การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

ประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเจ้าในการเป็นคนซื่อสัตย์เป็นเช่นไร?  (รู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยากจริงๆ)  เหตุใดจึงรู้สึกว่ายาก?  (ข้าพระองค์อยากเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ  แต่เมื่อตรวจสอบตัวเองในแต่ละวัน ก็พบว่าตัวเองไม่เปิดเผยตรงไปตรงมาและการพูดจาของข้าพระองค์มีสิ่งปลอมปนอยู่มากมาย  บางครั้งข้าพระองค์สอดแทรกความรู้สึกลงไปในคำพูดของตน หรือมีเหตุจูงใจบางอย่างเวลาพูด  บางครั้งก็เล่นตุกติกนิดหน่อย หรือพูดจาอ้อมค้อม หรือพูดสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริง—สิ่งที่หลอกลวง เรื่องที่จริงเพียงครึ่งเดียว และเรื่องเทียมเท็จแบบอื่น ทั้งหมดก็เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายหนึ่งๆ)  พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนทั้งสิ้น เป็นส่วนที่คดโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของผู้คน  เหตุใดผู้คนจึงหันไปใช้การหลอกลวง?  เพื่อสำเร็จลุล่วงวัตถุประสงค์ของตน เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการที่ไม่ซื่อตรง  เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่เปิดใจ ไม่โปร่งใส และไม่ใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์  ในห้วงเวลาเหล่านี้นี่เองที่ผู้คนเผยให้เห็นความมีลับลมคมในและความฉลาดแกมโกงของตน หรือความมุ่งร้ายและความเลวทราม ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ในหัวใจของผู้คน พวกเขารู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ย่อมจะยากเป็นพิเศษ  การเป็นคนซื่อสัตย์นั้นลำบากยากเย็นตรงนี้เอง  แต่หากเจ้าเป็นคนที่รักความจริง และสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วการเป็นคนซื่อสัตย์ก็จะไม่ยากลำบากเกินไป  เจ้าจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ง่ายขึ้นมาก  ผู้ที่มีประสบการณ์ด้วยตนเองย่อมรู้ดียิ่งว่ากำแพงที่สูงใหญ่ที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์คือความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของผู้คน ความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ความมุ่งร้าย และเจตนาที่น่าดูหมิ่นของพวกเขา  ตราบใดที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ยังคงอยู่ การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ก็ย่อมจะยากเกินไป  พวกเจ้าทุกคนกำลังฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกเจ้าจึงพอจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง  ประสบการณ์ของพวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง?  (ทุกวันข้าพระองค์จดบันทึกขยะทั้งหมดและเรื่องโกหกที่ตัวเองพูดออกไป  จากนั้นก็สำรวจตรวจสอบและชำแหละตัวเองบ้าง  ข้าพระองค์พบว่ามีเจตนาบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องโกหกส่วนใหญ่ และที่พูดเรื่องโกหกออกไปก็เพื่อความไม่เป็นแก่นสารของตัวเองและเพื่อรักษาหน้า  แม้จะตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง แต่ข้าพระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะโกหกและเสแสร้งอยู่ดี)  นี่คือสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกินในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ไม่ว่าเจ้าจะตระหนักรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าดื้อดึงโกหกต่อไปทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นผิด ทั้งนี้ก็เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้า เพื่อรักษาภาพลักษณ์และหน้าตาของเจ้า การกล่าวอ้างใดๆ ว่าไม่รู้เท่าทันย่อมเป็นเรื่องโกหก  กุญแจสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ก็คือการแก้ไขเหตุจูงใจ เจตนา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  นี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาการพูดโกหกที่ต้นตอของมัน  การสัมฤทธิ์เป้าหมายส่วนตัวของคนเรา กล่าวคือ การได้ประโยชน์ส่วนตน ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ ทำให้ตนเองดูดี หรือได้รับความเห็นชอบจากคนอื่น—เหล่านี้คือเจตนาและจุดมุ่งหมายของผู้คนเวลาพวกเขาพูดโกหก  การโกหกแบบนี้เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนี่คือวิจารณญาณที่เจ้าจำเป็นต้องมีเกี่ยวกับการพูดโกหก  แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารักความจริงหรือไม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  หากเจ้าสามารถยอมรับความจริงและไม่พูดจาส่งเสริมตนเอง หากเจ้าเลิกคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนได้ และคำนึงถึงงานของคริสตจักร เจตนารมณ์ของพระเจ้า และประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแทน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเลิกพูดปด  เจ้าจะสามารถพูดจาด้วยความสัตย์จริงและตรงไปตรงมาได้  หากไม่มีวุฒิภาวะเช่นนี้ เจ้าก็จะพูดจาด้วยความสัตย์จริงไม่ได้ ซึ่งพิสูจน์ว่าเจ้าขาดวุฒิภาวะ และไม่สามารถปฏิบัติความจริง  ดังนั้นการเป็นคนซื่อสัตย์จึงต้องมีขั้นตอนของการทำความเข้าใจความจริง อันเป็นกระบวนการที่ทำให้มีวุฒิภาวะมากขึ้น  เมื่อพวกเราพิจารณาเรื่องนี้กันแบบนี้ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ถ้าไม่มีประสบการณ์ราวแปดหรือสิบปี  ช่วงเวลาคือกระบวนการเติบโตในชีวิตของคนเรา เป็นกระบวนการทำความเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง  บางคนอาจถามว่า “การแก้ปัญหาเรื่องการโกหกและกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ยากลำบากได้ถึงขนาดนั้นจริงหรือ?”  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร  ถ้าเป็นคนที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเลิกโกหกได้เป็นบางเรื่อง  แต่หากเป็นคนที่ไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้วการเลิกโกหกก็จะยิ่งยากขึ้นอีก

การฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาการพูดปด รวมทั้งแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา  การทำเช่นนี้เกี่ยวพันกับการปฏิบัติที่สำคัญคือ เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจ้าโกหกใครบางคนและใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกพวกเขาให้หลงเชื่อ เจ้าก็ควรเปิดใจกับพวกเขา ตีแผ่ตนเอง และขอโทษ  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแก้ไขการโกหก  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าหลอกใครบางคนให้หลงเชื่อ หรือมีการปลอมปนหรือเจตนาส่วนตัวบางอย่างในถ้อยคำที่เจ้าพูดกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไปหาพวกเขาและชำแหละตนเอง  เจ้าควรบอกพวกเขาว่า “สิ่งที่ฉันพูดกับคุณนั้นเป็นเรื่องโกหกที่คิดขึ้นมาเพื่อปกป้องความภาคภูมิใจของฉันเอง  หลังจากที่พูดไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ถึงได้ขอโทษคุณอยู่ในตอนนี้  กรุณายกโทษให้ฉันด้วย”  คนคนนั้นย่อมจะรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจมาก  พวกเขาจะประหลาดใจว่าทำไมถึงมีคนที่พูดโกหกแล้วมาขอโทษได้  ความกล้าแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่พวกเขาเลื่อมใส  คนเราได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการปฏิบัติเช่นนี้?  จุดประสงค์ของการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น แต่เพื่อยับยั้งและห้ามตนเองโกหกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ดังนั้นหลังจากโกหกแล้ว เจ้าก็ต้องขอโทษที่ทำเช่นนั้นลงไป  ยิ่งเจ้าฝึกตนให้ชำแหละ ตีแผ่ตนเอง และขอโทษผู้คนในหนทางนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้น—และเรื่องโกหกที่เจ้าพูดก็จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ  การชำแหละและตีแผ่ตนเองเพื่อให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์และยับยั้งตนเองไม่ให้โกหกนี้ต้องใช้ความกล้า และการขอโทษใครสักคนหลังจากโกหกพวกเขาก็ยิ่งต้องใช้ความกล้ามากขึ้นอีก  ถ้าพวกเจ้าปฏิบัติเช่นนี้สักหนึ่งหรือสองปี—หรืออาจจะสามถึงห้าปี—รับรองว่าพวกเจ้าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเป็นแน่ และการขจัดเรื่องโกหกไปจากตัวเจ้าก็จะไม่ใช่เรื่องยาก  การขจัดเรื่องโกหกไปจากตนเองเป็นขั้นตอนแรกของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถทำได้หากไม่พยายามนานสามหรือห้าปี  หลังจากแก้ปัญหาเรื่องการโกหกแล้ว ขั้นตอนที่สองก็คือการแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม  บางครั้งการใช้เล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวงก็ไม่จำเป็นต้องให้คนคนหนึ่งโกหก—สิ่งเหล่านี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยการลงมือทำเท่านั้น  ดูภายนอกคนคนหนึ่งอาจไม่โกหก แต่พวกเขาอาจจะเก็บงำการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาไว้ในหัวใจของตนอยู่ดี  พวกเขาย่อมจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครอื่น เพราะครุ่นคิดมามากและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว  การคิดทบทวนในภายหลังจะทำให้พวกเขาตระหนักรู้เรื่องนี้ได้ง่าย  เมื่อแก้ปัญหาเรื่องการโกหกแล้ว การแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมย่อมจะง่ายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกันแล้ว  แต่คนเราต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เพราะตอนที่หลอกลวงและใช้เล่ห์เหลี่ยมนั้น มนุษย์ย่อมถูกเจตนากำกับอยู่  ผู้คนไม่สามารถล่วงรู้เรื่องนี้ได้จากการดูภายนอก และไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะได้  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถพินิจพิเคราะห์เรื่องนี้ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ล่วงรู้เรื่องนี้  เพราะฉะนั้น คนเราจึงทำได้เพียงแก้ปัญหาเรื่องการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมโดยพึ่งพาการอธิษฐานถึงพระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระองค์เท่านั้น  หากคนเราไม่รักความจริงหรือยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของตน ก็จะไม่สามารถแก้ไขการหลอกลวงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมของตนได้  เจ้าอาจอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมรับความผิดพลาดของตน เจ้าอาจสารภาพและกลับใจ หรือเจ้าอาจชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน—กล่าวด้วยความสัตย์จริงว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในเวลานั้น เจ้าพูดอะไรบ้าง เจตนาของเจ้าคืออะไร และเจ้าหลอกลวงอย่างไร  ทั้งหมดนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย  อย่างไรก็ดี หากมีการขอให้เจ้าตีแผ่ตนเองให้อีกคนหนึ่งฟัง เจ้าก็อาจจะสูญเสียความกล้าและความตั้งใจแน่วแน่ของตนเพราะเจ้าอยากรักษาหน้า  เช่นนั้นแล้วการที่เจ้าจะเปิดใจและตีแผ่ตนเองก็จะยากมาก  บางทีเจ้าอาจจะยอมรับได้กว้างๆ ว่าในบางโอกาสเจ้าก็พบตนเองกำลังพูดจาหรือทำอะไรตามจุดมุ่งหมายและเจตนาส่วนตัวของตน มีเล่ห์ลวง สิ่งปลอมปน เรื่องโกหก หรือการใช้เล่ห์เหลี่ยมในสิ่งที่เจ้าทำหรือพูดอยู่ระดับหนึ่ง  แต่แล้วเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นและเจ้าถูกบังคับให้ชำแหละตนเอง เปิดโปงว่าสิ่งทั้งหลายดำเนินไปอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ อธิบายว่าสิ่งเจ้าพูดมีคำใดบ้างที่หลอกลวง มีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ ตอนนั้นเจ้าคิดอะไรอยู่ รวมทั้งเจ้ามุ่งร้ายหรือคิดชั่วหรือไม่ เจ้ากลับไม่อยากพูดให้แน่ชัดหรือลงรายละเอียด  บางคนถึงกับพูดกลบเกลื่อนว่า “เรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างนั้นเอง  ฉันก็แค่เป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ยอกย้อนและไว้ใจไม่ได้อย่างมาก”  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือพวกเขาเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและยอกย้อนเพียงใด  คนเหล่านี้มีรูปแบบและสภาวะของการหลบหลีกอยู่เสมอ  พวกเขาตามใจตัวเองและยกโทษให้ตัวเองเสมอ ไม่สามารถทนทุกข์หรือจ่ายราคาเพื่อปฏิบัติความจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์ได้  ผู้คนมากมายประกาศวาทะและคำสอนมาหลายปี โดยพูดอยู่เสมอว่า “ฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและยอกย้อนมาก มักจะมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่ในการกระทำของตน และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างจริงใจแต่อย่างใด”  แต่หลังจากร้องบอกอยู่อย่างนี้มานานหลายปี พวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดี เพราะไม่มีใครเคยได้ฟังพวกเขาชำแหละหรือสำนึกผิดอย่างแท้จริงยามที่พวกเขาเผยให้เห็นสภาวะที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนี้  พวกเขาไม่เคยตีแผ่ตนเองต่อหน้าผู้อื่นหรือขอโทษหลังจากโกหกหรือหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อ และยิ่งไม่เคยสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์ในการชำแหละตนเองและทำความรู้จักตนเองเวลาชุมนุม  พวกเขาไม่เคยพูดเช่นกันว่าพวกเขาทำความรู้จักตนเองอย่างไร หรือกลับใจในเรื่องดังกล่าวอย่างไร  พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รู้จักตนเองและไม่เคยกลับใจอย่างแท้จริง  เวลาพวกเขาบอกว่าตัวเองเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเขาเพียงแต่ร้องบอกคำขวัญและประกาศคำสอนเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้  อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพราะกำลังพยายามว่ายตามกระแสและทำตามฝูงชน  หรืออาจเป็นไปได้ว่าสภาพแวดล้อมของชีวิตคริสตจักรบีบให้พวกเขาทำตามขั้นตอนอย่างขอไปทีและสร้างภาพ  ไม่ว่าจะเป็นหนทางใด ผู้ที่ร้องบอกคำขวัญและผู้ที่ประกาศคำสอนแบบนี้ย่อมจะไม่มีวันกลับใจอย่างแท้จริง และแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุความรอดของพระเจ้า

ความจริงทุกข้อที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัตินั้นย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายราคา ปฏิบัติความจริงอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีประสบการณ์กับความจริงในชีวิตจริงของตน  พระเจ้าไม่ได้ขอให้ผู้คนดีแต่พูดด้วยการเอาแต่สาธยายวาทะและคำสอน พูดคุยถึงการรู้จักตนเอง ยอมรับรู้ว่าตนหลอกลวง เป็นคนโกหก คิดคด หลอกลวงและเจ้าเล่ห์ หรือพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ อยู่ไม่กี่ครั้ง แล้วก็จบกันไป  หากมีใครบางคนยอมรับทั้งหมดนี้ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในเวลาต่อมา หากพวกเขาโกหก ฉ้อโกง และหลอกลวงต่อไป หากพวกเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเยี่ยงซาตานเช่นเดิม วิธีการเยี่ยงซาตานเช่นเดิมเวลาพบเจอบางสิ่ง หากวิถีทางและวิธีการของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วคนแบบนี้จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  พวกเขาจะมีวันสามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนได้หรือไม่?  ไม่เลย—ไม่มีวัน!  เจ้าต้องสามารถทบทวนและรู้จักตนเองได้  เจ้าต้องมีความกล้าที่จะเปิดใจและตีแผ่ตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง และสามัคคีธรรมถึงสภาวะที่แท้จริงของตน  หากเจ้าไม่กล้าตีแผ่หรือชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หากเจ้าไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ใช่คนที่รู้จักตนเอง  ถ้าทุกคนเป็นเหมือนคนเคร่งศาสนาที่โอ้อวดเพื่อให้คนอื่นเลื่อมใส เป็นพยานว่าตนนั้นรักพระเจ้ามากเพียงใด นบนอบพระองค์มากเพียงใด จงรักภักดีต่อพระองค์มากเพียงใด และพระองค์ก็ทรงรักพวกเขามากขนาดไหน เพื่อให้ผู้อื่นเคารพและเลื่อมใสตนเองเท่านั้น และถ้าทุกคนเก็บงำแผนการเฉพาะตัวและรักษาพื้นที่ส่วนตัวภายในหัวใจของตนเอาไว้ เช่นนั้นแล้วจะมีคนที่สามารถบอกเล่าประสบการณ์จริงได้อย่างไร?  จะมีคนที่สามารถมีประสบการณ์จริงไว้เล่าสู่กันฟังได้อย่างไร?  การแบ่งปันและสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของเจ้าหมายถึงการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า  เป็นการกล่าวความในใจของเจ้าออกมาดังๆ เล่าสภาวะของเจ้าและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เผยให้เห็นอยู่ในตัวเจ้า  นี่คือการยอมให้ผู้อื่นใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านี้ แล้วจากนั้นก็แก้ปัญหาด้วยการสามัคคีธรรมความจริง  เฉพาะเมื่อมีการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ในลักษณะนี้เท่านั้น ทุกคนจึงจะได้ประโยชน์และเก็บเกี่ยวรางวัล  นี่เท่านั้นคือชีวิตคริสตจักรที่แท้จริง  หากเป็นเพียงการพูดคุยที่กลวงเปล่าเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้ามีในพระวจนะของพระเจ้าหรือเพลงนมัสการ แล้วจากนั้นเจ้าก็สามัคคีธรรมไปตามใจชอบโดยไม่ไปไกลกว่านี้ ไม่นำสภาวะหรือปัญหาตามจริงของเจ้ามาพูด สามัคคีธรรมแบบนั้นย่อมไม่นำประโยชน์มาให้  หากทุกคนพูดถึงความรู้ทางด้านคำสอนหรือทฤษฎี แต่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความรู้ที่พวกเขาได้รับจากประสบการณ์จริง และระหว่างที่สามัคคีธรรมความจริง ถ้าพวกเขาหลีกเลี่ยงการพูดถึงชีวิตส่วนตัว ปัญหาในชีวิตจริง และโลกภายในตัวพวกเขา เช่นนั้นแล้วการสื่อสารที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?  จะมีความไว้วางใจเกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้อย่างไร?  ไม่อาจเกิดขึ้นได้แม้แต่น้อย!  หากภรรยาไม่เคยพูดความในใจให้สามีรู้ นั่นนับเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถรู้สิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วสมมุติว่าพวกเขาพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า “ฉันรักเธอ”  พวกเขาเอาแต่พูดเช่นนี้ แต่ไม่เคยตีแผ่หรือบอกว่าแท้จริงแล้วลึกลงไปตนกำลังคิดอะไรอยู่ ตนคาดหวังอะไรจากคู่ครอง หรือกำลังมีปัญหาอะไร  พวกเขาไม่เคยปรับทุกข์กัน  และเวลาอยู่ด้วยกันพวกเขาก็มีแต่มารยาทให้กันภายนอก  เช่นนั้นแล้วพวกเขาเป็นสามีภรรยากันยอย่างแท้จริงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ในทำนองเดียวกัน หากพี่น้องชายหญิงสามารถบอกความในใจกันได้ ช่วยเหลือแบ่งเบากัน และจัดเตรียมให้กันได้ เช่นนั้นแล้วแต่ละคนก็ต้องเล่าประสบการณ์จริงของตนเอง  หากเจ้าไม่เล่าประสบการณ์จริงของเจ้าเอง—หากเจ้าเอาแต่ประกาศวาทะและคำสอนที่มนุษย์เข้าใจเท่านั้น หากเจ้าเอาแต่ประกาศคำสอนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและพูดแต่เรื่องพื้นๆ ที่จำเจ ไม่เปิดใจ—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ และไม่สามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้  หากใช้ตัวอย่างเดียวกันก็คือ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานหลายปี สามีภรรยาก็พยายามที่จะทำความคุ้นเคยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างเป็นครั้งคราว  แต่ถ้าพวกเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติกันทั้งคู่ และเจ้าก็พูดจากับเขาจากใจอยู่เสมอ และเขาก็พูดจากับเจ้าจากใจ เกี่ยวกับปัญหาอะไรก็ตามที่เจ้าเผชิญในชีวิตหรือในงาน สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคิดอยู่ลึกๆ ในใจ เจ้าวางแผนที่จะจัดการแก้ไขสิ่งต่างๆ อย่างไร หรือเจ้ามีแนวคิดหรือแผนการสำหรับอนาคตของลูกๆ อย่างไร และเจ้าก็เล่าทั้งหมดนี้ให้คู่ของเจ้าฟัง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งสองย่อมจะรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษมิใช่หรือ?  แต่ถ้าเขาไม่เคยบอกเล่าความคิดเบื้องลึกที่สุดให้เจ้าฟัง มีแต่เอาเงินเดือนกลับมาบ้านเท่านั้น และถ้าเจ้าไม่เคยพูดกับเขาถึงความคิดของเจ้าเอง ไม่เคยบอกความในใจกัน เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะมีความห่างเหินทางอารมณ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าย่อมจะมี เพราะพวกเจ้าไม่เข้าใจความคิดหรือแผนการของอีกฝ่าย  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่สามารถบอกได้ว่าคู่ของเจ้าเป็นคนประเภทใด และเขาก็จะไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าเป็นคนประเภทใด  เจ้าจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และเขาก็จะไม่เข้าใจความต้องการของเจ้า  หากผู้คนไม่สื่อสารกันทางวาจาหรือทางจิตใจ เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกัน และพวกเขาย่อมไม่สามารถจัดเตรียมให้กันหรือช่วยเหลือกันได้  เจ้าเคยมีประสบการณ์เช่นนี้แล้วใช่หรือไม่?  ถ้าเพื่อนของเจ้าเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าฟัง พูดทุกสิ่งที่พวกเขาคิด รวมทั้งความทุกข์หรือความสุขที่พวกเขามี เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขาเป็นพิเศษมิใช่หรือ?  เหตุผลที่พวกเขาเต็มใจบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้าก็เพราะเจ้าเล่าให้พวกเขาฟังเช่นกันว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจ  พวกเจ้าใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ และเพราะเหตุนี้พวกเจ้าจึงเข้ากันได้ดียิ่งและช่วยเหลือแบ่งเบากัน  หากไม่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนแบบนี้ระหว่างพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร พวกเขาย่อมจะไม่สามารถเข้ากันได้ และย่อมจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ความร่วมมืออย่างกลมเกลียวขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน  นั่นคือสาเหตุที่การสามัคคีธรรมความจริงจำต้องมีการสนทนาสื่อสารกันในเรื่องฝ่ายวิญญาณ และต้องพูดจาจากหัวใจได้  นี่เป็นหนึ่งในหลักธรรมที่คนเราต้องมีจึงจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์

