38. การเผชิญกับการเจ็บป่วยระยะสุดท้ายของลูกชาย
เมื่อสองปีก่อน ลูกชายของฉันเกิดเจ็บข้างในช่วงเอวขึ้นมาอย่างรุนแรง พวกเราพาเขาไปตรวจและหมอก็บอกว่าผลการตรวจน่ากังวล และว่าพวกเราควรพาเขาไปตรวจเพิ่มที่โรงพยาบาลประจำมณฑลซึ่งใหญ่กว่า หัวใจของฉันกระตุกตอนที่หมอพูดอย่างนั้น และฉันคิดว่าเป็นไปได้ว่าลูกชายของฉันอาจป่วยหนัก แต่แล้วฉันก็คิดว่า “นับแต่เป็นผู้เชื่อมา ฉันก็พลีอุทิศและทำหน้าที่ของตนเพื่อพระเจ้ามาตลอด ทั้งยังทนทุกข์มามาก ขนาดตอนที่เผชิญการเร่งกดขี่และจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกญาติมิตรเยาะเย้ยและให้ร้าย ฉันก็ไม่เคยท้อถอยและยังคงแน่วแน่ในหน้าที่ เมื่อคำนึงถึงทั้งหมดที่ฉันพลีอุทิศเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็ควรที่จะทรงปกป้องคุ้มครองลูกชายฉันจากเรื่องที่ร้ายแรง” แต่ผลตรวจทำให้ฉันตกใจอย่างหนัก ลูกชายของฉันเป็นมะเร็งตับและโรคตับแข็ง หมอบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามถึงหกเดือนเท่านั้น คำวินิจฉัยนี้คือสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันได้แต่นั่งนิ่ง ชาไปหมดทั้งตัว ฉันยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้เลย เขาเพิ่งอายุสามสิบเจ็ดปีเท่านั้น—จะเป็นโรคร้ายแรงแบบนั้นได้อย่างไร? มือฉันสั่นไปหมดขณะที่ถือผลตรวจเอาไว้ พลางนึกสงสัยว่าหมอวินิจฉัยโรคผิดหรือเปล่า ฉันนั่งอยู่ตรงขอบเตียง นิ่งอึ้ง และตกอยู่ในภวังค์นานพอดู น้ำตาฉันไหลอาบสองแก้ม พลางฉันก็คิดไปว่า “ลูกยังหนุ่มอยู่เลย—เขาเป็นโรคร้ายแบบนี้ได้อย่างไร? มะเร็งตับกับโรคตับแข็งหรือ? โรคใดโรคหนึ่งก็อันตรายถึงชีวิตแล้ว แต่นี่เป็นทั้งสองโรคเชียวหรือ? เขาเป็นเสาหลักของครอบครัวของพวกเรา ถ้าขาดเขาไป พวกเราจะทำอย่างไร? สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดที่คนคนหนึ่งต้องเผชิญในชีวิตก็คือการฝังศพลูกตัวเอง” ฉันทุกข์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาพานจะไหลอยู่ตลอดเวลา และฉันก็ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมึนงง ฉันตกอยู่ในความมืดมิดจริงๆ ฉันกล่าวคำอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อลูกชายป่วยหนักเช่นนี้ ข้าพระองค์ทุกข์ทนจริงๆ และไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ ได้โปรดประทานความรู้แจ้งให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”
วันหนึ่งฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้… พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) จากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมองออกว่าการที่ลูกชายของฉันป่วยหนักขนาดนี้คือบททดสอบ และเป็นการทดสอบฉันอย่างหนึ่ง และว่าฉันต้องพึ่งพาความเชื่อของตนเองเพื่อที่จะผ่านไปให้ได้ ฉันนึกถึงโยบผู้ถูกพรากความมั่งคั่งและฝูงสัตว์ทั่วเนินเขาไปจากเขา ลูกของเขาทุกคนล้วนเสียชีวิต และเขาก็มีฝีหนองขึ้นทั่วตัว แม้จะเผชิญบททดสอบอันใหญ่หลวงปานนั้น เขาก็พร้อมจะสาปแช่งตัวเองมากกว่าที่จะยอมติเตียนพระเจ้า และยังคงสามารถสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์ ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นคำพยานอันงดงามให้แก่พระเจ้า ตอนที่เขากำลังก้าวผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ เพื่อนฝูงพากันเย้ยหยันเขา ภรรยาของเขาก็ว่ากล่าวและถึงขั้นรบเร้าให้เขาทิ้งพระเจ้าและตายไปเสีย มองจากภายนอกดูเหมือนผู้คนกำลังตำหนิติเตียนเขา แต่เบื้องหลังนั้นคือซาตานกำลังใช้วาจาของผู้คนมาทดลองโยบเพื่อให้เขาปฏิเสธและทรยศพระเจ้า แต่โยบไม่ได้หลงกล และถึงกับประณามภรรยาของตนว่าเป็นหญิงโง่ มาบัดนี้เล่ห์กลของซาตานก็อยู่เบื้องหลังการโจมตีของเพื่อนและญาติพี่น้องของฉัน ฉันต้องเอาอย่างโยบ และยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า ฉันจะฟังคำพูดเยี่ยงมารของพวกเขาไม่ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ใจและอับจนหนทางอย่างเมื่อก่อนหน้านี้อีก
สองอาทิตย์ต่อมา ลูกชายของฉันเข้ารับการผ่าตัด และอาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น ฉันคิดว่า “พระเจ้าอาจจะทรงกรุณาเขาเพราะความเชื่อของฉัน ฉันหวังจริงๆ ว่าพระเจ้าจะทรงแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นและรักษาอาการป่วยของเขาให้หายเป็นปกติ ถ้าลูกหายขาดก็จะยอดเยี่ยมทีเดียว!” แล้วจู่ๆ พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด ความว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยมุมมองผิดๆ ที่ฉันมีเกี่ยวกับความเชื่อและการใช้พรเป็นแรงจูงใจได้อย่างแหลมคม ฉันรู้สึกละอายใจมาก ยามที่ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็ไล่ตามเสาะหาพรและพระคุณมาตลอด หวังให้ทั้งครอบครัวได้รับพรอันเนื่องมาจากความเชื่อของฉัน นับแต่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า แม้ฉันจะไม่เคยอธิษฐานขอพระคุณของพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้ง แต่ฉันก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ได้เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง ในความเชื่อของฉัน ฉันยึดติดในทรรศนะของการได้รับพรว่าฉันจะ “ได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง” ฉันคิดไปว่าในเมื่อฉันพลีอุทิศเพื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ย่อมจะทรงรำลึกถึงและอวยพรฉัน คิดไปว่าพระองค์ควรจะทรงคุ้มครองครอบครัวของฉันจากความเจ็บป่วยและความวิบัติ ทำให้ชีวิตของพวกเราราบรื่น และไร้ซึ่งเหตุร้ายอันน่ากลัวใดๆ เพราะเหตุนี้ฉันจึงทิ้งการงานมาทำหน้าที่ของตน มีความสุขอย่างยิ่งและเต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์ใดๆ แต่พอตรวจพบว่าลูกชายเป็นมะเร็ง ฉันก็จมปลักอยู่ในความเจ็บปวดและความวิตกกังวลอย่างไม่ยอมสร่างซา และไม่มีแรงขับเคลื่อนที่จะทำหน้าที่ ฉันคิดคำนวณยิบย่อยว่าฉันสละไปมากเพียงใด ทนทุกข์ไปมากขนาดไหน โต้เถียงกับพระเจ้า ติเตียนพระองค์ว่าไม่ทรงคุ้มครองลูกชายของฉัน สถานการณ์ที่ฉันพบเจอ รวมทั้งพระวจนะแห่งการเปิดเผยของพระเจ้า แสดงให้ฉันเห็นว่ามุมมองเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของฉันนั้นผิด ฉันไม่ได้ล้มเลิกสิ่งต่างๆ มาหาความเชื่อของฉันเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและกำจัดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันออกจากตัว แต่กลับทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับพระคุณและพรจากพระเจ้า ฉันทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า ใช้พระองค์ และเล่นไม่ซื่อกับพระองค์ ความเชื่อของฉันเป็นเพียงการมุ่งมั่นไล่ตามเสาะหาให้พระเจ้าทรงคุ้มครองครอบครัวของฉันและปกปักรักษาให้พวกเราอยู่ดีมีสุข ไร้ซึ่งความเจ็บป่วยและความวิบัติ ฉันต่างจากผู้คนทางศาสนาที่แสวงหาขนมปังมาสนองความหิวของตนตรงไหนกัน? ฉันได้เห็นว่ามุมมองในการไล่ตามเสาะหาของฉันนั้นต่ำช้าเพียงใด เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้พระเจ้าเหลือเกิน และมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พร้อมที่จะวางสุขภาพของลูกชายไว้ในพระหัตถ์ และนบนอบต่อการจัดเตรียมของพระองค์
หลังจากเข้ารับการรักษาอยู่ระยะหนึ่ง อาการลูกชายของฉันก็เริ่มดีขึ้น และสภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เขากินได้ตามปกติและทำกิจกรรมเบาๆ ได้บ้าง ฉันดีใจมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เห็นเขาร้องเพลงและเต้นรำกับลูกชายของเขา ถือไมโครโฟนไว้ในมือ ดูสุขภาพแข็งแรงทีเดียว ฉันรู้สึกว่าเขามีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่านี้รออยู่ และถึงกับคิดว่า “จากมุมมองของมนุษย์ อาการป่วยของเขาก็คือไม่รอดแน่แล้ว และเขาควรจะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน แต่เขาก็อยู่มาได้นานกว่านั้นและฟื้นตัวดีมากๆ นี่คือพระคุณและการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ถ้าอะไรๆ ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็ควรจะหายเป็นปกติ” แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด จู่ๆ เขาก็กินอะไรไม่ได้ ท้องของเขาเริ่มบวมโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน และหย่อนตัวลงนั่งได้ลำบาก เขาเข้ารับการตรวจ และถึงแม้เนื้อร้ายจะไม่ปรากฏให้เห็นอีก แต่อาการตับแข็งกลับแย่ลงและมีภาวะท้องมาน ฉันรู้สึกเหมือนความตายกำลังคืบคลานเข้ามาหาลูกทีละนิด และฉันก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังอีกครั้ง คิดไปว่า “อาการของลูกกำลังดีขึ้นอย่างชัดเจน แล้วทำไมถึงแย่ลงอีก? เขาเป็นลูกชายที่ดียิ่งและเข้ากับทุกคนได้ดีมาก ทั้งญาติ มิตร และเพื่อนบ้านต่างก็มีเรื่องดีๆ ให้พูดถึงเขา แม้เขาจะไม่ค่อยสนับสนุนความเชื่อของฉันนัก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน ทำไมเขาถึงป่วยด้วยโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตแบบนี้? ตลอดเวลาที่ฉันเป็นผู้เชื่อมา ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐและแข็งขันในการทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักร แม้ว่าจะมีการกดขี่และจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์ และแม้ว่าจะมีการต่อต้านและขัดขวางจากญาติพี่น้องของฉันก็ตาม ฉันก็ไม่เคยถอยหนี ฉันยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไป ฉันยอมทิ้งไปมากมายเหลือเกิน แล้วทำไมถึงมาเจออะไรแบบนี้? นี่คือสิ่งที่ฉันได้รับเป็นการตอบแทนสำหรับการพลีอุทิศมาตลอดเวลาหลายปีกระนั้นหรือ?” ถึงฉันจะไม่ได้พูดออกมาเช่นนี้ แต่ฉันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกนี้ว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม ฉันมองโลกในแง่ร้าย หดหู่ และสับสนตลอดเวลา รู้สึกว่าไม่เหลือความหวังอยู่เลย ฉันทุกข์ทนอย่างยิ่งและร้องไห้ตลอดเวลา
ในความเจ็บปวดของฉัน ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ในพระวจนะของพระองค์ มีอยู่บทตอนหนึ่งที่ฉันได้อ่าน ความว่า “ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่? อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม? มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร? หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด? พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ? ไม่มีความจำเป็นเลย ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า… แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร? ‘มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่พระปัญญาและกิจการของพระองค์?’ ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายซาตานในช่วงเวลาแห่งความรอดสำหรับมนุษย์ของพระองค์ ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไร และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามขนาดไหน และพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และช่วยให้พวกเขารอดได้อย่างไร ในท้ายที่สุด เมื่อผู้คนเข้าใจความจริงและเห็นโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของซาตานอย่างชัดเจน และมองเห็นบาปมหันต์ของซาตานที่นำพวกเขาไปสู่ความเสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงทำลายซาตาน เพื่อแสดงความชอบธรรมของพระองค์ให้พวกเขาเห็น ช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงทําลายซาตานนั้นเปี่ยมด้วยพระอุปนิสัยและพระปัญญาของพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนชอบธรรม แม้มนุษย์อาจจะไม่สามารถรับรู้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่ควรทำการตัดสินตามใจชอบ หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏแก่มนุษย์ทั้งหลายว่าไร้เหตุผล หรือหากพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดใดเกี่ยวกับเรื่องนั้น และนั่นทำให้พวกเขากล่าวว่าพระองค์ทรงไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กําลังไร้เหตุผลอย่างที่สุด เจ้าก็เห็นว่าเปโตรพบบางสิ่งไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เขาแน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้าสถิตอยู่และมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ในสิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งได้ มีสิ่งต่างๆ มากมายเหลือเกินที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจ ดังนั้น การรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันมองเห็นว่าความชอบธรรมของพระองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด—ว่าย่อมเป็นธรรมและเท่าเทียมอย่างที่สุด และไม่ได้หมายความว่าให้อะไรไปแล้ว ก็จะต้องได้กลับมาอย่างนั้น พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างโลก และแก่นแท้จริงๆ ของพระองค์นั้นชอบธรรม ดังนั้นไม่ว่าพระองค์จะประทานหรือเอาไป ไม่ว่าพวกเราจะได้รับพระคุณหรือทนทุกข์ผ่านทางบททดสอบ ทั้งหมดนี้มีพระปัญญาของพระองค์อยู่ทั้งสิ้น ทั้งหมดคือการเผยให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ โยบติดตามหนทางของพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วมาทั้งชีวิต เขาคือคนที่เพียบพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงทดสอบเขาอยู่ดี บททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่ายกระดับความเชื่อและความเคารพที่เขามีต่อพระเจ้า และในที่สุดเขาก็เป็นพยานอันกึกก้องให้พระเจ้า และเอาชนะซาตานได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นพระเจ้าก็ทรงปรากฏแก่เขาและอวยพรเขาอีกมากมายนัก นั่นเปิดเผยให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันยังนึกถึงเปาโลอีกด้วย เขาทนทุกข์มากมายและเดินทางเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปทั่ว แต่เขาไม่ได้นบนอบหรือยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาแค่อยากใช้การทำงานหนักของตนแลกกับพรของพระเจ้า หลังจากทำงานไปพอสมควร เขาก็พูดว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) ความทุกข์และคุณูปการของเปาโลเต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมี และเป็นการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน อุปนิสัยของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และเขาเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า สุดท้ายเขาก็ถูกพระเจ้าลงโทษ พวกเราสามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมองว่าผู้คนดูเหมือนจะทำงานหนักกันขนาดไหน แต่ทรงมองว่าพวกเขารักและนบนอบพระองค์จริงหรือไม่ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไหม พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรมอย่างยิ่ง ฉันนึกว่าตัวเองจะได้อะไรเป็นการตอบแทนสำหรับคุณูปการที่ทำไป คิดว่าฉันจะได้อะไรกลับมาเท่ากับที่ให้ไป นั่นคือมุมมองเชิงซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบมนุษย์ ที่ต่างจากพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง แม้ฉันได้พลีอุทิศบางอย่างและทำสิ่งดีๆ ไปบ้างในฐานะผู้เชื่อ แต่มุมมองเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของฉันกลับผิด และฉันไม่ได้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยังคงติเตียนและต้านทานพระเจ้าตอนที่ลูกชายเจ็บป่วยขึ้นมา อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ฉันยังคงเป็นคนที่ต้านทานพระเจ้าและเป็นของซาตาน ฉันไม่สมควรที่จะได้รับพรของพระเจ้าเลย ฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และคิดไปว่าในเมื่อฉันพลีอุทิศบางอย่างในหน้าที่ของตนไปแล้ว พระเจ้าก็ควรที่จะทรงคุ้มครองและดูแลลูกชายของฉัน ฉันกำลังเรียกร้องเอากับพระเจ้าตามมุมมองเชิงแลกเปลี่ยนของมนุษย์ไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าที่ว่า “ทุกคนมีบั้นปลายที่เหมาะสม บั้นปลายเหล่านี้ถูกกำหนดไปตามแก่นแท้ของแต่ละปัจเจกบุคคล และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผู้คนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง พฤติกรรมชั่วร้ายของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถส่งผ่านไปยังบิดามารดาของพวกเขาได้ อีกทั้งความชอบธรรมของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถแบ่งปันกับพ่อแม่ของพวกเขาได้ พฤติกรรมชั่วร้ายของบิดามารดาไม่สามารถส่งผ่านไปยังลูกๆ ของพวกเขาได้ และความชอบธรรมของบิดามารดาก็ไม่สามารถแบ่งปันกับลูกๆ ของพวกเขาได้ ทุกคนแบกรับบาปแต่ละอย่างของพวกเขา และทุกคนชื่นชมพรแต่ละอย่างของพวกเขา ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ นี่คือความชอบธรรม” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันคิดเสมอว่าในเมื่อฉันพลีอุทิศสิ่งต่างๆ ในความเชื่อไปแล้ว พระเจ้าก็ควรที่จะทรงรักษาลูกชายของฉันให้หาย ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะมองพระองค์ว่าไม่ชอบธรรม ฉันนี่ช่างไร้สาระจริงๆ! ไม่ว่าฉันจะทนทุกข์ไปมากขนาดไหนหรือยอมลำบากไปมากเพียงใด นั่นก็คือหน้าที่ของฉันและเป็นสิ่งที่ฉันควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอาการป่วย ชะตากรรม หรือบั้นปลายของลูกชายฉันเลย ฉันไม่ควรใช้การนั้นเป็นเครื่องเจรจาต่อรอง เป็นเครื่องทำข้อตกลงกับพระเจ้า
วันหนึ่งฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ช่วยให้ฉันเข้าใจแก่นแท้ของมุมมองผิดๆ ของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม คนจำพวกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยพยายามจัดการแก้ไขเรื่องเหล่านั้นด้วยการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งไม่พยายามมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งล้วนเป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าทุกประโยคในพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เปิดใจรับฟังอยู่ดี และดังนั้นจึงไม่มีท่าทีที่ถูกต้องไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์เช่นใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นหนทางที่พวกเขาเข้าหาพระเจ้าและความจริง ศัตรูของพระคริสต์ดื้อรั้นไม่ยอมวางมโนคติอันหลงผิดของตน พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อจึงเป็นพระเจ้าที่กระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เป็นพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ ใครก็ตามที่สามารถทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้—ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธ หรือพระแม่มาจู่—พวกเขาก็เรียกว่าพระเจ้า… ในความรู้สึกนึกคิดของศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าทั้งหลายควรเร้นกายอยู่หลังแท่นบูชา ให้ผู้คนถวายของแก่ตน กินอาหารที่ผู้คนถวาย สูดควันกำยานที่พวกเขาจุดให้ ยื่นมือออกมาช่วยเหลือในเวลาที่พวกเขาเดือดร้อน แสดงตนว่ามีฤทธานุภาพอย่างมากและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาทันทีภายในขอบเขตของสิ่งที่พวกเขาเข้าใจได้ และสนองความต้องการของพวกเขาในเวลาที่ผู้คนร้องขอความช่วยเหลือและจริงจังตั้งใจในคำวิงวอนของตน สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว พระเจ้าแบบนี้เท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้กลับเผชิญกับการดูถูกของพวกศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกศัตรูพระคริสต์แล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่พระราชกิจของการให้น้ำ การเป็นผู้เลี้ยง และการช่วยให้รอดซึ่งพระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เป็นความเจริญรุ่งเรืองและการลุล่วงความทะยานอยากของตนในทุกสิ่ง การไม่ถูกลงโทษในชีวิตนี้ และการไปสวรรค์ในโลกที่จะมาถึง มุมมองและความต้องการของพวกเขายืนยันแก่นแท้ของพวกเขาที่เกลียดชังความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)) พระวจนะทุกคำจากพระเจ้าถูกต้องตรงประเด็นโดยแท้ เมื่อคิดทบทวนดู ฉันจึงตระหนักว่าฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าควรประทานรางวัลและพรแก่ฉัน สำหรับทุกการพลีอุทิศและคุณูปการที่ฉันได้สร้างไว้ในความเชื่อของตนเอง ฉันรู้สึกว่าพระองค์ควรที่จะทรงปกปักรักษาครอบครัวของฉันให้ปลอดภัย ไร้ความวิบัติและโรคภัย ดังนั้นพอฉันเห็นว่าลูกชายของฉันมีอาการดีขึ้นมากมาย ฉันก็รู้สึกว่านี่คือพระคุณของพระเจ้า และฉันรู้สึกขอบคุณและเต็มไปด้วยคำสรรเสริญพระเจ้า แต่พออาการของเขาแย่ลงอีก ฉันก็อยากให้พระเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์เพื่อรักษาเขา เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงทำอย่างที่ฉันต้องการ ฉันก็เปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นขุ่นเคือง โมโหที่พระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงการพลีอุทิศและคุณูปการทั้งหมดของฉัน แล้วทรงคุ้มครองและรักษาลูกชายของฉันให้หาย ฉันถึงกับเสียใจในทุกสิ่งที่เคยให้และพลีอุทิศไป อารมณ์ทั้งหมดของฉันหมุนวนอยู่รอบๆ การที่ว่าฉันจะได้รับหรือสูญเสียบางสิ่งไปกันแน่ ในความเชื่อของฉัน ฉันไม่ได้นมัสการและนบนอบพระเจ้าในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างโลก แต่เป็น “รูปเคารพ” ที่ตอบสนองความต้องการของฉันและอวยพรฉัน นั่นแตกต่างจากผู้ไม่เชื่อที่นมัสการพระพุทธเจ้าหรือเจ้าแม่กวนอิมตรงไหน? ฉันไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง! พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์และเสด็จมายังแผ่นดินโลกสองครั้งแล้ว ทรงสู้ทนกับการดูหมิ่นเหยียดหยามที่เหลือเชื่อ การกล่าวโทษ การต้านทาน การกบฏ และความเข้าใจผิดของผู้คน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะถ่ายทอดพระวจนะและความจริงของพระองค์แก่พวกเรา เพื่อให้พวกเราใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์และรอดพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราเอง และเพื่อช่วยพวกเราให้รอดในที่สุด พระเจ้าทรงยอมลำบากอย่างใหญ่หลวงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมายยิ่ง ได้รับการให้น้ำและสิ่งบำรุงเลี้ยงเป็นความจริงมากมายเหลือเกิน แต่ฉันกลับไม่จริงใจกับพระเจ้าเลย นั่นทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวดและผิดหวังอย่างมาก! ฉันเริ่มรู้สึกว่าเป็นหนี้พระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และฉันคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ด้วยใบหน้าที่อาบน้ำตาแห่งความสำนึกเสียใจและความรู้สึกผิด ฉันอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อมาหลายปี กระนั้นก็หาได้ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ ตอนที่ลูกชายป่วย ข้าพระองค์ก็ก็ยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ไม่ได้ ทั้งยังทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากจะกลับใจกับพระองค์ และไม่ว่าลูกชายของข้าพระองค์จะมีอาการดีขึ้นหรือไม่ ข้าพระองค์ก็พร้อมที่จะนบนอบต่อกฏและการจัดเตรียมของพระองค์ ได้โปรดประทานความเชื่อแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังการอธิษฐานครั้งนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และฉันรู้สึกว่าเบาตัวขึ้นมากทีเดียว
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันพอจะมีความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น ความว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่าการทำหน้าที่ของพวกเรานั้นไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับพรหรือถูกสาปแช่ง ไม่ว่าคนเราจะได้รับพรในความเชื่อของตนหรือไม่ก็ตาม ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็ควรจะทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า นั่นจึงจะถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งก็เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่—ลูกๆ ควรที่จะกตัญญู ไม่ควรเป็นเรื่องของการสืบทอดทรัพย์สมบัติ ไม่ควรมีเงื่อนไข อย่างน้อยที่สุดในฐานะคนคนหนึ่ง คนเราก็ควรทำเช่นนั้น แต่ฉันกลับไม่ได้คิดว่าจะตอบแทนความรักของพระเจ้าในหน้าที่ของฉันอย่างไร ฉันกลับอยากใช้หน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่ฉันมาเป็นเครื่องเจรจาทำข้อตกลงกับพระองค์ ร้องขอพระคุณและพรจากพระเจ้าแลกกับสิ่งเล็กน้อยที่ฉันมอบและพลีอุทิศให้ เมื่อไม่ได้ดังนั้น ฉันก็ติเตียนพระเจ้า ฉันไม่ได้มีมโนธรรมเลยและทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ลูกชายของฉันป่วย ฉันก็เต็มไปด้วยข้อเรียกร้อง เข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์อยู่เสมอ ความคิดนี้ทำให้ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันคิดในใจว่า “ไม่ว่าลูกชายของฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็จะไม่มีวันติเตียนพระเจ้าอีก” หลังจากนั้นอาการของลูกชายฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ สุขภาพของเขาทรุดลงทุกวันอย่างเห็นได้ชัด แม้ฉันจะเจ็บปวดและทุกข์ทน แต่ฉันก็ไม่เรียกร้องกับพระเจ้าอีกแล้ว
วันหนึ่งฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าว่า “พระเจ้าได้ทรงวางแผนการก่อกำเนิด การถือกำเนิด อายุขัย บทอวสานของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวล ตลอดจนภารกิจในชีวิตของพวกเขาและบทบาทที่พวกเขาแสดงต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงเอาไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง การถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมด ภารกิจในชีวิตของพวกเขา เวลาที่พวกเขาจะสิ้นอายุขัยลง—พระเจ้าทรงลิขิตธรรมบัญญัติทั้งหมดนี้เอาไว้นานแล้ว เช่นเดียวกับการที่พระเจ้าทรงลิขิตวงโคจรของเทห์ฟ้าทั้งหมดว่า เทห์ฟ้าเหล่านี้โคจรตามวงโคจรใด เป็นเวลากี่ปี โคจรอย่างไร เทห์ฟ้าเหล่านี้โคจรตามธรรมบัญญัติใด—ทั้งหมดนี้ล้วนถูกลิขิตโดยพระเจ้าเมื่อนานมาแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาหลายพันปี หลายหมื่นปี หลายแสนปีแล้ว การนี้ถูกลิขิตโดยพระเจ้าและนี่คือสิทธิอำนาจของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) จริงด้วย พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างโลก และพระองค์คือผู้กำหนดอายุขัยของพวกเรา พวกเราจะอยู่นานขนาดไหน ชั่วชีวิตของพวกเราจะทนทุกข์มากเพียงใด และจะได้รับพรมากเท่าใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงยืดอายุขัยให้ใครเพียงเพราะว่าพวกเขามีความประพฤติดีบนแผ่นดินโลก และพระองค์จะไม่ทรงจบชีวิตใครก่อนเวลาเพราะว่าพวกเขาทำชั่วมามาก ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว อายุขัยของทุกคนก็มีพระเจ้าเป็นผู้กำหนด ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้ พระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้วว่าชีวิตลูกชายของฉันจะยืนยาวเพียงใด ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นชอบธรรม ฉันแค่ต้องนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดเตรียมของพระองค์เท่านั้น เมื่อตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ ความเจ็บปวดของฉันก็บรรเทาลงบ้าง ฉันรู้ว่าไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และตอบแทนความรักของพระเจ้า
เดือนมีนาคมปีนี้ พวกเราได้บอกลาลูกชายของฉันไปตลอดกาล เนื่องจากการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเผชิญหน้าการจากไปของเขาได้อย่างถูกต้อง และทนทุกข์น้อยลงมากทีเดียว ในช่วงสองปีมานี้ ตั้งแต่ที่ลูกชายของฉันเริ่มป่วย แม้ฉันจะทนทุกข์อย่างมาก แต่เพราะสิ่งที่ความเจ็บปวดและการทดสอบครั้งนี้เปิดเผยให้เห็น ฉันจึงสามารถมองเห็นจุดมุ่งหมาย ความเสื่อมทราม และความไม่บริสุทธิ์อันน่าดูหมิ่นของการที่ฉันไล่ตามเสาะหาพรในความเชื่อของตน ฉันยังได้รู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามากขึ้นและจะไม่สร้างข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลกับพระองค์อีกต่อไป บัดนี้ฉันสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระองค์ ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเห็นจริงๆ ว่าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นและไม่ว่าผู้คนจะมองสิ่งสิ่งหนึ่งว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ตราบใดที่พวกเราอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง พวกเราก็อาจได้ประโยชน์และได้รับผลดีจากสิ่งนั้น