาหวังจะให้อีกบุคคลหนึ่งมีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง จะสร้างประชาชาติจากเขา และจะให้กษัตริย์หลายองค์เกิดจากเขา เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่สัญญาหรือพร ดังนั้นผู้คนจึงไม่กล้าพูดว่า “ฉันจะทำให้ธอเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เธอจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้…” เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจเช่นนั้น ความปรารถนาแบบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา และต่อให้พวกเขากล่าวเช่นนั้น คำพูดของพวกเขาก็ย่อมจะเหลวไหลว่างเปล่าที่มีความอยากและความทะเยอทะยานของพวกเขาคอยขับเคลื่อน มีใครบ้างที่กล้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่โตเช่นนั้นหากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จลุล่วงได้? ทุกคนปรารถนาดีต่อพงศ์พันธุ์ของตนเอง และหวังว่าพวกเขาจะเป็นเลิศและสุขสำราญกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ “หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งได้เป็นจักรพรรดิก็ย่อมจะเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่! หากคนเราได้เป็นเจ้าเมือง นั่นย่อมจะดีเช่นกัน—แค่ตราบใดที่พวกเขาได้เป็นคนสำคัญเท่านั้น!” เหล่านี้คือ ความปรารถนาของผู้คนทุกคน แต่ผู้คนก็ทำได้เพียงอวยพรพงศ์พันธุ์ของพวกเขาเท่านั้น และไม่สามารถทำให้สัญญาอันใดของพวกเขาลุล่วงหรือกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ทุกคนรู้ชัดในหัวใจของพวกเขาว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถบังคับบัญชาชะตากรรมของผู้อื่นได้อย่างไร? สาเหตุที่พระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะเหล่านี้ได้ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจเช่นนั้น และสามารถทำให้สัญญาทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์สำเร็จลุล่วงและเป็นจริงได้ และสามารถทำให้พรทั้งหมดที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์กลายเป็นจริง มนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และการที่พระเจ้าจะทรงทำให้ใครสักคนมีพงศ์พันธุ์อย่างมากมายยิ่งย่อมจะง่ายเหมือนของเด็กเล่น การทำให้พงศ์พันธุ์ของใครสักคนเจริญรุ่งเรืองนั้นพึงต้องใช้พระวจนะของพระองค์เพียงคำเดียวเท่านั้น พระองค์ไม่มีวันต้องทรงพระราชกิจจนหลั่งพระเสโทเพื่อสิ่งนั้น หรือต้องใช้ความคิด หรือวิตกกังวลกับมัน นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้าโดยแท้ สิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1
มีองค์ประกอบของประสบการณ์ของมนุษย์มากมายในงานของเขา สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเป็น พระราชกิจของพระเจ้าเองก็แสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นก็แตกต่างจากสิ่งที่มนุษย์เป็น สิ่งที่มนุษย์เป็นนั้นเป็นตัวแทนประสบการณ์และชีวิตของมนุษย์ (สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์หรือเผชิญในชีวิตของพวกเขา หรือปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตที่เขามี) และผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็แสดงออกถึงการเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์ของสังคมหรือไม่และไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตจริงๆ ในครอบครัวของเจ้าและได้รับประสบการณ์ภายในนั้นอย่างไร สามารถมองเห็นได้ในสิ่งที่เจ้าแสดงออก ในขณะที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางสังคมหรือไม่ในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงแก่นแท้ของมนุษย์ และสามารถเปิดเผยการปฏิบัติประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้คนทุกประเภท พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งกว่านั้นในการเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายและพฤติกรรมที่เป็นกบฏของพวกมนุษย์ พระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนทางโลก แต่พระองค์ทรงตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ธรรมดาและความเสื่อมทรามทั้งหมดของผู้คนทางโลก นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงจัดการกับโลก พระองค์ทรงรู้กฎการจัดการโลก เพราะพระองค์เข้าพระทัยธรรมชาติของมนุษย์อย่างครบถ้วน พระองค์ทรงรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณที่ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและหูของมนุษย์ไม่สามารถได้ยิน ทั้งในวันนี้และในอดีต นี่รวมถึงสติปัญญาที่ไม่ใช่ปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตและการอัศจรรย์ที่ผู้คนหยั่งลึกได้ยาก นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งเปิดกว้างต่อผู้คนและซ่อนเร้นจากผู้คนด้วยเช่นกัน สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่บุคคลเหนือปกติเป็น แต่เป็นพระลักษณะโดยธรรมชาติของพระวิญญาณและสิ่งที่พระวิญญาณทรงเป็น พระองค์ไม่ได้ทรงพระดำเนินทั่วโลก แต่ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโลก พระองค์ทรงสัมผัสกับ “พวกลิงคล้ายคน” ที่ไม่มีความรู้หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่พระองค์ทรงแสดงพระวจนะที่สูงกว่าความรู้และสูงกว่าเหล่ามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพภายในกลุ่มผู้คนที่ทึ่มและด้านชา ผู้ที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมและชีวิตของมนุษยชาติ แต่พระองค์สามารถขอให้มวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และในขณะเดียวกันก็ทรงเปิดเผยพื้นฐานและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยของมวลมนุษย์ ทั้งหมดนี้คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งสูงส่งกว่าสิ่งที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อคนใดเป็น สำหรับพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับประสบการณ์กับชีวิตทางสังคมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และสกปรกเพื่อที่จะทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำและเปิดเผยถึงแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างถ้วนทั่ว ชีวิตทางสังคมที่สกปรกไม่เสริมสร้างเนื้อหนังของพระองค์ พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เพียงเปิดเผยถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้จัดเตรียมประสบการณ์และบทเรียนเพื่อการจัดการโลกให้กับมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องเจาะลึกด้านสังคมหรือครอบครัวของมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงจัดหาชีวิตให้กับมนุษย์ การตีแผ่และการพิพากษามนุษย์ไม่ใช่การแสดงออกถึงประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์ นั่นคือการเปิดเผยของพระองค์ถึงความไม่ชอบธรรมของมนุษย์หลังจากที่ทรงได้รู้ถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์มาเป็นเวลานานและทรงชิงชังความเสื่อมทรามของมนุษย์ พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดมีความหมายเพื่อเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น มีเพียงพระองค์ที่สามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้ พระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อสามารถสัมฤทธิ์ได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์