เมื่อบางคนได้ยินว่าการที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น คนเราต้องพูดความจริงและพูดออกมาจากหัวใจ และหากพวกเขาโกหกหรือหลอกลวง พวกเขาก็ต้องเปิดใจ ตีแผ่ตัวเอง และยอมรับความผิดพลาดของตน คนเหล่านั้นก็พูดว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยาก  ฉันจำเป็นต้องพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันคิดให้คนอื่นฟังกระนั้นหรือ?  การสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นบวกย่อมเพียงพอแล้วมิใช่หรือ?  ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นถึงด้านมืดหรือด้านที่เสื่อมทรามของตัวเองไม่ใช่หรือ?”  หากเจ้าไม่ตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นฟัง และไม่ชำแหละตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าจะไม่มีวันตระหนักรู้ว่าเจ้าเป็นเช่นไร และผู้อื่นก็จะไม่มีวันไว้ใจเจ้าได้  นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง  หากเจ้าอยากให้ผู้อื่นไว้ใจเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์  การที่จะเป็นคนซื่อสัตย์นั้น อันดับแรกเจ้าต้องตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ทุกคนสามารถมองเข้าไปในหัวใจของเจ้า เห็นทั้งหมดที่เจ้ากำลังคิด และมองดูใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า เจ้าต้องไม่พยายามอำพรางหรือปิดบังตนเอง  เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงจะไว้ใจเจ้า และมองว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่คือการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุด และเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ถ้าเจ้าเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา แสร้งทำอยู่เสมอว่าเจ้านั้นบริสุทธิ์ ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ และมีบุคลิกที่สูงส่ง ถ้าเจ้าไม่ปล่อยให้ผู้คนมองเห็นความเสื่อมทรามและข้อเสียของเจ้า ถ้าเจ้าเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จให้ผู้คนเห็นเพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าเจ้าซื่อตรง ยิ่งใหญ่ รู้จักปฏิเสธตัวเอง ยุติธรรม และไม่เห็นแก่ตัว—นี่คือความหลอกลวงและความเทียมเท็จมิใช่หรือ?  เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนย่อมจะมองเจ้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งมิใช่หรือ?  ดังนั้น จงอย่าใช้อะไรมาปลอมแปลงหรือปิดบังตัวเจ้าเอง  แต่จงตีแผ่ตัวเจ้าและหัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น  หากเจ้าสามารถตีแผ่หัวใจของเจ้าให้ผู้อื่นเห็น หากเจ้าสามารถตีแผ่ความคิดและแผนการทั้งหมดของเจ้า—ทั้งด้านบวกและด้านลบ—นั่นก็คือความซื่อสัตย์มิใช่หรือ?  หากเจ้าสามารถตีแผ่ตัวเจ้าให้ผู้อื่นดู เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ย่อมจะมองเห็นเจ้าด้วย  พระองค์ย่อมจะตรัสว่า “ถ้าเจ้าตีแผ่ตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ย่อมซื่อสัตย์ต่อหน้าเราเป็นแน่”  แต่หากเจ้าเพียงตีแผ่ตัวเองต่อพระเจ้าเวลาอยู่นอกสายตาของผู้อื่น และแสร้งทำตัวยิ่งใหญ่และประเสริฐอยู่เสมอ หรือไม่เห็นแก่ตัวเวลาอยู่ร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเจ้า?  พระองค์จะตรัสว่าอย่างไร?  พระองค์จะตรัสว่า “เจ้าเป็นคนที่หลอกลวงโดยแท้  หน้าซื่อใจคดและต่ำทรามอย่างแท้จริง เจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์”  พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษเจ้าเช่นนี้  หากเจ้าอยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรืออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เจ้าก็ควรให้คำอธิบายถึงสภาวะภายในตัวเจ้า รวมทั้งความในใจของเจ้าได้อย่างถ่องแท้และเปิดเผย  เรื่องนี้ทำได้ง่ายหรือไม่?  นี่ต้องมีระยะเวลาฝึกฝน ต้องหมั่นอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า  เจ้าต้องฝึกตัวเองให้กล่าวความในใจออกมาอย่างเรียบง่ายและเปิดเผยในทุกเรื่อง  ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้ เจ้าจึงจะก้าวหน้าได้  ถ้าเจ้าเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ เจ้าก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง เจ้าจำเป็นต้องต่อสู้อยู่ในหัวใจของตนและเอาชนะเนื้อหนัง จนกระทั่งเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้  เมื่อฝึกฝนตนเองแบบนี้ไปทีละนิด หัวใจของเจ้าก็จะค่อยๆ เปิดกว้าง  เจ้าจะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ และผลจากคำพูดและการกระทำของเจ้าย่อมจะแตกต่างจากเมื่อก่อน  เรื่องโกหกและเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าจะลดน้อยลงทุกที และเจ้าจะสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้วในแก่นแท้

เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว มวลมนุษย์ก็ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ผู้คนอำพรางและปิดบังทุกแง่ทุกมุมของตนเองในทำนองเดียวกับซาตาน พวกเขาหันไปใช้การหลอกลวงและการเล่นไม่ซื่อในทุกเรื่อง  ไม่มีเรื่องใดที่พวกเขาไม่ใช้การหลอกลวงและการเล่นไม่ซื่อ  บางคนถึงกับใช้เกมลวงเล่นไม่ซื่อในกิจกรรมที่เป็นปกติมากอย่างการจับจ่ายซื้อของ  ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจซื้อชุดที่ทันสมัยที่สุดมา แต่—แม้พวกเขาจะรักชุดนี้จริงๆ—พวกเขาก็ไม่กล้าสวมใส่ชุดนี้ในคริสตจักร เกรงว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดถึงตนและบอกว่าตนนั้นตื้นเขิน  ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่สวมชุดนี้ลับหลังผู้อื่น  นี่เป็นพฤติกรรมแบบใด?  เป็นการเผยให้เห็นอุปนิสัยที่หลอกลวงและคดโกง  เหตุใดบางคนจึงซื้อชุดที่ทันสมัย แต่ไม่กล้าสวมใส่เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิง?  หัวใจของพวกเขาชอบของตามสมัยนิยม และพวกเขาก็ติดตามกระแสนิยมของโลกเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ  พวกเขากลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะรู้ทัน มองเห็นว่าตนตื้นเขินเพียงใด มองเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่น่านับถือและซื่อตรง  พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าตามสมัยนิยมอยู่ในหัวใจของตน และมีปัญหาในการปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงสวมใส่สิ่งเหล่านี้ที่บ้านเท่านั้น และกลัวที่จะให้พี่น้องชายหญิงเห็น  ถ้าสิ่งที่พวกเขาชอบไม่อาจเผยให้ใครเห็นได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงปล่อยสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้?  พวกเขาถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานควบคุมอยู่มิใช่หรือ?  พวกเขากล่าววาทะและคำสอนตลอดเวลา และดูเหมือนจะเข้าใจความจริง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  นี่คือคนที่ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ถ้าคำพูดและการกระทำของใครฉ้อฉลอยู่เสมอ ถ้าพวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และถ้าพวกเขาสร้างภาพว่าเป็นคนเคร่งศาสนาต่อหน้าคนอื่นตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วพวกเขาแตกต่างจากฟาริสีอย่างไร?  พวกเขาอยากดำเนินชีวิตอย่างโสเภณี แต่ก็อยากให้สร้างอนุสาวรีย์สำหรับการถือพรหมจรรย์ของตนด้วย  พวกเขารู้ดีแก่ใจว่าไม่สามารถสวมชุดที่แปลกใหม่ของตนในที่สาธารณะได้ แล้วพวกเขาซื้อชุดนั้นมาทำไม?  เป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ?  เพียงเพราะว่าพวกเขาชอบของแบบนั้นและปักใจชอบชุดนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนต้องซื้อชุดนั้น  แต่พอซื้อมาแล้ว พวกเขากลับไม่สามารถสวมชุดออกไปข้างนอกได้  ผ่านไปไม่กี่ปี พวกเขาย่อมเสียใจที่ซื้อชุดนั้นมา และตระหนักขึ้นมาทันทีว่า “ฉันโง่เขลาและน่ารังเกียจถึงขั้นทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”  กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังนึกรังเกียจสิ่งที่ตนทำลงไป  แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนได้ เพราะไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งที่ตนชอบและไล่ตามไขว่คว้าได้  ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีตีสองหน้าเพื่อทำให้ตนเองพอใจ  ถ้าพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยที่หลอกลวงในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงเมื่อเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่?  นี่ย่อมจะเป็นไปไม่ได้  เห็นได้ชัดว่าการหลอกลวงคือธรรมชาติของพวกเขา และความหลอกลวงก็คือจุดตายของพวกเขา  มีเด็กอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งที่เคยกินของอร่อยกับครอบครัวของตนอยู่ครั้งหนึ่ง  เมื่อเด็กอื่นถามว่าของนั้นคืออะไร เด็กนั้นก็กะพริบตาแล้วตอบว่า “ฉันลืมไปแล้ว” แต่แท้จริงแล้วเขาแค่ไม่อยากบอกเด็กเหล่านั้น  แท้จริงแล้วเป็นไปได้หรือที่เขาจะลืมว่าตนเพิ่งกินอะไรไป?  เด็กอายุหกเจ็ดขวบคนนี้สามารถพูดโกหกได้  นั่นใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่สอนให้เขาทำหรือไม่?  นั่นเป็นผลที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในบ้านของเขาหรือไม่?  ไม่ใช่—นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสิ่งที่สืบทอดอยู่ในตัวมนุษย์ มนุษย์เกิดมาพร้อมอุปนิสัยที่หลอกลวง  อันที่จริง ไม่ว่าของอร่อยที่เด็กกินจะเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมทำเช่นนี้เป็นปกติ  พ่อแม่ของเขาทำของอร่อยให้เขา เขาไม่ได้ขโมยอาหารของคนอื่น  หากเด็กคนนี้สามารถพูดโกหกในรูปการณ์เช่นนี้ ในยามที่ไม่จำเป็นต้องพูดปดเลย เช่นนั้นแล้วเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะโกหกมากยิ่งขึ้นในเรื่องอื่นๆ มิใช่หรือ?  นี่แสดงให้เห็นปัญหาเรื่องใด?  นี่คือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของเขามิใช่หรือ?  ตอนนี้เด็กคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และการโกหกก็กลายเป็นธรรมชาติของเขาไปแล้ว  เขาเป็นคนที่หลอกลวงจริงๆ คนเราสามารถมองเห็นสิ่งนั้นในตัวเขาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยนัก  คนที่หลอกลวงย่อมอดไม่ได้ที่จะโกหกและหลอกให้ผู้อื่นหลงเชื่อ เรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาสามารถแสดงตัวให้เห็นได้ทุกเวลาและทุกที่  พวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีทำสิ่งเหล่านี้ หรือถูกยุยงให้ทำสิ่งเหล่านี้—พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการทำเช่นนี้  หากเด็กคนนี้สามารถสร้างเรื่องโกหกเพื่อหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้นได้ การโกหกของเขาจะเป็นการฝ่าฝืนแบบครั้งเดียวจบได้จริงหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  นี่แสดงให้เห็นว่าโดยแก่นแท้ธรรมชาติแล้ว เขาเป็นคนที่หลอกลวง  เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ไม่ง่ายที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะใช่หรือไม่?  ถ้าบางคนพูดปดมาตั้งแต่เด็ก โกหกบ่อยๆ ถึงกับโกหกและหลอกให้ผู้คนหลงเชื่อในเรื่องพื้นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และถ้าการโกหกกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขาไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง  พวกเขาเป็นคนที่หลอกลวงอย่างแท้จริง  เหตุใดจึงพูดว่าคนที่หลอกลวงย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด?  เพราะพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะยอมรับความจริง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลง  ผู้ที่สามารถได้รับความรอดจากพระเจ้าย่อมต่างออกไป  พวกเขาค่อนข้างไร้เล่ห์มารยามาตั้งแต่แรก และหากพูดโกหกเล็กน้อย พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะหน้าแดงและรู้สึกไม่สบายใจ  การที่คนแบบนั้นจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ย่อมจะง่ายกว่า กล่าวคือ หากเจ้าขอให้พวกเขาโกหกหรือฉ้อโกง พวกเขาก็จะรู้สึกว่าทำยาก  เวลาโกหก พวกเขาจะไม่สามารถพูดทุกคำออกมาได้หมด และทุกคนก็จะมองออกทันที  คนเหล่านี้ค่อนข้างเรียบง่าย และมีแนวโน้มที่จะสัมฤทธิ์ความรอดได้มากกว่าถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้  คนประเภทนี้โกหกเฉพาะในรูปการณ์ที่พิเศษเท่านั้น คือเมื่อพวกเขาเจอทางตัน  โดยทั่วไปแล้วพวกเขาสามารถพูดเรื่องจริงได้เสมอ  ตราบใดที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาย่อมจะทิ้งความเสื่อมทรามแง่นี้ได้โดยใช้ความพยายามอยู่ไม่กี่ปี จากนั้นก็ไม่ยากที่พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์

