การสามัคคีธรรมถึงเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก”
(สามัคคีธรรมกับกลุ่มเพลงนมัสการ)

ในบรรดาเพลงนมัสการเกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรที่เราได้ยินพวกเจ้าขับร้องกันนั้น แทบไม่มีเพลงใดที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย  ประสบการณ์ในเพลงนมัสการส่วนใหญ่นั้นตื้นเขินเกินไป การร้องเพลงเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากนัก  เพลงนมัสการบางเพลงประกอบด้วยทฤษฎีที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีความเป็นจริงอยู่แม้แต่น้อย  จงดูเพลง “เพื่อความรัก” “พระเจ้าทรงรักพวกเราอย่างลึกซึ้งที่สุด” และ “ความรักนิรันดร์” เป็นตัวอย่าง เพลงนมัสการเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า เป็นเชิงทฤษฎี และประกอบด้วยคำพูดที่ไม่มีสาระสำคัญ เพลงเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเนื้อร้องของเพลงนมัสการสามเพลงนี้?  ทุกเพลงล้วนไร้สาระ ทั้งหมดเป็นคำพูดที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน เพลงเหล่านี้ไม่มีคำพูดที่มาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใด  หากคนเรายังไม่สามารถเขียนเพลงนมัสการที่เกี่ยวกับประสบการณ์ได้ แต่พวกเขายังคงต้องการเขียนเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่เกินตัวไปมิใช่หรือ?  เป็นไปได้หรือที่บุคคลธรรมดาจะสามารถเป็นพยานให้สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น รวมทั้งเป็นพยานให้แก่นแท้ของพระองค์?  มีกี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้?  หากเจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้า แต่กลับเขียนมโนคติอันหลงผิดและความคิดทั้งหมดนี้ลงบนกระดาษ นั่นจะสอดคล้องกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือ?  การนี้จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้าหรือ?  การพรั่งพรูมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ออกมาเป็นการสรรเสริญพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย เพลงนมัสการที่เจ้าเขียนเพื่อสรรเสริญพระองค์ย่อมจะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ในทางกลับกัน เจ้าควรเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่แท้จริง ความรู้ที่แท้จริง และความเข้าใจส่วนตัวของตนเอง พูดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรมอย่างถ่อมตัว หลีกเลี่ยงการคุยโวและกล่าวเกินจริง  เจ้าเขียนคำพูดหรือหัวข้อเหล่านี้ อย่างเช่น แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ความรักของพระองค์ พระเกียรติของพระองค์ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ความเป็นองค์สูงสุดของพระองค์ และความทรงเอกลักษณ์ของพระองค์—แล้วเจ้าจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ หรือไม่?  เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  หากเจ้าไม่เข้าใจ แต่ยังคงยืนกรานที่จะเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังหลับหูหลับตาเขียน โอ้อวดและอวดตัวเอง  นี่ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนเมื่อพวกเขาขับร้องตาม พลางอวดตนตามเจ้าในขณะที่ขับร้องถ้อยคำที่ว่างเปล่าเช่นนั้น และเมื่อร้องจบลง ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใดเลย  ผลที่ตามมาของการนี้คืออะไร?  นี่คือการเล่นกับความรู้สึกของผู้คนและทำให้พวกเขาเสียเวลามิใช่หรือ?  นี่คือการหลอกและลวงพระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือ?

มาดูกันว่าเนื้อร้องของเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” เป็นอย่างไร?  “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ”  ในประโยคนั้นมีสิ่งใดถูกต้องบ้างหรือไม่?  มีสิ่งใดสอดคล้องกับความจริงบ้างหรือไม่?  เพราะความรัก พระเจ้าจึงทรงสร้างอาดัมและเอวาขึ้นมา มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?  (มิได้เป็นเช่นนั้น)  แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา?  (นั่นเป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า)  นี่คือความปรารถนาของพระเจ้าที่จะทรงดำเนินการแผนการบริหารจัดการ—นั่นคือแผนการบริหารจัดการหกพันปี—ผ่านมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง  ไม่ว่าครรลองของแผนการบริหารจัดการหกพันปีนี้เป็นอย่างไร ท้ายที่สุดพระเจ้าจะทรงรับกลุ่มคนที่สามารถนบนอบพระองค์และเป็นพยานให้พระองค์ ผู้ที่สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงและเป็นผู้ปกครองสรรพสิ่งอย่างแท้จริงเอาไว้  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการก่อน แล้วจึงทรงสร้างโลกและมวลมนุษย์ขึ้นมานั้นมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความรักหรือไม่?  นี่เป็นหนึ่งในพระดำริของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระองค์  นี่ก็เหมือนการที่ผู้คนมีความตั้งใจและแผนการ ตัวอย่างเช่น คนเราอาจวางแผนที่จะกลายเป็นผู้จัดการภายในเวลาสิบปีและมีรายได้หนึ่งแสนหยวน หรือวางแผนที่จะมีวุฒิการศึกษาบางอย่าง หรือมีชีวิตครอบครัวในแบบที่ต้องการภายในเวลาสิบปี—สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรักหรือไม่?  ไม่เกี่ยวข้อง ในชีวิตประจำวัน ผู้คนมีเพียงแผนการที่เป็นขั้นเป็นตอน มีแบบแผน มีเป้าหมาย และมีอุดมคติ  ทว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและจักรวาลนี้ พระองค์ทรงมีแผนการบนแผ่นดินโลก และแผนการนั้นก็เริ่มต้นที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง และทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จากนั้น พระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาสองคน  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมิใช่หรือ?  ความรักเกี่ยวข้องกับการที่พระเจ้าทรงสร้างแผนการดังกล่าวขึ้นมาอย่างไร?  ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด  เช่นนั้นแล้วในทัศนะของพวกเจ้า คำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” นั้นถูกต้องหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงรักมวลมนุษย์ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาได้อย่างไร?  ความรักเช่นนั้นย่อมจะว่างเปล่ามิใช่หรือ?  เจ้านิยามการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้าว่าเป็นการกระทำด้วยความรักของพระเจ้า—นั่นเป็นการให้ร้ายพระเจ้ามิใช่หรือ?  นั่นเป็นการหมิ่นประมาทมิใช่หรือ?  นี่มิใช่เรื่องของความคิดเห็นส่วนตัวจนเกินไปหรอกหรือ?  ความคิดเห็นส่วนตัวนี้มีลักษณะอย่างไร?  นี่คือการไร้ซึ่งเหตุผลใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปีและความล้ำลึกของพระราชกิจสามระยะของพระองค์  เจ้าคิดว่าเจ้าพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย คิดว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างผิวเผินเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเพียงความเข้าใจตามตัวอักษรเท่านั้น  ทว่าเจ้าก็ยังกล้านิยามสิ่งต่างๆ แบบนั้น เอ่ยอ้างว่าพระเจ้าทรงทำบางสิ่ง ทรงดำเนินพระราชกิจบางอย่าง หรือทรงมีแผนการบางอย่างเพราะความรัก  นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาและไร้เหตุผลสิ้นดีมิใช่หรือ?  เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” มีสิ่งที่ถูกต้องอยู่บ้างหรือไม่?  (ไม่มี  คำกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง)  ขอให้พวกเราวางเรื่องที่ว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่เอาไว้ก่อน แล้วมาดูแทนว่าคำกล่าวนี้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงหรือไม่  พวกเจ้าคิดว่าคำกล่าวนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (คำกล่าวนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง)  นี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันมิใช่หรือ?  การที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับความรักเลย ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” จึงไร้มูลเหตุ นี่เป็นเพียงสิ่งที่กุขึ้นมาจากความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ไร้สาระ  เจ้าตีกรอบพระเจ้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทและไม่เคารพพระองค์ และเจ้าก็กำลังประเมินพระองค์ด้วยทัศนคติของมนุษย์ ด้วยความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ไร้ยางอาย และเป็นความผิดพลาดมหันต์  ด้วยเหตุนั้น วลีที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” จึงเป็นเพียงคำพูดเหลวไหลไร้สาระเท่านั้นเอง

เนื้อเพลงในส่วนต่อมากล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ”  คนที่แต่งเพลงนมัสการเพลงนี้กำลังกล่าวว่านี่ก็เป็นเพราะความรักเช่นกัน  ดังนั้นแล้ว หากการกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์เพราะความรักนั้นไม่ถูกต้อง การกล่าวว่าเพราะความรัก พระเจ้าจึงทรงใส่พระทัยและเฝ้าดูแลมวลมนุษย์มาเสมอนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  การ “ใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” เป็นพฤติกรรมประเภทใด?  อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมนี้?  นี่เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบใช่หรือไม่?  (ใช่)  พระเจ้าจะทรงสามารถรักมนุษย์ที่เพิ่งทรงสร้างซึ่งยังไม่เข้าใจอะไรเลย พูดไม่ได้ ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ และสามารถถูกงูทดลองได้หรือไม่?  แล้วในเรื่องของวิธีประทานความรัก วิธีเผยความรัก วิธีสำแดงความรัก และวิธีแสดงความรักเล่า—มีรายละเอียดอันจำเพาะเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่หรือไม่?  ไม่มี  นี่คือความรับผิดชอบ ความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งมีบทบาทในการนี้คือความรับผิดชอบของพระเจ้า  การเป็นมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างทำให้พระองค์ต้องทรงเฝ้าดูแลพวกเขา ใส่พระทัยและคุ้มครองพวกเขา รวมถึงทรงนำพวกเขาด้วย  นี่คือความรับผิดชอบของพระเจ้า การที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความรัก  หากเจ้าอธิบายว่านี่เป็นเพราะความรักของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจพระเจ้าผิดอย่างร้ายแรง การเข้าใจพระองค์ในหนทางนี้ย่อมไม่ถูกต้อง  มนุษย์ที่เพิ่งได้รับการทรงสร้างสองคนนั้นรู้อะไรบ้าง?  นอกจากมีลมหายใจที่พระเจ้าประทานให้แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครหรือพระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพวกเขาไม่รู้ว่าจะเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์อย่างไร—พวกเขาไม่รู้กระทั่งว่าการที่พวกเขาตีตัวออกห่างจากพระเจ้าและซ่อนตัวจากพระองค์นั้นเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง  พระเจ้าจะทรงรักมวลมนุษย์ที่ปฏิเสธและต้านทานพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงรักพวกเขาได้หรือ?  โดยแก่นแท้แล้ว พระเจ้าใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูมวลมนุษย์ และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำสามารถแสดงถึงหนึ่งในความรับผิดชอบของพระองค์เท่านั้น  เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการและความปรารถนาในพระทัย พระองค์จึงต้องทรงเฝ้าดูและทรงคุ้มครองมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง  หากเจ้าพูดโพล่งออกมาอย่างแข็งกร้าวโดยไม่คิดว่าการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองและใส่พระทัยมวลมนุษย์เป็นเพราะความรัก เช่นนั้น แท้จริงแล้วความรักนั้นต้องมีเนื้อหาสาระมากมายเพียงใด?  ผู้คนควรค่าแก่การที่พระเจ้าจะทรงรักพวกเขาเช่นนี้จริงหรือ?  อย่างน้อยที่สุด ในหัวใจผู้คนต้องมีความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้าและไว้วางใจพระองค์อย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงรักพวกเขา  หากผู้คนไม่รักพระเจ้าแต่กลับต้านทานพระองค์ ทรยศพระองค์ และถึงกับตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขาจะควรค่าแก่ความรักของพระเจ้าหรือไม่?  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนตั้งอยู่บนพื้นฐานใด?  ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ผู้คนก็มักกล่าวอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา นี่คือจินตนาการของพวกเขา นี่คือความคิดเพ้อฝัน

ต่อไปคือเนื้อร้องที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเพื่อนำชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก”  ท่อนนี้สรุปความสิ่งทั้งหลายได้อย่างครอบคลุมทีเดียว  นับตั้งแต่การสร้างโลกมาจนถึงยุคธรรมบัญญัติ ล่วงเลยมาจนถึงยุคพระคุณ ในยามที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ เนื้อเพลงสองบรรทัดนี้ได้สรุปใจความสำคัญของพระราชกิจสองระยะของพระเจ้าเอาไว้  น่าเสียดายที่การนิยามเพลงนมัสการนี้ด้วยสองคำแรกที่ว่า “เพื่อความรัก” รวมถึงการใช้คำเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ทิศทางในการกำหนดลักษณะของเพลงนี้ถือเป็นความผิดพลาด  หลังจากพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว ไม่ว่าเป็นการประกาศธรรมบัญญัติเพื่อทรงนำมวลมนุษย์หรือการไถ่มวลมนุษย์ ก็ล้วนทำไปตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ความปรารถนาของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จทั้งสิ้น มิใช่เพราะความรักเพียงอย่างเดียว  บางคนกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็กำลังตรัสว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีความรักเป็นองค์ประกอบเลยอย่างนั้นหรือ?”  คำกล่าวนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของความรัก แต่หากเจ้ากล่าวว่าแก่นแท้ของการทรงพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าคือความรัก เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ นี่คือการให้ร้ายและหมิ่นประมาท  แล้วเหตุผลหลักที่พระเจ้าทรงพระราชกิจสามระยะของพระองค์คืออะไร?  นี่เป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ความปรารถนาของพระเจ้า และเพราะสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะทำให้สำเร็จลุล่วง ต้นตออยู่ในสิ่งเหล่านี้ มิใช่อยู่แค่ในความรัก  แน่นอนว่าระหว่างพระราชกิจทั้งสามระยะของพระองค์นั้น แก่นพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นย่อมมีความรักอยู่  สิ่งใดคือการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของคำว่า “ความรัก”?  สิ่งนั้นคือความอดทนและความอดกลั้นใช่หรือไม่?  แล้วความกรุณาเล่า?  หรือคือการประทานพระคุณและพรแก่ผู้คน?  สิ่งนั้นคือการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำมิใช่หรือ?  คือการพิพากษาและการตีสอนมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนี้คือการสำแดงอันเป็นรูปธรรมของคำว่าความรัก  การตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การเปิดโปงและการชำแหละ การทดสอบและการถลุง และอื่นๆ ล้วนเป็นความรักทั้งสิ้น—ความรักนี้ครอบคลุมอย่างเหลือเชื่อ  อย่างไรก็ตาม หากผู้คนตีกรอบพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าว่าทรงทำไปเพราะความรัก โดยเน้นย้ำแค่เพียงความรักเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นการมองเพียงด้านเดียวมากเกินไป นี่คือการตีกรอบพระเจ้า  เมื่อผู้คนได้ยินเนื้อเพลงเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะคิดว่า “พระเจ้าคือความรัก มิทรงเป็นอื่น”  พวกเขาจะเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้น ไม่เพียงแต่เพลงนมัสการนี้จะไม่นำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยแท้จริงเท่านั้น แต่ในทางกลับกันเพลงนี้ย่อมจะทำให้ผู้คนเข้าใจพระองค์ผิด  หากพวกเขาเฝ้าแต่ร้องว่า “เพราะความรัก เพราะความรัก” สภาวะประเภทใดที่จะเกิดขึ้นในตัวพวกเขา?  การร้องเช่นนั้นจะก่อให้เกิดความรู้สึกประเภทใดขึ้นมา?  สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นการเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้ากันเล่า?  หากคนเราไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ แต่ยังคงพูดและขับร้องในหนทางนี้ต่อไป เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นความคิดเพ้อฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเสียยิ่งกว่าเดิม  เมื่อผู้คนตกลงสู่สภาวะของความคิดเพ้อฝัน ไร้ความมีเหตุผล และดูแคลนตนเอง  นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ  ในหัวใจของผู้คนเช่นนั้นจะสามารถสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือ?  นั่นเป็นไปไม่ได้เลย  เพลงนมัสการเพลงนี้ไม่ได้สรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้แต่นำผู้คนให้หลงทางเท่านั้น

พวกเรามาดูท่อนต่อไปซึ่งเป็นท่อนสร้อยกันเถิด  วิธีการนำ “คำสรรเสริญ” ไปสู่จุดสูงสุดนั้นทำให้ท่อนสร้อยน่าสะอิดสะเอียนยิ่งขึ้น  บรรทัดที่ว่า “โอ้ พระเจ้า!  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์คือความรัก” ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  ไม่ถูกต้องในหนทางใด?  (นั่นเป็นการจำกัดพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า)  จำกัดไว้ว่าอย่างไร?  (จำกัดว่าสิ่งเหล่านั้นทำไปเพราะความรักเท่านั้น)  ถ้อยดำรัสและพระวจนะของพระเจ้าล้วนเผยให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระองค์  ความรักเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของภาวะอารมณ์—เป็นความรู้สึกประเภทหนึ่งเท่านั้น—นี่มิใช่แก่นแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า  การอธิบายว่าความรักคือแก่นแท้ของพระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่?  นั่นจะทำให้มองพระเจ้าเป็นอย่างไร?  การทำเช่นนั้นจะทำให้พระเจ้าทรงกลายเป็นผู้ใจบุญที่ถูกเอาเปรียบและถูกควบคุมได้โดยง่าย  สุดท้ายแล้ว แก่นแท้ของพระเจ้าคืออะไร?  (ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา ความกรุณา พระพิโรธ—การสรุปเช่นนี้ครบถ้วนกว่า)  ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา และความกรุณา รวมไปถึงพระบารมีและพระพิโรธ—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ทั้งยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงแก่นแท้ของพระเจ้า  หากคนเราบรรยายลักษณะแก่นแท้ของพระเจ้าในบางแง่มุมเพียงด้านเดียว นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจเพียงด้านเดียวของผู้คนในยุคพระคุณ เพราะประสบการณ์ รวมถึงความรู้ที่พวกเขามีต่อพระราชกิจของพระเจ้านั้นจำกัดและมีเพียงด้านเดียว  ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อแก่นแท้ของพระเจ้าจึงถูกกำหนดตามพระราชกิจในยุคพระคุณของพระเจ้า ทำให้พื้นฐานที่พวกเขาใช้ในการกำหนดลักษณะเป็นเพียงด้านเดียว  การอธิบายลักษณะของแก่นแท้ของพระเจ้าตามเศษเสี้ยวของพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเพียงด้านเดียวมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้ของพระเจ้ามากทีเดียว

พวกเรามาดูบรรทัดที่สองกันเถิด  บรรทัดนี้กล่าวว่า “โอ้ พระเจ้า!  ความรักของพระองค์ไม่ใช่แค่ความเมตตาและความกรุณา แต่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นการตีสอนและการพิพากษา”  บรรทัดนี้ก็ยังเป็นทฤษฎี คำกล่าวนั้นถูกต้อง แต่นี่คือคำสอน การนำมาใส่ในเพลงนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไร  มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าบรรทัดนี้สื่อถึงอะไร?  พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจมากมาย และผู้คนส่วนมากก็ได้มีประสบการณ์และรู้ถึงพระราชกิจนั้น เพราะฉะนั้นการกล่าวดังนี้จึงว่างเปล่าและไร้สาระ ทั้งยังเป็นสิ่งที่เจริญใจผู้คนเพียงเล็กน้อย  บรรทัดต่อมาที่ว่า “โอ้ พระเจ้า!  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นความรักที่แท้จริงที่สุดและเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”  คำว่า “ความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายความว่า การพิพากษาและการตีสอนมิใช่เพียงการช่วยให้รอดธรรมดา แต่เป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน การที่พระองค์ทรงไถ่มวลมนุษย์ย่อมจะเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ?  การที่พระองค์ทรงประกาศธรรมบัญญัติย่อมจะเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ?  เจ้าแบ่งพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าออกเป็นระดับ ราวกับการประกาศธรรมบัญญัติคือความรอดระดับแรก การตรึงกางเขนคือความรอดระดับที่สอง ส่วนการพิพากษาและการตีสอนคือความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เรื่องนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  การกล่าวเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  หากเจ้ากล่าวคำพูดที่ว่างเปล่าเหล่านี้กับคนในศาสนา พวกเขาย่อมจะไม่สามารถพบปัญหาในคำพูดเหล่านี้  พวกเขาไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาจะไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดให้ฟัง และจะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้—พวกเขาจะคิดว่าทั้งหมดนี้ฟังดูเป็นเรื่องใหม่ ไม่เหมือนใคร และเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว  แต่หากเจ้ากล่าวคำพูดเดียวกันให้คนที่เข้าใจความจริงฟัง พวกเขาย่อมจะตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดว่างเปล่าและเป็นคำสอนที่ได้รับการสรุปมา แต่ไม่มีความเข้าใจที่สำคัญหรือมาจากประสบการณ์ของผู้ใดเลย  บรรทัดต่อมากล่าวว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์”  ในที่นี้ ความรักของพระเจ้าถูกอธิบายไว้ว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์และชอบธรรม  ผู้แต่งเพลงนมัสการไม่ได้กล่าวว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม แต่กลับกล่าวว่าความรักของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม เป็นการสนับสนุนว่าพระเจ้าควรที่จะรักมนุษย์  ความหมายของพวกเขาก็คือ พระเจ้าไม่ควรทรงแสดงการพิพากษาและการตีสอน อีกทั้งพระองค์ไม่ควรทรงแสดงพระบารมีและพระพิโรธ มีเพียงการที่พระองค์ทรงแสดงออกซึ่งความรักเท่านั้นที่ถูกต้อง และความรักนั้นก็บริสุทธิ์และชอบธรรม  ทันใดนั้นก็ต่อด้วยประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงควรค่าแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา”  เหตุใดผู้แต่งเพลงนมัสการจึงสรรเสริญพระเจ้า?  พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าก็เพียงเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์เท่านั้น  คำพูดเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าคำพูดนี้เป็นปัญหาใหญ่?  (เพราะนี่เป็นการมองดูเรื่องราวทั้งหลายตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ โดยไร้ซึ่งความเข้าใจในพระเจ้า และเป็นการพยายามตีกรอบพระองค์)  นี่คือการตีกรอบพระเจ้า  การไม่เข้าใจความจริงและขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าแต่ก็ยังพยายามทำการสรุปความ การสรุปความของเจ้าย่อมไม่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและห่างไกลจากความจริง และบางทีก็นำผู้คนให้หลงทางเสียด้วยซ้ำ  นี่ถือเป็นการตัดสินพระเจ้า  เจ้าคิดว่าผู้คนจะได้รับสิ่งใดจากการร้องท่อนแรกของบทเพลงนมัสการนี้?  (พวกเขาจะได้รับมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า)  มโนคติอันหลงผิดใดหรือ?  (พวกเขาจะเชื่อว่าพระเจ้าคือความรัก และพระเจ้าทรงมีความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น)  ปัญหาของการที่ผู้คนรู้สึกเช่นนี้คืออะไร?  ปัญหาของการที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมกอดแห่งความรักของพระเจ้า มีความรักของพระเจ้าโอบล้อมและอยู่เคียงข้างคืออะไร?  ปัญหาของการที่ผู้คนชื่นชมยินดีความรักและการเอาพระทัยใส่อย่างเต็มเปี่ยมของพระเจ้าคืออะไร?  (การเข้าใจพระเจ้าในหนทางนี้เป็นการเข้าใจเพียงบางส่วนมากเกินไป เพราะในพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีมากกว่าแค่ความรัก)  นี่คือการเข้าใจเป็นบางส่วนเพียงอย่างเดียวหรือ?  กล่าวให้ตรงประเด็นก็คือ การที่มนุษย์รู้จักแต่ความรักของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายเกินไป นี่คือความรู้สึกที่ว่างเปล่า เป็นเพียงด้านเดียว เป็นเรื่องทางทฤษฎี และใช้อารมณ์เป็นใหญ่  จงพิจารณาดูว่า หากผู้คนคิดว่าการเชื่อและการรู้ว่าพระเจ้าคือความรักนั้นเพียงพอแล้ว เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริงได้โดยง่ายหรือไม่?  (ไม่ง่าย)  แต่พวกเขามีความรักของพระเจ้าเป็นรากฐาน—เหตุใดจึงไม่ง่ายที่จะนบนอบเล่า?  การเป็นพยานให้ความรักของพระเจ้าในหนทางนี้จะมีอิทธิพลต่อผู้คนในการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว จงบอกเราทีว่า สิ่งใดคือสถานการณ์จริงและความยากลำบากซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่เกี่ยวข้อง?  (ผู้คนมักคิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าคือความรัก พวกเขาจึงต้องการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าในทุกวัน  เมื่อการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้านำความทุกข์ทางเนื้อหนังมาสู่ผู้คน พวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงไม่รักพวกเขา จึงยากที่พวกเขาจะยอมรับและนบนอบการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า)  พูดต่อไปเถิด ยังมีอะไรอีกหรือไม่?  (ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าคือความรัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาทรยศและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาย่อมจะปลงใจว่าพระเจ้ายังทรงรักพวกเขาอยู่ และจะทรงแสดงความกรุณาและทรงอภัยพวกเขา  ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ไปสู่การกลับใจ)  หากผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดเพ้อฝันไปเองว่าพระเจ้าทรงรักและโปรดปรานพวกเขาเป็นพิเศษ พวกเขาจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถยอมรับสภาวะและความเสื่อมทรามนานาประการของมนุษย์ที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การที่พวกเขาจะก้าวออกจากสภาวะนั้นไปสู่การนบนอบ สู่การยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าย่อมเป็นเรื่องยาก พวกเขาจะได้แต่ติดอยู่ในยุคพระคุณ โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขาเสมอ และเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อพวกเขานี้ก็คือรูปแบบหนึ่งของความรัก เป็นความรักที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่มีที่สิ้นสุด  หากพวกเขาเข้าใจความรักของพระเจ้าในหนทางนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  นี่ย่อมจะเหมือนผู้คนในศาสนา พวกเขาไม่สนใจว่าตนเองทำบาปอย่างไร พวกเขาเพียงเอ่ยคำอธิษฐานและสารภาพบาปของตนตอนกลางคืน และจบลงเท่านั้น  พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงอภัยพวกเขาและจะประทานความเมตตากรุณา รวมทั้งทรงจัดเตรียมพระคุณให้พวกเขาต่อไป  สิ่งนี้ทำให้พวกเขายากที่จะยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ยากที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อีกทั้งยากที่จะนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า และไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถได้รับความรอดของพระองค์  สำหรับผู้คนที่ยังคงอยู่ในภาวะนี้ ผลกระทบจะเป็นอย่างไร?  เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจใหม่อีกครั้ง พวกเขาย่อมจะต้านทานและปฏิเสธพระองค์ใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วพวกเขาจะสามารถรับเสด็จการเสด็จกลับมาของพระเจ้าได้หรือไม่?  เหตุใดโลกศาสนาจึงไม่สามารถยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า?  นี่ล้วนเป็นเพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือผลกระทบที่ย่ำแย่ที่สุด!  หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ย่อมยากมากที่พวกเขาจะนบนอบพระองค์—ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?  ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การที่พวกเขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า อีกทั้งไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้าก็เป็นแนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติ  ผู้คนสามารถขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ และสามารถต่อต้านความจริงได้ทุกเมื่อ  ธรรมชาติและแนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติของผู้คนคือการไม่ชอบความจริง แนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติของพวกเขาคือการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงสามารถรักคนเช่นนั้นได้หรือ?  (ไม่ได้)  ไม่ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาคู่ควรกับความรักของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าก็ไม่ทรงทำใจที่จะรักคนเช่นนั้นได้  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?

นับตั้งแต่พระเจ้าเริ่มต้นทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและทรงเปิดโปงแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริง โดยพระองค์ได้ตรัสพระวจนะมากมายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทั้งยังตรัสพระวจนะแห่งการพิพากษาที่รุนแรงมากมาย  พวกเจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงท่าทีแท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์หรือไม่?  สุดท้ายแล้ว พระเจ้าทรงรักหรือทรงเกลียดมวลมนุษย์กันเล่า?  มีบางคนกล่าวว่า “จากข้อเท็จจริงที่พระเจ้าประทานเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ให้อาดัมและเอวา ฉันก็ได้เห็นและเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์คือท่าทีของความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง”  การทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร?  นี่คือการถือว่าความรับผิดชอบ หน้าที่ และภาระผูกพันนานาประการที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือสิ่งที่ทรงทำไปเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ และเพราะมนุษย์นั้นน่ารัก สมควรได้รับความรัก และคู่ควรกับความรักของพระเจ้า  นี่คือการทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางที่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำล้วนมาจากความรับผิดชอบและภาระผูกพัน อีกทั้งเป็นเพราะแก่นแท้ของพระองค์  อันดับแรกเป็นเพราะแผนการของพระองค์ และหลังจากนั้นก็เป็นเพราะภาระผูกพันของพระองค์  แน่นอนว่าในขณะที่พระเจ้าทรงลุล่วงภาระผูกพันนี้ พระองค์ก็ทรงเผยพระอุปนิสัย รวมถึงแก่นแท้ของพระองค์ออกมาด้วย  แล้วแก่นพระอุปนิสัยของพระองค์คืออะไร?  คือความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ บารมี และความมิอาจล่วงเกินได้นั่นเอง  ด้วยพระอุปนิสัยและแก่นแท้ดังกล่าว รวมถึงการเผชิญหน้ากับมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง ท่าทีและพระดำริที่ถูกต้องที่สุดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ควรเป็นเช่นไร?  ควรเป็นการที่พระองค์ทรงรักมวลมนุษย์มากเสียจนไม่อาจพรากจากพวกเขาได้ใช่หรือไม่?  (ควรจะเป็นความรับผิดชอบเสียมากกว่า)  ความรับผิดชอบของพระองค์คือพระราชกิจของพระองค์  พระองค์มิได้ทรงรักมวลมนุษย์มากเสียจนไม่อาจพรากจากพวกเขาได้ ทั้งยังทะนุถนอมพวกเขาอย่างเหลือแสน พระองค์ไม่ทรงถูกครอบงำด้วยความรักที่มีต่อพวกเขา และพระองค์ก็ไม่ทรงทะนุถนอมพวกเขาดั่งแก้วตาดวงใจ—ท่าทีที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือการสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเพลงนมัสการนี้น่ารังเกียจอย่างถึงแก่น?  เพราะนี่แสดงออกซึ่งความคิดเพ้อฝันของผู้คน  พระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าพระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้เพราะมนุษย์น่ารักและคู่ควรกับความรัก  เจ้าเข้าใจผิด และปล่อยใจไปกับความอ่อนไหวของตนเองมากเหลือเกิน!  พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะแผนการและความรับผิดชอบของพระองค์ อีกทั้งแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เผยออกมาในการทรงทำทั้งหมดนี้คือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์  ไม่ว่าพระเจ้าทรงเผยสิ่งใดออกมา แน่นอนว่าในแก่นแท้ของพระเจ้าย่อมมีความรัก และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อมวลมนุษย์ก็เป็นเพราะในแก่นแท้ของพระเจ้าทรงมีความรักอยู่เท่านั้น  แต่ในน้ำพระทัยส่วนพระองค์แล้วพระเจ้ามิได้ทรงรักผู้คน พระองค์มิได้ทรงรักมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม พระองค์ทรงเกลียดชังมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีท่าทีเช่นนี้ในการเปิดโปงมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม?  การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นคือการนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นั่นคือ มวลมนุษย์ดำเนินชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน และล้วนเป็นผู้ติดตามและผู้บูชาซาตานทั้งสิ้น พวกเขาไม่ได้นบนอบและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่เป็นศัตรูของพระองค์  พระเจ้าจะทรงรักศัตรูของพระองค์ได้หรือ?  (ไม่ได้)  พระเจ้าทรงเผยให้เห็นความรัก และพระเจ้าก็ทรงมีแก่นแท้แห่งความรัก แต่พระองค์ไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก  หากเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก เราก็ขอบอกเจ้าว่า นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดและไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง  หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังให้ร้ายพระเจ้า  จงอย่ารู้สึกดีกับตัวเองมากเกินไป จงอย่ารู้สึกอ่อนไหวเกินไปนัก!  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้ามิได้ทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก ในแง่นั้นก็แปลว่าในแก่นแท้ของพระเจ้าไม่มีความรักอยู่เช่นนั้นหรือ?”  การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  แล้วผิดอย่างไร?  (ในพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีความเมตตาและความกรุณาอยู่)  พระเจ้าทรงมีความรัก แต่พระองค์ไม่ทรงรักโดยไม่พิจารณา  พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะรักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง—อันที่จริง พระเจ้าทรงชิงชังและทรงเกลียดมวลมนุษย์เหล่านี้  บางคนถามว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงชิงชังและเกลียดมวลมนุษย์เหล่านี้ ทำไมพระองค์ยังทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ในตัวพวกเขาเล่า?”  พระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการ และพระองค์ก็เต็มพระทัยที่จะรับหน้าที่และลุล่วงความรับผิดชอบนี้ พระองค์จึงจะทรงพระราชกิจนี้—นั่นเป็นสิทธิ์ของพระเจ้า และมนุษย์ก็ไม่อาจแทรกแซงได้  พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพนี้ และพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะทำให้แผนการบริหารจัดการนี้สำเร็จลุล่วง ซึ่งท้ายที่สุดผู้ได้รับประโยชน์ก็คือมวลมนุษย์ คือพวกเจ้าทุกคน  นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์ควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และได้รับพรอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นอยู่แล้ว จงอย่าเรียกร้องจากพระเจ้าว่า “ในเมื่อพระองค์ทรงมีความรัก พระองค์ก็ต้องทรงรักพวกเรา”  รักพวกเจ้าด้วยเหตุผลใดเล่า?  เพราะพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าอย่างนั้นหรือ?  ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  เพราะความน่ารักของเจ้าหรือ?  เจ้ามีสิ่งใดที่น่ารักนัก?  เพราะเจ้าทรยศพระเจ้าหรือ?  เพราะเจ้ากบฏต่อพระเจ้าหรือ?  เพราะเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานหรือ?  เพราะเจ้าต่อต้านพระเจ้าหรือ?  เพราะเจ้าต้านทานพระเจ้าอยู่ทุกเมื่อหรือ?  จากทั้งหมดนี้ พระเจ้ายังทรงสามารถรักเจ้าได้อยู่หรือ?  พระองค์ยังทรงสามารถรักพวกที่ต้านทานพระองค์ได้อยู่หรือ?  พระองค์ยังทรงสามารถรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้อยู่หรือ?  หากเจ้ากล่าวว่าพระเจ้ายังทรงสามารถรักพวกที่ต้านทานพระองค์ พระองค์ยังทรงรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้ นี่ย่อมเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้ามิใช่หรือ?  ในทัศนะของพวกเจ้า พระเจ้าทรงสามารถรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้หรือ?  พระเจ้าทรงรักศัตรูของพระองค์ได้หรือ?  พระเจ้าทรงสามารถรักในหนทางที่ไม่เลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามรักได้หรือ?  พระองค์ทรงทำไม่ได้อย่างแน่นอน  ความรักของพระเจ้าเปี่ยมด้วยหลักธรรม  ด้วยเหตุนั้นความรักในความคิดฝันของมนุษย์เช่นนี้จึงไม่มีอยู่จริง นี่เป็นเพียงความคิดที่เพ้อฝันและอ่อนไหวเกินไปเท่านั้น นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเลย ดังนั้นเราจึงต้องชี้แจงในที่นี้  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักเจ้า?  (เพราะความอุปนิสัยของมนุษย์นั้นเสื่อมทรามโดยสมบูรณ์ และเขาไม่คู่ควรกับความรักของพระเจ้า)  คำว่า “ไม่คู่ควรกับความรักของพระเจ้า” คือคำพูดซ้ำซาก  พระเจ้าทรงต้องรักเจ้าเพียงเพราะพระองค์ทรงสร้างเจ้าขึ้นมาหรือ?  มิได้เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและจักรวาลทั้งหมด พระองค์ทรงจำเป็นต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างหรือ?  พระเจ้าทรงสามารถเลือกที่จะรักเจ้า และพระองค์ก็ทรงสามารถเลือกที่จะไม่รักเจ้าได้ นั่นเป็นสิทธิ์ของพระเจ้า—นี่คือข้อเท็จจริง  ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งก็คือ หากเจ้าต้องการทำให้พระเจ้าทรงรักเจ้า—หากเจ้าอยากได้รับความรักจากพระเจ้า—เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องทำในสิ่งที่คู่ควรกับความรักของพระองค์  เจ้าเคยทำในสิ่งที่คู่ควรกับความรักของพระองค์บ้างหรือไม่?  เจ้ามีพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์ หรืออุปนิสัยที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่?  (ไม่มี)  ในช่วงสองสามปีแรกของการเชื่อในพระเจ้าอาจจะไม่มี แต่ในปีต่อๆ มา คนบางคนก็แสดงพฤติกรรมบางอย่างเหล่านี้ออกมา อย่างเช่น มีการทำหน้าที่และทำงานของตนอย่างสุกเอาเผากินลดน้อยลงเรื่อยๆ สามารถแสวงหาหลักธรรม เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามและนบนอบ และไม่กระทำการตามอำเภอใจ ไม่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเมื่อเผชิญกับบางสิ่งบางอย่าง สามารถแสวงหาและอธิษฐานถึงพระเจ้า ร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงและแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพวกเขาให้บ่อยขึ้น รวมถึงมีความรู้สึกนึกคิดที่เข้มงวดและถ่อมใจมากขึ้น การมีความจริงใจอยู่เล็กน้อยและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาจงรักภักดีต่องานที่ได้รับความไว้วางใจมอบหมายจากพระนิเวศของพระเจ้าและพระบัญชาของพระเจ้า อีกทั้งการมีความสามารถที่จะมุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและใส่ใจที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน สามารถเริ่มต้นรู้จักความเสื่อมทรามของตน รู้จักความโอหังและความหลอกลวงของตนเอง การอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง การขอให้พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อม การยอมรับการบ่มวินัยจากพระเจ้า และการมีสิ่งที่เป็นบวกมากขึ้นในตัวพวกเขา  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า  แต่เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือไม่นั้น พวกเขาควรยืนกรานในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ?  (พวกเขาไม่ควรยืนกราน)  หากพฤติกรรมของผู้คนแสดงถึงการไล่ตามเสาะหาที่เป็นบวก การปรับปรุงแก้ไข และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว จากทัศนคติของมนุษย์พวกเขาก็พอจะมีความน่ารักและมีการแสดงออกถึงการนบนอบอยู่บ้าง  แต่การมีพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเพียงความหวังที่เห็นได้ในตัวพวกเจ้า  ความหวังนี้ก็คือ ผู้คนจะมีจิตใจที่เป็นบวก แข็งขัน  และให้ความร่วมมือผ่านพระราชกิจและการทรงเป็นผู้นำของพระเจ้า และในขณะเดียวกัน พฤติกรรมและการเผยเหล่านี้ก็จะเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน  จากมุมมองนี้ นั่นก็คือเมื่อเรามองดูเรื่องนี้จากทัศนคติของมนุษย์ ผู้คนมีความน่ารักอยู่เล็กน้อย—แต่เมื่อมองจากทัศนคติของพระวิญญาณของพระเจ้า สุดท้ายแล้วพระเจ้าทรงรักพวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามีแง่มุมอันควรค่าที่จะรักอยู่บ้างหรือไม่?  หากถามเรา พวกเจ้ายังคงห่างไกลนัก  เพราะด้วยขีดความสามารถ ความสามารถพิเศษ และรูปการณ์แวดล้อมที่ผู้คนอาศัยอยู่นั้น พวกเขาควรจะทำได้ดีกว่านี้  อันที่จริงสิ่งที่พวกเจ้ามีประสบการณ์ ได้รับ และได้รับรู้ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่พวกเจ้าได้บรรลุในเวลานี้แล้วนั้น สามารถบรรลุได้ภายในเวลาห้าปีหากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างสุดกำลัง ทว่าพวกเจ้ากลับใช้เวลาถึงสิบปีเต็มในการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้  นั่นไม่นานเกินไปหรือ?  จิตใจของพวกเจ้าค่อนข้างด้านชา พวกเจ้าตอบสนองช้า อีกทั้งการกระทำของพวกเจ้าก็อืดอาด ในหลายๆ เรื่อง พวกเจ้าต้องได้รับการตัดแต่ง บ่มวินัย และกำกับดูแลจากเบื้องบนเท่านั้นจึงจะบรรลุบางสิ่งบางอย่างได้  ผลสัมฤทธิ์เหล่านี้ได้มาอย่างยากลำบาก ผู้คนต้องยอมทนลำบากกับบางสิ่งบางอย่าง และจากผลลัพธ์ที่ได้รับการเก็บเกี่ยวมาแล้วนั้น ย่อมมีพฤติกรรมและการแสดงออกในบางแง่มุมของผู้คนที่ให้ความชูใจได้บ้างเมื่อมองดู  อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความน่ารักที่พระเจ้าตรัสถึง  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนรู้สึกว่าตัวเองน่ารักขึ้นกว่าแต่ก่อนใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ยังไม่ใช่  เจ้าจะพบว่าสิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับตัวเจ้าที่เจ้าเผยออกมาหลังได้ตรวจสอบตนเองเล็กน้อย อย่างเช่น “โอ้ ในตัวฉันยังมีความไม่บริสุทธิ์อยู่มากเหลือเกิน ทันทีที่ฉันใคร่ครวญบางสิ่งบางอย่าง อุบายเจ้าเล่ห์ก็จะผุดขึ้นมาในใจ และฉันก็ทำสิ่งต่างๆ แบบสุกเอาเผากิน  เมื่อฉันทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นมาอีก และหลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน อุบายเจ้าเล่ห์เหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วฉันก็ปัดความรับผิดชอบ และกลับไปเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอีกเหมือนเดิม”  แค่การเพียงตรวจสอบตนเองลวกๆ ตลอดทั้งวัน เจ้าย่อมจะเห็นได้ว่าเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาพอสมควร—แล้วเจ้าน่ารักตรงไหนหรือ?  เจ้ายังคงขอให้พระเจ้าทรงรักเจ้า แต่เจ้ากลับดูถูกตัวเอง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าช่างไร้ค่าสิ้นดี และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าที่สมควรได้รับการยกย่องหรือได้รับความรักจากผู้อื่นเลย  หากผู้คนไม่สามารถพาตัวเองให้มารักเจ้าได้ด้วยซ้ำ แล้วจะคาดหวังให้พระเจ้าทรงรักเจ้าได้อย่างไร?  เรื่องนั้นจะเป็นไปได้หรือ?  (เป็นไปไม่ได้)  ขณะนี้ที่พวกเราได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหล่านี้มากเพียงพอแล้ว เพลงนมัสการเพลงนี้ก็ควรถูกทิ้งไปมิใช่หรือ?  เพลงนี้ควรถูกทิ้งไปเสีย  เพลงนี้เต็มไปด้วยคำพูดที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ทั้งยังเป็นคำพูดที่มาจากศาสนา แล้วการที่พวกเจ้าร้องเพลงนมัสการเพลงนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือ?  เจ้าเพลิดเพลินที่ได้ขับร้องและฟังเพลงนี้ใช่หรือไม่?  การร้องเพลงนี้ไม่เพียงจะไม่ทำให้เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่ยังเป็นการชี้นำผู้คนแบบผิดๆ อีกด้วย การร้องเพลงนี้นอกจากจะไม่สามารถบรรเทามโนคติอันหลงผิดของผู้คนได้ แต่ยังทำให้มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นดิ่งลึกและแข็งแกร่งขึ้น  นี่เป็นการทำร้ายผู้คนมิใช่หรือ?  การร้องเพลงนมัสการเพลงนี้ไม่เพียงทำให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงได้ยากมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าง่ายขึ้นอีกด้วย  เพลงนมัสการเช่นนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดเลย  ด้วยเหตุนี้ หัวใจของเราจึงเปี่ยมด้วยโทสะเมื่อเราได้ยินพวกเจ้าทุกคนร้องเพลงนมัสการนี้—การฟังคำเทศนามาหลายปีดีดักของพวกเจ้าย่อมสูญเปล่า พระวจนะของพระเจ้ามากมายที่พวกเจ้าอ่านย่อมเปล่าประโยชน์ แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเจ้าก็ยังไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เราอยากจะตบหน้าพวกเจ้าสักสองสามทีเสียจริง  ใครเป็นคนแต่งเนื้อร้องที่เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเช่นนั้นหรือ?  แล้วพวกเจ้าก็ยังร้องด้วยความหลงใหลเสียเต็มประดา  พวกเจ้าไม่มีวิจารณญาณกันเลยหรือ?  พวกเจ้าทำให้เราผิดหวังยิ่งนัก  พวกเจ้าเชื่อมาจนถึงตอนนี้โดยไม่ได้รับความเป็นจริงความจริงเลย พวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะคำพูดจากมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน หรือความไร้สาระได้เลยด้วยซ้ำ แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังร้องเพลงนี้  ความเชื่อของเจ้าช่างน่าสับสนเสียจริง!  เราจะพูดอะไรได้อีกเล่า!

มาดูท่อนที่สองของเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” กันเถิด  “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์ ในยุคสุดท้าย และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง”  ความรักของพระเจ้าต้องยิ่งใหญ่เพียงใด?  การคิดว่าเจ้าทำให้พระเจ้าต้องทรงสู้ทนกับความอัปยศเพราะความรัก โดยประสูติเป็นมนุษย์และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง ซึ่งพระองค์ทรงเผชิญกับความอัปยศถึงที่สุดเพื่อที่จะรักและช่วยผู้คนให้รอดนั้นถูกต้องหรือไม่?  พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักเพียงอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ?  เจ้ากำลังนึกถึงแต่ด้านดีเท่านั้น—พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะแผนการบริหารจัดการของพระองค์  มีการสรุปแก่นแท้ในพระอุปนิสัยของพระเจ้าไว้ในคำกล่าวที่ว่า “พระองค์ทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ตรัสย่อมจะเป็นไปตามนั้น และสิ่งที่พระองค์ทำย่อมจะยืนยงตลอดกาล”  นี่เป็นการเผยสิทธิอำนาจของพระเจ้า แล้วจะเป็นเพราะความรักไปได้อย่างไร?  จงบอกเราทีเถิดว่า ผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้คู่ควรที่พระเจ้าจะทรงทนทุกข์กับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงในการเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดงหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่คู่ควร พวกเขาแย่ยิ่งกว่ามดและหนอนเสียอีก พวกเขาไม่คู่ควรเลย  เจ้าตั้งใจที่จะให้พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และสู้ทนกับความอัปยศและการข่มเหงของซาตานต่อไป ขณะเดียวกันก็ประทานความรักของพระองค์ให้มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเหล่านี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ?  นี่คือสิ่งที่เจ้าหมายถึงใช่หรือไม่?  แนวคิดนี้ช่างไร้สาระ  อันที่จริงนี่คือแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดงหรือทรงพระราชกิจประเภทอื่นหรือไม่ นั่นก็คือขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ ขณะนี้ที่ขั้นตอนดังกล่าวได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ พระเจ้าก็ต้องทรงปฏิบัติพระราชกิจในหนทางนี้  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจนี้?  พระองค์ทรงทำเช่นนี้ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และในแผนการบริหารจัดการของพระองค์นั้น ผู้ที่ได้รับความรอดของพระองค์คือมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม  ไม่ว่าจากมุมมองใด มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม—ไม่ว่ามาจากประเทศใดหรือเชื้อชาติไหน—ก็เป็นเพียงเป้าหมายของพระราชกิจ เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น  ตัวประกอบเสริมความเด่นคู่ควรกับการที่พระเจ้าจะประทานความรักทั้งหมดของพระองค์ให้หรือไม่?  พวกเขาไม่คู่ควร  การกล่าวเช่นนั้นไม่ถูกต้อง และไม่ควรอธิบายในหนทางนั้น  เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการ และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วง เจ้าในฐานะมนุษย์จึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่  แต่เจ้ายังคงพูดอย่างไร้ยางอายว่า “พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเรา”  นี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นความเข้าใจผิด และเป็นความไร้สาระโดยสิ้นเชิง

จงดูบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า  “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย และทรงทนทุกข์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากใหญ่หลวง”  คำพูดเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่?  พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย และทรงทนทุกข์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง  ไม่ว่าพระองค์ทรงสู้ทนกับสิ่งใด พระดำริ พระประสงค์ และเป้าหมายในพระทัยก็คือการลุล่วงแผนการบริหารจัดการของพระองค์  พระเจ้าทรงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่การที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้มิใช่การอุทิศแก่มวลมนุษย์ มิใช่เครื่องบูชาแห่งความรัก หรือเป็นการประทานทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเหล่านี้ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ และมองว่าพระองค์คือศัตรู—พระเจ้าไม่ทรงทำด้วยเหตุผลนี้  บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ด้วยความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ และในเมื่อการที่พระองค์ทรงสู้ทนการบอกปัด การว่าร้าย และความทุกข์ลำบากนั้น จริงๆ แล้วก็เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ เช่นนั้นพระเจ้าก็ทรงไม่ควรคู่กับความรักของมนุษย์”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร?  จงบอกเราทีเถิดว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร  (พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ทว่าที่จริง ในกระบวนการนี้ ผู้คนก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมาย ได้มาเข้าใจความจริงบางประการ และสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง)  ทั้งหมดมีเท่านั้นหรือ?  จงบอกเราทีเถิดว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการบอกปัดและการว่าร้าย รวมถึงทนทุกข์การข่มเหงและความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวงเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์นั้นคือสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ?  (นี่คือสิ่งที่เป็นบวก)  พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย ทั้งยังทนทุกข์ความอัปยศอันใหญ่หลวงเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เป็นบวก  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสิ่งนี้จึงเป็นบวก?  เนื้อหาของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าคืออะไร?  (การมีชัยเหนือซาตานและนำผู้คนออกจากพันธนาการของซาตาน)  ทำอย่างไรจึงจะมีชัยเหนือซาตาน?  สิ่งใดเป็นเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง?  สิ่งใดคือโครงการที่เฉพาะเจาะจงของพระราชกิจนี้?  คือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั่นเอง  เรื่องนั้นไม่คลุมเครือเลยใช่หรือไม่?  การมีชัยเหนือซาตานเป็นแง่มุมหนึ่ง เป็นเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ซึ่งโครงการอันเฉพาะเจาะจงของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ในแง่ของมนุษย์ เรื่องการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดคือเหตุผลที่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม?  (นี่คือเหตุผลที่เป็นธรรม)  นี่คือเหตุผลที่เป็นธรรม  การที่พระเจ้าทรงสู้ทนกับการบอกปัดและการว่าร้าย อีกทั้งสู้ทนกับความเจ็บปวดและความอัปยศทุกรูปแบบเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่?  (ไม่)  นี่คือสิ่งที่เป็นบวกมิใช่หรือ?  เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวหรือ?  (นี่ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแก่ตัว)  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนเล่า?  พวกเจ้าไม่สามารถอธิบายเรื่องที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนั้นได้ แต่พวกเจ้ากลับตีความสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ใช้ความคิด และตัดสินตามอำเภอใจ—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  พระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเป็นโครงการอันยิ่งใหญ่ และรายละเอียดต่างๆ ของโครงการที่เฉพาะเจาะจงนี้ก็นำไปสู่การช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเพื่อลุล่วงความปรารถนาของพระองค์เอง เพื่อทำให้แผนการของพระองค์เสร็จบริบูรณ์ พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพื่อพระองค์เอง ไม่ใช่เพื่อมวลมนุษย์  นี่เป็นความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?”  นี่เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เหตุใดนี่จึงไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเล่า?  การกระทำที่พระเจ้าทรงดำเนินการอยู่คือสิ่งที่เป็นบวกและเปี่ยมความหมาย  นี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายอย่างยิ่งต่อความอยู่รอด บั้นปลาย จุดจบ และสภาวะของการดำรงอยู่ในยุคถัดไปของมวลมนุษย์ทั้งปวง  เมื่อพิจารณาจากประเด็นเหล่านี้ การที่พระเจ้าทรงสู้ทนกับสิ่งทั้งหมดนี้และประทานสิ่งทั้งหมดนี้เพื่อทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสมบูรณ์เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวหรือไม่?  (ไม่)  แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามีจุดประสงค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ที่ดีและงดงาม ทั้งยังเป็นความรักที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าการที่พระองค์ทรงสนองเจตนารมณ์ของพระองค์เองนั้นเป็นความเห็นแก่ตัว  เพียงจากการกระทำที่พระเจ้าได้ทรงทำมา และจากการกระทำที่พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้นี้ คนเราย่อมสามารถเห็นถึงแก่นแท้ของพระเจ้าและเห็นว่าพระทัยของพระองค์นั้นงดงามและดีงาม  แม้มวลมนุษย์เหล่านี้ได้กลายเป็นพวกต่ำทราม แม้พวกเขาได้ติดตามซาตานและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน เต็มไปด้วยด้วยการกบฏและการต้านทานพระเจ้า อีกทั้งเต็มไปด้วยการหมิ่นประมาทและความเป็นปฏิปักษ์ พระเจ้าก็ยังทรงสามารถช่วยพวกเขาให้รอดด้วยความอดทนและไม่เคยทรงล้มเลิก  ทั้งหมดนี้เกิดจากอะไร?  ทั้งหมดนี้เกิดมาจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์  นี่เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ?  ท้ายที่สุด มวลมนุษย์ก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดจากแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า  พวกเจ้าทุกคนคือผู้แบกรับและผู้สืบทอดสัญญา พร และบั้นปลายที่ดีที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์แต่เพียงกลุ่มเดียว  ดังนั้นจงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงเห็นแก่ตัวหรือไม่?  (พระองค์ไม่ทรงเห็นแก่ตัว)  พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่ตัว  แต่พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  นัยสำคัญ คุณค่า และความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจในที่นี้นั้นลุ่มลึกเกินไป—แล้วนั่นจะเป็นไปเพราะความรักเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร?  ความรักเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของการแสดงออกทางอารมณ์ เป็นเศษเสี้ยวที่ถูกเผยในภาวะอารมณ์และความรู้สึก ไม่ใช่ทั้งหมด  ทว่าในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และในกระบวนการแห่งความรอดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์นั้น สิ่งที่ถูกเผยให้เห็นอย่างแท้จริงคือพระอุปนิสัยทั้งปวงของพระเจ้า  และพระอุปนิสัยของพระองค์ก็มิใช่เพียงแค่ความรัก นั่นคือพระอุปนิสัยของพระองค์มิใช่เพียงแค่ความเมตตาและความกรุณาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความชอบธรรมและบารมี พระพิโรธและคำสาปแช่ง อีกทั้งแง่มุมอื่นๆ อีกมากมาย  แน่นอนว่าหากพูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าถูกเผยและทำให้ผู้คนมองเห็นได้ทีละน้อยในระหว่างพระราชกิจสามระยะของพระองค์  แต่ผู้คนไม่อาจรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านั้น ทั้งยังถึงกับกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะพระองค์ทรงรักพวกเรา”  มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับ “ความรัก” ที่ผู้คนมีนั้น—เหตุใดจึงฟังดูน่ากระอักกระอ่วน น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน?  การนิยามพระราชกิจอันเปี่ยมความหมายของพระเจ้าซึ่งมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อบั้นปลายและจุดจบของมวลมนุษย์ว่าเป็นเพียงความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ—เช่น ความรัก—เป็นการสบประมาทเจตนารมณ์ของพระเจ้า สบประมาทความพยายามที่จริงจังและรอบคอบของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดมิใช่หรือ?

บรรทัดต่อไปกล่าวว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอย่างซ่อนเร้นและถ่อมพระทัยกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม”  ในที่นี้ผู้แต่งเพลงนมัสการกล่าวว่า นี่ก็ทำไปเพราะความรักเช่นเดียวกัน  พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะจำเป็นต่อพระราชกิจของพระองค์ แล้วจะเป็นเพราะความรักได้อย่างไร?  การที่พระเจ้าจะดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์ด้วยความรักที่ทรงมีต่อพวกเขา รวมถึงการที่พระองค์จะทรงถ่อมพระทัยและซ่อนเร้นเพราะความรักต่อพวกเขานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  มวลมนุษย์ต้องน่าหลงใหลและน่ารักเพียงใดจึงทำให้พระเจ้าพระทัยร้อนและเต็มพระทัยที่จะมาดำรงพระชนม์ชีพกับพวกเขา ถึงกับทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อีกทั้งทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระทัย?  สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงหรือ?  (สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง)  แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร?  (พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระทัย และเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อแสดงความจริงและช่วยผู้คนให้รอดตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์)  ในทางทฤษฎีนี่เป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ทว่าในทัศนะของผู้คนนั้น ดูเหมือนว่าพระชนม์ชีพที่ซ่อนเร้นและถ่อมพระทัยท่ามกลางมวลมนุษย์ของพระเจ้าทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขอย่างมาก ดูเหมือนพระองค์จะดำรงพระชนม์ชีพอย่างสะดวกสบายทีเดียว ทรงรู้สึกชื่นบานยินดีในทุกๆ วัน และค่อนข้างพอพระทัยที่ได้ทอดพระเนตรทุกความเคลื่อนไหวของมนุษย์ ทอดพระเนตรพฤติกรรมและการเผยของพวกเขา  การนี้เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร?  (พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะพระราชกิจของพระองค์ประสงค์เช่นนั้น)  เพราะพระราชกิจของพระองค์ประสงค์เช่นนั้น นี่คือทฤษฎี  ทว่าที่จริงแล้ว การดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์นำพาความชื่นบานยินดีมาสู่พระเจ้าหรือไม่?  ความสุข?  และความพอพระทัยเล่า?  (ไม่เลย)  เช่นนั้นแล้วพระเจ้าควรจะทรงรู้สึกอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าทุกคนล้วนเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งรู้สึกว่าตนเองซื่อตรงมาก แต่หากพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวัยรุ่นที่รู้จักแต่เอาตัวรอด นักเลง อันธพาล และพวกอาชญากรใต้ดิน พูดภาษาเดียวกันกับพวกเขา กินอาหารแบบเดียวกันกับพวกเขา และทำสิ่งเดียวกันทุกวัน พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  (รังเกียจและขยะแขยง)  หากพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฆาตกรและพวกที่ชอบข่มขืน สภาพจิตใจของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  (สะอิดสะเอียน)  ดังนั้นพวกเจ้าย่อมรู้ว่าความรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างไร—เช่นนั้นแล้วจงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงมีความสุขในการดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามได้หรือไม่?  พระองค์จะทรงรู้สึกชื่นบานยินดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ในการนี้ไม่มีทั้งความสุขและความชื่นบานยินดี—แล้วความรักจะมาจากที่ใดเล่า?  หากไร้ซึ่งความชื่นบานยินดี ความสุข หรือความพึงพอพระทัย แล้วจะไม่ขัดแย้งกับการที่พระองค์จะทรงรักผู้คนอย่างที่ทรงรักพระองค์เอง และทรงรักพวกเขามากเกินกว่าจะแยกจากพวกเขาหรอกหรือ?  ไม่มีการเสแสร้งอยู่ในนั้นเลยหรือ?  แล้วความจริงคืออะไรกันแน่?  นอกจากการไม่มีความสุข ความพอพระทัย และความชื่นบานยินดีแล้ว แท้จริงแล้วพระเจ้าควรจะทรงรู้สึกเช่นไรกับการดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม?  (เจ็บปวด)  ความเจ็บปวดเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ชัดเจนมาก  มีอะไรอีก?  (รังเกียจ)  ความรังเกียจก็เป็นความรู้สึกอีกประเภทหนึ่ง  มีอะไรอีก?  (ความเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์)  ความเกลียด ความขยะแขยง และความชิงชังนั่นเอง  นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่แท้จริงที่สุด ซึ่งก็คือการดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ร่วมกัน พูดคุย ทำงานร่วมกัน และคบหาสมาคม ย่อมรู้สึกราวกับเป็นความอัปยศอย่างเหลือเชื่อ  ในสถานการณ์เช่นนั้น ในสภาวะที่ยืดเยื้อเช่นนั้น เจ้าคิดว่าคนธรรมดาจะยังคงมีความรักได้อยู่หรือ?  (ไม่ได้)  พวกเขาย่อมไม่สามารถมีความรักได้  เมื่อไม่มีความรักพวกเขาจะทำอย่างไร?  (ถอนตัว)  การถอนตัวเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง นั่นคือความรู้สึกนึกคิด อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไร?  ควรใช้ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงผู้คนเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  สำหรับมวลมนุษย์เช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติคือจัดเตรียม อบรมสั่งสอน ว่ากล่าว เปิดโปง ตัดแต่ง บ่มวินัยเป็นบางครั้ง และอื่นๆ นี่คือสิ่งที่จำเป็นและไม่สามารถละทิ้งได้  แต่การกระทำดังกล่าวสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ในทันทีหรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วควรทำอย่างไร?  (พวกเขาต้องถูกตัดแต่ง พิพากษา และตีสอนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน)  พระราชกิจแห่งการตัดแต่ง พิพากษาและตีสอนผู้คนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานนั้นง่ายหรือไม่?  พระเจ้าต้องทรงสู้ทนกับสิ่งใดบ้างในการทรงทำเช่นนี้?  (ความอัปยศและความเจ็บปวด)  พระเจ้าทรงพระราชกิจด้วยความอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ  ความอดทนนี้นำมาซึ่งสิ่งใด?  ความอดทนนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวด  ด้วยเหตุนั้นเมื่อพระเจ้าทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ในพระทัยของพระองค์ย่อมไม่มีความสุขและความชื่นบานยินดีอยู่เลย  หากไร้ซึ่งความชื่นบานยินดีและความสุขแล้ว พระเจ้าจะทรงมีความรักต่อผู้คนในพระทัยได้หรือไม่?  พระองค์ย่อมไม่สามารถบังคับพระองค์เองให้รักพวกเขาได้  เช่นนั้นแล้วพระองค์จะทรงพระราชกิจได้อย่างไร?  บนรากฐานใด?  พระเจ้าเพียงทรงลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์เอง  นี่คือพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ นี่คือธรรมชาติของพระราชกิจนี้  การลุล่วงความรับผิดชอบของคนเราหมายถึงการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเห็น รับรู้ ควรพูด และควรทำให้สำเร็จโดยสมบูรณ์อย่างสุดความสามารถ  นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบของคนเรา  ความรับผิดชอบนี้สามารถลุล่วงได้ด้วยเหตุผลใด?  เพราะพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า เพราะพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีพระบัญชาและความรับผิดชอบนี้ แน่นอนว่าพระเจ้าจึงทรงมีพระภาระนี้ต่อมวลมนุษย์  ดังนั้นไม่ว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพกับมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเพียงใดและกับผู้คนประเภทใด สภาวการณ์ก็เป็นเช่นนี้  เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาวการณ์นี้เป็นอย่างไร?  นี่คือสภาวะที่พระเจ้าทรงไร้ซึ่งความสุขและความชื่นบานยินดี และพระองค์ต้องทรงสู้ทนกับความอัปยศ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ต้องทรงสู้ทนกับความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏทุกรูปแบบของมนุษย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย  ในขณะที่ทรงสู้ทนกับสิ่งทั้งหมดนี้ พระองค์ก็ยังต้องตรัสในสิ่งที่พึงตรัส และทรงทำในสิ่งที่พึงทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พระองค์ต้องทรงอธิบายสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนไม่เข้าใจให้ชัดเจน และสำหรับพวกที่กระทำการล่วงเกินโดยรู้อยู่แก่ใจนั้น พระองค์ก็ต้องทรงบ่มวินัย พิพากษาและตีสอนบ้าง  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนี้เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์และขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์  แน่นอนว่านี่ยังเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับโครงการพระราชกิจเฉพาะของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  โดยสรุปคือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบพระเจ้าพระองค์เอง  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนี้คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์ แน่นอนว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเผยออกมาในขณะที่ลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์คือแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์  เช่นนั้นแล้ว แก่นแท้ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ กล่าวคือ แก่นแท้ของบุคคลธรรมดาผู้นี้คืออะไร?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทรงพระราชกิจช่วงระยะนี้ในยุคสุดท้าย พระองค์มิได้ทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งมิได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ใดๆ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำได้คือการตรัสบอกความจริงที่ผู้คนพึงมีและควรเข้าใจแก่พวกเขา  พระองค์ทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนไม่อาจรับรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักและรับรู้ถึงอุปนิสัยนั้น และจะได้รู้ถึงแก่นแท้และข้อเท็จจริงที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ นี่ก็เพื่อให้ผู้คนเกิดการกลับใจได้อย่างแท้จริงและถูกนำไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง  เมื่อผู้คนสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและได้รับความหวังในการได้รับความรอด แล้วพระราชกิจและความรับผิดชอบของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็สำเร็จลุล่วง  เมื่อผู้คนอยู่บนครรลองที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการได้รับบททดสอบและการถลุงจากพระเจ้า—พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จึงสิ้นสุดลง ลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ และนำพวกเจ้ามาสู่ครรลองที่ถูกต้อง นี่ย่อมหมายความว่าพันธกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว และพระองค์ไม่ทรงมีภาระผูกพันใดๆ กับพวกเจ้าอีกต่อไป  การไม่มีภาระผูกพันหมายความว่าอย่างไร?  นั่นหมายความว่าพระองค์ไม่ต้องทรงอยู่กับผู้คนเหล่านี้และสู้ทนกับสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น ความเสื่อมทราม มโนคติอันหลงผิด การกบฏ การต้านทาน การบอกปัด และอื่นๆ ของพวกเขาอีกต่อไป

ไม่ว่าจากมุมมองของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าหรือจากพระราชกิจอันเฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำ สิ่งเหล่านี้ทำไปเพราะความรักเท่านั้นหรือ?  ไม่ใช่เลย  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตมวลมนุษย์จากสวรรค์ในบางหนทาง และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกก็ทรงมีมุมมองที่เกือบจะเหมือนกัน  เหตุใดเราจึงกล่าวว่า “เกือบจะ”?  พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกทรงสามารถเห็นถึงจุดอ่อนของมวลมนุษย์จากมุมมองที่ค่อนข้างใส่พระทัยมากขึ้นเพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์ทรงสร้างในพื้นที่เดียวกัน และเพราะพระองค์ทรงมีลักษณะภายนอกของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามด้วย  ผลก็คือ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงสามารถดำรงพระชนม์ชีพกับผู้คนในลักษณะที่ค่อนข้างกลมกลืนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์  เมื่อมองในหนทางนี้แล้ว หากพระเจ้าไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเจ้าทุกคนจะได้นั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือ?  พวกเจ้าคงจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้  ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความจำเป็นของพระราชกิจของพระเจ้า—นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พระองค์ทรงยอมจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ และเสด็จมาที่นี่เพื่อทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เอง  หากพระเจ้าตรัสกับผู้คนจากสวรรค์ ในแง่หนึ่ง พวกเขาย่อมจะได้ยินพระวจนะของพระองค์ไม่สะดวกเพราะการแยกกันในเชิงพื้นที่  ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อพิจารณาจากถ้อยดำรัสอันครอบคลุมและมากมายของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ไม่ว่าเจ้ามองจากมุมมองหรือแง่มุมใดก็ตาม หากพระองค์ตรัสจากฟ้าสวรรค์ในลักษณะเช่นนั้นย่อมจะไม่เหมาะสม  ด้วยเหตุนี้ ทางเลือกเดียวที่ดีที่สุด และเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์มากที่สุดต่อมวลมนุษย์ ต่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และต่อพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็คือการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นทางเลือกเดียวและเป็นหนทางเดียวในการทรงพระราชกิจ  มีเพียงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ ทรงมีความสามารถที่จะปฏิบัติพระราชกิจนี้ และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ได้  หากเจ้ามองดูพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสในยุคสุดท้าย ในแง่ของปริมาณ มีพระวจนะมากมายเหลือเกินที่ดำรัสเอาไว้ แล้วพระวจนะมากมายเหล่านั้นจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างไรโดยไร้ซึ่งวิธีการบังเกิดเป็นมนุษย์?  หากพระเจ้าตรัสลงมาจากฟ้าสวรรค์ในรูปแบบของฟ้าร้อง แล้วแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงพิพากษาและทรงกล่าวโทษคนชั่วจะมีคนที่ถูกฟ้าผ่าตายกี่คน?  ผู้ที่รอดชีวิตย่อมจะมีเหลือไม่มาก  หากพระเจ้าตรัสจากภายในพายุหมุนหรือจากภายในเปลวไฟ กว่าพระองค์จะตรัสพระวจนะเหล่านี้เสร็จสิ้นจะต้องมีพายุหมุนและเปลวไฟเกิดขึ้นมากมายแค่ไหน?  มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะถูกก่อกวนด้วยวิธีการนี้  และหลังจากที่ตรัสเช่นนี้มานานหลายปี พระวจนะของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ส่งผลต่อชีวิตปกติของมวลมนุษย์บ้างหรือไม่?  ไม่เลย และโลกทั้งโลกก็ไม่ได้สนใจหรือได้รับผลจากการนี้เลยแม้แต่น้อย  นี่ย่อมทำให้จุดประสงค์ของพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำสัมฤทธิ์โดยสมบูรณ์ หากไม่มีพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระราชกิจนี้คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นมีการซ่อนเร้นอยู่  พระเจ้าไม่ประสงค์ให้โลกทั้งโลกและมวลมนุษย์ทั้งปวงรู้ถึงการนี้ พระองค์ไม่ประสงค์ให้ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรู้ถึงการนี้  พระองค์ทรงแสดงพระวจนะเหล่านี้ได้ในสภาวะซ่อนเร้นเท่านั้น ดังนั้น การทรงนำเอาวิธีการบังเกิดเป็นมนุษย์มาใช้จึงเปี่ยมความหมายมากที่สุด ทั้งยังเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดที่สุดอีกด้วย  มีเพียงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่พระราชกิจนี้ยังคงเป็นความลับได้  นี่คือพระปัญญาและมหิทธานุภาพของพระเจ้าสำหรับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์เพื่อดำรงพระชนม์ชีพในพื้นที่เดียวกันกับมวลมนุษย์ จัดเตรียมความจริงให้มวลมนุษย์ในภาษาของพวกเขา ในหนทางและในรูปแบบที่มวลมนุษย์สามารถยอมรับได้  นี่คือสิ่งที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่เกินความสามารถของมวลมนุษย์  ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับแผนการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  หากมนุษย์อธิบายแผนการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพียงด้านเดียวว่าเป็นสิ่งที่ทำไปเพราะความรักเท่านั้น นั่นคงจะเรียบง่ายเกินไป ขัดกับข้อเท็จจริง และไม่ชอบด้วยเหตุผลโดยแท้จริง  สรุปก็คือ ไม่ว่าเนื้อหาสาระของพระราชกิจที่ทรงทำคืออะไร รูปแบบของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ โดยแท้แล้วก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนอย่างมาก ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญไปทั่วโลกและในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่เพียงใด  ข้อเท็จจริงและรูปแบบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันทั่วทั้งโลกและทั่วทั้งชุมชนศาสนา นี่คือเหตุการณ์ที่มวลมนุษย์เป็นปฏิปักษ์ เหตุการณ์ที่มวลมนุษย์กล่าวโทษและบอกปัด อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่มวลมนุษย์จินตนาการและหยั่งถึงได้ยากมากที่สุด  การที่พระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจในหนทางนี้แสดงให้เห็นถึงพระปัญญา ฤทธานุภาพ มหิทธานุภาพ และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระราชกิจนี้ไม่ได้ทำไปเพราะความรักเล็กๆ น้อยๆ หรือทำเพราะเรื่องสัพเพเหระบางเรื่องหรือเหตุผลที่เล็กราวกับเมล็ดงาแต่อย่างใด  จึงกล่าวได้ว่า เหตุการณ์ใหญ่ที่สามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งโลกศาสนา ทั่วทั้งโลกการเมือง มวลมนุษย์ทั้งปวง และแม้กระทั่งทั้งจักรวาลได้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความรัก แต่เพราะแผนการบริหารจัดการและพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชกิจในระยะที่สามของพระเจ้า นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งผู้คนควรเข้าใจ รู้จัก และทำความเข้าใจ  หากเจ้าเพียงแต่นิยามมินิตนี้ว่า “นี่เป็นเพราะความรักของพระเจ้า พระเจ้าทรงรักพวกเรา  เห็นไหมว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อพวกเราเพราะความรักมาแล้วครั้งหนึ่ง และคราวนี้พระองค์ก็ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาเพื่อรักพวกเราอีกครั้งหนึ่ง”—นี่ย่อมเป็นความผิดมหันต์มิใช่หรือ?  การนิยามนิมิตอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นของพระราชกิจของพระเจ้าว่าเป็นการทำไปเพราะความรักนั้นเป็นเรื่องที่ตื้นเขินเกินไป  หากเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ช่างเถิด แต่รีบปิดปากของเจ้าเสีย อย่าพูดเรื่องไร้สาระ และอย่าแสดงความคิดเห็นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  ก่อนหน้านี้เราได้บอกพวกเจ้าไปแล้วว่า ผู้คนไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน ตีกรอบโดยไม่ใช้ความคิด หรือสรุปสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และนิมิตของพระราชกิจของพระเจ้าตามอำเภอใจ  หากเจ้าไม่เข้าใจ ก็จงยอมรับว่าเจ้าไม่เข้าใจ  หากเจ้าเข้าใจเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วจงรีบกล่าวว่า “ฉันเข้าใจเพียงเท่านี้ ฉันไม่กล้าตีกรอบเอาเองตามอำเภอใจ และฉันก็ไม่รู้ว่าเข้าใจแบบนี้ถูกต้องหรือไม่”  เจ้าต้องเพิ่มคำอธิบายและการชี้แจงประเภทนี้เข้าไป—จงอย่าพูดโดยไม่พิจารณา  หากเจ้าพูดโดยไม่พิจารณา เช่นนั้นแล้ว ในระดับเล็กน้อย เจ้าย่อมสามารถสร้างอิทธิพลผิดๆ ต่อผู้อื่น ทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจผิด และชี้นำพวกเขาไปในทางที่ผิดได้ ส่วนในระดับใหญ่ เจ้าอาจจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  เจ้าบรรยายลักษณะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดว่าคือความรัก คือสิ่งที่ทำไปเพราะความรัก—นี่คือการพูดจาไร้สาระมิใช่หรือ?  ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้ควรถูกตบหน้าหรือไม่?  (ควร)  เหตุใดพวกเขาจึงควรถูกตบหน้า?  เพราะนี่คือการพูดโดยไม่คิด นี่คือการกล่าวถึงสิ่งทั้งหลายโดยไม่อ้างอิงบริบท  นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหังมิใช่หรือ?  เจ้าเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ?  เจ้าเคยเห็นพระองค์บ้างหรือไม่?  เจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถอธิบายความจริงเกี่ยวกับนิมิตของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนหรืออย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เจ้าก็ยังกล้าที่จะนิยามแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือการเห่อเหิมอย่างที่สุดมิใช่หรือ?  เจ้ากล้าใช้คำว่า “ความรัก” มานิยามเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นี่คือสิ่งที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  การก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นการกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่?  ใช่แล้ว  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ แล้วฉันก็ไม่เข้าใจด้วย”  ถูกต้อง  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้และไม่เข้าใจนั่นเอง และเพราะเจ้าไม่รู้ความและโง่เขลา เจ้าจึงไม่ควรพูดไปโดยไม่คิด  ในฐานะคนธรรมดา เจ้าสามารถสรุปกิจธุระของพระเจ้าไปเรื่อยเปื่อยหรือตัดสินเรื่องนี้ตามอำเภอใจได้หรือ?  ถึงแม้ว่าจะเอามวลมนุษย์ทั้งหมดมารวมกันก็ไม่สามารถอธิบายกิจธุระของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน แต่ตัวเจ้าคนเดียวกลับต้องการที่จะนิยามพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และแก่นแท้ของพระองค์ด้วยคำพูดเพียงหนึ่งหรือสองคำ  นี่คือการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว ในเพลงนมัสการเพลงนี้ย่อมมีปัญหาร้ายแรงอยู่  ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคำพูดที่เลอะเลือน ว่างเปล่า และหมิ่นประมาทเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเพลงนี้ยังสามารถชี้นำผู้คนแบบผิดๆ ชักพาพวกเขาให้หลงผิด และทำให้พวกเขาติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนอีกด้วย  เมื่อพิจารณาจากผลกระทบอันร้ายแรงแล้วยังสามารถเก็บเพลงนมัสการเพลงนี้ไว้ได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน เพลงนี้ต้องถูกยกเลิกไปเสีย

ต่อไปคือ “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์”  คำพูดเหล่านี้ตีกรอบสิ่งทั้งหลายในหนทางที่น่าสะอิดสะเอียนมิใช่หรือ?  (ใช่)  จงอ่านต่อไป “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ด้วยพระวจนะของพระองค์”  บอกเราทีเถิดว่า เมื่อพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะที่รุนแรงเพื่อเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์หรือเป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชังมนุษย์?  (นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชังมนุษย์)  พระเจ้าทรงรังเกียจมนุษย์ แล้วนี่คือพระอุปนิสัยใดของพระองค์?  (ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์)  ถูกต้อง นี่ไม่ใช่เพราะความรัก  การที่ผู้คนนิยามสิ่งทั้งหลายเช่นนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  ในคำกล่าวนี้มีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับความจริงอยู่บ้างหรือไม่?  นี่เป็นความเข้าใจเพียงด้านเดียวและบิดเบือน เป็นการตีความผิด และเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บรรทัดดังกล่าวเป็นการอธิบายลักษณะอย่างไม่ถูกต้อง  ต่อมา จงดูเนื้อร้องที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงทดสอบ ทรงถลุง ทรงตัดแต่งพวกเราเพื่อชำระความเสื่อมทรามของพวกเราให้บริสุทธิ์”  นี่ก็มีปัญหาเหมือนกับบรรทัดก่อนหน้านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  มีปัญหาเดียวกัน  และถัดลงมาที่ว่า “โอ้ พระเจ้า!  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์คือความรัก”  นี่เป็นการตีกรอบพระเจ้าอีกแล้วมิใช่หรือ?  สิ่งที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นคืออะไร?  นั่นก็คือความบริสุทธิ์และความน่ารักของพระองค์ รวมถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระเจ้าทรงมีพระพิโรธ บารมี รวมไปถึงความเมตตาและความกรุณา ดังนั้นจะกล่าวได้อย่างไรว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความรัก?  การตีกรอบเช่นนี้เป็นไปโดยพลการและน่าสะอิดสะเอียนนัก!  นี่เป็นเพราะความโอหังมิใช่หรือ?  สิ่งที่ผู้แต่งเพลงนมัสการกำลังอธิบายและสรุปความอยู่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับแก่นนิสัยที่พระวจนะและถ้อยดำรัสของพระเจ้าเผยให้เห็นเลย  แล้วจากนั้นก็ยังกล่าวว่าทุกสิ่งคือความรัก ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังบิดเบือนและไม่ถูกต้องอีกด้วย—นี่คือการอธิบายลักษณะที่ผิดโดยสิ้นเชิง  ความรักเป็นภาวะอารมณ์อย่างหนึ่ง ทั้งยังสามารถแสดงออกในรูปของการกระทำหรือพฤติกรรมได้อีกด้วย แต่ความรักก็ไม่ใช่แก่นแท้ที่เป็นหัวใจหลักของพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงรักผู้คนไปเสียทุกคน  เป็นไปได้ไหมว่าความรักของพระเจ้านั้นท่วมท้นเสียจนไม่มีพื้นที่เพียงพอ จนถึงจุดที่พระองค์ทรงรักแม้กระทั่งซาตาน มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม และศัตรูของพระองค์?  เป็นเช่นนั้นหรือ?  ความรักของพระเจ้านั้นมิได้ไร้ซึ่งหลักธรรม แต่นี่คือสิ่งที่มีหลักธรรม  พระองค์ทรงรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและทรงเกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่ชั่วและเป็นลบ  จงบอกเราทีเถิดว่า พระเจ้าทรงรักผู้คนที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงรักบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดีใช่หรือไม่?  พระองค์ทรงรักบรรดาผู้ที่นบนอบพระองค์ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงรักผู้คนที่มีการกลับใจอย่างแท้จริง นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ผ่านทางการได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ใช่หรือไม่?  หากผู้คนเข้าใจความจริงและเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นแล้ว “ความเกลียดชัง” ของพวกเขาย่อมเป็นสิ่งที่เป็นบวก  และพระเจ้าทรงรักพวกเขาใช่หรือไม่?  (ใช่)  บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้คือคนที่เป็นบวก และบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ย่อมเป็นบวกมากขึ้นไปอีก  นี่คือคนที่เป็นบวกที่พระเจ้าทรงรัก พระองค์ทรงเกลียดหมู่มารและซาตาน  พวกที่พระองค์ทรงสาปแช่งและทรงลงโทษล้วนเป็นคนชั่ว แต่บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงรักล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ด้วยเหตุนี้ ความรักของพระเจ้าจึงมีหลักธรรม มิใช่สิ่งที่ไร้หลักธรรม  สำหรับคนบางคนพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงรักพวกเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจให้ชัดเจน คนเราไม่สามารถหลับหูหลับตานิยามความรักของพระเจ้าได้  การกล่าวถึงความรักของพระเจ้าอย่างไม่ระมัดระวังและนิยามสิ่งนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าย่อมเป็นการตัดสินและหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ดูเนื้อร้องต่อไปกันเถิด การกล่าวว่า “โอ้ พระเจ้า!  ความรักของพระองค์มิใช่เพียงความเมตตาและความกรุณา แต่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นการตีสอนและการพิพากษา” ถูกต้องหรือไม่?  (คำกล่าวนี้ถูกต้องในทางทฤษฎี แต่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง)  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาในทางทฤษฎี แต่การนำมาเชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าก็เกินจริงไปมาก  คำพูดเหล่านี้ไม่ควรถือว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ควรถือว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไร้สาระเสียจนแทบไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึง  เลื่อนลงมาดูเนื้อร้องที่ว่า “โอ้ พระเจ้า!  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นความรักที่แท้จริงที่สุดและเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”  พวกเจ้าทุกคนคิดอย่างไรกับบรรทัดนี้?  (บรรทัดนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าให้เป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความรอดของพระเจ้าไม่ได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น)  การตรึงกางเขนของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ รวมถึงการที่พระองค์ทรงไถ่และแบกรับบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงมิใช่ความรักแท้จริงที่สุดหรอกหรือ?  สิ่งเหล่านี้คือความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วหากเปรียบเทียบกับการพิพากษาและการตีสอน สิ่งใดเล่าที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุด”?  อันที่จริง หากวิเคราะห์อย่างจริงจัง คำกล่าวนี้ย่อมไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการตีกรอบมากจนเกินไป เรื่องนี้ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น  ไม่ควรกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำคือความรัก แต่กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีผลที่เป็นบวกต่อผู้คน และทั้งหมดนี้คือความรอดและความกรุณาที่ทรงมีต่อผู้คน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนทำไปเพื่อมวลมนุษย์  หากเจ้ากล่าวว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเป็น “ที่สุด” ยกชูสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่ระดับสูงสุด การนี้ย่อมไม่ถูกต้อง  สิ่งที่เป็น “ที่สุด” ควรมีเพียงหนึ่งเดียวโดยไม่มีการเปรียบเทียบ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชกิจอื่นของพระเจ้า  ครั้งหนึ่งมีใครบางคนแต่งเพลงนมัสการ และเนื้อร้องส่วนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามากกว่าความเมตตาและความกรุณาของพระองค์”  คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?  (คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง)  คำพูดเหล่านี้มีปัญหาตรงไหนหรือ?  (คำพูดเหล่านี้แบ่งความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา และความกรุณาของพระเจ้าเป็นลำดับชั้น)  ที่จริงแล้วคำกล่าวนี้ถูกต้อง และนี่ก็ประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้คนหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ภูมิหลังของประสบการณ์ที่แท้จริงนี้คืออะไร?  เรื่องนี้เป็นดังนี้ เมื่อใครบางคนชื่นชมความเมตตาและความกรุณาของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถได้รับแค่เพียงพระคุณเท่านั้น พวกเขาไม่มีวันตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และไม่มีวันทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปได้  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า รวมถึงสู้ทนความเจ็บปวดจากบททดสอบและการถลุงมากมาย—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไปจากตนได้  ด้วยเหตุนั้น ภายใต้สมมุติฐานนี้และในบริบทนี้ นี่ย่อมเป็นความเข้าใจที่ผู้คนได้มา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่ตรรกะในทางทฤษฎี  เพลงนมัสการเพลงนี้มีประโยชน์ แต่กลับไม่มีพวกเจ้าคนใดมองเห็นเลย พวกเจ้าช่างขาดวิจารณญาณกันจริงๆ  การขาดวิจารณญาณเช่นนี้ยืนยันในเรื่องใด?  เหตุผลของการขาดพร่องเช่นนี้คืออะไร?  เหตุผลคือการไม่เข้าใจความจริง  เพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” เต็มไปด้วยความไร้สาระ เพลงนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เราไม่ชอบเพลงนี้ และเราจะไม่ยอมร้องแม้แต่คำเดียว  พวกเจ้าทุกคนต้องมีวุฒิภาวะน้อยเพียงใด ถึงได้พากันร้องเพลงนี้ด้วยความกระตือรือร้นและเร้าใจผู้อื่นเช่นนั้น!  พวกเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งใดได้เลย และพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจความจริงที่ผู้คนควรเข้าสู่เสียด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้าก็ยังอยากแสดงความคิดเห็นต่อแก่นแท้ของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์  นี่คือการขาดเหตุผลมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่มีเหตุผลซึ่งกล้าโพล่งในสิ่งที่ไม่สมควรพูดย่อมไม่เอาใจใส่ในหน้าที่อันถูกควรของตน พวกเขาไม่มุ่งเน้นการปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย

เนื้อเพลงต่อมาที่ว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ และพระองค์ทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา”  แน่นอนว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่พระเจ้าทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ แต่หากผู้คนรู้จักพระองค์ในหนทางนี้ จะถือเป็นการสรรเสริญพระเจ้าได้หรือ?  สมมุติว่าพระเจ้าไม่ทรงรักใครคนหนึ่ง พระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชังเขาอย่างที่สุด  แต่ถึงอย่างนั้น หากคนคนนี้ยังสามารถรักและสรรเสริญพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นคนที่พอมีวุฒิภาวะและมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง  ในบรรทัดที่ว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ และพระองค์ทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา” มีคำคุณศัพท์คำใดบ้างที่ขยายความคำว่า “ความรักของพระเจ้า”?  คำว่า “บริสุทธิ์” และ “ชอบธรรม” นั่นเอง  ดูเอาเถิดว่าผู้แต่งเพลงนมัสการเชื่อว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใดจากการใช้แก่นแท้ของพระเจ้ามานิยามความรักของพระเจ้า โดยกล่าวว่าความรักของพระเจ้าคือความรักอันชอบธรรมและบริสุทธิ์—นี่เป็นสิ่งที่ชัดแจ้งในตัวเองมิใช่หรือ?  ผู้คนไม่เต็มใจที่จะชื่นชมยินดีกับความรักธรรมดาทั่วไป และพวกเขาก็ไม่ชื่นชมยินดีกับความรักอันเปี่ยมกรุณาหรือความรักที่ทะนุถนอมผู้คน พวกเขาจะสรรเสริญพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ชื่นชมยินดีกับความรักที่บริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์เท่านั้น และนี่คือเหตุผลที่พวกเขากล่าวว่าพระเจ้าทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์  เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจากข้อเท็จจริงหรือจากการใช้เหตุผลในทางตรรกะ คำกล่าวนี้ก็ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ นี่คือ การที่คนป่วยทางจิตพรั่งพรูคำพูดยืดยาวที่ไร้สาระเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  เจ้าคิดว่านี่คือโลกของเนื้อหนังหรือ?  ในโลกใบนี้ มีเหล่าวิญญาณชั่วและโสมมทุกประเภท คนทุกลักษณะนิสัยและคนชั้นต่ำที่สร้างปัญหาทุกประเภท รวมถึงคนที่พอมีทักษะ พูดจาฉะฉาน หรือมีความอวดดี ทั้งหมดกล้าที่จะขึ้นเวทีและแสดงความคิดเห็น แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงคือสิ่งที่ครองสิทธิอำนาจ  เหล่าลูกหลานปีศาจต้องถูกนำลงจากเวทีทั้งหมด พวกเขาต้องถูกชำระออกจากคริสตจักร  ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติทั้งปวงของพวกเขาต้องถูกชำแหละ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและระบุลักษณะของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเปิดเผย  เมื่อมองดูในตอนนี้ ความรักของพระเจ้าคืออะไร?  หากเจ้ากล่าวว่าคือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ คำตอบนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง ความรักของพระเจ้าไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้)  เช่นนั้นแล้วความรักของพระเจ้าคืออะไร?  (ความรักของพระเจ้ายังเป็นการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงพระพิโรธและบารมีอีกด้วย ทั้งหมดนี้คือความรักของพระเจ้า)  ความรักของพระเจ้าคือความรักของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้าก็คือแก่นแท้ของพระเจ้า  ความรักของพระเจ้านั้นอยู่ในพระดำริหรือพระทัยของพระองค์ ในความรู้สึก ในแก่นแท้ และในกิจการของพระองค์  เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  ถึงเจ้ากล่าวว่าความรักของพระเจ้าคือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ แต่เจ้าก็ยังกล้านิยามความรักของพระเจ้าในหนทางนั้น—เจ้าช่างไร้ยางอายเหลือเกิน!  พระเจ้าทรงยอมรับการที่เจ้าใช้คำจำกัดความดังกล่าวมาสรรเสริญพระองค์หรือไม่?  (พระองค์ไม่ทรงยอมรับ)  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงยอมรับ?  (เพราะนี่เป็นการหมิ่นประมาทพระองค์)  พระเจ้าทรงรังเกียจ และเจ้าก็กำลังพูดจาไร้สาระอย่างที่สุด!  การหลับหูหลับตาสรรเสริญของเจ้านั้นไร้ประโยชน์ และพระเจ้าก็ไม่ได้พอพระทัยกับสิ่งนั้น  พระเจ้าไม่ประสงค์การสรรเสริญจากมวลมนุษย์มากมายขนาดนั้น  พระองค์ไม่ทรงมีพระปรารถนาในเรื่องนี้ ใช่ว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีการสรรเสริญจากมนุษย์เพื่อดำรงพระชนม์ชีพอย่างสะดวกสบายหรือเพื่อให้ทรงมีความมั่นใจ  พระองค์ทรงมีความจำเป็นนี้หรือไม่?  (พระองค์ไม่มีความจำเป็น)  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำคือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด อีกทั้งประทานบั้นปลายที่ดีให้มวลมนุษย์ และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจบางอย่างเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ในยุคถัดไป แต่จุดประสงค์ของการนี้มิใช่เพื่อให้ได้รับการสรรเสริญจากผู้คน  เพียงแต่การที่มวลมนุษย์ถวายการสรรเสริญพระเจ้าเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระองค์ แต่หากผู้คนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและหลับหูหลับตาสรรเสริญพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาต และพระองค์จะไม่ทรงยอมรับการสรรเสริญนั้น  หากผู้คนเอาแต่ใจตนเองมากเสียจนรู้สึกว่าการสรรเสริญพระเจ้าของมวลมนุษย์สำคัญกับพระองค์เป็นอย่างยิ่ง นั่นย่อมเป็นการตีความที่ผิดพลาดมิใช่หรือ?  เนื่องจากมวลมนุษย์มีการสรรเสริญพระเจ้าและมีคำพยานอยู่บ้างเล็กน้อย พวกเขาจึงคิดว่าพระเจ้าทรงซาบซึ้งพระทัยอย่างเหลือแสน ทว่าในความเป็นจริงพระองค์ไม่ได้ซาบซึ้งพระทัยเลย  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสมควรได้รับมิใช่หรือ?  นี่เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก

ดูเนื้อเพลงต่อไปที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงนำพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมาทำงานรับใช้ เพื่อที่พวกเราอาจจะได้รับความจริงและชีวิต”  บรรทัดนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เนื้อเพลงบรรทัดนี้มีปัญหาตรงไหนหรือ?  ที่คำว่า “เพื่อความรัก” ใช่หรือไม่?  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะสองคำแรกที่ชวนให้เข้าใจผิดและชักพาผู้คนให้หลงผิดมากเสียจนสร้างความสับสนในจิตใจของผู้คน พลอยให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างถูกและผิดได้  ต่อไปจงอย่าใช้คำว่า “เพื่อความรัก” แบบผิดๆ อีก  หลังจากสองคำนั้นแล้ว ประโยคที่ว่า “พระเจ้าทรงนำพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมาทำงานรับใช้ เพื่อที่พวกเราอาจจะได้รับความจริงและชีวิต” เป็นความจริง  เนื้อหาดังกล่าวมีอยู่ในพระราชกิจของพระเจ้า แต่การระบุว่านี่คือความรักของพระเจ้าย่อมจะไม่ถูกต้อง  นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และพระปัญญาของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เพราะความรักของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว  พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพในการรวบรวมผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้มาทำงานรับใช้มวลมนุษย์ที่พระองค์ประสงค์จะช่วยให้รอด  พระองค์ทรงรวบรวมสรรพสิ่งและเรื่องราวทั้งหมดให้มารับใช้มวลมนุษย์ที่พระองค์ประสงค์จะช่วยให้รอดและรับใช้แผนการบริหารจัดการของพระองค์ และผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนี้ก็คือมวลมนุษย์—ผู้คนได้รับความจริงและชีวิตนั่นเอง  หากเจ้ากล่าวเพียงว่าการนี้เป็นไปเพราะความรัก เช่นนั้นแล้วพระปัญญา สิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปหรือ?  การกล่าวว่านี่เป็นเพราะความรักเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ถูกต้อง ดังนั้น การวางทิศทางและการวางตำแหน่งของคำกล่าวนี้จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน  การบอกว่าคำกล่าวทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้องหมายความว่าอย่างไร?  คำกล่าวเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับความจริง เป็นการกล่าวออกมาในหนทางที่บิดเบือน ไม่ใช่ความเป็นจริงของความจริง และไม่ใช่ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงที่ผู้คนได้รับประสบการณ์

จงดูบรรทัดต่อไปที่ว่า “เพื่อความรัก การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าสามารถทำให้พวกเราหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด”  บรรทัดนี้มีปัญหาหรือไม่?  คำว่า “เพื่อความรัก” ยังคงเป็นสมมุติฐานที่ไม่เหมาะสม  ส่วนวลีที่ว่า “การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าสามารถทำให้พวกเราหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด” ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะนี่คือผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้า—แต่เหตุใดผู้แต่งเพลงนมัสการจึงต้องใส่คำว่า “เพื่อความรัก” ไว้ข้างหน้าเสมอเล่า?  พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนใดจากเรื่องนี้?  ในเรื่องของการแสดงความเห็น การนิยาม หรือการตีกรอบแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้น พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งต้องมีท่าทีที่ถ่อมตนและรอบคอบ  หากพวกเจ้าสามารถพูดเรื่องไร้สาระโดยไม่อาจควบคุมได้ และหากทุกสิ่งที่เจ้าพูดเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและไร้สาระ พูดเกินจริง และหมิ่นประมาท เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นเหตุให้พระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชังเจ้า  หากพูดแบบคร่าวๆ ก็คือ เมื่อเปรียบเทียบกับแก่นแท้ของพระเจ้าแล้ว ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่มนุษย์มีเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรหรือเป็นเพียงทรายเม็ดหนึ่งบนชายหาดเท่านั้น  ช่องว่างระหว่างสองสิ่งนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล และหากผู้คนยังคงกล้าตีกรอบสิ่งทั้งหลายและสรุปความตามอำเภอใจ ปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดของตนราวกับเป็นความจริงและเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดโดยไร้เหตุผล เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะเป็นปัญหาใหญ่  ปัญหาใหญ่ที่ว่าคืออะไร?  (การหมิ่นประมาทพระเจ้า)  การหมิ่นประมาทพระเจ้าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงและก่อให้เกิดปัญหาในธรรมชาติ  หากเจตจำนงส่วนตัวของเจ้าไม่ต้องการที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรยึดมั่นในสิ่งที่เราเพิ่งบอกพวกเจ้าทุกคนไป นั่นคือ จงระมัดระวังและระวังคำพูดของเจ้า  การระวังคำพูดของคนเราหมายถึงอะไร?  (การไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระเจ้าและตีกรอบพระองค์ตามใจชอบ)  ถูกต้อง  สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิมิต คำว่า “เกี่ยวข้องกับนิมิต” เป็นเพียงคำกล่าวทั่วไป หากกล่าวให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น การนี้สัมพันธ์กับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการ พระราชกิจ และแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ดังนั้น จงพูดและปฏิบัติตนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิมิตเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง และจงอย่าตีกรอบหรือตัดสินตามอำเภอใจ  บางคนกล่าวว่า “นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิด” แต่การที่เจ้าคิดเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?  จงอย่าคิดว่าตนเองถูกและทำตัวโอหังเกินไปนัก  หากสิ่งที่เจ้าคิดไม่ถูกต้อง อีกทั้งเจ้ายังคงพูดจาไร้สาระและตีกรอบสิ่งทั้งหลายตามอำเภอใจ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นการตัดสิน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาท—เจ้าอาจจะได้รับในสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึงทีเดียว  คนบางคนไม่อาจทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้และกล่าวว่า “ข้าพระองค์มองเห็นสิ่งต่างๆ แบบนั้น หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์พูด ก็เท่ากับพระองค์กำลังทรงขอให้ข้าพระองค์อำพรางตนเอง”  นั่นจะเป็นการขอให้เจ้าอำพรางตนได้อย่างไร?  นี่คือการแนะนำให้เจ้าระมัดระวังและไม่พูดในสิ่งที่เจ้ายังไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนและยังไม่ได้รับการยืนยัน  การนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า เป็นการคุ้มครองเจ้า  หากสิ่งที่เจ้าคิดนั้นผิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อเจ้าพูดออกไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อคำพูดของเจ้า  ใครก็ตามที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งกระทำความชั่วมาอย่างมากมายนั้น ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาต้องแบกรับความผิดชอบต่อการกระทำของตน และคริสตจักรต้องจัดการกับพวกเขา  ด้วยเหตุนั้น หากเจ้ามีแนวคิดหรือความเข้าใจบางอย่าง การที่เจ้ายืนยันสิ่งนั้นก่อนพูดย่อมเป็นเป็นเรื่องดีที่สุด  เจ้าจำเป็นต้องมีพื้นฐานตามข้อเท็จจริงและข้อสนับสนุนทางทฤษฎีที่เพียงพอเสียก่อนจึงจะเขียนเป็นบทความ เรียบเรียงเป็นข้อความ หรือแต่งเป็นเพลงนมัสการได้  หากเจ้ามีข้อเท็จจริงและข้อสนับสนุนทางทฤษฎีไม่เพียงพอ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงที่เจ้าต้องการสร้างขึ้นหรือสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็น “ความจริง” ย่อมไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเกินไป สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงทฤษฎีที่ว่างเปล่าและเป็นคำพูดที่ชักพาให้หลงผิด    อาจกล่าวได้ว่า เจ้าเป็นคนประมาทที่ไร้ความเกรงกลัว และเจ้าก็กำลังกล่าวคำพูดหมิ่นประมาทออกมา

พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงเอาไว้มากมายนับตั้งแต่เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์จวบจนถึงตอนนี้ ทั้งยังมีพระวจนะมากมายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลาย รวมไปถึงความต้องการนานาประการของผู้คน  การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามีเพลงนมัสการมากมายที่สามารถเขียนถึงหัวข้อเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้คน ความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของผู้คน และความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้าของผู้คน  เจ้าสามารถเขียนเกี่ยวกับแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเคยมีประสบการณ์ หากเจ้าไม่มีประสบการณ์ ก็จงอย่าเขียนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  หากเจ้ามีประสบการณ์แต่ไม่ถนัดเรื่องการแต่งเพลงนมัสการ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถหาคนที่เข้าใจเพลงนมัสการเพื่อให้การชี้นำก่อนแต่งเพลง  แน่นอนว่าคนที่ไม่เข้าใจเพลงนมัสการควรหลีกเลี่ยงการแต่งเพลงอย่างไม่ไตร่ตรองเพียงเพื่อให้จบเพลง  ผู้คนที่แต่งเพลงนมัสการต้องมีประสบการณ์ และเข้าใจหลักธรรมด้วย พวกเขาต้องพูดจากหัวใจและกล่าวคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อให้เพลงนมัสการที่แต่งขึ้นมาสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้  เพลงนมัสการบางเพลงไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย ทว่าเป็นเพียงคำพูดและคำสอนที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้คน การไม่แต่งเพลงนมัสการประเภทนี้เลยย่อมจะดีเสียกว่า  บางคนแต่งเพลงนมัสการและให้ผู้อื่นปรับแก้ และคนที่ปรับแก้เพลงนมัสการเหล่านั้นก็ไม่มีประสบการณ์ แต่กลับแสร้งว่ามีประสบการณ์และมีความสามารถพิเศษทางวรรณกรรม  นี่คือการหลอกลวงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่มีประสบการณ์ของตนเอง แต่พวกเขายังคงต้องการที่จะปรับแก้เพลงนมัสการให้ผู้อื่น—พวกเขาขาดการรู้จักตนเอง  เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีความรู้ที่แท้จริงจึงไม่ควรแต่งเพลงนมัสการโดยเด็ดขาด  ในแง่หนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น และในอีกแง่หนึ่งนั้น พวกเขาย่อมจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนโง่

การร้องเพลงนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของการสรรเสริญพระเจ้า รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณและการทบทวนตนเอง ซึ่งเปิดโอกาสให้ตนเองได้รับประโยชน์จากการนี้  กุญแจสำคัญที่จะบอกได้ว่าเพลงนมัสการเพลงหนึ่งมีคุณค่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเพลงดังกล่าวเป็นประโยชน์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่  หากเพลงนั้นเป็นเพลงนมัสการจากประสบการณ์ที่ดี ในเพลงนั้นย่อมจะมีคำพูดมากมายที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คน  คำพูดที่เป็นประโยชน์หมายถึงอะไร?  หมายถึงเนื้อเพลงที่เจ้าสามารถนึกถึงได้ทุกครั้งที่เผชิญกับบางสิ่งบางอย่างในประสบการณ์ของเจ้า  คำพูดเหล่านี้สามารถมอบทิศทางและเส้นทางในการปฏิบัติให้แก่เจ้า คำพูดเหล่านี้สามารถให้การช่วยเหลือ ให้แรงบันดาลใจ และให้การชี้นำบางอย่าง หรือสามารถมอบความสว่างแก่เจ้าได้บ้างเพื่อให้เจ้าได้พบตำแหน่งที่เจ้าควรยืน ท่าทีที่เจ้าควรนำมาใช้ จุดยืนที่เจ้าควรยึดถือ ความเชื่อที่เจ้าควรมี และเส้นทางที่เจ้าควรปฏิบัติจากคำพูดซึ่งมาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้  หรือคำพูดเหล่านี้อาจทำให้เจ้าตระหนักถึงแง่มุมบางอย่างในการบิดเบือนของตนเอง รับรู้ถึงแง่มุมบางอย่างในสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง การเผยความเสื่อมทรามของตน หรือความคิดและแนวคิดของตน  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้คน  เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้คน?  เพราะสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง ทั้งยังเป็นประสบการณ์และการตระหนักรู้ของผู้คน  หากในเนื้อเพลงมีสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยแท้ซึ่งสามารถเป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์ชีวิตของเจ้า การช่วยเหลือ การชี้นำ การให้ความรู้แจ้ง หรือการตักเตือนเจ้าให้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้ว คำพูดเหล่านี้ย่อมมีคุณค่าและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ถึงแม้เนื้อเพลงบางส่วนจะดูเรียบง่าย สิ่งเหล่านั้นก็สัมพันธ์กับชีวิตจริง เนื้อเพลงบางส่วนอาจจะแต่งได้ไม่สละสลวยนัก อาจจะไม่คล้ายกับบทกวีหรืองานประพันธ์ และล้วนเป็นภาษาพูดที่จริงใจ แต่หากคำพูดเหล่านั้นแสดงถึงความเข้าใจต่อความจริงและถ่ายทอดประสบการณ์ที่แท้จริงของความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเนื้อเพลงดังกล่าวย่อมเป็นที่เจริญใจต่อเจ้า สัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีคุณค่า  ความลำบากยากเย็นที่ใหญ่หลวงที่สุดที่พวกเจ้าทุกคนมีในตอนนี้คือพวกเจ้าไม่รู้วิธีแยกแยะ พวกเจ้าไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเนื้อเพลงนั้นเป็นคำพูดว่างเปล่า หรือเป็นคำพูดและคำสอน  ไม่ว่าเนื้อเพลงเป็นเช่นไรพวกเจ้าก็ยอมรับได้ พวกเจ้าไม่ไตร่ตรองว่าเนื้อเพลงนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ มีความสว่างของความจริงหรือไม่ มีประโยชน์ต่อผู้คนหรือเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าบ้างหรือไม่—ในใจเจ้าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เลย  และหลังจากที่ร้องเพลงนมัสการทั้งหลายไปแล้ว พวกเจ้ายังคงคิดว่าเพลงเหล่านั้นช่างไพเราะและงดงามทีเดียว แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าเพลงเหล่านั้นได้ส่งผลอย่างไรต่อเจ้าบ้าง  นี่คือคนที่ขาดพร่องวิจารณญาณแยกแยะมิใช่หรือ?

มีเพลงนมัสการเพลงหนึ่งชื่อว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” และทุกบรรทัดในเพลงนมัสการนั้นล้วนเป็นการตระหนักรู้ที่มาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง—พวกเจ้าเคยได้ยินเพลงนั้นบ้างหรือไม่?  ยิ่งเนื้อเพลงดีเท่าไร และยิ่งเจริญใจต่อชีวิตของผู้คนมากเท่าไร พวกเจ้าก็จะยิ่งไม่เต็มใจยอมรับเนื้อเพลงเหล่านั้นมากเท่านั้น  พวกเจ้าไม่มองหรือใส่ใจเนื้อเพลงเหล่านั้นเลย พวกเจ้าไม่ได้มองสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ว่าล้ำค่า ไม่รู้วิธีเก็บรักษาสิ่งที่มีคุณค่า—เมื่อพวกเจ้าได้มา พวกเจ้าก็ปล่อยให้สิ่งที่มีคุณค่านี้หลุดมือไป  พวกเจ้าทุกคนช่างน่าอนาถและน่าเวทนาเสียจริง!  เราได้แนะนำเพลงนมัสการเพลงนี้ไปแล้วหลายครั้งในระหว่างการชุมนุม  การร้องเพลงนมัสการเช่นนี้เป็นประจำย่อมส่งผลให้การเข้าสู่ของเจ้าง่ายดายขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตทางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า และต่อการบรรลุการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงของพวกเจ้า  ผลที่ตามมาเหล่านี้ไม่สามารถประเมินวัดได้  นี่คือเพลงนมัสการที่มีคุณค่า ดังนั้นเราจึงแนะนำเพลงนี้ แต่ไม่มีพวกเจ้าคนใดร้องเพลงนี้เลย  พวกเจ้ายังคงไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง และอะไรคือคำพูดและคำสอน ดังนั้นพวกเจ้าจึงจำเป็นต้องร้องเพลงนมัสการเหล่านี้ให้บ่อยขึ้น และสัมผัสถึงเพลงเหล่านี้อย่างแท้จริง  พวกเรามาวิเคราะห์เพลงนี้กันเถิด

บรรทัดแรกของบทเพลงนมัสการนี้กล่าวว่า “เมื่อเลือกที่จะรักพระเจ้าแล้ว ฉันก็จะยอมให้พระองค์ทรงพรากทุกสิ่งไปได้ตามที่ทรงปรารถนา”  ทรงพรากสิ่งใดไปบ้าง?  ทรงพรากสถานะ ครอบครัว ภาพลักษณ์ และแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของคนเรา  องค์ประกอบของการถลุงที่เกิดขึ้นกับโยบมีอะไรบ้าง?  พระเจ้าทรงทำสิ่งใด?  (พระองค์ทรงพรากเอาทรัพย์สมบัติและลูกๆ ของโยบไป)  พระเจ้าทรงพรากทุกสิ่งไปจากเขา และในทันใดนั้นเขาก็หมดสิ้นทุกสิ่ง อีกทั้งทั่วร่างกายก็ปกคลุมไปด้วยฝีร้าย  นั่นเองที่เรียกว่าการพรากเอาไป  ในเชิงรูปธรรม นี่คือการพรากเอาไป และภาพรวมโดยทั่วไปของการกระทำนี้คือ พระเจ้าทรงต้องการทดสอบโยบ นี่คือบททดสอบ และหนึ่งในงานที่เฉพาะเจาะจงของบททดสอบนี้คือการพรากเอาไป  จงดูเนื้อเพลงต่อไปที่กล่าวว่า “แม้จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว”  นั่นเป็นท่าทีของมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  “รู้สึกเศร้าเล็กน้อย”  ในทัศนะของพวกเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงพรากสิ่งทั้งหลายไปจากผู้คน พวกเขาย่อมพบว่านี่เป็นเรื่องยากลำบากใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาพบว่านี่เป็นเรื่องยากลำบาก พวกเขารู้สึกเจ็บปวด เศร้าใจ สิ้นหวัง และท้อแท้ พวกเขาอยากร้องไห้ฟูมฟายและเป็นกบฏ  ในความเสียใจนี้มีรายละเอียดอยู่มากมาย ดังนั้นคำกล่าวนี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงหรือไม่?  (ใช่)  “ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว”  มนุษย์ไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียวอย่างนั้นหรือ?  เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้คนจำเป็นต้องเพียรพยายามที่จะทำเช่นนี้ให้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และนำท่าทีประเภทนี้มาใช้  คำกล่าวเหล่านี้มีการชี้นำที่เป็นบวกต่อผู้คนใช่หรือไม่?  (ใช่)  “ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว”  การไม่พร่ำบ่นเป็นสิ่งที่ผู้คนพึงกระทำ คนเราไม่ควรมีคำพร่ำบ่น  หากผู้คนมีคำพร่ำบ่น พวกเขาก็ควรรู้จักตนเองและไม่พร่ำบ่นถึงพระเจ้า พวกเขาควรนบนอบ—นี่คือท่าทีของมนุษย์ที่นบนอบพระเจ้า  ผู้คนไม่ควรพร่ำบ่น เพราะการพร่ำบ่นเป็นการกบฏต่อพระราชกิจและบททดสอบของพระเจ้าประเภทหนึ่ง และไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง  บรรทัดต่อไปกล่าวว่า “ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน”  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่หากพวกเขาไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจะสามารถเอ่ยคำกล่าวเช่นนี้ได้หรือ?  หากผู้คนไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับในเรื่องนี้ หากพวกเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่เอ่ยคำกล่าวเช่นนั้นออกมา ดังนั้นบรรทัดนี้จึงมาจากประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้คน  วลีที่ว่า “มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน” ดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่ความหมายโดยนัยของวลีนี้คืออะไร?  ความหมายโดยนัยก็คือผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาก็สมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน  ไม่ว่าการนี้นำมาซึ่งความทุกข์มากเพียงไร นี่ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว—ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง  คำพูดเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือการยอมรับด้วยตัวเองโดยสมบูรณ์ถึงการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ในขณะเดียวกันก็ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนโดยไม่ลังเล โดยยอมรับว่าการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าเป็นความรอดสำหรับผู้คน และพระเจ้าควรทรงกระทำในหนทางนี้  นี่เป็นท่าทีของการนบนอบต่อวิธีการทรงพระราชกิจในการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ผู้คนควรมีท่าทีประเภทนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาควรมีท่าทีเช่นนี้โดยแท้  ดังนั้นหลังจากร้องเพลงนมัสการนี้แล้ว เพลงนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้คนใช่หรือไม่?  (ใช่)  เพลงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร?  หากเจ้าไม่ร้องถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ เจ้าจะไม่รู้ว่าควรมีมุมมองแบบไหน เจ้าควรนบนอบอย่างไร หรือควรนำท่าทีประเภทใดมาใช้ในการนบนอบและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าขับร้องเพลงนมัสการและใคร่ครวญเนื้อเพลงเพลงนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ดีมากเพียงใด—เจ้าจะรู้สึกว่าเนื้อเพลงเหล่านี้ถูกต้อง เจ้าจะสามารถกล่าวว่า “อาเมน” ต่อถ้อยคำเหล่านี้ และยอมรับว่าเนื้อเพลงเหล่านี้มาจากประสบการณ์  สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นคำพูดที่สูงส่งใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แต่คำพูดเหล่านี้นำมาซึ่งการชี้นำที่เป็นบวกแก่เจ้า อีกทั้งจัดเตรียมเส้นทางที่เป็นบวกและกระตือรือร้นให้กับเจ้า  เมื่อเจ้าพบว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า คำพูดเหล่านี้จะมอบทัศนคติและเส้นทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องให้กับเจ้า  ก่อนอื่นเจ้าต้องรับรู้ว่าเมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาควรยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ไม่มีอะไรจะต้องพูด จงอย่าโต้แย้งพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่ อันดับแรกก็คือเจ้าต้องนบนอบ  ผู้ใดทำให้เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  ผู้ใดทำให้เจ้าต้านทานพระเจ้า?  เจ้าสมควรได้รับการพิพากษาและการตีสอน  การนบนอบนี้มาจากที่ไหน?  นี่คือเส้นทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ?  นี่คือเส้นทางในการปฏิบัติ  หลังจากขับร้องเนื้อเพลงเหล่านี้แล้วคนเราจะรู้สึกอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากมิใช่หรือ?  เนื้อเพลงทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญยิ่งหรือสูงส่ง เป็นเนื้อเพลงที่ค่อนข้างธรรมดา แต่กลับถ่ายทอดความเป็นจริง และขณะเดียวกันก็มอบเส้นทางในการปฏิบัติให้กับทุกคนที่ร้องเพลงนมัสการเพลงนี้  เนื้อเพลงเหล่านี้อาจไม่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างงดงาม แต่ก็เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง

ดูบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด”  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  คำกล่าวนี้ถูกต้องอย่างไร?  บางคนกล่าวว่า ‘พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง’ นั่นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?  นั่นเป็นคำสอนไม่ใช่หรือ?”  บรรทัดนี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานของบรรทัดต่อไปที่ว่า “ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด”  วลีนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  อารมณ์หรือสภาวะแบบใดที่ทำให้เกิดวลีนี้ขึ้นมา?  (หากผู้คนเชื่อโดยแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาย่อมจะไม่เข้าใจพระเจ้าผิดไป)  ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เจ้าก็ไม่ควรแปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิดไป  แล้วหากเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา เจ้าควรจะทำอย่างไร?  จงรีบวางความตั้งใจของตนเองเอาไว้ก่อนและรีบแสวงหาความจริง  ในแง่ของคำสอน หากเจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้ายังคงแปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิด ความผิดพลาดในเรื่องนี้คืออะไร?  (คือการไม่ยอมรับความจริง)  นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง  ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงควรนบนอบ และไม่แปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดไป  ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—นี่คือทฤษฎีหนึ่งที่เจ้าเข้าใจ—แล้วเหตุใดเมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจึงเข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิดไปเล่า?  นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้ายังไม่ได้ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงอย่างแท้จริง  ดังนั้นแล้ว บรรทัดนี้จึงทำหน้าที่เป็นคำใบ้มิใช่หรือ?  เนื้อเพลงบรรทัดนี้แนะนำเจ้าว่าอย่างไร?  (พวกเราต้องเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเราต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้อย่างแน่วแน่)  เจ้าต้องเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง นี่คือความจริง  ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า จงอย่าถือเอาเจตนาของตนเองเป็นความจริงหรือเป็นวัตถุประสงค์ ในทางกลับกัน เจ้าต้องดูว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร  นอกจากนี้ การที่พระเจ้าทรงต้องการทดสอบเจ้านั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้ายืนยันว่านี่คือความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถแปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดได้หรือ?  สมมุติว่าเจ้าในใจเจ้าไตร่ตรองวลีทั้งหลาย อย่างเช่น “พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษฉันหรือไม่?  หากฉันถูกกล่าวโทษ ฉันจะถูกลงโทษหรือไม่?  พระเจ้าทรงเห็นว่าฉันไม่น่าพอพระทัย และจะทรงทำลายฉันอย่างนั้นหรือ?”  ทั้งหมดนี้คือการเข้าใจผิดมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเข้าใจผิด  ดังนั้นประโยคที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” จึงชี้นำให้พวกเจ้าทุกคนตระหนักอะไรบางสิ่งบางอย่างมิใช่หรือ?  นั่นเป็นการชี้นำว่าเจ้าควรหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดของตน และยอมรับบททดสอบ การพิพากษา และการตีสอนที่พระเจ้าประทานแก่เจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  รากฐานในการยอมรับคืออะไร?  คือการที่เจ้ายอมรับอย่างหนักแน่นว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง พระวจนะเหล่านั้นคือความจริง  ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และคนที่ผิดก็คือพวกเขา  ผู้คนไม่สามารถใช้เจตนาของตนเองมาคาดเดาเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงผิด  ดังนั้นเมื่อผู้คนยอมรับแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงผิด พวกเขาก็ควรยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ

เนื้อเพลงต่อมากล่าวว่า “ในการทบทวนตนเอง ฉันมักจะพบราคีอยู่มากเกินไป”  ราคีที่ว่านี้จะถูกระบุผ่านการทบทวนตนเองได้อย่างไร?  (เมื่อผู้คนเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาออกมา)  ราคีจะถูกระบุได้เมื่อผู้คนเผยความเสื่อมทรามของตนออกมา นั่นเป็นด้านหนึ่ง  เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบผู้คน เมื่อรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้ผู้คนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ พวกเขาก็มักจะสงสัยว่า “พระเจ้าไม่ทรงรักฉันแล้วหรือ?  พระเจ้าทรงชอบธรรมไม่ใช่หรือ?  การที่พระองค์ทรงทำแบบนี้ไม่ชอบธรรม—การกระทำของพระองค์ไม่สอดคล้องกับความจริง และพระองค์ก็ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของผู้คนเลย”  ผู้คนมักวางอุบายต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอจนทำให้เกิดอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิด แนวคิด มุมมอง รวมถึงความระแวงสงสัยทุกประเภทต่อพระองค์  สิ่งเหล่านี้คือราคีมิใช่หรือ?  (ใช่)  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ความเสื่อมทรามของผู้คนเช่นกัน  ในบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า “หากฉันไม่เพียรพยายามอย่างสุดกำลัง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะถูกทำให้เพียบพร้อม” คำพูดเหล่านี้คือความคิดที่ผู้แต่งเพลงนมัสการตระหนักผ่านการทบทวน  เจ้าไม่ทบทวนราคีของตัวเจ้าเอง อีกทั้งเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำยอมรับว่าพระองค์คือความจริงอยู่เสมอ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้ากลับยืนกรานที่จะยึดติดอยู่กับแนวคิดของตัวเจ้าเอง กบฏต่อพระเจ้า พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจพระองค์ผิด อีกทั้งไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์  หากเจ้าไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้เสีย ย่อมยากมากที่เจ้าจะได้รับการทำให้เพียบพร้อม นั่นคือ เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม และเจ้าจะหมดหวัง เพราะเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้  ในทัศนะของเจ้า เนื้อเพลงเหล่านี้ไม่มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เลยหรือ?  (มี)  แต่ละบรรทัดของเพลงนมัสการเพลงนี้ประกอบด้วยการใช้ถ้อยคำและคำอธิบายถึงสภาวะจริงที่เกิดขึ้นในยามที่ผู้คนมีประสบการณ์กับสถานการณ์ต่างๆ อย่างแท้จริง

พวกเรามาดูบรรทัดต่อไปที่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ” กันเถิด  ในที่นี้ ความยากลำบากนั้นเชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าและความมีเกียรติ  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงมิใช่หรือ?  นี่คือความเชื่อและท่าทีที่แท้จริงแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากการกระทำและประสบการณ์ของคนเรามิใช่หรือ?  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดขึ้นท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึก สภาพแวดล้อม และเหตุการณ์  เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีเช่นนี้?  ผู้คนสู้ทนความยากลำบากมากมาย และความยากลำบากเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความซื่อตรงและศักดิ์ศรี พรากสถานะและผลประโยชน์ไปจากพวกเขา ทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสท่ามกลางความยากลำบากอื่นๆ  แต่เมื่อสู้ทนมาถึงเพียงนี้ก็ทำให้พวกเขาเกิดความรู้และความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้คือการชื่นชมความรักของพระเจ้า ความอนุเคราะห์เป็นพิเศษจากพระเจ้า และรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ประทานช่วงเวลายากลำบากให้แก่พวกเขา  พวกเขาคิดว่านี่คือเกียรติ และนี่คือการที่พระเจ้าทรงรักพวกเขา ด้วยเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ทรงพรากเอาไปและทรงทดสอบพวกเขา อีกทั้งทรงพิพากษาและทรงตีสอนพวกเขาเช่นนั้น  นี่คือสภาวะจิตใจที่แท้จริงอันเป็นบวกที่ผู้คนพึงจะมี ซึ่งพัฒนาจากบริบทในชีวิตจริง  คนประเภทใดจึงจะกล่าวว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ”?  ย่อมไม่ใช่คนประเภทที่แต่งเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” มิใช่หรือ?  พวกเขากล่าวได้แต่เพียงคำพูดที่เลอะเลือน ว่างเปล่า วลีที่ฟังดูสูงส่ง และคำขวัญ  พวกเขาจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ”?  พวกเขาจะสามารถเอ่ยคำพูดเหล่านั้นจากก้นบึ้งของหัวใจได้หรือไม่?  ไม่ได้  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดคือคำพูดที่ว่างเปล่า คำพูดที่เกินจริง และคำพูดที่ผู้คนเต็มใจที่จะฟัง แล้วในที่สุด พวกเขาก็นำคำพูดเหล่านั้นมารวมกันเป็นเพลงนมัสการ และคิดว่าพวกเขามีความสามารถและหลักแหลมมากทีเดียว  ในทัศนะของเรา เนื้อเพลงเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่คำเดียว  ทุกคำล้วนไร้สาระ ควรถูกกำจัดทิ้งเสีย และไม่มีผู้ใดควรได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงนมัสการเช่นนั้นอีกในภายหน้า  หากพวกเจ้าต้องการร้องเพลงนมัสการ พวกเจ้าก็ควรร้องเพลงนมัสการอย่าง “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” ซึ่งประกอบด้วยคำพูดที่จริงใจและถ่องแท้—คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่เจริญใจสำหรับผู้คน

บรรทัดสุดท้ายของวรรคแรกกล่าวว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ” ซึ่งหมายความว่า สิ่งที่สอนให้ผู้คนนบนอบก็คือความยากลำบาก  จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า”  บรรทัดนี้สัมพันธ์กับสาระสำคัญของเพลงอย่างแท้จริง  นี่คือความเข้าใจและประสบการณ์สุดท้ายที่ได้จากการก้าวผ่านทั้งหมดนี้ กล่าวคือ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการช่วยผู้คนให้รอด  สิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจก็คือ พระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นดีที่สุด และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา สิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่สร้างปัญหาหรือความรำคาญใจต่อผู้คน แต่เป็นการชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้แต่งเพลงนมัสการสามารถกล่าวจากก้นบึ้งของหัวใจได้ว่า ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า  นี่เป็นภาษาของความเป็นมนุษย์  หากไม่มีประสบการณ์และความเข้าใจในระดับหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์และความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้า หนทางที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด รวมถึงรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ในระดับหนึ่ง จะมีใครสามารถเอ่ยคำพูดอย่าง “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” ได้หรือไม่?  พวกเขากล่าวไม่ได้อย่างแน่นอน  จงดูที่วลีที่ว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ” กันอีกครั้ง บรรทัดนี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่หรือไม่?  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนได้รับหรือเก็บเกี่ยวหลังจากเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วความยากลำบากคืออะไร?  ความยากลำบากหมายถึงการมีอาหารไม่พอกิน การมีเสื้อผ้าไม่พอนุ่งห่ม หรือการมีประสบการณ์กับความยากลำบากในการถูกจองจำใช่หรือไม่?  ความยากลำบากไม่ได้หมายถึงความทุกข์ทางกายในหนทางเหล่านี้ แต่หมายถึงการต่อสู้ที่ผู้คนมีประสบการณ์ในหัวใจของตนเกี่ยวกับความจริง พระราชกิจของพระเจ้า ความรอดของพระเจ้า และการทุ่มเทเอาพระทัยใส่ของพระเจ้า  หลังจากมีประสบการณ์กับการนี้แล้ว ผู้คนย่อมรู้สึกในหัวใจว่าพวกเขาทนทุกข์มามากมายในแง่ของความหวัง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รู้ว่าพวกเขาควรนบนอบพระเจ้า เรียนรู้วิธีนบนอบพระเจ้า และได้รับประสบการณ์อันลึกซึ้งจากสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะกล่าวได้ว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า”  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอ่ยประโยคนี้ได้  เราชอบเพลงนมัสการเพลงนี้ เราชอบเพลงนมัสการประเภทนี้  หากพวกเจ้าร้องเพลงนมัสการนี้บ่อยๆ เพลงนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน  ทุกบรรทัดในเพลงนี้มีผลในการยับยั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเผยออกมาในชีวิตประจำวัน โดยจะเป็นทั้งการชี้นำและความช่วยเหลือในเรื่องประสบการณ์อันสัมพันธ์กับชีวิตจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพวกเจ้า  จะดีเพียงใดหากพวกเจ้าอ่านเนื้อเพลงเหล่านี้ให้บ่อยขึ้นในยามว่าง!  

ในบทเพลงนมัสการนี้ มีบรรทัดใดไม่เอ่ยถึงสภาวะหรือบริบทบางอย่างหรือไม่? มีบรรทัดใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่บางแง่มุมของความจริงหรือไม่?  ไม่มีเลย—ไม่มีบรรทัดใดที่เขียนด้วยคำพูดที่ว่างเปล่า  จงดูสองสามบรรทัดสุดท้ายที่กล่าวว่า “ถึงแม้ฉันเลือกที่จะรักพระเจ้า ความรักของฉันก็ปลอมปนด้วยแนวคิดของตัวฉันเอง”  การเลือกที่จะรักพระเจ้าเป็นคำกล่าวกว้างๆ โดยทั่วไปในเชิงทฤษฎี  โดยแท้จริงแล้วนี่หมายถึงการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า การทำหน้าที่ของตน และการสละชีวิตของตนเพื่อพระเจ้า ซึ่งสรุปอยู่ในวลีที่ว่า “เลือกที่จะรักพระเจ้า”  ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขายังคงปลอมปนไปด้วยแนวคิดของตนเอง หากไม่รู้จักตนเองและไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความจริงเลย ใครเล่าจะเอ่ยวลีเช่นนั้นได้?  พวกเจ้าไม่สามารถเอ่ยออกมาได้อย่างแน่นอนเพราะพวกเจ้าขาดประสบการณ์นั้น  จงดูเนื้อเพลงต่อไปที่ว่า “ฉันต้องเพียรพยายามที่จะบรรลุวิญญาณเช่นเดียวกับเปโตร”—ผู้แต่งเพลงนมัสการมีเป้าหมายที่จะเป็นอย่างเปโตร  พวกเจ้าเองก็มีการตั้งเกณฑ์มาตฐานและเป้าหมายเอาไว้ด้วย พวกเจ้าต่างก็อยากเป็นอย่างเปโตรเช่นเดียวกัน—แล้วเส้นทางของพวกเจ้าคืออะไร?  เจ้าก็ต้องเพียรพยายามเช่นกัน แต่เจ้าสามารถเอ่ยวลีที่ว่า “ความรักของฉันก็ปลอมปนด้วยแนวคิดของตัวฉันเอง” ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าการที่ความรักของเจ้าปลอมปนด้วยแนวคิดของเจ้าเองหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะบรรลุวิญญาณเช่นเดียวกับเปโตรได้อย่างไร?  วลีนี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่  บรรทัดต่อไป ที่ว่า “ไม่ว่าพระเจ้าทรงได้รับความรักของฉันอย่างไร ฉันก็มีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือการทำให้พระองค์พอพระทัย” ยิ่งดีขึ้นไปอีก  นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงเรียกร้องจากตนเองหลังจากมีประสบการณ์กับความยากลำบากและบททดสอบแล้ว นี่เป็นท่าทีของการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นท่าทีของการนบนอบพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือ การสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ถือเป็นการสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ไม่ว่าเป็นการสัมฤทธิ์ได้ในระดับใดก็ตาม  ในคำพูดเหล่านี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่  เมื่อได้อ่านคำพูดเหล่านี้แล้ว เจ้ารู้สึกได้รับการหนุนใจและมีแรงจูงใจใช่หรือไม่?  (ใช่)  คำพูดเหล่านี้มอบเป้าหมาย แรงผลักดัน และทิศทางให้ผู้คนหลังจากที่ได้อ่าน  บางครั้งผู้คนรู้สึกว่า ไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ดีได้ และพวกเขาก็ร่วงลงสู่การคิดลบ  แต่เมื่อพวกเขาได้อ่านคำพูดเหล่านี้และเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงเรียกร้องอะไรมากมายจากผู้คน พวกเขาก็คิดว่า “ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือทำให้พระเจ้าพอพระทัย  ฉันไม่ขออะไรอีกแล้ว ฉันแสวงหาเพียงการปล่อยมือจากความอยากและความชอบส่วนตนทางเนื้อหนังกับการทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น—แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”  ในที่สุด ทั้งหมดก็สรุปเป็นคำพูดที่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ  ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ  ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า”  คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากทีเดียว

สรุปโดยรวมก็คือ เพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” นั้นกล่าวถึงประสบการณ์ที่แท้จริง  หลังจากมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การตีสอน การพิพากษา และบททดสอบของพระองค์ ผู้คนย่อมเรียนรู้ที่จะนบนอบ มาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้ว่าไม่มีหัวใจของใครดีไปกว่าพระทัยของพระองค์  นี่คือแง่มุมที่น่ารักของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้คนควรมีความรู้อีกด้วย  หากพวกเจ้าแต่งทำนองจากเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ รวมถึงร้องเพลงเหล่านี้ให้บ่อยครั้ง เนื้อเพลงเหล่านี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างมาก  ในแง่หนึ่ง การร้องเพลงนมัสการจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้ดีขึ้นและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วขึ้น ส่วนอีกแง่หนึ่งนั้น การร้องเพลงนมัสการจากประสบการณ์ซึ่งแต่งโดยผู้มีความเป็นจริงเหล่านี้ ย่อมจะทำให้ประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเจ้าก้าวหน้าไปเร็วขึ้น  สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจเชิงลึกและเป็นความเข้าใจที่เขียนโดยผู้ที่มีประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว และในนี้ยังมีเส้นทางและทิศทางของการเข้าสู่ที่ผู้คนพึงมีอีกด้วย  เพลงนมัสการเหล่านี้เป็นสิ่งสำเร็จรูปสำหรับพวกเจ้า และจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อพวกเจ้า  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่แต่งทำนองประกอบเนื้อเพลงจากประสบการณ์เหล่านั้นเล่า?  เหตุใดพวกเจ้าจึงเฝ้าแต่งทำนองให้กับเนื้อร้องที่ว่างเปล่า ดาษดื่น และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เสมอ?  พวกเจ้าช่างไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเอาเสียเลย พวกเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้บทเพลงนมัสการนั้นดีงาม—พวกเจ้าช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน!  เพลงนมัสการจากประสบการณ์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้คนอย่างมาก การขับร้องคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้เป็นประจำย่อมประทับคำพูดเหล่านั้นลงไปในหัวใจของคนเรา รวมถึงช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างมีนัยสำคัญ  หากพวกเจ้าติดอยู่ในช่วงเวลาแห่งยุคพระคุณตลอดไป—สรรเสริญพระคุณของพระเจ้า ความรัก พระพร รวมถึงความเมตตาและความกรุณาของพระองค์—พวกเจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือ?  สภาวะและวุฒิภาวะของพวกเจ้ายังคงเล็กน้อยอย่างน่าเวทนา ติดอยู่ในระดับผิวเผินอยู่เสมอ หากไม่มีเพลงนมัสการที่ดีมาชี้นำ การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วยตนเองย่อมเป็นเรื่องที่ใช้ความบากบั่นมากเกินไป  จงดูเพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” และอ่านอธิษฐานเพลงนี้เมื่อเจ้ามีเวลาว่าง  เพลงนี้มีเส้นทางที่จะชี้นำเจ้าและช่วยเหลือเจ้าในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เพลงนี้สามารถมอบทิศทางที่ถูกต้องแก่เจ้าเพื่อให้เจ้ามีมุมมองที่ถูกต้อง  มุมมองที่ถูกต้องบางอย่างมีอะไรบ้าง?  “ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน”  นี่เป็นมุมมองที่ถูกต้องและบริสุทธิ์ที่ผู้คนควรมีมิใช่หรือ?  นอกจากนี้แล้ว คำพูดที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” ถูกต้องหรือไม่?  (คำพูดเหล่านี้ถูกต้อง)  จริงๆ แล้วเจ้าต้องยอมรับคำพูดเหล่านี้ เจ้าต้องมีส่วนร่วมและมีประสบการณ์กับคำพูดเหล่านี้ และเมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า ก็จะมีเส้นทางให้เจ้าก้าวเดิน คำพูดเหล่านี้จะกลายเป็นทิศทางสำหรับการปฏิบัติตนและการวางตัวของเจ้า  แล้วยังมีเนื้อเพลงที่ว่า “หากฉันเพียรพยายามอย่างสุดกำลัง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะถูกทำให้เพียบพร้อม”  ประโยคนี้ก็แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ถูกต้องเช่นกัน  แล้วประโยคที่ว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ  ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” เล่า?  นี่คือมุมมองที่คนเราควรมีใช่หรือไม่?  (ใช่)  จงดูให้ดี ในที่นี้ไม่มีสักประโยคเดียวที่เป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่าหรือเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ทุกประโยคล้วนพูดถึงความเข้าใจและความเข้าใจเชิงลึกที่เกิดจากประสบการณ์อันแท้จริง  เมื่อเทียบกับเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคิดว่าเพลงใดสัมพันธ์กับชีวิตจริง?  สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงควรเก็บรักษาเอาไว้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ว่างเปล่าก็ควรถูกกำจัดและทิ้งไปเสีย ไม่ควรได้รับการสนับสนุน  บางคนกล่าวว่า “ฉันเริ่มชินกับการร้องเพลงนมัสการพวกนั้นแล้ว เพลงเหล่านั้นได้เข้ามาสู่หัวใจของฉัน และฉันก็อยู่ไม่ได้หากไม่มีเพลงพวกนั้น”  หากไม่มีเพลงเหล่านั้นแล้วเจ้าอยู่ไม่ได้ เช่นนั้นก็จงร้องต่อไปเถิด  เราจะดูว่าหลังจากเจ้าร้องเพลงพวกนั้นนานสักยี่สิบปีเจ้าจะได้รับอะไรบ้าง เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  หากเจ้าร้องเพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” สักหนึ่งหรือสองหน เพลงนี้จะจับใจเจ้า  หากเจ้าร้องเพลงนี้สักหนึ่งหรือสองเดือน สภาวะของเจ้าย่อมจะฟื้นคืนมาในระดับหนึ่ง และหากเจ้ายอมรับคำพูดในเนื้อเพลงได้อย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจ สภาวะภายในของเจ้าก็จะต่างออกไป และเจ้าจะฟื้นสภาวะนั้นกลับคืนมาได้โดยสมบูรณ์  เจ้าสามารถร้องเพลงนมัสการจากทฤษฎีที่ว่างเปล่าและไร้สาระเหล่านั้นได้ชั่วชีวิต แต่การนั้นจะไม่มีประโยชน์  เช่นเดียวกับผู้คนในยุคพระคุณที่ร้องเพลงนมัสการอันตื้นเขินและว่างเปล่า และพวกเขาร้องเพลงนมัสการตลอดทั้งชีวิตแต่ก็ไม่ได้รับความจริงเลย—นี่เป็นเพียงการเสียเวลาเปล่าเท่านั้นเอง

12 มกราคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: เฉพาะบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

ถัดไป: พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger