การสามัคคีธรรมถึงเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก”
(สามัคคีธรรมกับกลุ่มเพลงนมัสการ)
ในบรรดาเพลงนมัสการเกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรที่เราได้ยินพวกเจ้าขับร้องกันนั้น แทบไม่มีเพลงใดที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย ประสบการณ์ในเพลงนมัสการส่วนใหญ่นั้นตื้นเขินเกินไป การร้องเพลงเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากนัก เพลงนมัสการบางเพลงประกอบด้วยทฤษฎีที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไม่มีความเป็นจริงอยู่แม้แต่น้อย จงดูเพลง “เพื่อความรัก” “พระเจ้าทรงรักพวกเราอย่างลึกซึ้งที่สุด” และ “ความรักนิรันดร์” เป็นตัวอย่าง เพลงนมัสการเหล่านี้ล้วนว่างเปล่า เป็นเชิงทฤษฎี และประกอบด้วยคำพูดที่ไม่มีสาระสำคัญ เพลงเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเนื้อร้องของเพลงนมัสการสามเพลงนี้? ทุกเพลงล้วนไร้สาระ ทั้งหมดเป็นคำพูดที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน เพลงเหล่านี้ไม่มีคำพูดที่มาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่อย่างใด หากคนเรายังไม่สามารถเขียนเพลงนมัสการที่เกี่ยวกับประสบการณ์ได้ แต่พวกเขายังคงต้องการเขียนเพลงนมัสการเพื่อสรรเสริญพระเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่เกินตัวไปมิใช่หรือ? เป็นไปได้หรือที่บุคคลธรรมดาจะสามารถเป็นพยานให้สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น รวมทั้งเป็นพยานให้แก่นแท้ของพระองค์? มีกี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้? หากเจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้า แต่กลับเขียนมโนคติอันหลงผิดและความคิดทั้งหมดนี้ลงบนกระดาษ นั่นจะสอดคล้องกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือ? การนี้จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้าหรือ? การพรั่งพรูมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ออกมาเป็นการสรรเสริญพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? หากเจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย เพลงนมัสการที่เจ้าเขียนเพื่อสรรเสริญพระองค์ย่อมจะไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ในทางกลับกัน เจ้าควรเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่แท้จริง ความรู้ที่แท้จริง และความเข้าใจส่วนตัวของตนเอง พูดถึงสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรมอย่างถ่อมตัว หลีกเลี่ยงการคุยโวและกล่าวเกินจริง เจ้าเขียนคำพูดหรือหัวข้อเหล่านี้ อย่างเช่น แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ความรักของพระองค์ พระเกียรติของพระองค์ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ความเป็นองค์สูงสุดของพระองค์ และความทรงเอกลักษณ์ของพระองค์—แล้วเจ้าจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้จริงๆ หรือไม่? เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่? หากเจ้าไม่เข้าใจ แต่ยังคงยืนกรานที่จะเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังหลับหูหลับตาเขียน โอ้อวดและอวดตัวเอง นี่ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกสับสนเมื่อพวกเขาขับร้องตาม พลางอวดตนตามเจ้าในขณะที่ขับร้องถ้อยคำที่ว่างเปล่าเช่นนั้น และเมื่อร้องจบลง ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใดเลย ผลที่ตามมาของการนี้คืออะไร? นี่คือการเล่นกับความรู้สึกของผู้คนและทำให้พวกเขาเสียเวลามิใช่หรือ? นี่คือการหลอกและลวงพระเจ้ามิใช่หรือ? เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือ?
มาดูกันว่าเนื้อร้องของเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” เป็นอย่างไร? “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” ในประโยคนั้นมีสิ่งใดถูกต้องบ้างหรือไม่? มีสิ่งใดสอดคล้องกับความจริงบ้างหรือไม่? เพราะความรัก พระเจ้าจึงทรงสร้างอาดัมและเอวาขึ้นมา มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? (มิได้เป็นเช่นนั้น) แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา? (นั่นเป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า) นี่คือความปรารถนาของพระเจ้าที่จะทรงดำเนินการแผนการบริหารจัดการ—นั่นคือแผนการบริหารจัดการหกพันปี—ผ่านมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ว่าครรลองของแผนการบริหารจัดการหกพันปีนี้เป็นอย่างไร ท้ายที่สุดพระเจ้าจะทรงรับกลุ่มคนที่สามารถนบนอบพระองค์และเป็นพยานให้พระองค์ ผู้ที่สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงและเป็นผู้ปกครองสรรพสิ่งอย่างแท้จริงเอาไว้ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการก่อน แล้วจึงทรงสร้างโลกและมวลมนุษย์ขึ้นมานั้นมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความรักหรือไม่? นี่เป็นหนึ่งในพระดำริของพระเจ้า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระองค์ นี่ก็เหมือนการที่ผู้คนมีความตั้งใจและแผนการ ตัวอย่างเช่น คนเราอาจวางแผนที่จะกลายเป็นผู้จัดการภายในเวลาสิบปีและมีรายได้หนึ่งแสนหยวน หรือวางแผนที่จะมีวุฒิการศึกษาบางอย่าง หรือมีชีวิตครอบครัวในแบบที่ต้องการภายในเวลาสิบปี—สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรักหรือไม่? ไม่เกี่ยวข้อง ในชีวิตประจำวัน ผู้คนมีเพียงแผนการที่เป็นขั้นเป็นตอน มีแบบแผน มีเป้าหมาย และมีอุดมคติ ทว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและจักรวาลนี้ พระองค์ทรงมีแผนการบนแผ่นดินโลก และแผนการนั้นก็เริ่มต้นที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง และทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จากนั้น พระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาสองคน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมิใช่หรือ? ความรักเกี่ยวข้องกับการที่พระเจ้าทรงสร้างแผนการดังกล่าวขึ้นมาอย่างไร? ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วในทัศนะของพวกเจ้า คำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” นั้นถูกต้องหรือไม่? พระเจ้าจะทรงรักมวลมนุษย์ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาได้อย่างไร? ความรักเช่นนั้นย่อมจะว่างเปล่ามิใช่หรือ? เจ้านิยามการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้าว่าเป็นการกระทำด้วยความรักของพระเจ้า—นั่นเป็นการให้ร้ายพระเจ้ามิใช่หรือ? นั่นเป็นการหมิ่นประมาทมิใช่หรือ? นี่มิใช่เรื่องของความคิดเห็นส่วนตัวจนเกินไปหรอกหรือ? ความคิดเห็นส่วนตัวนี้มีลักษณะอย่างไร? นี่คือการไร้ซึ่งเหตุผลใช่หรือไม่? (ใช่) พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปีและความล้ำลึกของพระราชกิจสามระยะของพระองค์ เจ้าคิดว่าเจ้าพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย คิดว่าเจ้ามีความเข้าใจอย่างผิวเผินเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเพียงความเข้าใจตามตัวอักษรเท่านั้น ทว่าเจ้าก็ยังกล้านิยามสิ่งต่างๆ แบบนั้น เอ่ยอ้างว่าพระเจ้าทรงทำบางสิ่ง ทรงดำเนินพระราชกิจบางอย่าง หรือทรงมีแผนการบางอย่างเพราะความรัก นั่นเป็นเรื่องที่โง่เขลาและไร้เหตุผลสิ้นดีมิใช่หรือ? เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” มีสิ่งที่ถูกต้องอยู่บ้างหรือไม่? (ไม่มี คำกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง) ขอให้พวกเราวางเรื่องที่ว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่เอาไว้ก่อน แล้วมาดูแทนว่าคำกล่าวนี้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงหรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าคำกล่าวนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่? (คำกล่าวนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง) นี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันมิใช่หรือ? การที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับความรักเลย ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” จึงไร้มูลเหตุ นี่เป็นเพียงสิ่งที่กุขึ้นมาจากความคิดฝันของมนุษย์เท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ไร้สาระ เจ้าตีกรอบพระเจ้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทและไม่เคารพพระองค์ และเจ้าก็กำลังประเมินพระองค์ด้วยทัศนคติของมนุษย์ ด้วยความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ไร้ยางอาย และเป็นความผิดพลาดมหันต์ ด้วยเหตุนั้น วลีที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์” จึงเป็นเพียงคำพูดเหลวไหลไร้สาระเท่านั้นเอง
เนื้อเพลงในส่วนต่อมากล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ อีกทั้งทรงใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” คนที่แต่งเพลงนมัสการเพลงนี้กำลังกล่าวว่านี่ก็เป็นเพราะความรักเช่นกัน ดังนั้นแล้ว หากการกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์เพราะความรักนั้นไม่ถูกต้อง การกล่าวว่าเพราะความรัก พระเจ้าจึงทรงใส่พระทัยและเฝ้าดูแลมวลมนุษย์มาเสมอนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? การ “ใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูพวกเขามาเสมอ” เป็นพฤติกรรมประเภทใด? อะไรคือแก่นแท้ของพฤติกรรมนี้? นี่เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบใช่หรือไม่? (ใช่) พระเจ้าจะทรงสามารถรักมนุษย์ที่เพิ่งทรงสร้างซึ่งยังไม่เข้าใจอะไรเลย พูดไม่ได้ ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ และสามารถถูกงูทดลองได้หรือไม่? แล้วในเรื่องของวิธีประทานความรัก วิธีเผยความรัก วิธีสำแดงความรัก และวิธีแสดงความรักเล่า—มีรายละเอียดอันจำเพาะเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่หรือไม่? ไม่มี นี่คือความรับผิดชอบ ความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งมีบทบาทในการนี้คือความรับผิดชอบของพระเจ้า การเป็นมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างทำให้พระองค์ต้องทรงเฝ้าดูแลพวกเขา ใส่พระทัยและคุ้มครองพวกเขา รวมถึงทรงนำพวกเขาด้วย นี่คือความรับผิดชอบของพระเจ้า การที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความรัก หากเจ้าอธิบายว่านี่เป็นเพราะความรักของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจพระเจ้าผิดอย่างร้ายแรง การเข้าใจพระองค์ในหนทางนี้ย่อมไม่ถูกต้อง มนุษย์ที่เพิ่งได้รับการทรงสร้างสองคนนั้นรู้อะไรบ้าง? นอกจากมีลมหายใจที่พระเจ้าประทานให้แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครหรือพระองค์ทรงเป็นอย่างไร และพวกเขาไม่รู้ว่าจะเอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์อย่างไร—พวกเขาไม่รู้กระทั่งว่าการที่พวกเขาตีตัวออกห่างจากพระเจ้าและซ่อนตัวจากพระองค์นั้นเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง พระเจ้าจะทรงรักมวลมนุษย์ที่ปฏิเสธและต้านทานพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไร? พระองค์จะทรงรักพวกเขาได้หรือ? โดยแก่นแท้แล้ว พระเจ้าใส่พระทัยและทรงเฝ้าดูมวลมนุษย์ และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำสามารถแสดงถึงหนึ่งในความรับผิดชอบของพระองค์เท่านั้น เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการและความปรารถนาในพระทัย พระองค์จึงต้องทรงเฝ้าดูและทรงคุ้มครองมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง หากเจ้าพูดโพล่งออกมาอย่างแข็งกร้าวโดยไม่คิดว่าการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองและใส่พระทัยมวลมนุษย์เป็นเพราะความรัก เช่นนั้น แท้จริงแล้วความรักนั้นต้องมีเนื้อหาสาระมากมายเพียงใด? ผู้คนควรค่าแก่การที่พระเจ้าจะทรงรักพวกเขาเช่นนี้จริงหรือ? อย่างน้อยที่สุด ในหัวใจผู้คนต้องมีความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้าและไว้วางใจพระองค์อย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงรักพวกเขา หากผู้คนไม่รักพระเจ้าแต่กลับต้านทานพระองค์ ทรยศพระองค์ และถึงกับตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขาจะควรค่าแก่ความรักของพระเจ้าหรือไม่? ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนตั้งอยู่บนพื้นฐานใด? ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ผู้คนก็มักกล่าวอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา นี่คือจินตนาการของพวกเขา นี่คือความคิดเพ้อฝัน
ต่อไปคือเนื้อร้องที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเพื่อนำชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก” ท่อนนี้สรุปความสิ่งทั้งหลายได้อย่างครอบคลุมทีเดียว นับตั้งแต่การสร้างโลกมาจนถึงยุคธรรมบัญญัติ ล่วงเลยมาจนถึงยุคพระคุณ ในยามที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ เนื้อเพลงสองบรรทัดนี้ได้สรุปใจความสำคัญของพระราชกิจสองระยะของพระเจ้าเอาไว้ น่าเสียดายที่การนิยามเพลงนมัสการนี้ด้วยสองคำแรกที่ว่า “เพื่อความรัก” รวมถึงการใช้คำเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ทิศทางในการกำหนดลักษณะของเพลงนี้ถือเป็นความผิดพลาด หลังจากพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว ไม่ว่าเป็นการประกาศธรรมบัญญัติเพื่อทรงนำมวลมนุษย์หรือการไถ่มวลมนุษย์ ก็ล้วนทำไปตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ความปรารถนาของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จทั้งสิ้น มิใช่เพราะความรักเพียงอย่างเดียว บางคนกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็กำลังตรัสว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีความรักเป็นองค์ประกอบเลยอย่างนั้นหรือ?” คำกล่าวนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่) พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของความรัก แต่หากเจ้ากล่าวว่าแก่นแท้ของการทรงพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าคือความรัก เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ นี่คือการให้ร้ายและหมิ่นประมาท แล้วเหตุผลหลักที่พระเจ้าทรงพระราชกิจสามระยะของพระองค์คืออะไร? นี่เป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ความปรารถนาของพระเจ้า และเพราะสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะทำให้สำเร็จลุล่วง ต้นตออยู่ในสิ่งเหล่านี้ มิใช่อยู่แค่ในความรัก แน่นอนว่าระหว่างพระราชกิจทั้งสามระยะของพระองค์นั้น แก่นพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นย่อมมีความรักอยู่ สิ่งใดคือการสำแดงที่เป็นรูปธรรมของคำว่า “ความรัก”? สิ่งนั้นคือความอดทนและความอดกลั้นใช่หรือไม่? แล้วความกรุณาเล่า? หรือคือการประทานพระคุณและพรแก่ผู้คน? สิ่งนั้นคือการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำมิใช่หรือ? คือการพิพากษาและการตีสอนมิใช่หรือ? ทั้งหมดนี้คือการสำแดงอันเป็นรูปธรรมของคำว่าความรัก การตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การเปิดโปงและการชำแหละ การทดสอบและการถลุง และอื่นๆ ล้วนเป็นความรักทั้งสิ้น—ความรักนี้ครอบคลุมอย่างเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม หากผู้คนตีกรอบพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าว่าทรงทำไปเพราะความรัก โดยเน้นย้ำแค่เพียงความรักเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นการมองเพียงด้านเดียวมากเกินไป นี่คือการตีกรอบพระเจ้า เมื่อผู้คนได้ยินเนื้อเพลงเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะคิดว่า “พระเจ้าคือความรัก มิทรงเป็นอื่น” พวกเขาจะเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้น ไม่เพียงแต่เพลงนมัสการนี้จะไม่นำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยแท้จริงเท่านั้น แต่ในทางกลับกันเพลงนี้ย่อมจะทำให้ผู้คนเข้าใจพระองค์ผิด หากพวกเขาเฝ้าแต่ร้องว่า “เพราะความรัก เพราะความรัก” สภาวะประเภทใดที่จะเกิดขึ้นในตัวพวกเขา? การร้องเช่นนั้นจะก่อให้เกิดความรู้สึกประเภทใดขึ้นมา? สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นการเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้ากันเล่า? หากคนเราไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ แต่ยังคงพูดและขับร้องในหนทางนี้ต่อไป เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นความคิดเพ้อฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อผู้คนตกลงสู่สภาวะของความคิดเพ้อฝัน ไร้ความมีเหตุผล และดูแคลนตนเอง นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ในหัวใจของผู้คนเช่นนั้นจะสามารถสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เพลงนมัสการเพลงนี้ไม่ได้สรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้แต่นำผู้คนให้หลงทางเท่านั้น
พวกเรามาดูท่อนต่อไปซึ่งเป็นท่อนสร้อยกันเถิด วิธีการนำ “คำสรรเสริญ” ไปสู่จุดสูงสุดนั้นทำให้ท่อนสร้อยน่าสะอิดสะเอียนยิ่งขึ้น บรรทัดที่ว่า “โอ้ พระเจ้า! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์คือความรัก” ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ไม่ถูกต้องในหนทางใด? (นั่นเป็นการจำกัดพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า) จำกัดไว้ว่าอย่างไร? (จำกัดว่าสิ่งเหล่านั้นทำไปเพราะความรักเท่านั้น) ถ้อยดำรัสและพระวจนะของพระเจ้าล้วนเผยให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระองค์ ความรักเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของภาวะอารมณ์—เป็นความรู้สึกประเภทหนึ่งเท่านั้น—นี่มิใช่แก่นแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า การอธิบายว่าความรักคือแก่นแท้ของพระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่? นั่นจะทำให้มองพระเจ้าเป็นอย่างไร? การทำเช่นนั้นจะทำให้พระเจ้าทรงกลายเป็นผู้ใจบุญที่ถูกเอาเปรียบและถูกควบคุมได้โดยง่าย สุดท้ายแล้ว แก่นแท้ของพระเจ้าคืออะไร? (ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา ความกรุณา พระพิโรธ—การสรุปเช่นนี้ครบถ้วนกว่า) ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา และความกรุณา รวมไปถึงพระบารมีและพระพิโรธ—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ทั้งยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงแก่นแท้ของพระเจ้า หากคนเราบรรยายลักษณะแก่นแท้ของพระเจ้าในบางแง่มุมเพียงด้านเดียว นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจเพียงด้านเดียวของผู้คนในยุคพระคุณ เพราะประสบการณ์ รวมถึงความรู้ที่พวกเขามีต่อพระราชกิจของพระเจ้านั้นจำกัดและมีเพียงด้านเดียว ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อแก่นแท้ของพระเจ้าจึงถูกกำหนดตามพระราชกิจในยุคพระคุณของพระเจ้า ทำให้พื้นฐานที่พวกเขาใช้ในการกำหนดลักษณะเป็นเพียงด้านเดียว การอธิบายลักษณะของแก่นแท้ของพระเจ้าตามเศษเสี้ยวของพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเพียงด้านเดียวมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้ของพระเจ้ามากทีเดียว
พวกเรามาดูบรรทัดที่สองกันเถิด บรรทัดนี้กล่าวว่า “โอ้ พระเจ้า! ความรักของพระองค์ไม่ใช่แค่ความเมตตาและความกรุณา แต่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นการตีสอนและการพิพากษา” บรรทัดนี้ก็ยังเป็นทฤษฎี คำกล่าวนั้นถูกต้อง แต่นี่คือคำสอน การนำมาใส่ในเพลงนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไร มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าบรรทัดนี้สื่อถึงอะไร? พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจมากมาย และผู้คนส่วนมากก็ได้มีประสบการณ์และรู้ถึงพระราชกิจนั้น เพราะฉะนั้นการกล่าวดังนี้จึงว่างเปล่าและไร้สาระ ทั้งยังเป็นสิ่งที่เจริญใจผู้คนเพียงเล็กน้อย บรรทัดต่อมาที่ว่า “โอ้ พระเจ้า! การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นความรักที่แท้จริงที่สุดและเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” คำว่า “ความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” หมายความว่าอย่างไร? คำนี้หมายความว่า การพิพากษาและการตีสอนมิใช่เพียงการช่วยให้รอดธรรมดา แต่เป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน การที่พระองค์ทรงไถ่มวลมนุษย์ย่อมจะเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ? การที่พระองค์ทรงประกาศธรรมบัญญัติย่อมจะเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ? เจ้าแบ่งพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าออกเป็นระดับ ราวกับการประกาศธรรมบัญญัติคือความรอดระดับแรก การตรึงกางเขนคือความรอดระดับที่สอง ส่วนการพิพากษาและการตีสอนคือความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เรื่องนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ? การกล่าวเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? หากเจ้ากล่าวคำพูดที่ว่างเปล่าเหล่านี้กับคนในศาสนา พวกเขาย่อมจะไม่สามารถพบปัญหาในคำพูดเหล่านี้ พวกเขาไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาจะไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดให้ฟัง และจะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้—พวกเขาจะคิดว่าทั้งหมดนี้ฟังดูเป็นเรื่องใหม่ ไม่เหมือนใคร และเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว แต่หากเจ้ากล่าวคำพูดเดียวกันให้คนที่เข้าใจความจริงฟัง พวกเขาย่อมจะตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำพูดว่างเปล่าและเป็นคำสอนที่ได้รับการสรุปมา แต่ไม่มีความเข้าใจที่สำคัญหรือมาจากประสบการณ์ของผู้ใดเลย บรรทัดต่อมากล่าวว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์” ในที่นี้ ความรักของพระเจ้าถูกอธิบายไว้ว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์และชอบธรรม ผู้แต่งเพลงนมัสการไม่ได้กล่าวว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม แต่กลับกล่าวว่าความรักของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม เป็นการสนับสนุนว่าพระเจ้าควรที่จะรักมนุษย์ ความหมายของพวกเขาก็คือ พระเจ้าไม่ควรทรงแสดงการพิพากษาและการตีสอน อีกทั้งพระองค์ไม่ควรทรงแสดงพระบารมีและพระพิโรธ มีเพียงการที่พระองค์ทรงแสดงออกซึ่งความรักเท่านั้นที่ถูกต้อง และความรักนั้นก็บริสุทธิ์และชอบธรรม ทันใดนั้นก็ต่อด้วยประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงควรค่าแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา” เหตุใดผู้แต่งเพลงนมัสการจึงสรรเสริญพระเจ้า? พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าก็เพียงเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์เท่านั้น คำพูดเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ใช่หรือไม่? (ใช่) เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าคำพูดนี้เป็นปัญหาใหญ่? (เพราะนี่เป็นการมองดูเรื่องราวทั้งหลายตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ โดยไร้ซึ่งความเข้าใจในพระเจ้า และเป็นการพยายามตีกรอบพระองค์) นี่คือการตีกรอบพระเจ้า การไม่เข้าใจความจริงและขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าแต่ก็ยังพยายามทำการสรุปความ การสรุปความของเจ้าย่อมไม่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าและห่างไกลจากความจริง และบางทีก็นำผู้คนให้หลงทางเสียด้วยซ้ำ นี่ถือเป็นการตัดสินพระเจ้า เจ้าคิดว่าผู้คนจะได้รับสิ่งใดจากการร้องท่อนแรกของบทเพลงนมัสการนี้? (พวกเขาจะได้รับมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า) มโนคติอันหลงผิดใดหรือ? (พวกเขาจะเชื่อว่าพระเจ้าคือความรัก และพระเจ้าทรงมีความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น) ปัญหาของการที่ผู้คนรู้สึกเช่นนี้คืออะไร? ปัญหาของการที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมกอดแห่งความรักของพระเจ้า มีความรักของพระเจ้าโอบล้อมและอยู่เคียงข้างคืออะไร? ปัญหาของการที่ผู้คนชื่นชมยินดีความรักและการเอาพระทัยใส่อย่างเต็มเปี่ยมของพระเจ้าคืออะไร? (การเข้าใจพระเจ้าในหนทางนี้เป็นการเข้าใจเพียงบางส่วนมากเกินไป เพราะในพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีมากกว่าแค่ความรัก) นี่คือการเข้าใจเป็นบางส่วนเพียงอย่างเดียวหรือ? กล่าวให้ตรงประเด็นก็คือ การที่มนุษย์รู้จักแต่ความรักของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายเกินไป นี่คือความรู้สึกที่ว่างเปล่า เป็นเพียงด้านเดียว เป็นเรื่องทางทฤษฎี และใช้อารมณ์เป็นใหญ่ จงพิจารณาดูว่า หากผู้คนคิดว่าการเชื่อและการรู้ว่าพระเจ้าคือความรักนั้นเพียงพอแล้ว เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาจะสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริงได้โดยง่ายหรือไม่? (ไม่ง่าย) แต่พวกเขามีความรักของพระเจ้าเป็นรากฐาน—เหตุใดจึงไม่ง่ายที่จะนบนอบเล่า? การเป็นพยานให้ความรักของพระเจ้าในหนทางนี้จะมีอิทธิพลต่อผู้คนในการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว จงบอกเราทีว่า สิ่งใดคือสถานการณ์จริงและความยากลำบากซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่เกี่ยวข้อง? (ผู้คนมักคิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าคือความรัก พวกเขาจึงต้องการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าในทุกวัน เมื่อการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้านำความทุกข์ทางเนื้อหนังมาสู่ผู้คน พวกเขาก็คิดว่าพระเจ้าทรงไม่รักพวกเขา จึงยากที่พวกเขาจะยอมรับและนบนอบการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า) พูดต่อไปเถิด ยังมีอะไรอีกหรือไม่? (ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าคือความรัก ดังนั้นเมื่อพวกเขาทรยศและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาย่อมจะปลงใจว่าพระเจ้ายังทรงรักพวกเขาอยู่ และจะทรงแสดงความกรุณาและทรงอภัยพวกเขา ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ไปสู่การกลับใจ) หากผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะที่คิดเพ้อฝันไปเองว่าพระเจ้าทรงรักและโปรดปรานพวกเขาเป็นพิเศษ พวกเขาจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้หรือไม่? พวกเขาสามารถยอมรับสภาวะและความเสื่อมทรามนานาประการของมนุษย์ที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงได้หรือไม่? (ไม่ได้) การที่พวกเขาจะก้าวออกจากสภาวะนั้นไปสู่การนบนอบ สู่การยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าย่อมเป็นเรื่องยาก พวกเขาจะได้แต่ติดอยู่ในยุคพระคุณ โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขาเสมอ และเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อพวกเขานี้ก็คือรูปแบบหนึ่งของความรัก เป็นความรักที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่มีที่สิ้นสุด หากพวกเขาเข้าใจความรักของพระเจ้าในหนทางนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? นี่ย่อมจะเหมือนผู้คนในศาสนา พวกเขาไม่สนใจว่าตนเองทำบาปอย่างไร พวกเขาเพียงเอ่ยคำอธิษฐานและสารภาพบาปของตนตอนกลางคืน และจบลงเท่านั้น พวกเขาคิดว่าพระเจ้าจะทรงอภัยพวกเขาและจะประทานความเมตตากรุณา รวมทั้งทรงจัดเตรียมพระคุณให้พวกเขาต่อไป สิ่งนี้ทำให้พวกเขายากที่จะยอมรับว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ยากที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อีกทั้งยากที่จะนบนอบพระราชกิจของพระเจ้า และไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถได้รับความรอดของพระองค์ สำหรับผู้คนที่ยังคงอยู่ในภาวะนี้ ผลกระทบจะเป็นอย่างไร? เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจใหม่อีกครั้ง พวกเขาย่อมจะต้านทานและปฏิเสธพระองค์ใช่หรือไม่? (ใช่) แล้วพวกเขาจะสามารถรับเสด็จการเสด็จกลับมาของพระเจ้าได้หรือไม่? เหตุใดโลกศาสนาจึงไม่สามารถยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า? นี่ล้วนเป็นเพราะความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับพระเจ้ามิใช่หรือ? นี่คือผลกระทบที่ย่ำแย่ที่สุด! หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ย่อมยากมากที่พวกเขาจะนบนอบพระองค์—ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การที่พวกเขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า อีกทั้งไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้าก็เป็นแนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ผู้คนสามารถขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ทุกเมื่อ และสามารถต่อต้านความจริงได้ทุกเมื่อ ธรรมชาติและแนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติของผู้คนคือการไม่ชอบความจริง แนวโน้มที่มีอยู่โดยธรรมชาติของพวกเขาคือการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า พระเจ้าจะทรงสามารถรักคนเช่นนั้นได้หรือ? (ไม่ได้) ไม่ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาคู่ควรกับความรักของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าก็ไม่ทรงทำใจที่จะรักคนเช่นนั้นได้ นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?
นับตั้งแต่พระเจ้าเริ่มต้นทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและทรงเปิดโปงแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริง โดยพระองค์ได้ตรัสพระวจนะมากมายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทั้งยังตรัสพระวจนะแห่งการพิพากษาที่รุนแรงมากมาย พวกเจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงท่าทีแท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์หรือไม่? สุดท้ายแล้ว พระเจ้าทรงรักหรือทรงเกลียดมวลมนุษย์กันเล่า? มีบางคนกล่าวว่า “จากข้อเท็จจริงที่พระเจ้าประทานเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ให้อาดัมและเอวา ฉันก็ได้เห็นและเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คน และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์คือท่าทีของความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง” การทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร? นี่คือการถือว่าความรับผิดชอบ หน้าที่ และภาระผูกพันนานาประการที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือสิ่งที่ทรงทำไปเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ และเพราะมนุษย์นั้นน่ารัก สมควรได้รับความรัก และคู่ควรกับความรักของพระเจ้า นี่คือการทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลายในหนทางที่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ? (ใช่) ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำล้วนมาจากความรับผิดชอบและภาระผูกพัน อีกทั้งเป็นเพราะแก่นแท้ของพระองค์ อันดับแรกเป็นเพราะแผนการของพระองค์ และหลังจากนั้นก็เป็นเพราะภาระผูกพันของพระองค์ แน่นอนว่าในขณะที่พระเจ้าทรงลุล่วงภาระผูกพันนี้ พระองค์ก็ทรงเผยพระอุปนิสัย รวมถึงแก่นแท้ของพระองค์ออกมาด้วย แล้วแก่นพระอุปนิสัยของพระองค์คืออะไร? คือความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ บารมี และความมิอาจล่วงเกินได้นั่นเอง ด้วยพระอุปนิสัยและแก่นแท้ดังกล่าว รวมถึงการเผชิญหน้ากับมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง ท่าทีและพระดำริที่ถูกต้องที่สุดที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ควรเป็นเช่นไร? ควรเป็นการที่พระองค์ทรงรักมวลมนุษย์มากเสียจนไม่อาจพรากจากพวกเขาได้ใช่หรือไม่? (ควรจะเป็นความรับผิดชอบเสียมากกว่า) ความรับผิดชอบของพระองค์คือพระราชกิจของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงรักมวลมนุษย์มากเสียจนไม่อาจพรากจากพวกเขาได้ ทั้งยังทะนุถนอมพวกเขาอย่างเหลือแสน พระองค์ไม่ทรงถูกครอบงำด้วยความรักที่มีต่อพวกเขา และพระองค์ก็ไม่ทรงทะนุถนอมพวกเขาดั่งแก้วตาดวงใจ—ท่าทีที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์คือการสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเพลงนมัสการนี้น่ารังเกียจอย่างถึงแก่น? เพราะนี่แสดงออกซึ่งความคิดเพ้อฝันของผู้คน พระเจ้าทรงมีความรัก ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่าพระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้เพราะมนุษย์น่ารักและคู่ควรกับความรัก เจ้าเข้าใจผิด และปล่อยใจไปกับความอ่อนไหวของตนเองมากเหลือเกิน! พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะแผนการและความรับผิดชอบของพระองค์ อีกทั้งแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เผยออกมาในการทรงทำทั้งหมดนี้คือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ ไม่ว่าพระเจ้าทรงเผยสิ่งใดออกมา แน่นอนว่าในแก่นแท้ของพระเจ้าย่อมมีความรัก และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำต่อมวลมนุษย์ก็เป็นเพราะในแก่นแท้ของพระเจ้าทรงมีความรักอยู่เท่านั้น แต่ในน้ำพระทัยส่วนพระองค์แล้วพระเจ้ามิได้ทรงรักผู้คน พระองค์มิได้ทรงรักมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม พระองค์ทรงเกลียดชังมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย? เหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีท่าทีเช่นนี้ในการเปิดโปงมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม? การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นคือการนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นั่นคือ มวลมนุษย์ดำเนินชีวิตภายใต้อำนาจของซาตาน และล้วนเป็นผู้ติดตามและผู้บูชาซาตานทั้งสิ้น พวกเขาไม่ได้นบนอบและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่เป็นศัตรูของพระองค์ พระเจ้าจะทรงรักศัตรูของพระองค์ได้หรือ? (ไม่ได้) พระเจ้าทรงเผยให้เห็นความรัก และพระเจ้าก็ทรงมีแก่นแท้แห่งความรัก แต่พระองค์ไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก หากเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก เราก็ขอบอกเจ้าว่า นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดและไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าคิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังให้ร้ายพระเจ้า จงอย่ารู้สึกดีกับตัวเองมากเกินไป จงอย่ารู้สึกอ่อนไหวเกินไปนัก! บางคนกล่าวว่า “พระเจ้ามิได้ทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรัก ในแง่นั้นก็แปลว่าในแก่นแท้ของพระเจ้าไม่มีความรักอยู่เช่นนั้นหรือ?” การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) แล้วผิดอย่างไร? (ในพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีความเมตตาและความกรุณาอยู่) พระเจ้าทรงมีความรัก แต่พระองค์ไม่ทรงรักโดยไม่พิจารณา พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะรักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง—อันที่จริง พระเจ้าทรงชิงชังและทรงเกลียดมวลมนุษย์เหล่านี้ บางคนถามว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงชิงชังและเกลียดมวลมนุษย์เหล่านี้ ทำไมพระองค์ยังทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ในตัวพวกเขาเล่า?” พระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการ และพระองค์ก็เต็มพระทัยที่จะรับหน้าที่และลุล่วงความรับผิดชอบนี้ พระองค์จึงจะทรงพระราชกิจนี้—นั่นเป็นสิทธิ์ของพระเจ้า และมนุษย์ก็ไม่อาจแทรกแซงได้ พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพนี้ และพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะทำให้แผนการบริหารจัดการนี้สำเร็จลุล่วง ซึ่งท้ายที่สุดผู้ได้รับประโยชน์ก็คือมวลมนุษย์ คือพวกเจ้าทุกคน นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์ควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และได้รับพรอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นอยู่แล้ว จงอย่าเรียกร้องจากพระเจ้าว่า “ในเมื่อพระองค์ทรงมีความรัก พระองค์ก็ต้องทรงรักพวกเรา” รักพวกเจ้าด้วยเหตุผลใดเล่า? เพราะพระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้าอย่างนั้นหรือ? ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? เพราะความน่ารักของเจ้าหรือ? เจ้ามีสิ่งใดที่น่ารักนัก? เพราะเจ้าทรยศพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้ากบฏต่อพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานหรือ? เพราะเจ้าต่อต้านพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าต้านทานพระเจ้าอยู่ทุกเมื่อหรือ? จากทั้งหมดนี้ พระเจ้ายังทรงสามารถรักเจ้าได้อยู่หรือ? พระองค์ยังทรงสามารถรักพวกที่ต้านทานพระองค์ได้อยู่หรือ? พระองค์ยังทรงสามารถรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้อยู่หรือ? หากเจ้ากล่าวว่าพระเจ้ายังทรงสามารถรักพวกที่ต้านทานพระองค์ พระองค์ยังทรงรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้ นี่ย่อมเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้ามิใช่หรือ? ในทัศนะของพวกเจ้า พระเจ้าทรงสามารถรักหมู่มารและเหล่าซาตานได้หรือ? พระเจ้าทรงรักศัตรูของพระองค์ได้หรือ? พระเจ้าทรงสามารถรักในหนทางที่ไม่เลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามรักได้หรือ? พระองค์ทรงทำไม่ได้อย่างแน่นอน ความรักของพระเจ้าเปี่ยมด้วยหลักธรรม ด้วยเหตุนั้นความรักในความคิดฝันของมนุษย์เช่นนี้จึงไม่มีอยู่จริง นี่เป็นเพียงความคิดที่เพ้อฝันและอ่อนไหวเกินไปเท่านั้น นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเลย ดังนั้นเราจึงต้องชี้แจงในที่นี้ เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักเจ้า? (เพราะความอุปนิสัยของมนุษย์นั้นเสื่อมทรามโดยสมบูรณ์ และเขาไม่คู่ควรกับความรักของพระเจ้า) คำว่า “ไม่คู่ควรกับความรักของพระเจ้า” คือคำพูดซ้ำซาก พระเจ้าทรงต้องรักเจ้าเพียงเพราะพระองค์ทรงสร้างเจ้าขึ้นมาหรือ? มิได้เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและจักรวาลทั้งหมด พระองค์ทรงจำเป็นต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างหรือ? พระเจ้าทรงสามารถเลือกที่จะรักเจ้า และพระองค์ก็ทรงสามารถเลือกที่จะไม่รักเจ้าได้ นั่นเป็นสิทธิ์ของพระเจ้า—นี่คือข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งก็คือ หากเจ้าต้องการทำให้พระเจ้าทรงรักเจ้า—หากเจ้าอยากได้รับความรักจากพระเจ้า—เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องทำในสิ่งที่คู่ควรกับความรักของพระองค์ เจ้าเคยทำในสิ่งที่คู่ควรกับความรักของพระองค์บ้างหรือไม่? เจ้ามีพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์ หรืออุปนิสัยที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่? (ไม่มี) ในช่วงสองสามปีแรกของการเชื่อในพระเจ้าอาจจะไม่มี แต่ในปีต่อๆ มา คนบางคนก็แสดงพฤติกรรมบางอย่างเหล่านี้ออกมา อย่างเช่น มีการทำหน้าที่และทำงานของตนอย่างสุกเอาเผากินลดน้อยลงเรื่อยๆ สามารถแสวงหาหลักธรรม เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามและนบนอบ และไม่กระทำการตามอำเภอใจ ไม่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเมื่อเผชิญกับบางสิ่งบางอย่าง สามารถแสวงหาและอธิษฐานถึงพระเจ้า ร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงและแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพวกเขาให้บ่อยขึ้น รวมถึงมีความรู้สึกนึกคิดที่เข้มงวดและถ่อมใจมากขึ้น การมีความจริงใจอยู่เล็กน้อยและมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาจงรักภักดีต่องานที่ได้รับความไว้วางใจมอบหมายจากพระนิเวศของพระเจ้าและพระบัญชาของพระเจ้า อีกทั้งการมีความสามารถที่จะมุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและใส่ใจที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน สามารถเริ่มต้นรู้จักความเสื่อมทรามของตน รู้จักความโอหังและความหลอกลวงของตนเอง การอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง การขอให้พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสภาพแวดล้อม การยอมรับการบ่มวินัยจากพระเจ้า และการมีสิ่งที่เป็นบวกมากขึ้นในตัวพวกเขา ในสายพระเนตรของพระเจ้า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า แต่เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนหรือไม่นั้น พวกเขาควรยืนกรานในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ? (พวกเขาไม่ควรยืนกราน) หากพฤติกรรมของผู้คนแสดงถึงการไล่ตามเสาะหาที่เป็นบวก การปรับปรุงแก้ไข และความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว จากทัศนคติของมนุษย์พวกเขาก็พอจะมีความน่ารักและมีการแสดงออกถึงการนบนอบอยู่บ้าง แต่การมีพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเพียงความหวังที่เห็นได้ในตัวพวกเจ้า ความหวังนี้ก็คือ ผู้คนจะมีจิตใจที่เป็นบวก แข็งขัน และให้ความร่วมมือผ่านพระราชกิจและการทรงเป็นผู้นำของพระเจ้า และในขณะเดียวกัน พฤติกรรมและการเผยเหล่านี้ก็จะเป็นพยานให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน จากมุมมองนี้ นั่นก็คือเมื่อเรามองดูเรื่องนี้จากทัศนคติของมนุษย์ ผู้คนมีความน่ารักอยู่เล็กน้อย—แต่เมื่อมองจากทัศนคติของพระวิญญาณของพระเจ้า สุดท้ายแล้วพระเจ้าทรงรักพวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ามีแง่มุมอันควรค่าที่จะรักอยู่บ้างหรือไม่? หากถามเรา พวกเจ้ายังคงห่างไกลนัก เพราะด้วยขีดความสามารถ ความสามารถพิเศษ และรูปการณ์แวดล้อมที่ผู้คนอาศัยอยู่นั้น พวกเขาควรจะทำได้ดีกว่านี้ อันที่จริงสิ่งที่พวกเจ้ามีประสบการณ์ ได้รับ และได้รับรู้ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่พวกเจ้าได้บรรลุในเวลานี้แล้วนั้น สามารถบรรลุได้ภายในเวลาห้าปีหากพวกเจ้าไล่ตามเสาะหาอย่างสุดกำลัง ทว่าพวกเจ้ากลับใช้เวลาถึงสิบปีเต็มในการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ นั่นไม่นานเกินไปหรือ? จิตใจของพวกเจ้าค่อนข้างด้านชา พวกเจ้าตอบสนองช้า อีกทั้งการกระทำของพวกเจ้าก็อืดอาด ในหลายๆ เรื่อง พวกเจ้าต้องได้รับการตัดแต่ง บ่มวินัย และกำกับดูแลจากเบื้องบนเท่านั้นจึงจะบรรลุบางสิ่งบางอย่างได้ ผลสัมฤทธิ์เหล่านี้ได้มาอย่างยากลำบาก ผู้คนต้องยอมทนลำบากกับบางสิ่งบางอย่าง และจากผลลัพธ์ที่ได้รับการเก็บเกี่ยวมาแล้วนั้น ย่อมมีพฤติกรรมและการแสดงออกในบางแง่มุมของผู้คนที่ให้ความชูใจได้บ้างเมื่อมองดู อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความน่ารักที่พระเจ้าตรัสถึง ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนรู้สึกว่าตัวเองน่ารักขึ้นกว่าแต่ก่อนใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ยังไม่ใช่ เจ้าจะพบว่าสิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับตัวเจ้าที่เจ้าเผยออกมาหลังได้ตรวจสอบตนเองเล็กน้อย อย่างเช่น “โอ้ ในตัวฉันยังมีความไม่บริสุทธิ์อยู่มากเหลือเกิน ทันทีที่ฉันใคร่ครวญบางสิ่งบางอย่าง อุบายเจ้าเล่ห์ก็จะผุดขึ้นมาในใจ และฉันก็ทำสิ่งต่างๆ แบบสุกเอาเผากิน เมื่อฉันทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นมาอีก และหลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน อุบายเจ้าเล่ห์เหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วฉันก็ปัดความรับผิดชอบ และกลับไปเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอีกเหมือนเดิม” แค่การเพียงตรวจสอบตนเองลวกๆ ตลอดทั้งวัน เจ้าย่อมจะเห็นได้ว่าเจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาพอสมควร—แล้วเจ้าน่ารักตรงไหนหรือ? เจ้ายังคงขอให้พระเจ้าทรงรักเจ้า แต่เจ้ากลับดูถูกตัวเอง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าช่างไร้ค่าสิ้นดี และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าที่สมควรได้รับการยกย่องหรือได้รับความรักจากผู้อื่นเลย หากผู้คนไม่สามารถพาตัวเองให้มารักเจ้าได้ด้วยซ้ำ แล้วจะคาดหวังให้พระเจ้าทรงรักเจ้าได้อย่างไร? เรื่องนั้นจะเป็นไปได้หรือ? (เป็นไปไม่ได้) ขณะนี้ที่พวกเราได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหล่านี้มากเพียงพอแล้ว เพลงนมัสการเพลงนี้ก็ควรถูกทิ้งไปมิใช่หรือ? เพลงนี้ควรถูกทิ้งไปเสีย เพลงนี้เต็มไปด้วยคำพูดที่มาจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ทั้งยังเป็นคำพูดที่มาจากศาสนา แล้วการที่พวกเจ้าร้องเพลงนมัสการเพลงนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือ? เจ้าเพลิดเพลินที่ได้ขับร้องและฟังเพลงนี้ใช่หรือไม่? การร้องเพลงนี้ไม่เพียงจะไม่ทำให้เข้าใจความจริงเท่านั้น แต่ยังเป็นการชี้นำผู้คนแบบผิดๆ อีกด้วย การร้องเพลงนี้นอกจากจะไม่สามารถบรรเทามโนคติอันหลงผิดของผู้คนได้ แต่ยังทำให้มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นดิ่งลึกและแข็งแกร่งขึ้น นี่เป็นการทำร้ายผู้คนมิใช่หรือ? การร้องเพลงนมัสการเพลงนี้ไม่เพียงทำให้พวกเจ้าเข้าใจความจริงได้ยากมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเจ้าดำเนินชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าง่ายขึ้นอีกด้วย เพลงนมัสการเช่นนั้นจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใดเลย ด้วยเหตุนี้ หัวใจของเราจึงเปี่ยมด้วยโทสะเมื่อเราได้ยินพวกเจ้าทุกคนร้องเพลงนมัสการนี้—การฟังคำเทศนามาหลายปีดีดักของพวกเจ้าย่อมสูญเปล่า พระวจนะของพระเจ้ามากมายที่พวกเจ้าอ่านย่อมเปล่าประโยชน์ แม้กระทั่งตอนนี้ พวกเจ้าก็ยังไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เราอยากจะตบหน้าพวกเจ้าสักสองสามทีเสียจริง ใครเป็นคนแต่งเนื้อร้องที่เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเช่นนั้นหรือ? แล้วพวกเจ้าก็ยังร้องด้วยความหลงใหลเสียเต็มประดา พวกเจ้าไม่มีวิจารณญาณกันเลยหรือ? พวกเจ้าทำให้เราผิดหวังยิ่งนัก พวกเจ้าเชื่อมาจนถึงตอนนี้โดยไม่ได้รับความเป็นจริงความจริงเลย พวกเจ้าไม่สามารถแยกแยะคำพูดจากมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน หรือความไร้สาระได้เลยด้วยซ้ำ แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังร้องเพลงนี้ ความเชื่อของเจ้าช่างน่าสับสนเสียจริง! เราจะพูดอะไรได้อีกเล่า!
มาดูท่อนที่สองของเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” กันเถิด “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์ ในยุคสุดท้าย และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง” ความรักของพระเจ้าต้องยิ่งใหญ่เพียงใด? การคิดว่าเจ้าทำให้พระเจ้าต้องทรงสู้ทนกับความอัปยศเพราะความรัก โดยประสูติเป็นมนุษย์และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง ซึ่งพระองค์ทรงเผชิญกับความอัปยศถึงที่สุดเพื่อที่จะรักและช่วยผู้คนให้รอดนั้นถูกต้องหรือไม่? พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักเพียงอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ? เจ้ากำลังนึกถึงแต่ด้านดีเท่านั้น—พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะแผนการบริหารจัดการของพระองค์ มีการสรุปแก่นแท้ในพระอุปนิสัยของพระเจ้าไว้ในคำกล่าวที่ว่า “พระองค์ทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ตรัสย่อมจะเป็นไปตามนั้น และสิ่งที่พระองค์ทำย่อมจะยืนยงตลอดกาล” นี่เป็นการเผยสิทธิอำนาจของพระเจ้า แล้วจะเป็นเพราะความรักไปได้อย่างไร? จงบอกเราทีเถิดว่า ผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้คู่ควรที่พระเจ้าจะทรงทนทุกข์กับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงในการเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดงหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่คู่ควร พวกเขาแย่ยิ่งกว่ามดและหนอนเสียอีก พวกเขาไม่คู่ควรเลย เจ้าตั้งใจที่จะให้พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และสู้ทนกับความอัปยศและการข่มเหงของซาตานต่อไป ขณะเดียวกันก็ประทานความรักของพระองค์ให้มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเหล่านี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ? นี่คือสิ่งที่เจ้าหมายถึงใช่หรือไม่? แนวคิดนี้ช่างไร้สาระ อันที่จริงนี่คือแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าทรงกลับมาเป็นมนุษย์และเสด็จมาสู่ชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดงหรือทรงพระราชกิจประเภทอื่นหรือไม่ นั่นก็คือขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระองค์ ขณะนี้ที่ขั้นตอนดังกล่าวได้ดำเนินมาถึงจุดนี้ พระเจ้าก็ต้องทรงปฏิบัติพระราชกิจในหนทางนี้ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจนี้? พระองค์ทรงทำเช่นนี้ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และในแผนการบริหารจัดการของพระองค์นั้น ผู้ที่ได้รับความรอดของพระองค์คือมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ไม่ว่าจากมุมมองใด มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม—ไม่ว่ามาจากประเทศใดหรือเชื้อชาติไหน—ก็เป็นเพียงเป้าหมายของพระราชกิจ เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น ตัวประกอบเสริมความเด่นคู่ควรกับการที่พระเจ้าจะประทานความรักทั้งหมดของพระองค์ให้หรือไม่? พวกเขาไม่คู่ควร การกล่าวเช่นนั้นไม่ถูกต้อง และไม่ควรอธิบายในหนทางนั้น เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการบริหารจัดการ และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วง เจ้าในฐานะมนุษย์จึงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ซึ่งถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ แต่เจ้ายังคงพูดอย่างไร้ยางอายว่า “พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเรา” นี่คือความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นความเข้าใจผิด และเป็นความไร้สาระโดยสิ้นเชิง
จงดูบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย และทรงทนทุกข์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากใหญ่หลวง” คำพูดเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่? พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย และทรงทนทุกข์กับการข่มเหงและความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง ไม่ว่าพระองค์ทรงสู้ทนกับสิ่งใด พระดำริ พระประสงค์ และเป้าหมายในพระทัยก็คือการลุล่วงแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระเจ้าทรงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่การที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดนี้มิใช่การอุทิศแก่มวลมนุษย์ มิใช่เครื่องบูชาแห่งความรัก หรือเป็นการประทานทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเหล่านี้ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ และมองว่าพระองค์คือศัตรู—พระเจ้าไม่ทรงทำด้วยเหตุผลนี้ บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ด้วยความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ และในเมื่อการที่พระองค์ทรงสู้ทนการบอกปัด การว่าร้าย และความทุกข์ลำบากนั้น จริงๆ แล้วก็เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ เช่นนั้นพระเจ้าก็ทรงไม่ควรคู่กับความรักของมนุษย์” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร? จงบอกเราทีเถิดว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร (พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ทว่าที่จริง ในกระบวนการนี้ ผู้คนก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมาย ได้มาเข้าใจความจริงบางประการ และสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง) ทั้งหมดมีเท่านั้นหรือ? จงบอกเราทีเถิดว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการบอกปัดและการว่าร้าย รวมถึงทนทุกข์การข่มเหงและความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวงเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์นั้นคือสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ? (นี่คือสิ่งที่เป็นบวก) พระเจ้าทรงสู้ทนการบอกปัดและการว่าร้าย ทั้งยังทนทุกข์ความอัปยศอันใหญ่หลวงเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เป็นบวก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสิ่งนี้จึงเป็นบวก? เนื้อหาของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าคืออะไร? (การมีชัยเหนือซาตานและนำผู้คนออกจากพันธนาการของซาตาน) ทำอย่างไรจึงจะมีชัยเหนือซาตาน? สิ่งใดเป็นเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง? สิ่งใดคือโครงการที่เฉพาะเจาะจงของพระราชกิจนี้? คือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั่นเอง เรื่องนั้นไม่คลุมเครือเลยใช่หรือไม่? การมีชัยเหนือซาตานเป็นแง่มุมหนึ่ง เป็นเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ซึ่งโครงการอันเฉพาะเจาะจงของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ในแง่ของมนุษย์ เรื่องการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดคือเหตุผลที่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม? (นี่คือเหตุผลที่เป็นธรรม) นี่คือเหตุผลที่เป็นธรรม การที่พระเจ้าทรงสู้ทนกับการบอกปัดและการว่าร้าย อีกทั้งสู้ทนกับความเจ็บปวดและความอัปยศทุกรูปแบบเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่? (ไม่) นี่คือสิ่งที่เป็นบวกมิใช่หรือ? เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวหรือ? (นี่ไม่ใช่สิ่งที่เห็นแก่ตัว) เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนเล่า? พวกเจ้าไม่สามารถอธิบายเรื่องที่ชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนั้นได้ แต่พวกเจ้ากลับตีความสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ใช้ความคิด และตัดสินตามอำเภอใจ—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่งมิใช่หรือ? พระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเป็นโครงการอันยิ่งใหญ่ และรายละเอียดต่างๆ ของโครงการที่เฉพาะเจาะจงนี้ก็นำไปสู่การช่วยมวลมนุษย์ให้รอด บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเพื่อลุล่วงความปรารถนาของพระองค์เอง เพื่อทำให้แผนการของพระองค์เสร็จบริบูรณ์ พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพื่อพระองค์เอง ไม่ใช่เพื่อมวลมนุษย์ นี่เป็นความเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือ?” นี่เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เหตุใดนี่จึงไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเล่า? การกระทำที่พระเจ้าทรงดำเนินการอยู่คือสิ่งที่เป็นบวกและเปี่ยมความหมาย นี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายอย่างยิ่งต่อความอยู่รอด บั้นปลาย จุดจบ และสภาวะของการดำรงอยู่ในยุคถัดไปของมวลมนุษย์ทั้งปวง เมื่อพิจารณาจากประเด็นเหล่านี้ การที่พระเจ้าทรงสู้ทนกับสิ่งทั้งหมดนี้และประทานสิ่งทั้งหมดนี้เพื่อทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์เสร็จสมบูรณ์เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวหรือไม่? (ไม่) แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามีจุดประสงค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ที่ดีและงดงาม ทั้งยังเป็นความรักที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าการที่พระองค์ทรงสนองเจตนารมณ์ของพระองค์เองนั้นเป็นความเห็นแก่ตัว เพียงจากการกระทำที่พระเจ้าได้ทรงทำมา และจากการกระทำที่พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้นี้ คนเราย่อมสามารถเห็นถึงแก่นแท้ของพระเจ้าและเห็นว่าพระทัยของพระองค์นั้นงดงามและดีงาม แม้มวลมนุษย์เหล่านี้ได้กลายเป็นพวกต่ำทราม แม้พวกเขาได้ติดตามซาตานและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน เต็มไปด้วยด้วยการกบฏและการต้านทานพระเจ้า อีกทั้งเต็มไปด้วยการหมิ่นประมาทและความเป็นปฏิปักษ์ พระเจ้าก็ยังทรงสามารถช่วยพวกเขาให้รอดด้วยความอดทนและไม่เคยทรงล้มเลิก ทั้งหมดนี้เกิดจากอะไร? ทั้งหมดนี้เกิดมาจากแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า จากพระประสงค์ของพระองค์ นี่เป็นความเห็นแก่ตัวหรือ? ท้ายที่สุด มวลมนุษย์ก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดจากแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า พวกเจ้าทุกคนคือผู้แบกรับและผู้สืบทอดสัญญา พร และบั้นปลายที่ดีที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์แต่เพียงกลุ่มเดียว ดังนั้นจงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงเห็นแก่ตัวหรือไม่? (พระองค์ไม่ทรงเห็นแก่ตัว) พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่ตัว แต่พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? (ไม่ใช่) นัยสำคัญ คุณค่า และความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจในที่นี้นั้นลุ่มลึกเกินไป—แล้วนั่นจะเป็นไปเพราะความรักเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร? ความรักเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของการแสดงออกทางอารมณ์ เป็นเศษเสี้ยวที่ถูกเผยในภาวะอารมณ์และความรู้สึก ไม่ใช่ทั้งหมด ทว่าในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และในกระบวนการแห่งความรอดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษย์นั้น สิ่งที่ถูกเผยให้เห็นอย่างแท้จริงคือพระอุปนิสัยทั้งปวงของพระเจ้า และพระอุปนิสัยของพระองค์ก็มิใช่เพียงแค่ความรัก นั่นคือพระอุปนิสัยของพระองค์มิใช่เพียงแค่ความเมตตาและความกรุณาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความชอบธรรมและบารมี พระพิโรธและคำสาปแช่ง อีกทั้งแง่มุมอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าหากพูดอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าถูกเผยและทำให้ผู้คนมองเห็นได้ทีละน้อยในระหว่างพระราชกิจสามระยะของพระองค์ แต่ผู้คนไม่อาจรับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านั้น ทั้งยังถึงกับกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำทั้งหมดนี้เพราะพระองค์ทรงรักพวกเรา” มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับ “ความรัก” ที่ผู้คนมีนั้น—เหตุใดจึงฟังดูน่ากระอักกระอ่วน น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน? การนิยามพระราชกิจอันเปี่ยมความหมายของพระเจ้าซึ่งมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อบั้นปลายและจุดจบของมวลมนุษย์ว่าเป็นเพียงความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ—เช่น ความรัก—เป็นการสบประมาทเจตนารมณ์ของพระเจ้า สบประมาทความพยายามที่จริงจังและรอบคอบของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดมิใช่หรือ?
บรรทัดต่อไปกล่าวว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอย่างซ่อนเร้นและถ่อมพระทัยกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม” ในที่นี้ผู้แต่งเพลงนมัสการกล่าวว่า นี่ก็ทำไปเพราะความรักเช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะจำเป็นต่อพระราชกิจของพระองค์ แล้วจะเป็นเพราะความรักได้อย่างไร? การที่พระเจ้าจะดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์ด้วยความรักที่ทรงมีต่อพวกเขา รวมถึงการที่พระองค์จะทรงถ่อมพระทัยและซ่อนเร้นเพราะความรักต่อพวกเขานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่? มวลมนุษย์ต้องน่าหลงใหลและน่ารักเพียงใดจึงทำให้พระเจ้าพระทัยร้อนและเต็มพระทัยที่จะมาดำรงพระชนม์ชีพกับพวกเขา ถึงกับทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อีกทั้งทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระทัย? สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงหรือ? (สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง) แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร? (พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระทัย และเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อแสดงความจริงและช่วยผู้คนให้รอดตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์) ในทางทฤษฎีนี่เป็นเพราะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ทว่าในทัศนะของผู้คนนั้น ดูเหมือนว่าพระชนม์ชีพที่ซ่อนเร้นและถ่อมพระทัยท่ามกลางมวลมนุษย์ของพระเจ้าทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขอย่างมาก ดูเหมือนพระองค์จะดำรงพระชนม์ชีพอย่างสะดวกสบายทีเดียว ทรงรู้สึกชื่นบานยินดีในทุกๆ วัน และค่อนข้างพอพระทัยที่ได้ทอดพระเนตรทุกความเคลื่อนไหวของมนุษย์ ทอดพระเนตรพฤติกรรมและการเผยของพวกเขา การนี้เป็นเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่ใช่) แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร? (พระเจ้าทรงทำเช่นนี้เพราะพระราชกิจของพระองค์ประสงค์เช่นนั้น) เพราะพระราชกิจของพระองค์ประสงค์เช่นนั้น นี่คือทฤษฎี ทว่าที่จริงแล้ว การดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์นำพาความชื่นบานยินดีมาสู่พระเจ้าหรือไม่? ความสุข? และความพอพระทัยเล่า? (ไม่เลย) เช่นนั้นแล้วพระเจ้าควรจะทรงรู้สึกอย่างไร? ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าทุกคนล้วนเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งรู้สึกว่าตนเองซื่อตรงมาก แต่หากพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวัยรุ่นที่รู้จักแต่เอาตัวรอด นักเลง อันธพาล และพวกอาชญากรใต้ดิน พูดภาษาเดียวกันกับพวกเขา กินอาหารแบบเดียวกันกับพวกเขา และทำสิ่งเดียวกันทุกวัน พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไร? (รังเกียจและขยะแขยง) หากพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฆาตกรและพวกที่ชอบข่มขืน สภาพจิตใจของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร? (สะอิดสะเอียน) ดังนั้นพวกเจ้าย่อมรู้ว่าความรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างไร—เช่นนั้นแล้วจงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงมีความสุขในการดำรงพระชนม์ชีพกับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามได้หรือไม่? พระองค์จะทรงรู้สึกชื่นบานยินดีได้หรือไม่? (ไม่ได้) ในการนี้ไม่มีทั้งความสุขและความชื่นบานยินดี—แล้วความรักจะมาจากที่ใดเล่า? หากไร้ซึ่งความชื่นบานยินดี ความสุข หรือความพึงพอพระทัย แล้วจะไม่ขัดแย้งกับการที่พระองค์จะทรงรักผู้คนอย่างที่ทรงรักพระองค์เอง และทรงรักพวกเขามากเกินกว่าจะแยกจากพวกเขาหรอกหรือ? ไม่มีการเสแสร้งอยู่ในนั้นเลยหรือ? แล้วความจริงคืออะไรกันแน่? นอกจากการไม่มีความสุข ความพอพระทัย และความชื่นบานยินดีแล้ว แท้จริงแล้วพระเจ้าควรจะทรงรู้สึกเช่นไรกับการดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม? (เจ็บปวด) ความเจ็บปวดเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ชัดเจนมาก มีอะไรอีก? (รังเกียจ) ความรังเกียจก็เป็นความรู้สึกอีกประเภทหนึ่ง มีอะไรอีก? (ความเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์) ความเกลียด ความขยะแขยง และความชิงชังนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่แท้จริงที่สุด ซึ่งก็คือการดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ร่วมกัน พูดคุย ทำงานร่วมกัน และคบหาสมาคม ย่อมรู้สึกราวกับเป็นความอัปยศอย่างเหลือเชื่อ ในสถานการณ์เช่นนั้น ในสภาวะที่ยืดเยื้อเช่นนั้น เจ้าคิดว่าคนธรรมดาจะยังคงมีความรักได้อยู่หรือ? (ไม่ได้) พวกเขาย่อมไม่สามารถมีความรักได้ เมื่อไม่มีความรักพวกเขาจะทำอย่างไร? (ถอนตัว) การถอนตัวเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง นั่นคือความรู้สึกนึกคิด อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไร? ควรใช้ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงผู้คนเหล่านี้มิใช่หรือ? (ใช่) สำหรับมวลมนุษย์เช่นนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติคือจัดเตรียม อบรมสั่งสอน ว่ากล่าว เปิดโปง ตัดแต่ง บ่มวินัยเป็นบางครั้ง และอื่นๆ นี่คือสิ่งที่จำเป็นและไม่สามารถละทิ้งได้ แต่การกระทำดังกล่าวสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ในทันทีหรือไม่? (ไม่ได้) แล้วควรทำอย่างไร? (พวกเขาต้องถูกตัดแต่ง พิพากษา และตีสอนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน) พระราชกิจแห่งการตัดแต่ง พิพากษาและตีสอนผู้คนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานนั้นง่ายหรือไม่? พระเจ้าต้องทรงสู้ทนกับสิ่งใดบ้างในการทรงทำเช่นนี้? (ความอัปยศและความเจ็บปวด) พระเจ้าทรงพระราชกิจด้วยความอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ ความอดทนนี้นำมาซึ่งสิ่งใด? ความอดทนนี้นำมาซึ่งความเจ็บปวด ด้วยเหตุนั้นเมื่อพระเจ้าทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ในพระทัยของพระองค์ย่อมไม่มีความสุขและความชื่นบานยินดีอยู่เลย หากไร้ซึ่งความชื่นบานยินดีและความสุขแล้ว พระเจ้าจะทรงมีความรักต่อผู้คนในพระทัยได้หรือไม่? พระองค์ย่อมไม่สามารถบังคับพระองค์เองให้รักพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะทรงพระราชกิจได้อย่างไร? บนรากฐานใด? พระเจ้าเพียงทรงลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์เอง นี่คือพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ นี่คือธรรมชาติของพระราชกิจนี้ การลุล่วงความรับผิดชอบของคนเราหมายถึงการทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเห็น รับรู้ ควรพูด และควรทำให้สำเร็จโดยสมบูรณ์อย่างสุดความสามารถ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบของคนเรา ความรับผิดชอบนี้สามารถลุล่วงได้ด้วยเหตุผลใด? เพราะพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า เพราะพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงมีพระบัญชาและความรับผิดชอบนี้ แน่นอนว่าพระเจ้าจึงทรงมีพระภาระนี้ต่อมวลมนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพกับมนุษย์ผู้เสื่อมทรามเพียงใดและกับผู้คนประเภทใด สภาวการณ์ก็เป็นเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาวการณ์นี้เป็นอย่างไร? นี่คือสภาวะที่พระเจ้าทรงไร้ซึ่งความสุขและความชื่นบานยินดี และพระองค์ต้องทรงสู้ทนกับความอัปยศ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ต้องทรงสู้ทนกับความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏทุกรูปแบบของมนุษย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่ทรงสู้ทนกับสิ่งทั้งหมดนี้ พระองค์ก็ยังต้องตรัสในสิ่งที่พึงตรัส และทรงทำในสิ่งที่พึงทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พระองค์ต้องทรงอธิบายสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนไม่เข้าใจให้ชัดเจน และสำหรับพวกที่กระทำการล่วงเกินโดยรู้อยู่แก่ใจนั้น พระองค์ก็ต้องทรงบ่มวินัย พิพากษาและตีสอนบ้าง ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนี้เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์และขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์ แน่นอนว่านี่ยังเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับโครงการพระราชกิจเฉพาะของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด โดยสรุปคือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบพระเจ้าพระองค์เอง ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนี้คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์ แน่นอนว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเผยออกมาในขณะที่ลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์คือแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว แก่นแท้ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ กล่าวคือ แก่นแท้ของบุคคลธรรมดาผู้นี้คืออะไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทรงพระราชกิจช่วงระยะนี้ในยุคสุดท้าย พระองค์มิได้ทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งมิได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ใดๆ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำได้คือการตรัสบอกความจริงที่ผู้คนพึงมีและควรเข้าใจแก่พวกเขา พระองค์ทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนไม่อาจรับรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักและรับรู้ถึงอุปนิสัยนั้น และจะได้รู้ถึงแก่นแท้และข้อเท็จจริงที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ นี่ก็เพื่อให้ผู้คนเกิดการกลับใจได้อย่างแท้จริงและถูกนำไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เมื่อผู้คนสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงได้ พวกเขาย่อมเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและได้รับความหวังในการได้รับความรอด แล้วพระราชกิจและความรับผิดชอบของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็สำเร็จลุล่วง เมื่อผู้คนอยู่บนครรลองที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการได้รับบททดสอบและการถลุงจากพระเจ้า—พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จึงสิ้นสุดลง ลุล่วงความรับผิดชอบของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ และนำพวกเจ้ามาสู่ครรลองที่ถูกต้อง นี่ย่อมหมายความว่าพันธกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว และพระองค์ไม่ทรงมีภาระผูกพันใดๆ กับพวกเจ้าอีกต่อไป การไม่มีภาระผูกพันหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าพระองค์ไม่ต้องทรงอยู่กับผู้คนเหล่านี้และสู้ทนกับสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น ความเสื่อมทราม มโนคติอันหลงผิด การกบฏ การต้านทาน การบอกปัด และอื่นๆ ของพวกเขาอีกต่อไป
ไม่ว่าจากมุมมองของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าหรือจากพระราชกิจอันเฉพาะเจาะจงที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำ สิ่งเหล่านี้ทำไปเพราะความรักเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่เลย พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตมวลมนุษย์จากสวรรค์ในบางหนทาง และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกก็ทรงมีมุมมองที่เกือบจะเหมือนกัน เหตุใดเราจึงกล่าวว่า “เกือบจะ”? พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกทรงสามารถเห็นถึงจุดอ่อนของมวลมนุษย์จากมุมมองที่ค่อนข้างใส่พระทัยมากขึ้นเพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์ทรงสร้างในพื้นที่เดียวกัน และเพราะพระองค์ทรงมีลักษณะภายนอกของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามด้วย ผลก็คือ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงสามารถดำรงพระชนม์ชีพกับผู้คนในลักษณะที่ค่อนข้างกลมกลืนมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ เมื่อมองในหนทางนี้แล้ว หากพระเจ้าไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเจ้าทุกคนจะได้นั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้หรือ? พวกเจ้าคงจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความจำเป็นของพระราชกิจของพระเจ้า—นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พระองค์ทรงยอมจ่ายราคาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ และเสด็จมาที่นี่เพื่อทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เอง หากพระเจ้าตรัสกับผู้คนจากสวรรค์ ในแง่หนึ่ง พวกเขาย่อมจะได้ยินพระวจนะของพระองค์ไม่สะดวกเพราะการแยกกันในเชิงพื้นที่ ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อพิจารณาจากถ้อยดำรัสอันครอบคลุมและมากมายของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ไม่ว่าเจ้ามองจากมุมมองหรือแง่มุมใดก็ตาม หากพระองค์ตรัสจากฟ้าสวรรค์ในลักษณะเช่นนั้นย่อมจะไม่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ ทางเลือกเดียวที่ดีที่สุด และเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์มากที่สุดต่อมวลมนุษย์ ต่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และต่อพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็คือการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นทางเลือกเดียวและเป็นหนทางเดียวในการทรงพระราชกิจ มีเพียงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ ทรงมีความสามารถที่จะปฏิบัติพระราชกิจนี้ และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ได้ หากเจ้ามองดูพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสในยุคสุดท้าย ในแง่ของปริมาณ มีพระวจนะมากมายเหลือเกินที่ดำรัสเอาไว้ แล้วพระวจนะมากมายเหล่านั้นจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างไรโดยไร้ซึ่งวิธีการบังเกิดเป็นมนุษย์? หากพระเจ้าตรัสลงมาจากฟ้าสวรรค์ในรูปแบบของฟ้าร้อง แล้วแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงพิพากษาและทรงกล่าวโทษคนชั่วจะมีคนที่ถูกฟ้าผ่าตายกี่คน? ผู้ที่รอดชีวิตย่อมจะมีเหลือไม่มาก หากพระเจ้าตรัสจากภายในพายุหมุนหรือจากภายในเปลวไฟ กว่าพระองค์จะตรัสพระวจนะเหล่านี้เสร็จสิ้นจะต้องมีพายุหมุนและเปลวไฟเกิดขึ้นมากมายแค่ไหน? มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะถูกก่อกวนด้วยวิธีการนี้ และหลังจากที่ตรัสเช่นนี้มานานหลายปี พระวจนะของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ส่งผลต่อชีวิตปกติของมวลมนุษย์บ้างหรือไม่? ไม่เลย และโลกทั้งโลกก็ไม่ได้สนใจหรือได้รับผลจากการนี้เลยแม้แต่น้อย นี่ย่อมทำให้จุดประสงค์ของพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำสัมฤทธิ์โดยสมบูรณ์ หากไม่มีพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ พระราชกิจนี้คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นมีการซ่อนเร้นอยู่ พระเจ้าไม่ประสงค์ให้โลกทั้งโลกและมวลมนุษย์ทั้งปวงรู้ถึงการนี้ พระองค์ไม่ประสงค์ให้ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรรู้ถึงการนี้ พระองค์ทรงแสดงพระวจนะเหล่านี้ได้ในสภาวะซ่อนเร้นเท่านั้น ดังนั้น การทรงนำเอาวิธีการบังเกิดเป็นมนุษย์มาใช้จึงเปี่ยมความหมายมากที่สุด ทั้งยังเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดที่สุดอีกด้วย มีเพียงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นที่พระราชกิจนี้ยังคงเป็นความลับได้ นี่คือพระปัญญาและมหิทธานุภาพของพระเจ้าสำหรับการประสูติเป็นมนุษย์ของพระองค์เพื่อดำรงพระชนม์ชีพในพื้นที่เดียวกันกับมวลมนุษย์ จัดเตรียมความจริงให้มวลมนุษย์ในภาษาของพวกเขา ในหนทางและในรูปแบบที่มวลมนุษย์สามารถยอมรับได้ นี่คือสิ่งที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่เกินความสามารถของมวลมนุษย์ ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับแผนการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า หากมนุษย์อธิบายแผนการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพียงด้านเดียวว่าเป็นสิ่งที่ทำไปเพราะความรักเท่านั้น นั่นคงจะเรียบง่ายเกินไป ขัดกับข้อเท็จจริง และไม่ชอบด้วยเหตุผลโดยแท้จริง สรุปก็คือ ไม่ว่าเนื้อหาสาระของพระราชกิจที่ทรงทำคืออะไร รูปแบบของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ โดยแท้แล้วก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนอย่างมาก ทั้งยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญไปทั่วโลกและในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่เพียงใด ข้อเท็จจริงและรูปแบบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันทั่วทั้งโลกและทั่วทั้งชุมชนศาสนา นี่คือเหตุการณ์ที่มวลมนุษย์เป็นปฏิปักษ์ เหตุการณ์ที่มวลมนุษย์กล่าวโทษและบอกปัด อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่มวลมนุษย์จินตนาการและหยั่งถึงได้ยากมากที่สุด การที่พระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจในหนทางนี้แสดงให้เห็นถึงพระปัญญา ฤทธานุภาพ มหิทธานุภาพ และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระราชกิจนี้ไม่ได้ทำไปเพราะความรักเล็กๆ น้อยๆ หรือทำเพราะเรื่องสัพเพเหระบางเรื่องหรือเหตุผลที่เล็กราวกับเมล็ดงาแต่อย่างใด จึงกล่าวได้ว่า เหตุการณ์ใหญ่ที่สามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งโลกศาสนา ทั่วทั้งโลกการเมือง มวลมนุษย์ทั้งปวง และแม้กระทั่งทั้งจักรวาลได้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความรัก แต่เพราะแผนการบริหารจัดการและพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชกิจในระยะที่สามของพระเจ้า นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งผู้คนควรเข้าใจ รู้จัก และทำความเข้าใจ หากเจ้าเพียงแต่นิยามมินิตนี้ว่า “นี่เป็นเพราะความรักของพระเจ้า พระเจ้าทรงรักพวกเรา เห็นไหมว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อพวกเราเพราะความรักมาแล้วครั้งหนึ่ง และคราวนี้พระองค์ก็ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาเพื่อรักพวกเราอีกครั้งหนึ่ง”—นี่ย่อมเป็นความผิดมหันต์มิใช่หรือ? การนิยามนิมิตอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นของพระราชกิจของพระเจ้าว่าเป็นการทำไปเพราะความรักนั้นเป็นเรื่องที่ตื้นเขินเกินไป หากเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ช่างเถิด แต่รีบปิดปากของเจ้าเสีย อย่าพูดเรื่องไร้สาระ และอย่าแสดงความคิดเห็นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ก่อนหน้านี้เราได้บอกพวกเจ้าไปแล้วว่า ผู้คนไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสิน ตีกรอบโดยไม่ใช้ความคิด หรือสรุปสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า และนิมิตของพระราชกิจของพระเจ้าตามอำเภอใจ หากเจ้าไม่เข้าใจ ก็จงยอมรับว่าเจ้าไม่เข้าใจ หากเจ้าเข้าใจเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วจงรีบกล่าวว่า “ฉันเข้าใจเพียงเท่านี้ ฉันไม่กล้าตีกรอบเอาเองตามอำเภอใจ และฉันก็ไม่รู้ว่าเข้าใจแบบนี้ถูกต้องหรือไม่” เจ้าต้องเพิ่มคำอธิบายและการชี้แจงประเภทนี้เข้าไป—จงอย่าพูดโดยไม่พิจารณา หากเจ้าพูดโดยไม่พิจารณา เช่นนั้นแล้ว ในระดับเล็กน้อย เจ้าย่อมสามารถสร้างอิทธิพลผิดๆ ต่อผู้อื่น ทำให้พวกเขาเกิดความเข้าใจผิด และชี้นำพวกเขาไปในทางที่ผิดได้ ส่วนในระดับใหญ่ เจ้าอาจจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ เจ้าบรรยายลักษณะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดว่าคือความรัก คือสิ่งที่ทำไปเพราะความรัก—นี่คือการพูดจาไร้สาระมิใช่หรือ? ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้ควรถูกตบหน้าหรือไม่? (ควร) เหตุใดพวกเขาจึงควรถูกตบหน้า? เพราะนี่คือการพูดโดยไม่คิด นี่คือการกล่าวถึงสิ่งทั้งหลายโดยไม่อ้างอิงบริบท นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหังมิใช่หรือ? เจ้าเพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ? เจ้าเคยเห็นพระองค์บ้างหรือไม่? เจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์หรือไม่? เจ้าไม่สามารถอธิบายความจริงเกี่ยวกับนิมิตของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนหรืออย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เจ้าก็ยังกล้าที่จะนิยามแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่คือการเห่อเหิมอย่างที่สุดมิใช่หรือ? เจ้ากล้าใช้คำว่า “ความรัก” มานิยามเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นี่คือสิ่งที่ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า การก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นการกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่? ใช่แล้ว บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ แล้วฉันก็ไม่เข้าใจด้วย” ถูกต้อง นี่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้และไม่เข้าใจนั่นเอง และเพราะเจ้าไม่รู้ความและโง่เขลา เจ้าจึงไม่ควรพูดไปโดยไม่คิด ในฐานะคนธรรมดา เจ้าสามารถสรุปกิจธุระของพระเจ้าไปเรื่อยเปื่อยหรือตัดสินเรื่องนี้ตามอำเภอใจได้หรือ? ถึงแม้ว่าจะเอามวลมนุษย์ทั้งหมดมารวมกันก็ไม่สามารถอธิบายกิจธุระของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน แต่ตัวเจ้าคนเดียวกลับต้องการที่จะนิยามพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และแก่นแท้ของพระองค์ด้วยคำพูดเพียงหนึ่งหรือสองคำ นี่คือการก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้ว ในเพลงนมัสการเพลงนี้ย่อมมีปัญหาร้ายแรงอยู่ ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยคำพูดที่เลอะเลือน ว่างเปล่า และหมิ่นประมาทเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเพลงนี้ยังสามารถชี้นำผู้คนแบบผิดๆ ชักพาพวกเขาให้หลงผิด และทำให้พวกเขาติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตนอีกด้วย เมื่อพิจารณาจากผลกระทบอันร้ายแรงแล้วยังสามารถเก็บเพลงนมัสการเพลงนี้ไว้ได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน เพลงนี้ต้องถูกยกเลิกไปเสีย
ต่อไปคือ “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์” คำพูดเหล่านี้ตีกรอบสิ่งทั้งหลายในหนทางที่น่าสะอิดสะเอียนมิใช่หรือ? (ใช่) จงอ่านต่อไป “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ด้วยพระวจนะของพระองค์” บอกเราทีเถิดว่า เมื่อพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะที่รุนแรงเพื่อเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์หรือเป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชังมนุษย์? (นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชังมนุษย์) พระเจ้าทรงรังเกียจมนุษย์ แล้วนี่คือพระอุปนิสัยใดของพระองค์? (ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์) ถูกต้อง นี่ไม่ใช่เพราะความรัก การที่ผู้คนนิยามสิ่งทั้งหลายเช่นนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและเข้าใจผิดมิใช่หรือ? ในคำกล่าวนี้มีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับความจริงอยู่บ้างหรือไม่? นี่เป็นความเข้าใจเพียงด้านเดียวและบิดเบือน เป็นการตีความผิด และเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บรรทัดดังกล่าวเป็นการอธิบายลักษณะอย่างไม่ถูกต้อง ต่อมา จงดูเนื้อร้องที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงทดสอบ ทรงถลุง ทรงตัดแต่งพวกเราเพื่อชำระความเสื่อมทรามของพวกเราให้บริสุทธิ์” นี่ก็มีปัญหาเหมือนกับบรรทัดก่อนหน้านี้มิใช่หรือ? (ใช่) มีปัญหาเดียวกัน และถัดลงมาที่ว่า “โอ้ พระเจ้า! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์และพระวจนะของพระองค์คือความรัก” นี่เป็นการตีกรอบพระเจ้าอีกแล้วมิใช่หรือ? สิ่งที่พระเจ้าทรงเผยให้เห็นคืออะไร? นั่นก็คือความบริสุทธิ์และความน่ารักของพระองค์ รวมถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระพิโรธ บารมี รวมไปถึงความเมตตาและความกรุณา ดังนั้นจะกล่าวได้อย่างไรว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความรัก? การตีกรอบเช่นนี้เป็นไปโดยพลการและน่าสะอิดสะเอียนนัก! นี่เป็นเพราะความโอหังมิใช่หรือ? สิ่งที่ผู้แต่งเพลงนมัสการกำลังอธิบายและสรุปความอยู่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับแก่นนิสัยที่พระวจนะและถ้อยดำรัสของพระเจ้าเผยให้เห็นเลย แล้วจากนั้นก็ยังกล่าวว่าทุกสิ่งคือความรัก ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังบิดเบือนและไม่ถูกต้องอีกด้วย—นี่คือการอธิบายลักษณะที่ผิดโดยสิ้นเชิง ความรักเป็นภาวะอารมณ์อย่างหนึ่ง ทั้งยังสามารถแสดงออกในรูปของการกระทำหรือพฤติกรรมได้อีกด้วย แต่ความรักก็ไม่ใช่แก่นแท้ที่เป็นหัวใจหลักของพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงรักผู้คนไปเสียทุกคน เป็นไปได้ไหมว่าความรักของพระเจ้านั้นท่วมท้นเสียจนไม่มีพื้นที่เพียงพอ จนถึงจุดที่พระองค์ทรงรักแม้กระทั่งซาตาน มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทราม และศัตรูของพระองค์? เป็นเช่นนั้นหรือ? ความรักของพระเจ้านั้นมิได้ไร้ซึ่งหลักธรรม แต่นี่คือสิ่งที่มีหลักธรรม พระองค์ทรงรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและทรงเกลียดชังสิ่งทั้งหลายที่ชั่วและเป็นลบ จงบอกเราทีเถิดว่า พระเจ้าทรงรักผู้คนที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจใช่หรือไม่? พระองค์ทรงรักบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดีใช่หรือไม่? พระองค์ทรงรักบรรดาผู้ที่นบนอบพระองค์ใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงรักผู้คนที่มีการกลับใจอย่างแท้จริง นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ผ่านทางการได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ใช่หรือไม่? หากผู้คนเข้าใจความจริงและเกลียดชังอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง เช่นนั้นแล้ว “ความเกลียดชัง” ของพวกเขาย่อมเป็นสิ่งที่เป็นบวก และพระเจ้าทรงรักพวกเขาใช่หรือไม่? (ใช่) บรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้คือคนที่เป็นบวก และบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ย่อมเป็นบวกมากขึ้นไปอีก นี่คือคนที่เป็นบวกที่พระเจ้าทรงรัก พระองค์ทรงเกลียดหมู่มารและซาตาน พวกที่พระองค์ทรงสาปแช่งและทรงลงโทษล้วนเป็นคนชั่ว แต่บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงรักล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ด้วยเหตุนี้ ความรักของพระเจ้าจึงมีหลักธรรม มิใช่สิ่งที่ไร้หลักธรรม สำหรับคนบางคนพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงรักพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจให้ชัดเจน คนเราไม่สามารถหลับหูหลับตานิยามความรักของพระเจ้าได้ การกล่าวถึงความรักของพระเจ้าอย่างไม่ระมัดระวังและนิยามสิ่งนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าย่อมเป็นการตัดสินและหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ดูเนื้อร้องต่อไปกันเถิด การกล่าวว่า “โอ้ พระเจ้า! ความรักของพระองค์มิใช่เพียงความเมตตาและความกรุณา แต่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นการตีสอนและการพิพากษา” ถูกต้องหรือไม่? (คำกล่าวนี้ถูกต้องในทางทฤษฎี แต่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง) คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มีปัญหาในทางทฤษฎี แต่การนำมาเชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าก็เกินจริงไปมาก คำพูดเหล่านี้ไม่ควรถือว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ควรถือว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไร้สาระเสียจนแทบไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึง เลื่อนลงมาดูเนื้อร้องที่ว่า “โอ้ พระเจ้า! การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นความรักที่แท้จริงที่สุดและเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” พวกเจ้าทุกคนคิดอย่างไรกับบรรทัดนี้? (บรรทัดนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าให้เป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความรอดของพระเจ้าไม่ได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น) การตรึงกางเขนของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ รวมถึงการที่พระองค์ทรงไถ่และแบกรับบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงมิใช่ความรักแท้จริงที่สุดหรอกหรือ? สิ่งเหล่านี้คือความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้วหากเปรียบเทียบกับการพิพากษาและการตีสอน สิ่งใดเล่าที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุด”? อันที่จริง หากวิเคราะห์อย่างจริงจัง คำกล่าวนี้ย่อมไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ทั้งยังเป็นการตีกรอบมากจนเกินไป เรื่องนี้ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น ไม่ควรกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำคือความรัก แต่กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำมีผลที่เป็นบวกต่อผู้คน และทั้งหมดนี้คือความรอดและความกรุณาที่ทรงมีต่อผู้คน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนทำไปเพื่อมวลมนุษย์ หากเจ้ากล่าวว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเป็น “ที่สุด” ยกชูสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่ระดับสูงสุด การนี้ย่อมไม่ถูกต้อง สิ่งที่เป็น “ที่สุด” ควรมีเพียงหนึ่งเดียวโดยไม่มีการเปรียบเทียบ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชกิจอื่นของพระเจ้า ครั้งหนึ่งมีใครบางคนแต่งเพลงนมัสการ และเนื้อร้องส่วนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามากกว่าความเมตตาและความกรุณาของพระองค์” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง? (คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง) คำพูดเหล่านี้มีปัญหาตรงไหนหรือ? (คำพูดเหล่านี้แบ่งความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความเมตตา และความกรุณาของพระเจ้าเป็นลำดับชั้น) ที่จริงแล้วคำกล่าวนี้ถูกต้อง และนี่ก็ประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้คนหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ภูมิหลังของประสบการณ์ที่แท้จริงนี้คืออะไร? เรื่องนี้เป็นดังนี้ เมื่อใครบางคนชื่นชมความเมตตาและความกรุณาของพระเจ้า พวกเขาย่อมสามารถได้รับแค่เพียงพระคุณเท่านั้น พวกเขาไม่มีวันตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และไม่มีวันทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปได้ ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า รวมถึงสู้ทนความเจ็บปวดจากบททดสอบและการถลุงมากมาย—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ไปจากตนได้ ด้วยเหตุนั้น ภายใต้สมมุติฐานนี้และในบริบทนี้ นี่ย่อมเป็นความเข้าใจที่ผู้คนได้มา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่ตรรกะในทางทฤษฎี เพลงนมัสการเพลงนี้มีประโยชน์ แต่กลับไม่มีพวกเจ้าคนใดมองเห็นเลย พวกเจ้าช่างขาดวิจารณญาณกันจริงๆ การขาดวิจารณญาณเช่นนี้ยืนยันในเรื่องใด? เหตุผลของการขาดพร่องเช่นนี้คืออะไร? เหตุผลคือการไม่เข้าใจความจริง เพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” เต็มไปด้วยความไร้สาระ เพลงนี้ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เราไม่ชอบเพลงนี้ และเราจะไม่ยอมร้องแม้แต่คำเดียว พวกเจ้าทุกคนต้องมีวุฒิภาวะน้อยเพียงใด ถึงได้พากันร้องเพลงนี้ด้วยความกระตือรือร้นและเร้าใจผู้อื่นเช่นนั้น! พวกเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งใดได้เลย และพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจความจริงที่ผู้คนควรเข้าสู่เสียด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้าก็ยังอยากแสดงความคิดเห็นต่อแก่นแท้ของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์ นี่คือการขาดเหตุผลมิใช่หรือ? ผู้คนที่ไม่มีเหตุผลซึ่งกล้าโพล่งในสิ่งที่ไม่สมควรพูดย่อมไม่เอาใจใส่ในหน้าที่อันถูกควรของตน พวกเขาไม่มุ่งเน้นการปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย
เนื้อเพลงต่อมาที่ว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ และพระองค์ทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา” แน่นอนว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่พระเจ้าทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ แต่หากผู้คนรู้จักพระองค์ในหนทางนี้ จะถือเป็นการสรรเสริญพระเจ้าได้หรือ? สมมุติว่าพระเจ้าไม่ทรงรักใครคนหนึ่ง พระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชังเขาอย่างที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น หากคนคนนี้ยังสามารถรักและสรรเสริญพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นคนที่พอมีวุฒิภาวะและมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง ในบรรทัดที่ว่า “พวกเราจะเป็นพยานให้ความรักอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ และพระองค์ทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ของพวกเรา” มีคำคุณศัพท์คำใดบ้างที่ขยายความคำว่า “ความรักของพระเจ้า”? คำว่า “บริสุทธิ์” และ “ชอบธรรม” นั่นเอง ดูเอาเถิดว่าผู้แต่งเพลงนมัสการเชื่อว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใดจากการใช้แก่นแท้ของพระเจ้ามานิยามความรักของพระเจ้า โดยกล่าวว่าความรักของพระเจ้าคือความรักอันชอบธรรมและบริสุทธิ์—นี่เป็นสิ่งที่ชัดแจ้งในตัวเองมิใช่หรือ? ผู้คนไม่เต็มใจที่จะชื่นชมยินดีกับความรักธรรมดาทั่วไป และพวกเขาก็ไม่ชื่นชมยินดีกับความรักอันเปี่ยมกรุณาหรือความรักที่ทะนุถนอมผู้คน พวกเขาจะสรรเสริญพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ชื่นชมยินดีกับความรักที่บริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์เท่านั้น และนี่คือเหตุผลที่พวกเขากล่าวว่าพระเจ้าทรงสมควรแก่การสรรเสริญอันเป็นนิรันดร์ เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจากข้อเท็จจริงหรือจากการใช้เหตุผลในทางตรรกะ คำกล่าวนี้ก็ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง นี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ นี่คือ การที่คนป่วยทางจิตพรั่งพรูคำพูดยืดยาวที่ไร้สาระเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด เจ้าคิดว่านี่คือโลกของเนื้อหนังหรือ? ในโลกใบนี้ มีเหล่าวิญญาณชั่วและโสมมทุกประเภท คนทุกลักษณะนิสัยและคนชั้นต่ำที่สร้างปัญหาทุกประเภท รวมถึงคนที่พอมีทักษะ พูดจาฉะฉาน หรือมีความอวดดี ทั้งหมดกล้าที่จะขึ้นเวทีและแสดงความคิดเห็น แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงคือสิ่งที่ครองสิทธิอำนาจ เหล่าลูกหลานปีศาจต้องถูกนำลงจากเวทีทั้งหมด พวกเขาต้องถูกชำระออกจากคริสตจักร ความเห็นนอกรีตและตรรกะวิบัติทั้งปวงของพวกเขาต้องถูกชำแหละ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะและระบุลักษณะของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเปิดเผย เมื่อมองดูในตอนนี้ ความรักของพระเจ้าคืออะไร? หากเจ้ากล่าวว่าคือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ คำตอบนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง ความรักของพระเจ้าไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้) เช่นนั้นแล้วความรักของพระเจ้าคืออะไร? (ความรักของพระเจ้ายังเป็นการพิพากษาและการตีสอน รวมถึงพระพิโรธและบารมีอีกด้วย ทั้งหมดนี้คือความรักของพระเจ้า) ความรักของพระเจ้าคือความรักของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้าก็คือแก่นแท้ของพระเจ้า ความรักของพระเจ้านั้นอยู่ในพระดำริหรือพระทัยของพระองค์ ในความรู้สึก ในแก่นแท้ และในกิจการของพระองค์ เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจนหรือไม่? ถึงเจ้ากล่าวว่าความรักของพระเจ้าคือความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ แต่เจ้าก็ยังกล้านิยามความรักของพระเจ้าในหนทางนั้น—เจ้าช่างไร้ยางอายเหลือเกิน! พระเจ้าทรงยอมรับการที่เจ้าใช้คำจำกัดความดังกล่าวมาสรรเสริญพระองค์หรือไม่? (พระองค์ไม่ทรงยอมรับ) เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงยอมรับ? (เพราะนี่เป็นการหมิ่นประมาทพระองค์) พระเจ้าทรงรังเกียจ และเจ้าก็กำลังพูดจาไร้สาระอย่างที่สุด! การหลับหูหลับตาสรรเสริญของเจ้านั้นไร้ประโยชน์ และพระเจ้าก็ไม่ได้พอพระทัยกับสิ่งนั้น พระเจ้าไม่ประสงค์การสรรเสริญจากมวลมนุษย์มากมายขนาดนั้น พระองค์ไม่ทรงมีพระปรารถนาในเรื่องนี้ ใช่ว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีการสรรเสริญจากมนุษย์เพื่อดำรงพระชนม์ชีพอย่างสะดวกสบายหรือเพื่อให้ทรงมีความมั่นใจ พระองค์ทรงมีความจำเป็นนี้หรือไม่? (พระองค์ไม่มีความจำเป็น) พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำคือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด อีกทั้งประทานบั้นปลายที่ดีให้มวลมนุษย์ และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจบางอย่างเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ในยุคถัดไป แต่จุดประสงค์ของการนี้มิใช่เพื่อให้ได้รับการสรรเสริญจากผู้คน เพียงแต่การที่มวลมนุษย์ถวายการสรรเสริญพระเจ้าเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระองค์ แต่หากผู้คนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและหลับหูหลับตาสรรเสริญพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาต และพระองค์จะไม่ทรงยอมรับการสรรเสริญนั้น หากผู้คนเอาแต่ใจตนเองมากเสียจนรู้สึกว่าการสรรเสริญพระเจ้าของมวลมนุษย์สำคัญกับพระองค์เป็นอย่างยิ่ง นั่นย่อมเป็นการตีความที่ผิดพลาดมิใช่หรือ? เนื่องจากมวลมนุษย์มีการสรรเสริญพระเจ้าและมีคำพยานอยู่บ้างเล็กน้อย พวกเขาจึงคิดว่าพระเจ้าทรงซาบซึ้งพระทัยอย่างเหลือแสน ทว่าในความเป็นจริงพระองค์ไม่ได้ซาบซึ้งพระทัยเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสมควรได้รับมิใช่หรือ? นี่เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก
ดูเนื้อเพลงต่อไปที่ว่า “เพื่อความรัก พระเจ้าทรงนำพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมาทำงานรับใช้ เพื่อที่พวกเราอาจจะได้รับความจริงและชีวิต” บรรทัดนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เนื้อเพลงบรรทัดนี้มีปัญหาตรงไหนหรือ? ที่คำว่า “เพื่อความรัก” ใช่หรือไม่? ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะสองคำแรกที่ชวนให้เข้าใจผิดและชักพาผู้คนให้หลงผิดมากเสียจนสร้างความสับสนในจิตใจของผู้คน พลอยให้พวกเขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างถูกและผิดได้ ต่อไปจงอย่าใช้คำว่า “เพื่อความรัก” แบบผิดๆ อีก หลังจากสองคำนั้นแล้ว ประโยคที่ว่า “พระเจ้าทรงนำพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมาทำงานรับใช้ เพื่อที่พวกเราอาจจะได้รับความจริงและชีวิต” เป็นความจริง เนื้อหาดังกล่าวมีอยู่ในพระราชกิจของพระเจ้า แต่การระบุว่านี่คือความรักของพระเจ้าย่อมจะไม่ถูกต้อง นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และพระปัญญาของพระเจ้า นี่ไม่ใช่เพราะความรักของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพในการรวบรวมผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้มาทำงานรับใช้มวลมนุษย์ที่พระองค์ประสงค์จะช่วยให้รอด พระองค์ทรงรวบรวมสรรพสิ่งและเรื่องราวทั้งหมดให้มารับใช้มวลมนุษย์ที่พระองค์ประสงค์จะช่วยให้รอดและรับใช้แผนการบริหารจัดการของพระองค์ และผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนี้ก็คือมวลมนุษย์—ผู้คนได้รับความจริงและชีวิตนั่นเอง หากเจ้ากล่าวเพียงว่าการนี้เป็นไปเพราะความรัก เช่นนั้นแล้วพระปัญญา สิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปหรือ? การกล่าวว่านี่เป็นเพราะความรักเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ถูกต้อง ดังนั้น การวางทิศทางและการวางตำแหน่งของคำกล่าวนี้จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน การบอกว่าคำกล่าวทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้องหมายความว่าอย่างไร? คำกล่าวเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับความจริง เป็นการกล่าวออกมาในหนทางที่บิดเบือน ไม่ใช่ความเป็นจริงของความจริง และไม่ใช่ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงที่ผู้คนได้รับประสบการณ์
จงดูบรรทัดต่อไปที่ว่า “เพื่อความรัก การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าสามารถทำให้พวกเราหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด” บรรทัดนี้มีปัญหาหรือไม่? คำว่า “เพื่อความรัก” ยังคงเป็นสมมุติฐานที่ไม่เหมาะสม ส่วนวลีที่ว่า “การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าสามารถทำให้พวกเราหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด” ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะนี่คือผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้า—แต่เหตุใดผู้แต่งเพลงนมัสการจึงต้องใส่คำว่า “เพื่อความรัก” ไว้ข้างหน้าเสมอเล่า? พวกเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนใดจากเรื่องนี้? ในเรื่องของการแสดงความเห็น การนิยาม หรือการตีกรอบแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้น พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งต้องมีท่าทีที่ถ่อมตนและรอบคอบ หากพวกเจ้าสามารถพูดเรื่องไร้สาระโดยไม่อาจควบคุมได้ และหากทุกสิ่งที่เจ้าพูดเป็นคำพูดที่ว่างเปล่าและไร้สาระ พูดเกินจริง และหมิ่นประมาท เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นเหตุให้พระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชังเจ้า หากพูดแบบคร่าวๆ ก็คือ เมื่อเปรียบเทียบกับแก่นแท้ของพระเจ้าแล้ว ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่มนุษย์มีเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรหรือเป็นเพียงทรายเม็ดหนึ่งบนชายหาดเท่านั้น ช่องว่างระหว่างสองสิ่งนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล และหากผู้คนยังคงกล้าตีกรอบสิ่งทั้งหลายและสรุปความตามอำเภอใจ ปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดของตนราวกับเป็นความจริงและเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดโดยไร้เหตุผล เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่ที่ว่าคืออะไร? (การหมิ่นประมาทพระเจ้า) การหมิ่นประมาทพระเจ้าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงและก่อให้เกิดปัญหาในธรรมชาติ หากเจตจำนงส่วนตัวของเจ้าไม่ต้องการที่จะหมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรยึดมั่นในสิ่งที่เราเพิ่งบอกพวกเจ้าทุกคนไป นั่นคือ จงระมัดระวังและระวังคำพูดของเจ้า การระวังคำพูดของคนเราหมายถึงอะไร? (การไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระเจ้าและตีกรอบพระองค์ตามใจชอบ) ถูกต้อง สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิมิต คำว่า “เกี่ยวข้องกับนิมิต” เป็นเพียงคำกล่าวทั่วไป หากกล่าวให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น การนี้สัมพันธ์กับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผนการบริหารจัดการ พระราชกิจ และแก่นพระอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้น จงพูดและปฏิบัติตนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิมิตเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง และจงอย่าตีกรอบหรือตัดสินตามอำเภอใจ บางคนกล่าวว่า “นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิด” แต่การที่เจ้าคิดเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่? จงอย่าคิดว่าตนเองถูกและทำตัวโอหังเกินไปนัก หากสิ่งที่เจ้าคิดไม่ถูกต้อง อีกทั้งเจ้ายังคงพูดจาไร้สาระและตีกรอบสิ่งทั้งหลายตามอำเภอใจ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นการตัดสิน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาท—เจ้าอาจจะได้รับในสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึงทีเดียว คนบางคนไม่อาจทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้และกล่าวว่า “ข้าพระองค์มองเห็นสิ่งต่างๆ แบบนั้น หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์พูด ก็เท่ากับพระองค์กำลังทรงขอให้ข้าพระองค์อำพรางตนเอง” นั่นจะเป็นการขอให้เจ้าอำพรางตนได้อย่างไร? นี่คือการแนะนำให้เจ้าระมัดระวังและไม่พูดในสิ่งที่เจ้ายังไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนและยังไม่ได้รับการยืนยัน การนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า เป็นการคุ้มครองเจ้า หากสิ่งที่เจ้าคิดนั้นผิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อเจ้าพูดออกไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อคำพูดของเจ้า ใครก็ตามที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งกระทำความชั่วมาอย่างมากมายนั้น ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาคืออะไร? พวกเขาต้องแบกรับความผิดชอบต่อการกระทำของตน และคริสตจักรต้องจัดการกับพวกเขา ด้วยเหตุนั้น หากเจ้ามีแนวคิดหรือความเข้าใจบางอย่าง การที่เจ้ายืนยันสิ่งนั้นก่อนพูดย่อมเป็นเป็นเรื่องดีที่สุด เจ้าจำเป็นต้องมีพื้นฐานตามข้อเท็จจริงและข้อสนับสนุนทางทฤษฎีที่เพียงพอเสียก่อนจึงจะเขียนเป็นบทความ เรียบเรียงเป็นข้อความ หรือแต่งเป็นเพลงนมัสการได้ หากเจ้ามีข้อเท็จจริงและข้อสนับสนุนทางทฤษฎีไม่เพียงพอ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงที่เจ้าต้องการสร้างขึ้นหรือสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็น “ความจริง” ย่อมไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเกินไป สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงทฤษฎีที่ว่างเปล่าและเป็นคำพูดที่ชักพาให้หลงผิด อาจกล่าวได้ว่า เจ้าเป็นคนประมาทที่ไร้ความเกรงกลัว และเจ้าก็กำลังกล่าวคำพูดหมิ่นประมาทออกมา
พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงเอาไว้มากมายนับตั้งแต่เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์จวบจนถึงตอนนี้ ทั้งยังมีพระวจนะมากมายที่เกี่ยวข้องกับสภาวะและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลาย รวมไปถึงความต้องการนานาประการของผู้คน การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่ามีเพลงนมัสการมากมายที่สามารถเขียนถึงหัวข้อเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้คน ความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของผู้คน และความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้าของผู้คน เจ้าสามารถเขียนเกี่ยวกับแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าเคยมีประสบการณ์ หากเจ้าไม่มีประสบการณ์ ก็จงอย่าเขียนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หากเจ้ามีประสบการณ์แต่ไม่ถนัดเรื่องการแต่งเพลงนมัสการ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถหาคนที่เข้าใจเพลงนมัสการเพื่อให้การชี้นำก่อนแต่งเพลง แน่นอนว่าคนที่ไม่เข้าใจเพลงนมัสการควรหลีกเลี่ยงการแต่งเพลงอย่างไม่ไตร่ตรองเพียงเพื่อให้จบเพลง ผู้คนที่แต่งเพลงนมัสการต้องมีประสบการณ์ และเข้าใจหลักธรรมด้วย พวกเขาต้องพูดจากหัวใจและกล่าวคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อให้เพลงนมัสการที่แต่งขึ้นมาสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้คนได้ เพลงนมัสการบางเพลงไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย ทว่าเป็นเพียงคำพูดและคำสอนที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้คน การไม่แต่งเพลงนมัสการประเภทนี้เลยย่อมจะดีเสียกว่า บางคนแต่งเพลงนมัสการและให้ผู้อื่นปรับแก้ และคนที่ปรับแก้เพลงนมัสการเหล่านั้นก็ไม่มีประสบการณ์ แต่กลับแสร้งว่ามีประสบการณ์และมีความสามารถพิเศษทางวรรณกรรม นี่คือการหลอกลวงมิใช่หรือ? พวกเขาไม่มีประสบการณ์ของตนเอง แต่พวกเขายังคงต้องการที่จะปรับแก้เพลงนมัสการให้ผู้อื่น—พวกเขาขาดการรู้จักตนเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่มีความรู้ที่แท้จริงจึงไม่ควรแต่งเพลงนมัสการโดยเด็ดขาด ในแง่หนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น และในอีกแง่หนึ่งนั้น พวกเขาย่อมจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนโง่
การร้องเพลงนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของการสรรเสริญพระเจ้า รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณและการทบทวนตนเอง ซึ่งเปิดโอกาสให้ตนเองได้รับประโยชน์จากการนี้ กุญแจสำคัญที่จะบอกได้ว่าเพลงนมัสการเพลงหนึ่งมีคุณค่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเพลงดังกล่าวเป็นประโยชน์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่ หากเพลงนั้นเป็นเพลงนมัสการจากประสบการณ์ที่ดี ในเพลงนั้นย่อมจะมีคำพูดมากมายที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คน คำพูดที่เป็นประโยชน์หมายถึงอะไร? หมายถึงเนื้อเพลงที่เจ้าสามารถนึกถึงได้ทุกครั้งที่เผชิญกับบางสิ่งบางอย่างในประสบการณ์ของเจ้า คำพูดเหล่านี้สามารถมอบทิศทางและเส้นทางในการปฏิบัติให้แก่เจ้า คำพูดเหล่านี้สามารถให้การช่วยเหลือ ให้แรงบันดาลใจ และให้การชี้นำบางอย่าง หรือสามารถมอบความสว่างแก่เจ้าได้บ้างเพื่อให้เจ้าได้พบตำแหน่งที่เจ้าควรยืน ท่าทีที่เจ้าควรนำมาใช้ จุดยืนที่เจ้าควรยึดถือ ความเชื่อที่เจ้าควรมี และเส้นทางที่เจ้าควรปฏิบัติจากคำพูดซึ่งมาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ หรือคำพูดเหล่านี้อาจทำให้เจ้าตระหนักถึงแง่มุมบางอย่างในการบิดเบือนของตนเอง รับรู้ถึงแง่มุมบางอย่างในสภาวะอันเสื่อมทรามของตนเอง การเผยความเสื่อมทรามของตน หรือความคิดและแนวคิดของตน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้คน เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้คน? เพราะสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง ทั้งยังเป็นประสบการณ์และการตระหนักรู้ของผู้คน หากในเนื้อเพลงมีสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยแท้ซึ่งสามารถเป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์ชีวิตของเจ้า การช่วยเหลือ การชี้นำ การให้ความรู้แจ้ง หรือการตักเตือนเจ้าให้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน เช่นนั้นแล้ว คำพูดเหล่านี้ย่อมมีคุณค่าและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ถึงแม้เนื้อเพลงบางส่วนจะดูเรียบง่าย สิ่งเหล่านั้นก็สัมพันธ์กับชีวิตจริง เนื้อเพลงบางส่วนอาจจะแต่งได้ไม่สละสลวยนัก อาจจะไม่คล้ายกับบทกวีหรืองานประพันธ์ และล้วนเป็นภาษาพูดที่จริงใจ แต่หากคำพูดเหล่านั้นแสดงถึงความเข้าใจต่อความจริงและถ่ายทอดประสบการณ์ที่แท้จริงของความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเนื้อเพลงดังกล่าวย่อมเป็นที่เจริญใจต่อเจ้า สัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีคุณค่า ความลำบากยากเย็นที่ใหญ่หลวงที่สุดที่พวกเจ้าทุกคนมีในตอนนี้คือพวกเจ้าไม่รู้วิธีแยกแยะ พวกเจ้าไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเนื้อเพลงนั้นเป็นคำพูดว่างเปล่า หรือเป็นคำพูดและคำสอน ไม่ว่าเนื้อเพลงเป็นเช่นไรพวกเจ้าก็ยอมรับได้ พวกเจ้าไม่ไตร่ตรองว่าเนื้อเพลงนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ มีความสว่างของความจริงหรือไม่ มีประโยชน์ต่อผู้คนหรือเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าบ้างหรือไม่—ในใจเจ้าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เลย และหลังจากที่ร้องเพลงนมัสการทั้งหลายไปแล้ว พวกเจ้ายังคงคิดว่าเพลงเหล่านั้นช่างไพเราะและงดงามทีเดียว แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าเพลงเหล่านั้นได้ส่งผลอย่างไรต่อเจ้าบ้าง นี่คือคนที่ขาดพร่องวิจารณญาณแยกแยะมิใช่หรือ?
มีเพลงนมัสการเพลงหนึ่งชื่อว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” และทุกบรรทัดในเพลงนมัสการนั้นล้วนเป็นการตระหนักรู้ที่มาจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างใหญ่หลวง—พวกเจ้าเคยได้ยินเพลงนั้นบ้างหรือไม่? ยิ่งเนื้อเพลงดีเท่าไร และยิ่งเจริญใจต่อชีวิตของผู้คนมากเท่าไร พวกเจ้าก็จะยิ่งไม่เต็มใจยอมรับเนื้อเพลงเหล่านั้นมากเท่านั้น พวกเจ้าไม่มองหรือใส่ใจเนื้อเพลงเหล่านั้นเลย พวกเจ้าไม่ได้มองสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ว่าล้ำค่า ไม่รู้วิธีเก็บรักษาสิ่งที่มีคุณค่า—เมื่อพวกเจ้าได้มา พวกเจ้าก็ปล่อยให้สิ่งที่มีคุณค่านี้หลุดมือไป พวกเจ้าทุกคนช่างน่าอนาถและน่าเวทนาเสียจริง! เราได้แนะนำเพลงนมัสการเพลงนี้ไปแล้วหลายครั้งในระหว่างการชุมนุม การร้องเพลงนมัสการเช่นนี้เป็นประจำย่อมส่งผลให้การเข้าสู่ของเจ้าง่ายดายขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตทางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า และต่อการบรรลุการนบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริงของพวกเจ้า ผลที่ตามมาเหล่านี้ไม่สามารถประเมินวัดได้ นี่คือเพลงนมัสการที่มีคุณค่า ดังนั้นเราจึงแนะนำเพลงนี้ แต่ไม่มีพวกเจ้าคนใดร้องเพลงนี้เลย พวกเจ้ายังคงไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง และอะไรคือคำพูดและคำสอน ดังนั้นพวกเจ้าจึงจำเป็นต้องร้องเพลงนมัสการเหล่านี้ให้บ่อยขึ้น และสัมผัสถึงเพลงเหล่านี้อย่างแท้จริง พวกเรามาวิเคราะห์เพลงนี้กันเถิด
บรรทัดแรกของบทเพลงนมัสการนี้กล่าวว่า “เมื่อเลือกที่จะรักพระเจ้าแล้ว ฉันก็จะยอมให้พระองค์ทรงพรากทุกสิ่งไปได้ตามที่ทรงปรารถนา” ทรงพรากสิ่งใดไปบ้าง? ทรงพรากสถานะ ครอบครัว ภาพลักษณ์ และแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของคนเรา องค์ประกอบของการถลุงที่เกิดขึ้นกับโยบมีอะไรบ้าง? พระเจ้าทรงทำสิ่งใด? (พระองค์ทรงพรากเอาทรัพย์สมบัติและลูกๆ ของโยบไป) พระเจ้าทรงพรากทุกสิ่งไปจากเขา และในทันใดนั้นเขาก็หมดสิ้นทุกสิ่ง อีกทั้งทั่วร่างกายก็ปกคลุมไปด้วยฝีร้าย นั่นเองที่เรียกว่าการพรากเอาไป ในเชิงรูปธรรม นี่คือการพรากเอาไป และภาพรวมโดยทั่วไปของการกระทำนี้คือ พระเจ้าทรงต้องการทดสอบโยบ นี่คือบททดสอบ และหนึ่งในงานที่เฉพาะเจาะจงของบททดสอบนี้คือการพรากเอาไป จงดูเนื้อเพลงต่อไปที่กล่าวว่า “แม้จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว” นั่นเป็นท่าทีของมนุษย์มิใช่หรือ? (ใช่) “รู้สึกเศร้าเล็กน้อย” ในทัศนะของพวกเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงพรากสิ่งทั้งหลายไปจากผู้คน พวกเขาย่อมพบว่านี่เป็นเรื่องยากลำบากใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเขาพบว่านี่เป็นเรื่องยากลำบาก พวกเขารู้สึกเจ็บปวด เศร้าใจ สิ้นหวัง และท้อแท้ พวกเขาอยากร้องไห้ฟูมฟายและเป็นกบฏ ในความเสียใจนี้มีรายละเอียดอยู่มากมาย ดังนั้นคำกล่าวนี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงหรือไม่? (ใช่) “ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว” มนุษย์ไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียวอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้คนจำเป็นต้องเพียรพยายามที่จะทำเช่นนี้ให้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และนำท่าทีประเภทนี้มาใช้ คำกล่าวเหล่านี้มีการชี้นำที่เป็นบวกต่อผู้คนใช่หรือไม่? (ใช่) “ฉันก็จะไม่พร่ำบ่นแม้แต่คำเดียว” การไม่พร่ำบ่นเป็นสิ่งที่ผู้คนพึงกระทำ คนเราไม่ควรมีคำพร่ำบ่น หากผู้คนมีคำพร่ำบ่น พวกเขาก็ควรรู้จักตนเองและไม่พร่ำบ่นถึงพระเจ้า พวกเขาควรนบนอบ—นี่คือท่าทีของมนุษย์ที่นบนอบพระเจ้า ผู้คนไม่ควรพร่ำบ่น เพราะการพร่ำบ่นเป็นการกบฏต่อพระราชกิจและบททดสอบของพระเจ้าประเภทหนึ่ง และไม่ใช่การนบนอบที่แท้จริง บรรทัดต่อไปกล่าวว่า “ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน” นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่หากพวกเขาไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจะสามารถเอ่ยคำกล่าวเช่นนี้ได้หรือ? หากผู้คนไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่ยอมรับในเรื่องนี้ หากพวกเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะไม่เอ่ยคำกล่าวเช่นนั้นออกมา ดังนั้นบรรทัดนี้จึงมาจากประสบการณ์ที่แท้จริงของผู้คน วลีที่ว่า “มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน” ดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่ความหมายโดยนัยของวลีนี้คืออะไร? ความหมายโดยนัยก็คือผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาก็สมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน ไม่ว่าการนี้นำมาซึ่งความทุกข์มากเพียงไร นี่ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว—ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง คำพูดเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานของความจริงใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือการยอมรับด้วยตัวเองโดยสมบูรณ์ถึงการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ในขณะเดียวกันก็ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนโดยไม่ลังเล โดยยอมรับว่าการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้าเป็นความรอดสำหรับผู้คน และพระเจ้าควรทรงกระทำในหนทางนี้ นี่เป็นท่าทีของการนบนอบต่อวิธีการทรงพระราชกิจในการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ผู้คนควรมีท่าทีประเภทนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) พวกเขาควรมีท่าทีเช่นนี้โดยแท้ ดังนั้นหลังจากร้องเพลงนมัสการนี้แล้ว เพลงนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้คนใช่หรือไม่? (ใช่) เพลงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร? หากเจ้าไม่ร้องถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่รู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ เจ้าจะไม่รู้ว่าควรมีมุมมองแบบไหน เจ้าควรนบนอบอย่างไร หรือควรนำท่าทีประเภทใดมาใช้ในการนบนอบและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หากเจ้าขับร้องเพลงนมัสการและใคร่ครวญเนื้อเพลงเพลงนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้ดีมากเพียงใด—เจ้าจะรู้สึกว่าเนื้อเพลงเหล่านี้ถูกต้อง เจ้าจะสามารถกล่าวว่า “อาเมน” ต่อถ้อยคำเหล่านี้ และยอมรับว่าเนื้อเพลงเหล่านี้มาจากประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นคำพูดที่สูงส่งใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) แต่คำพูดเหล่านี้นำมาซึ่งการชี้นำที่เป็นบวกแก่เจ้า อีกทั้งจัดเตรียมเส้นทางที่เป็นบวกและกระตือรือร้นให้กับเจ้า เมื่อเจ้าพบว่าตนเองมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และพระเจ้าทรงพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า คำพูดเหล่านี้จะมอบทัศนคติและเส้นทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องให้กับเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องรับรู้ว่าเมื่อผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาควรยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ไม่มีอะไรจะต้องพูด จงอย่าโต้แย้งพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่ อันดับแรกก็คือเจ้าต้องนบนอบ ผู้ใดทำให้เจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม? ผู้ใดทำให้เจ้าต้านทานพระเจ้า? เจ้าสมควรได้รับการพิพากษาและการตีสอน การนบนอบนี้มาจากที่ไหน? นี่คือเส้นทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ? นี่คือเส้นทางในการปฏิบัติ หลังจากขับร้องเนื้อเพลงเหล่านี้แล้วคนเราจะรู้สึกอย่างไร? สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากมิใช่หรือ? เนื้อเพลงทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญยิ่งหรือสูงส่ง เป็นเนื้อเพลงที่ค่อนข้างธรรมดา แต่กลับถ่ายทอดความเป็นจริง และขณะเดียวกันก็มอบเส้นทางในการปฏิบัติให้กับทุกคนที่ร้องเพลงนมัสการเพลงนี้ เนื้อเพลงเหล่านี้อาจไม่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างงดงาม แต่ก็เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง
ดูบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) คำกล่าวนี้ถูกต้องอย่างไร? บางคนกล่าวว่า ‘พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง’ นั่นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? นั่นเป็นคำสอนไม่ใช่หรือ?” บรรทัดนี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานของบรรทัดต่อไปที่ว่า “ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” วลีนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? อารมณ์หรือสภาวะแบบใดที่ทำให้เกิดวลีนี้ขึ้นมา? (หากผู้คนเชื่อโดยแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาย่อมจะไม่เข้าใจพระเจ้าผิดไป) ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เจ้าก็ไม่ควรแปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิดไป แล้วหากเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา เจ้าควรจะทำอย่างไร? จงรีบวางความตั้งใจของตนเองเอาไว้ก่อนและรีบแสวงหาความจริง ในแง่ของคำสอน หากเจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้ายังคงแปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิด ความผิดพลาดในเรื่องนี้คืออะไร? (คือการไม่ยอมรับความจริง) นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนั้นผู้คนจึงควรนบนอบ และไม่แปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดไป ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—นี่คือทฤษฎีหนึ่งที่เจ้าเข้าใจ—แล้วเหตุใดเมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจึงเข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิดไปเล่า? นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้ายังไม่ได้ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้ว บรรทัดนี้จึงทำหน้าที่เป็นคำใบ้มิใช่หรือ? เนื้อเพลงบรรทัดนี้แนะนำเจ้าว่าอย่างไร? (พวกเราต้องเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเราต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้อย่างแน่วแน่) เจ้าต้องเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง นี่คือความจริง ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า จงอย่าถือเอาเจตนาของตนเองเป็นความจริงหรือเป็นวัตถุประสงค์ ในทางกลับกัน เจ้าต้องดูว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร นอกจากนี้ การที่พระเจ้าทรงต้องการทดสอบเจ้านั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่? (ใช่) หากเจ้ายืนยันว่านี่คือความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถแปลเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดได้หรือ? สมมุติว่าเจ้าในใจเจ้าไตร่ตรองวลีทั้งหลาย อย่างเช่น “พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษฉันหรือไม่? หากฉันถูกกล่าวโทษ ฉันจะถูกลงโทษหรือไม่? พระเจ้าทรงเห็นว่าฉันไม่น่าพอพระทัย และจะทรงทำลายฉันอย่างนั้นหรือ?” ทั้งหมดนี้คือการเข้าใจผิดมิใช่หรือ? (ใช่) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเข้าใจผิด ดังนั้นประโยคที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” จึงชี้นำให้พวกเจ้าทุกคนตระหนักอะไรบางสิ่งบางอย่างมิใช่หรือ? นั่นเป็นการชี้นำว่าเจ้าควรหลุดพ้นจากความเข้าใจผิดของตน และยอมรับบททดสอบ การพิพากษา และการตีสอนที่พระเจ้าประทานแก่เจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) รากฐานในการยอมรับคืออะไร? คือการที่เจ้ายอมรับอย่างหนักแน่นว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง พระวจนะเหล่านั้นคือความจริง ผู้คนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และคนที่ผิดก็คือพวกเขา ผู้คนไม่สามารถใช้เจตนาของตนเองมาคาดเดาเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงผิด ดังนั้นเมื่อผู้คนยอมรับแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงผิด พวกเขาก็ควรยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ
เนื้อเพลงต่อมากล่าวว่า “ในการทบทวนตนเอง ฉันมักจะพบราคีอยู่มากเกินไป” ราคีที่ว่านี้จะถูกระบุผ่านการทบทวนตนเองได้อย่างไร? (เมื่อผู้คนเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาออกมา) ราคีจะถูกระบุได้เมื่อผู้คนเผยความเสื่อมทรามของตนออกมา นั่นเป็นด้านหนึ่ง เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบผู้คน เมื่อรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้ผู้คนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ พวกเขาก็มักจะสงสัยว่า “พระเจ้าไม่ทรงรักฉันแล้วหรือ? พระเจ้าทรงชอบธรรมไม่ใช่หรือ? การที่พระองค์ทรงทำแบบนี้ไม่ชอบธรรม—การกระทำของพระองค์ไม่สอดคล้องกับความจริง และพระองค์ก็ไม่ทรงคำนึงถึงความลำบากยากเย็นของผู้คนเลย” ผู้คนมักวางอุบายต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอจนทำให้เกิดอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความคิด แนวคิด มุมมอง รวมถึงความระแวงสงสัยทุกประเภทต่อพระองค์ สิ่งเหล่านี้คือราคีมิใช่หรือ? (ใช่) แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ความเสื่อมทรามของผู้คนเช่นกัน ในบรรทัดต่อไปที่กล่าวว่า “หากฉันไม่เพียรพยายามอย่างสุดกำลัง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะถูกทำให้เพียบพร้อม” คำพูดเหล่านี้คือความคิดที่ผู้แต่งเพลงนมัสการตระหนักผ่านการทบทวน เจ้าไม่ทบทวนราคีของตัวเจ้าเอง อีกทั้งเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำยอมรับว่าพระองค์คือความจริงอยู่เสมอ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้ากลับยืนกรานที่จะยึดติดอยู่กับแนวคิดของตัวเจ้าเอง กบฏต่อพระเจ้า พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจพระองค์ผิด อีกทั้งไม่ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ หากเจ้าไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้เสีย ย่อมยากมากที่เจ้าจะได้รับการทำให้เพียบพร้อม นั่นคือ เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม และเจ้าจะหมดหวัง เพราะเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ ในทัศนะของเจ้า เนื้อเพลงเหล่านี้ไม่มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เลยหรือ? (มี) แต่ละบรรทัดของเพลงนมัสการเพลงนี้ประกอบด้วยการใช้ถ้อยคำและคำอธิบายถึงสภาวะจริงที่เกิดขึ้นในยามที่ผู้คนมีประสบการณ์กับสถานการณ์ต่างๆ อย่างแท้จริง
พวกเรามาดูบรรทัดต่อไปที่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ” กันเถิด ในที่นี้ ความยากลำบากนั้นเชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าและความมีเกียรติ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์จริงมิใช่หรือ? นี่คือความเชื่อและท่าทีที่แท้จริงแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากการกระทำและประสบการณ์ของคนเรามิใช่หรือ? คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดขึ้นท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึก สภาพแวดล้อม และเหตุการณ์ เจ้าคิดอย่างไรกับท่าทีเช่นนี้? ผู้คนสู้ทนความยากลำบากมากมาย และความยากลำบากเหล่านี้ก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความซื่อตรงและศักดิ์ศรี พรากสถานะและผลประโยชน์ไปจากพวกเขา ทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสท่ามกลางความยากลำบากอื่นๆ แต่เมื่อสู้ทนมาถึงเพียงนี้ก็ทำให้พวกเขาเกิดความรู้และความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้คือการชื่นชมความรักของพระเจ้า ความอนุเคราะห์เป็นพิเศษจากพระเจ้า และรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ประทานช่วงเวลายากลำบากให้แก่พวกเขา พวกเขาคิดว่านี่คือเกียรติ และนี่คือการที่พระเจ้าทรงรักพวกเขา ด้วยเหตุนั้นพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจในหนทางนี้ ทรงพรากเอาไปและทรงทดสอบพวกเขา อีกทั้งทรงพิพากษาและทรงตีสอนพวกเขาเช่นนั้น นี่คือสภาวะจิตใจที่แท้จริงอันเป็นบวกที่ผู้คนพึงจะมี ซึ่งพัฒนาจากบริบทในชีวิตจริง คนประเภทใดจึงจะกล่าวว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ”? ย่อมไม่ใช่คนประเภทที่แต่งเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” มิใช่หรือ? พวกเขากล่าวได้แต่เพียงคำพูดที่เลอะเลือน ว่างเปล่า วลีที่ฟังดูสูงส่ง และคำขวัญ พวกเขาจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ”? พวกเขาจะสามารถเอ่ยคำพูดเหล่านั้นจากก้นบึ้งของหัวใจได้หรือไม่? ไม่ได้ ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดคือคำพูดที่ว่างเปล่า คำพูดที่เกินจริง และคำพูดที่ผู้คนเต็มใจที่จะฟัง แล้วในที่สุด พวกเขาก็นำคำพูดเหล่านั้นมารวมกันเป็นเพลงนมัสการ และคิดว่าพวกเขามีความสามารถและหลักแหลมมากทีเดียว ในทัศนะของเรา เนื้อเพลงเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ทุกคำล้วนไร้สาระ ควรถูกกำจัดทิ้งเสีย และไม่มีผู้ใดควรได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงนมัสการเช่นนั้นอีกในภายหน้า หากพวกเจ้าต้องการร้องเพลงนมัสการ พวกเจ้าก็ควรร้องเพลงนมัสการอย่าง “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” ซึ่งประกอบด้วยคำพูดที่จริงใจและถ่องแท้—คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่เจริญใจสำหรับผู้คน
บรรทัดสุดท้ายของวรรคแรกกล่าวว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ” ซึ่งหมายความว่า สิ่งที่สอนให้ผู้คนนบนอบก็คือความยากลำบาก จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” บรรทัดนี้สัมพันธ์กับสาระสำคัญของเพลงอย่างแท้จริง นี่คือความเข้าใจและประสบการณ์สุดท้ายที่ได้จากการก้าวผ่านทั้งหมดนี้ กล่าวคือ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการช่วยผู้คนให้รอด สิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจก็คือ พระทัยที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นดีที่สุด และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำล้วนเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา สิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่สร้างปัญหาหรือความรำคาญใจต่อผู้คน แต่เป็นการชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้แต่งเพลงนมัสการสามารถกล่าวจากก้นบึ้งของหัวใจได้ว่า ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า นี่เป็นภาษาของความเป็นมนุษย์ หากไม่มีประสบการณ์และความเข้าใจในระดับหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์และความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้า หนทางที่พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอด รวมถึงรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ในระดับหนึ่ง จะมีใครสามารถเอ่ยคำพูดอย่าง “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” ได้หรือไม่? พวกเขากล่าวไม่ได้อย่างแน่นอน จงดูที่วลีที่ว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ” กันอีกครั้ง บรรทัดนี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่หรือไม่? นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนได้รับหรือเก็บเกี่ยวหลังจากเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้วความยากลำบากคืออะไร? ความยากลำบากหมายถึงการมีอาหารไม่พอกิน การมีเสื้อผ้าไม่พอนุ่งห่ม หรือการมีประสบการณ์กับความยากลำบากในการถูกจองจำใช่หรือไม่? ความยากลำบากไม่ได้หมายถึงความทุกข์ทางกายในหนทางเหล่านี้ แต่หมายถึงการต่อสู้ที่ผู้คนมีประสบการณ์ในหัวใจของตนเกี่ยวกับความจริง พระราชกิจของพระเจ้า ความรอดของพระเจ้า และการทุ่มเทเอาพระทัยใส่ของพระเจ้า หลังจากมีประสบการณ์กับการนี้แล้ว ผู้คนย่อมรู้สึกในหัวใจว่าพวกเขาทนทุกข์มามากมายในแง่ของความหวัง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า รู้ว่าพวกเขาควรนบนอบพระเจ้า เรียนรู้วิธีนบนอบพระเจ้า และได้รับประสบการณ์อันลึกซึ้งจากสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะกล่าวได้ว่า “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเอ่ยประโยคนี้ได้ เราชอบเพลงนมัสการเพลงนี้ เราชอบเพลงนมัสการประเภทนี้ หากพวกเจ้าร้องเพลงนมัสการนี้บ่อยๆ เพลงนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน ทุกบรรทัดในเพลงนี้มีผลในการยับยั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเผยออกมาในชีวิตประจำวัน โดยจะเป็นทั้งการชี้นำและความช่วยเหลือในเรื่องประสบการณ์อันสัมพันธ์กับชีวิตจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพวกเจ้า จะดีเพียงใดหากพวกเจ้าอ่านเนื้อเพลงเหล่านี้ให้บ่อยขึ้นในยามว่าง!
ในบทเพลงนมัสการนี้ มีบรรทัดใดไม่เอ่ยถึงสภาวะหรือบริบทบางอย่างหรือไม่? มีบรรทัดใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่บางแง่มุมของความจริงหรือไม่? ไม่มีเลย—ไม่มีบรรทัดใดที่เขียนด้วยคำพูดที่ว่างเปล่า จงดูสองสามบรรทัดสุดท้ายที่กล่าวว่า “ถึงแม้ฉันเลือกที่จะรักพระเจ้า ความรักของฉันก็ปลอมปนด้วยแนวคิดของตัวฉันเอง” การเลือกที่จะรักพระเจ้าเป็นคำกล่าวกว้างๆ โดยทั่วไปในเชิงทฤษฎี โดยแท้จริงแล้วนี่หมายถึงการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า การทำหน้าที่ของตน และการสละชีวิตของตนเพื่อพระเจ้า ซึ่งสรุปอยู่ในวลีที่ว่า “เลือกที่จะรักพระเจ้า” ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขายังคงปลอมปนไปด้วยแนวคิดของตนเอง หากไม่รู้จักตนเองและไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความจริงเลย ใครเล่าจะเอ่ยวลีเช่นนั้นได้? พวกเจ้าไม่สามารถเอ่ยออกมาได้อย่างแน่นอนเพราะพวกเจ้าขาดประสบการณ์นั้น จงดูเนื้อเพลงต่อไปที่ว่า “ฉันต้องเพียรพยายามที่จะบรรลุวิญญาณเช่นเดียวกับเปโตร”—ผู้แต่งเพลงนมัสการมีเป้าหมายที่จะเป็นอย่างเปโตร พวกเจ้าเองก็มีการตั้งเกณฑ์มาตฐานและเป้าหมายเอาไว้ด้วย พวกเจ้าต่างก็อยากเป็นอย่างเปโตรเช่นเดียวกัน—แล้วเส้นทางของพวกเจ้าคืออะไร? เจ้าก็ต้องเพียรพยายามเช่นกัน แต่เจ้าสามารถเอ่ยวลีที่ว่า “ความรักของฉันก็ปลอมปนด้วยแนวคิดของตัวฉันเอง” ได้หรือไม่? หากเจ้าไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าการที่ความรักของเจ้าปลอมปนด้วยแนวคิดของเจ้าเองหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะบรรลุวิญญาณเช่นเดียวกับเปโตรได้อย่างไร? วลีนี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่ บรรทัดต่อไป ที่ว่า “ไม่ว่าพระเจ้าทรงได้รับความรักของฉันอย่างไร ฉันก็มีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือการทำให้พระองค์พอพระทัย” ยิ่งดีขึ้นไปอีก นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงเรียกร้องจากตนเองหลังจากมีประสบการณ์กับความยากลำบากและบททดสอบแล้ว นี่เป็นท่าทีของการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นท่าทีของการนบนอบพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือ การสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ถือเป็นการสัมฤทธิ์เป้าหมายของตน ไม่ว่าเป็นการสัมฤทธิ์ได้ในระดับใดก็ตาม ในคำพูดเหล่านี้มีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่ เมื่อได้อ่านคำพูดเหล่านี้แล้ว เจ้ารู้สึกได้รับการหนุนใจและมีแรงจูงใจใช่หรือไม่? (ใช่) คำพูดเหล่านี้มอบเป้าหมาย แรงผลักดัน และทิศทางให้ผู้คนหลังจากที่ได้อ่าน บางครั้งผู้คนรู้สึกว่า ไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติตนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ดีได้ และพวกเขาก็ร่วงลงสู่การคิดลบ แต่เมื่อพวกเขาได้อ่านคำพูดเหล่านี้และเห็นว่าพระเจ้าไม่ทรงเรียกร้องอะไรมากมายจากผู้คน พวกเขาก็คิดว่า “ทั้งหมดที่ฉันต้องทำคือทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันไม่ขออะไรอีกแล้ว ฉันแสวงหาเพียงการปล่อยมือจากความอยากและความชอบส่วนตนทางเนื้อหนังกับการทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น—แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” ในที่สุด ทั้งหมดก็สรุปเป็นคำพูดที่ว่า “ถึงแม้วันนี้จะมีความยากลำบากมากมาย การได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าก็เป็นเกียรติ ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากทีเดียว
สรุปโดยรวมก็คือ เพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” นั้นกล่าวถึงประสบการณ์ที่แท้จริง หลังจากมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การตีสอน การพิพากษา และบททดสอบของพระองค์ ผู้คนย่อมเรียนรู้ที่จะนบนอบ มาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้ว่าไม่มีหัวใจของใครดีไปกว่าพระทัยของพระองค์ นี่คือแง่มุมที่น่ารักของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้คนควรมีความรู้อีกด้วย หากพวกเจ้าแต่งทำนองจากเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ รวมถึงร้องเพลงเหล่านี้ให้บ่อยครั้ง เนื้อเพลงเหล่านี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างมาก ในแง่หนึ่ง การร้องเพลงนมัสการจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงได้ดีขึ้นและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วขึ้น ส่วนอีกแง่หนึ่งนั้น การร้องเพลงนมัสการจากประสบการณ์ซึ่งแต่งโดยผู้มีความเป็นจริงเหล่านี้ ย่อมจะทำให้ประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเจ้าก้าวหน้าไปเร็วขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจเชิงลึกและเป็นความเข้าใจที่เขียนโดยผู้ที่มีประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว และในนี้ยังมีเส้นทางและทิศทางของการเข้าสู่ที่ผู้คนพึงมีอีกด้วย เพลงนมัสการเหล่านี้เป็นสิ่งสำเร็จรูปสำหรับพวกเจ้า และจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อพวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่แต่งทำนองประกอบเนื้อเพลงจากประสบการณ์เหล่านั้นเล่า? เหตุใดพวกเจ้าจึงเฝ้าแต่งทำนองให้กับเนื้อร้องที่ว่างเปล่า ดาษดื่น และไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่เสมอ? พวกเจ้าช่างไม่มีวิจารณญาณแยกแยะเอาเสียเลย พวกเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้บทเพลงนมัสการนั้นดีงาม—พวกเจ้าช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน! เพลงนมัสการจากประสบการณ์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้คนอย่างมาก การขับร้องคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้เป็นประจำย่อมประทับคำพูดเหล่านั้นลงไปในหัวใจของคนเรา รวมถึงช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอย่างมีนัยสำคัญ หากพวกเจ้าติดอยู่ในช่วงเวลาแห่งยุคพระคุณตลอดไป—สรรเสริญพระคุณของพระเจ้า ความรัก พระพร รวมถึงความเมตตาและความกรุณาของพระองค์—พวกเจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือ? สภาวะและวุฒิภาวะของพวกเจ้ายังคงเล็กน้อยอย่างน่าเวทนา ติดอยู่ในระดับผิวเผินอยู่เสมอ หากไม่มีเพลงนมัสการที่ดีมาชี้นำ การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วยตนเองย่อมเป็นเรื่องที่ใช้ความบากบั่นมากเกินไป จงดูเพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” และอ่านอธิษฐานเพลงนี้เมื่อเจ้ามีเวลาว่าง เพลงนี้มีเส้นทางที่จะชี้นำเจ้าและช่วยเหลือเจ้าในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เพลงนี้สามารถมอบทิศทางที่ถูกต้องแก่เจ้าเพื่อให้เจ้ามีมุมมองที่ถูกต้อง มุมมองที่ถูกต้องบางอย่างมีอะไรบ้าง? “ด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม มนุษย์จึงสมควรแก่การพิพากษาและการตีสอน” นี่เป็นมุมมองที่ถูกต้องและบริสุทธิ์ที่ผู้คนควรมีมิใช่หรือ? นอกจากนี้แล้ว คำพูดที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ฉันต้องไม่แปลเจตนารมณ์ของพระองค์ผิด” ถูกต้องหรือไม่? (คำพูดเหล่านี้ถูกต้อง) จริงๆ แล้วเจ้าต้องยอมรับคำพูดเหล่านี้ เจ้าต้องมีส่วนร่วมและมีประสบการณ์กับคำพูดเหล่านี้ และเมื่อมีเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า ก็จะมีเส้นทางให้เจ้าก้าวเดิน คำพูดเหล่านี้จะกลายเป็นทิศทางสำหรับการปฏิบัติตนและการวางตัวของเจ้า แล้วยังมีเนื้อเพลงที่ว่า “หากฉันเพียรพยายามอย่างสุดกำลัง ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะถูกทำให้เพียบพร้อม” ประโยคนี้ก็แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่ถูกต้องเช่นกัน แล้วประโยคที่ว่า “ผ่านความยากลำบาก ฉันได้เรียนรู้การนบนอบ ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” เล่า? นี่คือมุมมองที่คนเราควรมีใช่หรือไม่? (ใช่) จงดูให้ดี ในที่นี้ไม่มีสักประโยคเดียวที่เป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่าหรือเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ทุกประโยคล้วนพูดถึงความเข้าใจและความเข้าใจเชิงลึกที่เกิดจากประสบการณ์อันแท้จริง เมื่อเทียบกับเพลงนมัสการ “เพื่อความรัก” ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคิดว่าเพลงใดสัมพันธ์กับชีวิตจริง? สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงควรเก็บรักษาเอาไว้ ขณะเดียวกันสิ่งที่ว่างเปล่าก็ควรถูกกำจัดและทิ้งไปเสีย ไม่ควรได้รับการสนับสนุน บางคนกล่าวว่า “ฉันเริ่มชินกับการร้องเพลงนมัสการพวกนั้นแล้ว เพลงเหล่านั้นได้เข้ามาสู่หัวใจของฉัน และฉันก็อยู่ไม่ได้หากไม่มีเพลงพวกนั้น” หากไม่มีเพลงเหล่านั้นแล้วเจ้าอยู่ไม่ได้ เช่นนั้นก็จงร้องต่อไปเถิด เราจะดูว่าหลังจากเจ้าร้องเพลงพวกนั้นนานสักยี่สิบปีเจ้าจะได้รับอะไรบ้าง เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่ หากเจ้าร้องเพลงนมัสการ “ไม่มีหัวใจของผู้ใดดีไปกว่าพระทัยของพระเจ้า” สักหนึ่งหรือสองหน เพลงนี้จะจับใจเจ้า หากเจ้าร้องเพลงนี้สักหนึ่งหรือสองเดือน สภาวะของเจ้าย่อมจะฟื้นคืนมาในระดับหนึ่ง และหากเจ้ายอมรับคำพูดในเนื้อเพลงได้อย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจ สภาวะภายในของเจ้าก็จะต่างออกไป และเจ้าจะฟื้นสภาวะนั้นกลับคืนมาได้โดยสมบูรณ์ เจ้าสามารถร้องเพลงนมัสการจากทฤษฎีที่ว่างเปล่าและไร้สาระเหล่านั้นได้ชั่วชีวิต แต่การนั้นจะไม่มีประโยชน์ เช่นเดียวกับผู้คนในยุคพระคุณที่ร้องเพลงนมัสการอันตื้นเขินและว่างเปล่า และพวกเขาร้องเพลงนมัสการตลอดทั้งชีวิตแต่ก็ไม่ได้รับความจริงเลย—นี่เป็นเพียงการเสียเวลาเปล่าเท่านั้นเอง
12 มกราคม ค.ศ. 2022