พระเจ้าทรงกำหนดมาตรฐานสำหรับคนที่ซื่อสัตย์ไว้ว่าอย่างไร?  ข้อกำหนดที่พระเจ้าให้ไว้ในพระวจนะของพระเจ้า บท การตักเตือนสามประการ นี้มีว่าอย่างไร?  (“ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า ไม่เทียมเท็จต่อพระเจ้าไม่ว่าในสิ่งใดๆ เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นเพียงแค่ความพยายามที่จะประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์…  หากคำพูดของเจ้าพรุนไปด้วยข้อแก้ตัวกับเหตุผลข้ออ้างที่ไร้คุณค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ลังเลไม่เต็มใจจะนำความจริงมาปฏิบัติ  หากเจ้ามีเรื่องส่วนตัวมากมายซึ่งยากที่จะพูดถึง หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะประสบความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงในการบรรลุความรอด และเป็นผู้ที่จะประสบความลำบากยากเย็นในการโผล่พ้นจากความมืดมิด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า))  ในนี้มีประโยคหนึ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ  พวกเจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าเป็นประโยคใด?  (พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีเรื่องส่วนตัวมากมายซึ่งยากที่จะพูดถึง หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะประสบความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงในการบรรลุความรอด และเป็นผู้ที่จะประสบความลำบากยากเย็นในการโผล่พ้นจากความมืดมิด”)  ถูกต้อง เป็นประโยคนั้น  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีเรื่องส่วนตัวมากมายซึ่งยากที่จะพูดถึง”  นี่หมายความว่าผู้คนทำหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่กล้าพูดถึง และมีด้านมืดอยู่มากเกินไป  การกระทำในแต่ละวันของพวกเขาไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่กบฏต่อเนื้อหนัง  ทำอะไรก็ตามที่ตนอยากทำ และแม้จะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  “หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะประสบความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงในการบรรลุความรอด และเป็นผู้ที่จะประสบความลำบากยากเย็นในการโผล่พ้นจากความมืดมิด”  ตรงนี้พระเจ้าได้ทรงชี้เส้นทางปฏิบัติให้แก่มนุษย์  หากเจ้าไม่ปฏิบัติในหนทางนี้ เอาแต่ร้องบอกคำขวัญและคำสอน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่จะได้รับความรอดโดยง่าย  เรื่องนี้เชื่อมโยงกับความรอดโดยแท้  การได้รับการช่วยให้รอดสำคัญต่อทุกคนเป็นอย่างยิ่ง  พระเจ้าเคยตรัสถึง “การไม่บรรลุความรอดโดยง่าย” เอาไว้ในที่อื่นใดอีกหรือไม่?  ในที่อื่นๆ นั้น พระเจ้าแทบจะไม่ตรัสว่าการได้รับการช่วยให้รอดนี้ยากเพียงใด แต่กลับตรัสถึงเรื่องนี้เวลาเสวนาเรื่องการเป็นคนซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนที่ช่วยให้รอดได้ยากมาก  “การไม่บรรลุความรอดโดยง่าย” หมายความว่าหากเจ้าไม่ยอมรับความจริง ก็ยากที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าจะไม่สามารถเลือกใช้ครรลองที่ถูกต้องไปสู่ความรอด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  พระเจ้าทรงใช้วลีนี้เพื่อเปิดทางให้ผู้คนมีทางออกบ้าง  ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะช่วยเจ้าให้รอด แต่ถ้าเจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีหวังที่จะบรรลุความรอด  นั่นคือความหมายอีกด้านหนึ่งของวลีนี้  ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และไม่เคยชำแหละความลับของตนและปัญหาที่ท้าทายเจ้าออกมา ไม่เคยเปิดใจเวลาสามัคคีธรรมแก่ผู้อื่น ไม่สามัคคีธรรมหรือชำแหละหรือเผยความเสื่อมทรามและข้อเสียขั้นร้ายแรงของเจ้าร่วมกับพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  ถ้าเจ้าไม่ตีแผ่หรือชำแหละตัวเจ้าเองในหนทางนี้ เจ้าก็จะไม่เกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และด้วยเหตุนั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  และถ้าเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เจ้าจะคิดเรื่องการได้รับการช่วยให้รอดไปด้วยได้อย่างไร?  พระวจนะของพระเจ้าแสดงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง และชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงเน้นเสมอว่าผู้คนควรที่จะซื่อสัตย์?  เพราะการเป็นคนซื่อสัตย์นี้สำคัญมาก—เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่ และจะบรรลุความรอดได้หรือไม่  บางคนกล่าวว่า “ฉันโอหังและคิดว่าตัวเองชอบธรรมเสมอ ฉันมักจะโกรธและเผยให้เห็นความเสื่อมทราม”  ส่วนผู้อื่นก็บอกว่า “ฉันตื้นเขินมาก ไม่มีแก่นสาร แล้วพอมีคนยกยอปอปั้น ฉันก็ชอบใจ”  ทั้งหมดนี้คือสิ่งภายนอกที่ผู้คนมองเห็นได้ และไม่ใช่ปัญหาใหญ่  เจ้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป  ไม่ว่าอุปนิสัยหรือบุคลิกของเจ้าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าสามารถเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าย่อมจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?  การเป็นคนซื่อสัตย์สำคัญหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และนี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในบทที่ชื่อ การตักเตือนสามประการ นี้ในพระวจนะของพระองค์  ส่วนในบทอื่นๆ พระองค์ตรัสบ่อยครั้งว่าผู้เชื่อควรมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ และมีชีวิตคริสตจักรที่ถูกต้องเหมาะสม และทรงอธิบายว่าพวกเขาควรใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างไร  พระวจนะของพระองค์กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ไว้กว้างๆ ไม่เสวนาลงลึกเกินไปหรือมีรายละเอียดมากเกินไปในเรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดี เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ทรงชี้เส้นทางให้ผู้คนทำตาม  พระองค์ตรัสบอกวิธีปฏิบัติแก่ผู้คน โดยตรัสอย่างละเอียดและชัดเจนมากพอ  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้ามีเรื่องส่วนตัวมากมายซึ่งยากที่จะพูดถึง หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะประสบความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงในการบรรลุความรอด”  การเป็นคนที่ซื่อสัตย์สัมพันธ์กับการบรรลุความรอด  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์?  นี่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องวิธีประพฤติปฏิบัติตน  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่ซื่อสัตย์ให้รอด และผู้ที่พระองค์ต้องการที่จะได้ไว้ในราชอาณาจักรของพระองค์ก็คือผู้คนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าสามารถโกหกและหลอกลวงได้ เจ้าย่อมเป็นคนที่หลอกลวง คดโกง และมีลับลมคมใน เจ้าไม่ใช่คนซื่อสัตย์  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอด และเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าเปี่ยมศรัทธาเป็นอย่างมาก เจ้าไม่โอหังหรือคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ เจ้าสามารถจ่ายราคาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือสามารถประกาศข่าวประเสริฐและเรียกให้ผู้คนมากมายมารับเชื่อ  แต่เจ้าไม่ซื่อสัตย์ เจ้ายังคงหลอกลวง และยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  และด้วยเหตุนี้ พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจึงย้ำเตือนทุกคนว่าการที่จะได้รับการช่วยให้รอดนั้น พวกเขาต้องซื่อสัตย์ตามที่ระบุไว้ในพระวจนะและข้อกำหนดของพระเจ้าเสียก่อน  พวกเขาต้องเปิดใจ ตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจตนา และความลับของตนเอง และแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง  การ “แสวงหาหนทางแห่งความสว่าง” หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  เมื่อเจ้าตีแผ่ความเสื่อมทราม จุดหมายและเจตนาที่ทอดตัวอยู่เบื้องหลังการกระทำของตน เจ้าย่อมชำแหละตัวเจ้าเองไปด้วย ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าก็แสวงหาว่า “ทำไมฉันถึงทำอย่างนี้?  การทำเช่นนี้มีหลักการพื้นฐานอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  นี่ตรงตามความจริงหรือไม่?  ตอนทำเรื่องนี้ ฉันรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำสิ่งที่ผิด?  ฉันหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?  ถ้าฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วฉันก็ไม่ควรทำเช่นนี้ ฉันควรดูข้อกำหนดของพระเจ้า พิจารณาสิ่งที่พระเจ้าตรัส และหาให้พบว่าหลักธรรมความจริงคืออะไร”  นี่คือความหมายของการแสวงหาความจริง นี่คือความหมายของการก้าวเดินในความสว่าง  เมื่อผู้คนสามารถปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ พวกเขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถบรรลุความรอด

การที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์ ย่อมพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเกลียดคนหลอกลวงและไม่ชอบพวกเขาจริงๆ  ความไม่ชอบที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนที่หลอกลวงคือความไม่ชอบวิธีทำสิ่งต่างๆ อุปนิสัย รวมไปถึงเจตนา และวิธีการหลอกลวงของพวกเขา พระเจ้าไม่ชอบเรื่องทั้งหมดนี้  หากผู้คนที่หลอกลวงสามารถยอมรับความจริง ยอมรับอุปนิสัยที่หลอกลวงของตน และเต็มใจที่จะยอมรับความรอดจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเช่นกัน—เพราะพระเจ้าไม่ทรงมีอคติต่อบุคคลใด และความจริงก็ทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน  ดังนั้น หากพวกเราปรารถนาที่จะกลายเป็นคนที่กำลังทำให้พระเจ้าพอพระทัย สิ่งแรกที่พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงก็คือหลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตน เลิกดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน หยุดพึ่งพาการโกหกและหลอกลวงในการดำเนินชีวิต รวมถึงทิ้งเรื่องโกหกทั้งหมดของพวกเราและพยายามเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์  จากนั้นทัศนะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเราจึงจะเปลี่ยนแปลง  ก่อนหน้านี้ผู้คนพึ่งพาเรื่องโกหก การเสแสร้ง และการหลอกลวงเวลาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น และพวกเขาถือปรัชญาของซาตานเป็นพื้นฐานในการดำรงอยู่ เป็นชีวิต และเป็นรากฐานในการประพฤติตน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชัง  ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อนั้น หากเจ้ากล่าวถ้อยคำที่ซื่อสัตย์ พูดความจริง และพยายามเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะถูกใส่ความ ถูกตัดสิน และถูกปฏิเสธ  ดังนั้นเจ้าจึงทำตามกระแสนิยมทางโลกและดำรงชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เจ้าเริ่มมีทักษะมากขึ้นเรื่อยๆ ในการโกหก และหลอกลวงมากขึ้นทุกที  เจ้ายังเรียนรู้ที่จะใช้วิธีที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาสัมฤทธิ์เป้าหมายและปกป้องตัวเจ้าเองอีกด้วย  เจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในโลกของซาตาน และผลที่ตามมาคือเจ้าร่วงลึกลงไปเรื่อยๆ ในบาป จนกระทั่งเจ้าไม่สามารถถอนตัวได้  แน่นอนว่าในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งต่างๆ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม  ยิ่งเจ้าสามารถโกหกและหลอกลวงได้มากเท่าไร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะยิ่งเอือมระอาและปฏิเสธเจ้ามากเท่านั้น  หากเจ้าไม่ยอมกลับใจและยังคงยึดมั่นในปรัชญาและตรรกะของซาตาน อีกทั้งเจ้าใช้กลอุบายและแผนการ รวมถึงกลยุทธ์ตบตามาอำพรางและตกแต่งตัวเองให้ดูดี เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปได้อย่างมากที่เจ้าจะถูกเผยและกำจัด  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงชิงชังผู้คนที่หลอกลวง  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถเจริญรุ่งเรืองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนผู้คนที่หลอกลวงทั้งหมดย่อมจะถูกปฏิเสธและกำจัดออกไปในที่สุด  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้เนิ่นนานมาแล้ว  มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถมีส่วนในราชอาณาจักรสวรรค์  หากเจ้าไม่พยายามที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าไม่มีประสบการณ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ปฏิบัติในทิศทางนั้น หากเจ้าไม่เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเอง และไม่ตีแผ่ตัวเองออกมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร เจ้าก็ต้องมีท่าทีที่ซื่อสัตย์  หากไม่มีท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเสมอ และล้มเหลวที่จะทำบางสิ่งให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทบทวนตนเอง ทำความรู้จักตนเอง และเปิดใจชำแหละตัวเจ้าเอง  จากนั้นเจ้าก็ควรแสวงหาหลักธรรมความจริง และเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป แทนที่จะทำตัวสุกเอาเผากิน  หากเจ้าไม่พยายามทำให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ และมองหาทางตอบสนองเนื้อหนังของเจ้าเองหรือความทะนงตนของเจ้าเองอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถทำงานได้ดีกระนั้นหรือ?  เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีกระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่สามารถ  ผู้ที่หลอกลวงย่อมสุกเอาเผากินเสมอเวลาทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ใดให้ดีได้ และเป็นเรื่องยากที่ผู้คนเช่นนี้จะบรรลุความรอด  จงบอกเราเถิด—เมื่อผู้คนที่หลอกลวงนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเขากระทำการหลอกลวงหรือไม่?  การนำความจริงไปปฏิบัติย่อมต้องให้พวกเขาจ่ายราคา ละทิ้งผลประโยชน์ของตนเอง เปิดใจและตีแผ่ตัวเองต่อหน้าผู้อื่น  แต่พวกเขาก็หาทางหนีทีไล่เอาไว เวลาพวกเขาพูด พวกเขาก็เปิดเผยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น และเก็บงำส่วนที่เหลือเอาไว้  ผู้อื่นจึงต้องเดาอยู่เสมอว่า พวกเขาหมายถึงอะไร และจำต้องลากเส้นเชื่อมโยงเอาเองว่าพวกเขาพูดถึงอะไร  พวกเขาเหลือพื้นที่ให้ตัวเองยักย้ายถ่ายเทได้เสมอ เหลือที่ทางให้ตัวเองขยับทำการบางอย่าง  เมื่อผู้อื่นสังเกตเห็นว่าพวกเขาหลอกลวง ผู้อื่นก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขา และระวังตัวกับพวกเขาในทุกสิ่งที่ทำ  พวกเขาโกหกและฉ้อโกง และคนอื่นก็ไม่อาจเชื่อใจพวกเขาได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสิ่งใดจริงและสิ่งใดเท็จ หรือมีการปลอมปนมากเพียงใด  พวกเขามักจะกลับคำกับผู้อื่น ผู้คนจึงไม่ให้ค่าพวกเขาในหัวใจของตน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ในพระทัยของพระเจ้าย่อมเป็นเช่นไร?  พระเจ้าทรงมองพวกเขาเช่นไร?  พระเจ้ายิ่งรังเกียจพวกเขามากขึ้นอีก เพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกของหัวใจของผู้คน  มนุษย์มองเห็นได้แต่เพียงสิ่งที่อยู่ตามพื้นผิวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงมองเห็นได้อย่างถูกต้องแม่นยำกว่า แหลมคมกว่า และตามความเป็นจริงมากกว่า

ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้เชื่อมานานเท่าใด หน้าที่ของเจ้าจะเป็นอะไรหรือเจ้าจะทำงานอะไร ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ หรือบุคลิกลักษณะของเจ้าจะดีหรือไม่ดี ตราบใดที่เจ้าสามารถยอมรับความจริงและพยายามที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าย่อมจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน  ผู้คนที่ไม่พยายามเป็นคนที่ซื่อสัตย์บางคนคิดว่าการทำหน้าที่ของตนให้ดีนั้นดีพอแล้ว  สำหรับพวกเขา เราย่อมกล่าวว่า “เจ้าจะไม่มีวันทำหน้าที่ของเจ้าได้ดี”  คนอื่นๆ คิดว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ว่าการพยายามรับใช้โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นกิจที่ใหญ่กว่า และคิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย  เช่นนั้นแล้วก็ลองทำเลย—ดูว่าถ้าไม่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะรับใช้โดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือไม่  คนอื่นๆ ไม่ได้พยายามที่จะเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ แต่พอใจที่จะอธิษฐานทุกวัน ไปชุมนุมตรงเวลา กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และเพียงแค่ไม่ใช้ชีวิตในหนทางที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำเท่านั้น  ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำผิดกฎหมายหรือทำความชั่วใดๆ นั่นก็ดีพอแล้ว  แต่หนทางนี้ทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้หรือไม่?  เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไรหากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์?  หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ถูกต้อง  หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คดโกงและหลอกลวง  เจ้าทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากิน เผยความเสื่อมทรามทุกชนิดออกมา และไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติแม้ในยามที่เจ้าอยากทำ  สิ่งใดก็ตามที่อยู่นอกเหนือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ย่อมไม่ได้ลุล่วงด้วยดี—เจ้าจะไม่มีทางสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าหรือทำให้พระองค์พอพระทัย  หากไม่มีท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยในสิ่งที่เจ้าทำได้อย่างไร?  หากเจ้าทำหน้าที่ของตนโดยไม่มีท่าทีที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร?  เจ้าจะสามารถทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกระนั้นหรือ?  เจ้าคิดถึงเนื้อหนังและความสำเร็จในภายภาคหน้าของตนเองตลอดเวลา เจ้าต้องการบรรเทาความทุกข์ให้กับเนื้อหนังของตน สละตนเองน้อยลง ถวายน้อยลง จ่ายราคาให้ถูกลงตลอดเวลา  เจ้าสงวนท่าทีเอาไว้อยู่เสมอ  นี่คือท่าทีที่หลอกลวง  บางคนคิดคำนวณแม้ในยามที่สละตนเพื่อพระเจ้า  พวกเขาพูดว่า “ฉันต้องมีชีวิตที่สะดวกสบายในอนาคต  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด?  ฉันจะมอบถวายตนเองเต็มร้อยแด่พระองค์ไม่ได้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด  ฉันจำเป็นต้องคิดคำนวณ จำเป็นต้องจัดเตรียมให้ชีวิตครอบครัวของฉันและอนาคตของตนก่อนที่ฉันจะสละตนเองเพื่อพระเจ้า”  มีผู้คนที่คิดแบบนี้อยู่มากหรือไม่?  เมื่อคนเราคิดคำนวณและมีแผนสำรองให้ตนเอง นี่คืออุปนิสัยเช่นใด?  ผู้คนเหล่านี้จงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาใช่คนซื่อสัตย์หรือไม่?  การคิดคำนวณและมีแผนสำรองไม่ใช่การมีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  นี่คืออุปนิสัยที่หลอกลวง และผู้คนที่ทำเช่นนี้ก็กำลังกระทำการหลอกลวง  ท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าไม่ใช่ท่าทีที่ซื่อสัตย์อย่างแน่นอน  บางคนกลัวว่าในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์หรือคบค้าสมาคมกับตน พี่น้องชายหญิงจะมองทะลุจนเห็นปัญหาของตนและบอกว่าพวกตนมีวุฒิภาวะน้อยหรือดูถูกพวกตน  ดังนั้นเมื่อพวกเขาพูด พวกเขาจึงพยายามแสดงให้เห็นว่าพวกเขากระตือรือร้นมาก พวกเขาถวิลหาพระเจ้า และอยากปฏิบัติความจริงมาก  แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอ่อนแอและคิดลบอย่างหนักอยู่ภายใน  พวกเขาแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อที่จะได้ไม่มีใครมองทะลุตนได้  นี่ก็เป็นการหลอกลวงเช่นกัน  กล่าวสั้นๆ ก็คือสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ ไม่ว่าจะในชีวิตหรือในการปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้าทำอะไรที่เทียมเท็จและเสแสร้ง หรือสร้างภาพเทียมเท็จมาชักพาให้หลงผิดหรือหลอกลวงผู้อื่น ทำให้พวกเขานับถือและบูชาเจ้า หรือให้พวกเขาไม่ดูถูกเจ้า นี่ล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น  ผู้หญิงบางคนชื่นชูสามีของตน ทั้งที่จริงๆ แล้วสามีของพวกเธอคือปีศาจและผู้ไม่เชื่อ  เมื่อกลัวว่าพี่น้องชายหญิงของตนจะพูดว่าความรักของเธอแรงกล้าเกินไป ผู้หญิงที่คิดเช่นนี้ก็จะเป็นคนแรกที่พูดว่า “สามีของฉันเป็นปีศาจ”  แต่ในหัวใจของตน เธอกลับพูดว่า “สามีของฉันเป็นคนดี”  อันแรกคือสิ่งที่เธอพูดด้วยปากของตนเอง—แต่นั่นก็คือการพูดให้คนอื่นฟังเท่านั้น ให้พวกเขาคิดว่าเธอมีวิจารณญาณในเรื่องของสามีของตน  แท้จริงแล้วเธอหมายความว่า “เดี๋ยวก่อน อย่าเปิดโปงฉัน  ฉันจะแสดงทัศนะเช่นนี้ก่อน พวกคุณจะได้ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้  ฉันเปิดโปงสามีตัวเองว่าเป็นปีศาจแล้ว ดังนั้นก็ย่อมหมายความว่าฉันปล่อยมือจากความรักใคร่ของฉันแล้ว และพวกคุณก็จะไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก”  นั่นไม่ใช่การหลอกลวงหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่ฉากบังหน้าหรอกหรือ?  นี่คือการหลอกลวงผู้คนและชักนำให้พวกเขาหลงผิดด้วยการจัดฉากบังหน้า  เจ้ากำลังเล่นไม่ซื่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมในทุกโอกาส เพื่อให้ภาพลักษณ์เทียมเท็จของเจ้าเป็นสิ่งที่คนอื่นมองเห็น ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า  นี่ย่อมชั่วร้าย นี่คือความหลอกลวงของมนุษย์  ในเมื่อเจ้ายอมรับรู้ว่าสามีของเจ้าเป็น ปีศาจ เช่นนั้นแล้วทำไมจึงไม่หย่าขาดจากเขา?  ทำไมไม่ปฏิเสธปีศาจตนนั้น ซาตานตนนั้น?  เจ้าบอกว่าสามีของเจ้าเป็นปีศาจ แต่กลับใช้ชีวิตร่วมกับเขาต่อไป—นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าชอบปีศาจ  เจ้าพูดกับปากของเจ้าว่าเขาคือปีศาจ แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับเรื่องนั้นในหัวใจของเจ้า  นี่หมายความว่าเจ้ากำลังหลอกลวงผู้อื่น ตบตาพวกเขา  นี่ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าเจ้าสมคบคิดกับปีศาจและเป็นโล่กำบังให้พวกมัน  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ปฏิบัติความจริงได้ เจ้าย่อมจะหย่าสามีของตนทันทีที่เจ้ายอมรับรู้ว่าเขาคือปีศาจ  จากนั้นเจ้าก็จะสามารถเป็นพยานได้ และนี่ก็จะแสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเจ้ากับปีศาจ  แต่โชคไม่ดีที่เจ้าไม่เพียงล้มเหลวที่จะขีดเส้นแบ่งนั้น แต่เจ้ายังใช้ชีวิตทุกวันของเจ้ากับปีศาจ และชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิดด้วยคำโกหกและกลอุบาย  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับปีศาจ เจ้าคือปีศาจจอมโกหกอีกตนหนึ่ง  ว่ากันว่าผู้หญิงย่อมติดตามผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วยไม่ว่าในยามดีหรือยามร้าย  ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับปีศาจและไม่เคยหันหลังให้เขา นั่นจึงพิสูจน์ว่าเจ้าก็เป็นปีศาจเช่นกัน  เจ้าเป็นปีศาจ แต่เจ้าพูดว่าสามีของเจ้าเป็นปีศาจเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นของพระเจ้า—นี่เป็นชั้นเชิงอย่างหนึ่งของการโกหกและหลอกลวงมิใช่หรือ?  เจ้าตระหนักรู้ความจริงดี แต่ก็ยังคงใช้วิถีทางเช่นนี้เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่น  การทำเช่นนี้ยอกย้อน หลอกลวง  ผู้ที่ยอกย้อนและหลอกลวงล้วนเป็นปีศาจทั้งสิ้น

ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  หากเจ้าทบทวนตนเอง เจ้าก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่ออยู่ในสภาวะหรือมีการปฏิบัติบางอย่าง เจ้าย่อมทำให้ผู้อื่นมีภาพจำเทียมเท็จหรือกระทำการที่หลอกลวง มีหลายครั้งที่พวกเจ้าล้วนเล่นละครหรือหน้าซื่อใจคด  บางคนพูดว่า “แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยสังเกตเห็น?  ฉันเป็นคนไร้เล่ห์มารยา  ฉันถูกรังแกและถูกหลอกต้มอย่างไม่จบไม่สิ้นในโลกใบนี้ และฉันไม่เคยหลอกลวงสักครั้ง  ฉันพูดแต่สิ่งที่อยู่ในหัวใจของฉันเท่านั้น”  นั่นไม่ได้พิสูจน์อยู่ดีว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  เป็นไปได้ว่าเจ้าแค่ไม่ฉลาดหรือไม่มีการศึกษามากนัก หรือบางทีเจ้าอาจถูกรังแกง่ายเวลาอยู่ในกลุ่มต่างๆ หรือบางทีเจ้าอาจเป็นคนขลาดที่ไร้ความสามารถและเบาปัญญาในการกระทำของตน มีทักษะไม่กี่อย่าง และเป็นคนระดับล่างของสังคม—นี่ก็ไม่ได้หมายความอยู่ดีว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  คนซื่อสัตย์คือคนที่สามารถยอมรับความจริงได้—ไม่ใช่คนที่น่าเวทนาสงสาร คนที่หาดีไม่ได้ คนไม่มีสมอง หรือคนไร้เล่ห์มารยา  พวกเจ้าควรที่จะวินิจฉัยเรื่องเหล่านี้ได้ใช่หรือไม่?  บ่อยครั้งที่เราได้ยินบางคนพูดว่า “ฉันไม่เคยโกหก—ฉันคือคนที่ถูกโกหกใส่เสมอ  ฉันถูกผู้คนที่อยู่ข้างนอกนั่นรังแกตลอดเวลา  พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองเถ้า และฉันก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น  นี่คือพระคุณของพระเจ้า  พระเจ้าทรงสงสารผู้คนอย่างพวกเรา ผู้คนที่ไร้เล่ห์มารยาซึ่งสังคมไม่ต้อนรับ  นี่คือความปรานีของพระเจ้าโดยแท้!”  การที่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองเถ้าก็มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่  แม้ว่าเจ้าจะตระหนักรู้เรื่องนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  ที่จริงแล้วบางคนเป็นเพียงคนปัญญาอ่อน บ้องตื้น พวกเขาเป็นคนเขลาที่ไม่มีทักษะอะไรเลย มีขีดความสามารถต่ำ และไม่เข้าใจความจริง  คนประเภทนี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับคนซื่อสัตย์ที่พระเจ้าตรัสถึงอย่างสิ้นเชิง  จริงอยู่ว่าพระเจ้าทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองเถ้า แต่คนไม่มีสมองและคนเขลาไม่ใช่คนที่ถูกยกขึ้นมา  ขีดความสามารถตามธรรมชาติของเจ้าต่ำมาก และเจ้าก็เป็นคนไร้สมอง คนที่หาดีไม่ได้ และแม้เจ้าจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและเป็นสมาชิกของชนชั้นล่างๆ ในสังคม เจ้าก็ยังคงไม่ใช่เป้าหมายแห่งความรอดของพระเจ้า  เพียงเพราะเจ้าทุกข์ทนมามากมายและสู้ทนการเลือกปฏิบัติในสังคม เพียงเพราะเจ้าถูกทุกคนรังแกและฉ้อโกง ก็อย่าได้คิดว่านั่นทำให้เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์  หากเจ้าคิดอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คิดผิดอย่างมหันต์  ตลอดมาเจ้ายึดมั่นอยู่กับความเข้าใจผิดหรือความเข้าใจที่บิดเบือนหรือไม่ว่าคนซื่อสัตย์เป็นอย่างไร?  พวกเจ้าได้รับความกระจ่างจากสามัคคีธรรมนี้บ้างหรือไม่?  การเป็นคนซื่อสัตย์ไม่เหมือนอย่างที่ผู้คนคิด ไม่ใช่การเป็นคนพูดตรงที่เว้นจากการพูดกำกวม  คนคนหนึ่งอาจจะตรงไปตรงมามากโดยธรรมชาติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ใช้กลอุบายหรือการหลอกลวง  มนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เล่นไม่ซื่อและหลอกลวง  เมื่อผู้คนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ภายใต้อิทธิพลของซาตาน ถูกกำลังบังคับของมันกำกับและควบคุม จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะซื่อสัตย์  พวกเขาทำได้เพียงหลอกลวงมากขึ้นทุกทีเท่านั้น  เมื่อมีชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม การเป็นคนซื่อสัตย์ย่อมมีความลำบากยากเย็นมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน  พวกเรามีแนวโน้มที่จะถูกเย้ยหยัน ถูกใส่ร้าย ถูกตัดสิน แม้กระทั่งถูกผู้ไม่มีความเชื่อ กษัตริย์มาร และปีศาจที่มีชีวิต กีดกันและขับไล่  ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะอยู่รอดในฐานะคนซื่อสัตย์ในโลกนี้?  มีที่ว่างให้พวกเราอยู่รอดในโลกใบนี้บ้างหรือไม่?  ย่อมมี  แน่นอนว่าย่อมมีที่ว่างให้พวกเราอยู่รอด  พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าและเลือกพวกเราไว้แล้ว และพระองค์ย่อมมีทางออกให้พวกเราอย่างแน่นอน  พวกเราเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ภายใต้การนำทางของพระองค์เท่านั้น และเราใช้ชีวิตด้วยลมหายใจและชีวิตที่พระองค์ทรงมอบให้ทั้งสิ้น  แล้วเพราะพวกเรายอมรับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจึงมีกฎเกณฑ์ใหม่ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร และมีเป้าหมายใหม่ในชีวิตของพวกเรา  รากฐานชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปแล้ว  พวกเราเลือกใช้วิถีชีวิตแบบใหม่ วิธีประพฤติปฏิบัติตนแบบใหม่ เพื่อให้ได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น  พวกเราเลือกที่จะใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ กล่าวคือ พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย  นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยกับสิ่งที่ร่างกายของพวกเรากิน สิ่งที่พวกเราสวมใส่ หรือสถานที่ที่พวกเราอาศัยอยู่ นี่คือความต้องการทางฝ่ายวิญญาณของพวกเรา  ผู้คนมากมายรู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยากเกินไป  ส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือว่าการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนั้นยากจริงๆ  ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าใช้ชีวิตท่ามกลางผู้ไม่มีความเชื่อ—และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจ้าทำงานร่วมกับพวกเขา—เช่นนั้นแล้วการเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริงก็สามารถทำให้เจ้าถูกหัวเราะเยาะ ถูกใส่ร้าย ถูกตัดสิน แม้กระทั่งถูกกีดกันหรือขับไล่เอาได้  นั่นสร้างความท้าทายต่อการอยู่รอดของพวกเรา  ผู้คนมากมายบอกว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์ไม่สามารถทำได้  ฉันจะเสียเปรียบถ้าฉันพูดตามตรง และฉันก็จะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างถ้าไม่พูดโกหก”  นี่คือมุมมองแบบไหน?  นี่คือมุมมองและเหตุผลของคนที่หลอกลวง  พวกเขาพูดเรื่องเท็จที่หลอกลวงก็เพื่อปกป้องสถานะและผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพูดความจริงด้วยเกรงว่าจะสูญเสียสิ่งเหล่านั้น  มนุษยชาติที่เสื่อมทรามล้วนเป็นแบบนั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้เพียงใด มีสถานะสูงหรือต่ำเพียงใด จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชนทั่วไป ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนมีชื่อเสียงหรือคนธรรมดา พวกเขาก็ล้วนโกหกและฉ้อโกงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครน่าเชื่อถือ  หากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไม่ถูกแก้ไข พวกเขาก็จะยังคงโกหกและฉ้อโกงตลอดเวลาและเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่หลอกลวงต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้จริงหรือ?  พวกเขาจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้ากระนั้นหรือ?  แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้

พวกเจ้ารู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นยากหรือไม่?  พวกเจ้าเคยพยายามนำเรื่องนี้ไปปฏิบัติหรือไม่?  พวกเจ้าปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับการเป็นคนซื่อสัตย์ในด้านใดมาบ้าง?  การปฏิบัติของพวกเจ้าเป็นไปตามหลักธรรมใดบ้าง?  ตอนนี้พวกเจ้ามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในระดับใด?  พวกเจ้าไปถึงจุดที่พวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์โดยพื้นฐานแล้วหรือยัง?  หากเจ้าสัมฤทธิ์ดังนี้แล้ว นั่นก็น่าอัศจรรย์!  พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า เพื่อที่จะแปลงสภาพพวกเราและช่วยพวกเราให้รอด พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงทำพระราชกิจเล็กน้อยเพื่อให้ลองสัมผัสสิ่งที่จะได้เจอก่อน หรือทรงพระราชกิจเพื่อแสดงให้เห็นว่าอนาคตอาจจะเป็นเช่นไร และแล้วเสร็จเมื่อพระราชกิจนั้นได้เสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายนอกของผู้คน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเราทุกๆ คน โดยเริ่มจากส่วนลึกที่อยู่ภายในที่สุดของหัวใจของพวกเราและจากอุปนิสัยของพวกเราและแก่นแท้ที่แท้จริงของพวกเรา โดยแปลงสภาพพวกเราแต่ละคนที่แหล่งกำเนิด  เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่านี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ เช่นนั้นแล้ว พวกเราควรปฏิบัติตนต่อตัวพวกเราเองอย่างไร?  พวกเราควรแสดงความรับผิดชอบต่ออุปนิสัยของพวกเรา ต่อสิ่งที่พวกเราไล่ตามเสาะหา และต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราทำ และพวกเราควรจริงจังในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราทำ ไม่ย่อหย่อนในสิ่งใดเลย และมีความสามารถที่จะนำทุกแง่มุมของพฤติกรรมของพวกเราขึ้นมาเพื่อการพินิจพิเคราะห์  ทุกครั้งที่เจ้าทำบางสิ่งเสร็จสิ้น ต่อให้เจ้าเชื่อว่าทำถูกต้องแล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องตรงตามความจริง  นี่ต้องมีการชำแหละด้วย และต้องเปรียบเทียบ ตรวจสอบยืนยัน และวินิจฉัยตามพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ย่อมจะชัดเจน  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าคิดว่าเจ้าทำผิดไปก็ต้องได้รับการชำแหละเช่นกัน  เรื่องนี้ต้องให้พี่น้องชายหญิงใช้เวลาร่วมสามัคคีธรรม แสวงหา และช่วยเหลือกันให้มากขึ้น  ยิ่งเจ้าสามัคคีธรรมมากขึ้นเพียงใด หัวใจของเจ้าก็จะยิ่งกระจ่างขึ้น และเจ้าก็จะยิ่งเข้าใจหลักธรรมความจริงมากขึ้นเพียงนั้น  นี่คือพรของพระเจ้า  หากพวกเจ้าไม่เปิดใจของตนกันสักคน และพวกเจ้าทั้งหมดปกปิดตนเองโดยหวังว่าจะทิ้งภาพจำที่ดีไว้ในความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นและต้องการให้พวกเขายกย่องพวกเจ้าและไม่เยาะเย้ยพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีประสบการณ์เป็นการเติบโตที่แท้จริง  หากเจ้าอำพรางตนเองตลอดเวลาและไม่เปิดใจเวลาสามัคคีธรรม เจ้าก็จะไม่ได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจความจริง  และแล้วผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด?  เจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความมืดมนตลอดกาล และเจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าต้องการได้รับความจริงและเปลี่ยนอุปนิสัยของตน เจ้าก็ต้องยอมลำบากเพื่อให้ได้รับความจริงและปฏิบัติความจริง และเจ้าต้องเปิดใจและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น  นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า  การปรึกษาหารือถึงความเข้าใจจากประสบการณ์ของเจ้าในการชุมนุมย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้าและผู้อื่น  ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรหากไม่มีพวกเจ้าคนใดพูดถึงการรู้จักตนเอง หรือความเข้าใจจากประสบการณ์ของเจ้า หากไม่มีพวกเจ้าคนใดชำแหละตนเองหรือเปิดใจ หากพวกเจ้าทุกคนเก่งกาจในการกล่าววาจาและคำสอน โดยที่ไม่มีพวกเจ้าคนไหนแบ่งปันความเข้าใจที่ตนมีเกี่ยวกับตัวเอง และไม่มีใครกล้าเปิดเผยว่าการรู้จักตนเองอันน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีอะไรบ้าง?  พวกเจ้าทั้งหมดจะมารวมตัวกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนกันพอหอมปากหอมคอ เจ้าจะยกยอปอปั้นและเยินยอกัน และพูดสิ่งที่ไม่จริงใจ  “โอ หลังๆ มานี่คุณค่อนข้างดีนะ  คุณเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว!”  “พักนี้คุณแสดงให้เห็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น!”  “คุณช่างเลื่อมใสศรัทธาเหลือเกิน!”  “คุณสละไปมากกว่าฉันเยอะเลย”  “คุณถวายมากกว่าฉันอีก!”  นี่คือสถานการณ์แบบที่เกิดขึ้น  ทุกคนยกยอปอปั้นและเยินยอกัน และไม่มีใครเต็มใจเอาตัวตนที่แท้จริงของตนออกมาชำแหละ ให้ทุกคนได้ใช้วิจารณญาณแยกแยะและทำความเข้าใจ  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีชีวิตคริสตจักรที่แท้จริงได้หรือไม่?  ไม่สามารถมีได้  บางคนกล่าวว่า “ฉันใช้ชีวิตคริสตจักรมาหลายปีแล้ว  ฉันพอใจเสมอมาแล้วก็ชื่นชมชีวิตแบบนี้  ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงทุกคนชอบอธิษฐานและร้องเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้า  ทุกคนซาบซึ้งกับคำอธิษฐานและเพลงนมัสการจนน้ำตาไหล  บางครั้งก็ระงับอารมณ์ความรู้สึกไม่อยู่ และพวกเราทุกคนก็ร้อนและเหงื่อออก  พี่น้องชายหญิงร้องเพลงและเต้นรำ เป็นชีวิตคริสตจักรที่เข้มข้นและมีสีสันอย่างมาก และก็สนุกเหลือเกิน  นี่แสดงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ!  หลังจากนั้น พวกเราก็กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และพวกเรารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าพูดกับหัวใจของพวกเราโดยตรง  ทุกครั้งที่พวกเราสามัคคีธรรมกัน ทุกคนกระตือรือร้นจริงๆ”  การใช้ชีวิตคริสตจักรแบบนี้สักไม่กี่ปีน่าสุขสำราญสำหรับทุกคน แต่จะได้อะไรขึ้นมา?  อันที่จริงแล้วแทบไม่มีใครเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และแทบไม่มีใครสามารถบรรยายประสบการณ์ของตนในการเป็นพยานแด่พระเจ้าได้  พวกเขามีพลังงานมากมายในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในการร้องเพลงและเต้นรำ แต่เมื่อถึงเวลาที่จะสามัคคีธรรมถึงความจริง บางคนกลับไม่สนใจ  ไม่มีใครพูดคุยถึงประสบการณ์ของตนในการกลายเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่มีใครชำแหละตนเอง และไม่มีใครตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนให้ผู้อื่นรู้และวินิจฉัย เพื่อประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของตน  ไม่มีใครสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์จริงของตนเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า  ชีวิตคริสตจักรหลายปีผ่านไปโดยเปล่าแบบนั้น มีทั้งการร้องเพลงและเต้นรำ ความรู้สึกเป็นสุข เต็มไปด้วยความสนุกสนาน  พวกเจ้าบอกเราเถิดว่าความสุขและความสนุกสนานนี้มาจากที่ใด?  เราขอบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็นหรือสิ่งที่ทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการเห็นคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของผู้คน และผู้คนดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริง  พระเจ้าทรงต้องการเห็นความเป็นจริงนี้  พระองค์ไม่ทรงต้องการให้เจ้ากอดหนังสือเพลงนมัสการไว้แน่น พลางร้องเพลงและเต้นรำสรรเสริญพระองค์เมื่อเจ้าอยู่ในการชุมนุมหรือรู้สึกแรงกล้า—นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการเห็น  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงโศกเศร้า เจ็บปวดพระทัย และร้อนรนพระทัยเมื่อพระองค์ทรงเห็นสิ่งนี้ เพราะพระองค์ได้ตรัสเป็นพันๆ คำ แต่ไม่มีบุคคลสักคนเดียวได้ทำตามและดำเนินชีวิตตามคำเหล่านี้อย่างแท้จริง  นี่เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้พระเจ้าทรงกังวล  บ่อยครั้งที่พวกเจ้ารู้สึกชะล่าใจและพึงพอใจกับตนเองที่มีสันติสุขและความสุขเล็กน้อยจากชีวิตคริสตจักรของตน  พวกเจ้าสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความสุขสำราญ ความชูใจนิดหน่อย หรือการเติมเต็มฝ่ายวิญญาณบ้าง แล้วก็เชื่อว่าพวกเจ้าได้ปฏิบัติความเชื่อของตนอย่างดีแล้ว  พวกเจ้าเกาะติดสิ่งลวงตาเหล่านี้ ทำกับสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนต้นทุน เป็นของสำคัญที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับจากความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า และยอมรับสิ่งเหล่านี้แทนการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตและการเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดของตน  ด้วยวิธีนี้ เจ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเสาะแสวงที่จะเป็นคนซื่อสัตย์  ไม่จำเป็นต้องคิดทบทวนตนเองหรือชำแหละปัญหาของตน หรือปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ตอนนี้นี่คือการเข้าสู่ดินแดนอันตราย  หากผู้คนไปต่อแบบนี้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดลง หากพวกเขายังคงไม่กลายเป็นคนซื่อสัตย์หรือทำหน้าที่ของตนในหนทางที่ได้มาตรฐานสำเร็จ หากพวกเขาไม่ได้สัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้าและยังคงสามารถถูกศัตรูของพระคริสต์ชักนำให้หลงผิดและควบคุม หากพวกเขาหนีไม่รอดจากอิทธิพลของซาตาน หากพวกเขาไม่สนองข้อกำหนดเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงให้พวกเขา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้คนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าทรงกังวลสนใจ

แท้จริงแล้วผู้คนกระตือรือร้นเสมอเวลาที่พวกเขายังใหม่ต่อความเชื่อ  เมื่อพวกเขาได้ฟังพระเจ้าสามัคคีธรรมความจริงโดยเฉพาะ พวกเขาก็คิดว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงแล้ว  ฉันพบหนทางที่แท้จริงแล้ว  ฉันมีความสุขจริงๆ!”  ทุกวันให้ความรู้สึกชื่นบานราวกับงานฉลองวันปีใหม่หรือวันแต่งงาน ทุกวันพวกเขาจะตั้งตารอคอยให้ใครสักคนเป็นเจ้าภาพการชุมนุมหรือการสามัคคีธรรม  แต่ผ่านไปไม่กี่ปี บางคนกลับสูญเสียความรู้สึกแรงกล้าที่ตนมีต่อชีวิตคริสตจักร และสูญเสียความรู้สึกแรงกล้าที่มีต่อการเชื่อในพระเจ้าไปด้วย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพวกเขามีเพียงความเข้าใจที่ผิวเผินทางด้านทฤษฎีเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือมีประสบการณ์กับความเป็นจริงของตนด้วยตนเอง  เหมือนที่พระเจ้าตรัสไว้ว่าผู้คนมากมายมองไปที่อาหารเลิศหรูในงานเลี้ยง แต่พวกเขาส่วนใหญ่แค่มาดูเท่านั้น  พวกเขาไม่หยิบอาหารอร่อยที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มากิน ชิมรส และใช้ทำให้ร่างกายของตนอิ่มหนำ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และเป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงกังวล  นี่คือสภาวะแบบที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในขณะนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าทุกคนบ่อยๆ เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า  สิ่งที่ทำให้เรากังวลเป็นที่สุดก็คือหลังจากฟังคำเทศนาเหล่านี้และความต้องการทางฝ่ายวิญญาณของเจ้าได้รับการตอบสนองแล้ว เจ้ากลับไม่ทำอะไรที่เป็นการนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติ และจะไม่นึกถึงสิ่งเหล่านี้อีกเลย  ในกรณีนี้ ทั้งหมดที่เราพูดไปย่อมจะเสียเปล่า  ไม่ว่าใครจะมีขีดความสามารถแบบใดก็ตาม พอพวกเขาเชื่อไปสักสองหรือสามปี เจ้าย่อมจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่  หากพวกเขาเป็นคนที่รักความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็วพวกเขาย่อมจะไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนที่รักความจริง พวกเขาย่อมจะทนอยู่ได้ไม่นาน และจะถูกเผยและกำจัดออกไป  แท้จริงแล้วพวกเจ้ารักความจริงหรือไม่?  พวกเจ้าเต็มใจที่จะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ในอนาคตพวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  หลังสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าจะลงมือปฏิบัติเรื่องนี้ด้วยตนเองมากเพียงใด?  แท้จริงแล้วที่พูดไปนี้จะมีสักเท่าใดที่ก่อให้เกิดผลในตัวพวกเจ้า?  ทั้งหมดนี้ไม่มีใครรู้ และจะถูกเปิดเผยในท้ายที่สุด  นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ใครบางคนมีความรู้สึกแรงกล้าเพียงใด หรือสามารถทนทุกข์ได้มากเพียงใดในตอนที่พวกเขายังใหม่ต่อความเชื่อ  กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่ และสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่  มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่จะนำความจริงไปขบคิดหลังการฟังคำเทศนา  มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะไตร่ตรองว่าจะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติอย่างไร จะมีประสบการณ์กับพระวจนะอย่างไร จะนำพระวจนะไปใช้ในชีวิตจริงของตนได้อย่างไร และจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงของพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรจึงจะกลายเป็นคนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง  นั่นคือสาเหตุที่ผู้ที่รักความจริงย่อมจะได้รับความจริงในท้ายที่สุด  ผู้ที่ไม่รักความจริงอาจจะยอมรับหนทางที่แท้จริง พวกเขาอาจจะชุมนุมกัน  ฟังคำเทศนาทุกวัน และเรียนรู้คำสอนบ้าง แต่ทันทีที่เผชิญความยากลำบากหรือบททดสอบ พวกเขาก็คิดลบ อ่อนแอ และอาจถึงกับตัดขาดจากความเชื่อของตน  ในฐานะผู้เชื่อ การที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริง และขึ้นอยู่กับว่าจุดหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าคืออะไร กล่าวคือ แท้จริงแล้วใช่การได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของเจ้าหรือไม่  บางคนนำความจริงติดตัวไปด้วยเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น รับใช้พระเจ้า หรือเพื่อนำทางคริสตจักรให้ดี  นั่นไม่เลวเลย และย่อมหมายความว่าผู้คนเหล่านั้นแบกภาระบางอย่างเอาไว้บนบ่า  แต่หากพวกเขาไม่มุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง หรือการปฏิบัติความจริง และหากพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้  ถ้าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถทำงานคริสตจักรได้ดีกระนั้นหรือ?  นั่นก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  เจ้าจะฟังคำเทศนาไปกี่ครั้งหรือเลือกเส้นทางเช่นใดก็ไม่สำคัญ  เราจะแบ่งปันมุมมองที่ถูกต้องกับพวกเจ้า กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะทำหน้าที่อะไร จะเป็นผู้นำหรือผู้ติดตามทั่วไป เจ้าก็ต้องทุ่มเทความพยายามของตนให้กับพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลัก  เจ้าต้องอ่านและตรึกตรองพระวจนะอย่างจริงจังตั้งใจ  ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจความจริงทุกสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้และจำเป็นต้องปฏิบัติ ทำตนได้เทียบเคียงความจริงเหล่านั้น และนำไปปฏิบัติเพื่อตัวเจ้าเอง  เจ้าจะไม่ได้รับความจริงจนกว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงเสียก่อน  หากเจ้าอธิบายคำสอนที่เจ้าเข้าใจให้ผู้อื่นฟังอยู่เสมอ แต่กลับไม่สามารถนำคำสอนเหล่านั้นไปปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับคำสอนได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการเบี่ยงเบน—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความ  เจ้าควรปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริง ทำความเข้าใจความจริงอันมากมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป  จากนั้นเจ้าก็จะเริ่มเห็นผลที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในหน้าที่ของตน และมีคำพยานจากประสบการณ์เป็นอันมากไว้แบ่งปัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระวจนะของพระเจ้าย่อมจะกลายเป็นชีวิตของเจ้า  และเจ้าย่อมจะทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีเป็นแน่ และจะสามารถทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าเสร็จสิ้นได้เช่นกัน  หากเจ้าอยากนำพระวจนะเหล่านี้ไปใช้เทียบดูผู้อื่น ใช้พระวจนะกับผู้อื่น หรือใช้พระวจนะเป็นต้นทุนในงานของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเดือดร้อน  เวลาทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วเจ้ากำลังใช้เส้นทางเดียวกันกับเปาโลไม่มีผิด  ในเมื่อมุมมองของเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็แน่นอนว่าเจ้าย่อมทำเหมือนว่าพระวจนะเป็นคำสอน เป็นทฤษฎี และเจ้าก็อยากใช้ทฤษฎีเหล่านี้ไปกล่าวสุนทรพจน์และทำงานให้สำเร็จ  นี่อันตรายมาก—นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทำ  หากเจ้ามองสภาวะของตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนและทำความเข้าใจตนเองเสียก่อน แล้วค่อยนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าก็จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จรางวัลและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีคุณสมบัติและมีวุฒิภาวะที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ หากเจ้าไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด และทำได้เพียงสาธยายวาทะและคำสอนเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าทำงาน เจ้าก็จะทำงานอย่างมืดบอด ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่เป็นรูปธรรม  ในท้ายที่สุดเจ้าย่อมจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ และจะถูกกำจัดออกไป  หากเจ้าเข้าใจความจริงสักแง่มุมหนึ่ง เจ้าก็ควรนำแง่มุมดังกล่าวมาเทียบดูตัวเองและนำไปใช้ให้เกิดผลในชีวิตของเจ้าเสียก่อน เพื่อให้แง่มุมนี้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า  เมื่อนั้นก็แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะได้บางสิ่งเอาไว้และเกิดการเปลี่ยนแปลง  หากเจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าดีงาม เป็นความจริงและมีความเป็นจริง แต่เจ้าไม่ได้ใคร่ครวญหรือพยายามเข้าใจความจริงในหัวใจของตน หรือปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริงในชีวิตจริงของตน กลับเอาแต่จดลงสมุดบันทึก แล้วก็หยุดไว้เท่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันเข้าใจหรือได้รับความจริง  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือฟังคำเทศนา และสามัคคีธรรม เจ้าต้องไตร่ตรองและนำสิ่งเหล่านั้นมาเทียบดูตัวเอง เชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นกับสภาวะของตน และใช้สิ่งเหล่านั้นแก้ปัญหาของตน  เฉพาะเมื่อนำพระวจนะไปใช้ในลักษณะนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้บางสิ่งจากพระวจนะอย่างแท้จริง  นี่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติหลังจากฟังคำเทศนาไปแล้วหรือไม่?  หากไม่ใช่ เช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเจ้าก็ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย และไม่มีพระวจนะของพระองค์ และพวกเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงของการเชื่อในพระองค์  เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่นอกพระวจนะของพระเจ้าเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่สามารถนำพระวจนะของพระองค์ไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะ แท้จริงแล้วย่อมไม่เชื่อในพระเจ้า—พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้า เป็นคนที่กบฏต่อพระองค์ และต้านทานพระองค์  หากคนเราไม่นำพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของตน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  และหากคนเราไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระองค์ในชีวิตจริงของตน ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ความจริงไว้  พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถทำความเข้าใจวจนะเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมจะดีที่สุด—แต่ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจวจนะเหล่านี้ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเข้าใจมากเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าควรนำพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่เจ้าเข้าใจเข้ามาในชีวิตจริงของตน และปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นในชีวิตจริง  นี่เป็นหนทางเดียวที่วุฒิภาวะของเจ้าจะเติบโตและอุปนิสัยของเจ้าจะเปลี่ยนแปลง

เมื่อพระเจ้าทรงแสดงความจริงหรือวางข้อกำหนดแก่ผู้คน พระองค์จะทรงชี้หลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติให้พวกเขาเห็นอยู่เสมอ  จงดูการเป็นคนซื่อสัตย์เป็นตัวอย่างเถิด เหมือนที่พวกเราเพิ่งพูดกันไปว่าพระเจ้าได้ประทานเส้นทางสายหนึ่งแก่ผู้คน ตรัสบอกวิธีเป็นคนที่ซื่อสัตย์และวิธีปฏิบัติตามหลักธรรมของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาเดินตามครรลองที่ถูกต้อง  พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะประสบความลำบากยากเย็นใหญ่หลวงในการบรรลุความรอด และเป็นผู้ที่จะประสบความลำบากยากเย็นในการโผล่พ้นจากความมืดมิด”  ในที่นี้ความหมายโดยนัยก็คือพระองค์ทรงกำหนดให้พวกเรานำสิ่งที่พวกเราคิดว่าเป็นความลับหรือเป็นเรื่องส่วนตัวออกมาตีแผ่ มานำเสนอให้ชำแหละ  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าไม่ได้นึกถึง กล่าวคือ พวกเจ้าไม่ได้เข้าใจหรือรู้ว่าพระเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อให้พวกเจ้าปฏิบัติตามนี้  บางครั้งเจ้ากระทำการด้วยเจตนาที่จะหลอกลวงและคดโกง ดังนั้นเจ้าจึงควรเปลี่ยนแปลงการกระทำและเจตนาของเจ้า  บางทีอาจไม่มีใครล่วงรู้ธรรมชาติอันหลอกลวงหรือคดโกงในคำพูดของเจ้า—แต่จงอย่าสบายใจไปเลย  เจ้าควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตนเอง—เจ้าสามารถหลอกผู้คนได้ แต่เจ้าหลอกพระเจ้าไม่ได้  เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐาน ตีแผ่และชำแหละเจตนาและวิธีการของตน คิดทบทวนว่าเจตนาเหล่านี้ของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย หรือจะเป็นที่รังเกียจของพระองค์ เจ้าจะสามารถตีแผ่เจตนาเหล่านี้ได้หรือไม่ เจตนาเหล่านี้พูดยากหรือไม่ และสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  ด้วยการชำแหละและวิเคราะห์แบบนี้ เจ้าย่อมจะค้นพบว่าที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง พฤติกรรมแบบนี้ยากที่จะเปิดเผย และย่อมทำให้พระเจ้ารังเกียจ  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมเปลี่ยนพฤติกรรมนี้  สามัคคีธรรมครั้งนี้ของเราทำให้พวกเจ้ารู้สึกเช่นไร?  เป็นไปได้มากว่าพวกเจ้าบางคนอาจรู้สึกกังวล  เจ้าคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าซับซ้อนจริงๆ  ที่มาได้ไกลขนาดนี้ก็ยากพออยู่แล้ว—ตอนนี้ฉันต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดหรือ?”  ในความเป็นจริงก็คือตอนนี้พระเจ้าเสด็จมาแล้ว และทรงเริ่มนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  นี่คือการเริ่มต้นที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้าและการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขา  หากเจ้าจะเริ่มต้นให้ดี เจ้าต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงในความเชื่อของเจ้า เรียนรู้ความจริงของนิมิตและนัยสำคัญของการติดตามพระเจ้าเสียก่อน แล้วจึงมุ่งปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี  ในหนทางนี้เจ้าย่อมจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  ถ้าเจ้าเอาแต่มุ่งเน้นการกล่าววาทะและคำสอน และสร้างรากฐานที่อิงตามสิ่งเหล่านี้เท่านั้น นั่นย่อมกลายเป็นปัญหา  นั่นก็เหมือนการก่อฐานบ้านบนพื้นทราย กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะสร้างบ้านสูงเพียงใด ก็เสี่ยงที่จะพังถล่มลงมาเสมอ และบ้านย่อมจะไม่คงอยู่ตลอดไป  อย่างไรก็ดี ถึงตรงนี้พวกเจ้ามีสิ่งที่น่าชมเชยอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือพวกเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้า และเต็มใจที่จะรับฟัง  ข้อนี้ดีแล้ว  การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องรอง  ตราบใดที่เจ้ารู้เช่นนี้ การเดินอยู่ในครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อของตนก็ย่อมจะไม่ยาก  การที่จะเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น เจ้าต้องรู้จักตนเองก่อน—เจ้าต้องชัดเจนว่าเจ้ามีอุปนิสัยอะไรที่เสื่อมทรามบ้าง และข้อบกพร่องของเจ้าคืออะไร  เมื่อนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจความสำคัญของการเตรียมตนให้พร้อมสำหรับความจริง และเจ้าย่อมจะสามารถแสวงหาความจริงได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะแก้ปัญหา  กาลเวลาไม่คอยใคร!  เมื่อเจ้าจัดการแก้ปัญหาของตนในการเข้าสู่ชีวิตและมีความเป็นจริงความจริงแล้ว เจ้าย่อมจะรู้สึกมีสันติสุขภายในมากขึ้น  ไม่ว่าความวิบัติจะใหญ่หลวงเพียงใด เจ้าก็จะไม่รู้สึกกลัว  หากเจ้าปล่อยให้เวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เสียเปล่าโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพอมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้น เจ้าก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะงุนงง และอยู่ในสภาวะที่รอคอยอย่างนิ่งเฉยร่ำไป ไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาของตนได้ แต่ยังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตทางโลกและอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้วนั่นก็จะน่าสังเวชอย่างยิ่ง!  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย เมื่อวันที่ความวิบัติอันใหญ่หลวงมาถึง เจ้าย่อมจะเสียใจที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่ได้ความจริงใดๆ ไว้เลย  เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่กระวนกระวายใจตลอดเวลา  ในตอนนี้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่คอยท่ามนุษย์คนใด  ในช่วงไม่กี่ปีแรกๆ ที่พวกเขามาเชื่อ พระองค์ก็ประทานพระคุณบางอย่าง ความกรุณาบางอย่างแก่ผู้คน ประทานความช่วยเหลือและสิ่งบำรุงเลี้ยงแก่พวกเขา  ถ้าผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลงและไม่เคยเข้าสู่ความเป็นจริง แต่กลับพอใจในวาทะและคำสอนที่พวกเขารู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย  พวกเขาพลาดโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้ว และพลาดโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและทำให้มนุษย์เพียบพร้อม  สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงตกอยู่ในมหันตภัย ร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเท่านั้น

เมื่อเจ้าเริ่มก่อรากฐานในความเชื่อของตนเป็นครั้งแรก พวกเจ้าควรก้าวไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมั่นคง  เจ้าควรอยู่ที่เส้นเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ไม่ใช่เส้นเริ่มสาธยายวาทะและคำสอน  เจ้าควรมุ่งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง แสวงหาและปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ในทุกเรื่องและใช้ความจริงเป็นเครื่องเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างได้  เจ้าควรไตร่ตรองว่าจะปฏิบัติความจริงอย่างไร หลักธรรมของการปฏิบัติมีว่าอย่างไร และการปฏิบัติความจริงในลักษณะใดบ้างที่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย  อย่างไรก็ดี ผู้คนด้อยวุฒิภาวะเกินไป  พวกเขาถามถึงสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติความจริงอยู่เสมอ ไม่สัมพันธ์กับการรู้จักตนเองหรือการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  นี่น่าเวทนามิใช่หรือ?  นี่แสดงให้เห็นความด้อยวุฒิภาวะมิใช่หรือ?  บางคนยอมรับพระราชกิจขั้นตอนนี้ของพระเจ้าทันทีที่พระองค์เริ่มทำ และเป็นผู้เชื่อมาจนถึงทุกวันนี้  แต่พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือความเป็นจริงความจริง หรืออะไรคือการปฏิบัติความจริง  บางคนกล่าวว่า “ข้าพระองค์ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานเพื่อความเชื่อของตน และผ่านอะไรมาไม่น้อย  พระองค์ตรัสได้อย่างไรว่าข้าพระองค์ไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย?  ข้าพระองค์ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง—นั่นคือความเป็นจริงมิใช่หรือ?  ข้าพระองค์ทิ้งชีวิตสมรสของตน—นั่นคือความเป็นจริงมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกว่านำความจริงไปปฏิบัติมิใช่หรือ?”  ภายนอกแล้ว เจ้าละทิ้งทางโลกและครอบครัวของตนมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว  แต่นั่นหมายความว่าเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วกระนั้นหรือ?  หมายความว่าเจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คนที่นบนอบพระเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  หมายความว่าอุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว หรือเจ้าเป็นคนที่มีความจริงหรือสภาวะความเป็นมนุษย์แล้วกระนั้นหรือ?  แน่นอนว่าไม่ใช่  สิ่งที่เจ้าทำอยู่ภายนอกเหล่านี้อาจดูดีในสายตาของผู้อื่น—แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงหรือนบนอบพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  การพลีอุทิศและการสละของผู้คนมีการปลอมปนมากเกินไป ทุกคนถูกเจตนาที่จะได้รับพรควบคุมเอาไว้ทั้งสิ้น และยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางบททดสอบและกระบวนการถลุง  นั่นคือสาเหตุที่คนจำนวนมากมายยังคงสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตน และไม่ได้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใด พวกเขาถึงกับขัดขวาง ก่อกวน บ่อนทำลาย และก่อให้เกิดปัญหาสารพัดชนิดกับงานของคริสตจักร  พวกเขาไม่คำนึงถึงการกลับใจ และเฝ้ากระจายความคิดลบ พูดโกหก และบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันข้อโต้แย้งของตน แม้ในขณะที่คริสตจักรให้เอาตัวพวกเขาออกไป  บางคนเชื่อมาสิบหรือยี่สิบปีแล้ว แต่ยังคงเกะกะระรานและทำความชั่วทุกชนิด  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงถูกคริสตจักรเอาตัวออกไปหรือขับไล่  ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถทำเรื่องเลวร้ายมากมายได้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้วว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่เลวร้าย คิดคดและหลอกลวงเกินไป พวกเขาไม่ได้ไร้เล่ห์มารยา เชื่อฟัง หรือนบนอบเลย  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยใส่ใจการปฏิบัติความจริงและการเป็นคนซื่อสัตย์มากนัก  พวกเขามองว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการที่ว่า “ตราบใดที่ฉันยอมทิ้งครอบครัวของฉัน สละตัวเองเพื่อพระเจ้า ทนทุกข์ และจ่ายราคา พระเจ้าก็ควรที่จะจดจำการกระทำของฉัน และฉันควรได้รับความรอดจากพระองค์”  นี่เป็นเพียงความคิดฝันเฟื่องและชวนหัว  หากเจ้าอยากได้รับความรอดและอยากมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง ก่อนอื่นเจ้าต้องมาแสวงหากับพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรนำสิ่งใดไปปฏิบัติ?  มาตรฐานของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอดคืออะไร?  พระองค์ทรงช่วยผู้คนแบบใดให้รอด?”  นี่คือสิ่งที่พวกเราควรแสวงหาและรู้เอาไว้มากกว่าเรื่องอื่น  จงสร้างรากฐานของเจ้าบนความจริง ทุ่มเทพยายามให้กับความจริง รวมทั้งความเป็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะเป็นคนที่มีรากฐาน และมีชีวิต  หากเจ้าก่อรากฐานของตนบนวาทะและคำสอน ไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติหรือทุ่มเทพยายามให้กับความจริงใดๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเป็นคนที่ไม่เคยมีชีวิต  เวลาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ พวกเราย่อมมีชีวิต ความเป็นจริง และแก่นแท้ของคนที่ซื่อสัตย์  และแล้วพวกเราย่อมมีการปฏิบัติและพฤติกรรมของคนที่ซื่อสัตย์ และอย่างน้อย ด้านที่ซื่อสัตย์ของพวกเราย่อมจะนำความเบิกบานมาให้พระเจ้า และพระองค์ย่อมจะทรงเห็นชอบ  อย่างไรก็ดี พวกเรามักจะแต่งเรื่องโกหก ใช้เล่ห์เหลี่ยม และหลอกลวงอยู่ดี ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการชำระให้สะอาด  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงต่อไป และไม่มัวติดอยู่ที่เดิม  พระเจ้าทรงรอพวกเราอยู่ ประทานโอกาสแก่พวกเรา  หากเจ้าไม่เคยมีแผนการที่จะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าไม่เคยแสวงหาวิธีพูดจาอย่างซื่อสัตย์และจากใจ วิธีทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่มีเล่ห์กลหรือการหลอกลวงปลอมปนอยู่ด้วย วิธีประพฤติตนอย่างคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่เจ้าจะมีชีวิตอยู่ในสภาพเสมือนมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ หรือเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  หากเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงของแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งของความจริงแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมได้แง่มุมนั้นของความจริงแล้ว ถ้าเจ้าไม่มีความเป็นจริงนั้นๆ เจ้าก็ไม่มีชีวิตหรือวุฒิภาวะเช่นนั้น  เวลาเผชิญหน้าบททดสอบและการทดลอง หรือเมื่อเจ้าได้รับพระบัญชา หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงอะไรเลย เจ้าย่อมจะสะดุดและผิดพลาดโดยง่าย มีแนวโน้มที่จะล่วงเกินและกบฏต่อพระเจ้า  เจ้าจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้  ผู้คนมากมายทำตัวเกะกะระรานในหน้าที่ของตน ไม่ยอมรับคำแนะนำและยังคงทำตัวเหลือวิสัยที่จะแก้ไขร่ำไป ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง และทำความเสียหายร้ายแรงให้แก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้จึงถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ในที่สุด—นี่เป็นจุดจบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  แต่ถ้าในปัจจุบันเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงเพื่อเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คำพยานจากประสบการณ์ของเจ้าในฐานะคนที่ซื่อสัตย์ก็ย่อมได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถพรากสิ่งนั้นไปจากเจ้าได้ และไม่มีใครสามารถริบเอาความเป็นจริงนี้ ชีวิตนี้ไปจากเจ้าได้  บางคนถามว่า “ฉันเป็นคนที่ซื่อสัตย์มานานแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่ฉันจะกลับกลายเป็นคนที่หลอกลวงอีก?”  หากเจ้าทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนไปแล้ว หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ หากเจ้าใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์และหัวใจของเจ้ารังเกียจเล่ห์กล ความหลอกลวง และโลกที่ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถกลับไปอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตานอีก  นี่เป็นเพราะเจ้าสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว  การเปลี่ยนจากคนหลอกลวงไปเป็นคนที่ซื่อสัตย์นั้นไม่ง่าย  การเปลี่ยนจากคนซื่อสัตย์ซึ่งเป็นที่เปรมปรีดิ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงกลับไปเป็นคนที่ฉลาดแกมโกงอีกย่อมจะเป็นไปไม่ได้ และยากกว่าด้วยซ้ำ  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีประสบการณ์หลายปีในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ฉันพูดความจริงเกือบจะตลอดเวลา และฉันซื่อสัตย์พอสมควร  แต่บางครั้งบางคราวฉันก็พูดสิ่งที่ไม่จริง ไม่ตรง หรือหลอกลวงบ้าง”  นี่เป็นปัญหาที่แก้ง่ายกว่ามาก  ตราบใดที่เจ้ามุ่งเน้นการแสวงหาความจริง และเพียรพยายามเพื่อความจริง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต  เจ้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน  เช่นเดียวกับต้นอ่อนที่ปลูกไว้ในดิน หากเจ้าให้น้ำต้นอ่อนตรงเวลาและให้มันได้แสงแดดทุกวัน เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะออกผลในภายหลังหรือไม่ และจะมีผลให้เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน  สิ่งที่พวกเจ้าควรใส่ใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ พวกเจ้าเคยเข้าถึงการเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่?  เจ้าพูดโกหกน้อยลงเรื่อยๆ หรือไม่?  เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าโดยรวมแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์?  เหล่านี้คือคำถามที่สำคัญ  ถ้ามีคนพูดว่า “ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่หลอกลวง แต่ฉันก็ไม่เคยทำตัวเป็นคนที่ซื่อสัตย์” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงของการเป็นคนซื่อสัตย์แต่อย่างใด  เจ้าจำเป็นต้องพยายามให้มาก นำมุมเล็กมุมน้อยทุกแง่ทุกมุมในชีวิตของเจ้าออกมาชำแหละ รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ทั้งหมดของเจ้า วิธีทั้งปวงที่เจ้าใช้หลอกลวง และการปฏิบัติต่อผู้อื่น  ก่อนที่เจ้าจะชำแหละสิ่งเหล่านี้ เจ้าอาจรู้สึกครึ้มใจนัก พอใจในตนเองอย่างมากที่ลงมือทำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป  แต่เมื่อเจ้าชำแหละสิ่งเหล่านี้ด้วยการเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะตกใจว่า “ฉันไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองต่ำทรามอย่างนี้ มุ่งร้ายและยอกย้อนขนาดนี้!”  เจ้าจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเอง และตระหนักรู้ปัญหาของเจ้า ข้อเสีย และความหลอกลวงของเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าไม่ชำแหละอะไรเลย และคิดตลอดไปว่าเจ้านั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่ไม่หลอกลวง แต่ก็ยังคงบอกว่าตนเองเป็นคนที่หลอกลวง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากเจ้าไม่ขุดเจตนาอันเลวทรามที่น่ารังเกียจในหัวใจของเจ้าขึ้นมา เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมองเห็นความอัปลักษณ์และความเสื่อมทรามของตนได้อย่างไร?  หากเจ้าไม่คิดทบทวนและชำแหละสภาวะที่เสื่อมทรามของตน เจ้าจะมองเห็นความจริงหรือไม่ว่าตัวเจ้าเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำเพียงใด?  เมื่อไม่เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนแต่อย่างใด เจ้าย่อมจะไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา เจ้าจะไม่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงตามข้อกำหนดของพระเจ้า  นั่นคือความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังวลีที่ว่า “เจ้าจะไม่มีวันมีความเป็นจริงหากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง”

ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสล้วนเป็นความจริง—ทุกคำที่ตรัสไปมีความเป็นจริงความจริง และทั้งหมดคือความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก  ดังนั้นในชีวิตประจำวัน ผู้คนจึงควรนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและเข้าสู่  พระวจนะทุกคำที่มาจากพระเจ้ามุ่งหมายที่จะให้สิ่งที่จำเป็นต่อมวลมนุษย์ และทุกคำมีไว้ให้ผู้คนใช้เทียบดูตัวเอง  ไม่ได้มีไว้เพื่อหมายจะให้มองผ่าน หรือตอบสนองความต้องการบางอย่างทางฝ่ายวิญญาณของเจ้า หรือให้เจ้านำไปเที่ยวพูดโดยไม่ลงมือทำ หรือใช้ตอบสนองความต้องการของเจ้าที่จะกล่าววาจาและคำสอน  พระวจนะแต่ละคำของพระเจ้ามีความเป็นจริงของความจริงอยู่  ถ้าเจ้าไม่นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าก็จะไม่มีเส้นทางเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง—เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับความเป็นจริงเสมอ  ถ้าเจ้าฝึกตนให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความเป็นจริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะที่แท้จริงของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ได้ ไม่ใช่แค่เสแสร้งสร้างภาพเทียมเท็จ  เจ้าจะสามารถเข้าใจได้ด้วยว่าคนเช่นใดซื่อสัตย์และคนเช่นใดไม่ซื่อสัตย์ และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงรังเกียจผู้คนที่หลอกลวง  เจ้าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงนัยสำคัญของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เจ้าจะมีประสบการณ์ว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเวลาที่ทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์ และเหตุใดพระองค์จึงทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นเช่นนั้น  เมื่อเจ้าพบว่าตัวเองเต็มไปด้วยความหลอกลวง เจ้าจะนึกเกลียดความหลอกลวงและความคดโกงของเจ้าเอง  เจ้าจะนึกเกลียดที่เจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันหลอกลวงและคดโกงของตนอย่างไร้ซึ่งความละอาย  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะกระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลง  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าการเป็นคนซื่อสัตย์คือทางเดียวที่จะดำรงชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย  เจ้าจะรู้สึกว่าการที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนซื่อสัตย์นั้นมีความหมายอย่างยิ่ง  เจ้าจะรู้สึกว่าด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ มีแต่คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่จะได้รับความรอด และสิ่งที่พระเจ้าตรัสเอาไว้ย่อมถูกต้องทั้งสิ้น!  พวกเจ้าจงบอกเราเถิดว่า ข้อกำหนดของพระเจ้าที่ให้ผู้คนซื่อสัตย์นี้มีความหมายหรือไม่?  (มี)  เมื่อเป็นเช่นนั้น นับแต่นี้ไป พวกเจ้าก็ควรชำแหละส่วนต่างๆ ของตนที่หลอกลวงและคดโกง  เมื่อชำแหละแล้ว เจ้าก็จะพบว่าเบื้องหลังทุกสิ่งที่หลอกลวงนั้นมีเจตนาอยู่ มีเป้าหมายบางอย่าง และมีความอัปลักษณ์ของมนุษย์  เจ้าจะพบว่าการหลอกลวงนี้เผยให้เห็นความโง่เขลา ความเห็นแก่ตัว และความน่ารังเกียจของผู้คน  เมื่อเจ้าพบว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตนเอง และเมื่อเจ้ามองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตน เจ้าย่อมจะนึกเกลียดตัวเอง  เมื่อเจ้าเริ่มเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้ารู้อย่างถ่องแท้ว่าตนเองเป็นอะไรจำพวกไหน เมื่อนั้นเจ้ายังจะอวดตัวต่อไปหรือไม่?  เจ้าจะคุยโวทุกครั้งที่มีโอกาสอีกหรือไม่?  เจ้าจะอยากได้คำชมเชยและการสรรเสริญจากผู้อื่นตลอดเวลาหรือไม่?  เจ้าจะยังคงพูดหรือไม่ว่าข้อกำหนดของพระเจ้าสูงส่งเกินไปและไม่มีความจำเป็น?  เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น และเจ้าจะไม่กล่าวอะไรแบบนั้น  เจ้าจะเห็นพ้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสและกล่าว “อาเมน”  เจ้าจะเชื่อมั่นด้วยหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และด้วยสายตาของเจ้าเอง  เมื่อเรื่องเกิดขึ้นตามนี้ ก็ย่อมหมายความว่าเจ้าเริ่มปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงแล้ว และเจ้าเริ่มเห็นผลแล้ว  ยิ่งเจ้านำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะถูกต้องแม่นยำและมีความจำเป็นเพียงใด  สมมุติว่าเจ้าไม่ได้นำพระวจนะไปปฏิบัติ  แต่กลับเอาแต่พร่ำเพ้ออยู่เสมอว่า “ฉันไม่ซื่อสัตย์ ฉันหลอกลวง” แต่พอพบเจอสถานการณ์หนึ่งๆ เจ้าก็กระทำการที่หลอกลวงอยู่ดี พลางคิดไปว่านี่ไม่นับเป็นความหลอกลวง นึกว่าตนนั้นยังคงซื่อสัตย์ แล้วก็เอาแต่ปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปอย่างนั้น  พอมีบางสิ่งเกิดขึ้นในครั้งต่อไป เจ้าก็หันไปใช้เล่ห์เหลี่ยม และมีส่วนในการคดโกง และการหลอกลวงอีก พูดปดทันทีที่เจ้าอ้าปาก  หลังจากนั้นเจ้าก็นึกสงสัยว่า “ฉันคดโกงและหลอกลวงอีกหรือเปล่า?  ฉันโกหกอีกแล้วหรือเปล่า?  ฉันไม่คิดว่าใช่” แล้วเจ้าก็อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงมองเห็นว่าข้าพระองค์หันไปใช้กลอุบายอยู่เสมอ คดโกงและหลอกลวงตลอดเวลา  ได้โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด  คราวหน้าข้าพระองค์จะไม่เป็นอย่างนั้นอีก ถ้าเป็น ก็ขอให้ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าแตะเรื่องเหล่านี้อย่างผิวเผินเท่านั้น กลบเกลื่อนเรื่องราว  นี่คือคนแบบใด?  นี่คือคนที่ไม่รักความจริงและไม่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ  เจ้าอาจจ่ายราคาบ้างหรือใช้เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนบ้าง รับใช้พระเจ้า หรือฟังคำเทศนาบ้าง  เจ้าอาจทิ้งเวลางานบางส่วนและหาเงินได้น้อยลงหน่อย  แต่ที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติเลย และไม่ได้จริงจังกับเรื่องของการปฏิบัติความจริง  เจ้าตื้นเขินและสุกเอาเผากิน ไม่เคยคิดเรื่องนี้เท่าใดนัก  ถ้าเจ้าเอาแต่ทำอย่างขอไปทีเวลาปฏิบัติความจริง นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงไม่ใช่ท่าทีแห่งความรัก  เจ้าเป็นคนที่ไม่เต็มใจนำความจริงไปปฏิบัติ รังเกียจและห่างไกลความจริง  ความเชื่อของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อให้ได้รับพร และสาเหตุเดียวที่เจ้าไม่เดินจากพระเจ้าไปก็เพราะเจ้ากลัวถูกลงโทษ  ดังนั้นในเรื่องความเชื่อของเจ้า เจ้าจึงทำแต่พอให้พ้นตัว เสาะแสวงที่จะประกาศคำพูดและคำสอนเพื่อทำให้ตนดูดี เรียนรู้คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณบางคำและเพลงสรรเสริญซึ่งกำลังเป็นที่นิยมบางเพลง เรียนรู้วลีติดปากไว้สามัคคีธรรมความจริงบ้าง รวมทั้งคำศัพท์ยอดนิยมที่สัมพันธ์กับความเชื่อของเจ้า  เจ้าตกแต่งตัวเองให้ดูเหมือนบุคคลทางฝ่ายวิญญาณ คิดไปว่าตนเองตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าและคู่ควรที่จะให้พระองค์ใช้งาน  เจ้าลำพองใจและลืมตัว  หลงใหลและหลงเชื่อภาพลักษณ์ภายนอกจำพวกนี้ พฤติกรรมหน้าซื่อใจคดเหล่านี้  เจ้าย่อมถูกสิ่งเหล่านี้หลอกจนตัวตาย และแม้เจ้าจะคิดว่าเจ้าจะขึ้นสวรรค์ แต่ที่จริงแล้วเจ้าย่อมจะลงนรก  ความเชื่อแบบนั้นมีความหมายอะไร?  ไม่มีอะไรจริงในสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อ” ของเจ้า  อย่างมากเจ้าก็ยอมรับรู้แล้วว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  ดังนั้นเมื่อถึงปลายทาง จุดจบของเจ้าย่อมจะเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อ—เจ้าย่อมจะไปนรก ไร้ซึ่งผลลัพธ์อันดีงาม  พระเจ้าตรัสว่า “สิ่งที่เราขอนี้มิใช่ดอกไม้ที่สะพรั่งสดใส แต่คือผลอันดกดื่น”  ไม่ว่าเจ้าจะมีดอกไม้สักกี่ดอกหรือดอกไม้เหล่านั้นจะสะสวยเพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องการ  ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะพูดดีเพียงใดหรือดูจะสละ ถวาย หรือละทิ้งมากเท่าใด นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงยินดี  พระเจ้าเพียงแต่ดูว่าแท้จริงแล้วเจ้าเข้าใจและนำความจริงไปปฏิบัติมากเท่าใดแล้ว เจ้าใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบ้างหรือยัง เจ้ามีคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์มากเพียงใด เจ้าตระเตรียมความประพฤติดีเอาไว้มากเท่าใด เจ้าสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว และเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ถึงมาตรฐานหรือยัง  พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้  เวลาผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้าและไม่รู้น้ำเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเขาย่อมเข้าใจเจตนารมณ์เหล่านั้นผิดและเสนอบางสิ่งที่ตื้นเขินแก่พระองค์เพื่อใช้ชำระบัญชีกับพระองค์  พวกเขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้ว  เดินทางไปทั่ว ประกาศข่าวประเสริฐ และเรียกผู้คนมากมายมารับเชื่อ  ข้าพระองค์สาธยายพระวจนะของพระองค์ได้หลายบทตอนและร้องเพลงสรรเสริญได้ไม่น้อย  เมื่อมีบางสิ่งที่ใหญ่โตหรือยากเย็นเกิดขึ้น ข้าพระองค์ก็ถืออดอาหารและอธิษฐานอยู่เสมอ อ่านพระวจนะของพระองค์ตลอดเวลา  แล้วข้าพระองค์จะไม่คล้อยตามเจตนารมณ์ของพระองค์ได้อย่างไร?”  และแล้วพระเจ้าก็ตรัสถามพวกเขาว่า “ตอนนี้เจ้าใช่คนซื่อสัตย์หรือไม่?  ความหลอกลวงของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง?  เจ้าเคยจ่ายราคาเพื่อที่จะเป็นคนซื่อสัตย์บ้างหรือไม่?  เรื่องทั้งหมดที่หลอกลวงซึ่งเจ้าทำเอาไว้ ทุกความหลอกลวงที่เจ้าเผยให้เห็น เจ้าเคยนำมาเปิดเผยเบื้องหน้าเราหรือไม่?  ความไม่ซื่อสัตย์ที่เจ้ามีกับเราลดน้อยลงบ้างหรือไม่?  เวลาเจ้าให้คำปฏิญาณเทียมเท็จหรือคำสัญญาที่กลวงเปล่ากับเรา หรือพูดเรื่องดีๆ เพื่อหลอกเรา เจ้ารู้ตัวหรือไม่?  เจ้าวางมือจากเรื่องเหล่านี้หรือยัง?”  เมื่อเจ้าใคร่ครวญและพบว่าเจ้ายังไม่ได้วางมือจากเรื่องเหล่านี้เลย เจ้าย่อมจะอึ้งไป  เจ้าจะตระหนักรู้ข้อเท็จจริงว่าเจ้าไร้ซึ่งหนทางที่จะชำระบัญชีต่างๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เราเปิดโปงสภาวะที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าก็เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเจ้ารู้จักตัวเอง เราพูดมามากมายเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและเข้าสู่ความเป็นจริงได้  พระวจนะ สามัคคีธรรม หรือความจริงไม่ได้มีไว้ให้ผู้คนใช้สาธยายกันไปทั่ว แต่ให้นำไปปฏิบัติ  เพราะอะไรถึงบอกพวกเจ้าอยู่เสมอว่าให้ยอมรับและนำความจริงไปปฏิบัติ?  เพราะมีเพียงความจริงเท่านั้นที่ชำระความเสื่อมทรามของพวกเจ้าให้สะอาดได้และเปลี่ยนทัศนคติที่พวกเจ้ามีต่อชีวิต เปลี่ยนสิ่งที่พวกเจ้าให้คุณค่าได้ และมีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นชีวิตของคนเราได้  เมื่อเจ้ายอมรับความจริง เจ้าต้องนำไปปฏิบัติด้วยเพื่อให้ความจริงกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ถ้าเจ้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจความจริง แต่ไม่เคยปฏิบัติความจริง และความจริงยังไม่กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง  ในเมื่อเจ้ายังไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่มีทางที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะได้รับการชำระให้สะอาด  ถ้าเจ้าปฏิบัติความจริงไม่ได้ เจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง  ในที่สุดถ้าความจริงยังไม่หยั่งรากลงในหัวใจของเจ้าและยังไม่กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วเมื่อเวลาในการเป็นผู้เชื่อของเจ้าจวนจะหมดลง ชะตากรรมและจุดจบของเจ้าย่อมจะถูกกำหนด  เมื่อพิจารณาตามสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าทุกคนรู้สึกถึงความเร่งด่วนของการนำความจริงไปปฏิบัติบ้างหรือไม่?  จงอย่ารอสักสามปี ห้าปี หรือมากกว่านั้น แล้วค่อยเริ่มปฏิบัติความจริงเมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น  ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรือสายเกินไปเมื่อเป็นการปฏิบัติความจริง ถ้าเจ้าลงมือปฏิบัติแต่เนิ่นๆ เจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงเร็ว และถ้าเจ้าปฏิบัติในภายหลัง เจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลงทีหลัง  ถ้าเจ้าพลาดโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และพลาดการทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อมของพระเจ้า เจ้าย่อมจะมีภัยเมื่อมหันตภัยใหญ่หลวงมาถึง  และแล้วเมื่อพระราชกิจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าสรุปปิดตัว ก็จะไม่มีโอกาสหลงเหลืออยู่อีกเลย  หลังจากที่เจ้าสูญเสียโอกาสไปแล้ว ถ้าเจ้ากล่าวว่า “ตอนนั้นฉันไม่ได้ใช้ความพยายาม แต่ตอนนี้ฉันจะเริ่มปฏิบัติแล้ว” ก็ย่อมจะสายเกินการ และย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า  นั่นเป็นเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป และความเข้าใจที่เจ้ามีในทุกสรรพสิ่ง ในความจริงทั้งปวง ก็ย่อมจะตื้นเขินมาก  ตอนนี้มีสถานการณ์สารพัดอย่างเกิดขึ้น และเพราะการสามัคคีธรรมความจริง ความเชื่อของพวกเจ้าจึงเพิ่มพูน และพวกเจ้าก็มีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า  ถ้าไม่มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นสักพักหนึ่ง พวกเจ้าย่อมจะคิดลบและไร้วินัยกันเป็นแน่ ล่องลอยห่างจากพระเจ้าออกไปทุกที  พวกเจ้าจะเป็นเหมือนผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาโดยแท้ เอาแต่ชุมนุมและประกอบศาสนพิธีตามรูปแบบ ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด  ถึงตอนนั้นการทุบอกและร้องไห้คร่ำครวญจะให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเจ้า?

จงบอกเราเถิดว่า การใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนที่หลอกลวงนั้นเหนื่อยยากหรือไม่?  (เหนื่อยยาก)  พวกเขาก็เหนื่อยยากเช่นกันมิใช่หรือ?  อันที่จริงพวกเขาก็เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของตนเอง  นี่เป็นเพราะผู้คนที่หลอกลวงและผู้คนที่ซื่อสัตย์แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ย่อมเรียบง่ายกว่า  ความคิดของพวกเขาไม่ซับซ้อนเท่า และพวกเขาก็กล่าวตามที่ตนคิด  ในทางตรงกันข้าม คนที่หลอกลวงจำต้องพูดจาอ้อมค้อมอยู่เสมอ  พวกเขาไม่พูดอะไรตรงๆ—แต่กลับใช้เกมหลอกลวงเล่นตุกติกและปกปิดเรื่องโกหกของตนเอาไว้ตลอดเวลา  พวกเขาใช้ความคิดอยู่เสมอ คิดอ่านตลอดเวลา กลัวว่าถ้าตนเผอเรอสักหน่อย ก็จะหลุดอะไรออกมา  ผู้คนบางคนเล่นเกมอันหลอกลวงกันถึงขั้นใด?  ไม่ว่าพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใครอยู่ พวกเขาก็พยายามดูตลอดเวลาว่าใครคิดคำนวณมากกว่ากัน ใครฉลาดหลักแหลมกว่ากัน ใครคือสุดยอด และท้ายที่สุดแล้วความอยากแข่งขันของพวกเขาย่อมกลายเป็นโรคประสาท  ตกกลางคืนพวกเขานอนไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด และคิดด้วยซ้ำว่านี่เป็นเรื่องปกติ  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมกลายเป็นปีศาจที่มีลมหายใจไปแล้วมิใช่หรือ?  เวลาที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน กลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ และดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์  การใช้ชีวิตอย่างคนที่ซื่อสัตย์นั้นอิสระและเสรี ทั้งยังเจ็บปวดน้อยกว่ากันมาก  เป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด  คนซื่อสัตย์เรียบง่ายกว่า  พวกเขากล่าวความในใจ และพูดสิ่งที่ตนคิด  พวกเขาทำตามมโนธรรมและเหตุผลของตนทั้งในวาจาและการกระทำ  พวกเขาเต็มใจที่จะพากเพียรเพื่อความจริง และเมื่อเข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็นำไปปฏิบัติ  เวลาที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจเรื่องหนึ่งๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาก็เต็มใจที่จะแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นก็ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง  พวกเขาแสวงหาความปรารถนาของพระเจ้าในทุกหนแห่งและในทุกสิ่ง จากนั้นก็ลงมือทำตามความปรารถนาเหล่านั้น  อาจมีบ้างบางเรื่องที่พวกเขาเบาปัญญาและต้องหาหลักธรรมความจริงติดตัวไว้ และนี่ก็ทำให้พวกเขาต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง  การมีประสบการณ์เช่นนี้หมายความว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นคนที่มีปัญญา ซื่อสัตย์ และตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการได้  แต่ผู้คนที่หลอกลวงไม่เป็นเช่นนี้  พวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เผยความเสื่อมทรามของตนออกมา แต่กลับกลัวว่าเมื่อตนทำเช่นนั้น ผู้อื่นก็อาจพบเจอบางสิ่งบางอย่างไว้ใช้เล่นงานตน  ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กลโกงที่หลอกลวงมาโต้ตอบ  พวกเขากลัวช่วงเวลาที่ทุกสิ่งจะเผยตัวออกมา พวกเขาจึงใช้ทุกทางที่เป็นไปได้มาสร้างเรื่องโกหกและปกปิดเรื่องที่กุขึ้นมาเอาไว้ พอมีช่องโหว่ พวกเขาก็ยิ่งพูดเรื่องโกหกมากขึ้นเพื่ออุดช่องโหว่  การพูดปดและปกปิดเรื่องโกหกของตนเอาไว้—วิถีชีวิตเช่นนั้นย่อมเหนื่อยยากมิใช่หรือ?  พวกเขาเค้นสมองคิดแต่งเรื่องโกหกและหาทางปกปิดเอาไว้เสมอ  แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนที่หลอกลวงและใช้วันเวลาของตนไปกับการกุเรื่องโกหกและปกปิดเอาไว้ ย่อมมีชีวิตที่เหนื่อยยากและเจ็บปวดดังกล่าว!  อย่างไรก็ดี กับคนซื่อสัตย์ย่อมต่างออกไป  เมื่อเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คนเราก็ไม่มีอะไรให้คิดมากขนาดนั้นเวลาพูดจาและกระทำการ  โดยมากแล้ว คนที่ซื่อสัตย์ได้แต่พูดจาด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น  พวกเขาจะคิดหนักขึ้นอีกหน่อยเฉพาะเมื่อมีเรื่องจำเพาะมาแตะต้องผลประโยชน์ของตน—พวกเขาอาจพูดปดบ้างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน ดำรงความทะนงตัวและความภาคภูมิใจของตนเอาไว้  เรื่องโกหกเช่นนี้มีอยู่จำกัด ดังนั้นการพูดจาและการกระทำจึงไม่เหนื่อยยากนักสำหรับผู้คนที่ซื่อสัตย์  เจตนาของผู้คนที่หลอกลวงซับซ้อนกว่าเจตนาของคนที่ซื่อสัตย์มากนัก  เรื่องที่อยู่ในความคิดคำนึงของพวกเขามีเหลี่ยมมุมมากมายเกินไป กล่าวคือ พวกเขาต้องคำนึงถึงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ตลอดจนความมีหน้ามีตาและเกียรติของตน และพวกเขาต้องปกป้องผลประโยชน์ของตน—พวกเขาทำทั้งหมดนี้โดยไม่ยอมให้ผู้อื่นมองเห็นข้อเสียหรือเผยความลับให้ผู้อื่นรู้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเค้นสมองแต่งเรื่องโกหกขึ้นมา  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนที่หลอกลวงยังมีความอยากได้อยากมีที่ใหญ่โตและล้นเหลือ มีข้อเรียกร้องมากมาย  พวกเขาต้องคิดหาทางสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพูดปดและโกงต่อไป แล้วพร้อมกับที่พวกเขาพูดโกหกมากขึ้น พวกเขาก็จำเป็นต้องปกปิดเรื่องโกหกที่มีจำนวนมากขึ้น  นั่นคือสาเหตุที่ชีวิตของคนที่หลอกลวงเหนื่อยยากและเจ็บปวดกว่าชีวิตของคนที่ซื่อสัตย์มากนัก  บางคนเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์  ถ้าคนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ ทบทวนตนเองได้ไม่ว่าจะโกหกเรื่องอะไรไปบ้างแล้วก็ตาม สามารถตระหนักรู้ว่าตนใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มองการใช้เล่ห์เหลี่ยมนั้นตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อชำแหละและทำความเข้าใจ และลงมือเปลี่ยนแปลงการกระทำของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสามารถขจัดการโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมออกจากตัวได้มากภายในเวลาไม่กี่ปี  เมื่อถึงตอนนั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาย่อมจะกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์  การใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยยากมากมายเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีสันติและความสุขอีกด้วย  ในหลายๆ เรื่องพวกเขาย่อมจะเป็นอิสระจากเครื่องจองจำซึ่งก็คือชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ตลอดจนความทะนงตนและความภาคภูมิใจ และจะมีชีวิตที่อิสระและเสรีไปเอง  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่หลอกลวงย่อมมีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่เบื้องหลังวาจาและการกระทำของตนเสมอ  พวกเขาแต่งเรื่องโกหกสารพัดรูปแบบไว้ชักพาให้หลงผิดและหลอกให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และทันทีที่ถูกเปิดโปง พวกเขาก็คิดหาทางปกปิดเรื่องโกหกของตน  เมื่อทุกข์ทรมานหลายทาง พวกเขาจึงรู้สึกเช่นกันว่าชีวิตของตนช่างเหนื่อยยาก  สำหรับพวกเขา การพูดเรื่องโกหกมากมายหลายเรื่องในทุกสถานการณ์ที่ตนพบเจอก็เหนื่อยยากมากพออยู่แล้ว และการที่ต้องปกปิดเรื่องโกหกเหล่านั้นหลังจากนั้นก็ยิ่งเหนื่อยยากมากขึ้นอีก  ทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวล้วนมีเจตนาที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายอย่างหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้พลังความคิดมากมายไปกับคำพูดแต่ละคำที่ตนพูด  แล้วพอพูดจบ พวกเขาก็นึกกลัวว่าเจ้านั้นรู้ทันพวกเขาเข้าแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเค้นสมองคิดหาทางซ่อนเร้นเรื่องโกหกของตนไปด้วย อธิบายสิ่งต่างๆ ให้เจ้าฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามให้เจ้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้โกหกหรือหลอกลวงเจ้าอยู่ พวกเขาเป็นคนดี  ผู้คนที่หลอกลวงนั้นพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านี้  ถ้ามีคนที่หลอกลวงอยู่ด้วยกันสองคน ก็ไม่แคล้วที่จะมีแผนร้าย ความขัดแย้ง และการออกอุบายเกิดขึ้น  การทะเลาะเบาะแว้งจะไม่มีวันจบสิ้น ส่งผลให้เกลียดชังกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกัน  ถ้าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ และอยู่กับคนที่หลอกลวง พฤติกรรมเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้านึกรังเกียจเป็นแน่  ถ้าพวกเขาเพียงแต่ทำตัวเช่นนี้เป็นครั้งคราว เจ้าย่อมจะคิดว่าทุกคนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม เรื่องแบบนี้จึงยากที่จะหลีกเลี่ยง  แต่ถ้าพวกเขาทำตัวเช่นนี้ตลอดเวลา วิธีการเหล่านี้ย่อมจะทำให้เจ้ารังเกียจและชิงชังเป็นพิเศษ เจ้าจะนึกชิงชังด้านนี้ของพวกเขาและเจตนาที่พวกเขามี  เมื่อเจ้ารู้สึกชิงชังพวกเขาในระดับนี้ เจ้าย่อมจะเกลียดชังและปฏิเสธพวกเขาได้  นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจและไม่ได้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ก็ไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้

พวกเจ้าคิดอย่างไร—สำหรับผู้คนที่หลอกลวงแล้ว ชีวิตย่อมเหนื่อยยากมิใช่หรือ?  พวกเขาใช้เวลาให้หมดไปกับการพูดปด จากนั้นก็พูดเรื่องโกหกมากขึ้นเพื่อปกปิดเรื่องโกหก และมีการใช้เล่ห์เหลี่ยม  พวกเขาคือคนที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยยากเช่นนี้  พวกเขารู้ว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยาก—แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากจะเป็นคนหลอกลวงอยู่ดี และไม่ปรารถนาที่จะเป็นคนซื่อสัตย์?  พวกเจ้าเคยคิดถามเช่นนี้บ้างหรือไม่?  นี่คือผลจากการที่ผู้คนถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนหลอกเอา มันหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ขจัดชีวิตเช่นนี้ อุปนิสัยแบบนี้ไปจากตัว  ผู้คนเต็มใจที่จะยอมรับการถูกหลอกแบบนี้และการใช้ชีวิตเช่นนี้ พวกเขาไม่อยากปฏิบัติความจริงและเดินบนเส้นทางที่สว่าง  เจ้าคิดว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เหนื่อยยากและการทำเช่นนี้ก็ไม่จำเป็น—แต่ผู้คนที่หลอกลวงกลับคิดว่านี่จำเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาคิดว่าการไม่ทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม ทำร้ายภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และผลประโยชน์ของพวกเขาด้วย และพวกเขาก็จะสูญเสียมากเกินไป  พวกเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่า ชื่นชูว่าภาพลักษณ์ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตนนั้นล้ำค่า  นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้คนที่ไม่รักความจริง  สรุปแล้ว เมื่อผู้คนไม่เต็มใจที่จะเป็นคนซื่อสัตย์หรือปฏิบัติความจริง ย่อมเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง  หัวใจของพวกเขาชื่นชูสิ่งต่างๆ เช่น ความมีหน้ามีตาและสถานะว่าล้ำค่า พวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมทางโลก และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พลังอำนาจของซาตาน  นี่คือปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขา  ตอนนี้มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ฟังคำเทศนาไปก็มาก และรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไรบ้าง  แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่ดี และไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย—เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาไม่รักความจริง  ต่อให้พวกเขาพอจะเข้าใจความจริงบ้าง พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้อยู่ดี  สำหรับผู้คนแบบนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี ก็ย่อมจะสูญเปล่า  เป็นไปได้หรือไม่ที่จะช่วยผู้คนที่ไม่รักความจริงให้รอด?  แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้  การไม่รักความจริงเป็นปัญหาเกี่ยวกับหัวใจของคนเรา ธรรมชาติของคนเรา  ไม่อาจแก้ไขได้  การที่คนเราจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดในความเชื่อของตนหรือไม่นั้น โดยมากแล้วขึ้นอยู่กับว่าพวกเขารักความจริงหรือไม่  มีแต่คนที่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถยอมรับความจริงได้ มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถก้าวผ่านความทุกข์ยากและจ่ายราคาเพื่อความจริงได้ และพวกเขาเท่านั้นที่สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ได้  มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถใช้ประสบการณ์ของตนแสวงหาความจริง ทบทวนและทำความรู้จักตนเองได้ มีความกล้าที่จะขัดขืนเนื้อหนัง ตลอดจนปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้สำเร็จ  มีแต่ผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ในลักษณะเช่นนี้ สามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากเส้นทางนี้อีกแล้ว  เป็นเรื่องยากยิ่งที่ผู้ที่ไม่รักความจริงจะยอมรับความจริง  นี่เป็นเพราะตามธรรมชาติของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมรังเกียจและเกลียดชังความจริง  ถ้าพวกเขาอยากเลิกแข็งขืนพระเจ้าหรือไม่อยากทำความชั่ว ก็เป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเขาเป็นคนของซาตาน พวกเขากลายเป็นมารและศัตรูของพระเจ้าไปแล้ว  พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ไม่ทรงช่วยหมู่มารหรือซาตานให้รอด  บางคนตั้งคำถามทำนองว่า “แท้จริงแล้วฉันเข้าใจความจริง  ฉันแค่นำไปปฏิบัติไม่ได้  ฉันควรทำอย่างไร?”  นี่คือคนที่ไม่รักความจริง  ถ้าคนเราไม่รักความจริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง ก็จะนำความจริงไปปฏิบัติไม่ได้ เพราะหัวใจของพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นและพวกเขาไม่ชอบความจริง  คนแบบนี้เหลือวิสัยที่จะช่วยให้รอด  บางคนบอกว่า “ในสายตาของฉัน ดูเหมือนคุณสูญเสียอะไรไปมากจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ฉันเลยไม่อยากเป็นคนซื่อสัตย์  คนที่หลอกลวงไม่เคยสูญเสียอะไร—พวกเขาได้ผลประโยชน์จากการเอาเปรียบคนอื่นด้วยซ้ำ  ดังนั้นฉันก็เลยอยากเป็นคนที่หลอกลวงมากกว่า  ฉันไม่เต็มใจที่จะให้คนอื่นมารู้เรื่องส่วนตัวของฉัน รู้ทัน หรือเข้าใจฉัน  ชะตากรรมของฉันควรอยู่ในมือของฉันเอง”  แน่นอนว่าเมื่อคิดเช่นนั้น—ก็จงลองทำเช่นนั้นดูเถิด  ดูเอาว่าเจ้าจะลงเอยด้วยจุดจบแบบใด ดูเอาว่าท้ายที่สุดแล้วใครบ้างไปนรกและใครบ้างถูกลงโทษ

พวกเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์กันหรือไม่?  หลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมนี้แล้ว พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำเช่นไรบ้าง?  พวกเจ้าจะเริ่มทำอะไรก่อน?  (ข้าพระองค์จะเริ่มด้วยการไม่พูดปด)  นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่การไม่พูดปดไม่ใช่เรื่องง่าย  มักจะมีเจตนาอยู่เบื้องหลังเรื่องโกหกของผู้คน แต่เรื่องโกหกบางเรื่องก็ไม่มีเจตนาอยู่เบื้องหลัง หรือไม่ได้จงใจวางแผนมา  แต่กลับพูดไปอย่างนั้นเอง  เรื่องโกหกแบบนี้แก้ง่าย เรื่องโกหกที่มีเจตนาอยู่เบื้องหลังนั้นแก้ยาก  นี่เป็นเพราะเจตนาเหล่านี้เกิดจากธรรมชาติของคนเรา เป็นตัวแทนการใช้เล่ห์เหลี่ยมของซาตาน และเป็นเจตนาที่ผู้คนตั้งใจเลือก  ถ้าใครบางคนไม่รักความจริง พวกเขาย่อมจะขัดขืนเนื้อหนังไม่ได้—ดังนั้นพวกเขาจึงควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนั้น  แต่การโกหกไม่อาจแก้ไขให้หมดไปได้ในทันที  ย่อมจะมีการกลับไปโกหกอีกเป็นครั้งคราว หรือหลายครั้งด้วยซ้ำ  นี่เป็นสถานการณ์ที่ปกติ และตราบใดที่เจ้าสลายเรื่องโกหกแต่ละเรื่องที่เจ้าพูด และเฝ้าทำเช่นนี้ต่อไป ตราบนั้นก็ย่อมจะถึงวันที่เจ้าจะสลายเรื่องเหล่านั้นไปจนหมด  การแก้ไขการโกหกเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ กล่าวคือ เมื่อเรื่องโกหกเรื่องหนึ่งออกมาจากเจ้า จงทบทวนตัวเอง แล้วจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า  เมื่อพรั่งพรูออกมาอีกเรื่องหนึ่ง ก็จงทบทวนตัวเองและอธิษฐานถึงพระเจ้าอีก  ยิ่งเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าก็จะยิ่งเกลียดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า เจ้าจะยิ่งอยากปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตตามความจริง  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะมีความเข้มแข็งที่จะละทิ้งเรื่องโกหกทั้งหลาย  หลังจากผ่านประสบการณ์และปฏิบัติเช่นนี้ไปสักระยะ เจ้าก็จะมองเห็นได้ว่าเรื่องโกหกของเจ้าลดน้อยลงมาก เจ้าใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และไม่จำเป็นต้องพูดปดหรือปกปิดเรื่องโกหกของตนอีกต่อไป  แม้เจ้าอาจจะไม่พูดมากนักในแต่ละวัน แต่ทุกประโยคย่อมจะมาจากหัวใจและเป็นเรื่องจริง มีเรื่องโกหกน้อยมาก  การดำเนินชีวิตแบบนั้นย่อมจะให้ความรู้สึกเช่นไร?  อิสระและเสรีมิใช่หรือ?  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าจะไม่จำกัดเจ้าและตัวเจ้าก็จะไม่ถูกมันพันธนาการเอาไว้ อย่างน้อยเจ้าก็จะเริ่มเห็นผลของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์  แน่นอนว่าเมื่อเจ้าพานพบรูปการณ์ที่พิเศษ บางครั้งเจ้าก็อาจหลุดปากโกหกบ้าง  อาจมีบางครั้งที่เจ้าเผชิญอันตรายหรือปัญหาบางอย่าง หรืออยากรักษาตัวให้ปลอดภัย ซึ่งในเวลาแบบนั้นก็ย่อมช่วยไม่ได้ที่จะโกหก  ถึงกระนั้นเจ้าก็ต้องคิดทบทวนเรื่องการพูดปด ทำความเข้าใจและแก้ปัญหาดังกล่าว  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและกล่าวว่า “ในตัวข้าพระองค์ยังคงมีเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่  ขอพระเจ้าโปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างถาวรด้วยเถิด”  เมื่อคนเราตั้งใจใช้ปัญญา ก็ไม่นับว่าเป็นการเผยความเสื่อมทรามออกมา  นี่คือสิ่งที่คนเราต้องมีประสบการณ์ด้วยเพื่อที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์  ด้วยวิธีนี้ เรื่องโกหกของเจ้าก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ  วันนี้เจ้าพูดโกหกไปสิบเรื่อง พรุ่งนี้เจ้าก็อาจจะพูดสักเก้าเรื่อง มะรืนนี้เจ้าย่อมจะพูดสักแปดเรื่อง  ต่อไปเจ้าก็จะพูดเพียงสองหรือสามเรื่องเท่านั้น  เจ้าจะพูดเรื่องจริงมากขึ้นทุกที และการฝึกตนให้ซื่อสัตย์ของเจ้าก็จะใกล้เคียงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมาตรฐานที่พระองค์ทรงกำหนดมากขึ้นเรื่อยๆ—และนั่นย่อมจะดีงามยิ่ง!  การที่จะฝึกเป็นคนซื่อสัตย์นั้น เจ้าต้องมีเส้นทางและต้องมีจุดหมาย  ก่อนอื่นจงแก้ปัญหาเรื่องการพูดปด  เจ้าต้องทำความรู้จักแก่นแท้เบื้องหลังการที่เจ้าพูดเรื่องโกหกเหล่านี้  เจ้าต้องชำแหละเจตนาและแรงจูงใจที่ผลักดันให้เจ้าพูดเรื่องโกหกเหล่านี้ว่ามีอะไรบ้าง  ทำไมเจ้าถึงมีเจตนาเช่นนั้น และแก่นแท้ของเจตนาเหล่านั้นคืออะไร  เมื่อเจ้าแจกแจงเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เจ้าย่อมจะเข้าใจปัญหาเรื่องการโกหกอย่างถ่องแท้แล้ว และเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะมีหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ  ถ้าเจ้าปฏิบัติและมีประสบการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเห็นผลเป็นแน่  สักวันหนึ่งเจ้าจะพูดว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์นี้ง่าย  การหลอกลวงช่างเหนื่อยนัก!  ฉันไม่อยากเป็นคนที่หลอกลวงอีกแล้ว ต้องคิดอยู่เสมอว่าจะพูดโกหกเรื่องอะไรและจะปกปิดเรื่องที่โกหกเอาไว้อย่างไร  เหมือนคนป่วยทางจิต พูดจาย้อนแย้ง—เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะได้ชื่อว่า ‘มนุษย์’!  ชีวิตแบบนั้นเหนื่อยมาก แล้วฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนั้นอีกแล้ว!”  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมมีหวังที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ที่แท้จริง และนี่ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเริ่มก้าวหน้าในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้ว  นี่เป็นพัฒนาการที่สำคัญ  แน่นอนว่าอาจมีพวกเจ้าบางคนที่พอเริ่มปฏิบัติ เมื่อพูดจาอย่างซื่อสัตย์และตีแผ่ตนเองไปแล้ว กลับจะรู้สึกอับอายขายหน้า  เจ้าจะหน้าแดง รู้สึกละอาย และกลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะตน  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ดี และขอให้พระองค์ประทานความเข้มแข็งแก่เจ้า  เจ้าย่อมกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่ก็กลัวว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะเวลาที่ข้าพระองค์พูดเรื่องจริง  ขอได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากพันธนาการของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนด้วยเถิด ขอให้ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ เป็นอิสระและมีเสรีด้วยเถิด”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ หัวใจของเจ้าก็จะสว่างไสวยิ่งขึ้นทุกที และเจ้าก็จะบอกตัวเองว่า “ดีแล้วที่นำเรื่องนี้มาปฏิบัติ  วันนี้ฉันปฏิบัติความจริงแล้ว  ในที่สุดฉันก็ได้เป็นคนซื่อสัตย์สักครั้ง”  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ พระเจ้าก็จะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า  พระองค์จะทรงพระราชกิจในหัวใจของเจ้า และจะทรงดลใจเจ้า เปิดโอกาสให้เจ้ารู้ซึ้งว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นให้ความรู้สึกอย่างไร  ต้องมีการนำความจริงไปปฏิบัติกันแบบนี้  แรกเริ่มเลยเจ้าย่อมจะไม่มีเส้นทาง แต่ด้วยการแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะหาเส้นทางพบ  ในเวลาที่ผู้คนเริ่มแสวงหาความจริง พวกเขาอาจจะยังไม่มีความเชื่อก็ได้  การไม่มีเส้นทางเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คน แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริงและมีเส้นทางปฏิบัติ หัวใจของพวกเขาย่อมเกิดความชื่นชมยินดีในเส้นทางนั้นๆ  ถ้าพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรมได้ หัวใจของพวกเขาก็จะพบกับความชูใจ และพวกเขาก็จะมีอิสระและเสรี  ถ้าเจ้าพอจะรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงบ้าง เจ้าย่อมจะสามารถมองเห็นสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างชัดเจน หัวใจของเจ้าจะได้รับความกระจ่าง และเจ้าก็จะมีเส้นทาง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีเสรีและเป็นอิสระอย่างแท้จริง  ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะเข้าใจว่าการนำความจริงไปปฏิบัติ การทำให้พระเจ้าพอพระทัย และการเป็นคนที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร—และเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะอยู่ในครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2007

ก่อนหน้า: ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง

ถัดไป: เส้นทางปฏิบัติไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger