ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และหลอกลวง (ภาคที่สอง)

ส่วนเสริม: การแก้ไขความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับการรับมือคริสตจักรแห่งหนึ่งในแคนาดา

มีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้นตอนที่พวกเราชุมนุมกันครั้งก่อน  เรื่องนั้นคืออะไร?  (การรับมือคริสตจักรแคนาดาแห่งหนึ่ง)  นี่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน  พวกเจ้ายังคงจำกันได้ชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)  เรื่องนี้กระตุ้นความรู้สึกของพวกเจ้ามากไหม?  (มาก)  เวลามีปัญหากับคริสตจักรบางแห่งหรือกับบางคน เราย่อมตัดสินใจตามรูปการณ์และจัดการพวกเขาตามหลักธรรม เมื่อเราจัดการเรื่องของคริสตจักรแคนาดาก็เป็นไปตามหลักการนี้  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าเวลาที่มีศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักรแคนาดามาชักพาให้ผู้คนหลงผิด เหตุใดเราจึงรับเมือเรื่องนี้อย่างที่ทำไป?  พวกเจ้าคิดอย่างไรในเรื่องนี้?  เห็นได้ชัดว่านี่ทำให้บางคนหวาดกลัว  เหตุใดจึงทำให้พวกเขาหวาดกลัว?  บางคนกล่าวว่า “เรื่องนี้ถูกจัดการอย่างแข็งกร้าวทีเดียว  มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ?  จัดการเช่นนั้นได้อย่างไร?  การรับมือเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่?  นี่จัดการตามความคิดชั่วแล่นไม่ใช่หรือ?  รับมือแบบนั้นจะเกิดผลอย่างไรตามมา?  สิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นทำร้ายแรงขนาดนั้นจริงหรือ?  ตามที่สอบถามผู้คนที่นั่นมา รวมทั้งท่าที คำชี้แจง และข้อมูลที่ได้ฟังจากพวกเขา ดูเหมือนว่าไม่ควรจัดการพวกเขาอย่างแข็งกร้าวขนาดนั้น จริงไหม?”  บางคนคิดแบบนี้  ยังมีคนอื่นๆ ที่กล่าวว่า “บางทีพระเจ้าอาจจะมีเหตุผลและแนวคิดของพระองค์ในการจัดการเรื่องนั้นแบบนั้น”  แท้จริงแล้วแนวคิดเหล่านั้นคืออะไร?  เดิมทีมีเจตนาหรือเหตุผลในการรับมือเรื่องราวในลักษณะนั้นบ้างหรือไม่?  การจัดการผู้คนเหล่านั้นในลักษณะนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  (สมเหตุสมผล)  พวกเจ้าทุกคนบอกว่าสมเหตุสมผล เมื่อเป็นดังนั้น วันนี้พวกเราก็มาเสวนาเรื่องนี้กันเถิด และดูว่าแท้จริงแล้วเหตุใดการจัดการเรื่องราวในลักษณะนั้นจึงสมเหตุสมผล แท้จริงแล้วพวกเจ้าคิดอย่างไรในเรื่องนี้ เรื่องนี้จะมีผลต่อพวกเจ้าอย่างไรในอนาคต แนวคิดที่พวกเจ้ามีต่อเรื่องนี้ถูกหรือผิด และแนวคิดของพวกเจ้ามีสิ่งใดที่ผิดหรือบิดเบี้ยวหรือไม่  ถ้าพวกเจ้ายั้งใจและยั้งปากอยู่เสมอ ไม่แสดงความคิดเห็นของตนออกมา รู้สึกไม่เห็นด้วยตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขด้วยวิธีที่ดีที่สุด และนั่นคือสาเหตุที่พวกเราต้องลงมติกัน  หลักธรรมของการลงมติมีว่าอย่างไร?  ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถยอมรับการพิพากษาของเรา พวกเจ้ามีแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการพิพากษานี้ รู้สึกแข็งขืนและถึงกับเก็บงำความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ เกิดคำถามหรือแนวคิดที่ไม่ดี เช่นนั้นแล้วพวกเราควรทำอย่างไร?  พวกเราควรเสวนาเรื่องนี้กัน  ถ้าพวกเรามีความคิดเห็นที่แตกต่าง เช่นนั้นแล้วมติของพวกเราย่อมไม่เป็นเอกฉันท์  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราจะมีมติเอกฉันท์ได้อย่างไร?  การแสวงหาข้อตกลงร่วมกันโดยที่ความคิดเห็นของพวกเรายังคงแตกต่างกันย่อมไม่เป็นไรใช่หรือไม่?  ถ้าพวกเรายุติความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยการประนีประนอม ถ้าเราเองยอมถอยนิด และพวกเจ้าก็ยอมถอยหน่อย นั่นย่อมจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าเป็น  นี่ไม่ใช่หนทางที่จะสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้  แล้วถ้าพวกเราอยากเห็นพ้องต้องกัน มีความเข้าใจและการตัดสินใจที่ตรงกันในเรื่องนี้ หนทางในการทำดังนั้นย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเจ้าต้องแสวงหาความจริง พากเพียรเพื่อความจริง และเพียรพยายามที่จะเข้าใจความจริง และเราก็จำเป็นต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟังและชี้แจงให้ชัดเจน  ไม่มีใครควรเก็บงำความเข้าใจผิดในเรื่องนี้เอาไว้ในหัวใจ  เมื่อทำดังนี้พวกเราจึงจะมีทัศนะที่ตรงกันในเรื่องดังกล่าว จากนั้นจึงจะจบเรื่องและเป็นอันยุติ  ถ้าเราพบเจอเรื่องที่คล้ายคลึงกันในอนาคต เราก็อาจจัดการแบบเดียวกันโดยแท้ หรือบางทีเราอาจจะไม่จัดการแบบนี้ แต่จะใช้วิธีอื่นแทน  แล้วพวกเจ้าควรได้อะไรจากเรื่องนี้?  (พวกเราควรเรียนรู้ว่าจะแสวงหาความจริงและทำความเข้าใจได้อย่างไรว่าเหตุใดพระเจ้าจึงรับมือเรื่องดังกล่าวแบบนั้น)  พวกเจ้ากล่าวมาสองด้าน ดีมาก  มีอีกหรือไม่?  (พวกเราควรเสาะแสวงที่จะเข้าใจหลักธรรมที่พระเจ้าทรงใช้กระทำการ เพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือการเตือนพวกเรา)  นี่ก็เป็นอีกด้านหนึ่ง

เพื่อที่จะอธิบายการรับมือคริสตจักรแคนาดาให้ชัดเจน พวกเราต้องเริ่มตั้งแต่ต้น  พวกเราควรเริ่มจากที่ใด?  พวกเราจะเริ่มจากตอนที่ผู้คนเหล่านี้ออกจากประเทศจีน  นั่นจะย้อนไกลไปหรือไม่?  พวกเจ้าอาจคิดว่าตลก แต่แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ  นี่ใช่การชำระความแค้นเก่าๆ หรือไม่?  ไม่ใช่  เมื่อพวกเจ้าได้ฟังเราพูดถึงเหตุผลของเรา พวกเจ้าก็จะรู้ว่าทำไมเราจึงเริ่มจากตรงนั้น  ถ้าตัดเรื่องที่ว่าทุกคนที่มาต่างประเทศล้วนมาพร้อมกับพระบัญชา ภารกิจ และความรับผิดชอบออกไปก่อน พวกเราก็จะเริ่มจากประเด็นเล็กๆ คือ—เป็นความบังเอิญหรือไม่ที่แต่ละคนสามารถออกจากจีนได้?  (ไม่)  นี่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ  ตั้งแต่ตอนที่เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่และเต็มใจที่จะออกจากจีนมาทำหน้าที่ของเจ้าจนเจ้ามาถึงต่างประเทศ ตลอดกระบวนการนี้ นอกจากความร่วมมือของเจ้าแล้ว จงบอกเราเถิดว่าใครเป็นผู้กำหนดว่าเจ้าจะสามารถออกจากจีนได้อย่างราบรื่น?  (พระเจ้า)  ถูกต้อง  นี่ไม่ได้กำหนดตามการที่ว่าเจ้ามีเส้นสายอะไรในสังคมบ้าง หรือว่าเจ้ามีเงินอยู่มากเท่าใด หรือเจ้าจัดการตามระเบียบการทั้งหมดได้เรียบร้อยหรือไม่—ทุกคนที่มาต่างประเทศควรมีความเข้าใจและประสบการณ์คล้ายกัน  พวกเขาล้วนมีประสบการณ์เช่นไร?  พระเจ้าทรงครองอธิปไตยในเรื่องที่ว่าใครสักคนจะสามารถออกจากจีนได้อย่างราบรื่นหรือไม่ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขาสามารถเพียงใดหรือมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมบ้างหรือไม่  นี่ไม่ใช่การออกจากมณฑลหนึ่งไปยังอีกมณฑลหนึ่งในบางประเทศ นี่คือการออกนอกประเทศของตน และต้องผ่านระเบียบการมากมายอันซับซ้อน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พญานาคใหญ่สีแดงกดขี่และไล่ล่าผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่งนี้ คอยสอดส่องพวกเขาแต่ละคนอย่างใกล้ชิด ระเบียบการออกจากจีนจึงจัดการได้ไม่ง่ายนัก  เพราะฉะนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้จะมายังต่างประเทศได้อย่างราบรื่นจึงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าทุกประการและแสดงให้เห็นมหิทธานุภาพของพระเจ้า  ใครจะออกจากจีนได้ จัดการระเบียบการต่างๆ ได้อย่างราบรื่นหรือไม่ และใช้เวลาเท่าใดในการจัดการทั้งหมดนั้น มีพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น และเป็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่จัดวางเรียบเรียงและจัดเตรียมทั้งหมดนี้  เป็นการไม่สมควรที่เจ้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้ และเป็นการไม่สมควรที่เจ้าจะไม่ยอมรับรู้เรื่องนี้—เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง  เรื่องนี้จึงสรุปจบตรงการให้ความร่วมมือของผู้คนและอธิปไตยของพระเจ้า  ถ้าพวกเราจะลงความเห็นในเรื่องที่เจ้าออกนอกประเทศจีน ใครคือผู้เปิดทางสะดวกให้กับเรื่องนี้?  (พระเจ้า)  พระเจ้าคือผู้เปิดทาง  ผู้คนไม่มีสิ่งใดให้คุยโว แต่พวกเขาควรขอบคุณพระเจ้าแทน  ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไร?  (ทุ่มเทพยายามทำหน้าที่ของตน)  เจ้าควรทุ่มเทพยายามที่จะทำหน้าที่ของเจ้าและทำด้วยใจที่จดจ่อ  เมื่อมองภาพรวม พวกเราสามารถลงความเห็นในที่สุดและกล่าวได้หรือไม่ว่าการที่เจ้าออกนอกประเทศจีนมาทำหน้าที่ของตนนั้นขึ้นอยู่กับการจัดเตรียมและการทรงนำของพระเจ้า ไม่ใช่ความสามารถของเจ้าเอง?  (ได้)  บางคนกล่าวว่า “จะไม่ขึ้นกับความสามารถของฉันได้อย่างไร?  แม้ฉันจะมีการทรงนำของพระเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงนำฉัน การออกจากจีนก็คงจะไม่ยากอยู่แล้วเพราะฉันจบปริญญาตรีพร้อมใบรับรองความรู้ภาษาอังกฤษระดับ TEM8 ส่วนการสอบผ่านโทเฟิลก็ย่อมจะไม่ใช่ปัญหา”  น้อยคนนักที่จะอยู่ในรูปการณ์เช่นนี้  ตัวอย่างเช่น บางคนร่ำรวยและสามารถเข้าประเทศได้ด้วยวีซ่านักลงทุน แต่รูปการณ์เช่นนั้นมีน้อยมาก  ดังนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้จะออกจากประเทศจีนย่อมเกิดขึ้นภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าด้วยการอนุญาตของพระองค์ใช่หรือไม่?  ใช่แล้ว  พวกเราจะไม่พูดถึงสถานการณ์รายคน พวกเราจะพูดถึงแต่คนที่สามารถออกจากจีนและทำหน้าที่ของตนด้วยใจจริงได้ในเวลาต่อมา  นี่ไม่ได้เกิดจากเจตนาของพวกเขาเองทุกอย่าง  แง่หนึ่งของการที่เจ้าออกจากจีนก็คือเจ้ามีภารกิจ อีกแง่หนึ่งคือเจ้าออกจากจีนภายใต้การทรงนำของพระเจ้า  เมื่อมองเรื่องราวตามนี้ เจ้าออกจากจีนมาทำสิ่งใด?  (มาทำหน้าที่ของตน)  ไม่ว่าจะใช้เวลาดำเนินการตามขั้นตอนให้เสร็จสิ้นนานเท่าใดในระยะเริ่มแรก ไม่ว่าเจ้าจะสละไปมากเท่าใด หรือพระเจ้าจะทรงครองอธิปไตยเหนือเรื่องนั้นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ในเมื่อเจ้าสามารถออกนอกประเทศจีนมาทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าได้ พวกเราก็สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าเจ้ามีภารกิจในต่างประเทศ  เจ้าแบกรับความรับผิดชอบและภาระอันหนักหน่วง และจุดหมายของการที่เจ้ามาต่างประเทศก็ควรมีความชัดเจนยิ่ง  ข้อแรก เจ้าไม่ใช่คนเข้าเมืองที่มาต่างประเทศเพื่อสุขสำราญกับชีวิต ข้อสอง เจ้าไม่ได้มาต่างประเทศเพื่อแสวงหาที่ทางทำมาหากิน ข้อสาม เจ้าไม่ได้มาต่างประเทศเพื่อแสวงหาวิถีชีวิตที่ต่างออกไป และข้อสี่ เจ้าไม่ได้มาต่างประเทศเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดี  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  เจ้าไม่ได้มาต่างประเทศเพื่อการไล่ตามไขว่คว้าทางโลก เจ้ามาพร้อมภารกิจและพระบัญชาจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่ของเจ้า  เมื่อมองตามนี้ เวลามาต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าควรเป็นสิ่งใด?  (การทำหน้าที่ของตน)  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าก็คือการมาที่พระนิเวศของพระเจ้า หาที่ทางของตน และทำหน้าที่ของเจ้าตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้โดยที่เท้ายังติดดินและประพฤติตัวให้ดี  นั่นย่อมถูกต้องมิใช่หรือ?  (ใช่)  เช่นนั้นจึงถูกต้อง  นอกจากนี้เจ้าก็ไม่ได้มาต่างประเทศเพราะมีใครข่มขู่หรือลักพาตัวเจ้ามา—เจ้าเต็มใจมาเอง  ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เจ้าก็มายังต่างประเทศแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ควรทำหน้าที่ของตน  นั่นจึงถูกต้องใช่หรือไม่?  สิ่งที่กำหนดให้ผู้คนทำนี้สูงส่งหรือไม่?  (ไม่)  นี่ไม่ใช่ข้อกำหนดที่สูงส่ง ไม่ใช่ข้อกำหนดที่เกินเหตุ  และไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล  ทั้งนี้ เมื่อดูตามที่เราเพิ่งกล่าวมา เจ้าควรปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างไรและควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะทำได้ตามพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า?  เจ้าควรนึกถึงเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  สิ่งแรกที่เจ้าควรทำคือคิดว่า “ฉันไม่ใช่คนทั่วไปอีกแล้ว ตอนนี้ฉันแบกรับภาระเอาไว้บนบ่า  ภาระอะไร?  ก็คือพระบัญชา เป็นภาระที่พระเจ้าประทานมา  พระเจ้าทรงชี้นำให้ฉันมายังต่างประเทศ และฉันก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรลุล่วงในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า—นี่คือหน้าที่ของฉัน  ข้อแรก ฉันควรตรองว่าตัวเองสามารถทำหน้าที่อะไรได้ และข้อสอง ฉันควรคิดว่าจะทำหน้าที่นั้นให้ดีได้อย่างไร จะได้ไม่ล้มเหลวในการใช้ชีวิตได้สมกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือตัวฉันและสมกับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน”  เจ้าควรคิดดังนี้มิใช่หรือ?  การคิดแบบนี้เกินเหตุหรือไม่?  เทียมเท็จหรือไม่?  ไม่ นี่คือสิ่งที่คนที่มีการใช้เหตุผล มีความเป็นมนุษย์ และมีมโนธรรมควรคิดกัน  ถ้าบางคนกล่าวว่า “หลังจากที่มาต่างประเทศแล้ว ฉันพบว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันนึกว่าจะเป็น และฉันนึกเสียใจที่มา” ผู้คนเหล่านี้เป็นคนแบบใด?  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์และมีความเชื่อที่ไม่สมบูรณ์  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาต่างประเทศเต็มใจที่จะทุ่มเทให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน  นั่นก็เพียงพอแล้ว  คราวนี้ก็เอาสิ่งที่พวกเราเพิ่งพูดไปมาผนวกกับเรื่องของคริสตจักรแคนาดากันเถิด  ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาก็ไม่ได้อยู่นอกกรณีนี้  พวกเขาไปแคนาดากันโดยบังเอิญหรือไม่?  ไม่ได้บังเอิญ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้?  เรากล่าวเช่นนี้เพราะพระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้วว่าผู้คนกลุ่มใดจะไปประเทศไหน และที่ว่า “ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” นี้ก็มีอธิปไตยของพระเจ้าปกครองอยู่  เมื่อพระเจ้าทรงใช้อธิปไตยชี้ขาดให้เจ้าไปยังประเทศหนึ่งๆ เมื่อนั้นเรื่องนั้นย่อมเกิดขึ้น  ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาก็มีภารกิจและมาต่างประเทศตามอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าเช่นกัน  พระเจ้าทรงนำพวกเขาไปที่แคนาดา และคริสตจักรก็มอบหมายตำแหน่งงานต่างๆ แก่พวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนตามความสามารถพิเศษของแต่ละคน ทักษะงาน จุดแข็ง และอื่นๆ  แล้วตั้งแต่แรกพวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนอย่างค่อนข้างแข็งทื่อ  ที่ว่า “แข็งทื่อ” เราไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเก็บปากเก็บคำและเชื่องช้า แต่หมายความว่าแม้พวกเขาส่วนใหญ่จะมาทำหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง?  เวลาพวกเขาเผชิญปัญหา พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่แสวงหาหลักธรรมสำหรับการกระทำของตน  บางครั้งเมื่อเบื้องบนจัดเตรียมบางสิ่งให้แก่พวกเขาหรือบอกให้พวกเขาทำอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ไม่ลงมือทันที—นี่คือท่าทีที่พวกเขานำมาใช้ในการทำหน้าที่ของตน  พวกเขาสุกเอาเผากินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็ตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย ยุ่งเหยิงไปหมด  ไม่มีอะไรดีในชีวิตคริสตจักรหรือการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเหล่านี้ ผลของการทำหน้าที่ของพวกเขาย่ำแย่ สามัคคีธรรมความจริงของพวกเขาไม่มีความเป็นจริง และพวกเขาก็ไม่มีวิจารณญาณในตัวผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์แต่อย่างใด—ไม่มีอะไรดีในสิ่งที่พวกเขาทำ  เวลาผ่านไป ศัตรูของพระคริสต์ที่ชื่อเหยียนก็ปรากฏตัว และพวกเขาก็กลายเป็นพวกเดียวกับศัตรูของพระคริสต์คนนี้  ที่ว่า “พวกเขากลายเป็นพวกเดียวกัน” หมายความว่าอย่างไร?  ศัตรูของพระคริสต์คนนี้เป็นเพียงชายหนุ่มอายุ 26 ปี ทำงานอยู่ที่คริสตจักรมาสองปีครึ่งแล้ว  ในช่วงนั้นเขาดึงดูดความสนใจของพี่น้องหญิงหลายคน อาจจะสัก 10 คน  ในจำนวนนี้มีบางคนที่เขาให้ความสนใจ และบางคนที่เขาไม่ได้สนใจ รวมทั้งคนที่เขาเมิน กระนั้นผู้คนทั้งหมดนี้ก็ชื่นชูศัตรูของพระคริสต์คนนี้  ก่อนหน้านั้นสองปีครึ่ง ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาทำอะไรไม่ค่อยได้มากนักในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและอยู่ในสภาวะที่เฉยชาไร้ชีวิตชีวา  ไม่ว่าเบื้องบนจะจัดแจงให้พวกเขาทำงานอะไร พวกเขาก็ทำอย่างสุกเอาเผากินและไม่ลงมือทันที การที่จะทำให้งานนั้นๆ เป็นผลจึงใช้ความอุตสาหะพยายามอย่างมาก  หลังจากที่เบื้องบนตัดแต่งพวกเขา พวกเขากลับท้อใจ ตกอยู่ในอารมณ์ที่ห่อเหี่ยว แทบไม่สื่อสารกับเบื้องบน และท่าทีที่พวกเขามีต่องานก็พลอยท้อแท้อย่างยิ่งไปด้วย  หลังจากที่ศัตรูของพระคริสต์ที่ชื่อเหยียนได้เป็นผู้นำ สถานการณ์ของพวกเขาก็ยิ่งแย่ลงทุกวัน และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ เท่านั้น  เหตุใดพวกเขาจึงมาถึงขั้นที่ทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ เช่นนี้ได้?  นี่เชื่อมโยงกับสิ่งใด?  ถ้าดูสาเหตุตามข้อเท็จจริง นี่น่าจะเชื่อมโยงกับพวกผู้นำ  พวกเขาไม่มีผู้นำที่ดี ผู้นำของพวกเขาไม่มีใครไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับบ่มเพาะสัมพันธภาพระหว่างบุคคลและทำเรื่องคดโกงทั้งหลาย  แล้วสาเหตุในส่วนของตัวบุคคลนั้นคืออะไร?  ก็คือพวกเขาไม่มีใครไล่ตามเสาะหาความจริง  เป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่กลุ่มคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะทำหน้าที่ของตนได้มาตรฐานและด้วยความจงรักภักดี?  (ไม่ง่าย)  อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องง่ายหรือไม่ที่กลุ่มคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้และผู้ไม่เชื่อบางคนจะลงมือทำเรื่องคดโกง ทำตัวสุกเอาเผากิน และต่อต้านเบื้องบน?  (ง่าย)  แล้วก็ง่ายใช่หรือไม่ที่กลุ่มคนดังกล่าวจะตกต่ำและเสื่อมลงเรื่อยๆ เหมือนพวกผู้ไม่มีความเชื่อ?  ง่ายมาก และนี่ก็คือเส้นทางที่พวกเขาเดินกัน  ด้วยการเสแสร้งว่ากำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ พวกเขากินอาหารในพระนิเวศของพระเจ้า อาศัยอยู่ตามที่พักในพระนิเวศของพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็เกื้อหนุนพวกเขา  พวกเขาโกงกินอาหารและเครื่องดื่มไปจากพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ยังคงมุ่งหวังที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์และได้รับรางวัล—พวกเขาดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาเล่ห์เหลี่ยมกันแบบนี้  พอศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนงานของคริสตจักร ก็ไม่มีพวกเขาคนใดรายงานปัญหาให้เบื้องบนรับรู้  มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่รายงานปัญหาแก่ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่ง และผลก็คือเรื่องราวไม่ได้รับการแก้ไข  คนที่เหลือล้วนมืดบอด และเมื่อมองเห็นปัญหามากมายขนาดนั้นเกิดขึ้นในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่รายงานปัญหาเหล่านั้น  การจัดแจงเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้าระบุหลักธรรมของการเปลี่ยนตัวผู้นำและคนทำงานเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ กลับเอาแต่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ พร้อมกับศัตรูของพระคริสต์คนนั้น  ในหมู่ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ ฝั่งหนึ่งมีพวกที่เชื่อในพระเจ้ามานาน 20 กว่าปี ส่วนอีกฝั่งก็มีคนที่เชื่อมาห้าปีเป็นอย่างน้อย แล้วก็ไม่มีใครรายงานปัญหาเหล่านี้  แต่ที่แย่กว่านั้นคืออะไร?  มีผู้นำทีมและรองผู้นำทีมหลายคนที่เป็นหญิงไปเกี้ยวพาราสีศัตรูของพระคริสต์คนนี้ และต่างก็แก่งแย่งความสนใจจากเขา  เมื่อชายหญิงเริ่มคบหากัน นี่เป็นเรื่องที่มองปราดเดียวก็ดูออกได้ง่ายสำหรับคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วและผู้สูงอายุทั้งหลาย  ผู้คนล้วนอ่อนไหวกับเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง และเพียงมองปราดเดียวพวกเขาก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  อย่างไรก็ดี ไม่มีใครรายงานเรื่องดังกล่าว ไม่มีใครลุกขึ้นมาตำหนิหรือเปิดโปงพวกเขา และไม่มีใครสามารถใช้วิจารณญาณดูพวกเขาออก  มีใครบ้างที่ก้าวออกมา และพอเห็นพวกเขารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนโดยมีศัตรูของพระคริสต์คนนี้เป็นหัวหน้า ก็บอกตัวเองว่า “ฉันไม่สามารถติดตามพวกคุณได้  ฉันต้องรายงานเรื่องนี้แก่ผู้นำระดับสูงขึ้นไปให้ปลดพวกคุณ หรือไม่ก็รวบรวมพี่น้องชายหญิงบางคนที่มีสำนึกในความเที่ยงธรรมมาขับไล่พวกคุณออกไป”?  ไม่มีใครทำ  ไม่มีใครรายงาน จนถึงคราวที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนชนิดใด?  ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าหรือไม่?  ใช่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การที่เรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นใต้จมูกตัวเองและพวกเขากลับไม่ตระหนักรู้  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนี้สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่?  พวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อหน้าที่ของตน?  ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพียงคนที่เอาแต่ได้ ฉวยประโยชน์จากผู้อื่นไปวันๆ  พวกเขาเชื่อว่าตนเองสามารถทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าได้โดยง่าย ไม่มีใครควรพูดอะไรสักคำถ้าคนเหล่านั้นสังเกตเห็นปัญหา ไม่มีใครควรล่วงเกินใคร และถ้าพวกเขาล่วงเกิน “นาย” เข้า นั่นย่อมจะเลวร้าย และผลที่ตามมาก็จะไม่ดีสำหรับทุกคน  ถ้าเจ้ากลัวการล่วงเกินผู้คนและไม่กล้าทำเช่นนั้น แล้วเจ้ากล้าล่วงเกินพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าเจ้าล่วงเกินพระเจ้า ผลที่ตามมาจะดีสำหรับเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงจัดการเจ้าอย่างไร?  จะไม่มีผลสืบเนื่องหรอกหรือ?  (ย่อมจะมี)  ย่อมจะมีผลสืบเนื่อง  การที่พวกเขากลัวว่าจะล่วงเกินใครๆ นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ  ปัจจัยสำคัญอยู่ที่พวกเขาเป็นคนเลวที่ไม่รักความจริง  นอกจากจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้ว พวกเขายังทำเรื่องโง่เขลามากมายอีกด้วย  คริสตจักรแคนาดามีผู้คนไม่มากนัก แต่พวกเขากลับมีความทะยานอยากอันเตลิดเปิดเปิงอยู่มากมาย  การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็ชัดเจนว่าไม่มีผล ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังอยากขยายขอบเขตงานของตนเอง และยุ่งอยู่กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่ในที่สุดพวกเขากลับสูญเสียเงินมัดจำอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งไปเปล่าๆ  ตอนนี้ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกโดดเดี่ยว  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนกลุ่มนี้เป็นคนจำพวกใด?  เป็นสัตว์เดรัจฉานและคนชั่วช้าฝูงหนึ่งมิใช่หรือ?  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไร้ค่า แต่กลับผลาญของถวายกันแบบนี้  ไม่มีใครพิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีใครสำนึกในความเที่ยงธรรม—พวกเขาเป็นเพียงปีศาจฝูงหนึ่งเท่านั้น!  น่าโมโหจริงๆ!

คริสตจักรแคนาดาไม่ได้มีผู้คนมากนัก แค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น  พวกเขาไม่ได้ใช้ความพยายามกับหน้าที่ของตนเท่าใดนัก ละทิ้งหน้าที่และแบ่งพรรคแบ่งพวก ทุกคนเอาแต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ  นั่นน่าโมโหมิใช่หรือ?  พวกเขาไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่มีความคืบหน้า ทุกคนออกอุบายเล่นงานกันเองและไม่ทำงานด้วยกันอย่างกลมเกลียว  พวกผู้นำก็ลงมือทำเรื่องคดโกงร่วมกับคนบางคน และไม่มีใครสำนึกถึงความเร่งด่วน ไม่มีใครโกรธ และไม่มีใครรู้สึกเศร้าใจในเรื่องนี้  ไม่มีใครอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเขาก็ไม่แสวงหาร่วมกับเบื้องบนหรือขอความช่วยเหลือจากเบื้องบน  ไม่มีใครทำเช่นนี้ และไม่มีใครก้าวออกมาบอกว่า “ไม่ถูกต้องที่พวกเราจะทำหน้าที่ของตนกันแบบนี้  หน้าที่ที่พวกเราทำอยู่นี้คือพระบัญชาจากพระเจ้า และพวกเราจะทำให้พระเจ้าผิดหวังไม่ได้!”  พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย พวกเขามีผู้คนมากพอ มีเครื่องมือมากพอ  แล้วพวกเขาขาดอะไร?  สิ่งที่พวกเขาขาดก็คือผู้คนที่ดี  ไม่มีใครสำนึกถึงภาระในงานของคริสตจักร และไม่มีใครสามารถพิทักษ์รักษางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ก้าวออกมาเปิดปากพูด หรือสามัคคีธรรมความจริงในเรื่องของวิจารณญาณ เพื่อให้ทุกคนสามารถลุกขึ้นมาใช้วิจารณญาณและเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้ ไม่มีใครทำเช่นนี้  นี่เป็นเพราะวายร้ายพวกนี้มืดบอดและมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเป็นเพราะพวกเขาไม่มีขีดความสามารถและสับสนเพราะสูงอายุกันแล้ว?  (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง)  ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง  แล้วสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร?  พวกเขาทุกคนรวมทั้งศัตรูของพระคริสต์คนนั้นต่างก็ปกป้องและเลียแข้งเลียขากันเอง ไม่มีใครเปิดโปงใคร ทุกคนเอาแต่สังสรรค์กันอยู่ในรังปีศาจนั่น  พวกเขาเคยนึกถึงหน้าที่ของตนหรือพระบัญชาของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาอยากทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ แบบนี้เท่านั้นโดยไม่รู้สึกติเตียนตัวเอง  เมื่อพวกเขาไม่รู้สึกติเตียนตัวเอง นี่ก็คือปรากฏการณ์เช่นใด?  นี่คือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพระเจ้าก็ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว  มีคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งสำหรับการที่พระเจ้าทรงทิ้งพวกเขาไป ซึ่งก็คือเป็นเพราะท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ของตนและท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้า รวมทั้งความคิดของพวกเขาด้วย พระเจ้าทรงขุ่นเคืองในตัวพวกเขาและพวกเขาก็ไม่สมควรที่จะทำหน้าที่นั้นๆ อีกต่อไป  นั่นคือสาเหตุที่ไม่มีคำติเตียนหรือการบ่มวินัยให้เห็นในตัวพวกเขา ไม่มีการปลุกมโนธรรมของพวกเขาให้ตื่นขึ้นมา และพวกเขาก็ยิ่งไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่าง ไม่ได้รับการตัดแต่ง การพิพากษา หรือการตีสอนอันใด  สิ่งเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาด้านชากันหมด และไม่ต่างจากพวกมาร  พวกเขาฟังคำเทศนาในพระนิเวศของพระเจ้ามาหลายปี ทั้งยังฟังคำเทศนาเรื่องการใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์และคำเทศนาถึงวิธีการทำหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน แต่ในระหว่างนี้พวกเขาแสวงหาและยอมรับความจริงกันบ้างหรือไม่?  พวกเขาใช้วิจารณญาณกับศัตรูของพระคริสต์บ้างหรือไม่?  พวกเขาจัดให้มีการอภิปรายถึงสิ่งต่างๆ ที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมาบ้างหรือไม่?  ไม่ได้ทำ  ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้นจริง ก็แน่นอนว่าย่อมจะมีคนส่วนน้อยที่สามารถลุกขึ้นมาฉีกหน้ากากและรายงานเรื่องศัตรูของพระคริสต์กันแล้ว และสิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นไป  พวกเขาเป็นเพียงผู้คนที่เลอะเลือนใช้ไม่ได้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น!  เมื่อดูตามสถานการณ์จริงและพฤติกรรมของพวกเขา รวมทั้งการจำแนกพวกเขาตามประเภท เราจึงลดชั้นให้พวกเขาอยู่ในกลุ่ม ข. ในช่วงของการถูกโดดเดี่ยวและทบทวนตนเอง  เกินเหตุหรือไม่ที่เราจัดการเรื่องดังกล่าวในลักษณะนี้?  (ไม่)  ไม่ได้เกินเหตุเลย  และถ้าไม่เกินเหตุ เช่นนั้นแล้วจะถือว่าถูกควรโดยแท้ได้หรือไม่?  นี่ทำไปเพื่อให้โอกาสพวกเขาบ้าง  โอกาสอะไร?  ถ้าแท้จริงแล้วพวกเขาพอจะมีความเป็นมนุษย์และมโนธรรมอยู่บ้าง ถ้าพวกเขากลับใจและเปลี่ยนวิถีทางได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมีโอกาสกลับมาที่คริสตจักร ถ้าพวกเขาถึงขนาดไม่มีความประสงค์ที่จะกลับใจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต และถึงกับถูกคริสตจักรเอาตัวออกไปด้วย  เรื่องย่อมเป็นเช่นนี้  พวกเขาไม่ถูกเอาตัวออกไปทันทีก็เพื่อให้พวกเขามีโอกาสกลับใจ  พวกเขาอาจพูดว่า “พวกเราทำเรื่องไม่ดีเช่นนี้ พระองค์จึงกริ้วและโดดเดี่ยวพวกเรา  ดังนั้น แม้พวกเราจะไม่ได้มีคุณความดีอะไรในการทำหน้าที่ของตนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็แน่นอนว่าพวกเราทนทุกข์เพราะเหตุนั้นแล้ว  ทำไมพระองค์ถึงมองไม่เห็น?” แต่อันที่จริงการโดดเดี่ยวพวกเขานั้นก็ปรานีมากพอแล้ว และตามการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาก็น่าจะถูกเอาตัวออกไปแล้ว  จงดูท่าทีที่พวกเขามีนี้เถิด—พวกเขามีภัยอย่างยิ่ง!  ดังนั้น เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร?  เราต้องแบ่งแนวทางของเราออกเป็นสองระยะ ระยะแรกคือการโดดเดี่ยวพวกเขา และระยะที่สองก็จัดการพวกเขาไปตามที่เราเห็นว่าเหมาะสมโดยอิงตามสถานการณ์ของพวกเขาในช่วงที่พวกเขาถูกโดดเดี่ยวและตามพฤติกรรมของพวกเขาแต่ละคน แล้วตัดสินใจว่าจะให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไปหรือว่าเอาตัวออกไป  นี่ปรานีพวกเขามากพอแล้วมิใช่หรือ?

ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาทำเรื่องไม่ดีเอาไว้มากมาย และการโดดเดี่ยวพวกเขาตามพฤติกรรมของพวกเขาก็เป็นการปรานีมากแล้ว ดังนั้น เหตุใดบางคนจึงยังมีแนวคิดของตนเองว่าควรรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “อาจจะถูกแล้วที่พระองค์ทรงรับมือเรื่องดังกล่าวแบบนั้น แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย  ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาทำตัวเองและได้รับสิ่งที่สมควรแล้ว แต่ด้วยการรับมือเรื่องราวเช่นนั้น พระองค์กำลังลงโทษพวกเขาอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นมิใช่หรือ?”  การเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เราเคยได้ยินบางคนพูดว่า “นี่เป็นวิธีรับมือที่ถูกต้องแล้ว  พระองค์ควรลงโทษพวกเขาอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น เชือดไก่ให้ลิงดู และแสดงความแข็งแกร่งเพื่อส่งสารแก่ผู้อื่น”  นี่คือสิ่งที่ผู้ไม่มีความเชื่อพูดกันมิใช่หรือ?  นี่คือทัศนะที่ผู้ไม่มีความเชื่อย่อมจะมีในเรื่องต่างๆ  บางทีพวกเจ้าอาจจะยังไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของปัญหานี้ และนั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้ายังคงแสดงทัศนะของผู้ไม่มีความเชื่อออกมาได้  พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าการที่ใครสักคนกล่าวเช่นนี้ออกจะน่ารังเกียจอยู่บ้าง?  ถ้าพวกเจ้าใช้ถ้อยคำดังกล่าวมาอธิบายเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังพูดถึงสิ่งที่อยู่นอกประเด็น และสิ่งต่างๆ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่  แล้วพวกเจ้าจะพูดถึงวิธีที่เราใช้รับมือเรื่องดังกล่าวว่าอย่างไร?  (พระองค์ทรงรับมือตามหลักธรรม)  ถูกต้อง เรารับมือตามหลักธรรม นี่คือสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พึงกล่าว  มีใครจะพูดอีกบ้าง?  พวกเขาทำตัวเองมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วจะกล่าวถึงเรื่องนี้ให้ง่ายที่สุดว่าอย่างไร?  (พวกเขาได้รับการลงโทษที่สาสมแล้ว)  ถูกต้อง ตามการประพฤติของพวกเขา พวกเขาได้รับการลงโทษที่สาสมแล้วและพวกเขาก็ทำตัวเอง  พระเจ้าทรงกระทำการตามหลักธรรมความจริง พระองค์ทรงลงทัณฑ์ผู้คนอย่างสาสมตามพฤติกรรมของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนก็ควรแบกรับผลสืบเนื่องจากการกระทำของตน และยามที่พวกเขาทำสิ่งผิด พวกเขาก็ควรถูกลงโทษ—นี่จึงเหมาะควร  พระเจ้าทรงลงทัณฑ์ผู้คนอย่างสาสมตามพฤติกรรมของพวกเขา นี่จึงเป็นการลงทัณฑ์ผู้คนในคริสตจักรแคนาดาอย่างสาสม และถ้าใช้คำศัพท์สมัยใหม่ก็คือ พวกเขาถูกจัดการตามหลักธรรม  จงบอกเราเถิดว่าสิ่งที่เราเปิดโปงมาเกี่ยวกับพวกเขามีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง?  การวิเคราะห์และคำจำกัดความที่เรามีในเรื่องเหล่านี้ และการที่เราจำแนกประเภทให้กับพวกเขา มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง?  เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นจึงมีการลงทัณฑ์พวกเขาอย่างสาสมตามสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา ตามการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา—การทำเช่นนั้นมีอะไรผิด?  ดังนั้น การแสดงความแข็งแกร่งเพื่อส่งสารแก่ผู้อื่น ลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น และเชือดไก่ให้ลิงดู—การกระทำเหล่านี้มีธรรมชาติเช่นเดียวกับวิธีที่เราใช้จัดการคริสตจักรแคนาดาหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเหตุใดจึงลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น?  นี่มีธรรมชาติเช่นไร?  การลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น แสดงความแข็งแกร่งเพื่อส่งสารแก่ผู้อื่น และเชือดไก่ให้ลิงดู—ธรรมชาติของการกระทำสามอย่างนี้มีพื้นฐานที่เหมือนกัน  ธรรมชาตินั้นคืออะไร?  คือพฤติการณ์ของนักปกครองหรือการที่คนมีอำนาจทำบางสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าจำเป็นในสถานการณ์จำเพาะเพื่อใช้ข่มขวัญผู้อื่นและประกาศศักดาของตน  นี่เรียกว่าการลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น  จุดมุ่งหมายที่พวกเขาทำดังนี้ย่อมจะเป็นสิ่งใด?  ย่อมจะเป็นการทำให้ผู้อื่นเชื่อฟังพวกเขา กลัวพวกเขา และรู้สึกว่าถูกพวกเขาข่มขวัญ ไม่ทำสิ่งใดที่มุทะลุต่อหน้าพวกเขา และไม่ทำสิ่งใดตามใจชอบต่อหน้าพวกเขา  การที่พวกเขาทำเช่นนี้ตรงตามหลักธรรมหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่ตรงตามหลักธรรม?  นักปกครองย่อมจะมีแรงจูงใจในการกระทำของตน และแรงจูงใจของเขาก็คือการทำให้ระบอบการปกครองของตนมั่นคงและพิทักษ์รักษาอำนาจของตนเอาไว้  เขาจะชอบวุ่นวายกับเรื่องนี้เกินเหตุ และนี่คือธรรมชาติในการกระทำของเขา  เรื่องของการรับมือคริสตจักรแคนาดานั้นเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ไม่ใช่ตามปรัชญาของซาตานเยี่ยงผู้ไม่มีความเชื่อ  ศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ผู้คนหลงผิด เขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พลิกคริสตจักรจากหน้ามือให้เป็นหลังมือ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงออกหน้าพูดจาปกป้องเขา—การกระทำของพวกเขาแท้จริงแล้วมีธรรมชาติที่น่าชังยิ่ง!  เมื่อทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ก็คงจะดีเสียกว่าถ้าพวกเขาออกจากคริสตจักรไปมีชีวิตของตนเอง  อย่างน้อยเมื่อทำเช่นนั้น ทรัพยากรในพระนิเวศของพระเจ้าก็ย่อมจะไม่สูญเปล่า และนั่นย่อมจะเป็นเรื่องดี  แต่พวกเขาทำเช่นนั้นกันหรือไม่?  มโนธรรมของพวกเขาไม่มีความตระหนักรู้ข้อนี้ และพวกเขาก็ใช้ทรัพยากรวัตถุและการเงินในพระนิเวศของพระเจ้ากันอย่างสูญเปล่า ไม่ทุ่มเทพยายามทำหน้าที่ของตน ไปร่วมขบวนการกับศัตรูของพระคริสต์และร่วมทำความชั่วกับเขา—การกระทำเหล่านี้มีธรรมชาติที่ร้ายแรงยิ่ง!  พระนิเวศของพระเจ้าจัดการพวกเขาเช่นนี้เพื่อให้พวกเขาทบทวนและทำความรู้จักตนเอง พวกเขาจะได้รู้จักเปลี่ยนแปลงวิถีทางและกลับใจ นี่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ถูกจัดการ เช่นนั้นแล้วบางทีหนึ่งปีจากนี้ไปพวกเขาก็อาจจะทรยศพระเจ้าและกลับสู่ทางโลกกันหมด  โชคยังดีที่พวกเขาถูกโดดเดี่ยวและจัดการทันเวลา และนี่ก็ป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ทำความชั่วยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น และไม่ให้งานของคริสตจักรยิ่งเกิดความเสียหายมากขึ้น  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขากำลังได้รับการช่วยให้รอดหรือว่าถูกกำจัดออกไป?  (กำลังได้รับการช่วยให้รอด)  พวกเขากำลังได้รับการช่วยให้รอดโดยแท้  นี่ทำไปเพื่อช่วยพวกเขา ตักเตือนพวกเขา ส่งสัญญาณเตือนภัย บอกพวกเขาว่าทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง และถ้าพวกเขาทำเช่นนั้นต่อไป พวกเขาก็จะทนทุกข์กับความพินาศ จบชีวิต และหมดหวังที่จะได้รับความรอด  ถ้าพวกเขาเข้าใจประเด็นนี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงมีหวัง  ถ้าพวกเขาถึงขั้นเข้าใจประเด็นนี้ไม่ได้ ยังคงรู้สึกห่อเหี่ยว ทำตัวเสื่อมลงเรื่อยๆ และทอดอาลัย ต่อต้านเบื้องบนและพรั่งพรูมโนคติอันหลงผิดของตนเวลาอารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเดือดร้อน  พวกเจ้าปรารถนาให้พวกเขาเป็นเช่นใด?  (ให้พวกเขากลับใจ)  พวกเจ้าทุกคนปรารถนาให้พวกเขามีสุขภาพดีและกลับใจ  แล้วเราปรารถนาให้พวกเขาเป็นเช่นใด?  เราปรารถนาให้พวกเขาไม่กลับใจ เราจะได้ชำระพวกเขาทุกคนออกไป คริสตจักรจะได้ดีขึ้นเมื่อไม่มีผู้คนเหล่านี้กระนั้นหรือ?  นี่ใช่สิ่งที่เราต้องการหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ  เราปรารถนาให้พวกเขามีสุขภาพดีและกลับใจ หลังจากที่กลับใจแล้ว เราก็ปรารถนาให้พวกเขากลับมายังพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างแต่ก่อนอีก  ข้อพระคัมภีร์ข้อนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไร?  “ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ” (โยนาห์ 3:8)  สำหรับพวกเขาแล้ว ถ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลนี้ได้ นั่นย่อมเป็นความทรงจำที่จะไม่มีวันลบเลือนได้เป็นอันขาดตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ จะเป็นประสบการณ์พิเศษสำหรับพวกเขา และกลายเป็นเหตุการณ์ที่วิเศษ  นี่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนไล่ตามเสาะหา

เมื่อจัดการเรื่องศัตรูของพระคริสต์ที่คริสตจักรแคนาดาแล้ว บางคนก็คิดว่า “ผู้คนเหล่านี้ทำหน้าที่ของตนมานานหลายปี แต่กลับถูกโดดเดี่ยวเพราะเกิดมีศัตรูของพระคริสต์มาก่อกวน”  พวกเขารู้สึกถึงวิกฤติพลางคิดว่า “โอ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพระเจ้ากริ้วและสาปแช่งผู้คน  แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน ผู้สมรู้ร่วมคิด และคนที่ติดตามศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น  แท้จริงแล้วพระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความรู้สึกของใคร!  ตามปกติก็มักจะพูดกันว่าพระเจ้าทรงรักและกรุณามนุษย์ แต่ความกริ้วของพระองค์ในครั้งนี้เหลือรับจริงๆ!”  พวกเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ  จงบอกเราเถิดว่าการที่ผู้คนคิดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  ผู้คนควรมีท่าทีเช่นไรในเรื่องนี้?  พวกเจ้าฟังคำเทศนากันมากี่ปีแล้ว?  อย่างน้อยก็ห้าปีแล้วมิใช่หรือ?  แล้วพวกเราก็ควรที่จะสามารถเห็นพ้องกันได้ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางเรื่องที่มีหลักธรรมค่อนข้างชัดเจนมิใช่หรือ?  (ใช่)  คำว่า “เห็นพ้อง” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการเข้าใจกันโดยปริยายอย่างหนึ่ง  เราทำบางสิ่งโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าก็รู้แก่ใจดีว่าทำไม พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้ ยอมรับได้ และตระหนักรู้ในเชิงบวกได้—นี่คือความหมายของการเข้าใจกันโดยปริยาย  การเข้าใจกันโดยปริยายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  สมมุติว่าเจ้าฟังคำเทศนามามากมาย สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงในระดับหนึ่ง และพวกเราก็ได้รู้จักกันมากขึ้น  เราอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างให้พวกเจ้าฟัง และบอกให้พวกเจ้ารู้ทัศนะของเรา แนวคิด หลักธรรมในการกระทำของเรา รวมทั้งสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำความเข้าใจและลงมือทำ  เราบอกเรื่องทั้งปวงนี้และทัศนะของเราว่าเป็นเช่นใด จากนั้นพวกเจ้าก็ยอมรับทัศนะของเรา และมีท่าทีต่อสิ่งต่างๆ ต่อหน้าที่ของเจ้า ความเชื่อ ชีวิต และผู้คนอื่นๆ ตามทัศนะของเรา  เมื่อเป็นเช่นนั้น การเข้าใจกันโดยปริยายระหว่างพวกเราก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเรามีการเข้าใจกันโดยปริยายเช่นนี้ในเรื่องของการรับมือคริสตจักรแคนาดาหรือไม่?  ถ้าเราไม่ได้อธิบายเรื่องนี้อย่างที่ทำอยู่ การเข้าใจกันโดยปริยายของพวกเราจะเป็นอย่างไร?  “ลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น” และ “เชือดไก่ให้ลิงดู”—นี่ใช่การเข้าใจกันโดยปริยายของพวกเราหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ฟังคำเทศนามานานหลายปี ดังนั้นการที่เราลงมือเช่นนี้ไปกระตุ้นให้พวกเขามีการตอบโต้ดังกล่าวได้อย่างไร?  จงบอกเราเถิดว่าเรารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังพวกเขากล่าวทัศนะเช่นนั้น?  นั่นทำให้เรารู้สึกว่าน่าอนาถเสียจริงที่ผู้คนกล่าวเรื่องเยี่ยงนั้นออกมาได้!  เราถามเจ้าหน่อยว่าเราควรรู้สึกเช่นนี้หรือไม่?  (ควร)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น?  เพราะถ้อยแถลงแบบนั้น มุมมองแบบนั้น ความเข้าใจแบบนั้น และการตระหนักรู้แบบนั้นไม่ควรมีอยู่หรือเกิดขึ้น  แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้และเตลิดไปไกลกว่าที่เราคาดคิด  ห่างไกลจากที่เราประเมินและคาดคิดเอาไว้มากเสียจนเรารู้สึกละอายในเรื่องนี้!  แล้วก็จะมีคนถามว่า “เรื่องราวร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ?  พระองค์แค่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่หรือ?”  เราบอกพวกเจ้าได้เลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเช่นกัน  นับตั้งแต่เจ้าเริ่มเชื่อในพระเจ้า ตั้งแต่เจ้ารับรู้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้าของเจ้า เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ตั้งแต่เจ้าอยากกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ติดตามพระเจ้า ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระองค์ และนบนอบทุกสิ่งที่พระเจ้าขอให้เจ้าทำ นับแต่วันนั้นมา เจ้าก็สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าแล้ว  เมื่อเจ้าสร้างสัมพันธภาพนี้แล้ว ก็ย่อมมีปัญหาที่สำคัญที่สุดระหว่างเจ้ากับพระเจ้า  ปัญหาอันใด?  ก็คือถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทำและพฤติการณ์ของพระเจ้าได้ ถ้าเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็ไม่สามารถริเริ่มแสวงหาและทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าก็จะอยู่ในสภาวะวิกฤติตลอดเวลา  แล้วสภาวะวิกฤตินี้มีความหมายว่าอย่างไร?  ไม่ว่าเจ้าจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนไว้อย่างไรว่าจะนบนอบพระเจ้า ตราบใดที่สภาวะวิกฤตินี้ยังคงมีอยู่แม้เพียงวันเดียวก็ตาม ตราบนั้นข้อเท็จจริงที่เจ้าอยากติดตามพระเจ้าและความประสงค์ของเจ้าที่จะน้อมรับความรอดจากพระเจ้าก็อาจพังทลาย อาจเชื่อถือไม่ได้ และอาจกลายเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ตราบใดที่สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าไม่ใช่สัมพันธภาพที่ปกติ และตราบใดที่สภาวะวิกฤตินี้ยังคงอยู่ เจ้าจะสามารถดำรงสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าได้หรือไม่?  เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะมีสัมพันธภาพแบบใดกับพระเจ้า?  จะเป็นสัมพันธภาพที่เข้ากันได้หรือไม่?  เป็นสัมพันธภาพในครอบครัว หรือสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน?  แท้จริงแล้วนี่จะเป็นสัมพันธภาพแบบใด?  ตราบใดที่สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าอยู่ในสภาวะวิกฤติ ตราบนั้นเจ้าก็จะสามารถตัดสินและเข้าใจผิดในกิจการและพฤติการณ์ของพระเจ้าได้ทุกเมื่อและทุกที่ และเจ้าก็จะถึงกับสามารถต่อต้านและปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทำ  เมื่อเป็นดังนั้นเจ้าก็จะมีภัยมิใช่หรือ?  ภัยนี้เกิดขึ้นอย่างไร?  เกิดขึ้นเพราะเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า  พวกเราจะไม่พูดตามด้านบวก แต่จะพูดตามด้านลบ  ตัวอย่างเช่น เจ้ามองพระเจ้าในลักษณะหนึ่งๆ อยู่เสมอ คิดไปว่าพระเจ้าก็คือกษัตริย์องค์หนึ่งบนแผ่นดินโลก เป็นเจ้าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง เป็นผู้ที่อยู่สูงสุดคนหนึ่งซึ่งกุมอำนาจบนแผ่นดินโลกเอาไว้  ในมโนภาพที่เจ้ามี เจ้าคิดอยู่เสมอว่าพระเจ้าก็คือผู้ที่ดำรงตำแหน่งจำพวกนี้ ดังนั้นตามหลักการนี้ เจ้าย่อมจะมีมุมมองเช่นใดต่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ?  ให้เรายกตัวอย่างแก่เจ้าสักสองสามตัวอย่างเถิด จากนั้นพวกเจ้าก็อาจจะเข้าใจว่าเราหมายถึงมุมมองใด  มีคำพังเพยทางโลกดังนี้ว่า “กษัตริย์และหมีมักทำให้คนดูแลวิตกกังวล”  แล้วมีคนที่นำคำพังเพยนี้มาใช้กับสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าหรือไม่?  (มี)  มีผู้คนแบบนั้น และมีหลายคนที่มีมุมมองเช่นนี้เกี่ยวกับพระเจ้า  จากนั้นก็มีคำพังเพยที่พวกเราเพิ่งเอ่ยถึงในตอนต้นคือ “เชือดไก่ให้ลิงดู”  นี่ก็คือการเข้าใจว่าพระเจ้าคือกษัตริย์บนแผ่นดินโลกหรือเป็นผู้ทรงอิทธิพลและสถานะเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเข้าใจพระเจ้าเช่นนี้เพราะมีทัศนะแบบนี้เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะพวกเขามีสัมพันธภาพเช่นนี้กับพระเจ้า เพราะพวกเขามองพระองค์ในลักษณะนี้ เข้าใจอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ไปเช่นนี้ พวกเขาจึงมองพระเจ้าเหมือนที่มองผู้มีสถานะในโลก—นี่เป็นเรื่องธรรมดา  ยังมีคำกล่าวอีกข้อหนึ่งที่กล่าวว่า “คนเราจะทนให้ใครมารุกล้ำเขตอิทธิพลของตนได้อย่างไร?”  นี่คือการพูดถึงกษัตริย์และผู้คนทางโลกที่มีสถานะและอิทธิพล  พวกเจ้าบางคนอาจรู้จักหรือเคยคบค้าสมาคมกับผู้คนแบบนี้มาก่อน และบางทีพวกเจ้าก็อาจจะใช้สำนวนนี้กับพระเจ้าด้วย  กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าตรัสหรือทำบางสิ่ง เจ้าก็อาจเอาสำนวนเหล่านี้มาเชื่อมโยงกับพระองค์และมองพระเจ้าในลักษณะนั้น  ถ้าเจ้ามองพระเจ้าแบบนั้นและมีมุมมองเช่นนั้นเกี่ยวกับพระองค์ แท้จริงแล้วสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าย่อมจะเป็นเช่นไร?  ย่อมจะค้านกัน  ไม่ว่าเจ้าจะเลื่อมใสและหวาดกลัวพระเจ้าที่เจ้ามีในมโนภาพมากเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะสามารถเชื่อฟังและยอมสยบให้พระเจ้าองค์นั้นมากเท่าใด ไม่ว่าท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าองค์นั้นจะเป็นเช่นใด สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าก็จะค้านกันอยู่ดี  พวกเจ้าอาจคิดว่าด้วยการพูดเช่นนี้ วจนะของเราฟังดูเป็นนามธรรมอยู่บ้าง แต่ถ้าพวกเจ้าใคร่ครวญอย่างรอบคอบ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ย่อมมองเห็นมิใช่หรือว่าสิ่งต่างๆ เป็นไปตามนี้?  ตอนที่เราจัดการเรื่องศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักรแคนาดา เราไม่ได้ใส่ใจที่จะอธิบายสิ่งต่างๆ ให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด และไม่ได้บอกพวกเจ้าว่าเหตุใดเราจึงจัดการผู้คนเหล่านั้น ผู้คนมากมายจึงพากันวิตกกังวลถึงจุดหมายปลายทางในอนาคตและชะตากรรมของตน  ความวิตกกังวลนี้มาจากไหน?  มาจากการที่ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและไม่รู้จักพระเจ้า—นี่คือมูลเหตุ!  ถ้าความเข้าใจที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าสอดคล้องกับแก่นแท้ของพระเจ้า—เช่น ถ้าความเข้าใจที่เจ้ามีเกี่ยวกับความชอบธรรม สิทธิอำนาจ และพระปัญญาของพระเจ้าเป็นไปตามความจริง—เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจเหตุผลและไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าจะเข้าใจพระเจ้าผิดหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  ทันทีที่เราจัดการปัญหาของคริสตจักรแคนาดาเสร็จ ก็มีบางคนกล่าวว่า “นี่ทำไปเพื่อใช้พวกเขาเป็นเครื่องตักเตือนและเพื่อทำให้พวกเราหวาดกลัว”  ปัญหาของพวกเขาคืออะไร?  สิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นตรงตามความจริงหรือไม่?  แสดงให้เห็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  ให้เราบอกเรื่องที่ง่ายมากๆ ให้พวกเจ้าฟังเถิด นั่นก็คือ ความเข้าใจของพวกเขาขัดกับสถานการณ์จริง ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น และพวกเขาเข้าใจผิด  การกล่าวเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงอุตสาหะพยายามกันขนาดนั้นในการอธิบายเรื่องนี้?  เราไม่เคยคิดแบบนั้น และไม่เคยอยากทำให้ใครหวาดกลัว  หลายปีมานี้ผู้คนส่วนใหญ่มีประสิทธิผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในการทำหน้าที่ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาทำหน้าที่ของตนได้มาตรฐานหรือไม่?  ไม่ ผู้คนเหล่านี้ยังอยู่ในระหว่างการทำหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน และถ้ามีปัญหาเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วเราย่อมปล่อยผ่าน  ในระหว่างนี้บางคนอาจก่อให้เกิดการรบกวน บ้างก็อาจผัดวันประกันพรุ่ง หรืออาจเกิดปัญหาเล็กน้อยบางอย่างในหมู่คนบางคน แต่โดยรวมแล้ว พวกเขาทำได้ดีทีเดียว  อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าไม่ควรลืม กล่าวคือ พวกเจ้ามาทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำงานกันหนักเพียงใด หรือทนทุกข์มากเท่าใด หรือถูกตัดแต่งมากเท่าใด พวกเจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าประทานโอกาสนี้แก่พวกเจ้าเพื่อให้พวกเจ้าสามารถมีประสบการณ์เป็นสถานการณ์ต่างๆ ทุกรูปแบบ พบเจอและมีประสบการณ์ทุกชนิดด้วยตนเอง  นี่เป็นเรื่องดี และทั้งหมดนี้ก็ทำไปเพื่อให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้  แล้วพวกเจ้าวิตกกังวลในเรื่องอันใด?  พวกเจ้าระแวดระวังใครอยู่?  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตัวเช่นนั้น  แค่ไล่ตามเสาะหาความจริงไปตามปกติก็พอ หาที่ทางที่ถูกต้องของเจ้าให้เจอ ทำหน้าที่ของเจ้าและทำงานที่ตกมาถึงเจ้าให้ดี นั่นก็เพียงพอแล้ว  การขอพวกเจ้าเช่นนี้ไม่ได้มากมายเลย

ตั้งแต่ศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวในคริสตจักรแคนาดาและเริ่มก่อกวน จนกระทั่งผู้คนเหล่านั้นมาถึงขั้นที่พวกเขาเป็นอยู่ในทุกวันนี้ เราอดทนกับพวกเขามานานเท่าใดแล้ว?  ไม่ใช่ว่าเราไม่ตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เราอดทนกับเรื่องนั้นมานานแล้ว  เราอดทนมามากเท่าใด?  นานแล้วที่พวกเขาไม่สามารถผลิตงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้น พวกเขาไม่คืบหน้าในงานของตน และไม่มีพวกเขาคนใดทำกิจธุระอันถูกควรของตน ทุกคนเอาแต่ใจและผลีผลาม เสเพลและไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ และควรถูกจัดการไปนานแล้ว  ถ้าพวกเจ้าสามารถทำตัวเอาแต่ใจ ผลีผลาม และไม่ทำกิจธุระที่ถูกควรของตนเช่นกัน ก็จงอย่ารอให้เราจัดการพวกเจ้า  แต่ให้ชิงจากไปเสีย นั่นย่อมจะมีศักดิ์ศรีกว่า  การทำเช่นนั้นจะถูกต้องหรือไม่?  ไม่ นั่นก็ไม่ใช่การทำสิ่งที่ถูกต้องเช่นกัน  จงอย่ามัวคิดที่จะจากไป เจ้าจำเป็นต้องหยั่งรากอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดีหรือไม่ อย่างน้อยก็จงเอาใจใส่ในหน้าที่ และดูให้แน่ใจว่าตัวเจ้าทำงานทุกชิ้นของตนให้ครบถ้วนในที่สุด  อย่าทิ้งงาน  บางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันอ่อนด้อย ฉันไม่ค่อยมีการศึกษาและไม่มีความสามารถพิเศษ  บุคลิกของฉันมีข้อเสีย และฉันก็พบเจอเรื่องยากในหน้าที่ของตนอยู่เสมอ  ถ้าฉันทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดีและถูกแทนที่ ฉันจะทำอย่างไร?”  เจ้ากลัวอะไร?  เจ้าสามารถทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยตัวคนเดียวกระนั้นหรือ?  เจ้าเพียงแต่รับบทบาทหน้าที่หนึ่งๆ ไม่ได้มีการขอให้เจ้ารับทุกอย่างไปทำ  แค่ทำสิ่งที่เจ้าพึงทำ นั่นก็มากพอแล้ว  เช่นนั้นเจ้าย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้วมิใช่หรือ?  เรื่องนี้ง่ายมาก เหตุใดเจ้าจึงพะวงแบบนี้อยู่ตลอดเวลา?  เจ้ากลัวว่าใบไม้จะร่วงใส่และทำหัวเจ้าแตก และเจ้าก็คิดอ่านหาแผนสำรองของตนเองเป็นอันดับแรก—นี่ไม่ได้ความมิใช่หรือ?  คำว่า “ไม่ได้ความ” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่พยายามก้าวไปข้างหน้า ไม่เต็มใจที่จะทุ่มเททุกสิ่งที่เจ้ามี อยากได้บัตรแลกอาหารฟรีอยู่เสมอ อยากสุขสำราญกับสิ่งดีๆ—ผู้คนแบบนี้เป็นขยะ  บางคนใจแคบเหลือเกิน  พวกเราจะพูดถึงผู้คนเช่นนี้ว่าอย่างไรได้?  (พวกเขาต่ำช้ามาก)  คนที่ต่ำช้ามากคือคนที่เลวทราม แล้วคนที่เลวทรามไม่ว่าใครก็สามารถใช้มาตรฐานที่เลวทรามของตนมาประเมินลักษณะนิสัยของสัตบุรุษและมองผู้อื่นว่าเป็นเพียงคนที่เห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเหมือนตน  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ความ และต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้า ก็ไม่ง่ายที่พวกเขาจะยอมรับความจริง  ต้นเหตุที่ทำให้คนคนหนึ่งมีความเชื่อน้อยเกินไปคือสิ่งใด?  ต้นเหตุก็คือการที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง  ถ้าเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไปและความเข้าใจที่เจ้ามีก็ตื้นเขินเหลือเกิน และด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจทั้งปวงที่พระเจ้าทำ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ  และพระประสงค์ทุกข้อที่พระเจ้ามีต่อเจ้า ถ้าเจ้าไม่สามารถมีความเข้าใจเช่นนี้ ความระแวงสงสัย สิ่งที่เจ้านึกฝัน ความเข้าใจผิด และมโนคติอันหลงผิดทุกรูปแบบเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมจะเกิดขึ้นในตัวเจ้า  ถ้าหัวใจของเจ้ามีแต่สิ่งเหล่านี้ เจ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้หรือ?  พวกเจ้าไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และนั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้ารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ วิตกกังวลที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกเจ้าจะถูกแทนที่  พวกเจ้ารู้สึกกลัวและคิดไปว่า “พระเจ้าสามารถเสด็จมาตรวจสอบที่นี่เมื่อใดก็ได้”  จงทำใจให้สบายก็พอ  ตราบใดที่พวกเจ้าทำงานที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้ทำได้เป็นอย่างดี ตราบนั้นต่อให้พวกเจ้าไม่ค่อยไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ค่อยมีการเข้าสู่ชีวิต เราย่อมจะปล่อยผ่าน  ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเจ้าเข้าชุมนุมและฟังคำเทศนากันอย่างไร ชีวิตคริสตจักรของพวกเจ้า รวมทั้งการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าดำเนินไปอย่างไร เราจะไม่สอดส่องเรื่องเหล่านั้น และจะไม่กวนใจพวกเจ้าในเรื่องงานที่พวกเจ้าทำอยู่  เหตุใดเราจึงจะไม่กวนใจพวกเจ้า?  มีหลายสาเหตุ  หนึ่งคือพวกเจ้าคุ้นกับทักษะการทำงานต่างๆ มากกว่าเรา  ในกระบวนการทำงานช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเจ้าควรได้ปรับปรุงในเรื่องของประสบการณ์หรือทักษะความเชี่ยวชาญของตน และคิดโครงการสำหรับงานของตนเองกันไปแล้ว  พวกเจ้าควรได้สรุปกฎเกณฑ์และข้อบังคับบางอย่างออกมาไม่ว่าจะทำกันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรหรือปากเปล่า  เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าใช้วิธีใดทำงาน และเราก็ไม่อยากทำให้แผนงานหรือวิธีการทำงานของพวกเจ้าต้องปั่นป่วน  พวกเจ้าสามารถทำตามรูปแบบหรือแบบแผน หรือตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับของพวกเจ้าเอง สามารถทำงานในหนทางใดก็ได้ที่ง่าย สะดวก ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าอิสระและเสรี และส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพอย่างมาก  นั่นคือ เราให้อิสระเต็มที่แก่พวกเจ้าในการทำงานของตน  แม้บางครั้งเราจะเดินไปทั่วคริสตจักรต่างๆ แต่เราก็รักษาระยะห่าง พวกเจ้าจะได้มองไม่เห็นเรา—เราพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่าอิสระและเสรี  เหตุใดเราจึงทำเช่นนี้?  พวกเจ้าไม่ค่อยคุ้นชินกับทักษะในสายงานเท่าใดนัก จึงจำเป็นต้องค่อยๆ คลำทางเอาเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้  ไม่ว่าผู้คนจะกำลังเรียนรู้ทักษะการทำงานหรือกำลังเข้าสู่ความจริง ทุกคนก็ก้าวหน้าในอัตราความเร็วของตนเองและมีประสิทธิภาพในระดับของตน  เจ้าไม่สามารถผลักดันให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ เกินความสามารถของพวกเขา  ผู้คนต้องก้าวผ่านกระบวนการหนึ่งๆ มีประสบการณ์เป็นความล้มเหลว ความติดขัด หรือได้บทเรียนบางอย่างจากความผิดพลาดของตน แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ สรุปหาวิธีก้าวไปข้างหน้าและแตกฉานในหลักธรรมบางอย่างในสาขาทั้งปวง  และแล้วพวกเขาก็จะก้าวหน้า  พวกเจ้ามีรูปแบบการทำงานและมีวิธีการของตนเอง—จึงไม่เหมาะที่เราจะกวนใจพวกเจ้าในเรื่องเหล่านี้  นั่นคือสาเหตุที่เราแทบจะไม่เข้าร่วมหารือในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของพวกเจ้า  นี่คือเหตุผลที่เชื่อมโยงกับพวกเจ้า  ยังมีสาเหตุเบื้องต้นอีกข้อหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเราเอง  เราจะกล่าวแก่พวกเจ้าด้วยความสัตย์จริงว่าสิ่งที่พวกเจ้าสามารถมองเห็นและคิดได้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของทักษะการทำงานหรือศิลปะ หรือยิ่งถ้าเป็นในแง่ของความจริง ทุกสิ่งดูตื้นเขินมากสำหรับเรา  พวกเจ้าจะทนรับได้หรือไม่ถ้าเราพยายามบีบให้พวกเจ้ารุดหน้าเร็วขึ้น?  พวกเจ้าย่อมจะทนไม่ได้  ถ้าเราลงมือทำอะไรในหมู่พวกเจ้าตามที่เราประสงค์ เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เรากำหนดให้พวกเจ้าทำย่อมจะสูงเกินระดับทักษะการทำงานที่พวกเจ้ามีอยู่จริงในตอนนี้ รวมทั้งวุฒิภาวะอันแท้จริงที่พวกเจ้ามีในการเข้าสู่ชีวิต  เราไม่อยากทำดังนั้น เพราะนั่นจะทำให้เราเหนื่อยมาก และจะทำให้พวกเจ้าหักโหมกันอย่างมาก  พวกเราทั้งสองฝ่ายย่อมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และนั่นไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็น  นี่คือสิ่งที่เราคิดในเรื่องดังกล่าว และสิ่งต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้  ด้วยเหตุผลสองข้อซึ่งหนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า และหนึ่งนั้นก็คือว่าเรามีความคิดของเราในเรื่องนี้ เราจึงจัดการสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้  การจัดการสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้เหมาะสมกับการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของพวกเจ้าแล้ว  ในส่วนของการเข้าสู่ชีวิต พวกเจ้ามีหนังสือพระวจนะของพระเจ้า มีการชุมนุมและคำเทศนาทุกรูปแบบ ทั้งยังมีผู้นำและคนทำงานที่คอยให้น้ำและเกื้อหนุนพวกเจ้าอีกด้วย มีสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเจ้าสามารถกิน ดื่ม และรับมาเป็นเสบียงได้  อีกด้านหนึ่งก็คือกระบวนการเติบโตในชีวิตของผู้คนนั้นคล้ายกับเมล็ดที่หว่านลงไปในดิน ได้น้ำและปุ๋ย จากนั้นก็ค่อยๆ งอกและเจริญเติบโตจนออกผลในที่สุด  นี่เป็นกระบวนการที่เชื่องช้ามาก  แน่นอนว่ากระบวนการอันเชื่องช้าที่พวกเจ้าก้าวผ่านอาจช้ากว่าการเจริญเติบโตของเมล็ดตั้งแต่งอกขึ้นมาจนออกผลด้วยซ้ำ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  มีสาเหตุที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นไปตามข้อเท็จจริงอยู่มากมายภายในตัวผู้คน  หนึ่งนั้นคือผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แต่พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น  อีกหนึ่งก็คือผู้คนล้วนเฉื่อยชาและมักจะคิดลบ  พวกเขาเกียจคร้าน ด้านชา และเชื่องช้าเมื่อเป็นเรื่องของความจริงและสิ่งที่เป็นบวก  นอกจากนี้ผู้คนก็ไม่รักสิ่งที่เป็นบวก  เพราะฉะนั้น เมื่อผู้คนพยายามที่จะเข้าถึงความจริงและบรรลุการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาจึงกระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน และว่ายทวนกระแส  สำหรับผู้คนแล้ว การไหลไปตามกระแส เอาแต่ได้ ไล่ตามไขว่คว้าทางโลก และทำตามกระแสนิยม ก็คือการลอยตามกระแส ซึ่งง่าย และตามมุมมองของพวกเขาแล้ว ผู้คนก็อยากทำอะไรแบบนี้กันโดยแท้  อย่างไรก็ดี การไล่ตามเสาะหาความจริง การทำสิ่งที่เที่ยงธรรม การเป็นคนที่สำนึกในความเที่ยงธรรมและสามารถทำกิจอันถูกควรของตน กลับเป็นเรื่องที่ต้องเพียรพยายามอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา  พวกเขาต้องขบถต่อความอยากได้อยากมีของตนเอง ความรู้สึกของตนเอง มโนคติอันหลงผิดของตนเอง และต้องขบถต่อความเกียจคร้านของตนและสิ่งอื่นๆ ที่เป็นลบและไม่พึงประสงค์ดังกล่าวด้วย  เวลาเผชิญหน้าผู้คน คู่ทำงาน หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นไปตามที่คิด หรือแม้ในยามที่พวกเขาได้ยินอะไรที่ชวนให้ว้าวุ่นหรือไม่น่าฟัง พวกเขาก็ต้องพึ่งพาการอธิษฐานเพื่อก้าวข้ามเรื่องนี้ไป ด้วยเหตุนี้ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญแรงต้านอันมหาศาลบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง  ถ้าพวกเขามีความเด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษและไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยพลังอันเหลือเชื่อ พวกเขาก็จะมองเห็นความก้าวหน้าบางอย่างหลังจากผ่านประสบการณ์สักหนึ่งหรือสองปี  หาไม่แล้ว ถ้าพวกเขากระทำการตามใจชอบและเอาแต่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองของมันตามปกติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะก้าวหน้าช้ามาก  บางทีเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะเผชิญเหตุการณ์ที่พิเศษ เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญต่อพวกเขาอย่างยิ่ง และพวกเขาก็จะได้รับบทเรียน ได้รับการตัดแต่ง และในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขา พวกเขาก็จะทนทุกข์กับความเจ็บปวดอันมหาศาลและได้รับผลกระทบอย่างมาก หลังจากนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้างในแง่ของการเข้าสู่ชีวิต  การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนี้จะสามารถทำให้พวกเขามีความก้าวหน้าได้หรือไม่?  ไม่ได้  ความก้าวหน้าของพวกเขาขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแสวงหาความจริงอย่างไรในช่วงเวลานี้  ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ได้แต่หาข้ออ้าง หลงระเริงไปกับความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่รักความจริงโดยแท้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่ได้อะไรจากเหตุการณ์นี้นอกจากบทเรียนที่ผิวเผินเท่านั้น และจะไม่สัมฤทธิ์ความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับความจริง  เมื่อพวกเจ้าก้าวหน้าไปในชีวิตอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ เราจึงรักษาระยะห่างในการข้องเกี่ยวกับพวกเจ้า และนำวิธีนี้มาใช้  พวกเจ้าคิดว่านี่เหมาะสมหรือไม่?  (เหมาะสม)  นี่ย่อมมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าก็รู้สึกผ่อนคลาย  เราจะไม่ทำให้พวกเจ้ามีภาระต้องแบกรับเพิ่มขึ้น เฝ้าระวังและจับตาดูพวกเจ้าทั้งวัน ไม่ยอมให้พวกเจ้าได้ผ่อนคลายกันตลอด 24 ชั่วโมง ให้พวกเจ้าก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  เราจะไม่คิดหาทางทำเช่นนั้น แต่จะเปิดโอกาสให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองปกติของพวกเจ้า  นั่นหมายความหรือไม่ว่าพวกเจ้าสามารถจมอยู่กับการตามใจตัวเอง?  (ไม่)  แล้วเหตุใดเราจึงมั่นใจที่จะเลือกไม่จับตาดูพวกเจ้าได้?  เพราะมีการพินิจพิเคราะห์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นอกจากนั้น ถ้าใครไล่ตามเสาะหาความจริง มีความต้องการเช่นนี้ และเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของตน เช่นนั้นแล้ว แม้ในยามที่เจ้าไม่จับตาดูพวกเขา พวกเขาก็จะไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ดี—พวกเขาเป็นคนดีพอที่ทำกิจธุระอันถูกควรของตน  ถ้าพวกเขาไม่ดีพอ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าเฝ้ามองพวกเขาก็จะไม่มีประโยชน์อันใด  เวลาที่เจ้าจับตาดูพวกเขา พวกเขาก็แค่กระทำการภายนอกในหนทางบางอย่างเพื่อที่จะทำตัวสุกเอาเผากินกับเจ้า และพอเจ้าไม่ได้จับจ้องพวกเขาสักครู่หนึ่ง พวกเขาก็แค่กระทำการอย่างที่ทำอยู่ตามปกติและหวนกลับไปเป็นเหมือนก่อน  การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถสอดส่องได้  นี่เป็นเรื่องที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเป็นสาเหตุที่เราใช้วิธีการนี้ในการเข้าไปเกี่ยวข้องและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเจ้า  การที่เราทำดังนี้จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

คราวนี้เรื่องของคริสตจักรแคนาดาก็ได้ถูกอธิบายอย่างชัดเจนแล้วมิใช่หรือ?  แล้วพวกเจ้าเข้าใจความจริงบางอย่างจากเรื่องนี้กันหรือไม่?  ถ้าพวกเจ้าพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกในอนาคต พวกเจ้าจะยังคงกล่าวหรือไม่ว่านี่เป็นกรณีของการลงโทษผู้คนอย่างหนักเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น และเชือดไก่ให้ลิงดู?  ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เจ้ารู้สึกว่าไม่มีใครสามารถสะบั้นสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าได้ และเจ้านั้นเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว  อย่างไรก็ดี พอเจ้าพบเจอเรื่องนี้เข้า วุฒิภาวะที่เจ้ามีอยู่น้อยนิดกลับเผยตัวออกมา  วุฒิภาวะอันใด?  เจ้าคิดว่าตนเองสามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งและทนทุกข์ได้ เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่และมีความเชื่อมากกว่าแต่ก่อนมาก และในไม่ช้าเจ้าก็จะถูกทำให้เพียบพร้อม นี่คือการรับรู้ผิดๆ ที่เจ้ามีอยู่ในหัวใจ  แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?  เจ้าคิดอ่านเร็วเกินไป!  ดูเราสิ ภายนอกเราดูเป็นเช่นนี้ สัมผัสได้และมองเห็นได้—บุคลิกของเราถือได้ว่าเปิดเผยและชัดเจนใช่หรือไม่?  ถ้าตัดสินตามบุคลิกของเรา เราไม่ใช่คนที่ทำอะไรลับหลังพวกเจ้าในยามที่เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ยอมบอกอะไรให้พวกเจ้ารู้ แอบลงมือทำ แล้วก็ปล่อยให้พวกเจ้าเดากันเองว่าเรามีเจตนาอันใด  เราไม่ใช่คนแบบนั้น  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราก็อธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างชัดเจนเสมอ กระนั้นพวกเจ้าก็ยังสามารถสรุปทฤษฎีออกมาเป็นชุดแบบนั้นได้และพูดออกมาได้ว่า “นี่คือความเข้าใจสูงสุดที่ฉันมีเกี่ยวกับพระเจ้า”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับความเข้าใจแบบนี้?  คราวนี้พวกเจ้าได้รับบทเรียนกันแล้วใช่หรือไม่?  กล่าวได้มิใช่หรือว่านี่คือความล้มเหลวครั้งใหญ่สุดของพวกเจ้าในการทำความเข้าใจพระเจ้า?  พวกเจ้าสามารถได้ยินวจนะที่เรากล่าวและมองเห็นรูปลักษณ์ของเรา และเราก็เป็นคนคนหนึ่งพร้อมเลือดและเนื้อหนังที่สามารถสัมผัสและมองเห็นได้  เรากระทำการไปเช่นนั้น แต่ไม่มีพวกเจ้าคนใดสามารถเข้าใจได้ พวกเราจึงไม่สามารถเห็นพ้องต้องกัน—พวกเราไม่อยู่ในฐานที่เข้าใจกันแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ  เจ้าช่างห่างไกลจากพระเจ้านัก!  เจ้ายังคงห่างไกลจากการเข้าใจพระเจ้า!  วจนะเหล่านี้คือคำจริง สถานการณ์จริงเป็นเช่นนี้  จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจพระเจ้าเพียงเพราะเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนได้บ้าง เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และกล่าวคำสอนบางอย่างได้  เราบอกเจ้าเลยว่าเจ้าคิดอ่านเร็วเกินไป!  จงอย่าคิดว่าเจ้ารู้อะไรจริงสักอย่างสองอย่าง  แท้จริงแล้วเจ้ายังคงห่างไกลจากการเข้าใจพระเจ้า เจ้าไม่ได้เฉียดใกล้ความเข้าใจนี้เลยด้วยซ้ำ  ผู้คนอาจถูกเผยด้วยเรื่องใดก็ได้ และบางคนก็ถูกเผยด้วยเรื่องของการรับมือคริสตจักรแคนาดานี้  ผู้คนต้องเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำความเข้าใจตัวเองและพระเจ้าผ่านทางสถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ นี้ต่อไปเพื่อที่จะได้เรียนรู้กิจการและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เข้าใจความเป็นกบฏของตน เข้าใจอย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพที่ตนมีกับพระเจ้าเป็นเช่นใด และมองเห็นอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วตนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง และมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าถึงระดับไหน  และจะมีการใช้เรื่องเหล่านี้มาประเมินวุฒิภาวะที่แท้จริงและสภาวะที่แท้จริงของเจ้า  คราวนี้พวกเจ้าก็ได้บทเรียนกันแล้วใช่หรือไม่?  ครั้งหน้าก็จงพากเพียรที่จะไม่มีความเข้าใจเช่นนี้อีก  ช่างเจ็บปวดนัก ทั้งหมดนี้ช่างเหลือเชื่อ!  พวกเจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการใช้เวลายาวนานเช่นนี้มาอธิบายเรื่องนี้?  นี่ไม่ควรมีความจำเป็น  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่ควรมีความจำเป็น?  ตามคำพูดและคำสอนที่พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่แล้ว พวกเจ้าควรที่จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคซึ่งก็คือเรื่องนี้ไปได้แล้ว และด้วยการตรึกตรองเรื่องนี้ด้วยตนเอง ด้วยการสามัคคีธรรมเรื่องนี้ด้วยกันทุกคน พวกเจ้าก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างค่อนข้างถ่องแท้ ไร้ซึ่งความเข้าใจที่สุดโต่งเช่นนั้น  แต่กลับกลายเป็นว่ามีความเข้าใจที่สุดโต่งเกิดขึ้น และจำเป็นที่เราจะต้องสามัคคีธรรมถึงรายละเอียดบางอย่าง  ทีนี้หลังจากฟังสามัคคีธรรมครั้งนี้แล้ว หัวใจของพวกเจ้าย่อมสว่างไสวขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ?  คราวนี้พวกเจ้าก็ไม่ควรมีแนวคิดอันใดในเรื่องนี้อีกแล้ว ถูกต้องหรือไม่?  แล้วพวกเจ้าคิดว่าวิธีที่เราใช้จัดการผู้คนเหล่านั้นเกินเหตุหรือไม่?  (ไม่)  พวกเรามาจบการเสวนาเรื่องนี้กันเท่านี้เถิด และเราก็จะเริ่มสามัคคีธรรมหัวข้อหลัก

II. การชำแหละว่าศัตรูของพระคริสต์เลว เคลือบแฝง และหลอกลวงอย่างไร

คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงลักษณะประการที่เจ็ดที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมา—ว่าพวกเขาเลว เคลือบแฝง และหลอกลวง  พวกเราสามัคคีธรรมถึงด้านใดเป็นหลัก?  พวกเราพูดถึงศัตรูของพระคริสต์ว่าเลวอย่างไร  เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกเขาเลว?  มีอุปนิสัย การสำแดง และลักษณะพิเศษอันใดในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่สามารถจำแนกว่าพวกเขาเลว เคลือบแฝง และหลอกลวง?  ลักษณะเด่นชัดอันใดที่พิสูจน์ว่าความเลวของพวกเขามีอยู่ และความเลวนั้นเข้าคู่กับรูปการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา?  อะไรคือลักษณะสำคัญในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่เป็นเหตุให้พวกเรากล่าวว่าผู้คนแบบนี้เลว?  ขอให้บอกมาเถิดว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร  (ศัตรูของพระคริสต์หลายคนเข้าใจความจริง แต่กลับเหิมเกริมต่อต้านความจริง  พวกเขายืนกรานอย่างดื้อดึงที่จะเลือกเดินบนเส้นทางของตนเองแม้จะรู้ชัดว่าสิ่งใดถูกต้องก็ตาม  ความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ยังสำแดงให้เห็นในความเป็นปฏิปักษ์อันไร้เหตุผลต่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้และต่อคนที่เป็นบวกอีกด้วย)  (ศัตรูของพระคริสต์ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี  พวกเขาอยากให้ตัวเองสุขสำราญแต่เพียงฝ่ายเดียวกับผลประโยชน์ที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบให้พี่น้องชายหญิง—พวกเขาไม่อยากให้พี่น้องชายหญิงได้ชื่นชมสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ส่งมอบผลประโยชน์เหล่านั้นให้พี่น้อง)  (ข้าแต่พระเจ้า สามัคคีธรรมของพระองค์ในครั้งก่อนทำให้ข้าพระองค์เห็นภาพชัดเจนว่าศัตรูของพระคริสต์ใช้พระเจ้าและความจริงเป็นเครื่องมือให้พวกเขาได้มาซึ่งสถานะกันอย่างไร ข้าพระองค์รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เลวเป็นพิเศษ)  พวกเจ้าส่วนใหญ่จดจำบางสิ่ง ซึ่งก็คือบางตัวอย่างที่เราให้ไประหว่างที่สามัคคีธรรมเรื่องแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้าจดจำตัวอย่างเหล่านั้นเท่านั้น แต่กลับลืมเลือนเนื้อหาเรื่องแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่เราสามัคคีธรรมและชำแหละไป  เมื่อเป็นเช่นนั้น ความจริงที่เรากล่าวถึงขณะสามัคคีธรรมและชำแหละแก่นแท้ธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ พวกเจ้าสามารถเข้าใจได้กี่ข้อ?  ในเมื่อพวกเจ้าจำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ก็บ่งชี้มิใช่หรือว่าตอนนั้นพวกเจ้าไม่เข้าใจสิ่งใดเลย?  ถ้าสามัคคีธรรมของเราทำให้พวกเจ้าเห็นภาพอย่างชัดเจน พวกเจ้าก็น่าจะจำสิ่งเหล่านั้นได้บ้างมิใช่หรือ?  สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำของพวกเจ้าก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจมิใช่หรือ?  สิ่งที่พวกเจ้านึกไม่ออกย่อมเป็นสิ่งที่พวกเจ้าพบว่าเข้าใจได้ยาก หรือไม่สามารถเข้าใจได้โดยแท้มิใช่หรือ?  เมื่อพวกเจ้าได้ฟังความจริงเหล่านั้นในเวลานั้น พวกเจ้าก็คิดว่าความจริงเหล่านั้นถูกต้อง และจดจำเอาไว้ในแง่ของคำสอน ซึ่งพวกเจ้าก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำเช่นนั้น  อย่างไรก็ดี พอนอนหลับไปคืนเดียว พวกเจ้าก็ลืม  หนึ่งเดือนให้หลัง สิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมด  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  การที่จะรู้เท่าทันเรื่องหนึ่งๆ หรือแก่นแท้ของคนคนหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริง  ถ้าเจ้ายังคงยึดถือมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อ มองและพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามถ้อยแถลงของผู้ไม่มีความเชื่อ นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าไม่เข้าใจความจริง  ถ้าเจ้าไม่ได้อะไรจากการใช้เวลาหลายปีฟังสามัคคีธรรมและคำเทศนา และพอผู้คนสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ไม่ว่าพวกเขาจะอธิบายอย่างไร นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าเจ้าไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง นี่เรียกว่าขีดความสามารถอ่อนด้อย  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเรื่องความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์นั้น ไม่มีพวกเจ้าคนใดเอ่ยถึงถ้อยแถลงที่สำคัญที่สุด  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เอ่ยถึง?  ด้านหนึ่งเป็นเพราะนี่ทิ้งระยะมานานมากแล้ว พวกเจ้าจึงลืมไปแล้ว  อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ตระหนักถึงความสำคัญของถ้อยแถลงนี้ พวกเจ้าไม่รู้ว่าถ้อยแถลงนี้คือถ้อยแถลงสำคัญที่ตีแผ่และเปิดโปงแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ถ้อยแถลงนี้มีว่าอย่างไร?  ว่าความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์นั้นส่วนใหญ่สำแดงออกมาทางความเป็นปฏิปักษ์และความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อทุกสิ่งที่เป็นบวกและทุกสิ่งที่สัมพันธ์กับความจริง  เหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวก?  สิ่งที่เป็นบวกเคยทำร้ายพวกเขากระนั้นหรือ?  ไม่  สิ่งเหล่านี้ไปแตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขากระนั้นหรือ?  บางครั้งก็อาจจะเป็นเช่นนั้น บางครั้งก็ไม่ได้แตะต้องแต่อย่างใด  แล้วเหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวกโดยไม่มีมูลเหตุ?  (เป็นธรรมชาติของพวกเขา)  พวกเขามีธรรมชาติเช่นนี้ พวกเขารู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวกและความจริง  นี่จึงยืนยันธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ถ้อยแถลงนี้สำคัญหรือไม่?  พวกเจ้าไม่ได้จดจำถ้อยแถลงที่มีความสำคัญเช่นนี้ กลับจดจำแต่สิ่งที่ไม่สำคัญ  เหตุใดเราจึงตั้งคำถามเหล่านั้นกับพวกเจ้า?  เพื่อให้พวกเจ้าพูดออกมา เราจะได้สามารถมองเห็นว่าพวกเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ถึงขั้นไหน พวกเจ้าสามารถจดจำไว้ในใจมากเพียงใด และในเวลานั้นพวกเจ้าสามารถเข้าใจได้มากเพียงใด  แล้วก็เป็นดังคาด พวกเจ้าจดจำแต่เรื่องเล็กน้อยไม่กี่อย่างเท่านั้น  พวกเจ้าทำเหมือนทุกสิ่งที่เรากล่าวไปเป็นการคุยเล่นเรื่อยเปื่อย  เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเล่น—เรามาที่นี่เพื่อบอกพวกเจ้าว่าจะใช้วิจารณญาณดูผู้คนออกได้อย่างไร  ถ้อยแถลงที่เราแสดงไปนั้นคือหลักธรรมความจริงสูงสุดที่จะใช้ดูธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ให้ออก  ถ้าเจ้าไม่สามารถนำถ้อยแถลงนี้ไปใช้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถดูออกหรือรู้จักธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ยกตัวอย่างเวลาที่นิยามคนคนหนึ่งว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ บางคนก็อาจกล่าวว่า “เขาดีกับพวกเรา เขาเปี่ยมรัก และช่วยเหลือพวกเรา  ทำไมถึงนิยามคนดีเช่นนั้นว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์?”  พวกเขาไม่เข้าใจว่าแม้ภายนอกศัตรูของพระคริสต์จะดูเปี่ยมรักต่อผู้อื่น แต่ก็ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า และเจาะจงต่อต้านพระเจ้า  ด้านที่เคลือบแฝงและเจ้าเล่ห์ในตัวศัตรูของพระคริสต์นี้คือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มองไม่ออก  ผู้คนดูด้านนี้ไม่ออกเลย และเข้าใจพระเจ้าผิด เกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ถึงกับกล่าวโทษและพร่ำบ่นพระเจ้าเพราะเหตุนี้  ผู้คนเยี่ยงนี้เป็นทุรชนโดยแท้และไม่อาจได้รับความรอดจากพระเจ้า  นี่เป็นเพราะพวกเขามองเห็นแต่เรื่องราวภายนอก เช่น ศัตรูของพระคริสต์ดักจับ ลวงล่อ และประจบเอาใจผู้คนอย่างไร พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ และมองไม่เห็นวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้แข็งขืนต่อพระเจ้าและสร้างอาณาจักรเอกเทศขึ้นมา  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้?  เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถดูคนออก  พวกเขาถูกปรากฏการณ์ภายนอกชักพาให้หลงผิดเสมอและไม่สามารถรู้เท่าทันแก่นแท้และผลสืบเนื่องของปัญหา  พวกเขาใช้มโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดทางด้านศีลธรรมของมนุษย์และวิถีโลกมาประเมินและวินิจฉัยผู้คนอยู่เสมอ  ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด พวกเขายืนอยู่ฝั่งศัตรูของพระคริสต์ จึงเกิดความขัดแย้งและปะทะกับพระเจ้า  นี่เป็นความผิดของใคร?  ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่เป็นผลจากการที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า มองผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเสมอ

II. การชำแหละความรักของพวกศัตรูของพระคริสต์ในสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงลักษณะประการที่เจ็ดที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมา ซึ่งก็คือพวกเขาเลว เคลือบแฝง และหลอกลวง  การสำแดงข้อนี้มุ่งไปที่ความเลวของพวกเขา เพราะความเลวครอบคลุมทั้งความเคลือบแฝงและความหลอกลวง  ความเลวเป็นตัวแทนแก่นแท้ในตัวศัตรูของพระคริสต์ ขณะที่ความเคลือบแฝงและความหลอกลวงมีความสำคัญรองลงมา  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมและเปิดโปงแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  พวกเราสามัคคีธรรมถึงแนวคิดกว้างๆ และเนื้อหาบางอย่างที่อธิบายไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยพูดถึงบางคำที่เปิดโปงแก่นแท้ในตัวของศัตรูของพระคริสต์ทางด้านนี้  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันต่อ  บางคนอาจจะถามว่า “มีอะไรให้สามัคคีธรรมในเรื่องนี้กระนั้นหรือ?”  ย่อมมี  มีรายละเอียดบางอย่างที่ยังจำเป็นต้องสามัคคีธรรมในที่นี้  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องนี้ในลักษณะที่ต่างออกไปและในมุมที่แตกต่าง  ลักษณะและสิ่งสำคัญที่สำแดงถึงธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ซึ่งพวกเราสามัคคีธรรมกันไปเมื่อครั้งก่อนคืออะไร?  ผู้คนอย่างศัตรูของพระคริสต์รู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังความจริงและทุกสิ่งที่เป็นบวก  ความเป็นปฏิปักษ์และความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อความจริงและสิ่งที่เป็นบวกไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการยุยงส่งเสริมของใคร และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นผลจากการที่พวกเขาถูกวิญญาณชั่วครอบงำ  ในทางกลับกัน พวกเขาเพียงแต่ไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เป็นปกติวิสัยเท่านั้น  พวกเขารู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ ในชีวิตและในกระดูกของพวกเขา พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนเวลาพบเจอสิ่งที่เป็นบวก  ถ้าเจ้าเป็นคำพยานให้พระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาจะนึกเกลียดเจ้าและอาจถึงขั้นมีความรู้สึกนึกคิดที่จะเล่นงานเจ้า  พวกเราพูดถึงด้านที่ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวกไปแล้วในสามัคคีธรรมครั้งก่อน ดังนั้นก็จะไม่เสวนาเรื่องดังกล่าวในครั้งนี้อีก  ในสามัคคีธรรมครั้งนี้ พวกเราจะสำรวจอีกแง่มุมหนึ่ง  แง่มุมที่ว่านั้นคืออะไร?  ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังสิ่งที่เป็นบวก ดังนั้นพวกเขาชอบสิ่งใด?  วันนี้พวกเราจะวิเคราะห์และชำแหละธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ในแง่นี้และตามมุมมองนี้  นี่จำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  ย่อมจำเป็น  พวกเจ้าจะตระหนักในเรื่องนี้ด้วยตนเองได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ความไม่ชอบที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อสิ่งที่เป็นบวกและความจริงก็คือธรรมชาติอันเลวของพวกเขา  ดังนั้นก็จงพิจารณาให้รอบคอบตามหลักการนี้ว่าศัตรูของพระคริสต์ชอบอะไร พวกเขาชอบทำเรื่องแบบใด รวมทั้งวิธีการและลู่ทางที่พวกเขาใช้ทำสิ่งต่างๆ ตลอดจนชนิดของผู้คนที่พวกเขาชอบ—การมองธรรมชาติอันเลวของพวกเขาตามมุมมองนี้และในด้านนี้ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ?  นี่ย่อมให้ทัศนะที่จำเพาะและตรงตามข้อเท็จจริงมากกว่า  ก่อนอื่นศัตรูของพระคริสต์ไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวก ซึ่งแฝงนัยว่าพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งเหล่านี้และชอบสิ่งที่เป็นลบ  ตัวอย่างของสิ่งที่เป็นลบมีอะไรบ้าง?  เรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยม—เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นลบมิใช่หรือ?  ใช่แล้ว เรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมคือสิ่งที่เป็นลบ  แล้วสิ่งที่เป็นบวกซึ่งตรงข้ามกับเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมคืออะไร?  (ความซื่อสัตย์)  ถูกต้อง เป็นความซื่อสัตย์  ซาตานชอบความซื่อสัตย์หรือไม่?  (ไม่)  มันชอบเล่ห์เหลี่ยม  สิ่งแรกที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมนุษย์คืออะไร?  พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าเจ้าอยากเชื่อในเราและติดตามเรา ก่อนอื่นเจ้าควรเป็นคนแบบใด?”  (คนที่ซื่อสัตย์)  แล้วสิ่งแรกที่ซาตานสอนให้ผู้คนทำคืออะไร?  การโกหก  หลักฐานชิ้นแรกที่แสดงถึงธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  (การใช้เล่ห์เหลี่ยม)  ถูกต้อง ศัตรูของพระคริสต์ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยม พวกเขาชอบเรื่องโกหก ชิงชังและเกลียดความซื่อสัตย์  แม้ความซื่อสัตย์จะเป็นบวก แต่พวกเขาก็ไม่ชอบ กลับรู้สึกสะอิดสะเอียนและเกลียดความซื่อสัตย์  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับชอบการใช้เล่ห์เหลี่ยมและเรื่องโกหก  ถ้าใครมักจะพูดจาด้วยความสัตย์จริงต่อหน้าศัตรูของพระคริสต์ กล่าวอะไรทำนองว่า “คุณชอบทำงานในตำแหน่งที่มีสถานะ และบางครั้งคุณก็เกียจคร้าน” ศัตรูของพระคริสต์ย่อมรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้?  (ไม่ยอมรับ)  การไม่ยอมรับเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่พวกเขามี แต่เรื่องมีอยู่เท่านั้นหรือไม่?  พวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อคนที่พูดจาด้วยความสัตย์จริงนี้?  พวกเขารู้สึกรังเกียจและไม่ชอบใจ  ศัตรูของพระคริสต์บางคนกล่าวกับพี่น้องชายหญิงว่า “ฉันเป็นผู้นำของพวกคุณมาระยะหนึ่งแล้ว  ขอให้ทุกคนบอกฉันมาเถิดว่าคิดเห็นอย่างไรกับฉัน”  ทุกคนก็คิดว่า “ในเมื่อคุณจริงใจขนาดนี้ พวกเราก็จะให้คำติชมบางอย่างแก่คุณ”  บ้างก็บอกว่า “คุณจริงจังและขยันทีเดียวในทุกสิ่งที่ทำ และคุณก็สู้ทนความทุกข์มามาก  พวกเราแทบจะทนมองไม่ไหว และรู้สึกทุกข์ใจแทนคุณ  พระนิเวศของพระเจ้าน่าจะมีผู้นำอย่างคุณให้มากกว่านี้!  ถ้าพวกเราจำต้องชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง ก็คงจะเป็นการที่คุณจริงจังและขยันเกินไป  ถ้าคุณทำงานหนักเกินไปและหมดไฟ คุณก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราจะไม่จบสิ้นหรอกหรือ?  จะมีใครมานำพวกเรา?”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้ฟังดังนี้ พวกเขาก็รู้สึกยินดี  พวกเขารู้ว่านั่นเป็นเรื่องโกหก ผู้คนเหล่านี้กำลังประจบเอาใจพวกเขา แต่พวกเขาก็เต็มใจรับฟัง  อันที่จริง ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้กำลังหลอกใช้ศัตรูของพระคริสต์เหมือนพวกเขาเป็นคนโง่ แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ยอมเล่นบทคนโง่มากกว่าที่จะเผยธรรมชาติที่แท้จริงของวาจาเหล่านี้ออกมา  ศัตรูของพระคริสต์ชอบนักผู้คนที่เลียแข้งเลียขาพวกเขาแบบนี้  คนเหล่านี้ไม่หยิบยกข้อเสีย อุปนิสัยที่เสื่อมทราม หรือข้อบกพร่องในตัวศัตรูของพระคริสต์ขึ้นมาพูด  แต่แอบสรรเสริญและยกชูศัตรูของพระคริสต์  แม้จะชัดเจนว่าคำพูดของพวกเขาเป็นเรื่องโกหกและคำป้อยอ แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ยินดีรับไว้ คิดว่าคำพูดเหล่านี้ฟังแล้วชูใจและน่ายินดี  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ถ้อยคำเหล่านี้ดีกว่าการลิ้มรสอาหารชั้นเลิศอันประณีตที่สุด  พอได้ฟังคำพูดเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกกระหยิ่มใจ  นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นว่ามีอุปนิสัยอย่างหนึ่งในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่รักเรื่องโกหก  สมมุติใครบางคนบอกพวกเขาว่า “คุณโอหังเกินไป และไม่ยุติธรรมกับผู้คน  คุณดีกับคนที่เกื้อหนุนคุณ แต่ถ้าใครรักษาระยะห่างหรือไม่ประจบประแจงคุณ คุณก็ดูเบาและเมินพวกเขา”  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นความสัตย์จริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วศัตรูของพระคริสต์รู้สึกอย่างไรหลังจากที่ได้ฟังดังนี้?  พวกเขาไม่มีความสุข  พวกเขาไม่อยากฟังเรื่องเช่นนี้ และไม่สามารถยอมรับได้  พวกเขาพยายามหาข้อแก้ตัวและหาเหตุผลมาอธิบายและกลบเกลื่อนสิ่งต่างๆ  ส่วนคนที่ป้อยอศัตรูของพระคริสต์ซึ่งหน้าตลอดเวลา กล่าวคำเสนาะหูอยู่เสมอเพื่อที่จะแอบสรรเสริญพวกเขา และชัดเจนว่าถึงกับใช้วาจาของตนลวงให้ศัตรูของพระคริสต์หลงเชื่อ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยตรวจสอบผู้คนเหล่านี้  แต่กลับใช้พวกเขาในฐานะคนสำคัญ  ศัตรูของพระคริสต์ถึงกับให้คนที่พูดจาโป้ปดตลอดเวลาดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ มอบหมายให้พวกเขาทำหน้าที่บางอย่างที่มีนัยสำคัญและมีศักดิ์ศรี ส่วนคนที่พูดจาซื่อสัตย์อยู่เสมอและมักจะรายงานปัญหา พวกเขากลับจัดแจงให้ไปทำหน้าที่ที่ไม่เด่นเท่า กีดกันไม่ให้เข้าถึงผู้นำในระดับสูงขึ้นไป หรือไม่ให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักหรือใกล้ชิดคนเหล่านี้  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะมีความสามารถเพียงใดหรือสามารถทำหน้าที่อะไรได้ในพระนิเวศของพระเจ้าก็หาได้มีความสำคัญไม่—ศัตรูของพระคริสต์ไม่สนใจทั้งหมดนั้น  พวกเขาสนใจแต่ว่าใครสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมได้และใครทำให้พวกเขาได้เปรียบบ้าง เหล่านี้คือผู้คนที่พวกเขามอบตำแหน่งสำคัญให้ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย

ศัตรูของพระคริสต์รักการใช้เล่ห์เหลี่ยมและเรื่องโกหก  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคริสตจักรที่พวกเขากำกับดูแลอยู่ไม่สนใจงานข่าวประเสริฐ และไม่ได้มุ่งเน้นการฝึกอบรมผู้คนให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ดังนั้นงานข่าวประเสริฐจึงด้อยผลและได้ผู้คนมาน้อย  อย่างไรก็ดี ศัตรูของพระคริสต์กลัวว่าผู้คนอาจรายงานสถานการณ์ไปตามจริง  พวกเขาเกลียดทุกคนที่พูดจาด้วยความซื่อสัตย์ และชอบคนที่สามารถพูดปดได้ ใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ และกวาดข้อมูลที่ทำให้เสียเปรียบซุกเอาไว้ใต้พรมได้  ดังนั้นศัตรูของพระคริสต์ย่อมชอบฟังการพูดคุยแบบใดมากที่สุด?  “ทุกคนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐในคริสตจักรของพวกเราสามารถเป็นพยานยืนยันได้ พวกเขาแต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐทั้งสิ้น”  ถ้อยคำเหล่านี้หมายที่จะลวงผู้คนมิใช่หรือ?  แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็สุขสำราญที่จะฟังเรื่องแบบนี้  แล้วศัตรูของพระคริสต์ตอบว่าอย่างไรเมื่อได้ฟังดังนี้?  พวกเขาตอบว่า “เยี่ยมมาก ผลงานข่าวประเสริฐโดยคริสตจักรของพวกเรามีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ดีกว่าผลงานของคริสตจักรแห่งอื่นมาก  ผู้คนที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐในคริสตจักรของพวกเราล้วนเชี่ยวชาญด้านนี้”  ศัตรูของพระคริสต์และคนที่ป้อยอพวกเขาต่างยกย่องกันเองในลักษณะนี้ และศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เปิดโปงคำป้อยออันไร้ความละอายของคนเหล่านั้น  ศัตรูของพระคริสต์ทำงานในลักษณะนี้คือ เมื่อคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาลวงให้ตนหลงกล พวกเขาก็เต็มใจที่จะหลงกลนั้น  ศัตรูของพระคริสต์เที่ยวเล่นตลกไปแบบนี้  ถ้าใครรู้สถานการณ์จริงและก้าวออกมาบอกว่า “นี่ไม่ถูกต้อง  ในบรรดาคน 10 คนที่พวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ พวกเราระบุลงไปแล้วว่าในนั้นมีอยู่สองคนที่ไม่ยอมรับความจริง และพวกเขาก็เลิกสืบค้นไปเรียบร้อยแล้ว  ในแปดคนที่เหลือมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเรามาพยายามกันให้ดีที่สุดเพื่อพาสามคนนั้นเข้ามาเถิด”  เมื่อมีการเปิดโปงความเป็นจริงของสถานการณ์ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมมีปฏิกิริยาเช่นไร?  พวกเขาคิดไปว่า “ฉันไม่เห็นรู้เรื่องพวกนั้นเลย!”  เมื่อใครบางคนกล่าวด้วยความสัตย์จริงถึงสถานการณ์จริงของเรื่องที่ศัตรูของพระคริสต์ไม่ตระหนักรู้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคนเหล่านั้น พวกเขาจะมีความสุขหรือไม่มีความสุข?  พวกเขาย่อมไม่มีความสุข  เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความสุข?  พวกเขาเป็นผู้นำ แต่กลับไม่ตระหนักรู้และไม่เข้าใจรายละเอียดและข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับงานของคริสตจักร—ถึงกับต้องให้คนที่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างมาอธิบายเรื่องทั้งหมดแก่พวกเขา  เมื่อคนที่เข้าใจสถานการณ์และพูดจาด้วยความซื่อสัตย์ มาแจกแจงเรื่องเหล่านี้ ความรู้สึกแรกที่ศัตรูของพระคริสต์มีคืออะไร?  พวกเขารู้สึกว่าตนเสียหน้าอย่างสิ้นเชิงและเกียรติยศของพวกเขาก็ลดฮวบ  เมื่อคำนึงธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาย่อมจะทำสิ่งใด?  ย่อมจะเกิดความเกลียดชังในตัวคนเหล่านั้น และจะคิดเอาว่า “เธอนี่ปากมาก!  ถ้าเธอไม่พูดขึ้นมา เรื่องนี้ก็คงผ่านไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตรู้  เป็นเพราะเธอ ทุกคนเลยรู้เรื่องกันหมด และพวกเขาก็อาจจะเริ่มเลื่อมใสเธอแทนที่จะเป็นฉัน  นี่ทำให้ฉันดูไม่มีความสามารถ ดูเหมือนไม่ทำงานจริงไม่ใช่หรือ?  ฉันจะจำเธอไว้  เธอพูดเรื่องจริง ท้าทายและต่อต้านฉันทุกครั้งที่มีโอกาส  ฉันจะทำให้เธอนึกเสียใจอย่างแน่นอน!”  จงคิดดูเถิด พวกเขามองคนที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน พูดจาด้วยความซื่อสัตย์ และทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีว่าอย่างไร?  พวกเขาย่อมมองคนเหล่านี้เป็นคู่อริ  นี่คือการบิดเบือนข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถให้ความร่วมมืออย่างทันท่วงทีและชดเชยความผิดพลาดของตนที่เกี่ยวเนื่องกับงานเท่านั้น แต่พวกเขายังละเลยหน้าที่ของตนต่อไปอีกด้วย  ถึงกับนึกเกลียดคนที่พูดจาด้วยความสัตย์จริง เอาใจใส่และรับผิดชอบงานของตน  พวกเขาอาจถึงขั้นพยายามระรานคนเหล่านั้น  นี่คือพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกใด?  นี่คือความเลว  ความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ย่อมถูกเปิดโปงในลักษณะนี้  เมื่อใดก็ตามที่มีคนซื่อสัตย์แสดงตัวขึ้นมา เมื่อใดก็ตามที่มีคนกล่าวคำสัตย์ที่เป็นเรื่องจริง และเมื่อใดก็ตามที่มีคนยึดมั่นในหลักธรรมและตรวจสอบธรรมชาติที่แท้จริงของเรื่อง ศัตรูของพระคริสต์ย่อมรู้สึกสะอิดสะเอียนและเกลียดชังพวกเขา ธรรมชาติอันเลวในตัวพวกเขาย่อมปะทุขึ้นมาและเผยตัวให้เห็น  เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยม และเมื่อใดก็ตามที่มีการพูดปด ศัตรูของพระคริสต์ย่อมปลาบปลื้ม บันเทิงใจด้วยเรื่องนั้น และถึงกับลืมตัว  พวกเจ้าเคยอ่านเรื่อง “ชุดใหม่ของพระราชา” กันบ้างหรือไม่?  พฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์มีธรรมชาติค่อนข้างคล้ายกัน  ในนิทานเรื่องนั้น พระราชาเดินเปลือยไปตามถนนพร้อมขบวนแห่ และผู้คนหลายพันคนก็พากันร้องอุทานว่า “ชุดใหม่ของพระราชางดงามจริงๆ!  พระราชาดูวิเศษมาก!  พระราชาทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน!  แท้จริงแล้วชุดใหม่ของพระราชามีมนตร์วิเศษ!”  ทุกคนต่างก็พูดปด  แล้วพระราชารู้หรือไม่?  เขาเปลือยกายทั้งตัว แล้วจะไปตระหนักรู้ข้อเท็จจริงได้อย่างไรว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย?  นี่เรียกว่าความเบาปัญญา  ดังนั้นศัตรูเลวๆ เหล่านี้ของพระคริสต์จึงไร้ปัญญาแม้จะเคลือบแฝงและหลอกลวงก็ตาม  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาไร้ปัญญา?  เพราะพวกเขาเป็นเหมือนพระราชาเปลือยเปล่านั่น  พระราชาไม่มีวิจารณญาณในถ้อยคำที่หมายจะลวงให้เขาหลงเชื่อ  เขาสามารถเดินเปลือยไปทั่วได้ด้วยซ้ำ เปิดโปงความอัปลักษณ์ของตนออกมา  นี่คือความเบาปัญญามิใช่หรือ?  ดังนั้น ความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์มักจะเผยสิ่งใดให้เห็น?  ก็คือความเบาปัญญาของพวกเขานั่นเอง

ด้วยเหตุที่ศัตรูของพระคริสต์มีธรรมชาติที่เลว ด้วยเหตุที่พวกเขารักการใช้เล่ห์เหลี่ยมและคำโกหก แต่ไม่ชอบความซื่อสัตย์ และเนื่องจากพวกเขาชิงชังคำสัตย์ ดังนั้น ในคริสตจักรที่ศัตรูของพระคริสต์เป็นใหญ่ คนที่ซื่อสัตย์หรือไล่ตามเสาะหาที่จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ คนที่ปฏิบัติความจริงและไม่อยากใช้เล่ห์กลหรือโป้ปด จึงมักจะถูกระราน  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  ยิ่งเจ้าพูดเรื่องจริง ศัตรูของพระคริสต์ก็ยิ่งจะระรานเจ้า และยิ่งเจ้าพูดเรื่องจริง พวกเขาก็จะยิ่งไม่ชอบเจ้า  ในทางกลับกัน คนที่ป้อยอและใช้เล่ห์กลกับพวกเขากลับได้รับความโปรดปรานและเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในสายตาของพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์เลวมิใช่หรือ?  พวกเจ้ามีศัตรูของพระคริสต์ที่เลวเช่นนั้นอยู่รอบตัวบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าเคยพบเจอพวกเขาบ้างหรือไม่?  พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนพูดจาด้วยความสัตย์จริง ใครก็ตามที่พูดจาด้วยความสัตย์จริงย่อมจะถูกทำให้หุบปาก  ถ้าเจ้าสามารถพูดปดและทำตามที่พวกเขาบอกได้เสมอ กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่เป็นคู่อริของเจ้าอีกต่อไป  ถ้าเจ้าดึงดันที่จะพูดจาด้วยความสัตย์จริงและจัดการเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาย่อมจะระรานเจ้า  พวกเจ้าเคยถูกระรานกันบ้างหรือไม่?  เจ้าถูกระรานเพียงเพราะเจ้าเปิดโปงการทำชั่วของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น แล้วในที่สุดเจ้าก็ถูกระรานจนถึงขั้นที่ต่อให้เจ้าอยากพูด เจ้าไม่กล้าพูดสิ่งใด  เคยเกิดเรื่องเช่นนี้บ้างหรือไม่?  การพูดเรื่องจริงและรายงานปัญหาทำให้เจ้าถูกระราน  ในคริสตจักรต่างๆ พวกเจ้าเคยถูกระรานเพราะรายงานปัญหาบ้างหรือไม่?  ถ้าคนที่พูดปดและหลอกให้คริสตจักรหลงกลนั้นถูกตัดแต่ง พวกเขากำลังถูกระรานหรือเปล่า?  (เปล่า)  นี่คือการบ่มวินัยตามปกติ ไม่ใช่การระราน  นี่เกิดขึ้นเพราะเจ้าละทิ้งหน้าที่ของตน เจ้าละเมิดหลักธรรม และกระทำการด้วยเจตนาที่ผิด โกหกและใช้เล่ห์กล ซึ่งนำไปสู่การถูกตัดแต่ง  ดังนั้น ในการสถิตของพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันแบกรับผลสืบเนื่องของการพูดจาด้วยความสัตย์จริง  อย่างไรก็ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าซาตานและศัตรูของพระคริสต์ เจ้าต้องระวังตัวมากขึ้น  นี่สะท้อนคำพังเพยที่ว่า “กษัตริย์และหมีมักทำให้คนดูแลวิตกกังวล”  เวลาเจ้าคุยกับพวกเขา เจ้าต้องคำนึงถึงอารมณ์ของพวกเขาตลอดเวลา ประเมินว่าพวกเขามีความสุขหรือไม่ สีหน้าของพวกเขาหม่นหมองหรือสว่างสดใส จากนั้นจึงตัดสินใจว่าสิ่งที่จะกล่าวสอดคล้องกับความคิดของพวกเขาหรือไม่  ตัวอย่างเช่น ถ้าศัตรูของพระคริสต์ถามว่า “วันนี้ฝนจะตกไหม?” เจ้าก็ต้องตอบว่า “พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนจะตก”  ในความเป็นจริง เมื่อศัตรูของพระคริสต์บอกว่าวันนี้ฝนอาจจะตก นั่นเป็นเพราะเขาไม่อยากออกไปทำหน้าที่ของตนข้างนอก  ถ้าเจ้าบอกว่า “พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้แดดจะออก” เขาก็จะโมโห  เจ้าจะต้องรีบบอกว่า “โอ ฉันพูดผิด  วันนี้ฝนจะตก”  ศัตรูของพระคริสต์ย่อมกล่าวว่า “คุณเพิ่งพูดว่าฝนจะไม่ตก  แล้วตอนนี้พูดได้อย่างไรว่าฝนจะตก?”  เจ้าก็จะต้องตอบว่า “เพียงเพราะแดดออกในตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ  ดังที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘สวรรค์มีพายุที่ไม่มีใครคาดคิด’  พยากรณ์อากาศไม่ได้ถูกต้องเสมอไป แต่การตัดสินของคุณย่อมแม่นยำ!”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้ฟังดังนี้ เขาย่อมยินดีและชมเจ้าว่ามีเหตุผล  พวกเจ้าเคยวางตัวกันเช่นนี้บ้างหรือไม่?  เคยใช่ไหม?  พวกเจ้าสามารถทำสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์มักจะทำ ไม่ยอมให้ผู้คนพูดเรื่องจริง และระรานคนที่ทำเช่นนั้น?  พวกเจ้าทุกคนเคยดูละครเกี่ยวกับราชสำนักมิใช่หรือ?  สัมพันธภาพระหว่างจักรพรรดิและขุนนางในวังเป็นเช่นไร?  สัมพันธภาพของพวกเขาอาจไม่ง่ายที่จะถ่ายทอดออกมาในประโยคเดียว แต่ก็มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในหมู่พวกเขา นั่นคือ จักรพรรดิไม่เชื่อคำที่คนพูดออกมา  เขาวิเคราะห์และพินิจพิจารณาทุกสิ่งที่เสนาบดีของเขากล่าวมา ไม่เคยเชื่อว่าพูดจริง  นี่คือหลักการที่เขาใช้ฟังเหล่าเสนาบดีพูดจา  ส่วนเสนาบดีเองก็ต้องมีทักษะในการฟังความนัยที่ไม่ได้กล่าวออกมา  ตัวอย่างเช่น เมื่อจักรพรรดิกล่าวว่า “วันนี้อัครมหาเสนาบดีหวางเอ่ยถึงเรื่องบางเรื่อง” และอื่นๆ ทุกคนย่อมรับฟังและคิดว่า “ดูเหมือนจักรพรรดิอยากจะส่งเสริมอัครมหาเสนาบดีหวาง แต่ก็กลัวอย่างที่สุดว่าผู้คนจะแบ่งพรรคแบ่งพวก แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และก่อกบฏ ดังนั้นฉันจะสนับสนุนอัครมหาเสนาบดีหวางอย่างเปิดเผยไม่ได้  ฉันต้องยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ต่อต้านหรือสนับสนุนเขา จักรพรรดิจะได้ดูเจตนาที่แท้จริงของฉันไม่ออก—แต่ฉันก็ไม่ได้ต่อต้านความประสงค์ของจักรพรรดิเช่นกัน”  เจ้าดูเอาเถิด ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา แม้เพียงประโยคเดียวก็มีความคิดมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง มีความคดเคี้ยวเลี้ยวลดที่ซับซ้อนยิ่งกว่ารอยงูเลื้อยเสียอีก  แก่นความหมายของสิ่งที่พวกเขากล่าวยังคงรู้ได้ยาก ถูกความกำกวมเคลือบไว้  ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์อยู่หลายปีจึงจะวิเคราะห์ได้ว่าถ้อยแถลงใดจริงหรือเท็จ และเจ้าก็ต้องแกะความหมายที่พวกเขาตั้งใจจะกล่าวโดยดูจากการประพฤติตนและการพูดคุยตามปกติของพวกเขา  สรุปแล้ว วาจาของพวกเขาไม่มีถ้อยแถลงที่เป็นเรื่องจริงแม้แต่ประโยคเดียว และทุกสิ่งที่พวกเขาพูดก็ล้วนเป็นเรื่องโกหก  บทสนทนาของทุกคนไม่ว่าจะมีตำแหน่งรองลงมาหรือสูงขึ้นไป ล้วนมีรูปแบบการพูดจาของตนเอง  พวกเขาพูดตามมุมมองของตน แต่สิ่งที่พวกเขาพูดไม่เคยมีความหมายตามคำที่เจ้าได้ยิน—เป็นเพียงคำโกหกเท่านั้น  คำโป้ปดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  เพราะผู้คนแฝงเจตนา จุดประสงค์ และแรงจูงใจบางอย่างเอาไว้ในวาจาและการกระทำของตน เวลาพวกเขาพูด พวกเขาก็ระวังคำพูดและนัยแฝงในคำพูดของตน พวกเขาพูดจาอ้อมค้อม และมีวิธีการพูดจาของตนเอง  เมื่อพวกเขามีวิธีการ วาจานั้นยังคงเป็นความสัตย์จริงหรือไม่?  ไม่เป็น  คำพูดของพวกเขามีความหมายมากมายหลายชั้น ผสมผสานเรื่องจริงและเรื่องเท็จเข้าด้วยกัน—บ้างจริง บ้างเท็จ—และบ้างก็หมายที่จะลวงให้หลงกล  ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีความสัตย์จริง  ยกตัวอย่างอัครมหาเสนาบดีหวางที่เพิ่งเอ่ยไป  บางคนในราชสำนักต่อต้านอัครมหาเสนาบดีหวางอย่างเปิดเผย  การต่อต้านของเขาไม่ได้ชัดเจนในทันทีว่าจริงหรือเท็จ  เจ้าต้องดูต่อไป  ในฉากถัดไป เขากำลังดื่มอยู่ในห้องนั่งเล่นลับภายในบ้านของอัครมหาเสนาบดีหวาง  การณ์กลับกลายเป็นว่าทั้งสองร่วมงานกัน  ถ้าเจ้าดูแต่ฉากที่คนคนนี้ต่อต้านอัครมหาเสนาบดีหวาง เจ้าจะมองเห็นได้อย่างไรว่าทั้งสองร่วมงานกัน?  เหตุใดเขาจึงต่อต้านอัครมหาเสนาบดี?  เพื่อหลีกเลี่ยงความระแวงสงสัยและใช้เรื่องนี้มาทำให้จักรพรรดิลดความระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้จักรพรรดิสงสัยว่าทั้งสองสมคบคิดกัน  นี่คือยุทธวิธีอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงที่พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำสัตย์แม้แต่คำเดียว  ถ้าการพูดปดทุกวันทำให้เหน็ดเหนื่อยนัก เหตุใดพวกเขาจึงไม่จากไปเสีย?  พวกเขาถึงกับไปเยี่ยมหลุมศพของคู่ต่อสู้ที่เพิ่งเสียชีวิต—นั่นเกิดอะไรขึ้น?  พวกเขารักที่จะต่อสู้กับผู้อื่นโดยแท้ หากไม่มีการต่อสู้ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าชีวิตจืดชืด  ถ้าไม่มีการต่อสู้ พวกเขาย่อมคิดว่าชีวิตนี้ราบเรียบเกินไป  เมื่อมีกลอุบายและแผนการเหล่านี้อยู่ในใจ แต่ไม่มีที่ไหนให้พวกเขานำไปใช้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีคู่แข่งไว้ต่อสู้ ไว้ดูว่าใครเหนือกว่ากัน  นั่นคือยามที่พวกเขารู้สึกว่าชีวิตของตนมีคุณค่า  ถ้าคู่ต่อสู้ของพวกเขาตาย พวกเขาย่อมรู้สึกว่าไม่มีความหมายหลงเหลืออยู่ในชีวิต  จงบอกเราเถิดว่าผู้คนแบบนี้สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่คือธรรมชาติของพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์มีธรรมชาติเช่นนี้คือ พวกเขาต่อสู้กับผู้อื่น กับผู้นำและคนทำงานทุกวัน  พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าด้วยซ้ำ พูดปดและใช้เล่ห์กลทุกวัน ขัดขวางและก่อกวนงานในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาจะนั่งนิ่งสักครู่ก็ไม่ได้  พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมเช่นไรให้พวกเขาฟังก็ตาม  ดุจเดียวกับพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาจะไม่ยอมหยุดพักจนกว่าจะถูกทำลายล้างไปสิ้น

ศัตรูของพระคริสต์ไม่ชอบคนที่พูดจาด้วยความสัตย์จริง พวกเขาไม่ชอบผู้คนที่ซื่อสัตย์  พวกเขาสุขสำราญกับการใช้เล่ห์เหลี่ยมและเรื่องโกหก  ดังนั้น ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมเป็นเช่นไร?  ตัวอย่างเช่น พวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อการที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนซื่อสัตย์?  ก่อนอื่นพวกเขาดูหมิ่นความจริงข้อนี้  การที่พวกเขาสามารถดูแคลนสิ่งที่เป็นบวกได้นี้บ่งชี้ปัญหาของพวกเขาโดยแท้ และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเลว  อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ภาพรวมที่ครอบคลุมทั้งหมด  เมื่อขุดลึกลงไป ศัตรูของพระคริสต์เข้าใจพระประสงค์ที่พระเจ้าให้ผู้คนซื่อสัตย์ว่าอย่างไร?  พวกเขาอาจจะกล่าวว่า “การเป็นคนซื่อสัตย์ พูดทุกสิ่งกับพระเจ้า บอกพระองค์ทุกเรื่อง และเล่าทุกอย่างให้พี่น้องชายหญิงฟังอย่างเปิดเผย—นั่นหมายถึงการเสียศักดิ์ศรีไม่ใช่หรือ?  นั่นคือการไม่มีศักดิ์ศรี ไม่เป็นตัวของตัวเอง และแน่นอนว่าไม่มีความเป็นส่วนตัว  นี่เลวร้ายมาก เป็นความจริงแบบไหนกัน?”  พวกเขามองเช่นนี้มิใช่หรือ?  ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงดูหมิ่นพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องการเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่ลึกๆ ในหัวใจของตนเท่านั้น แต่อาจถึงขั้นกล่าวโทษเรื่องนี้อีกด้วย  ถ้าพวกเขาสามารถกล่าวโทษการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แล้วพวกเขาจะเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถซื่อสัตย์ได้เป็นแน่  ศัตรูของพระคริสต์มีปฏิกิริยาเช่นใดเวลาเห็นคนยอมรับว่าพูดปด?  พวกเขานึกหยามและเยาะหยันพฤติกรรมเช่นนั้นจากหัวใจส่วนลึกของตน  พวกเขาเชื่อว่าผู้คนที่พยายามซื่อสัตย์นั้นโง่เขลาเหลือเกิน  การที่พวกเขานิยามผู้คนที่ซื่อสัตย์ว่าโง่เขลานี้ก็เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เป็นเรื่องเลว  พวกเขาคิดไปว่า “ในสังคมทุกวันนี้มีใครพูดความจริงกัน?  พระเจ้าขอให้คุณซื่อสัตย์ แล้วคุณก็พยายามที่จะซื่อสัตย์จริงๆ—ถึงกับพูดเรื่องอย่างนั้นด้วยความซื่อสัตย์  แท้จริงแล้วคุณโง่อย่างเหลือเชื่อ!”  ความรู้สึกเหยียดหยามในหัวใจส่วนลึกที่พวกเขามีต่อผู้คนที่ซื่อสัตย์นี้พิสูจน์ว่าพวกเขากล่าวโทษและเกลียดชังความจริง พวกเขาทั้งไม่ยอมรับและไม่นบนอบความจริง  นี่คือความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  ชัดเจนว่าความจริงข้อนี้คือสิ่งที่เป็นบวก และเป็นแง่หนึ่งของการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งผู้คนควรมีในด้านการวางตัว แต่ศัตรูของพระคริสต์กลับกล่าวโทษ  นี่ย่อมเลว  ในคริสตจักรมักจะมีผู้คนที่ลงเอยด้วยการถูกผู้นำบางคน “ตัดแต่ง” เพราะพวกเขารายงานปัญหาหรือแจ้งสภาพการณ์ที่แท้จริงแก่เบื้องบน—พวกเขาถูกระราน  บางครั้งพอเบื้องบนสอบถามถึงสถานการณ์ในคริสตจักร ผู้นำบางคนก็รายงานแต่สิ่งที่เป็นบวกและไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เป็นลบ  เมื่อบางคนได้ฟังว่ารายงานของผู้นำเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และขอให้ผู้นำพูดความจริง ผู้นำเหล่านี้กลับผลักไสและกีดกันไม่ให้พวกเขาพูดความจริง  บางคนไม่ยอมรับวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ทำสิ่งต่างๆ  พวกเขาคิดว่า “ในเมื่อคุณไม่ยอมพูดด้วยความซื่อสัตย์ ฉันก็จะไม่ปฏิบัติเหมือนคุณเป็นผู้นำ  ฉันจะบอกความจริงแก่เบื้องบน  ฉันไม่กลัวว่าพวกเขาจะตัดแต่งฉัน”  ดังนั้น คนเหล่านี้จึงรายงานสถานการณ์จริงแก่เบื้องบนอย่างสัตย์ซื่อ  เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ คริสตจักรแห่งนั้นก็ถูกเปิดโปง  เพราะเหตุใด?  เพราะผู้คนเหล่านี้เปิดโปงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์—พวกเขาเปิดโปงสภาพการณ์ที่แท้จริงออกมา  พวกศัตรูของพระคริสต์เห็นด้วยในเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขาทนยอมรับได้หรือไม่?  พวกเขาจะไม่ละเว้นผู้คนที่รายงานปัญหาอย่างแน่นอน  ศัตรูของพระคริสต์ย่อมทำเช่นไร?  ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็เรียกประชุมเรื่องนี้ ขอให้ผู้คนหารือเรื่องนี้ และเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของคนเหล่านี้  ผู้คนส่วนใหญ่โยกคลอนได้ง่ายจึงพิจารณาเรื่องนี้และคิดว่า “มีคนรายงานข้อเท็จจริงขึ้นไป และตอนนี้ผู้นำคนนี้ก็มีอันตราย  พวกเราไม่ได้เป็นคนรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น—ถ้าเบื้องบนตัดสินใจลงโทษผู้นำคนนี้ พวกเราจะพลอยติดร่างแหไปด้วยหรือไม่?”  ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงหาทางปกป้องผู้นำ ผลก็คือผู้คนที่รายงานความจริงนั้นถูกโดดเดี่ยว  เมื่อเป็นเช่นนี้ ศัตรูของพระคริสต์ก็สามารถทำตามใจชอบเพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำเรื่องชั่วอันใด ก็ไม่มีใครกล้ารายงานสถานการณ์แก่เบื้องบน ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงสัมฤทธิ์จุดหมายของตน  ดังนั้นสำหรับบางคนแล้ว การรายงานสถานการณ์แก่เบื้องบนหมายถึงความยุ่งยากมากมายโดยแท้  พวกเขารู้ข้อเท็จจริง แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็อยากให้พวกเขานิ่งเงียบอยู่เสมอ  ด้วยความกลัวและขลาด พวกเขาจึงรอมชอม และเมื่อทำดังนั้น พวกเขาย่อมตกเป็นเหยื่อถูกศัตรูของพระคริสต์บังคับขู่เข็ญมิใช่หรือ?  ในที่สุดเมื่อมีการเผยตัวและหาคนมาแทนที่พวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าคิดว่าผู้คนที่ยอมรอมชอมเหล่านี้ย่อมรู้สึกอย่างไร?  พวกเขานึกเสียใจหรือไม่?  (พวกเขาย่อมนึกเสียใจ)  พวกเขาทั้งรู้สึกยินดีและเสียใจ คิดไปว่า “ถ้ารู้ว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ ฉันก็คงไม่ยอมถอดใจ  ฉันควรเปิดโปงและรายงานเรื่องของพวกเขาต่อไปจนกระทั่งพวกเขาถูกแทนที่”  แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้น พวกเขาขลาดเกินไป

ศัตรูของพระคริสต์ชอบการใช้เล่ห์เหลี่ยมและเรื่องโกหก เกลียดชังความซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งแรกที่สำแดงธรรมชาติอันเลวของพวกเขาอย่างชัดเจน  เจ้าดูเถิด บางคนพูดจาในลักษณะที่ยากแก่การเข้าใจของผู้คนอยู่เสมอ  บางครั้งประโยคของพวกเขามีตอนเริ่ม แต่ไม่มีตอนจบ บางครั้งมีตอนจบ แต่ไม่มีตอนเริ่มต้น  เจ้าไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาตั้งใจจะพูดอะไร สิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูไม่เป็นเรื่องเป็นราวสำหรับเจ้า และหากเจ้าขอให้พวกเขาอธิบายให้ชัดเจน พวกเขาก็ไม่ยอมอธิบาย  พวกเขามักใช้คำสรรพนามในวาทะของตน  ตัวอย่างเช่น พวกเขารายงานบางสิ่ง และพูดว่า “ชายคนนั้น—เอ่อ เขากำลังคิดอย่างนั้น แล้วพี่น้องชายหญิงก็ไม่ค่อย…”  พวกเขาสามารถพูดพร่ำอยู่หลายชั่วโมง และยังคงแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ พูดติดอ่างและตะกุกตะกัก พูดไม่จบประโยค พูดคำโดดๆ ที่ไม่เชื่อมโยงกัน ปล่อยให้เจ้าไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นหลังจากฟังจบ—และถึงกับกระวนกระวายใจด้วยซ้ำ  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาผ่านการเรียนมามากมายและมีการศึกษาที่ดี—แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์ได้?  นี่เป็นปัญหาทางอุปนิสัย  พวกเขาตลบตะแลงมากเสียจนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการพูดแม้แต่ความจริงเพียงเล็กน้อย  สิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์พูดไม่มีจุดสนใจ มีหัว แต่ไม่มีหางอยู่เสมอ พวกเขาโพล่งออกมาครึ่งประโยค แล้วพวกเขาก็กลืนอีกครึ่งหนึ่งลงไป  แล้วพวกเขาก็โยนหินถามทางอยู่เสมอ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้เจ้าเข้าใจว่าพวกเขาหมายจะพูดอะไร พวกเขาต้องการให้เจ้าเดา  หากพวกเขาบอกเจ้าตามตรง เจ้าก็จะตระหนักว่าพวกเขากำลังพูดอะไรอยู่และมองพวกเขาออกใช่หรือไม่?  พวกเขาไม่ต้องการเช่นนั้น  พวกเขาต้องการสิ่งใด?  พวกเขาต้องการให้เจ้าเดาเอาเอง และพวกเขาก็มีความสุขที่จะปล่อยให้เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าเดานั้นจริง—ในกรณีนั้น พวกเขาไม่ได้พูดอย่างนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องรับผิดชอบอันใด  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้อะไรเมื่อเจ้าบอกพวกเขาว่าเจ้าเดาว่าพวกเขาหมายถึงอะไร?  การเดาของเจ้าคือสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะฟังโดยแท้ และนี่บอกให้พวกเขารู้แนวคิดและทรรศนะของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ  จากตรงนั้น พวกเขาก็จะเลือกพูด เลือกว่าจะพูดอะไรและไม่พูดอะไร และจะพูดอย่างไร จากนั้นพวกเขาจึงจะใช้ขั้นตอนต่อไปในแผนการของตน  ทุกประโยคลงท้ายด้วยกับดัก และขณะที่เจ้าฟังพวกเขา หากเจ้าจบประโยคให้พวเขาอยู่เรื่อย เจ้าก็ย่อมจะตกลงไปในกับดักอย่างสมบูรณ์  พวกเขาเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไม่ที่พูดเช่นนี้ตลอดเวลา?  อุปนิสัยของพวกเขานั้นเลว—พวกเขาจึงไม่รู้สึกเหนื่อย  สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์  เหตุใดพวกเขาจึงต้องการสร้างกับดักเหล่านี้กับเจ้า?  เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นทรรศนะของเจ้าได้อย่างชัดเจน และพวกเขากลัวว่าเจ้าจะมองพวกเขาออก  ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็พยายามหยุดยั้งไม่ให้เจ้าเข้าใจพวกเขา พวกเขาพยายามที่จะเข้าใจเจ้า  พวกเขาต้องการดึงทรรศนะ แนวคิด และวิธีการของเจ้าออกมาจากตัวเจ้า  หากพวกเขาทำสำเร็จ เช่นนั้นแล้วกับดักของพวกเขาก็ได้ผล  ผู้คนบางคนถ่วงเวลาด้วยการพูดว่า “อืม” และ “ฮ่า” บ่อยๆ พวกเขาไม่แสดงมุมมองที่เฉพาะเจาะจง  ส่วนผู้อื่นก็ถ่วงเวลาโดยพูดว่า “แบบว่า” และ “ก็นะ…” เพื่อปกปิดสิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่จริงๆ ใช้การพูดเช่นนี้แทนที่สิ่งที่พวกเขาต้องการพูดจริงๆ  มีคำประกอบ คำกริยาวิเศษณ์ และคำกริยานุเคราะห์ที่ไร้ประโยชน์มากมายในทุกประโยคของพวกเขา  หากเจ้าต้องบันทึกคำพูดของพวกเขาและเขียนคำพูดเหล่านั้นออกมา เจ้าจะค้นพบว่าไม่มีคำใดเปิดเผยทรรศนะหรือท่าทีของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ  คำพูดทั้งหมดของพวกเขามีกับดัก การทดลอง และการล่อใจซ่อนอยู่  นี่คืออุปนิสัยเช่นไร?  (เลว)  เลวอย่างยิ่ง  มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?  กับดัก การทดลอง และการล่อใจที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเหล่านี้เรียกว่าการใช้เล่ห์เหลี่ยม  นี่คือลักษณะเฉพาะตามปกติของผู้คนที่มีแก่นแท้อันเลวแห่งศัตรูของพระคริสต์  ลักษณะเฉพาะตามปกตินี้สำแดงออกมาอย่างไร?  พวกเขารายงานข่าวดี แต่ไม่รายงานข่าวร้าย พวกเขาพูดแต่ในแง่ที่น่ายินดีเท่านั้น พวกเขาพูดจาไม่ต่อเนื่อง พวกเขาซ่อนเร้นความหมายที่แท้จริงของตนเอาไว้บางส่วน พวกเขาพูดในลักษณะที่ชวนให้สับสน พวกเขาพูดจาคลุมเครือ และคำพูดของพวกเขามีการทดลองแฝงอยู่  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกับดัก และทั้งหมดนี้คือวิถีทางของการใช้เล่ห์เหลี่ยม

ศัตรูของพระคริสต์ส่วนใหญ่สำแดงลักษณะเหล่านี้ออกมา พูดจาและกระทำการเช่นนี้  ถ้าพวกเจ้าคลุกคลีกับพวกเขามานาน พวกเจ้าจะดูออกหรือไม่?  พวกเจ้าจะสามารถรู้ทันพวกเขาหรือไม่?  พวกเจ้าต้องระบุเสียก่อนว่าพวกเขาใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์หรือไม่  ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกร้องมากเท่าใดให้ผู้อื่นซื่อสัตย์และพูดเรื่องจริง เจ้าก็ต้องดูว่าตัวพวกเขาเองเป็นคนที่ซื่อสัตย์หรือไม่ พากเพียรที่จะซื่อสัตย์หรือไม่ และพวกเขามีมุมมองและท่าทีเช่นใดต่อผู้คนที่ซื่อสัตย์  จงดูว่าในหัวใจส่วนลึก พวกเขาสะอิดสะเอียน เกลียดชัง และเลือกปฏิบัติต่อผู้คนที่ซื่อสัตย์ หรือว่าลึกลงไปแล้ว พวกเขาอยากเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ แต่ก็พบว่าเป็นการยากและท้าทาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้  เจ้าจำเป็นต้องขบคิดให้ออกว่าสถานการณ์ของพวกเขาเป็นแบบใดในสิ่งที่กล่าวมานี้  พวกเจ้าจะสามารถดูออกหรือไม่?  ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าอาจจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะถ้าวิธีใช้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขานั้นแยบคาย เจ้าก็อาจรู้ไม่เท่าทันวิธีการเหล่านั้น  อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนย่อมจะสามารถรู้ทันพวกเขา พวกเขาไม่อาจซ่อนเร้นความจริงเกี่ยวกับตัวเองได้ตลอดไป  เหมือนที่พญานาคใหญ่สีแดงมักจะพูดว่าตัวมัน “รับใช้ประชาชน” และ “กระทำการในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐผู้รับใช้ปวงชน”  แต่ทุกวันนี้มีใครยังคงเชื่อว่านั่นเป็นพรรคของประชาชนบ้าง?  มีใครยังคงเชื่อว่ามันตัดสินใจเพื่อประชาชนบ้าง?  ไม่มีใครเชื่อเช่นนั้นอีกแล้ว ถูกต้องหรือไม่?  เริ่มแรกนั้นผู้คนมีความคาดหวังในทางที่ดี นึกว่าเมื่อมีพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนและกลายเป็นเจ้านายได้ พรรคจะรับใช้ประชาชนและกระทำการในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้สังคม  แต่ทุกวันนี้มีใครยังเชื่อคำพูดเยี่ยงมารของพรรคบ้าง?  ผู้คนประเมินมันว่าอย่างไรในตอนนี้?  มันกลายเป็นศัตรูของสาธารณชนไปแล้ว  แล้วพรรคเปลี่ยนจากเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้สังคมเป็นศัตรูของสาธารณชนไปได้อย่างไร?  ด้วยการกระทำของพรรคและด้วยการเอาการกระทำของพรรคมาเทียบกับคำพูดของมัน ผู้คนก็ค้นพบว่าทุกสิ่งที่พรรคพูดเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง เป็นความเท็จ และวาจาที่ตั้งใจฟอกขาวตัวพรรคเอง  พรรคกล่าวคำที่ฟังรื่นหูที่สุด แต่กลับทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด  ศัตรูของพระคริสต์ก็เป็นเช่นนี้ด้วย  ตัวอย่างเช่น พวกเขาบอกพี่น้องชายหญิงว่า “พวกคุณควรทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี—อย่าปล่อยให้หน้าที่มีสิ่งไม่บริสุทธิ์ส่วนตัวมาปลอมปน”  แต่ลองคิดดูเถิด พวกเขาปฏิบัติตนเช่นนี้ด้วยตนเองหรือไม่?  เวลาที่เจ้าเสนอแนะบางสิ่งแก่พวกเขา ทันทีที่เจ้าเผยความคิดเห็นของตนออกมาเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะไม่เห็นด้วยหรือยอมรับ  เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาชนกับหน้าที่ของตนหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ทุกๆ ส่วน แม้สักกระเบียดนิ้วก็จะไม่ยอมยกให้  จงตรองเรื่องพฤติกรรมของพวกเขาดูเถิด แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเขากล่าว  เจ้าสังเกตเห็นอะไร?  คำพูดของพวกเขาฟังดูดี แต่ทั้งหมดกลับเป็นความเท็จที่หมายจะลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ  เมื่อพวกเขาวางอุบายและต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตน พฤติกรรม รวมทั้งเจตนา ลู่ทาง และวิธีการลงมือของพวกเขาย่อมจริงแท้ทั้งสิ้น—ไม่มีสิ่งใดปลอม  เมื่อดูตามสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็สามารถเกิดวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์ได้บ้าง

ศัตรูของพระคริสต์ชอบเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเป็นอย่างมาก—พวกเขาชอบอะไรอีก?  พวกเขาชอบชั้นเชิง อุบาย และแผนการ  พวกเขาลงมือดำเนินการตามปรัชญาของซาตาน ไม่เคยแสวงหาความจริง พึ่งพาเรื่องโกหกและการใช้เล่ห์เหลี่ยมทั้งสิ้น ใช้อุบายและแผนการต่างๆ  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงได้ชัดเจนเพียงใด ต่อให้พวกเขาพยักหน้ารับรู้ พวกเขาก็จะไม่กระทำการตามหลักธรรมความจริง  แต่กลับจะเค้นสมองคิดและลงมือใช้กลอุบายและแผนการ  แม้เจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนเพียงใดก็ไม่สำคัญ ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ในหนทางที่พวกเขาเต็มใจทำ ตามที่พวกเขาอยากจะทำ และด้วยวิธีใดก็ตามที่ให้ประโยชน์แก่พวกเขาเท่านั้น  พวกเขาพูดจาลื่นไหล ปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงและตัวตนที่แท้จริงของตนเอาไว้ หลอกและลวงผู้คนให้หลงเชื่อ และเมื่อผู้อื่นหลงเชื่อ พวกเขาก็รู้สึกยินดี ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขาลุล่วงแล้ว  นี่คือวิธีการและแนวทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้อย่างสม่ำเสมอ  ในส่วนของผู้คนที่ซื่อสัตย์ พูดจาตรงไปตรงมา กล่าวความสัตย์จริงและเปิดใจสามัคคีธรรมถึงความคิดลบ ความอ่อนแอ และสภาวะที่เป็นกบฏของตน และพูดจากหัวใจ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมรังเกียจผู้คนเหล่านี้อยู่ในใจและเลือกปฏิบัติกับพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์ชอบผู้คนที่ทำเหมือนตน พูดจาคดโกงและหลอกลวง และไม่ปฏิบัติความจริง  เวลาพวกเขาพบเจอผู้คนเช่นนี้ พวกเขารู้สึกปลื้มใจ ราวกับว่าได้พบคนที่เหมือนตน  พวกเขาไม่วิตกกังวลอีกต่อไปว่าผู้อื่นจะดีกว่าตนหรือสามารถดูตนออก  นี่สำแดงถึงธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  นี่สามารถแสดงให้เห็นมิใช่หรือว่าพวกเขาเลว?  (ใช่)  เหตุใดเรื่องเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์เลว?  สิ่งที่เป็นบวกและความจริงคือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีเหตุผลและมโนธรรมควรรัก  อย่างไรก็ดี สำหรับศัตรูของพระคริสต์ พวกเขากลับมองว่าสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้คือตัวปัญหาและเป็นหนามยอกอกของพวกเขา  ใครก็ตามที่ยึดถือหรือปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นศัตรูของพวกเขา และพวกเขาก็มองผู้คนดังกล่าวอย่างไม่เป็นมิตร  นี่คล้ายกับธรรมชาติของความไม่เป็นมิตรที่ซาตานมีต่อโยบมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือธรรมชาติที่เหมือนกัน เป็นอุปนิสัยที่เหมือนกับของซาตาน และมีแก่นแท้แบบเดียวกัน  ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ถือกำเนิดจากซาตาน และพวกเขาก็เป็นคนจำพวกเดียวกับซาตาน  เพราะฉะนั้น ศัตรูของพระคริสต์จึงสมคบกับซาตาน  ถ้อยแถลงนี้เกินเหตุหรือไม่?  ไม่เลย นี่ถูกต้องทั้งหมด  เพราะเหตุใด?  เพราะศัตรูของพระคริสต์ไม่รักสิ่งที่เป็นบวก  พวกเขาสุขสำราญกับการใช้เล่ห์เหลี่ยม พวกเขาชอบเรื่องโกหก รูปลักษณ์ที่ลวงตา และการเสแสร้งแกล้งทำ  ถ้ามีใครเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาจะสามารถนบนอบและยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานหรือไม่?  พวกเขาไม่เพียงยอมรับไม่ได้เท่านั้น แต่จะโต้ตอบด้วยคำผรุสวาทมากมายอีกด้วย  ผู้คนที่พูดเรื่องจริงหรือเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาย่อมจะทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยวและเดือดดาล  ตัวอย่างเช่น อาจจะมีศัตรูของพระคริสต์ที่เสแสร้งเก่งมาก  ทุกคนรับรู้ว่าพวกเขาเป็นคนดี คือเปี่ยมรัก สามารถเห็นอกเห็นใจผู้คน สามารถเข้าใจความยากลำบากของผู้อื่น มักจะเกื้อหนุนและช่วยเหลือคนที่อ่อนแอและคิดลบ  เมื่อใดก็ตามที่ผู้อื่นมีเรื่องยุ่งยาก พวกเขาก็สามารถคำนึงถึงผู้อื่นและให้อภัย  ในหัวใจของผู้คน ศัตรูของพระคริสต์นี้ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า  สำหรับคนที่ทำตัวมีคุณธรรมนี้ ถ้าเจ้าเปิดโปงการเสแสร้งและแอบอ้างของพวกเขา ถ้าเจ้าพูดเรื่องจริงกับพวกเขา พวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่?  ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ยอมรับเท่านั้น กลับจะเริ่มเสแสร้งและแอบอ้างมากขึ้น  บอกเราเถิดว่าถ้าเจ้าเปิดโปงการแอบอ้างของพวกฟาริสีตอนที่พวกเขาหอบพระคัมภีร์ไปอธิษฐานและอ่านอยู่ตามหัวถนนให้ผู้อื่นได้ยิน และเจ้าก็บอกพวกเขาว่าพวกเขากำลังทำเอาหน้า พวกเขาจะสารภาพในสิ่งที่เจ้ากล่าวหรือไม่?  พวกเขาจะเต็มใจยอมรับหรือไม่?  พวกเขาจะนึกทบทวนตามคำของเจ้าหรือไม่?  พวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นการแอบอ้างและใช้เล่ห์เหลี่ยม?  พวกเขาจะคิดทบทวน กลับใจ และไม่มีวันทำเช่นนี้อีกได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ถ้าเจ้ากล่าวต่อไปว่า “การกระทำของคุณกำลังชักพาให้ผู้คนหลงผิด คุณจะลงนรกและถูกลงโทษ” นั่นใช่การพูดเรื่องจริงหรือไม่?  (ใช่)  นั่นคือการพูดเรื่องจริง  แล้วพวกเขาจะยอมรับหรือไม่?  ไม่ พวกเขากลับจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและกล่าวทันทีว่า “อะไร?  คุณบอกว่าฉันจะลงนรกและถูกลงโทษอย่างนั้นหรือ?  ช่างกล้าพูด!  ฉันเชื่อในพระเจ้า ไม่ได้เชื่อคุณ!  คำพูดของคุณไม่มีความหมาย!”  เรื่องจบลงตรงนั้นหรือไม่?  พวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป?  พวกเขาจะกล่าวต่อไปว่า “ฉันเดินทางมาทั่วทุกสารทิศแล้ว เผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนมากมาย ออกดอกออกผลมากนัก แบกกางเขนมามากมาย และทนทุกข์อย่างยิ่งในคุกมาแล้ว—ส่วนคุณนะเด็กน้อย ตอนที่ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณยังอยู่ในท้องแม่อยู่เลย!”  ธรรมชาติของพวกเขาถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ถูกต้องหรือไม่?  พวกเขาประกาศเรื่องความอดทนและอดกลั้นมิใช่หรือ—แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทนยอมรับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้?  เหตุใดพวกเขาจึงอดกลั้นในเรื่องนี้ไม่ได้?  เพราะเจ้าพูดเรื่องจริง เจ้าเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่มีบั้นปลาย  พวกเขาจะยังทนยอมรับเรื่องนี้ได้กระนั้นหรือ?  ถ้าพวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ถ้าพวกเขาอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ แต่สามารถยอมรับความจริง และพวกเขาก็สำแดงให้เห็นการแอบอ้างไปด้วย พวกเขาจะทำอย่างไรถ้าเจ้าเปิดโปงการแอบอ้างของพวกเขา?  พวกเขาอาจจะไม่ยอมทบทวนตนเองทันที และการกล่าวว่าพวกเขาทบทวนตนเองก็อาจฟังดูกลวงและไม่อยู่กับความเป็นจริง  อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาแรกของผู้คนที่ปกติส่วนใหญ่เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็คือเกิดประสบการณ์เป็นความเจ็บแปลบที่หัวใจ  ความเจ็บแปลบนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินได้ฟังนั้นส่งผลต่อพวกเขา พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำตัววู่วามเช่นนี้ พูดเรื่องจริง และกล่าวโทษพวกเขาซึ่งหน้าเช่นนี้—ถ้อยคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดและไม่เคยได้ยินมาก่อน  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็มีสำนึกละอายแก่ใจและอยากรักษาหน้า  ขณะที่พวกเขาใคร่ครวญเรื่องที่เจ้าบอกพวกเขาว่าการยืนอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์อยู่ตามหัวถนนเป็นการชักพาให้ผู้คนหลงผิด หลังจากที่ตรวจสอบตัวเองแล้ว พวกเขาก็ค้นพบว่าการทำดังนี้แท้จริงแล้วเป็นการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาอุทิศตนมากเพียงใด รักองค์พระผู้เป็นเจ้ามากเพียงใด และสามารถทนทุกข์ได้มากเท่าใด นี่คือการแอบอ้าง และสิ่งที่เจ้ากล่าวมาก็เป็นเรื่องจริง  พวกเขาค้นพบว่าหากพวกเขาทำตัวเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถสู้หน้าผู้อื่นได้  พวกเขาเกิดสำนึกละอายแก่ใจ และด้วยสำนึกละอายแก่ใจนั้น พวกเขาก็อาจจะสามารถยับยั้งตัวเองได้บ้างและเลิกทำชั่ว หรือเลิกการกระทำที่ไร้ความละอายซึ่งจะทำให้พวกเขาเสียหน้า  เมื่อพวกเขาไม่ทำตัวเช่นนี้ต่อไป นี่ย่อมหมายถึงสิ่งใด?  ย่อมแฝงนัยของการกลับใจ  ไม่แน่นักว่าพวกเขาจะกลับใจอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลับใจ ซึ่งดีกว่าพวกศัตรูของพระคริสต์และฟาริสีมาก  เหตุใดจึงดีกว่า?  เพราะพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกละอายแก่ใจ คำพูดเปิดโปงของผู้อื่นจี้ใจพวกเขา  แม้พวกเขาจะรู้สึกละอายและศักดิ์ศรีของพวกเขาก็ถูกทำร้าย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้อง  ต่อให้พวกเขาไม่สามารถรักษาหน้า แต่ลึกลงไป พวกเขาก็รับรู้และนบนอบถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ยอมรับเรียบร้อยแล้ว  ศัตรูของพระคริสต์ต่างออกไปอย่างไร?  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าศัตรูของพระคริสต์เลว?  ความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์อยู่ในข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อพวกเขาได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เพียงพวกเขาจะยอมรับไม่ได้เท่านั้น ตรงกันข้าม พวกเขากลับเกลียดชังอีกด้วย  นอกจากนี้พวกเขายังใช้วิธีของตนเอง มองหาข้ออ้าง เหตุผล และปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงไว้ปกป้องและอธิบายตัวเอง  พวกเขามุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์จุดประสงค์อันใด?  พวกเขามุ่งหมายที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เป็นลบให้กลายเป็นบวก และเปลี่ยนสิ่งที่เป็นบวกให้กลายเป็นลบ—พวกเขาอยากพลิกสถานการณ์  นี่เลวมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดไปว่า “ไม่ว่าคุณจะถูกเพียงใด หรือถ้อยคำของคุณจะตรงตามความจริงมากเท่าใด ตัวคุณจะต้านคารมของฉันได้หรือ?  แม้ทุกคำที่ฉันพูดจะเทียมเท็จ โกง และชักพาให้หลงผิดอย่างชัดเจน แต่ฉันก็จะปฏิเสธและกล่าวโทษสิ่งที่คุณพูดมาอยู่ดี”  นี่เลวมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วนี่เลว  เจ้าคิดหรือว่าเวลาศัตรูของพระคริสต์พบเห็นคนดี พวกเขาจะไม่พิจารณาอยู่ในใจว่าคนเหล่านี้ซื่อสัตย์?  พวกเขามองว่าคนเหล่านี้ซื่อสัตย์และเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขานิยามความซื่อสัตย์และการไล่ตามเสาะหาความจริงว่าอย่างไร?  พวกเขาคิดว่าผู้คนที่ซื่อสัตย์นั้นโง่เขลา  พวกเขาสะอิดสะเอียน ชิงชัง และเป็นปฏิปักษ์กับการไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเทียมเท็จ ไม่มีใครสามารถโง่เขลามากเสียจนยอมละทิ้งทุกสิ่งมาไล่ตามเสาะหาความจริง พูดอะไรกับใครก็ได้ และฝากทุกอย่างไว้กับพระเจ้า  ไม่มีใครโง่เขลาขนาดนั้น  พวกเขารู้สึกว่าการกระทำทั้งหมดนี้เทียมเท็จ และไม่เชื่อในการกระทำเหล่านี้เลย  แล้วศัตรูของพระคริสต์เชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และชอบธรรม?  (ไม่เชื่อ)  ดังนั้น พวกเขาจึงเขียนเครื่องหมายคำถามต่อท้ายเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในใจ  ความหมายแฝงในที่นี้คืออะไร?  พวกเราจะตีความเครื่องหมายคำถามกองนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขาไม่เพียงสงสัยหรือตั้งคำถามเท่านั้น แต่ในที่สุดพวกเขายังปฏิเสธและมุ่งหมายที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาอีกด้วย  ที่ว่าพลิกสถานการณ์กลับมานี้ เราหมายความว่าอย่างไร?  พวกเขาคิดไปว่า “การทำตัวเที่ยงธรรมขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  ถ้าพูดโกหกซ้ำๆ สักพันครั้ง นั่นย่อมกลายเป็นเรื่องจริง  ถ้าไม่มีใครพูดเรื่องจริง นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องจริงและไร้ประโยชน์—เป็นแค่เรื่องโกหกเท่านั้น!”  นี่คือการบิดเบือนถูกผิดมิใช่หรือ?  นี่คือความเลวของซาตาน—การบิดเบือนข้อเท็จจริงและบิดเบือนถูกผิด—นี่คือสิ่งที่พวกเขาชอบ  ศัตรูของพระคริสต์เก่งกาจเรื่องการเสแสร้งและใช้เล่ห์เหลี่ยม  แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาเก่งกาจนี้ย่อมมีอยู่ในแก่นของพวกเขามาแต่กำเนิด และสิ่งที่มีอยู่ในแก่นมาแต่กำเนิดก็คือสิ่งที่อยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั่นเอง  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังเป็นสิ่งที่พวกเขารักและฝักใฝ่ เป็นกฎเกณฑ์ที่พวกเขาใช้เอาตัวรอดในโลกอีกด้วย  พวกเขาเชื่อในคำพังเพยทำนองว่า “คนดีอายุสั้น คนชั่วกลับอายุยืน” “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” “มนุษย์ย่อมจะมีชัยเหนือธรรมชาติ” และอื่นๆ  ถ้อยแถลงเหล่านี้มีข้อใดที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์หรือกฎธรรมชาติซึ่งผู้คนที่ปกติสามารถเข้าใจได้บ้างหรือไม่?  ไม่มีสักข้อเดียว  แล้วศัตรูของพระคริสต์ชอบคำพังเพยเยี่ยงมารของซาตานนี้เป็นอย่างมากจนถึงกับใช้เป็นคติประจำใจได้อย่างไร?  คนเราก็ได้แต่กล่าวว่าเป็นเพราะธรรมชาติของพวกเขานั้นเลวเหลือเกิน

มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่เราเคยพบปะอยู่สองสามครั้งในช่วงเวลาประมาณหนึ่งปี  พวกเรามีโอกาสพบเจอกันหลายครั้ง แต่ก็สนทนากันอย่างจำกัดเพราะเขาไม่ใช่คนพูดจาตามสบาย  หมายความว่าอย่างไร—“ไม่ใช่คนพูดจาตามสบาย”?  หมายความว่าเขาจะไม่พูดอะไรมากแม้ในยามที่เจ้าตั้งคำถามกับเขา  ทีนี้ เขาเป็นเช่นนี้หรือไม่เวลามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในคริสตจักร?  มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้  กับคนที่คิดเห็นเหมือนกัน เขามีอะไรจะพูดมากมาย  อย่างไรก็ดี กับคนที่คิดเห็นไม่เหมือนกัน เขากลับระวังตัวและไม่ค่อยพูดจาอย่างอิสระ  ต่อมาเราจึงสรุปว่าระหว่างที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเขา เขาใช้สำนวนพูดจา “ตามแบบฉบับ” รวมห้าครั้ง  เขาไม่ได้พูดจาอย่างอิสระ ดังนั้นเวลากล่าวอะไรออกมาจึงกลายเป็นสำนวน “ตามแบบฉบับ”  นี่เป็นคนจำพวกใด?  พวกเราสามารถเรียกเขาว่า “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ได้หรือไม่?  เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้นำคริสตจักรหรือคนทำงานจะติดต่อเราและหารือเรื่องต่างๆ ใช่หรือไม่?  อย่างไรก็ดี คนคนนี้ไม่เหมือนใคร  เขากล่าวเพียงห้าสำนวนเท่านั้น ห้าสำนวนที่เป็นไป “ตามแบบฉบับ” อย่างยิ่ง  จงฟังดูเถิดว่าอะไรทำให้สำนวนเหล่านี้เป็นไป “ตามแบบฉบับ” เหลือเกิน  แต่ละสำนวนที่เขากล่าวมีบริบทของตัวเองและมีเรื่องราวเบื้องหลังสั้นๆ  พวกเรามาเริ่มด้วยที่มาของวลีแรกของเขากันเถิด

ในคริสตจักรที่นำโดยผู้นำคนนี้ มีคนชั่วอยู่คนหนึ่งที่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้มากมายและก่อกวนงานของคริสตจักร  ทุกคนมองเห็นว่าเขาเป็นคนชั่ว จึงเริ่มสามัคคีธรรมและหารือกันเกี่ยวกับตัวเขา  ถ้าจะขับไล่และนำตัวเขาออกไป ก็ต้องทำหนังสือแจ้งเรื่องของเขาภายในคริสตจักร ทุกคนจะได้รู้ว่าเขาทำเรื่องอะไรไม่ดีบ้างและเหตุใดจึงจำแนกว่าเขาเป็นคนชั่วและนำตัวออกไป  ระหว่างที่กำลังเปิดโปงเรื่องไม่ดีบางอย่างที่คนชั่วนั้นทำไว้ ผู้นำคนนี้ที่ปกติไม่ค่อยพูด กลับพูดขึ้นมาว่า “เขาเจตนาดี”  เขามองการที่คนชั่วนั้นทำเรื่องไม่ดีและก่อกวนงานของคริสตจักรว่าอย่างไร?  “คนนั้นเขาเจตนาดี”  เขาเชื่อไปว่าสิ่งไม่ดีที่คนชั่วทำนั้นสอดคล้องกับความจริง ตราบใดที่คนคนนั้นเจตนาดี  สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าธรรมชาติในการกระทำของคนเหล่านั้นจะดีหรือเลว หรือผลจากการกระทำของพวกเขาจะเป็นเช่นใด ตราบใดที่พวกเขาเจตนาดี แม้กระทั่งการขัดขวางและก่อกวนที่พวกเขาก่อให้เกิดขึ้นก็เป็นไปตามความจริง  “เขาเจตนาดี”  นั่นคือวลีแรกที่ผู้นำคนนี้กล่าวออกมา  พวกเจ้าเคยได้ยินการพูดจาเช่นนั้นหรือไม่?  ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนชั่วกำลังทำความชั่ว กระนั้นบางคนกลับกล่าวว่าคนคนนั้นมีเจตนาดีระหว่างที่ทำเรื่องไม่ดีเหล่านั้น  ทุกคนมีวิจารณญาณในวลีนี้กันหรือไม่?  เราเชื่อว่าบางคนอาจจะถูกวลีนี้ชักพาให้หลงผิดเพราะผู้คนส่วนใหญ่คิดไปว่าตราบใดที่ใครสักคนเจตนาดี พวกเขาก็ไม่ควรถูกจัดการ และถ้ามีใครทำสิ่งที่ไม่ดีด้วยเจตนาที่ดี พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำความชั่ว  หลังจากที่ถูกผู้นำคนนี้ปลุกปั่นและชักพาให้หลงผิดเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่บางคนอาจจะเข้าข้างผู้นำ และเริ่มเห็นอกเห็นใจคนชั่วคนนั้น  ถ้าไม่มีผู้นำคนนี้ชักพาให้พวกเขาหลงผิด ผู้คนส่วนใหญ่ก็คงเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างถูกต้องและคิดว่าคนชั่วนั้นควรถูกขับไล่และนำตัวออกไปเพราะทำความชั่ว  อย่างไรก็ดี หลังจากที่ถูกผู้นำคนนี้ปลุกปั่นและชักพาให้หลงผิด บางคนกลับนึกว่า “เขาเจตนาดี นั่นเข้าใจได้  บางครั้งพวกเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน  แล้วถ้าพวกเราทำอะไรไม่ดีด้วยเจตนาที่ดี พวกเราจะถูกขับและเอาตัวออกไปด้วยหรือไม่?”  ผลก็คือพวกเขาหันไปเข้าข้างผู้นำคนนี้  เพราะเหตุใด?  พวกเขานึกถึงอนาคตของตนเอง  ง่ายมิใช่หรือที่ผู้คนจะยอมรับวลีที่ผู้นำคนนี้กล่าว?  ผลจากการยอมรับของพวกเขาย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขาเกิดความสงสัยในพระเจ้า สงสัยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และหลักธรรมของพระองค์ในการทำสิ่งต่างๆ  พวกเขาเกิดความสงสัยในหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ามีในการทำสิ่งทั้งหลาย เกิดเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับหลักธรรมเหล่านั้น และแล้วพวกเขาย่อมกล่าวโทษหลักธรรม  พวกเขาเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในหัวใจ  แล้วในความเป็นจริง คนชั่วคนนี้ก็ไม่ได้ถูกนำตัวออกไปเพราะเขาทำเรื่องไม่ดีเรื่องเดียว  ในพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีใครถูกนำตัวออกไปเพียงเพราะทำความผิดเป็นครั้งคราวไม่ว่าพวกเขาจะทำงานใช้แรง ทำหน้าที่พิเศษ หรือหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับทักษะเฉพาะทาง  ผู้นำคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงจะร่วมกันจำแนกทุกคนออกเป็นกลุ่มตามพฤติกรรมที่เสมอต้นเสมอปลาย จากนั้นพวกเขาจึงจะถูกจัดการ  ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครเกียจคร้านอยู่เสมอยามที่พวกเขาควรทำงาน และพวกเขาก็หาข้ออ้างมาเลี่ยงงาน ตามพฤติกรรมนี้ การนำตัวพวกเขาออกไปย่อมเหมาะสมใช่หรือไม่?  (ใช่)  ถูกต้องแล้ว นั่นย่อมเหมาะสม  ยกตัวอย่าง ถ้าเจ้าได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาด และเจ้าก็กินเมล็ดทานตะวันอยู่เนืองๆ ดื่มชา อ่านหนังสือพิมพ์ และโยนเปลือกเมล็ดทานตะวันไปรอบตัวตามสบาย เจ้ากำลังละเลยหน้าที่ของตนมิใช่หรือ?  เจ้าไม่เพียงไม่ทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังทำเลอะเทอะอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเจ้ากำลังละเลยหน้าที่ของตน  ถ้าเจ้าไร้ความสามารถในงานของตน การนำตัวเจ้าออกไปก็ตรงตามหลักธรรมทุกประการ และตัวเจ้าก็ไม่ควรโต้แย้งเรื่องนี้  อย่างไรก็ดี ผู้นำคริสตจักรคนนี้กล่าวอ้างว่าบุคคลดังกล่าวเจตนาดี ซึ่งชักพาให้ผู้คนหลงผิด  หลังจากที่ผู้นำปลุกปั่นและชักพาให้ผู้คนหลงผิดเช่นนี้แล้ว บางคนก็ติดตามการนำของเขา ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกัน  แต่เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาเอาพระเจ้าและหลักธรรมความจริงไปไว้ที่ไหน?  พวกเขากลายเป็นเหมือนครอบครัว พูดคุยถึง “คริสตจักรของพวกเรา” และ “พระนิเวศของพระเจ้าของพวกเรา”  มีการนิยามคำว่า “คริสตจักร” และ “พระนิเวศของพระเจ้า” ไว้ว่าอย่างไร?  สามารถมีพระนิเวศของพระเจ้าที่ไร้ซึ่งพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  ถ้าที่แห่งหนึ่งไม่มีพระเจ้า จะก่อตั้งหรือมีคริสตจักรในที่นั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วในยามที่พวกเขาพูดว่า “ของพวกเรา” นั่นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพวกเขาแยกตัวออกจากพระเจ้าแล้ว  คริสตจักรนั้นกลายเป็นคริสตจักรของผู้นำที่เลอะเลือนคนนี้ ตัวเขากลายเป็นเจ้านายของคริสตจักร ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องชายหญิงและผู้คนที่เลอะเลือนก็ตั้งกลุ่มร่วมกับเขา และทำตัวเหมือนเป็นญาติพี่น้องของเขา  พวกเขาพาตัวออกห่างจากพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงมีบทบาทอยู่นอก “พระนิเวศของพระเจ้า”  เหล่านี้คือผลที่เกิดขึ้นเมื่อผู้นำคนนี้เอ่ยวลีแรกนั้นออกมาภายใต้รูปการณ์เหล่านี้  ทุกคนเห็นชอบในตัวเขาเป็นพิเศษ คิดไปว่า “ผู้นำคริสตจักรของพวกเรามีความยุติธรรม เขาคำนึงถึงพวกเรา อภัยให้ความอ่อนแอของพวกเรา และถึงกับออกปากเพื่อพวกเรา  เวลาที่พวกเราผิดพลาด พระเจ้าทรงเปิดโปงและตัดแต่งพวกเราอยู่เสมอ  แต่ผู้นำของพวกเรากลับปกป้องพวกเราตลอดเวลา เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบของตน  เมื่อมีเขาอยู่ด้วย พวกเราก็จะไม่ทนทุกข์กับความผิดอันใด”  ทุกคนนึกขอบคุณเขา  เหล่านี้คือผลสืบเนื่องจากวลีแรกที่ผู้นำคนนี้พูดออกมา

มาต่อกันด้วยวลีที่สองที่ผู้นำคนนี้พูดออกมากันเถิด  มีงานบางอย่างในคริสตจักรที่เกี่ยวข้องกับกิจธุระภายนอก ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจทำได้หรือยุ่งกับหน้าที่ของตนเกินกว่าจะไปจัดการได้  มีผู้เชื่อบางคนที่เชื่อแต่ในนามเท่านั้นและถนัดในการจัดการเรื่องข้างนอก ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงจัดสรรเงินบางส่วนให้คนแบบนี้มาจัดการงานเหล่านี้ และบางครั้งพระนิเวศของพระเจ้าก็จะใช้เงินมากขึ้นอีกนิดเพื่อให้เขาจัดการงานจำนวนไม่น้อยแทนพระนิเวศ  จงบอกเราเถิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าละเมิดหลักธรรมหรือไม่ที่ใช้เงินเพิ่มขึ้นอีก 200 หยวนมาจัดการเรื่องแบบนี้?  นี่เป็นทางเดียวที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ แล้วก็ให้ผลดี ดังนั้นจึงมีการจัดการเรื่องเหล่านี้กันเช่นนั้น  การให้เงินพิเศษ 200 หยวนแก่คนคนนั้นทำให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเรื่องเหล่านี้ได้สะดวก และปัญหามากมายก็ได้รับการแก้ไข  การใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 200 หยวนนั้นคุ้มค่าหรือไม่?  (คุ้มค่า)  คุ้มค่าอย่างแน่นอน  เหมาะควรแล้วที่จะใช้วิธีนี้ทำสิ่งต่างๆ  ถ้าพระนิเวศของพระเจ้ามอบเงิน 200 หยวนแก่คนที่ไม่สามารถจัดการงานเหล่านี้ได้ ก็จะเป็นเพียงการสูญเปล่าเท่านั้น  การให้เงิน 200 หยวนแก่เขาหมายความว่างานเหล่านี้จะสำเร็จได้ด้วยดี—ดังนั้น ตรงตามหลักธรรมหรือไม่ที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการสิ่งทั้งหลายในลักษณะนี้?  (ตรงตามหลักธรรม)  แล้วตรงตามหลักธรรมหรือไม่ที่ไม่หารือหรือสื่อสารเรื่องนี้กับพี่น้องชายหญิง?  (ตรงตามหลักธรรม)  เบื้องบนมีสิทธิ์จัดการสิ่งต่างๆ เช่นนี้หรือไม่?  (มี)  แน่นอนว่ามี  แต่ผู้นำคริสตจักรคนนี้กลับกล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงบอกว่าคนคนนั้นได้รับเงินอีก 200 หยวน…  ผมเพียงแต่ถามเรื่องนี้แทนพี่น้องชายหญิง  พวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมข้อนี้ และพวกเราก็อยากแสวงหาวิธีสามัคคีธรรมความจริงในแง่นี้”  เขาพูดไม่หมด  นี่คือสำนวนพูดจาของเขาในครั้งที่สอง  เห็นได้ชัดว่าสำนวนครั้งนี้เป็นคำถาม ซึ่งหมายความว่า “คุณบอกว่าทุกสิ่งที่คุณทำล้วนตรงตามหลักธรรม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ และพี่น้องชายหญิงบางคนก็มีความคิดเห็นและมโนคติอันหลงผิดในเรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงต้องถามคุณแทนพวกเขา  คุณจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  ให้คำอธิบายแก่ผมด้วย”  นั่นคือคำถามมิใช่หรือ?  คราวนี้ก็จงวิเคราะห์ดูเถิดว่ามีข้อความอยู่ในนี้กี่ข้อความ—เวลาที่พวกเจ้าได้ฟังอะไรเช่นนี้ พวกเจ้ามีทัศนะว่าอย่างไร?  จากเรื่องนี้ พวกเจ้ามองคนคนนี้ว่าอย่างไร?  (ข้าแต่พระเจ้า มีน้ำเสียงของการตั้งคำถามในสำนวนที่เขาใช้  เขาตั้งคำถามกับพระเจ้า  แท้จริงแล้วเขามีมโนคติอันหลงผิดของตนเองในเรื่องนี้  เขาไม่ได้แสดงความคิดที่แท้จริงของตนออกมา แต่กลับกล่าวว่าพี่น้องชายหญิงคือคนที่ยอมรับการตัดสินใจของเบื้องบนไม่ได้ และพวกเขาก็มีความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว  ในฐานะผู้นำคริสตจักร เวลาพี่น้องชายหญิงมีมโนคติอันหลงผิด เขาควรสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่เขาไม่เพียงไม่แก้ปัญหาเท่านั้น ยังมาถามพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อีกด้วย  ในตัวเขามีอุปนิสัยที่เลวและหลอกลวง)  ที่กล่าวมามีอยู่สองประเด็น หนึ่งคือเขากำลังตั้งคำถามกับเบื้องบน และอีกหนึ่งก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีมโนคติอันหลงผิดในตัวอยู่แล้ว กระนั้นเขากลับกล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจหลักธรรม และต้องการแสวงหาหลักธรรม”  สำนวนนี้มีปัญหาหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้นหรือไม่?  ในเมื่อเขามองการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงว่าสำคัญขนาดนั้น เวลาที่พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดที่ร้ายแรงเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงไม่แก้ไข?  เขากำลังละเลยหน้าที่ของตนมิใช่หรือ?  เขากำลังปล่อยปละละเลย  เขาไม่แก้ปัญหาดังกล่าว และถึงกับเอามโนคติอันหลงผิดของพี่น้องชายหญิงมาตั้งคำถามกับเบื้องบนอย่างไม่ละอาย  ดังนั้น เขามีอะไรดี?  อะไรทำให้เขาสามารถตั้งคำถามได้?  เขาก็มีมโนคติอันหลงผิดมิใช่หรือ?  เขาก็มีความคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจของเบื้องบนด้วยมิใช่หรือ?  เขารู้สึกเช่นกันมิใช่หรือว่าเรื่องนี้มีการจัดการที่ไม่เหมาะสม?  เงิน 200 หยวนนั้นไม่ได้จ่ายให้เขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตนเองพลาดโอกาสมิใช่หรือ?  เขาคิดว่า “ฉันควรได้เงินพิเศษ 200 หยวนนั่น พวกเราสมควรได้  คนคนนั้นเป็นผู้ไม่เชื่อ เขาไม่ควรได้ไป  พวกเราเชื่อในพระเจ้าโดยแท้และเป็นประชากรในพระนิเวศของพระเจ้า แต่เขาไม่ใช่”  นั่นคือความหมายของเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  แท้จริงแล้วนั่นคือความหมายของเขา  และเขาก็ไม่ได้พูดเช่นนี้อย่างตรงไปตรงมา กลับอ้อมแอ้มในเรื่องดังกล่าว  หลังจากที่ได้ฟังเช่นนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  พวกเจ้ามีมุมมองในเรื่องของการใช้เงินนี้อย่างไร?  ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้  เมื่อคำนึงถึงงานอันมากมายมหาศาลในพระนิเวศของพระเจ้า แท้จริงแล้วผู้นำคนนั้นจำเป็นต้องตั้งข้อสังเกตเรื่องการจ่ายเงินพิเศษ 200 หยวนหรือไม่?  นอกจากนี้เงินก็ไม่ได้มาจากกระเป๋าของเขา แล้วเหตุใดเขาจึงรู้สึกทุกข์ใจกับมันขนาดนั้น?  เขาแค่รู้สึกริษยาที่เห็นผู้อื่นทำตัวดีๆ กันมิใช่หรือ?  เขาหมายความเช่นนั้นมิใช่หรือ?  พวกเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่เราเพิ่งอธิบายให้ฟังได้ใช่หรือไม่?  มีพวกเจ้าคนใดที่ไม่เห็นด้วยและกล่าวว่า “ไม่!  การจ่ายเงินเพิ่มอีก 200 หยวนโดยที่พวกเราไม่รู้—การที่พวกเราไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องนี้เป็นเรื่องแย่มาก  นี่คือการผลาญของถวายในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?”  แนวคิดเรื่องพระนิเวศของพระเจ้ามีว่าอย่างไร?  แนวคิดเรื่องของถวายมีว่าอย่างไร?  ให้เราบอกเจ้าก็แล้วกันว่าของถวายไม่ได้เป็นของทุกคน ไม่ได้เป็นของพี่น้องชายหญิง ถ้ามีแต่พี่น้องชายหญิง ไม่มีพระเจ้า ก็จะไม่เรียกว่าพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ เมื่อพระองค์ทรงเรียกผู้คนมาเบื้องหน้าพระองค์และสถาปนาคริสตจักร—นั่นก็คือพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อพี่น้องชายหญิงถวายสิบลด นั่นไม่ใช่การมอบให้พระนิเวศของพระเจ้าหรือคริสตจักร และไม่ใช่การมอบให้ตัวบุคคลเป็นแน่  พวกเขาถวายสิบลดนี้ให้พระเจ้า  กล่าวง่ายๆ ก็คือเงินนี้ถวายให้พระเจ้า เป็นสมบัติส่วนพระองค์  คำว่าสมบัติส่วนพระองค์แฝงนัยว่าอย่างไร?  ว่าพระเจ้าสามารถจัดสรรปันส่วนได้ตามพระทัย และผู้นำก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง  การตั้งคำถามและอยากแสวงหาความจริงในเรื่องนี้ ให้เราบอกเจ้าเถิดว่าเกินเหตุไปหน่อยและไม่จำเป็น นั่นคือการทำตัวเทียมเท็จและเสแสร้งของเขา!  มีเรื่องสำคัญมากมายที่ผู้นำคนนี้ไม่ได้แสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้อง แต่กลับเลือกที่จะแสวงหาความจริงในเรื่องนี้  เหตุใดเขาจึงไม่จัดการคนชั่วคนนั้น?  เหตุใดเขาจึงไม่แสวงหาและกล่าวว่า “คนคนนี้สำแดงบางสิ่งที่เป็นการทำชั่ว พี่น้องชายหญิงล้วนขุ่นเคืองในตัวเขา  ฉันควรจัดการเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?”  ผู้นำไม่ได้ถามเรื่องนั้น เขามืดบอดอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของคนชั่วคนนี้  นั่นเป็นปัญหามิใช่หรือ?  วลีแรกที่ผู้นำคนนี้กล่าวคืออะไร?  (เขาเจตนาดี)  “เขาเจตนาดี”  ดูเถิดว่าคนคนนี้ “เมตตากรุณา” เพียงใด ช่างหน้าซื่อใจคดเสียจริง!  เขาเป็นคนเลว แต่คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและศีลธรรม ปากเขาปราศรัย แต่น้ำใจกลับเชือดคอ และเขาก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนมนุษย์  สำนวนที่เขาใช้พูดจาครั้งที่สองมีว่าอย่างไร?  “พระนิเวศของพระเจ้ามอบเงินพิเศษ 200 หยวนให้ใครบางคนทำงานหนึ่งๆ ให้เสร็จ  ผมอยากแสวงหาในนามของพี่น้องชายหญิงว่าพวกเราควรเข้าใจและตระหนักรู้หลักธรรมในเรื่องนี้กันอย่างไร”  เราพูดเช่นนี้ในฐานะถ้อยแถลงเต็มรูปแบบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดเช่นนี้  เขาพูดอย่างลังเล ทำให้เข้าใจความหมายได้ยาก  เขาเป็นคนพูดจาแบบนั้นเอง  นี่คือสำนวนการพูดจาของผู้นำคนนั้นในครั้งที่สอง

คราวนี้ก็มาฟังสำนวนที่สามที่ผู้นำคนนั้นใช้พูดจากันเถิด  ทุกคนกำลังทำงานขุดดินด้วยกัน  แต่ละคนได้รับมอบหมายให้ขุดดินหนึ่งตะกร้าเต็มๆ  มีคนหนึ่งทำงานเร็วและทำเสร็จเป็นคนแรก จากนั้นก็นั่งดื่มน้ำและพักผ่อนอยู่ตรงนั้น รอคนอื่นๆ  และแล้วก็มีบางอย่างผิดไป  อะไรผิดไป?  เกิดปัญหาข้อที่สาม  ผู้นำคนนี้ก็มาถามเบื้องบนอีกครั้งว่า “พวกเรามีคนที่ทำงานเร็วและขยับตัวฉับไวอยู่ตรงนี้ แต่เขาทำผิดอยู่อย่างหนึ่ง  หลังจากทำงานเสร็จ เขาเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นและไม่ช่วยใครอื่น ทุกคนจึงเริ่มมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเขา”  พี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนจึงถามว่า “ตามปกติเวลาทำงาน เขาเกียจคร้านหรือไม่?”  ผู้นำคนนี้ก็ตอบว่า “ไม่ เขาไม่ได้เกียจคร้าน  เขาแค่ทำงานเร็ว และพอทำเสร็จ เขาก็เอาแต่นั่งรออยู่ตรงนั้น ไม่ช่วยใคร พี่น้องชายหญิงเลยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเขา บอกว่าเขาไม่มีความเมตตาสงสาร”  เมื่อพี่น้องชายหญิงเอ่ยปากเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้นำคนนี้ทุกข์ใจ  เขาคิดว่า “แย่แล้ว ดูสิว่าคนคนนั้นโหดร้ายขนาดไหน!  พี่น้องชายหญิงของฉันทำงานเหน็ดเหนื่อย พวกเขาทำงานช้า และไม่มีใครช่วยพวกเขา”  ทั้งกลุ่มรู้สึกขุ่นใจ เขาจึงรู้สึกขุ่นใจไปด้วย  ช่างเป็นคนที่ “เข้าอกเข้าใจ” เหลือเกิน!  เขาจึงนำ “ภาระ” นี้มารายงานเบื้องบน  สิ่งแรกที่เขาถามก็คือว่า “สามารถลงโทษคนแบบนี้ได้หรือไม่?”  จงบอกเราเถิด พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถลงโทษคนแบบนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วพวกเจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่ได้ฟังดังนี้?  เจ้ามีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันในเรื่องนี้หรือไม่?  รู้สึกขุ่นเคืองหรือไม่?  (รู้สึก)  พระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมเสมอมาว่าผู้คนต้องเข้าใจความจริงและเป็นธรรมกับผู้อื่น แต่เขากลับทำเรื่องเล็กน้อยนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ  เขาเชื่อว่าการลงโทษคนคนนั้นย่อมจะยุติธรรม  นี่เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  เขานึกว่า “พี่น้องชายหญิงของฉันกำลังทนทุกข์ และพวกเขาก็รายงานฉันว่าคนคนนี้ไม่มีความเมตตาสงสาร  ในฐานะผู้นำ ฉันจะชนะใจผู้คนเหล่านี้ ทำให้พวกเขาสบายใจ ปกป้องพวกเขา ดูแลไม่ให้ถูกใครให้ร้ายหรือรู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมได้อย่างไร?”  การตอบสนองอันดับแรกของเขาก็คือการลงโทษคนคนนั้น คิดไปว่าเมื่อลงโทษเขา ความโกรธของทุกคนก็จะบรรเทา ทุกสิ่งจะยุติธรรมและเท่าเทียม  เขาอยากทำเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เขานึกว่า “พวกเราทุกคนกินอาหารเหมือนกัน อาศัยอยู่ในที่เดียวกัน และได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหมด  แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรที่จะทำงานได้เร็วขนาดนั้น?  ถ้าคุณทำงานเร็ว ทำไมถึงไม่ช่วยคนอื่น?”  จงบอกเราเถิดว่าเมื่อได้ฟังเช่นนี้ ผู้คนย่อมรู้สึกอย่างไร?  “การทำงานเร็วเป็นบาป  ดูเหมือนว่าพวกเราต้องไม่ทำงานเร็วเป็นอันขาด—นั่นไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเราเมื่ออยู่ในเงื้อมมือของผู้นำคนนี้  การทำงานเร็วไม่ใช่เรื่องดี และการทำอะไรในเชิงรุกก็ไม่ใช่เรื่องดี  การทำตัวเชื่องช้านั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว!”  เบื้องบนถามผู้นำไปว่า “แล้วคนที่ทำงานช้าเป็นอย่างไรบ้าง?  คุณให้รางวัลพวกเขาหรือไม่?”  ผู้นำอึ้งไป แต่เขาก็ไม่ได้เลอะเลือน  เขาจึงตอบว่า “เปล่า ผมให้รางวัลพวกเขาไม่ได้  อย่างไรก็ดี คนที่ทำงานเร็วนั้นควรถูกลงโทษ  พี่น้องชายหญิงทุกคนพูดว่าเขาจำเป็นต้องถูกลงโทษ”  นั่นคือสำนวนที่เขาใช้พูดจา  จงบอกเราเถิดว่า แท้จริงแล้วสำนวนแบบนี้แทนตัวพี่น้องชายหญิงหรือว่าแทนตัวผู้นำเอง?  (แทนตัวผู้นำเอง)  พวกเรามาพักเรื่องของพี่น้องชายหญิงเอาไว้ก่อน—ในหมู่พวกเขามีผู้คนที่เลอะเลือนทุกรูปแบบ ทั้งคนที่ไม่รักความจริง คนที่พูดจาเลี้ยวลด คนที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ประโยชน์ของตน คนที่ยุแยงให้โต้เถียงกัน คนที่พูดจาไม่มีหลักธรรม และคนที่กระทำการโดยไม่มีบรรทัดฐานทางศีลธรรม  มีคนแบบใดบ้างที่ไม่สามารถพบเจอในหมู่พวกเขา?  แล้วความรับผิดชอบของเขาในฐานะผู้นำคริสตจักรมีอะไรบ้าง?  การพูดจาแทนพี่น้องชายหญิงที่มีอิทธิพล การปกป้องกระแสนิยมอันเลวและแนวปฏิบัติอันชั่ว นี่ใช่ความรับผิดชอบของเขาหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเช่นนั้นอะไรคือความรับผิดชอบของเขา?  เมื่อเขาพบเจอปัญหาที่เป็นความบิดเบี้ยวและเบี่ยงเบนในหมู่พี่น้องชายหญิง ย่อมเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะใช้ความจริงแก้ปัญหาเหล่านี้เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถเข้าใจได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับสภาวะของพวกเขาด้วย ชี้นำให้พวกเขารู้จักตนเองและเข้าใจความจริง พาพวกเขามาเบื้องหน้าพระเจ้า  นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำคริสตจักรมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเขาทำให้ลุล่วงหรือไม่?  เขาไม่เพียงไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมกระแสนิยมอันเลวและแนวปฏิบัติอันชั่วเหล่านั้นอีกด้วย ปกป้อง ยุแยง และเห็นดีเห็นงามกับการฟูมฟักและเผยแพร่กระแสนิยมและแนวปฏิบัติดังกล่าว  นี่เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  จงบอกเราเถิดว่าหลังจากที่เบื้องบนตัดแต่งและเปิดโปงคนที่มีอุปนิสัยอันเลวเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะนึกท้าทายอยู่ในหัวใจหรือไม่?  (นึก)  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะนึกท้าทาย  แล้วพวกเขาจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมตามหลักธรรมที่เบื้องบนมอบให้แก่พวกเขาหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  จากถ้อยคำที่เขากล่าว เจ้าสามารถเห็นได้ว่าเขาตลบตะแลงโดยแท้  ต่อมาเรานึกในใจว่า “ถ้าคนที่ทำงานเร็วถูกลงโทษ แล้วใครจะกล้าทำงานเร็ว?  ทุกคนย่อมจะเชื่องช้าเหมือนเต่า ไม่สามารถปีนขึ้นตลิ่งแม้จะทำนั่นทำนี่มาสามวันแล้วก็ตาม”  สิ่งต่างๆ ย่อมจะเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  นอกจากเขาจะไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมแล้ว ด้านที่ร้ายแรงและสาหัสสากรรจ์ที่สุดในตัวผู้นำคนนี้ และด้านที่สามารถชักพาให้ผู้คนหลงผิดได้มากที่สุดก็คือว่า ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะทำเรื่องอะไรไม่ดี หรือเผยแพร่ทัศนคติที่ผิดและไร้สาระอันใดก็ตาม ไม่เพียงเขาจะไม่ใช้วิจารณญาณในสิ่งเหล่านั้นและแก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังตามใจพวกเขา เป็นที่หลบภัย และถึงกับพยายามเอาใจพวกเขาอีกด้วย  เขาเป็นบุคคลอันตรายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เขาเป็นคนที่อันตรายมาก!  นี่คือสำนวนที่สามที่ผู้นำคนนั้นใช้พูดจา

พวกเรามาต่อกันด้วยสำนวนที่สี่เถิด  เรามักจะไปเยือนคริสตจักรที่ผู้นำคนนั้นกำกับดูแล และพวกเขาก็เลี้ยงไก่ไว้ที่นั่นบ้าง  ทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมเยียน เขาจะฆ่าไก่หนึ่งตัว  ไก่หนึ่งตัวจะถูกตุ๋นเป็นแกงจืดในวันหนึ่ง รุ่งขึ้นก็จะเอาไก่อีกตัวมาตุ๋นน้ำแดง วันต่อมาก็จะเอาไก่อีกตัวมารมควัน  เราก็คิดว่าถ้าเรายังไปที่นั่นทุกวัน ไก่ฝูงนั้นอาจหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่วัน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เวลาเอาไก่ไปปรุงอาหาร บางครั้งเราก็จะกินไปหนึ่งชิ้น และบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากกินแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ผู้คนเหล่านั้นย่อมจะกินไก่ และแต่ละครั้งก็จะกินไก่กันเกลี้ยงตัว  ต่อมาเราพิจารณาเรื่องนี้ว่า ถ้ากินไก่กันทั้งตัวทุกครั้งที่เราไปเยี่ยม ไม่ว่าพวกเขาจะมีไก่กี่ตัว ไก่เหล่านั้นก็คงจะอยู่ได้ไม่นานถ้าถูกกินกันอย่างนั้น  ดังนั้นเราจึงบอกผู้นำว่าเขาจะฆ่าไก่ไม่ได้อีกแล้ว  การทำเช่นนี้คือสิ่งที่ถูกควรมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทีนี้ แท้จริงแล้วเรื่องนี้กลับทำให้เขามีเรื่องวุ่น  เขามาพร้อมคำถามที่ว่า “ถ้าพวกเราฆ่าไก่ไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว…”  เจ้าไม่รู้หรอกว่าเขาจะถามอะไรต่อ  ในที่สุดเขาก็สำลักคำว่าอะไรออกมา?  “เช่นนั้นแล้วพระองค์อยากเสวยอะไร?”  เราจึงถามว่า “นอกจากไก่ ไม่มีอะไรอย่างอื่นกินหรือไร?  ในสวนมีผักเต็มไปหมดไม่ใช่หรือ?  เรากินผักอย่างไหนก็ได้ทั้งนั้น”  เขาหมายความว่าถ้าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าไก่ เราก็จะต้องกินเนื้อบางอย่างอยู่ดี  เขา “รู้จักคำนึงถึงผู้อื่น” มิใช่หรือ?  เราจึงกล่าวว่า “เนื้ออะไร!  ถ้าเจ้ามีผัก เช่นนั้นเราก็จะไม่กินเนื้อ  ถ้าเราไม่ได้บอกให้เจ้าฆ่าไก่ ก็อย่าไปฆ่ามัน!”  นี่ควรจะเข้าใจได้ง่ายใช่หรือไม่?  (ใช่)  แต่ในกรณีของเขา นี่กลับกลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  การไม่สามารถฆ่าไก่ได้กลับทำให้เขาอึดอัดใจโดยแท้ เขาเริ่มทำตัวแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เหมือนคนถูกผีเข้า  ในเมื่อเขาไม่สามารถกินไก่ได้ในครั้งนั้น พอเราไปเยือนในครั้งต่อมา เขาจึงถามอีกครั้ง ซึ่งพาพวกเรามาถึงสำนวนการพูดจาครั้งที่ห้า  จงฟังดูเถิดว่าคำถามของเขาน่าหัวร่อมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร  คำถามมีว่าอย่างไร?  เขาถามว่า “ในเมื่อพวกเราฆ่าไก่ไม่ได้ และพวกเราก็เลี้ยงกระต่ายไว้ด้วย—พระองค์จะเสวยกระต่ายแทนไหม?”  นั่นทำให้เราโกรธโดยแท้  เราจึงตอบไปว่า “กระต่ายน้อยที่พวกเราเลี้ยงไว้นั้นน่ารักออก ดวงตาสีแดงสดใสและขนก็ขาวบริสุทธิ์  พวกมันสนุกกันมากที่ได้เล่นไปทั่ว  ทำไมเจ้าถึงคิดจะกินเนื้ออยู่เสมอ?  ไม่กินเนื้อไม่ได้หรือ?”  เราไม่เข้าใจ  ห้องครัวของพวกเขาไม่เคยขาดแคลนเนื้อสัตว์ มีน่องไก่และหมูสันนอกติดกระดูกอยู่ตลอดเวลา  ไม่ใช่ว่าไม่มีเนื้อให้เขากิน แล้วทำไมเขาจึงถามไม่หยุดว่าจะฆ่ากระต่ายไว้กินเนื้อหรือไม่?  เราได้แต่ตอบโต้ไปด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ไม่อนุญาตให้เจ้าฆ่าพวกมัน!  การฆ่าทั้งหมดนี้จะทำไปทำไม?”  เมื่อเขาเห็นเราตอบคำเช่นนี้ ก็กลัวการถูกตัดแต่งขึ้นมาและไม่กล้าถามอะไรอีก  หลังจากนั้นเขาเตรียมอาหารอะไรไว้ให้?  ในฤดูกาลช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม มีของสารพัดอย่างในสวน ผักใบเขียวและผักที่ให้ผลก็อุดม  วันหนึ่งผู้นำคนนั้นเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะ  เขาเตรียมอะไรไว้ให้?  ผัดถั่วงอก แกงจืดถั่วเหลืองงอก ปลาตุ๋นเต้าหู้ ถั่วลันเตาผัดไข่ ผัดเห็ดหูหนู—ไม่มีผักใบเขียวบนโต๊ะสักอย่างเดียว  เรามองดูอาหารที่แห้งแล้งทั้งหมดนั้น  ตามฤดูกาลแล้วต้องมีของสดใหม่บ้าง แต่ที่เขาเตรียมไว้ให้กลับเป็นอาหารนอกฤดูกาลทั้งสิ้น  เราจึงคิดว่าคนคนนี้เลวมิใช่หรือ?  มีผักสารพัดชนิดในสวน เหตุใดเขาจึงไม่ทำผักใบเขียวบ้าง?  ในที่สุดเราจึงกล่าวว่าเขาควรถูกนำตัวออกไปโดยเร็ว  ถ้ามีคนอย่างเขากำกับดูแลการทำอาหาร ผู้คนก็จะไม่มีวันได้กินอาหารตามฤดูกาล  แต่จะได้กินอาหารนอกฤดูกาลกันตลอดเวลา  นั่นปกติหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ปกติ!

ตามการตั้งคำถามและวิธีปรุงอาหารของผู้นำคนนี้ เราสังเกตพบว่าข้อแรก ลักษณะนิสัยของเขานั้นไม่ดี ข้อสอง เขามีอุปนิสัยที่เลวและเคลือบแฝง และข้อสาม เขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  อย่างไรก็ดี มีสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าพิลึกด้วยซ้ำ  ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการลงคะแนนคัดเลือกในคริสตจักร เขาจะได้คะแนนเสียงมากที่สุด และแม้จะคัดเลือกใหม่ เขาก็ยังคงได้คะแนนมากที่สุด  คนแบบนั้นได้รับคะแนนเสียงสูงสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกิดอะไรขึ้น?  เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากทั้งสองฝ่าย  สาเหตุหลักคืออะไร?  ฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ไม่ไล่ตามเสาะหาหรือทำความเข้าใจความจริง และพวกเขาก็ไม่มีวิจารณญาณในตัวผู้คน  อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้นำคริสตจักรคนนี้สามารถชักพาให้ผู้คนหลงผิดได้มาก  พวกเจ้าไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร ไม่เห็นว่าเขาทำอะไร และไม่รู้ว่าหลังบานประตูที่ปิดอยู่นั้น เขาเป็นคนเช่นใด  แต่เพียงดูตามเรื่องราวที่เราเล่ามา ตามสำนวนที่เขาใช้พูดจาทั้งห้าครั้ง พวกเจ้าคิดว่าเขาเป็นคนเช่นใด?  เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่)  แล้วเหตุใดพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจึงลงคะแนนเลือกเขาอยู่ร่ำไป?  เพราะเขามีกลยุทธ์และชักพาผู้คนเหล่านี้ให้หลงผิด  แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไร้เล่ห์มารยาและติดดินอย่างที่เห็นภายนอก เขาต้องมีกลยุทธ์เป็นแน่  ต่อมาเราจึงกล่าวว่าคริสตจักรแห่งนั้นไม่มีคนที่เหมาะจะทำหน้าที่ผู้นำและควรส่งคนอื่นไปดำรงตำแหน่งนั้น  แต่ก็มีบางคนไม่เข้าใจ พวกเขารู้สึกว่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้เลือกผู้นำคนนี้  ควรนิยาม “พี่น้องชายหญิง” ว่าอย่างไร?  พี่น้องชายหญิงใช่ตัวแทนของความจริงหรือไม่?  มีการนิยามพวกเขาไว้เช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เวลาที่พี่น้องชายหญิงรวมตัวกันสร้างข้อเรียกร้อง ข้อบังคับ หรือความคิดเห็นและข้อโต้แย้ง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องตรงตามความจริงหรือไม่?  พระเจ้าควรพิจารณาปัญหาของพวกเขาและดูแลเอาใจใส่พวกเขาเป็นอันดับแรกหรือไม่?  พระเจ้าทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  ควรนิยามพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ว่าอย่างไร?  พวกเขาส่วนใหญ่เต็มใจทำหน้าที่ของตน เต็มใจลงแรงและทำงาน แต่พวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาไม่มีศักยภาพและขีดความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง พวกเขาเบาปัญญา ด้านชา และหัวทึบ ไม่สามารถแยกแยะผู้คนหรือมองทะลุเรื่องราว ทั้งยังเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง  แม้พวกเขาจะมีเจตนาดีและเต็มใจที่จะละทิ้งสิ่งต่างๆ สละตน และตรากตรำเพื่อพระเจ้า แต่ข้อเสียที่หนักหนาสาหัสของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาไม่เข้าใจหรือยอมรับความจริง  พวกเขายึดหลักว่า “ใครให้อาหารฉันก็คือแม่ ใครให้เงินฉันก็คือพ่อ”  ใครก็ตามที่ดีกับพวกเขาหรือเป็นประโยชน์กับพวกเขา ใครก็ตามที่ออกหน้าพูดจาแทนพวกเขาและปกป้องพวกเขา นั่นคือคนที่พวกเขาเลือก  ถ้าอนุญาตให้ผู้คนเช่นนั้นเลือกผู้นำของตนเอง พวกเขาจะสามารถเลือกผู้นำที่ดีได้หรือไม่?  ไม่สามารถ  พวกเขาจะสามารถก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตได้บ้างหรือไม่?  ถ้าเบื้องบนอนุญาตให้พวกเขาทำตัวตามอำเภอใจเช่นนั้น กระทำการตามสบายไปเรื่อยๆ โดยไม่ยั้งคิดอย่างนั้น นั่นก็จะไร้ความรับผิดชอบมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเลอะเลือน แต่เบื้องบนไม่ได้เลอะเลือน ผู้นำที่ผู้คนเหล่านี้เลือกมาจึงถูกปลดและให้คนอื่นมารับตำแหน่งแทน  แม้ผู้คนเหล่านี้จะไม่เต็มใจยอมรับผู้นำคนใหม่ แต่ตราบใดที่คนคนนั้นสามารถทำงานจริงได้บ้าง ก็ย่อมดีกว่าผู้นำเทียมเท็จที่ชักพาผู้คนให้หลงผิดอยู่มาก  แม้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้จะไม่เข้าใจการจัดแจงของเบื้องบน แต่จะมีสักวันที่พวกเขาเข้าใจความจริงบางอย่างได้และมีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ บ้าง เมื่อนั้นพวกเขาก็จะรู้ว่าใครดีและใครไม่ดี  ด้วยการทำเช่นนี้ เบื้องบนจึงรับผิดชอบแทนพวกเขาทุกด้าน  การทำเช่นนี้เหมาะควรหรือไม่?  (เหมาะควร)  แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้พวกเขาเอาแต่ทำตามใจชอบโดยเลือกใครก็ได้ที่พวกเขาอยากเลือก  พวกเขาอยากกบฏหรือไม่?  ถ้าพวกเขาอยากทำความชั่ว กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน พวกเขาก็จะถูกทำลายล้างจนสิ้น  ดังนั้น เบื้องบนจึงตัดสินใจแทนพวกเขาและคัดเลือกผู้นำอีกคน  แต่พวกเขาไม่ยอมรับการนี้ กลับยืนกรานว่าคนที่พวกเขาเคยเลือกนั้นเหมาะสมแล้ว  นี่เลวมิใช่หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงคิดกันเสมอว่าเขาคนนั้นดี?  เขามีอะไรดีขนาดนั้น?  เหตุใดพวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะรั้งตัวเขาไว้ขนาดนั้น?  มีปัญหาในที่นั้นคือ พวกเขาถูกผู้นำเทียมเท็จคนนี้ชักพาให้หลงผิดและทำร้ายโดยไม่รู้ตัว  พวกเขาคือคนโง่กลุ่มหนึ่งโดยแท้  เราพูดเรื่องนี้จบแล้ว  พวกเราใช้ผู้คนอย่างผู้นำเทียมเท็จคนนี้มาเป็นกรณีตัวอย่างไว้ชำแหละและวิเคราะห์ในหัวข้อนี้—การทำเช่นนี้ย่อมถูกควร  ถึงอย่างไร ความเลวในอุปนิสัยของพวกเขาก็เป็นแบบฉบับโดยตัวมันเองอยู่แล้ว

สำหรับสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเลวในลักษณะประการที่เจ็ดที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมา ด้วยการผสมผสานตัวอย่างจำเพาะเหล่านี้ วิเคราะห์และนำตัวอย่างเหล่านี้มาเทียบกัน พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนขึ้นบ้างหรือไม่?  ในอนาคต คนที่เราเพิ่งเสวนาถึงนี้จะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ ไม่มีใครรู้ เป็นเรื่องยากที่จะบอก และพวกเราก็จะละไว้ไม่สรุปอะไรในตอนนี้  อย่างไรก็ดี มีสิ่งที่แน่นอนอยู่อย่างหนึ่งคือ อุปนิสัย แก่นแท้ และธรรมชาติของเขานั้นเลวหมด  แล้วเขารักอะไร?  เขารักความยุติธรรมและความชอบธรรมหรือไม่?  เขารักความจริงต่างๆ ที่พระเจ้าตรัสไว้หรือไม่?  เขารักการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรม กระทำการตามหลักธรรม และการแสวงหาความจริงหรือไม่?  เขารักสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  เขาไม่ได้รักสิ่งเหล่านี้เลย—เรื่องนี้แน่นอนเต็มร้อย  ด้วยสำนวนที่เขาใช้พูดจาไม่กี่ครั้งและคำถามไม่กี่ข้อที่เขาถามมานี้ สิ่งที่เขารักอยู่ลึกๆ ในหัวใจและในกระดูกของเขาก็ถูกเปิดโปง  ในสำนวนและคำถามเหล่านี้ไม่มีสักอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นบวก  ผู้คนที่เขาชอบและรู้สึกเต็มใจที่จะปกป้องมีใครบ้าง?  เขาปกป้องคนที่ทำความชั่ว คนที่รบกวนงานของคริสตจักร คนที่ไม่มีความจงรักภักดีโดยสิ้นเชิงและทำเรื่องชั่วมากมายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  เขาไม่ได้มองผู้คนดังกล่าวด้วยความโกรธหรือความเกลียด เขาถึงกับปกป้องและพูดจาแทนคนเหล่านั้น  นี่บ่งชี้ว่าอย่างไร?  ว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขามีความสนใจและแก่นแท้ที่เหมือนกัน  จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเห็นพ้อง และพวกเขาก็เป็นคนที่ฟอนเฟะเหมือนกัน  เวลาพี่น้องชายหญิงบางคนมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดในพระวจนะและการกระทำของพระเจ้าอยู่เรื่อย ผู้นำคนนี้รู้สึกอย่างไร?  เขารับภาระในอันที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่แบกรับภาระนี้ เขาไม่จัดการแก้ปัญหาเหล่านี้หรือสนใจเรื่องเหล่านี้—เขาทำเป็นมองไม่เห็น  เมื่อมีคนดูหมิ่นพระนามของพระเจ้า หรือขัดขวางและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อใครบางคนไร้ซึ่งความจงรักภักดีและสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตน หรือทำร้ายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า รบกวนและก่อให้เกิดความเสียหายระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน หรือพรั่งพรูความคิดลบและแพร่กระจายมโนคติอันหลงผิด เขาจะสามารถระบุได้บ้างหรือไม่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา?  เขาไม่สามารถระบุสิ่งที่เป็นปัญหาได้ คิดไปว่า “เป็นปกติที่จะมีปัญหาเหล่านี้ มีใครบ้างที่ไม่เผยความเสื่อมทรามออกมา?”  เขาแฝงความนัยว่าอย่างไร?  เขากำลังแฝงนัยว่าผู้คนเหล่านั้นจำต้องลงมือทำเช่นนี้ เพราะว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะไม่ดูแย่เท่าใดนัก—เขาสามารถ “ซ่อนตัว” และได้รับการ “คุ้มครอง”  นี่เลวมิใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่ได้จัดการคนเหล่านี้  เมื่อดูตามนี้ จงบอกเราเถิดว่าเขามีสำนึกอันเที่ยงธรรมหรือไม่?  เขารักความจริงหรือไม่?  เขาคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสถานที่แบบใด?  เขาไม่ได้อยากให้พระนิเวศของพระเจ้าเต็มไปด้วยผู้คนที่ซื่อสัตย์ ผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า ผู้คนที่ทำตามหนทางของพระเจ้าและรู้จักที่ทางของตนระหว่างที่ทำหน้าที่ของตนอยู่  เขาไม่อยากให้ทุกคนเปิดใจและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า นบนอบพระเจ้าและเป็นพยานให้พระองค์  เขาไม่อยากให้ทุกคนในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเช่นนั้น  แล้วเขาต้องการอะไร?  เขาอยากให้ทุกคนสร้างเครือข่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตน พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของกันและกัน ไม่ทำร้ายใครอื่น หรือเปิดโปงความลับที่น่าอับอายของใครต่อใคร  เขาอยากให้ทุกคนปกป้องและกำบังภัยให้กัน ปกปิดไม่ให้คนนอกรู้เรื่องไม่ดีที่คนอื่นทำ และทำตัวเป็นแนวร่วม  นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ  เมื่อใครบางคนนำความผิดและรูปการณ์จริงของอีกคนหนึ่งออกมาเผยในที่แจ้ง พูดออกมาตามตรง และทำให้ทุกคนรู้กันทั่ว เขาย่อมเกลียดและชิงชังการกระทำดังกล่าว  เขาชอบให้ซุกซ่อนและปิดบังความผิดต่อไป ให้เรื่องโกหกไม่ถูกเปิดโปง และให้ใครก็ตามที่ลงมือใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือทำร้ายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ถูกจัดการตามหลักธรรม  ในคริสตจักรที่เขากำกับดูแล พระวจนะของพระเจ้า กฎการปกครอง และการจัดแจงเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว?  กลายเป็นถ้อยคำที่ว่างเปล่า และไม่สามารถนำไปทำให้เป็นผล  เหตุใดจึงไม่สามารถนำไปทำให้เป็นผล?  เพราะเขาปิดกั้นสิ่งเหล่านั้น ตัวเขากลายเป็นกำแพงกั้นสิ่งเหล่านั้นเอาไว้  นี่คืออุปนิสัยอันเลวที่ศัตรูของพระคริสต์เผยให้เห็นด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง ใช้ชั้นเชิงบางอย่าง ออกอุบายและคิดกลโกงบางอย่างมาหลอกและลวงผู้อื่นให้หลงกลเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายของตนเอง

ในคริสตจักรที่ศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจ การจัดแจงเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้าย่อมไม่อาจทำให้เป็นผลได้  ขณะเดียวกันก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในคริสตจักรเหล่านั้น กล่าวคือ มีการดำเนินงานเพียงอย่างเดียวคืองานที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือสวนทางกับการจัดแจงเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งก่อให้เกิดความคิดเห็นและข้อโต้แย้งต่างๆ ในหมู่พี่น้องชายหญิง พาให้คริสตจักรเกิดความสับสน  แล้วผู้นำเทียมเท็จกระทำการอย่างไร?  พวกเขาไม่ทำงานตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ประหนึ่งว่าตนนั้นไม่มีอะไรทำ และพวกเขาก็ไม่ตอบสนองการจัดแจงเตรียมงานนั้นๆ แต่อย่างใด  ผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำเหล่านี้ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เหมือนทรายกองหนึ่งที่ไม่มีใครจัดระบบระเบียบ—ต่างคนต่างทำสิ่งที่อยากทำ ตามวิธีการที่อยากใช้  ผู้นำเทียมเท็จไม่กล่าวถ้อยแถลงอันใดและไม่รับผิดชอบเรื่องนี้  อย่างไรก็ดี ศัตรูของพระคริสต์จะกระทำการต่างออกไป  พวกเขาไม่เพียงไม่ทำงานที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นผลเท่านั้น แต่ยังคิดประดิษฐ์ถ้อยแถลงและแนวปฏิบัติของตนขึ้นมา  บ้างก็เอาการจัดแจงเตรียมงานของเบื้องบนมาดัดแปลง ปรับเปลี่ยนให้เป็นถ้อยแถลงของตนเอง จากนั้นจึงนำไปทำให้เกิดผล ขณะที่คนอื่นๆ ไม่ทำงานตามที่เบื้องบนจัดเตรียมไว้ให้เลย เอาแต่ทำเรื่องของตนเท่านั้น  พวกเขาประวิงงานที่เบื้องบนจัดเตรียมให้และไม่ส่งงานลงไป ปล่อยให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนมืดแปดด้าน ส่วนพวกเขาเองก็ทำอะไรไปตามใจชอบ ถึงกับแต่งทฤษฎีและถ้อยแถลงของตนขึ้นมาเพื่อตบตาและชักพาให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหลงผิด  ดังนั้น จงอย่ามองว่าศัตรูของพระคริสต์สามารถละทิ้งได้มากเท่าใดหรือสู้ทนความทุกข์อันใดได้บ้างตามที่เห็นภายนอก  จงวางการกระทำและพฤติกรรมภายนอกของพวกเขา และดูแก่นแท้ของสิ่งที่พวกเขาทำ  พวกเขามีสัมพันธภาพเช่นใดกับพระเจ้า?  พวกเขาต่อต้านทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทำเอาไว้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดให้ดำเนินการให้เป็นผลตามสายงานที่ลดหลั่นกันลงมาภายในคริสตจักร—พวกเขาต่อต้านทั้งหมดนี้  บางคนอาจจะถามว่า “การไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผลก็เท่ากับการต่อต้านสิ่งเหล่านี้กระนั้นหรือ?”  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นผล?  เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วย  ดูจากลักษณะที่พวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วย พวกเขาสูงส่งกว่าพระนิเวศของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ดูจากลักษณะที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขามีแผนการที่ดีกว่านี้กระนั้นหรือ?  พวกเขาไม่มี  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงกล้าที่จะไม่ดำเนินการตามสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วย?  เพราะพวกเขาอยากมีอำนาจครอบงำและควบคุมคริสตจักร  พวกเขาเชื่อว่าถ้าพวกเขาดำเนินการต่างๆ อย่างเต็มที่ตามการจัดแจงเตรียมงานและความประสงค์ของเบื้องบน คุณูปการที่พวกเขาทำไว้ก็อาจจะไม่เป็นที่สังเกต ไม่โดดเด่น และไม่มีใครมองเห็น  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ นี่ย่อมจะเป็นความวิบัติอย่างหนึ่ง  ถ้าทุกคนเป็นพยานให้พระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกันเป็นประจำ ถ้าทุกคนสามารถเข้าใจความจริงได้ จัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรม แสวงหาความจริง อธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าได้เวลาเผชิญปัญหาต่างๆ ศัตรูของพระคริสต์จะมีบทบาทอะไร?  ศัตรูของพระคริสต์ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นพวกเขาย่อมจะไม่มีบทบาท พวกเขาจะกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น  ถ้าพวกเขากลายเป็นของตกแต่ง และไม่มีใครสนใจพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขาจะยอมรับไม่ได้  และจะคิดหาทางกอบกู้สถานการณ์  ศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยที่เลวและแก่นแท้ที่เลว—พวกเขาจะคาดการณ์ได้หรือไม่ว่าตนจะถูกเปิดเผยถ้าพี่น้องชายหญิงทุกคนไล่ตามเสาะหาความจริง?  ศัตรูของพระคริสต์เลวอย่างยิ่ง และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเลว หลอกลวง เคลือบแฝง และไม่รักสิ่งที่เป็นบวก  ถ้าทุกคนเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมจะมีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์รู้เรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขารู้  พวกเขารู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ในวิญญาณของตน  เหมือนเวลาที่เจ้าไปยังที่บางแห่งและพบเจอวิญญาณชั่ว  เมื่อวิญญาณชั่วมองเจ้า พวกเขาย่อมเห็นว่าเจ้าไม่น่ามอง และเพียงเจ้าปรายตามองปราดเดียวก็ย่อมเห็นว่าวิญญาณชั่วนั้นน่ารังเกียจ และเจ้าก็ไม่อยากคุยด้วย  อันที่จริงพวกเขายังไม่ได้ล่วงเกินหรือทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายเจ้า แต่เจ้าก็พบว่าพวกเขาเป็นคนที่มองแล้วชวนให้ขยะแขยง และการฟังพวกเขาพูดก็ทำให้เจ้ารู้สึกขยะแขยงยิ่งกว่าเดิม  ในความเป็นจริง พวกเขาไม่รู้จักเจ้า และเจ้าก็ไม่รู้จักพวกเขา  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  เจ้าสามารถรู้สึกได้ในวิญญาณของเจ้าว่าพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน  ศัตรูของพระคริสต์เป็นศัตรูของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  เวลาที่เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ถ้าเจ้าไม่มีการล่วงรู้หรือตระหนักรู้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมด้านชาเอาการมิใช่หรือ?  สมมุติว่าในยามที่ศัตรูของพระคริสต์ไม่พูดอะไรมาก และกล่าวสั้นๆ เวลาโต้แย้ง แสดงมุมมอง หรือสงวนท่าทีบางอย่างเวลากระทำการ เจ้าย่อมจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  ถ้าเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาเป็นเวลานาน และยังคงไม่ตระหนักรู้เรื่องนี้ แล้ววันหนึ่งเบื้องบนก็บอกว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าเกิดความกระจ่างแจ้งในที่สุดและรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง พลางคิดว่า “ฉันดูศัตรูของพระคริสต์ที่ชัดเจนขนาดนั้นไม่ออกเอาเสียเลย!  หวุดหวิดจริงๆ!” เจ้าต้องหัวช้าและด้านชาอย่างยิ่ง!

ความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง เราจะบอกเคล็ดลับในการใช้วิจารณญาณดูเรื่องนี้แก่พวกเจ้า ซึ่งก็คือทั้งในวาจาและการกระทำของพวกเขา เจ้าไม่อาจหยั่งรู้ตื้นลึกหนาบาง หรือมองทะลุหัวใจของพวกเขาได้  เวลาพวกเขาพูดกับเจ้า ดวงตาของพวกเขาย่อมหลุกหลิกตลอดเวลา และเจ้าก็ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขากำลังวางอุบายชนิดใดอยู่  บางครั้งพวกเขาทำให้เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาจงรักภักดีหรือจริงใจทีเดียว แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น—เจ้าจะไม่มีวันรู้ทันพวกเขาได้  เจ้ามีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในหัวใจ เป็นความรู้สึกว่าความคิดของพวกเขามีอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ เป็นความลึกที่มิอาจหยั่งถึง และพวกเขาก็ตลบตะแลง  นี่คือลักษณะประการแรกของความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งบ่งชี้ว่าศัตรูของพระคริสต์มีความเลวเป็นลักษณะประจำตัว  แล้วลักษณะประการที่สองของความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  ก็คือทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำล้วนชักพาให้หลงผิดอย่างยิ่ง  นี่แสดงให้เห็นในที่ใด?  ในความจัดเจนเป็นพิเศษที่จะหยั่งใจผู้คน พูดสิ่งที่เข้ากับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน สิ่งที่ง่ายแก่การยอมรับ  อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรดูออกคือ ในตัวพวกเขาไม่เคยมีเรื่องน่ายินดีที่พวกเขาพูดถึง  ตัวอย่างเช่น พวกเขาประกาศคำสอนแก่ผู้อื่น บอกว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ และจะอธิษฐานยอมให้พระเจ้าเป็นเจ้านายของตนได้อย่างไรในยามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตน แต่พอมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตัวศัตรูของพระคริสต์เอง พวกเขากลับไม่ปฏิบัติความจริง  สิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การกระทำตามเจตจำนงของตน และคิดหาหนทางนานัปการที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ทำให้ทุกคนมารับใช้ตนและจัดการกิจธุระให้ตน  พวกเขาไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือยอมให้พระองค์เป็นเจ้านายของตน  พวกเขากล่าวสิ่งต่างๆ ที่ฟังรื่นหู แต่การกระทำของพวกเขากลับไม่เป็นไปตามที่พูด  เวลากระทำการ สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึงก็คือประโยชน์ที่พวกเขาจะได้ พวกเขาไม่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า  ผู้คนก็มองเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังเวลาทำสิ่งต่างๆ กลับมองหาทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและทางที่จะก้าวไปข้างหน้า  นี่คือด้านที่เลวและหลอกลวงในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้  เวลาทำงาน บางครั้งศัตรูของพระคริสต์ก็สามารถทนฝ่าความยากลำบากและจ่ายราคาได้ ถึงกับอดนอนและอดอาหารเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็ทำเช่นนี้เพื่อให้ได้สถานะหรือสร้างชื่อให้ตนเองเท่านั้น  พวกเขายอมทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความทะเยอทะยานและจุดหมายของตน แต่ก็สุกเอาเผากินกับงานสำคัญที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมให้ทำ ซึ่งพวกเขาก็แทบจะไม่ดำเนินการใดๆ  ดังนั้นพวกเขานบนอบการจัดเตรียมของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่?  พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนหรือไม่?  มีปัญหาตรงจุดนี้  นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งคือ พอพี่น้องชายหญิงให้ความคิดเห็นที่ต่างออกไป ศัตรูของพระคริสต์ก็จะปฏิเสธความคิดเห็นเหล่านั้นด้วยวิธีการที่อ้อมค้อม พูดจาวกวน ทำให้ผู้คนนึกว่าศัตรูของพระคริสต์สามัคคีธรรมและหารือสิ่งต่างๆ กับตนอยู่—แต่พอถึงเวลา ทุกคนก็ต้องทำตามที่ศัตรูของพระคริสต์บอก  ศัตรูของพระคริสต์มองหาหนทางที่จะสกัดกั้นข้อเสนอแนะของผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้คนทำตามแนวคิดของตนและทำตามที่ตนบอก  นี่ใช่การแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  เมื่อเป็นเช่นนั้น หลักการทำงานของพวกเขาคืออะไร?  ก็คือทุกคนต้องฟังพวกเขาและทำตาม ไม่มีใครให้ใส่ใจฟังดีไปกว่าพวกเขา และแนวคิดของพวกเขาย่อมดีที่สุดและสูงส่งที่สุด  ศัตรูของพระคริสต์จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นถูกต้อง พวกเขาคือความจริง  นี่เลวมิใช่หรือ?  นี่คือลักษณะประการที่สองของความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ลักษณะประการที่สามของความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ก็คือ เวลาพวกเขาเป็นพยานยืนยันให้ตัวเอง พวกเขามักจะเป็นพยานยืนยันคุณงามความดีของตน ความยากลำบากทั้งหลายที่พวกเขาทนทุกข์มา และสิ่งที่เป็นประโยชน์ซึ่งพวกเขาทำไปเพื่อทุกคน ตอกย้ำเรื่องนี้เข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นจดจำว่าตนเองกำลังอาบความสว่างของศัตรูของพระคริสต์  ถ้าใครสักคนชมเชยหรือขอบคุณศัตรูของพระคริสต์ ฝ่ายหลังก็อาจถึงกับกล่าวคำที่ฟังดูเป็นฝ่ายวิญญาณมากๆ เช่น “ขอบคุณพระเจ้า  นี่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสิ้น  พระคุณของพระเจ้ามีมากพอสำหรับพวกเรา” เพื่อให้ทุกคนมองเห็นว่าพวกเขามีสภาวะฝ่ายวิญญาณเอาการ และเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเจ้า  ในความเป็นจริง พวกเขากำลังยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง หัวใจของพวกเขาไม่มีที่ทางให้พระเจ้าแต่อย่างใด  ในความรู้สึกนึกคิดของทุกคน ศัตรูของพระคริสต์มีสถานะที่สูงเกินพระเจ้าไปมากแล้ว  นี่คือข้อพิสูจน์ที่แท้จริงมิใช่หรือว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นพยานยืนยันให้ตนเอง?  ในคริสตจักรทั้งหลายที่ศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจและควบคุมอยู่ พวกเขามีสถานะสูงสุดในหัวใจของผู้คน  พระเจ้าเป็นได้เพียงอันดับสองหรือสามเท่านั้น  ถ้าพระเจ้าเสด็จไปยังคริสตจักรที่ศัตรูของพระคริสต์กุมอำนาจและตรัสบางสิ่ง สิ่งที่พระองค์ตรัสจะเข้าถึงผู้คนที่นั่นหรือไม่?  พวกเขาจะยอมรับสิ่งที่พระองค์ตรัสด้วยหัวใจของพวกเขาหรือไม่?  เป็นเรื่องยากที่จะบอก  นี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าศัตรูของพระคริสต์ใช้ความพยายามมากเพียงใดในการเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง  พวกเขาไม่ยอมเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแต่อย่างใด กลับใช้โอกาสทั้งหมดที่พวกเขาจะได้เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้ามาเป็นพยานยืนยันให้ตนเองแทน  ชั้นเชิงที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้นี้ยอกย้อนมิใช่หรือ?  นี่เลวอย่างเหลือเชื่อมิใช่หรือ?  ด้วยลักษณะสามประการที่สามัคคีธรรมไว้ในที่นี้ การใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์ย่อมเป็นเรื่องง่าย

ศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่สำแดงให้เห็นอุปนิสัยอันเลวของพวกเขาเช่นกัน  นั่นก็คือไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตนเองของพวกเขา หรือยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ให้ความสนใจ  พวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ไม่เคยปล่อยมือจากความอยากและเจตนาของตนที่จะได้พร  ในความรู้สึกนึกคิดของศัตรูของพระคริสต์ ตราบใดที่ใครบางคนสามารถทำหน้าที่ จ่ายราคา และทนทุกข์กับความยากลำบากบางอย่างได้ คนเหล่านั้นก็ควรได้รับพรจากพระเจ้า  ดังนั้น หลังจากทำงานของคริสตจักรมาระยะหนึ่ง พวกเขาจึงเริ่มตรวจนับงานที่พวกเขาทำให้คริสตจักร คุณความดีที่พวกเขาทำให้พระนิเวศของพระเจ้า และสิ่งที่พวกเขาทำให้พี่น้องชายหญิง  ในใจของพวกเขาจดจำทั้งหมดนี้ไว้มั่น รอดูว่าจะทำให้พวกเขาได้รับพระคุณและพรอันใดจากพระเจ้า พวกเขาจะได้ระบุลงไปว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นคุ้มค่าหรือไม่  เหตุใดพวกเขาจึงหมกมุ่นในเรื่องดังกล่าวตลอดเวลา?  พวกเขากำลังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ?  จุดมุ่งหมายของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือสิ่งใด?  การที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้พรมาตั้งแต่แรก  และไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนามากี่ปี กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากี่คำ เข้าใจคำสอนมากเท่าใด พวกเขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้พรของตน  ถ้าเจ้าขอให้พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่เคร่งครัดในหน้าที่ ยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า พวกเขาก็จะกล่าวว่า “นั่นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน  ไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรพากเพียร  สิ่งที่ฉันควรพากเพียรก็คือ เมื่อฉันลงมือสู้ เมื่อฉันจำเป็นต้องใช้ความพยายาม และจำเป็นต้องทนทุกข์กับความยากลำบาก—เมื่อฉันทำเรื่องนี้ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์—พระเจ้าก็ควรให้รางวัลแก่ฉัน อนุญาตให้ฉันอยู่ต่อ ได้สวมมงกุฎในราชอาณาจักร และดำรงตำแหน่งที่สูงกว่าประชากรของพระเจ้า  ฉันควรได้กำกับดูแลเมืองใหญ่สักสองหรือสามเมืองเป็นอย่างน้อย”  นี่คือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ใส่ใจที่สุด  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ก็ไม่สามารถสลายเจตนาและความอยากได้พรของพวกเขา พวกเขาเป็นคนจำพวกเดียวกับเปาโล  ธุรกรรมแลกเปลี่ยนที่ชัดแจ้งเช่นนี้ย่อมแฝงอุปนิสัยที่เลวและโหดเหี้ยมชนิดหนึ่งเอาไว้มิใช่หรือ?  ผู้คนทางศาสนาบางคนกล่าวว่า “คนรุ่นพวกเราติดตามพระเจ้าอยู่บนเส้นทางแห่งกางเขน  พระเจ้าทรงเลือกพวกเรา พวกเราจึงมีสิทธิ์ได้รับพร  พวกเราทนทุกข์ จ่ายราคา และดื่มจากถ้วยขมมาโดยตลอด  พวกเราบางคนถึงกับถูกจับกุมและต้องโทษจำคุก  หลังจากที่ทนทุกข์กับความยากลำบากทั้งหมดนี้ฟังคำเทศนามามากมาย และเรียนรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์มาเป็นอันมาก ถ้าวันหนึ่งพวกเราไม่ได้รับพร พวกเราก็จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่สามไปโต้เถียงกับพระเจ้า”  พวกเจ้าเคยได้ยินอะไรแบบนี้บ้างหรือไม่?  พวกเขาบอกว่าจะขึ้นไปโต้เถียงกับพระเจ้าบนสวรรค์ชั้นที่สาม—นั่นกล้ากันขนาดไหน?  เพียงได้ยินก็ทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวกันแล้วมิใช่หรือ?  มีใครกล้าพยายามที่จะโต้เถียงกับพระเจ้าบ้าง?  โชคดีที่พระเยซูที่พวกเขาเชื่อนั้นขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปนานแล้ว  ถ้าพระเยซูยังคงอยู่บนแผ่นดินโลก พวกเขาจะไม่พยายามตรึงกางเขนพระองค์อีกหรอกหรือ?  แน่นอนว่าเดิมทีตอนที่เริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก บางคนอาจจะเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวทรงพลังและน่าประทับใจ คิดไปว่าผู้คนควรมีความเด็ดเดี่ยวและความตั้งใจแน่วแน่แบบนี้  แต่หลังจากที่เชื่อมาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้ามองถ้อยคำเหล่านี้ว่าอย่างไร?  ผู้คนเช่นนี้คือหัวหน้าทูตสวรรค์มิใช่หรือ?  พวกเขาคือซาตานมิใช่หรือ?  เจ้าสามารถโต้เถียงกับใครก็ได้ แต่ไม่ใช่กับพระเจ้า  เจ้าไม่ควรทำเรื่องเช่นนั้น หรือไม่ควรคิดที่จะทำด้วยซ้ำ  พรทั้งหลายมาจากพระเจ้า นั่นคือพระองค์ประทานพรแก่ทุกคนตามที่ทรงต้องการ  ต่อให้เจ้าตรงตามเงื่อนไขที่จะได้รับพร และพระเจ้าไม่ประทานพรแก่เจ้า เจ้าก็ไม่ควรเถียงพระเจ้าอยู่ดี  ทั้งจักรวาลและมนุษย์ทั้งมวลล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า พระเจ้าทรงตัดสินชี้ขาด  แล้วเจ้าที่เป็นมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียวจะกล้าเถียงพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าประเมินความสามารถของตนสูงเกินไปมากขนาดนั้นได้อย่างไร?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ส่องกระจกดูว่าตนเองเป็นใคร?  ด้วยการกล้าส่งเสียงโวยวายและขับเคี่ยวกับพระผู้สร้างแบบนี้ เจ้ากำลังเสี่ยงตายอยู่มิใช่หรือ?  “ถ้าวันหนึ่งพวกเราไม่ได้รับพร พวกเราก็จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่สามไปโต้เถียงกับพระเจ้า” เป็นถ้อยแถลงที่ประท้วงพระเจ้าอย่างเปิดเผย  สวรรค์ชั้นที่สามเป็นสถานที่เช่นใด?  เป็นที่ประทับของพระเจ้า  การกล้าไปเถียงพระเจ้าบนสวรรค์ชั้นที่สามก็เท่ากับพยายาม “ล้มล้าง” พระเจ้า!  เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  บางคนอาจจะถามว่า “นี่เกี่ยวอะไรกับศัตรูของพระคริสต์?”  เกี่ยวกันอย่างมาก เพราะทุกคนที่อยากขึ้นไปเถียงพระเจ้าบนสวรรค์ชั้นที่สามก็คือศัตรูของพระคริสต์ทั้งสิ้น  มีแต่ศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถกล่าวอะไรเช่นนี้ได้  วาจาเยี่ยงนี้คือเสียงที่ศัตรูของพระคริสต์เก็บงำเอาไว้ลึกๆ ในหัวใจ  นี่คือความเลวของพวกเขา  แม้ศัตรูของพระคริสต์จะไม่กล่าวคำเหล่านี้ออกมาอย่างเปิดเผย แต่พวกเขาก็เก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในหัวใจโดยแท้ เพียงแต่ไม่กล้าเผยออกมาเท่านั้น และไม่ยอมให้ใครรู้  อย่างไรก็ดี ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานในหัวใจส่วนลึกของพวกเขากลับลุกไหม้เหมือนไฟที่ไม่อาจดับได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะศัตรูของพระคริสต์ไม่รักความจริง  พวกเขาไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้า การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และแน่นอนว่าพวกเขาไม่รักมหิทธานุภาพของพระเจ้า พระปัญญา และอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือสรรพสิ่ง  พวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด—กลับเกลียดสิ่งเหล่านี้  แล้วพวกเขารักสิ่งใด?  พวกเขารักสถานะและใส่ใจรางวัลทั้งหลาย  พวกเขากล่าวว่า “ฉันมีพรสวรรค์ มีความสามารถพิเศษ และฝีมือ  ฉันลงแรงเพื่อคริสตจักรไปแล้ว ดังนั้นพระเจ้าก็ต้องตอบแทนฉันและให้รางวัลแก่ฉัน!”  พวกเขาตกที่นั่งลำบากแล้วมิใช่หรือ?  นี่เสี่ยงตายอยู่มิใช่หรือ?  นี่คือการท้าทายพระเจ้าโดยตรงมิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การท้าทายพระผู้สร้างหรอกหรือ?  การกล้าหันหัวหอกของตนมาทางพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างโดยตรง—นี่คือสิ่งที่มีแต่หัวหน้าทูตสวรรค์คือซาตานเท่านั้นที่สามารถทำได้  ถ้ามีผู้คนที่มีมุมมองเช่นนี้จริง สามารถกระทำการเช่นนี้ได้ ก็ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  บนแผ่นดินโลกมีเพียงศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่กล้าแข็งขืนต่อพระเจ้าและตัดสินพระองค์อย่างเปิดเผยเช่นนี้  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ศัตรูของพระคริสต์ที่พวกเราเคยพบเจอไม่ได้เห่อเหิมหรือกำเริบเสิบสานอย่างนี้”  นี่จำเป็นต้องมองตามบริบทและสภาพแวดล้อมที่ศัตรูของพระคริสต์อยู่  พวกเขาจะกล้าแสดงความคมให้เห็นยามที่ยังไม่มีอำนาจเต็มและยังไม่ได้สถาปนาตนเองได้อย่างไร?  ศัตรูของพระคริสต์รู้จักรอเวลา รอจังหวะเหมาะที่จะผงาดขึ้นมา  เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะเปิดเผยด้านคมของตนออกมาอย่างเต็มที่  แม้ศัตรูของพระคริสต์บางคนจะซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ได้ดีพอสมควรในยามที่ไร้สถานะ และดูภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหาอันใดในตัวพวกเขา แต่ทันทีที่พวกเขามีสถานะและสถาปนาตนเองแล้ว พวกเขาก็จะเผยความเลวและความอัปลักษณ์ของตนออกมาทั้งหมด  นี่ก็เหมือนบางคนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริง  ตอนที่พวกเขาไม่มีสถานะอันใด พวกเขาก็ได้แต่นบนอบการตัดแต่งอย่างเสียมิได้ และไม่นึกท้าทายอยู่ในใจ  อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขากลายเป็นผู้นำหรือคนทำงานและมีเกียรติยศบางอย่างในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เวลาที่พวกเขาถูกตัดแต่ง ก็เป็นไปได้มากที่พวกเขาจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เริ่มเถียงพระเจ้าและส่งเสียงประท้วงพระองค์  นี่ก็เหมือนบางคนที่ทำหน้าที่ของตนได้ดีและไม่พร่ำบ่นเมื่ออยู่ภายใต้รูปการณ์ปกติ แต่ถ้าเผชิญโรคมะเร็งและความตายที่จวนเจียนจะถึงตัว ก็มีแนวโน้มสูงมากที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา  พวกเขาจะเริ่มพร่ำบ่นพระเจ้า เถียง และประท้วงพระองค์  ศัตรูของพระคริสต์ซึ่งก็คือคนกลุ่มนี้ย่อมรังเกียจและเกลียดชังความจริง พวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง  เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงยังคงเต็มใจทำงานออกแรงในคริสตจักรแม้ในยามที่ถูกเปิดโปงและเปิดเผยตัวแล้ว และถึงกับเต็มใจเป็นผู้ติดตามที่ต่ำต้อยที่สุด?  เกิดอะไรขึ้น?  พวกเขามีจุดหมาย กล่าวคือ พวกเขาไม่เคยปล่อยมือจากเจตนาที่จะได้พร  วิธีคิดของพวกเขาก็คือ “ฉันจะคว้าเชือกชูชีพเส้นสุดท้ายนี้ไว้  ถ้าไม่สามารถได้พร ฉันก็จะไม่มีวันเลิกยุ่งเกี่ยวกับพระเจ้า  ถ้าฉันไม่สามารถได้รับพร เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้า!”  นี่เป็นอุปนิสัยเช่นใด?  การเหิมเกริมกล้าปฏิเสธพระเจ้าและประท้วงพระองค์—นี่คือความเลว  ตราบใดที่พวกเขามีหวังที่จะได้พรแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าและเฝ้ารอพรเหล่านั้น  จะจับสังเกตเรื่องนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาก็เหมือนพวกฟาริสี แสร้งทำตัวเป็นคนดีอยู่เสมอ—เจตนาและจุดหมายเบื้องหลังการนี้ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ?  ไม่ว่าพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาจะดูดีเพียงใด ไม่ว่าภายนอกแล้วพวกเขาจะทนทุกข์เพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยปฏิบัติความจริง เวลาลงมือทำก็ไม่แสวงหาความจริง หรืออธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์  พวกเขาไม่เคยทำสิ่งที่พระเจ้าโปรด  แต่กลับทำสิ่งที่ตนเองเต็มใจทำและสิ่งที่ตนชอบ พากเพียรที่จะสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้พรของตนเท่านั้น  นี่ย่อมจะพาให้พวกเขาเดือดร้อนมิใช่หรือ?  นี่เปิดโปงแก่นแท้ในตัวศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  สิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์รักและไล่ตามไขว่คว้ารังแต่แสดงให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาทำเหมือนสิ่งที่พวกเขารักและไล่ตามไขว่คว้าคือสิ่งที่เป็นบวกซึ่งเป็นที่ยินดีของพระเจ้า พยายามทำให้พระองค์ยอมรับและประทานพรแก่ตน  นี่ตรงตามหลักธรรมความจริงหรือไม่?  นี่คือการต่อต้านพระเจ้าและตั้งตนคัดง้างกับพระองค์มิใช่หรือ?  ศัตรูของพระคริสต์พยายามเจรจาทำข้อตกลงกับพระเจ้าทุกครั้งที่มีโอกาส  พวกเขาใช้การทนทุกข์และการจ่ายราคาของตนมาเรียกร้องขอรางวัลและมงกุฎจากพระเจ้า แลกเปลี่ยนเป็นบั้นปลายที่ดี  แต่พวกเขาคำนวณผิดมิใช่หรือ?  ด้วยการแข็งขืนต่อพระเจ้าในลักษณะนี้ พวกเขาจะไม่ถูกพระเจ้าลงโทษได้อย่างไร?  นี่คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับสำหรับบาปของพวกเขาแล้ว  นี่คือการลงทัณฑ์อย่างสาสม

ครั้งหนึ่งเคยมีศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งที่รู้ทักษะในการร้องเพลงและเต้นรำอยู่บ้าง และในเวลานั้นก็มีการจัดแจงให้เขาพาพี่น้องชายหญิงในคณะนักร้องประสานเสียงเรียนรู้ทักษะดังกล่าว  พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นอยู่ในวัยหนุ่มสาว และส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้ามาไม่นานนัก พวกเขาเพียงแต่มีความรู้สึกอันแรงกล้าและเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เข้าใจความจริง บางคนยังไม่ทันได้วางรากฐานเลยด้วยซ้ำ  ระหว่างที่ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นทำงาน เขาก็ชี้แนะพี่น้องให้มีประสบการณ์เป็นการรู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้พวกเขามีประสบการณ์รับรู้ความแตกต่างระหว่างความรู้สึกว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่กับความรู้สึกว่าไม่มีพระองค์อยู่ด้วย—เขาให้พี่น้องพึ่งพาความรู้สึกของตนเองตลอดเวลา  เขาไม่เข้าใจความจริง และไม่มีประสบการณ์จริง แต่เขาก็ชักพาให้พี่น้องชายหญิงหลงผิดและชักนำไปในทางที่ผิดเช่นนี้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเขา  เบื้องบนรู้ว่าเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง จึงขอให้เขาสอนและอธิบายแต่ทักษะที่กล่าวถึงเท่านั้น  การลุล่วงหน้าที่ทางด้านนี้ย่อมจะถือว่าดีพอและเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของเขาแล้ว  แต่เขาก็ยังคงอยาก “สามัคคีธรรมความจริง” และให้ผู้คนจับความรู้สึกของตนเองและพึ่งพาความรู้สึกส่วนตัว  เมื่อทำเช่นนี้ก็ย่อมง่ายที่เขาจะชักพาให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นงานของวิญญาณชั่วมิใช่หรือ?  นี่อันตรายเหลือเกิน!  เมื่อวิญญาณชั่วฉวยโอกาสเช่นนี้เข้าครอบงำคน คนคนนั้นย่อมย่อยยับ  ในช่วงที่ฝึกฝนอยู่นั้น เขาให้ผู้คนเหล่านี้อธิษฐาน หลังจากอธิษฐานแล้ว เขาก็ให้พี่น้องดูว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร และดูว่าพี่น้องเหงื่อออก ร้องไห้ หรือมีความรู้สึกอื่นๆ ในร่างกายบ้างหรือไม่  เขาเน้นเรื่องเหล่านี้ แต่อันที่จริงมีการอธิบายสิ่งเหล่านี้ไว้ชัดเจนพอแล้ว  มีความจริงอยู่มากมาย แต่เขาก็ไม่สามัคคีธรรมความจริงเหล่านั้น ไม่พาผู้คนเหล่านั้นกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่ทำงานอันถูกควรของตน  เขาไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงออกแบบท่าเต้นต่างๆ กลับให้ทุกคนเต้นบนเวทีตามใจอยาก แสดงสดไปตามชอบ ถึงกับกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าทรงนำพวกเราอยู่ ดังนั้นพวกเราย่อมไม่กลัว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอยู่!”  ศัตรูของพระคริสต์คนนี้ไม่เข้าใจความจริง เขาจึงทำเรื่องโง่เขลาอยู่เสมอ  พี่น้องชายหญิงก็ไม่มีวิจารณญาณแต่อย่างใด ด้วยเหตุนั้นจึงฟังเขาและเริ่มอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดทรงพระราชกิจ ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดทรงพระราชกิจ…”  พวกเขาพยายามอย่างที่สุดที่จะอธิษฐาน “อย่างสุดหัวใจ” และถึงกับร้องไห้ออกมาหลังการอธิษฐาน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเวทีและเต้นรำกันโดยไม่มีการกำหนดท่าเต้น  คนที่ดูอยู่ข้างล่างเวทีก็รู้สึกว่าบรรยากาศนั้นยิ่งใหญ่ พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจอันเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ!  พวกเขาร่ำไห้ระหว่างที่ดูพี่น้องเหล่านั้นเต้นรำ ราวกับว่าพวกเขาก็รู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในที่สุดผู้คนเหล่านี้ก็บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างและบันทึกภาพมาให้เราดู  ผู้คนในภาพบางคนกำลังหลับตาร่ำไห้ และใบหน้ากลางฤดูหนาวของพวกเขาก็ล้วนแดงเรื่อเพราะความร้อน  เรามองเห็นแล้วว่าปัญหากำลังก่อตัว ผู้คนเหล่านี้กำลังจะย่อยยับเพราะเขา  เขาเพียงแต่ได้รับการร้องขอให้สอนทักษะการร้องและเต้นเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้เข้าใจความจริงอันใด  เขาเพียงแต่ทำไปตามความคิดฝันของตนอย่างมืดบอด อยากค้นหาความรู้สึกที่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องของความรู้สึกกระนั้นหรือ?  เจ้าต้องเข้าใจความจริง—เช่นนั้นจึงจริงแท้  ลำพังความรู้สึกย่อมว่างเปล่าและไม่มีประโยชน์  เจ้าสามารถเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยอิงตามความรู้สึกของเจ้าได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  เจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาความรู้สึก เจ้าเพียงแต่ต้องแสวงหาหลักธรรมและเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยอิงตามพระวจนะของพระเจ้า จากนั้นจึงนำพระวจนะมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า—เช่นนี้จึงสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง และเจ้าก็จะมาเข้าใจความจริงอย่างช้าๆ  เมื่อเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเริ่มทรงพระราชกิจไปเอง  ต่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจ แต่เพราะเจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าย่อมจะยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์—นี่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่จริงแท้ที่สุด  ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นไม่สามัคคีธรรมแบบนี้ กลับหนุนให้ผู้คนเหล่านั้นมองหาความรู้สึก มองหาสิ่งทั้งหลายที่เข้าทำนองหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และมองหาความฝันอย่างต่อเนื่อง  นี่คือชายฆราวาสที่ไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มานำกลุ่มเด็กๆ ที่เบาปัญญาและไม่รู้ความทำเรื่องน่าหัวร่อ  ผู้คนในภาพพากันร้องห่มร้องไห้  นั่นแสดงถึงสิ่งใด?  ไม่ได้แสดงถึงสิ่งใดเลย แต่มีสิ่งที่อธิบายธรรมชาติของสิ่งที่เขาทำอยู่  ศัตรูของพระคริสต์คนนี้บันทึกภาพทั้งหมดนี้และตั้งชื่อให้ว่า “รายละเอียดในพระราชกิจของพระเจ้า”  “รายละเอียด” เหล่านี้มีอะไรบ้าง?  ผู้คนเหล่านั้นไม่เข้าใจความจริง พวกเขาค้นหาความรู้สึกที่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และแสดงสดโดยไม่มีเหตุผลอันควร การเต้นรำของพวกเขาในแต่ละครั้งจึงต่างกันไป เพราะความรู้สึกแต่ละครั้งย่อมแตกต่าง และ “การทรงนำ” ของพระเจ้าย่อมแตกต่าง—เหล่านั้นคือ “รายละเอียด”  “รายละเอียด” ที่ว่านั้นมีอะไรอีก?  ศัตรูของพระคริสต์กล่าวด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นคือผลแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเขาพูดเช่นนี้ พี่น้องชายหญิงก็ตื่นเต้น ราวกับว่าความเชื่อและวุฒิภาวะของพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นมากมายโดยพลัน  เหตุใดเขาจึงใช้คำว่า “รายละเอียด”?  คำว่า “รายละเอียด” นี้มาจากไหน?  เราเคยกล่าวถึงรายละเอียดในพระราชกิจของพระเจ้า  รายละเอียดเหล่านี้หมายถึงสิ่งใด?  ก็คือผลลัพธ์แห่งพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวผู้คน ซึ่งมนุษย์สามารถมองเห็นและจับต้องได้ ทั้งไม่เหนือธรรมชาติและไม่คลุมเครือ  เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถรู้สึกได้  นี่คือยามที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเป็นอันมากในตัวเจ้า ตรัสพระวจนะมากมายแก่เจ้า ทรงมานะพยายามอย่างยิ่ง และด้วยเหตุนั้นจึงเปลี่ยนแปลงวิถีความเป็นอยู่ของเจ้า ทัศนะที่เจ้ามีในสิ่งทั้งหลาย ท่าทีของเจ้าขณะทำสิ่งต่างๆ ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ตลอดจนส่วนอื่นๆ ในตัวเจ้า  กล่าวคือ รายละเอียดเหล่านี้คือประโยชน์และผลแห่งพระราชกิจของพระเจ้า—นี่คือความหมายของคำว่ารายละเอียด  ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นก็เรียกสิ่งที่เขาทำนี้ว่า “รายละเอียด” เช่นกัน  หากพักธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เอาไว้ก่อนในตอนนี้ พวกเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดบ้างจากการวิเคราะห์เพียงวลีนี้เท่านั้น?  พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวผู้คน และพระองค์ก็ตรัสไว้ว่าผู้คนจะมองเห็นรายละเอียดในพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในตัวพวกเขา แต่ศัตรูของพระคริสต์คนนี้กลับพาทุกคนวิ่งพล่าน และทำให้ทุกสิ่งวุ่นวาย กระนั้นเขากลับเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “รายละเอียด” เช่นกัน—เขากำลังพยายามทำอะไร?  (เขาอยากทำตัวเสมอพระเจ้า)  ถูกต้อง  คำว่า “รายละเอียด” ที่เขาใช้นั้นมาจากไหน?  มาจากความอยากทัดเทียมพระเจ้าและอยากเลียนแบบพระเจ้า  ด้วยการใช้ศัพท์คำนี้ เขาหมายความว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจโดยลงรายละเอียด และสิ่งที่ฉันกำลังพาคนกลุ่มนี้ทำก็ลงรายละเอียดเช่นกัน”  คำขยายต่อท้ายคำว่า “รายละเอียด” ก็คือ “ในพระราชกิจของพระเจ้า” แต่แท้จริงแล้ว เขากลับคิดในใจว่าผลลัพธ์ที่เกิดจากรายละเอียดในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดจากเขาเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำกัน  เมื่อใดที่มีโอกาสก้าวออกไปเป็นจุดสนใจ เมื่อใดที่มีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยมือ พวกเขาจะขับเคี่ยวกับพระเจ้าเพื่อชิงผู้คน  พวกเขาขับเคี่ยวเพื่อชิงผู้คนประเภทใด?  คนเหล่านั้นบางคนไม่เข้าใจความจริง จึงไม่สามารถดูผู้คนออกตามหลักธรรมความจริง คนเหล่านี้เบาปัญญาและไม่รู้ความ คนเหล่านั้นบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ชอบทำตามฝูงชนและกระทำการภายนอกอย่างมืดบอด และมีบางคนเช่นกันที่เป็นผู้เชื่อใหม่ มีรากฐานอันตื้นเขิน—พวกเขายังไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด  พฤติกรรมเช่นนี้ถูกหยุดยั้งในภายหลังได้ทันเวลาพอดี  การหยุดยั้งเรื่องนี้ไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่ก็หมายความว่าเรื่องโง่เขลาที่ศัตรูของพระคริสต์ทำนั้นถูกเปิดโปงพร้อมกันในคราวเดียว  ระหว่างที่ทุกคนสามัคคีธรรมและนึกย้อนไป พวกเขาก็กล่าวว่า “ก่อนที่ศัตรูของพระคริสต์คนนี้จะมา แม้บางครั้งพวกเราจะหาทางไม่ได้ว่าจะขับร้องอย่างมืออาชีพด้วยเทคนิคอะไร แต่พอขับร้อง พวกเราก็รู้สึกว่าสามารถใส่หัวใจลงไป และสามารถขับร้องทุกถ้อยทุกคำด้วยหัวใจ  หลังจากที่เขามาบอกทฤษฎีบางอย่างแบบมืออาชีพ ความรู้สึกของพวกเราทุกคนกลับเหือดแห้งและไม่อยากขับร้องอีกต่อไป เพราะพวกเราไม่สามารถลิ้มรสสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ในแต่ละคำได้—พวกเราไม่อาจรู้สึกถึงพระเจ้าได้”  ผู้คนเหล่านี้เดือดร้อนมิใช่หรือ?  ทันทีที่ศัตรูของพระคริสต์ยื่นมือออกมากระทำการ ผลสืบเนื่องที่พวกเขาก่อให้เกิดขึ้นก็คือผู้คนไม่สามารถรู้สึกได้อีกต่อไปว่าพระเจ้าอยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าควรกระทำการเช่นใดจึงจะเหมาะควร  พวกเขาหลงทาง  เมื่อผู้คนไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขายังจะสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนได้หรือไม่?  พวกเขายังจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ด้วยความจงรักภักดีเพื่อที่จะเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้หรือไม่?  หลังจากที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาก็มีลักษณะอย่างหนึ่งคือชอบทำตามฝูงชน  พวกเขาเหมือนแมลงวันตรงที่ไม่จำเป็นต้องมีจุดหมายที่ชัดเจนตราบเท่าที่มีผู้นำ ผู้อื่นจะเที่ยวเล่นอย่างมืดบอดไปพร้อมกับพวกเขา เพราะแบบนั้นมีชีวิตชีวากว่า และพอพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมตนเอง การกระทำของพวกเขาไร้ซึ่งบรรทัดฐาน และไม่มีใครทำตามหลักธรรม  พวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิษฐานหรือแสวงหา ไม่จำเป็นต้องเคร่งศรัทธาหรือสงบนิ่ง ตราบใดที่พวกเขายังมีศีรษะและหายใจได้ พวกเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้  นี่เหมือนสัตว์ทั้งหลายไม่มากก็น้อยมิใช่หรือ?  เพราะมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีลักษณะเช่นนี้ พวกเขาจึงถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่าย แต่ถ้าเจ้าเข้าใจความจริงและสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะไม่ถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่ายนัก  หลังจากที่ศัตรูของพระคริสต์คนนี้ถูกเปิดโปงแล้ว ทุกคนก็ชำแหละคำกล่าวที่ชักพาให้หลงผิดของเขา และชั้นเชิงที่เขาใช้กระทำการเช่นนั้น แล้วนำไปเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาตระหนักว่าคนคนนี้แท้จริงแล้วเก่งในการชักพาให้ผู้คนหลงผิด เขาทำให้สิ่งต่างๆ วุ่นวาย และแม้สิ่งที่เขาพาพี่น้องทำนั้นจะดูน่าประทับใจไม่น้อย ดูเหมือนพี่น้องรู้สึกถึงพระราชกิจอันเปี่ยมฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้าแต่อย่างใด  ภายนอกนั้นดูประหนึ่งทุกคนมีความรู้สึกแรงกล้าอย่างยิ่ง ความเชื่อและวุฒิภาวะของพวกเขาก็เพิ่มพูนโดยพลัน แต่ในความเป็นจริง นี่คือภาพลวงตา เป็นงานของวิญญาณชั่ว  รูปการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ  ด้วยการสามัคคีธรรมความจริงอยู่ระยะหนึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ ทุกคนก็สามารถมีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์คนนี้ และสภาวะของพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติทีละน้อย  ผู้คนเหล่านี้ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และออกห่างจากเราไปเรื่อยๆ  เวลาเราพูด ผู้คนเหล่านี้มองเราเหมือนคนไม่คุ้นหน้า พวกเขาไม่อยากตอบคำถามของเรา และทันใดพวกเราทั้งสองฝ่ายก็เป็นเหมือนคนแปลกหน้า  พวกเขารอให้ศัตรูของพระคริสต์กล่าวเสียก่อน จึงจะเชื่อฟัง พวกเขาฟังทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์พูด และทุกสิ่งที่เขาพูดย่อมแทนตัวคนเหล่านี้  ดังนั้นผู้คนเหล่านี้จึงไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องใด แต่พวกเขากลับเต็มใจที่จะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ รอคอยให้เขาคนนั้นกล่าวและถูกเขาควบคุมเอาไว้  พวกวิญญาณชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทำเรื่องเช่นนี้เพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิด

เรื่องเลวบางอย่างสามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดและชำแหละได้อย่างชัดเจน แต่บางเรื่องก็พูดได้เพียงว่ามีวิญญาณชั่วทำงานอยู่ข้างใน และไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนได้ ได้แต่ใช้วิจารณญาณแยกแยะไปตามความรู้สึกของเจ้าหรือตามความจริงที่เจ้าเข้าใจและตามประสบการณ์ของเจ้าเอง  มีการใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์คนนี้ออกและจัดการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ชีวิตคริสตจักรจึงกลับมาเป็นปกติ  หลังจากนั้นทุกคนก็รู้สึกว่ามีความกลัวหลงเหลืออยู่เวลาที่พวกเขาสามัคคีธรรมถึงเหตุการณ์นี้  พวกเขากล่าวว่า “นั่นอันตรายจริงๆ!  สิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์คนนั้นเรียกว่า ‘รายละเอียด’ ทำร้ายพวกเราอย่างหนักจนเกือบจะย่อยยับเพราะเขา”  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์ให้ออก  ถ้าเจ้าไม่เคยจริงจังกับการใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์ เจ้าก็จะมีภัย ใครจะรู้ว่าเจ้าจะถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดเมื่อใดหรือในโอกาสใดบ้าง  เจ้าอาจติดตามศัตรูของพระคริสต์ไปอย่างเลอะเลือนโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ  เจ้าจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดไปในตอนนั้น และจะถึงกับรู้สึกว่าสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์คนนี้กล่าวย่อมถูกต้อง—เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะถูกชักพาให้หลงผิดโดยไม่รู้ตัว  การที่เจ้าถูกชักพาให้หลงผิดไปนั้นแสดงว่าเจ้าทรยศพระเจ้าแล้ว จากนั้นพระเจ้าย่อมจะไร้หนทางช่วยเจ้าให้รอด  มีบางคนที่โดยปกติแล้วปฏิบัติดี แต่ถูกศัตรูของพระคริสต์ตบตาอยู่ช่วงหนึ่ง และคริสตจักรก็พาพวกเขากลับมาในที่สุดด้วยการเกลี้ยกล่อมและสามัคคีธรรม  อย่างไรก็ดี มีบางคนที่ไม่กลับมาไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาอย่างไร และพวกเขาก็ดึงดันที่จะไปกับศัตรูของพระคริสต์ให้ได้—เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมย่อยยับโดยสิ้นเชิงแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นไม่ยอมหันกลับ พระเจ้าจึงไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาอีกต่อไป  บางคนไม่มีวิจารณญาณ และรู้สึกเสียใจกับคนแบบนี้ บอกว่า “คนคนนั้นดียิ่ง พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ละทิ้งสิ่งต่างๆ และสละตน พวกเขาเคยทำหน้าที่อย่างจงรักภักดีทีเดียว ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็เป็นผู้เชื่อที่แท้จริง—พวกเราควรให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งไม่ใช่หรือ?”  มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่?  สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  ผู้คนมองเห็นอีกคนได้เฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่ไม่อาจมองเห็นหัวใจของพวกเขา ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนเช่นใด หรือมีแก่นแท้เช่นใด  ผู้คนต้องติดต่อพบปะหรือเฝ้าสังเกตพวกเขาสักระยะหนึ่ง และต้องประสบพบเจอเหตุการณ์ที่เผยตัวพวกเขาออกมาเพื่อให้ผู้คนสามารถรู้ทันพวกเขาได้  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าพยายามช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้เพราะหัวใจของเจ้าดีงาม แต่พวกเขาไม่ยอมกลับตัวไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขามากเท่าใดก็ตาม เจ้าย่อมจะไม่รู้สาเหตุเบื้องหลังเรื่องทั้งหมด  ในความเป็นจริง พระเจ้าทรงรู้ทันผู้คนเหล่านี้เรียบร้อยแล้วและทรงกำจัดพวกเขาออกไป  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำจัดพวกเขาออกไป?  สาเหตุที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือศัตรูของพระคริสต์บางคนเป็นวิญญาณชั่วอย่างเห็นได้ชัด และจัดได้ว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่มีวิญญาณชั่วทำงานอยู่ในตัวพวกเขา  ถ้าผู้คนติดตามพวกเขาไปสักระยะ หัวใจของผู้คนย่อมจะมืดมิด และตัวผู้คนก็จะอ่อนแอจนล้มพับไป ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว  พระเจ้ามีพระอุปนิสัยที่ชอบธรรม และพระองค์ทรงเกลียดชังซาตาน  ในเมื่อผู้คนเหล่านี้ติดตามซาตานและพวกวิญญาณชั่ว พระเจ้าจะยังทรงยอมรับพวกเขาในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ได้หรือ?  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชิงชังความชั่ว  พระองค์ไม่ทรงต้องการคนที่ติดตามพวกวิญญาณชั่ว ต่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี พระองค์ก็ไม่ทรงต้องการพวกเขา  ที่ว่าพระเจ้าทรงชิงชังความชั่วหมายความว่าอย่างไร?  “การชิงชังความชั่ว” บ่งชี้สิ่งใด?  จงฟังสิ่งที่เรากล่าวในครั้งนี้เถิด แล้วพวกเจ้าจะเข้าใจ  เริ่มตั้งแต่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนคนหนึ่ง จนกระทั่งคนคนนั้นยอมรับรู้ว่าพระเจ้าคือความจริง ความชอบธรรม ปัญญา และมหิทธานุภาพ พระองค์คือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้น—เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และหลังจากที่พวกเขามีประสบการณ์บางอย่างแล้ว พวกเขาก็จะมีความเข้าใจพื้นฐานอย่างหนึ่งอยู่ในหัวใจส่วนลึกของตนเกี่ยวกับพระอุปนิสัย แก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความเข้าใจพื้นฐานนี้จะกลายมาเป็นความเชื่อของพวกเขา  และจะเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาติดตามพระเจ้า สละตนเพื่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนอีกด้วย  เมื่อพวกเขามีประสบการณ์ เข้าใจความจริง เมื่อความเข้าใจที่พวกเขามีในพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระเจ้าได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว—เมื่อพวกเขามีวุฒิภาวะเช่นนี้—พวกเขาก็จะไม่ปฏิเสธพระเจ้า  แต่ถ้าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้จักพระคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง และถ้าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเคารพบูชาและติดตามศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงมีภัย  พวกเขาอาจหันหลังให้พระคริสต์ในเนื้อหนังเพื่อไปติดตามศัตรูอันเลวของพระคริสต์อยู่ดี  นี่จะเป็นการปฏิเสธพระคริสต์โดยตรงและสะบั้นสายสัมพันธ์กับพระเจ้า  ความนัยของเรื่องนี้ก็คือ “ฉันไม่ติดตามพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว—ฉันติดตามซาตาน  ฉันรักซาตานและเต็มใจที่จะรับใช้มัน ฉันเต็มใจที่จะติดตามซาตาน  ไม่ว่ามันจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไร ทำลายฉันให้ย่อยยับ เหยียบย่ำ และทำให้ฉันเสื่อมทรามอย่างไร ฉันก็เต็มใจอย่างยิ่ง  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ปานใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงความจริงมากมายเพียงใด ฉันก็ไม่เต็มใจติดตามพระองค์  ฉันไม่ชอบความจริง  ฉันชอบชื่อเสียง สถานะ รางวัล และมงกุฎ ต่อให้ฉันไม่สามารถได้สิ่งเหล่านี้มา ฉันก็ชอบสิ่งเหล่านี้”  ด้วยเหตุนั้นนั่นเองพวกเขาจึงติดตามคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน พวกเขาหนีไปกับศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้า  แล้วพระเจ้าจะยังทรงต้องการคนแบบนี้อีกหรือ?  แน่นอนว่าไม่  สมเหตุสมผลหรือไม่ที่พระเจ้าจะไม่ทรงต้องการพวกเขา?  สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง  เจ้ารู้จากคำสอนว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชิงชังความชั่ว และพระองค์ทรงบริสุทธิ์  เจ้าเข้าใจคำสอนนี้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้อย่างไร?  ถ้าพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ใครสักคน พระองค์จะทรงทิ้งพวกเขาอย่างไม่ลังเล  สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เรากล่าวมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้  แล้วการที่พระเจ้าทรงทิ้งคนแบบนี้หมายความหรือไม่ว่าพระองค์มีพระทัยที่โหดร้าย?  (ไม่)  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมในการกระทำของพระองค์  ถ้าเจ้ารู้ว่าใครคือพระเจ้า แต่ไม่ชอบติดตามพระองค์—ถ้าเจ้ารู้ว่าใครคือซาตาน แต่ก็ยืนกรานที่จะติดตามมัน—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงบังคับเจ้า  จงเดินหน้าติดตามซาตานตลอดไปเถิด  อย่ากลับมา พระเจ้าทรงทิ้งเจ้าแล้ว  คนเราจะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างไร?  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ มีองค์ประกอบที่ชิงชังความชั่วอยู่ในพระอุปนิสัยของพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะชั่วช้า พระเจ้าจะตรัสว่ากระไรได้?  พระเจ้าจะไม่มีวันบีบบังคับให้ผู้คนทำสิ่งที่พวกเขาไม่เต็มใจทำ  พระองค์ไม่เคยบังคับให้ผู้คนยอมรับความจริง  ถ้าเจ้าอยากชั่วช้า นั่นก็คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง—ในท้ายที่สุดคนที่จะแบกรับผลที่ตามมาก็คือเจ้า และเจ้าก็จะมีแต่ตัวเองให้ติเตียน  หลักธรรมที่พระเจ้าใช้จัดการผู้คนย่อมมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นถ้าเจ้าเป็นสุขกับความชั่วช้า เช่นนั้นแล้วปลายทางที่เจ้ามิอาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือการถูกลงโทษ  ไม่สำคัญว่าเจ้าติดตามพระเจ้ามากี่ปี ถ้าเจ้าอยากชั่วช้า พระเจ้าจะไม่ทรงบีบบังคับให้เจ้ากลับใจ  เป็นตัวเจ้าเองที่เต็มใจติดตามซาตาน เต็มใจที่จะถูกชักพาให้หลงผิดและย่อยยับเพราะซาตาน ดังนั้นในท้ายที่สุดคนที่ต้องทนรับผลที่จะตามมาก็คือเจ้า  บางคนรู้สึกเสียใจที่ผู้คนเป็นเช่นนี้และสิ้นเปลืองความใจดีมีเมตตาไปกับการช่วยเหลือพวกเขา แต่ไม่ว่าจะกระตุ้นเตือนพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่กลับตัว  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  ข้อเท็จจริงก็คือพระเจ้าไม่ทรงช่วยคนแบบนี้ให้รอด พระองค์ไม่ต้องการพวกเขา  แล้วมนุษย์จะทำอะไรในเรื่องนั้นได้?  นี่คือสาเหตุเบื้องหลัง  แต่เมื่อผู้คนไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ควรทำสิ่งที่ตนพึงทำ ปฏิบัติภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ตนพึงปฏิบัติ  ส่วนผลลัพธ์ของการปฏิบัติกิจเหล่านี้จะเป็นเช่นไร พวกเขาต้องคอยดูการทรงนำของพระเจ้า  พวกเจ้าเกิดความเข้าใจในวลีที่ว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชิงชังความชั่ว” ตามรายละเอียดที่เราพูดไปนี้บ้างหรือไม่?  นี่คือแง่หนึ่ง ที่ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการคนที่ด่างพร้อยเพราะพวกวิญญาณชั่ว  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงต้องการพวกเขา?  ถ้าเจ้าเลือกซาตานไปแล้ว พระเจ้าจะยังทรงต้องการเจ้าได้อย่างไร?  ถ้าเจ้าเลือกซาตานไปแล้ว พระเจ้าจะยังทรงกรุณาปลุกเร้าหัวใจของเจ้าเพื่อทำให้เจ้าคืนกลับมาได้อย่างไร?  พระเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  พระองค์สามารถเป็นอย่างยิ่ง แต่พระองค์ก็เลือกที่จะไม่ทรงพระราชกิจข้อนี้เพราะพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นชอบธรรม และเพราะพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชิงชังความชั่ว

สามัคคีธรรมครั้งที่แล้วมุ่งเน้นว่าลักษณะสำคัญที่สำแดงให้เห็นแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ก็คือ ความเป็นปฏิปักษ์และความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อทุกสิ่งที่เป็นบวกและความจริง  วันนี้เราจะสามัคคีธรรมจากอีกมุมหนึ่งคือ ศัตรูของพระคริสต์รักทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นบวก  นั่นคืออะไร?  (สิ่งที่เป็นลบ)  ใช่แล้ว สิ่งที่เป็นลบ นั่นคือทุกสิ่งที่ขัดแย้ง สวนทาง และไม่ลงรอยกับความจริง  ศัตรูของพระคริสต์ไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวก ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่พวกเขาชอบ ถูกต้องหรือไม่?  แล้วพวกเขาชอบสิ่งใด?  พวกเขาชอบการใช้เล่ห์เหลี่ยมและเรื่องโกหก รวมทั้งกลอุบาย แผนลับ และชั้นเชิง  มีศัตรูของพระคริสต์ที่อ่านหนังสือสามสิบหกกลยุทธ์ในยามว่างบ้างหรือไม่?  เราคิดว่ามี  เจ้านึกคิดบ้างหรือไม่ว่าเราอ่านหนังสือสามสิบหกกลยุทธ์?  เราไม่ได้อ่าน  เราไม่ได้ศึกษาหนังสือเล่มนี้  มีประโยชน์อันใดที่จะอ่านมัน?  การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราพะอืดพะอมและคลื่นเหียน?  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากอ่านสามสิบหกกลยุทธ์?  ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกขยะแขยงมวลมนุษย์อันเลวมากขึ้นอีกหรอกหรือ?  เจ้ามีประสบการณ์เป็นความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่?  ยิ่งอ่าน เจ้าก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยง  เจ้ารู้สึกว่าคนคนนี้เลวเกินไปแล้ว!  คุ้มหรือไม่กับการที่ต้องใช้กลยุทธ์ในเรื่องเล็กน้อยทุกเรื่อง ต้องทำถึงขนาดนั้น กลางคืนก็หลับไม่ลงหรือกลางวันก็กินไม่ได้ และต้องเค้นสมองคิดว่าจะสู้อย่างไร?  ศัตรูของพระคริสต์บางคนอาจศึกษาสามสิบหกกลยุทธ์ในยามว่าง และประชันเชาวน์ปัญญากับใครอีกคนหรือกับพระเจ้า  พวกเขาสุขสำราญกับเรื่องโกหก การใช้เล่ห์เหลี่ยม แผนลับ กลอุบาย ตลอดจนชั้นเชิงและกลยุทธ์—แต่พวกเขาชอบความยุติธรรมและความชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่?  คำตรงข้ามของความยุติธรรมและความชอบธรรมคืออะไร?  (ความเลวและความอัปลักษณ์)  ความเลวและความอัปลักษณ์  พวกเขาชอบสิ่งที่อัปลักษณ์ ทุกสิ่งที่ชั่วช้าและอยุติธรรม ทุกสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรมและไม่ถูกควร  ตัวอย่างเช่น การที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเหตุอันควร—แล้วศัตรูของพระคริสต์นิยามเรื่องนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นคนโง่!  การมีชีวิตจะมีคุณค่าอะไรถ้าคนเราไม่ใช้ชีวิตอย่างที่ตนต้องการ?  ผู้คนต้องมีชีวิตเพื่อตัวเอง ส่วนคนที่ดำรงชีวิตเพื่อความจริงและความเที่ยงธรรม ผู้คนเหล่านั้นโง่ทุกคน!”  นั่นคือมุมมองของพวกเขา  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถทำสิ่งที่สมควรได้หรือไม่?  ไม่ได้  พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาพูดได้หรือไม่เวลาเกิดเรื่องในคริสตจักรที่ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร?  พวกเขาไม่เพียงไม่ลุกขึ้นมา แต่ยังแอบขบขันและสนุกกับเรื่องร้ายนี้—พวกเขาคือเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี  ไม่เคยกระวนกระวายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานในพระนิเวศของพระเจ้า และไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  คนที่แอบรู้สึกขบขัน และทำให้พระนิเวศของพระเจ้ากลายเป็นเรื่องตลกยามที่พวกเขามองเห็นคนชั่วทำความชั่ว และคนเลวใช้อำนาจทำให้คริสตจักรเดือดร้อน—พวกเขาเป็นคนเช่นใด?  พวกเขาเป็นคนเลว  แล้วผู้นำที่สามารถกำบังภัยให้คนชั่วเหล่านี้เป็นคนเช่นใด?  พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาจะไม่ยอมให้ผลประโยชน์ของตนเป็นอันตราย แต่พอผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นอันตราย พวกเขากลับไม่กะพริบตา และไม่เศร้าเสียใจแต่อย่างใด  หลังบานประตูที่ปิดอยู่นั้น พวกเขาดีใจด้วยซ้ำที่ตนไม่ได้สูญเสียอะไร  นี่คือความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์

พวกเราเพิ่งคุยกันไปว่าศัตรูของพระคริสต์รังเกียจความจริง พวกเขาชอบสิ่งที่เลวและไม่ชอบธรรม ไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์และพร ไม่เคยปล่อยมือจากเจตนาและความอยากได้พร และพยายามอยู่เสมอที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้า  ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณจำแนกเรื่องนี้กันอย่างไร?  ถ้าพวกเราเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด นั่นก็จะเบาไป  เหมือนที่เปาโลยอมรับว่าเขามีหนามยอกอก และควรทำงานเพื่อชดใช้บาปของตน แต่ท้ายที่สุดก็อยากได้มงกุฎแห่งความชอบธรรมอยู่ดี  นี่มีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  (เป็นความชั่วช้า)  นี่คืออุปนิสัยที่ชั่วช้าอย่างหนึ่ง  แต่ธรรมชาติของเรื่องนี้เป็นเช่นใด?  (เป็นการเจรจาต่อรองกับพระเจ้า)  ย่อมมีธรรมชาติเช่นนี้  เขามองหาผลประโยชน์ในทุกสิ่งที่ตนทำ ทำเหมือนทุกสิ่งเป็นธุรกรรมแลกเปลี่ยน  มีสำนวนในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ “ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีค่าใช้จ่าย”  ศัตรูของพระคริสต์ก็มีตรรกะแบบนี้ นึกไปว่า “ถ้าฉันทำงานให้คุณ คุณจะให้อะไรตอบแทน?  ฉันจะสามารถได้ประโยชน์อะไรบ้าง?”  ควรสรุปธรรมชาติแบบนี้ว่าอย่างไร?  นี่คือการถูกผลประโยชน์ขับเคลื่อน ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์เหนือสิ่งอื่นใด เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อจุดประสงค์ที่จะได้ผลประโยชน์และพรเท่านั้น  ต่อให้พวกเขาสู้ทนความทุกข์บ้างหรือจ่ายราคาบ้าง นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้าทั้งสิ้น  เจตนาและความอยากของพวกเขาที่จะได้พรและรางวัลนั้นแรงกล้าอย่างยิ่ง และพวกเขาก็ยึดมันไว้แน่น  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงแสดงเอาไว้ คิดอยู่ในใจเสมอว่าการเชื่อในพระเจ้าล้วนเป็นเรื่องของการได้พรและมีบั้นปลายที่ดี นี่คือหลักธรรมสูงสุด และไม่มีสิ่งใดเลิศไปกว่านี้ได้  พวกเขาคิดว่าถ้าไม่ใช่เพื่อให้ได้พร ผู้คนก็ไม่ควรเชื่อในพระเจ้า และถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อพร การเชื่อในพระเจ้าก็ย่อมจะไร้ความหมายหรือคุณค่า ย่อมจะสูญสิ้นความหมายและคุณค่า  แนวคิดเหล่านี้ในตัวศัตรูของพระคริสต์ถูกใครอื่นปลูกฝังให้หรือไม่?  ได้มาจากการอบรมสั่งสอนหรืออิทธิพลของใครอื่นหรือไม่?  ไม่ เป็นแนวคิดที่แก่นแท้ธรรมชาติประจำตัวศัตรูของพระคริสต์กำหนดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  แม้ทุกวันนี้พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะตรัสพระวจนะไว้มากมาย แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับแต่อย่างใด กลับแข็งขืนและกล่าวโทษพระวจนะ  ตัวตนของพวกเขามีธรรมชาติที่รังเกียจความจริง และการเกลียดความจริงนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้  ถ้าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่บ่งชี้สิ่งใด?  บ่งชี้ว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเลว  นี่ไม่ใช่ปัญหาของการไล่ตามเสาะหาหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คืออุปนิสัยที่เลว เป็นการเหิมเกริมส่งเสียงประท้วงพระเจ้าและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา  ในเมื่อศัตรูของพระคริสต์สามารถเหิมเกริมประท้วงและต่อต้านพระเจ้า อุปนิสัยของพวกเขาย่อมเป็นเช่นใด?  ย่อมเลว  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าเลว?  ศัตรูของพระคริสต์กล้าแข็งขืนต่อพระเจ้าและประท้วงพระองค์เพื่อให้ได้พร เพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ  เหตุใดพวกเขาจึงกล้าทำเช่นนี้?  ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขามีแรงพลังอย่างหนึ่ง คืออุปนิสัยอันเลวที่คอยกำกับพวกเขาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถกระทำการที่ผิดทำนองคลองธรรม เถียงพระเจ้า และประท้วงพระองค์  อุปนิสัยอันเลวของพวกเขาระเบิดออกมาจากหัวใจก่อนที่พระเจ้าจะตรัสด้วยซ้ำว่าพระองค์จะไม่ประทานมงกุฎแก่พวกเขา ก่อนที่พระเจ้าจะริบบั้นปลายของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “ถ้าพระองค์ไม่ให้มงกุฎและบั้นปลายแก่ฉัน ฉันก็จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่สามไปโต้เถียงกับพระองค์!”  ถ้าไม่เป็นเพราะอุปนิสัยอันเลวของพวกเขา พวกเขาจะเอาเรี่ยวแรงดังกล่าวมาจากไหน?  ผู้คนส่วนใหญ่สามารถรวบรวมแรงพลังเช่นนี้ได้หรือไม่?  เหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง?  เหตุใดพวกเขาจึงยึดมั่นในความอยากได้พรของตนอย่างเหนียวแน่น?  นี่ก็คือความเลวของพวกเขาอีกแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  พรแท้จริงที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานแก่ผู้คนได้กลายเป็นความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีในตัวศัตรูของพระคริสต์ไปแล้ว  พวกเขามุ่งมั่นที่จะได้พรเหล่านั้น แต่ก็ไม่อยากเดินตามหนทางของพระเจ้า และไม่รักความจริง  กลับไล่ตามไขว่คว้าพร รางวัล และมงกุฎ  อยากขับเคี่ยวกับพระเจ้าก่อนที่พระเจ้าจะตรัสว่าพระองค์จะไม่ประทานสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเขาด้วยซ้ำ  ตรรกะของพวกเขาเป็นเช่นใด?  “ถ้าฉันไม่อาจได้พรและรางวัล ฉันก็จะโต้เถียงกับพระองค์ ฉันจะต่อต้านพระองค์ และพูดว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า!”  ด้วยการพูดอะไรเช่นนั้น พวกเขากำลังข่มขู่พระเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาพยายามที่จะล้มล้างพระองค์มิใช่หรือ?  พวกเขาถึงกับกล้าปฏิเสธอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่ง  ตราบใดที่กิจการของพระเจ้าไม่เป็นไปตามเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาย่อมกล้าปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่พระผู้สร้าง ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว  นี่คืออุปนิสัยของซาตานมิใช่หรือ?  นี่คือความเลวของซาตานมิใช่หรือ?  วิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้กระทำการมีความแตกต่างจากท่าทีที่ซาตานมีต่อพระเจ้าหรือไม่?  สองแนวทางนี้สามารถเทียบเทียมกันได้ทุกด้าน  ศัตรูของพระคริสต์ปฏิเสธที่จะยอมรับรู้อธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่ง อยากยื้อแย่งพร รางวัล และมงกุฎมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  นี่เป็นอุปนิสัยจำพวกใด?  เพราะเหตุใดพวกเขาจึงอยากลงมือฉกฉวยสิ่งต่างๆ เช่นนี้?  พวกเขารวบรวมเรี่ยวแรงดังกล่าวมาได้อย่างไร?  ในตอนนี้สามารถสรุปสาเหตุของเรื่องนี้ได้ว่า นี่คือความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์ไม่รักความจริง กระนั้นก็ยังคงอยากได้พรและมงกุฎ อยากกระชากรางวัลเหล่านี้มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  นี่เสี่ยงตายมิใช่หรือ?  พวกเขาตระหนักหรือไม่ว่ากำลังเสี่ยงตาย?  (ไม่ตระหนัก)  พวกเขาอาจจะรู้สึกลางๆ เช่นกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้พร ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวถ้อยแถลงเสียก่อนทำนองว่า “ถ้าฉันไม่อาจได้พร ฉันก็จะขึ้นสวรรค์ชั้นที่สามไปโต้เถียงกับพระเจ้า!”  พวกเขามองเห็นล่วงหน้าแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับพร  ถึงอย่างไร ซาตานก็ประท้วงพระเจ้าอยู่กลางอากาศมานานหลายปีแล้ว และพระเจ้าประทานสิ่งใดแก่มัน?  พระเจ้าตรัสแก่มันเพียงว่า “หลังจากเสร็จงานแล้ว เราจะโยนเจ้าลงบาดาลลึก  บาดาลลึกคือที่ของเจ้า!”  นี่คือ “สัญญา” เพียงข้อเดียวที่พระเจ้าทรงมีให้ซาตาน  การที่มันยังคงอยากได้รางวัลคือความบิดเบี้ยวมิใช่หรือ?  นี่คือความเลว  แก่นแท้ประจำตัวศัตรูของพระคริสต์นั้นเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และศัตรูของพระคริสต์เองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้  หัวใจของพวกเขามุ่งแต่จะได้พรและมงกุฎเท่านั้น  เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหรือพระเจ้า การแข็งขืนและความโกรธขึ้งก็จะก่อเกิดในตัวของพวกเขา  นี่คือความเลว  ผู้คนปกติน่าจะไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกในตัวศัตรูของพระคริสต์ได้ ออกจะหนักหนาทีเดียวสำหรับศัตรูของพระคริสต์  ศัตรูของพระคริสต์มีความทะเยอทะยานอันแรงกล้าดังกล่าว พวกเขาเก็บงำพลังงานที่เลวและแรงกล้าเช่นนั้นเอาไว้ในตัว รวมทั้งความอยากได้พรอย่างยิ่งดังกล่าว  สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาลุกโชนไปด้วยความอยากได้อยากมี  แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็สามัคคีธรรมความจริงอย่างต่อเนื่อง—สำหรับพวกเขาแล้ว การได้ยินได้ฟังความจริงต้องยากเย็นและเจ็บปวดมาก  พวกเขาทำผิดกับตัวเองและเสแสร้งมากมายเพื่อที่จะทนฟังความจริง  นี่เป็นพลังงานที่เลวอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  ถ้าผู้คนทั่วไปไม่รักความจริง พวกเขาย่อมจะเห็นว่าชีวิตคริสตจักรไม่น่าสนใจและรู้สึกสะอิดสะเอียนชีวิตเช่นนี้ด้วยซ้ำไป  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงย่อมจะทำให้พวกเขารู้สึกเป็นทุกข์มากกว่าที่จะรู้สึกยินดี  แล้วศัตรูของพระคริสต์สามารถสู้ทนได้อย่างไร?  เพราะความอยากได้พรของพวกเขานั้นแรงกล้าจนบีบให้พวกเขาจำยอมทำผิดต่อตนเองและสู้ทนอย่างเสียมิได้  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังลอบเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อกระทำการในฐานะลูกสมุนของซาตาน อุทิศตนให้กับการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  พวกเขาเชื่อว่านี่คือภารกิจของตน และจนกว่าพวกเขาจะทำงานของตนที่เป็นการแข็งขืนต่อพระเจ้าแล้วเสร็จ พวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจว่าตนนั้นทำให้ซาตานผิดหวัง  นี่ระบุได้จากธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์

ศัตรูของพระคริสต์ชื่นชอบสถานะอย่างชัดแจ้ง และทุกคนก็รู้เรื่องนี้  พวกเขาชอบสถานะถึงขั้นไหน?  สิ่งใดสำแดงให้เห็นเรื่องนี้?  สิ่งแรกสุดก็คือพวกเขาฉวยโอกาสไต่เต้า ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเอาอกเอาใจหรือใช้เล่ห์กล หรือด้วยการทำสิ่งดีๆ เพื่อเอาชนะใจผู้คน  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสไต่เต้า พวกเขาจะคว้าเอาไว้  เมื่อได้สถานะมาแล้ว พวกเขาจะรักและชื่นชูสถานะยิ่งกว่าแต่ก่อน  เวลาผู้คนปกติได้สถานะ พวกเขาจะมีสำนึกละอายแก่ใจและดึงรั้งตัวเองไว้บ้าง  ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งผู้นำหรือคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง  ไม่ใช่สถานะหรือยศตำแหน่ง นี่คือหน้าที่  บางครั้งผู้คนปกติเหล่านี้อาจจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาบ้างด้วยการอวดตน นึกว่าตอนนี้พวกเขาดำรงตำแหน่งของทางการ  ผู้คนที่ปกติย่อมมองว่าการประพฤติตนเช่นนี้เป็นครั้งคราวค่อนข้างเป็นที่ยอมรับได้ แต่ถ้าทำเป็นประจำ พวกเขาก็จะรู้สึกขยะแขยงตัวเองและกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะสังเกตเห็น  พวกเขามีศักดิ์ศรีและสำนึกละอายแก่ใจ ดังนั้นพวกเขาจึงห้ามใจตัวเองไว้บ้าง  หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้ว พวกเขาก็จะให้ความสำคัญกับสถานะน้อยลงทุกที  นี่ย่อมจะมีผลบวกเป็นเช่นใด และจะนำผลดีอันใดมาให้?  นี่ย่อมจะทำให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้โดยมีสันติสุขในจิตใจ  ไม่ว่าบทบาทในปัจจุบันของพวกเขาจะเป็นเช่นใด พวกเขาก็จะคำนึงว่านั่นคือหน้าที่อย่างหนึ่ง  ในเมื่อพวกเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ และการเป็นผู้นำก็คือภาระและหน้าที่ของมนุษย์ไปพร้อมกัน พวกเขาจึงต้องเข้าใจเสียก่อนว่าขอบข่ายของหน้าที่นี้ครอบคลุมสิ่งใดบ้าง  เวลาที่เจ้าไม่มีบทบาทเป็นผู้นำ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงใยบางเรื่อง และไม่มีภาระโดยแท้  แต่พอเจ้ารับบทบาทหน้าที่เป็นผู้นำ เจ้าก็จำต้องขบคิดว่าจะปฏิบัติงานของตนอย่างไรให้ดี และจะทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรมและการจัดแจงเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร  คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถก้าวหน้าไปในทิศทางที่เป็นบวกเช่นนี้ได้  แล้วศัตรูของพระคริสต์กับคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีท่าทีต่อสถานะต่างกันอย่างไร?  ศัตรูของพระคริสต์หลงใหล ไล่ตามไขว่คว้า ชื่นชู และบริหารจัดการสถานะของตน  พวกเขานึกถึงสถานะตลอดเวลา  สถานะเป็นเหมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขา  ถ้าผู้อื่นไม่ยอมรับนับถือพวกเขา หรือถ้าพวกเขาบังเอิญพูดอะไรผิดไปและผู้อื่นนึกดูถูกพวกเขา และพวกเขาสูญเสียที่ทางในหัวใจของผู้อื่น พวกเขาก็จะรู้สึกกระวนกระวายถึงสถานะของตนไม่เว้นวาย และระมัดระวังการกระทำและการพูดจาของตนอย่างยิ่ง  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าใจได้  สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้คืออะไร?  “ฉันจะสามารถปฏิบัติงานใน ‘ตำแหน่ง’ นี้ให้ดีและทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างไร?”  มีลักษณะจำเพาะบางอย่างที่สำแดงให้เห็นเรื่องนี้  ยกตัวอย่างเวลาผู้นำคริสตจักรร่วมบันทึกภาพหมู่กับพี่น้องชายหญิง 20 กว่าคน คนที่มีศักดิ์ศรีและสำนึกละอายแก่ใจย่อมจะเลือกนั่งตรงไหน?  พวกเขาย่อมจะหามุมด้านข้างไว้นั่ง  แล้วตามปกติศัตรูของพระคริสต์ย่อมนั่งตรงไหน?  (ตรงกลาง)  การที่พวกเขานั่งตรงกลางเป็นความต้องการของทุกคนหรือเป็นความต้องการของพวกเขาเอง?  (เป็นความต้องการของพวกเขาเอง)  บางครั้งก็อาจเป็นได้ที่ทุกคนเว้นที่ตรงกลางไว้ให้พวกเขา บีบให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลาง และพวกเขาก็ย่อมรู้สึกครึ้มใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ดูสิว่าฉันได้รับการเกื้อหนุนจากทุกคนมากขนาดไหน!  ฉันต้องนั่งตรงนี้  เห็นได้จากเรื่องนี้ว่าฉันมีที่ทางอยู่ในหัวใจของทุกคน  พวกเขาไม่อาจขาดฉันได้!”  พวกเขารู้สึกเป็นสุขและพอใจมาก  ถ้าพวกเขาไม่ชอบแนวคิดที่ทุกคนเว้นที่ตรงกลางไว้ให้ตน พวกเขาจะไปนั่งตรงนั้นทำไม?  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสุขสำราญกับตำแหน่งแห่งที่ของตนในชั่วขณะนั้นๆ โดยแท้ รวมทั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้น  แท้จริงแล้วพวกเขาชื่นชูและต้องการความรู้สึกในห้วงเวลานั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่ปฏิเสธตำแหน่งแห่งที่ดังกล่าว  ผู้นำคนนี้นั่งตรงกลางพอดี มีผู้คนหลายสิบคนรายล้อม พวกเขาถึงกับใช้เบาะรองนั่งเพื่อให้ตนเองเด่นขึ้นมา  คิดไปว่า “จะนั่งสูงระดับเดียวกับทุกคนไม่ได้  นั่นจะแสดงความโดดเด่นของฉันในฐานะผู้นำได้อย่างไร?  ฉันต้องยกตัวเองให้สูงขึ้นมาหน่อย นั่งตรงกลาง แบบนั้นฉันถึงจะเป็นที่สะดุดตา  นี่คือการรู้จักนั่งในที่ที่เหมาะสม  เวลาผู้คนดูรูปถ่าย สิ่งแรกที่พวกเขาจะมองเห็นก็คือฉัน  พวกเขาจะพูดว่า ‘นี่คือผู้นำของพวกเราคนนั้นไง’  ช่างเกรียงไกรเสียจริง!  รูปถ่ายนี้จะคงอยู่ไปหลายปี  ถ้าผู้คนไม่อาจมองเห็นฉันได้ และค่อยๆ ลืมฉัน การเป็นผู้นำจะมีประโยชน์อะไร?”  พวกเขาชื่นชูสถานะไว้สูงขนาดนี้

ครั้งหนึ่ง เราตามหาคนบางคนจากคริสตจักรแห่งหนึ่งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั่น  หลังจากที่พวกเขาเดินเครื่องบันทึกวีดิทัศน์ ทุกคนก็พากันนั่งหน้ากล้อง เว้นที่ตรงกลางเอาไว้  เราไม่เข้าใจว่าทำไมและเสนอแนะให้พวกเขาขยับเข้าไปชิดตรงกลางเพราะกรอบภาพในกล้องไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น และพวกเขาย่อมดูประดักประเดิดเมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขาเพียงครึ่งเดียว  หลังจากนั้นพวกเขาก็ขยับตัวเข้าไปชิดตรงกลางหน่อย แต่ยังคงเหลือที่นั่งว่างๆ ที่หนึ่งไว้ตรงกลาง  เราจึงพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ทำไมไม่มีใครนั่งตรงกลาง?  ราวกับว่ามีพระพุทธรูปกลวงเปล่าอยู่ตรงนั้น—ทำไมไม่มีใครกล้าขยับไปตรงนั้น?”  จากนั้นก็มีชายค่อนข้างอ้วนคนหนึ่งเดินมาทิ้งตัวลงไปตรงกลางนั้นเลย ดูเหมือน “พระพุทธรูป” กลวงเปล่าไม่มีผิด อวบกลมไปหมด  กลายเป็นว่าที่นั่งตรงกลางนั้นเก็บไว้ให้เขา  พวกเจ้าเดาได้หรือไม่ว่าคนคนนี้เป็นใคร?  (ผู้นำ)  ถูกต้อง เขานั่งลงตรงกลางพอดี  นั่นคือสัญลักษณ์ของสถานะ  เมื่อมารที่ดูเหมือนพระพุทธรูปตนนี้มาถึง และนั่งลงตรงนั้น เขาก็ยึดครองที่ตรงนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติทีเดียว ราวกับว่าเป็นที่อันควรของตน  ทุกคนมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้นั่งขนาบข้าง มองเขาด้วยความชมชอบเป็นพิเศษ ราวกับว่า “เข้าใจ” เขาเป็นที่ยิ่ง  ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นนักเลียแข้งเลียขากลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดว่า “อา ในที่สุดคุณก็มาถึงแล้ว  พวกเรารอคุณมาตั้งนานสองนาน”  ตอนที่เรากล่าวขึ้นมานั้น ไม่มีใครใส่ใจรับฟัง พวกเขามัวแต่รอคอยผู้นำ  “พระพุทธรูป” กลวงๆ คนนี้ต้องออกมาเสียก่อน  ถ้าเขาไม่ออกมา เราก็ไม่สามารถกล่าวต่อไปได้  เขาสามารถนั่งลงตรงนั้นและนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเป็นธรรมชาติขนาดนั้นได้อย่างไร?  นี่เกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตัวของเขาตามปกติ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ และการไล่ตามไขว่คว้าตามปกติใช่หรือไม่?  (ใช่)  ปกติแล้วผู้คนเหล่านี้นำเสนอฉากทัศน์เช่นใด?  จงใช้จินตนาการของพวกเจ้านึกคิดดูเถิด  เวลาผู้นำคนนี้จัดการชุมนุมหรือเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่มีผู้คนทำหน้าที่ของตนอยู่ พวกเขาปฏิบัติต่อผู้นำอย่างไร?  เหมือนเขาเป็นบรรพบุรุษหรือพระพุทธ กล่าวคือ พวกเขารีบเสนอที่นั่งให้เขา และต้องเก็บที่นั่งที่สำคัญที่สุดไว้ให้เขา  ถ้าพวกเขาไม่เก็บที่นั่งนั้นๆ ไว้ให้ จะเป็นไรหรือไม่?  ตามปรากฏการณ์ที่เราเห็นผ่านกล้องในตอนนั้น ถ้าพวกเขาไม่เว้นที่นั่งสำคัญๆ ให้เขา ก็น่าจะเป็นไร—นั่นกลายเป็นกฎเกณฑ์ไปแล้ว กฎที่ไม่มีการเขียนเอาไว้  พอ “พระพุทธ” องค์นั้นมาถึง เขาก็ต้องได้รับมอบที่นั่งสำคัญนั้นทันที  ถ้า “พระพุทธ” ไม่อยู่ตรงนั้น ที่นั่งสำคัญที่สุดก็ต้องทิ้งว่างไว้  นั่นเรียกว่าสถานะ  มีพวกเจ้าคนใดทำตัวเช่นนี้และมองว่าสถานะสูงส่งกว่าทุกสิ่งบ้างหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถสังเกตเห็นสิ่งใดบ้างในฉากที่เราเพิ่งบรรยายไป?  ผู้คนที่ต่างกันย่อมปฏิบัติต่อสถานะแตกต่างกัน  คนที่รักความจริงย่อมคำนึงถึงสถานะของตนว่าเป็นหน้าที่ เชิดชูพระบัญชาของพระเจ้าว่าล้ำค่าอยู่ในหัวใจของตน  พวกเขายอมรับหน้าที่ของตน แต่ก็ไม่อ้างสิทธิ์ในสถานะของตน  บางคนมองว่าสถานะคือเครื่องกีดขวาง พวกเขาเชื่อว่าเป็นภาระที่เพิ่มเข้ามาซึ่งกดดันตน ควบคุม และนำความเดือดร้อนมาให้ด้วยซ้ำ  อย่างไรก็ดี คนที่บูชาสถานะย่อมทำเหมือนว่าสถานะคือการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และสุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะอยู่เสมอ  พวกเขาไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ถ้าไม่มีสถานะ  เมื่อได้สถานะมาแล้ว พวกเขาก็เต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสถานะ รวมถึงชีวิตของตนและความเคารพตนเองอีกด้วย—พวกเขาถึงกับเต็มใจขายร่างกายของตนเพื่อสถานะ  นี่เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เรียกว่าความเลว  ในสายตาของพวกเขา สถานะคืออะไร?  คือเส้นทางและช่องทางที่จะกลายเป็นผู้ชนะเลิศ เป็นวิธีเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ ชะตาชีวิต และที่ยืนของตนในหมู่คน  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงให้คุณค่าแก่สถานะมากมายยิ่ง  เมื่อมีสถานะ และผู้คนก็ฟังพวกเขา เชื่อฟังพวกเขา ตามใจพวกเขา และทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของพวกเขาในทุกเรื่องแทนที่จะรู้สึกขยะแขยงทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมเกิดความยินดีอย่างยิ่ง  เช่นเดียวกับผู้นำที่ครองที่นั่งตรงกลางคนนั้น—เขามีท่าทีที่ผ่อนคลายและสบายใจอย่างยิ่ง รู้สึกยินดีและสุขสำราญมากมายเช่นนั้น  นี่เลวมิใช่หรือ?  ถ้าคนคนหนึ่งสุขสำราญเป็นพิเศษกับความรู้สึกทั้งปวงว่าตนเหนือกว่าและความได้เปรียบทั้งปวงที่สถานะนำมาให้ ไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชูสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือ เช่นนั้นแล้วคนคนนั้นก็เลวยิ่ง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาเลวยิ่ง?  เวลาผู้คนป้อยอ กล่าวคำไพเราะเสนาะหู และชมเชยผู้คนที่มีสถานะ พวกเขากำลังพูดสิ่งใดอยู่?  พวกเขากำลังเอ่ยคำเท็จ คำที่ไร้ความละอาย คำที่ชวนให้พะอืดพะอมและคลื่นเหียน คำที่แฝงเล่ห์เหลี่ยม และแม้กระทั่งบางสิ่งที่ระคายหู  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนที่มีสถานะนั้นมีลูกชายที่อัปลักษณ์มากจริงๆ หน้าแหลม และแก้มเหมือนวานร—นักป้อยอพวกนั้นพูดหรือไม่ว่าเขาอัปลักษณ์?  พวกเขาย่อมกล่าวว่าอย่างไร?  (เขาหล่อจริงๆ)  แล้วเพียงพอหรือไม่ที่พวกเขาจะกล่าวเพียงเท่านั้นว่า “เขาหล่อจริงๆ”?  พวกเขาต้องกล่าวอะไรที่ชวนให้พะอืดพะอมทำนองว่า “เขามีหน้าผากโหนก กรามก็มนใหญ่  มีใบหน้าของคนที่จะมั่งคั่งและดำรงสถานะสูงส่งในอนาคต!”  แม้จะเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะเอ่ยเรื่องโกหกเหล่านี้ออกมาอย่างเปิดเผย  เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกอิ่มเอม พวกเขาชอบฟังเรื่องเหล่านี้อย่างยิ่ง—สุขสำราญที่จะรับฟัง  พวกเขาชอบฟังเรื่องเหล่านี้มากเพียงใด?  ถ้าไม่มีใครกล่าวคำหน้าซื่อใจคด คำป้อยอ และคำที่แฝงเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขา ถ้าไม่มีใครกล่าวคำเท็จที่น่าขยะแขยงเหล่านี้เพื่อทำให้พวกเขามีความสุขและเอาใจพวกเขา พวกเขาก็จะเห็นว่าชีวิตไม่น่าสนใจ  นี่เลวมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่เลวอย่างยิ่ง  เวลาที่พวกเขาโกหกเสียเอง นั่นก็ชวนให้คลื่นเหียนมากอยู่แล้ว แต่พวกเขายังสุขสำราญกับการมีจอมโกหกวนเวียนรอบตัวเหมือนฝูงแมลงวันที่ส่งกลิ่นอีกด้วย และพวกเขาก็ไม่เคยเบื่อหน่ายสิ่งนี้  พวกเขารักคนที่รู้จักใช้คำพูด เก่งในการป้อยอและทำตัวให้ถูกใจพวกเขา คนที่พูดจาอ้อมค้อม—พวกเขาเก็บคนเหล่านี้ไว้ใกล้ตัวและให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ  ผู้นำแบบนี้มีภัยมิใช่หรือ?  พวกเขาจะสามารถทำงานชนิดใดให้สำเร็จได้?  คริสตจักรจะไม่จบสิ้นหรอกหรือถ้าตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา?  คริสตจักรยังจะสามารถมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?

เราได้ยินมาว่าผู้นำบางคนชอบกิน  ตอนที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องชายหญิงที่ปรุงอาหารไม่ค่อยเป็นและไม่ได้เตรียมมื้ออาหารดีๆ ให้ พวกเขาก็จะหาเจ้าภาพที่รู้จักประจบประแจงและพร่ำเอาอกเอาใจพวกเขา คอยเตรียมอาหารเลิศรสให้พวกเขาเป็นพิเศษทุกวัน  แต่ละวันผู้นำเหล่านี้จะกินและดื่มอย่างจุใจ พลางกล่าวว่า “เป็นเพราะพระเจ้า พวกเราถึงได้ชื่นชมงานเลี้ยงของพระเจ้ากันทุกวัน  นี่คือพระคุณของพระเจ้าโดยแท้!”  ผู้คนเช่นนี้มีภัย  ต่อให้พวกเขายังไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ พฤติกรรมของพวกเขาก็เปิดโปงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติและอุปนิสัยอันเลวเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ และในตอนนี้ก็ยังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย  การที่พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้ หรือว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์อยู่แล้ว ย่อมขึ้นอยู่กับเส้นทางที่พวกเขาเลือกในกาลข้างหน้า  เห็นได้ชัดทีเดียวว่าตอนนี้พวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และแก่นนิสัยของพวกเขาก็เป็นไปตามแก่นนิสัยในตัวศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นเพราะพวกเขาชมชอบสิ่งที่เป็นลบและไม่ชอบสิ่งที่เป็นบวก  พวกเขาดูหมิ่นสิ่งที่เป็นบวก กล่าวโทษและปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหัวใจ  แล้วพวกเขายอมรับสิ่งใด?  การตีสองหน้า เรื่องโกหก และทุกสิ่งที่สัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นลบ  เวลาเราไปถึงสถานที่หนึ่งๆ บางคนก็กล่าวว่า “พระองค์ดูไม่ค่อยสบาย พักผ่อนสักครู่เถิด”  เรื่องที่ว่าเรารู้สึกสบายดีหรือไม่และและจำเป็นต้องพักผ่อนเมื่อใด ตัวเราย่อมรู้เรื่องเหล่านี้เอง  เจ้าไม่ต้องแสร้งทำตัวหลักแหลม และไม่ต้องอวดตัวว่าฉลาดเพียงใด  เราไม่ยอมรับเรื่องนี้และเห็นว่าน่าสะอิดสะเอียน  แล้วเราชอบผู้คนแบบใด?  คนที่สามารถสามัคคีธรรมได้ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้นและสามารถเปิดใจคุยกับเราได้  เราสามัคคีธรรมกับเจ้าเพื่อแก้ไขเรื่องยุ่งยากให้เจ้า และเจ้าก็สามารถใกล้ชิดเรามากขึ้น  อย่าห่วงเรื่องทำตัวให้ถูกใจเราและพยายามเอาใจเรา—นั่นน่ารังเกียจอย่างยิ่ง!  ผู้คนเช่นนี้ควรอยู่ห่างจากเรา เพราะเราเห็นว่าพวกเขาน่าสะอิดสะเอียน  เราจัดให้เจ้าเป็นแมลงวันน่ารำคาญหรือสัตว์รังควาน  จงอยู่ให้ห่าง!  บางคนกล่าวว่า “พระองค์ไม่อยากได้ใครสักคนอยู่เคียงข้างเพื่อรับใช้พระองค์หรอกหรือ?”  ในทัศนะของเจ้า ควรมีการปรนนิบัติรับใช้บางอย่างที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์และสถานะของเรา  แต่เราไม่ต้องการเช่นนั้น  เจ้าต้องไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เข้าใจหรือไม่?  เรารู้สึกขยะแขยงและชิงชังสิ่งเหล่านี้  ถ้าเจ้ามีใจคำนึงถึงเราและห่วงใยเราจริง ก็มีหนทางอันถูกควรที่จะทำเช่นนั้นอยู่มากมาย  ตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกให้เจ้าทำบางสิ่ง เจ้าก็เชื่อฟังและทำเรื่องนั้นให้เสร็จ และพอเจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยาก เจ้าก็สามารถหารือเรื่องเหล่านั้นกับเราได้ทันที  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่าเลียนแบบวิธีการที่ผู้ไม่มีความเชื่อใช้ประจบเอาใจผู้คนที่อยู่ในตำแหน่ง เอ่ยคำป้อยอที่ฟังรื่นหูเสียมากมาย—เราไม่ชอบฟังคำพวกนั้น  เห็นได้ชัดว่าเราไม่ใช่คนตัวสูง แต่เจ้าก็ยืนกรานที่จะพูดว่า “พระองค์อาจไม่สูง แต่พระองค์ก็สูงกว่าพวกเรา”  เราไม่ชอบฟังอะไรเช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด จงอย่ากล่าวเช่นนั้นกับเรา เจ้าบอกผิดคนแล้ว  ศัตรูของพระคริสต์ชอบฟังคำพวกนี้  ยกตัวอย่างพวกเขาถามพี่น้องชายหญิงที่อยู่ใต้พวกเขาว่า “ฉันดูอ้วนไหม?”  แล้วบางคนก็ตอบว่า “ต่อให้คุณอ้วน คุณก็ดูดีกว่าพวกเรา”  “ถ้าอย่างนั้นฉันผอมหรือเปล่า?”  “ต่อให้คุณผอม คุณก็ดูน่าทึ่ง  ไม่ว่าจะผอมหรืออ้วน คุณก็เหมือนนางแบบนายแบบแฟชั่น คุณสวมใส่อะไรก็ดูดีไปหมด”  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้ฟังเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกปลาบปลื้มและมองเจ้าเป็นหุ้นส่วนและแนวร่วม  ทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ชมชอบนี้น่าสะอิดสะเอียนและเลว—คนเราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเลวได้ด้วยเหตุใดอีก?  ศัตรูของพระคริสต์รักองค์ประกอบต่างๆ ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่น มโนธรรม เหตุผล สำนึกละอายแก่ใจ และศักดิ์ศรี รวมทั้งวิจารณญาณแยกแยะดีชั่ว ดำขาว และถูกผิด และอื่นๆ ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ศัตรูของพระคริสต์รักผู้คนที่มีสำนึกละอายแก่ใจหรือไม่?  พวกเขารักผู้คนที่มีศักดิ์ศรีหรือไม่?  พวกเขารักคนที่ไร้ความละอาย สามารถพูดจาหวานเลี่ยนได้โดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สึกอับอาย  พวกเขาไม่มีสำนึกละอายแก่ใจมิใช่หรือ?  ยิ่งถ้อยคำของเจ้าหวานเลี่ยน พวกเขาก็ยิ่งมีความสุข  เมื่อดูความชอบส่วนตัวและท่าทีที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อสิ่งต่างๆ รวมทั้งตัวเลือกและความสนใจของพวกเขาแล้ว ก็ชัดเจนว่าความเลวของพวกเขาไร้ซึ่งขอบเขต  ไม่ต้องพูดถึงคนที่เข้าใจความจริงหรอก—แม้แต่ผู้คนที่มีสำนึกแห่งความเที่ยงธรรมเพียงเล็กน้อยในสังคมก็ไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนั้น  เจ้าดูเถิด คนที่อยู่ในแวดวงของทางการบางคนขวนขวายทำตัวให้ถูกใจคนที่อยู่ในตำแหน่ง  พวกเขาให้ทุกสิ่งที่ผู้คนในตำแหน่งต้องการ ถึงกับยอมยกภรรยาให้—พวกเขาไร้ศักดิ์ศรีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหน้าที่บางคนก็มีความสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน บางคนที่มีเพศเดียวกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้จึงพาตัวเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับพวกเขา ทำตัวเช่นนั้นแม้ว่าตัวพวกเขาเองจะไม่อยากทำก็ตาม  พวกเจ้าสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แต่พวกเขาทำได้  พวกเขาไม่มีบรรทัดฐานทางศีลธรรม ไม่มีสำนึกละอายแก่ใจ ไม่มีความตระหนักรู้ตามมโนธรรม ไม่มีเหตุผล—นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้  ถ้าให้เจ้ากล่าวสิ่งที่พวกเขาพูดประหนึ่งบทพูดในละคร เจ้าย่อมจะเอ่ยออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ผู้คนเหล่านี้แสดงเก่งยิ่งกว่านักแสดงบนเวทีเสียอีก  ที่ว่านักแสดงบนเวทีนี้ เราหมายถึงสิ่งใด?  เราหมายถึงคนที่ไม่รังเกียจและไม่กะพริบตาเมื่อมีคนเห็นหรือแวะมาหาตอนที่พวกเขาเปลือยเปล่า  ผู้คนแบบนั้นเรียกว่านักแสดงบนเวที  ดังนั้น นักป้อยอที่มีวาจาชวนให้พะอืดพะอมและสะอิดสะเอียน และชอบเรื่องเลวๆ จึงยิ่งเลวกว่านักแสดงบนเวทีเสียอีก  ฝ่ายหลังเพียงแต่ขายร่างกาย แต่คนเลวซึ่งเป็นที่รู้จักในนามศัตรูของพระคริสต์พวกนี้ขายสิ่งใด?  พวกเขาขายดวงจิตของตน  พวกเขาเป็นปีศาจกลุ่มหนึ่งที่เหลือวิสัยที่จะไถ่ได้  นั่นคือสาเหตุที่การกล่าวความจริงแก่ผู้คนเหล่านี้เป็นเหมือนการโยนไข่มุกให้สุกร—เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรักความจริง  นี่คือท่าทีที่พวกเขามีต่อสถานะ สุขสำราญกับความรู้สึกต่างๆ ว่าตนนั้นเหนือกว่ารวมทั้งความรู้สึกดีอื่นๆ ที่ติดมาด้วย  ความรู้สึกต่างๆ ที่ได้จากความสุขสำราญนี้คืออะไร?  เป็นบวกหรือเป็นลบ?  ล้วนเป็นลบทั้งสิ้น  เมื่อพวกเขาได้สถานะ พวกเขาก็คาดหวังที่จะสุขสำราญกับการมีผู้คนมาป้อยอตน ตอบสนองความต้องการและความสนใจของตน  พวกเขาอยากสุขสำราญกับการปฏิบัติเป็นพิเศษอีกด้วย—อาหาร ที่พัก และสิ่งที่พวกเขาใช้ต้องพิเศษทุกอย่าง และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาก็ต้องแตกต่างจากผู้อื่น  แท้จริงแล้วร่างกายของเจ้าแตกต่างจากร่างกายของผู้อื่นหรือไม่?  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้สถานะมาแล้ว พวกเขากลับเชื่อว่าตนนั้นสูงส่งและไม่ธรรมดา ราวกับว่าไม่มีที่ใดบนแผ่นดินโลกที่สามารถรองรับพวกเขาได้อีกต่อไป—พวกเขาต้องนั่งบน “กอกุหลาบ” ให้ผู้คนมาถวายของแก่ตน  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  จงบอกเราเถิดว่าโดยทั่วไปแล้วนี่ใช่แนวคิดที่ผู้คนปกติมีกันหรือไม่?  ไม่ว่าจะมีสถานะหรือไม่ ผู้คนที่ปกติก็อาจมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีสถานะอยู่บ้าง แต่เพราะพวกเขามีสำนึกละอายแก่ใจ มีมโนธรรม และเหตุผล นอกเหนือจากที่มีความเข้าใจบางอย่างในความจริงแล้วในตอนนี้ ความผูกพันที่พวกเขามีต่อสถานะจึงลดน้อยถอยจาง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถให้ความสำคัญน้อยลงกับความได้เปรียบที่มาพร้อมสถานะอีกด้วย และถ้าพวกเขาสามารถมองเห็นว่าผลประโยชน์ที่สถานะนำมาให้นั้นไม่มีความสำคัญ พวกเขาย่อมจะรู้สึกรังเกียจคำป้อยอ การพูดจาหวานหู การประจบประแจง และพฤติกรรมอื่นๆ ในทำนองดังกล่าวของผู้อื่นได้เช่นกัน และสามารถพาตัวออกห่างหรือแม้กระทั่งหันหลังให้และทิ้งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา  แต่ศัตรูของพระคริสต์จะสามารถละทิ้งหรือปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ถ้าเจ้าขอให้พวกเขาปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ นั่นก็เหมือนว่าเจ้ากำลังขอชีวิตของพวกเขา  หาไม่แล้ว ทันทีที่สูญสิ้นสถานะ เหตุใดบางคนจึงกล่าวว่า “ฉันจะไม่เชื่ออีกต่อไป ฉันจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ชีวิตไม่น่าอยู่แล้ว”?  มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในที่นี้มิใช่หรือ?  เหตุใดสถานะจึงสำคัญกับพวกเขาขนาดนั้น?  พวกเขาไม่อาจมีชีวิตที่ธรรมดาและไร้ความตื่นเต้นได้ พวกเขาต้องมีสถานะ ต้องยืนอยู่เหนือฝูงชนและอิ่มเอิบอยู่กับการเคารพเทิดทูน การบูชา และการยกชูจากผู้อื่น รวมทั้งเรื่องโกหกที่เจตนาจะสนองความต้องการของพวกเขา หลอก และป้อยอพวกเขา  พวกเขาอยากหลงมัวเมาไปกับสิ่งเหล่านี้  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะเต็มใจหลงมัวเมาในสิ่งดังกล่าวหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ มันทำให้พวกเขาพะวักพะวน  แล้วเหตุใดศัตรูของพระคริสต์จึงชอบที่จะสุขสำราญกับสิ่งเหล่านี้?  เพราะพวกเขามีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอยู่ในตัว  เฉพาะคนที่เป็นพรรคพวกของซาตานเท่านั้นที่ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้และมีข้อเรียกร้องดังกล่าว  ผู้คนที่ปกติอาจจะสุขสำราญกับสิ่งเหล่านี้อยู่ระยะหนึ่ง แต่พวกเขาก็มาพบว่าสิ่งเหล่านี้ไร้ความหมายและถึงกับน่ารำคาญ จากนั้นก็จะอยู่ห่างจากทั้งหมดนี้  แต่บางคนก็ดื้อดึงไม่ยอมปล่อยมือ  ตัวอย่างเช่น เหตุใดดาราหนังบางคนจึงไม่เคยเกษียณจากโลกภาพยนตร์ทั้งที่สูงอายุขึ้นเรื่อยๆ?  เพราะเมื่อไม่มีความเฉิดฉายเช่นนั้น ไม่มีผู้คนรายล้อม พวกเขากลับพบว่าชีวิตจืดชืด  รู้สึกว่าท้องฟ้าไม่เป็นสีฟ้าเท่าใดนัก ชีวิตไร้ทิศทาง กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่มีคุณค่า  พวกเขารู้สึกว่าชีวิตมัวหม่นไปหมด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกลับเข้าวงการภาพยนตร์เพื่อที่จะได้หวนรู้สึกถึงการเป็นดาราอีกครั้ง  ศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเดียวกันกับคนเหล่านี้คือ มีอุปนิสัยและแก่นแท้ที่เลวพอกัน  เมื่อศัตรูของพระคริสต์มีสถานะ พวกเขาย่อมอวดสถานะไปทั่วทุกแห่ง ถึงกับสวมบทเป็นเผด็จการในบ้านของตนและให้สมาชิกครอบครัวเชื่อฟังตน  ศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยและแก่นแท้ที่เลว พวกเขาจึงผูกพันกับสถานะเป็นพิเศษ พยายามอวดและแสดงสถานะ  นี่แสดงให้พวกเราเห็นสิ่งใด?  ผู้คนเหล่านี้มีสำนึกละอายแก่ใจหรือไม่?  ไม่มี  พวกเขาได้สถานะและนึกว่าอัตลักษณ์ของตนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้กระทั่งสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพ่อแม่ก็เปลี่ยนไป  มีปัญหาในที่นี้มิใช่หรือ?  นี่เป็นเรื่องผิดประหลาด!  การที่พวกเขาสามารถมีท่าทีดังกล่าวต่อสถานะได้ก็เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่เปิดโปงแก่นแท้อันเลวของพวกเขา

พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์จึงสูงสุด  พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจ พระปัญญา และฤทธานุภาพ พระองค์มีพระอุปนิสัยของพระองค์เอง รวมทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงครองและทรงเป็น  มีใครรู้บ้างว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติและสิ่งทรงสร้างทั้งปวงมานานกี่ปีแล้ว?  จำนวนปีที่ชัดเจนในการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและบริหารจัดการมนุษยชาติทั้งปวงนั้นไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสามารถให้ตัวเลขที่แน่ชัดได้ และพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสบอกให้มนุษยชาติรู้เรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดีถ้าซาตานจะทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้ มันจะบอกให้รู้หรือไม่?  มันจะพูดแน่นอน  มันอยากอวดตัวเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ถึงคุณูปการที่มันทำ  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ตรัสบอกเรื่องเหล่านี้?  แก่นแท้ของพระเจ้ามีแง่มุมที่ถ่อมใจและซ่อนเร้นอยู่  สิ่งที่ตรงข้ามกับการถ่อมใจและซ่อนเร้นคืออะไร?  คือการโอหังและอวดตน  ไม่ว่าพระราชกิจที่พระเจ้าทำจะยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์ก็ตรัสบอกผู้คนเฉพาะสิ่งที่พวกเขาสามารถตระหนักและเข้าใจได้ พอพระทัยกับการเปิดโอกาสให้ผู้คนเกิดความรู้ รู้จักแก่นแท้ของพระองค์ผ่านทางพระราชกิจที่พระองค์ทำ  นี่ย่อมนำประโยชน์อันใดมาให้แก่ผู้คน?  ผลสัมฤทธิ์ของการนี้คือสิ่งใด?  ผู้คนต้องรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะนมัสการพระเจ้าใช่หรือไม่?  แท้จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น  การที่ผู้คนสามารถนมัสการพระเจ้าคือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในท้ายที่สุด แต่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าในการเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้สิ่งเหล่านี้คืออะไร?  ก็คือการทำให้พวกเขาเกิดความสามารถ หลังจากที่พวกเขารู้เรื่องเหล่านี้ หลังจากที่เกิดความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงบริหารจัดการมนุษยชาติอย่างไร พระองค์ทรงจัดแจงและทรงครองอธิปไตยเหนือมนุษยชาติอย่างไร พวกเขาก็จะสามารถนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า ไม่แข็งขืนโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป และไม่เบนออกนอกทาง—เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะทนทุกข์น้อยลงมาก  เมื่อดำเนินชีวิตตามธรรมชาติและดำรงอยู่ตามวิถีและตามกฎที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ ตามพระประสงค์และตามหลักธรรมที่พระองค์ประทานไว้ เจ้าก็จะไม่ตกอยู่ในกำมือของซาตานอีกต่อไป และจะไม่ถูกทำให้เสื่อมทรามและเหยียบย่ำเป็นครั้งที่สอง  แต่จะมีชีวิตอยู่ในกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ตลอดไป ดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์และในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ได้รับการดูแลและคุ้มครองจากพระเจ้า  นี่คือเจตนารมณ์และจุดประสงค์ดั้งเดิมในพระราชกิจของพระเจ้า  แล้วด้วยพระราชกิจมากมายที่พระเจ้าทำไปแล้ว พระองค์เคยอวดพระราชกิจนั้นๆ บ้างหรือไม่?  พระองค์เคยตรัสบอกผู้คนว่าทรงทำสิ่งใดไปแล้วบ้างหรือไม่?  ไม่เคย  ผู้คนมากมายไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดลงไปบ้าง หรือพระเจ้าทรงทำเรื่องแบบใดและไม่ได้ทำเรื่องแบบใด  อันที่จริง พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ไปมากมาย แต่ไม่เคยทรงแถลงเรื่องเหล่านี้แก่มนุษยชาติ  พระเจ้าไม่ทรงประกาศบอกมนุษยชาติ ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำมีเพียงชัดเจนในสิ่งที่เจ้าพึงรู้  ต่อไปในอนาคต มนุษยชาติจะสามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกตามปกติและน้อมรับการทรงนำของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาในหมู่มนุษยชาติ ผู้คนก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าตามปกติ รับเสด็จ นมัสการพระองค์ รับฟังพระวจนะของพระองค์ และไม่เดินร่วมกับซาตานอีกต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ ราชอาณาจักรของพระเจ้าก็จะปรากฏบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็จะมีกลุ่มคนที่สามารถนมัสการพระองค์ กลุ่มคนที่สามารถรับฟังพระวจนะของพระองค์และนำไปปฏิบัติได้  ด้วยเหตุนี้พระราชกิจของพระเจ้าย่อมจะสำเร็จลุล่วง ย่อมเพียงพอที่จะสัมฤทธิ์ผลนี้ได้  ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ถ้าเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ตระหนักรู้ พระเจ้าจะไม่ตรัสอธิบายเรื่องนั้นๆ แก่เจ้า  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงอธิบาย?  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น  มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าไม่เข้าใจ และพระเจ้าก็จะไม่ทรงเผยความล้ำลึกบางอย่างแก่เจ้าเพื่อทำให้เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้หรือเข้าใจอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์ หรือเข้าใจฤทธานุภาพของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจนี้  ในเวลานี้พระเจ้าทรงมุ่งทำสิ่งใด?  พระองค์ทรงมุ่งเน้นที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจความจริง  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าก็จะมารู้จักพระเจ้า มีรากฐานสำหรับชีวิตของเจ้า สามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้าในอนาคต และเจ้าก็จะสามารถใช้วิจารณญาณดูซาตานและละทิ้งมันได้ ไม่ถูกมันชักพาให้หลงผิดหรือคล้อยตามมันอีกต่อไป—เมื่อนั้นพระราชกิจของพระองค์ย่อมเสร็จสมบูรณ์  ส่วนความล้ำลึกทั้งหลายนั้น มนุษยชาติจะมีโอกาสทำความเข้าใจเรื่องเหล่านั้นในอนาคต แต่ความล้ำลึกในการกระทำของพระเจ้าช่างไพศาลยิ่ง และต่อให้พระเจ้าทรงเผยเรื่องเหล่านั้นแก่เจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้าจะเข้าใจ  ต่อให้เจ้ามาสัมผัสสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็อาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจหรือตระหนักรู้สิ่งเหล่านั้นได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะมีระยะห่างระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระเจ้า ระหว่างความนึกคิดของมนุษย์กับพระดำริของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น เจ้าอาจจะรู้ว่ารุ้งคือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษยชาติ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ้งเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  ถ้าพระเจ้าจะทรงอธิบายความล้ำลึกนี้แก่เจ้า เจ้าจะเข้าใจหรือไม่?  เจ้าจะไม่เข้าใจ ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ตรัสบอกเจ้า  ถ้าพระองค์ทรงทำเช่นนั้นก็จะเป็นภาระแก่เจ้า เพราะเจ้าจำเป็นที่จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ ซึ่งจะเป็นการยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ตรัสเรื่องความล้ำลึกมากนัก  แต่ถ้ามนุษย์ที่เป็นพวกของซาตาน รู้เรื่องความล้ำลึกเหล่านี้ เขาจะเก็บเงียบไว้ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  แก่นแท้ของพวกเขาต่างออกไปตรงจุดนี้  จริงหรือไม่ที่พระเจ้าทรงอธิบายสิ่งต่างๆ มากมายซึ่งพระองค์ทรงเผยแก่มนุษยชาติมานานหลายปีแล้ว แต่ผู้คนกลับไม่เคยสามารถเข้าใจได้?  พระองค์ทรงทำเรื่องเหนือธรรมชาติใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมา และพระเจ้าก็ทรงรู้ว่าผู้คนสามารถเข้าใจได้มากเท่าใดและสามารถเข้าใจได้ถึงขั้นไหน  มีการวางสิ่งเหล่านี้ไว้ต่อหน้าต่อตาผู้คนแล้ว แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเข้าใจ ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาหรือยัดเยียดเรื่องเหล่านี้ ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระแก่ผู้คน ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงพระราชกิจในลักษณะนั้น  เพราะฉะนั้นจึงมีหลักธรรมอยู่ในการกระทำของพระเจ้า  แนวทางที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาตินั้นเป็นแนวทางของการชื่นชู การมีน้ำใจคำนึงถึง และความรัก  พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้คน—นี่คือต้นกำเนิดและเจตนารมณ์ดั้งเดิมเบื้องหลังการกระทำทั้งปวงของพระเจ้า  ในทางตรงกันข้าม ซาตานกลับอวดตัว ยัดเยียดสิ่งต่างๆ ให้แก่ผู้คน ทำให้พวกเขาเคารพบูชาและถูกชักพาให้หลงผิด และชักนำพวกเขาให้เสื่อมทรามลง เพื่อให้พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นมารที่มีชีวิตและมุ่งหน้าไปสู่การทำลายล้าง  แต่เมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า ถ้าเจ้าเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถหนีพ้นจากอิทธิพลของซาตานและบรรลุความรอด—เจ้าจะไม่เผชิญจุดจบที่เป็นการถูกทำลายล้าง  ซาตานไม่สามารถทนเห็นผู้คนประสบความสำเร็จ และมันก็ไม่สนใจว่าผู้คนจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป มันสนใจแต่ตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเอง และความหรรษาของตัวเองเท่านั้น และซาตานไม่มีความรัก ความกรุณา การยอมผ่อนปรน และการให้อภัย  ซาตานไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้  พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมายในตัวมนุษย์ แต่พระองค์เคยตรัสถึงการนั้นบ้างหรือไม่?  พระองค์เคยตรัสอธิบายเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  พระองค์ทรงเคยประกาศเรื่องนั้นบ้างหรือไม่?  ไม่เคย  ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจพระเจ้าผิดไปอย่างไร พระองค์ก็ไม่ทรงอธิบาย  ตามมุมมองของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอายุหกสิบหรือแปดสิบปี ความเข้าใจที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าย่อมจำกัดมาก และเมื่อดูว่าเจ้ารู้น้อยเพียงใด เจ้าก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี  พระเจ้าไม่ทรงถือสาเจ้า เจ้ายังคงเป็นเด็กที่ยังไม่โต  ถึงบางคนจะดำรงชีวิตมาหลายปีและร่างกายของพวกเขาก็แสดงสัญญาณแห่งวัย นั่นก็ไม่สำคัญ ความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงเหมือนเด็กและตื้นเขินมาก  พระเจ้าไม่ทรงถือสาเจ้าในเรื่องนี้—ถ้าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าย่อมไม่เข้าใจ  นั่นคือขีดความสามารถและศักยภาพของเจ้า ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  พระเจ้าจะไม่ทรงฝืนยัดเยียดสิ่งใดให้กับเจ้า  พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนเป็นคำพยานให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงเคยเป็นคำพยานให้พระองค์เองหรือไม่?  (ไม่เคย)  ในทางกลับกัน ซาตานกลับกลัวว่าผู้คนจะไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องเล็กที่สุดที่มันทำ  พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่แตกต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขาอวดตัวต่อหน้าทุกคนเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  เวลาได้ยินพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า—แต่หากเจ้าฟังอย่างใกล้ชิด เจ้าจะค้นพบว่าพวกเขาไม่ได้กำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่กำลังอวดโอ้ กำลังสร้างชื่อให้ตัวเอง  เจตนารมณ์และแก่นแท้เบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาพูดคือการแย่งชิงกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและสถานะ  พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง  มีความแตกต่างกันหรือไม่?  ระหว่างการอวดตัวกับความถ่อมใจและการซ่อนเร้น อย่างไหนคือสิ่งที่เป็นบวก?  (ความถ่อมใจและการซ่อนเร้น)  จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะเหตุใด?  เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติอันเลวร้ายของมันแล้ว ซาตานก็คือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง การที่ซาตานจะไม่อวดตัวย่อมจะผิดปกติ  จะสามารถเรียกซาตานว่า “ถ่อมใจ” ได้อย่างไรกัน?  “ความถ่อมใจ” เป็นการพูดถึงพระเจ้า  พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่เคยโอ้อวด  พระเจ้าถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น ดังนั้นผู้คนจึงมองไม่เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงลงมือทำไปแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความบดบังดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียม การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  การที่พระเจ้าไม่เคยแถลงให้รู้เรื่องเหล่านี้ ไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้ นี่คือความซ่อนเร้นและความถ่อมใจมิใช่หรือ?  แน่นอนว่าที่พระเจ้าถ่อมพระทัยก็เพราะพระองค์สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่เคยตรัสถึงหรือประกาศให้รู้ และไม่ทรงโต้แย้งกับผู้คนในเรื่องเหล่านี้  เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะพูดถึงความถ่อมใจในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้?  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแต่อย่างใด แต่กลับดึงดันที่จะรับเอาความดีความชอบในสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย  ขณะที่ทรงนำมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงกำกับดูแลทั้งจักรวาล  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กระนั้นก็ตาม พระองค์กลับไม่เคยตรัสว่า “อำนาจของเราพิเศษเหนือธรรมดา”  พระองค์ยังคงซ่อนเร้นท่ามกลางสรรพสิ่ง โดยทรงกำกับดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง บำรุงเลี้ยงและจัดเตรียมให้แก่มนุษยชาติ เปิดโอกาสให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า  จงดูอากาศและแสงอาทิตย์เป็นตัวอย่างเถิด หรือวัตถุสิ่งของทั้งปวงที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์บนแผ่นดินโลก—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไหลเวียนไปอย่างไม่หยุดยั้ง  การที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นไม่ต้องสงสัยเลย  หากซาตานทำบางสิ่งที่ดี มันจะเก็บสิ่งนั้นไว้เงียบๆ และดำรงตนเป็นวีรบุรุษที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่กระนั้นหรือ?  ไม่มีวัน  นั่นก็เป็นเหมือนการที่มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนในคริสตจักรซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานที่มีอันตราย เคยละทิ้งสิ่งต่างๆ และสู้ทนความทุกข์ และอาจเคยเข้าคุกตารางมาแล้วด้วยซ้ำ ทั้งยังมีบางคนที่เคยมีคุณูปการต่องานด้านหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขาไม่เคยลืมสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับความดีความชอบไปชั่วชีวิตสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือต้นทุนชั่วชีวิตของตน—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่ำต้อยเพียงใด!  แท้จริงแล้วผู้คนต่ำต้อย และซาตานก็ไร้ยางอาย

จงบอกเราเถิด ถ้าศัตรูของพระคริสต์มีสถานะเสมอพระเจ้า พวกเขาจะต้องกินและสวมใส่สิ่งใดบ้าง?  พวกเขาจะต้องกินอาหารที่ดีที่สุดและสวมใส่แบรนด์ที่ดีที่สุดใช่หรือไม่?  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าในเรื่องข้อเรียกร้องทางด้านวัตถุสิ่งของ พวกเขาย่อมมีรายละเอียดจำเพาะบางอย่างมิใช่หรือ?  เวลาไปยังที่บางแห่ง พวกเขาก็ต้องนั่งเครื่องบิน  พอพวกเขาไปถึงที่นั่น พี่น้องชายหญิงทั่วไปสามารถเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเขาที่บ้านของตนได้หรือไม่?  ต่อให้ทำได้ ศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นก็จะไม่พักกับพวกเขา—คนเหล่านั้นต้องพักโรงแรมหรู  ศัตรูของพระคริสต์จึงมีรายละเอียดที่จำเพาะเจาะจงอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ส่วนเรื่องของเกียรติ ความสุขสำราญ และความฟุ้งเฟ้อที่สถานะจะนำมาให้พวกเขานั้น พวกเขาสามารถวางมือจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  ตราบใดที่พวกเขามีภาวะและโอกาสที่เหมาะสม พวกเขาย่อมฉวยสิ่งเหล่านี้เอาไว้เต็มกำมือและสุขสำราญกับมัน  พวกเขามีหลักธรรมว่าอย่างไร?  ตราบใดที่มีสถานะ พวกเขาก็สามารถหยิบจับเงินทอง สวมเสื้อผ้าและใส่เครื่องประดับแบรนด์เนมได้  พวกเขาไม่อยากสวมใส่สิ่งของธรรมดา ต้องสวมใส่แบรนด์ที่มีชื่อเสียง  เนกไท ชุดสูท เสื้อเชิ้ต กระดุมข้อมือ สร้อยคอทองคำ และเข็มขัด—ทุกสิ่งมีแบรนด์เนม  นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี แล้วพี่น้องชายหญิงก็ทนทุกข์เพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ?  เงินทองที่พี่น้องชายหญิงถวายให้กลับถูกศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ใช้ซื้อสินค้าแบรนด์เนม  นี่คือความชั่วร้ายแรงที่พวกเขาทำลงไปมิใช่หรือ?  นี่เกิดจากความเลวของพวกเขามิใช่หรือ?  นี่คือชนิดของสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้  มีบางคนแต่งกายเจียมเนื้อเจียมตัวตอนที่รับตำแหน่งผู้นำเป็นครั้งแรก พร้อมเสื้อผ้าเพียงสามถึงห้าชุดซึ่งไม่ใช่ของแบรนด์เนมหรือหรูหรา  หลังจากเป็นผู้นำได้หลายปี เขาก็ถูกคนอื่นแทนที่เพราะไม่ทำงานจริง  ตอนที่เขาจากไป เขาเอาของไปด้วยเป็นคันรถ ได้แก่ เสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋า และของดีๆ สารพัดชนิด  ในฐานะผู้นำ เขาไม่ได้หาเงินเลย แล้วสิ่งของเหล่านี้มาจากไหน?  มาจากสถานะของเขา  เวลาผู้อื่นซื้อสิ่งของเหล่านี้มาให้ ถ้าเขาปฏิเสธ พี่น้องชายหญิงจะยังคงยืนกรานซื้อให้เขาหรือไม่?  เรื่องเช่นนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่?  ถ้าเขาไม่อยากได้สิ่งของเหล่านี้ พี่น้องชายหญิงก็คงไม่ซื้อหามาให้  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เขาฉกฉวยสิ่งของเหล่านี้ด้วยการบีบบังคับและด้วยความละโมบ  ด้านหนึ่งเขาขูดรีดพี่น้องชายหญิง อีกด้านหนึ่งเขาก็ขะมักเขม้นซื้อของเหล่านี้ด้วยตนเอง  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้พี่น้องชายหญิงซื้อสิ่งเหล่านี้ให้เขา ถ้าใครปฏิเสธ เขาก็ระรานคนเหล่านั้นและกลั่นแกล้งให้ลำบาก  เหตุผลมากมายหลายข้อนี้มีบทบาทเกี่ยวข้องทั้งสิ้น  ท้ายที่สุดเขาก็รับ “ผลเก็บเกี่ยวที่ดีเป็นพิเศษ” เอาไว้ และกลายเป็นคนที่มั่งคั่ง  พวกเจ้าอิจฉาผู้นำแบบนี้หรือไม่?  ถ้ามีโอกาส พวกเจ้าจะสามารถตักตวงความมั่งคั่งแบบนี้ได้เช่นกันหรือไม่?  ให้เราบอกเจ้าเถิดว่าไม่ดีเลยที่จะมั่งคั่งเช่นนี้—นี่ย่อมมีผลตามมา!  เมื่อบางคนกลายเป็นผู้นำ พวกเขาก็กลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตน  คิดไปว่าการทดลองจะหนักหนาเกินไป ยากที่จะหลีกเลี่ยงหรือรับมือการทดลองเหล่านี้ และง่ายที่จะตกอยู่ในการทดลอง  แต่บางคนก็ไม่ใส่ใจและคิดว่า “นี่เป็นเรื่องปกติ  มีใครรับตำแหน่งโดยไม่สุขสำราญกับสิ่งของดังกล่าวบ้าง?  จะรับตำแหน่งทำไมตั้งแต่แรก?  นั่นละประเด็นทั้งหมด!”  นี่เป็นสุ้มเสียงชนิดใด?  นี่คือเสียงในตัวศัตรูของพระคริสต์ และผู้คนเหล่านี้ย่อมมีภัย

ตอนนี้เราทำงานมาเกือบสามสิบปีแล้ว  เราเคยรีดไถสิ่งใดจากใครบ้างหรือไม่?  ยกตัวอย่างถ้าเราเห็นใครใส่เครื่องประดับสวยๆ เราเคยขู่บังคับเอาของชิ้นนั้นมาจากพวกเขาหรือไม่ โดยส่งข้อความทำนองว่า “มอบเครื่องประดับของเจ้ามาให้เรา นั่นไม่เหมาะกับเจ้าหรอก  เครื่องประดับทองคำและเงินนั้นมีไว้สำหรับผู้คนที่มีสถานะ ส่วนคนที่ไม่มีสถานะไม่ควรใส่”?  เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรือไม่?  ไม่เคย  แม้ในยามที่พี่น้องชายหญิงบางคนพอจะมีเงินบ้างและซื้อเสื้อหนังหรืออะไรสักอย่างให้เรา เราก็คืนของให้เสมอ  ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบของชิ้นนั้น เพียงแต่เราไม่ได้ใช้ของแบบนั้น  ต่อมาเราก็คิดเรื่องนี้ว่า “เราควรจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไรจึงจะเหมาะควร?  เราควรทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้คนที่ซื้อของมาให้?”  เราจึงนำของเหล่านี้ไปที่คริสตจักรเพื่อให้พี่น้องชายหญิงจำหน่ายไปตามหลักธรรมได้  ถ้าใครเต็มใจซื้อของมีค่า คริสตจักรก็จะขายลดราคาให้  นี่ไม่ใช่การหาเงิน เป็นเรื่องของการจัดการสิ่งของในลักษณะที่เหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย  ไม่มีใครควรได้รับของเหล่านี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะเดิมทีของเหล่านี้ก็ไม่ได้ตั้งใจมอบให้เจ้า  สิ่งของเหล่านี้มีจำนวนจำกัดและไม่อาจแจกจ่ายให้ทุกคนได้อย่างเท่าเทียม และไม่เหมาะควรที่ใครจะได้รับมอบ  ดังนั้นทางเลือกเดียวก็คือให้คนที่มีเงินและเต็มใจซื้อมาซื้อไปเสีย  แน่นอนว่าราคาย่อมถูกกว่าที่ขายกันในท้องตลาด นี่จึงเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลจากพระนิเวศของพระเจ้า  เรามีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้  เพราะเมื่อมีการมอบของให้แก่เรา สิ่งนั้นย่อมกลายเป็นของเรา และเราก็มีสิทธิ์ที่จะจัดการตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม  ของนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่ซื้อหามาในตอนแรกอีกต่อไป  เมื่อจัดการเรื่องราวเช่นนี้ เราย่อมปกป้องคนคนนั้นจากความรู้สึกภาคภูมิใจไปเรียบร้อยแล้ว  เสียงคัดค้านใดๆ ก็ไม่ควรมี เพราะแนวทางนี้เหมาะควรทุกด้าน  พี่น้องชายหญิงมากมายซื้อของมาให้เรา  เราไม่ได้ฝากพวกเขาซื้อมาให้ และยิ่งไม่ได้เรียกร้องให้พวกเขาทำเช่นนั้น  พวกเขามีแก่ใจทำให้ ซึ่งเราก็ซึ้งใจ แต่มีของมากมายหลายชิ้นที่เราไม่อาจรับไว้ได้เพราะเราไม่ได้ต้องการของเหล่านั้น  นี่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  สิ่งที่เรากล่าวมาเหมาะควรหรือไม่?  (เหมาะควร)  การที่เราจัดการไปเช่นนี้ก็เหมาะควรเช่นกันใช่หรือไม่?  (ใช่)  ยังมีพี่น้องชายหญิงบางคนที่รู้ว่าเราหนาวง่ายและไม่กินอาหารที่เย็น ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อยาแก้ “กระเพาะอาหารเย็น” มาให้  อย่างไรก็ดี หลังจากกินยาเหล่านั้นเข้าไป เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก—ร่างกายของเราไม่อาจทนการลองยาเช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงมียามากมายที่เราต้องระวัง  พวกเจ้าจำต้องเข้าใจข้อนี้  นอกจากนี้พี่น้องชายหญิงบางคนก็ซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพบางอย่างมาให้ เช่น โสมภูเขา โสมแดง และยาบำรุงชนิดอื่นๆ  เรากินไม่ได้สักอย่าง  เพราะเหตุใด?  เพราะของเหล่านั้นไม่เหมาะกับเรา  ไม่ใช่ว่าเราดูถูกของที่พี่น้องชายหญิงซื้อมาให้หรือแหล่งที่พวกเขาซื้อมา เพียงแต่เราไม่สามารถใช้ของเหล่านั้นได้ เราไม่สามารถใช้ได้  ไม่ใช่ว่าของดีทุกอย่างจะเหมาะกับทุกคน  มีของดีมากมายข้างนอกนั่น และถ้าเจ้ากินของดีบางอย่างเข้าไป แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์หรือเป็นภูมิแพ้ ของนั้นก็ไม่ดีสำหรับเจ้า  ดังนั้นควรรับมือเรื่องนี้อย่างไร?  การยอมให้คนที่เหมาะสมใช้ของนั้นย่อมดีที่สุด  เพราะฉะนั้นให้เราบอกเจ้าเถิดว่า ไม่ว่าใครที่กำลังจะจ่ายเงินซื้อสิ่งของให้เรา จงจำคำเหล่านี้เอาไว้—อย่าซื้อ  ถ้าเราต้องการอะไร เราจะบอกเจ้าตามตรง และจะไม่รักษามารยาทในเรื่องนั้นเท่าใดนัก  เข้าใจหรือไม่?  แต่เวลาพวกเจ้านำของเหล่านี้มาให้เรา แล้วเรากล่าวว่าเราไม่ต้องการของเหล่านี้หรือของเหล่านี้ไม่เหมาะ นั่นไม่ใช่ว่าเรากำลังรักษามารยาทกับพวกเจ้าเช่นกัน  นั่นไม่ได้เทียมเท็จหรือหน้าซื่อใจคด  ทุกสิ่งที่เรากล่าวล้วนเป็นจริง ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง  เวลาเรากล่าว ได้โปรดอย่าอ่านระหว่างบรรทัด  เวลาเราบอกว่าเราไม่ต้องการ ก็หมายความว่าเราไม่ต้องการ  เวลาเราบอกว่าเราใช้ของนั้นไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเราไม่สามารถใช้ของนั้นได้  ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำสิ่งใด อย่าเสียเวลาคิดซื้อของหรือใช้เงินโดยเปล่าประโยชน์  อย่าคิดว่าควรมอบของดีทั้งหมดให้แก่พระเจ้า—เจ้าถึงกับรู้ด้วยหรือว่าเราต้องการของเหล่านั้นหรือไม่?  ถ้าเราไม่ต้องการ เจ้าย่อมซื้อมาเสียเปล่ามิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าอยากซื้อของบางอย่างให้เราจริง เช่นนั้นแล้วก็จงปล่อยให้เราบอกเจ้าเถิด—อย่าซื้ออะไรให้เราเลย  ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้าซื้อของมาให้เราแบ่งปันทุกคน เช่นนั้นก็ได้ เราสามารถส่งต่อได้  ส่วนเรื่องที่ว่าเราทำเช่นไรกับเรื่องดังกล่าว และเราทำเช่นไรกับวัตถุสิ่งของที่สถานะและตำแหน่งนำมาให้ นี่คือท่าทีของเรา  ศัตรูของพระคริสต์ทำเช่นเดียวกันในเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  ข้อแรก แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธสิ่งใด—ยิ่งมากยิ่งดี  ไม่ว่าใครจะส่งของขวัญมาให้หรือของนั้นจะเป็นอะไร พวกเขาก็รับไว้  ข้อสอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาขู่บังคับเอาของบางอย่างจากผู้คน และข้อสุดท้าย พวกเขาเอาของบางอย่างไว้ใช้เอง  นี่คือสิ่งที่พวกเขาแสวงหาและสิ่งที่พวกเขาอยากได้ เป็นสิ่งที่สถานะซึ่งพวกเขาไล่ตามไขว่คว้านั้นนำมาให้

สำหรับแก่นแท้อันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ ตามสามัคคีธรรมของพวกเราทั้งในครั้งที่แล้วและในวันนี้ พวกเจ้าสามารถคิดหาข้อสรุปหนึ่งประโยคที่ตีแผ่แก่นแท้อันเลวนี้ได้หรือไม่?  ลักษณะที่ร้ายแรงที่สุดของความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์เป็นดังนี้คือ พวกเขากล่าวโทษทุกสิ่งที่เป็นบวก ทุกสิ่งที่เที่ยงธรรมและตรงตามความจริง และทุกสิ่งที่มนุษยชาติคำนึงว่างดงาม  พวกเขาเกลียดและรังเกียจสิ่งเหล่านี้  ในทางกลับกัน ทุกสิ่งที่เป็นลบ ทุกสิ่งที่ผู้คนที่มีมโนธรรม เหตุผล และมีสำนึกอันเที่ยงธรรม พากันดูถูก กลับเป็นสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ปลาบปลื้มโดยแท้  นี่คือสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและชื่นชู  มีอีกประโยคหนึ่งที่สามารถสรุปเรื่องนี้ได้คือ ศัตรูของพระคริสต์เกลียดชังทุกสิ่งที่เป็นบวกซึ่งมาจากพระเจ้า เกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก แต่แน่ชัดว่ารักสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังและกล่าวโทษ  นี่คือความเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์  ลักษณะเบื้องต้นของความเลวข้อนี้คืออะไร?  ก็คือพวกเขามีความชื่นชอบเป็นพิเศษในทุกสิ่งที่อัปลักษณ์และเป็นลบ พลางชิงชังและแสดงความเป็นไม่เป็นมิตรกับทุกสิ่งที่งดงาม เป็นบวก และตรงตามความจริง  ความเลวเป็นเช่นนั้น  พวกเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?  สามัคคีธรรมวันนี้เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่อง “สิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์รัก”  พวกเรายังให้ตัวอย่างไว้อีกด้วย ซึ่งบ้างก็พบเห็นได้บ่อยกว่าตัวอย่างอื่นๆ แต่ทุกตัวอย่างสามารถใช้เป็นข้อพิสูจน์ไว้อธิบายแก่นแท้ธรรมชาติอันเลวในตัวศัตรูของพระคริสต์ได้  ต่อไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำหลังจากนี้ก็คือตรึกตรองและสามัคคีธรรมว่า พวกเจ้าพบเห็นและเข้าใจสิ่งใดที่เลวหรือเป็นบวกบ้าง ศัตรูของพระคริสต์รักสิ่งใดที่เป็นลบบ้าง พวกเขาเกลียดสิ่งใดที่เป็นบวก และพวกเจ้าสามารถเข้าใจอะไรได้บ้าง รวมทั้งพวกเจ้าพบเห็นและมีประสบการณ์กับอะไรมาบ้าง  ศัตรูของพระคริสต์และมนุษย์ทั่วไปที่เสื่อมทรามมีปัญหาบางอย่างเหมือนกันทางด้านอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา และแม้ลักษณะที่เหมือนกันนี้อาจร้ายแรงต่างกัน แต่แก่นนิสัยของพวกเขานั้นเหมือนกัน  เส้นทางที่พวกเขาเดินและจุดหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าอาจแตกต่างกันอีกด้วย แต่พวกเขาก็เผยแก่นนิสัยมากมายที่เสื่อมทรามเหมือนๆ กัน  เพราะฉะนั้น การเปิดโปงแง่มุมต่างๆ ของแก่นแท้ในตัวศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นประโยชน์ต่อคนที่เสื่อมทรามทุกคน  ถ้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถใช้วิจารณญาณดูแก่นแท้ในตัวศัตรูของพระคริสต์ได้ พวกเขาก็จะสามารถรับรองว่าพวกเขาจะไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิด และจะไม่เคารพบูชาหรือติดตามศัตรูเหล่านั้นอีกด้วย

7 สิงหาคม ค.ศ. 2019

ก่อนหน้า: ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับให้ตัวเอง

ถัดไป: ประการที่สิบ: พวกเขาดูหมิ่นความจริง ทำผิดหลักธรรมอย่างหน้าไม่อาย และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger